![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ที่วัดมีพระเยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยจะดีหรอก เมื่อวานพระวัดท่าขนุนบิณฑบาต วัดอื่นเหี่ยวไปเลย เขาจัดบิณฑบาตถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดนั้น ๗ รูป วัดนี้ ๑๐ รูป วัดท่าขนุนไป ๔๐ รูป เดินผ่านไปทีหนึ่งก็ราบเป็นพายุกวาด คนตามหลังจะไปเหลืออะไร
เทศบาลตำบลทองผาภูมิเขาจัดงาน นิมนต์พระ ๑๐๙ รูปเพื่อใส่บาตรถวายกุศลพระสังฆราช อาตมาให้ไป ๔๐ รูป เขาก็ถามทำไมพระอาจารย์ไม่ให้หมดวัด ? ให้หมดได้ที่ไหน ต้องเหลือไว้เฝ้าวัดบ้าง ขืนไปบิณฑบาตหน้าเทศบาล ไม่มีเหลือเฝ้าวัด เดี๋ยวขโมยก็ขนของหมดวัดหรอก ที่โยมถวายค่าอาหารพระมา ไม่ต้องห่วง..ได้ใช้แน่ เพราะพระมีเยอะ งานใส่บาตรถวายสมเด็จพระสังฆราชที่เทศบาลทองผาภูมิจัด ต้องบอกว่าจัดผิดที่ ก็คือเขาไปจัดที่หน้าที่ทำการเทศบาลซึ่งระยะทางไกล อยู่หน้าวัดทองผาภูมิโน่น พวกในตลาดเขาก็ไม่เดินไปใส่บาตร ถ้าเป็นอาตมา จะจัดกลางตลาดเลย ไม่มีใครเขาว่าหรอกเรื่องรถติด เพราะว่าบิณฑบาตประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคนเขาแห่กันมาใส่เยอะดีด้วย ไปจัดอยู่ในช่วงที่เขากำลังเปิดร้าน ๗ โมงครึ่ง คนจะห่วงร้าน ถ้าเดินไปไกลใครจะดูแล ตอนขากลับ ท่านอาจารย์เตชะติดแหง็กอยู่ในตลาดนั่นแหละ ญาติโยมเขาแย่งกันใส่บาตร อาตมาต้องไปนั่งแจกพวกซีดีของที่ระลึก ๑๐๐ ปี กว่าจะตามเขามาตั้งนานเนกาเล ปรากฏว่าเขาก็ยังติดอยู่ในตลาด ไปไหนไม่ได้ คนไปรอใส่ในตลาดกันหมด" ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ออกไปเมื่อไรจะเข้ากับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่าเหมือนมหาโจรรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปปล้นในคามนิคม ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันหมด สมัยก่อนพระครูธรรมธรวันชัยชอบทำอย่างนั้น ไปธุดงค์ทีหนึ่ง ๓๐๐ รูป ตั้ง ๓๐๐ รูปจะเอาความสงบที่ไหนมา หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกธุดงค์ชั้น ๑ ไปรูปเดียว ธุดงค์ชั้น ๒ ไป ๒ รูป ธุดงค์ชั้น ๓ ไป ๓ รูป เกินนั้นก็ไปคุยกัน ไม่ได้ปฏิบัติหรอก แล้วเขาไปกัน ๓๐๐ รูป เกือบพาอาตมาหลงทางแล้ว ทางป่าที่ผ่าน อยู่ ๆ ราบเป็นหน้ากลองอย่างกับรถวิ่งผ่าน แล้วซอยเล็ก ๆ ทางผ่านในป่าที่อาตมาเคยเดิน เขาย่ำราบหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ทำเอาอาตมาหลงทาง เพราะไม่ได้ไปทางเดียวกับเขา ทางที่อาตมาจะไปถูกเขาย่ำหายไปด้วย หาทางเดิมไม่เจอเลย มาตอนหลังเขาแต่งตัวเป็นนายทหารยศพันเอกแล้วไปเที่ยวคาเฟ่ โดนเขาจับได้ นั่นแหละฝีมือพ่อคุณนั่นแหละ |
ถาม : เจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวงอยู่
ตอบ : ตามสิทธิ์ของเขา เขาจะเอาอย่างไรเราก็ต้องยอมเขา คราวนี้เขาเห็นว่าตรงนี้เหมาะ เขาก็เอาเลย ทำเขาเอาไว้ก็ยอมเขาเถอะ แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก นอกจากยอมรับอย่างเดียว ถาม : แปลว่าเราต้องทำบุญอุทิศให้บ่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ควรที่จะทำแล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้โกรธแค้นอย่างไร ท้ายสุดก็ใจอ่อน สู้ความดีไม่ได้หรอก ตื๊อให้ไปเรื่อย ๆ ที่บอกไม่ยอมอโหสิเดี๋ยวก็ใจอ่อน อาตมาไม่ให้ทวงหรอก ไล่แจกเลย อย่างพวกเราให้เขาทวงก็ตาย ติดหนี้ไว้เยอะเหลือเกิน เพราะฉะนั้น..ผ่อนไปเรื่อย ๆ ดีกว่า มีโอกาสเอาไปก่อนเลย ประเภทไม่มีมาก เอาไป ๒๐ บาทก็ยังดี อาตมาปล่อยปลาปล่อยวัวติดต่อกันมา ๒๕ - ๒๖ ปี กว่าเขาจะยอมคลายออกให้ ไม่อย่างนั้นนี่ปางตายอยู่ทุกวัน แล้วไม่ได้ปล่อยที ๑ - ๒ ตัว เหมาทีหนึ่งเป็นตลาด ปล่อยทุกเดือน ๆ ๒๔ - ๒๕ ปี คืนชีวิตเขาไปนับไม่ถ้วนเลย กว่าเขาจะยอม ส่วนใหญ่เวลาไปซื้อสัตว์ที่จะปล่อย พวกแม่ค้าจะถามว่ามาอีกเมื่อไร จ้างก็ไม่บอก ถ้าบอกเขาจะเตรียมไว้ให้ ถ้าเตรียมไว้ให้นี่เราจะไม่ได้อานิสงส์ตรงช่วยชีวิตแล้ว เพราะเขาตั้งใจให้เราซื้อ กลายเป็นว่าเราได้แค่ตัวเมตตาอย่างเดียว อานิสงส์คืนชีวิตเราจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ไม่บอกเขาหรอก เดินดุ่ย ๆ เข้าไปเลย ถาม : ปล่อยปลาเป็นสังฆทานหรือเปล่าคะ ? ตอบ : คนละเรื่องกัน เรื่องของอานิสงส์สังฆทานนี้ต้องบอกว่า ถ้าเกิดชาติไหนเมื่อไรก็จนไม่เป็น แต่เรื่องปล่อยปลานี่เป็นเรื่องของความสะดวก ความปลอดภัย ท้ายสุดก็คือสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เพราะว่าเราคืนชีวิตให้เขา ถ้ารบทุกปีฆ่าทุกชาติอย่างอาตมาต้องคืนเขาเยอะ ๆ ปล่อยไปจนนับชีวิตไม่ถ้วนแล้ว ปล่อยหอยทีหนึ่ง ๒๐ กว่ากิโลกรัม ใครจะไปนับไหวว่ากี่ตัว ถาม : ไม่ทราบว่าถ้าเราปล่อยสัตว์ให้คนอื่นจะได้ไหมคะ ? ตอบ : ถ้าปล่อยให้คนอื่นต้องให้เขาโมทนา หรือไม่ก็ให้เขาฝากเงินเราไป รู้ ๆ อยู่แล้วว่าเราจะไปปล่อยเขาก็ได้บุญแน่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนทางธนาคารกรุงไทยสาขาทองผาภูมิ เขาเปลี่ยนผู้จัดการใหม่ เจ้าหน้าที่เขาก็พามารู้จัก เขามาแล้วก็บ่นใหญ่เลย “หนูตรวจสอบบัญชีแล้ว เดือนก่อนหลวงพ่อเบิกไป ๕ ล้านบาทหรือคะ ?” “ใช่..รุ่งขึ้นจ่ายไป ๗ ล้านกว่าบาท..!” เล่นเอาผู้จัดการใหม่นั่งเอ๋อไปเลย
อยู่ ๆ รายจ่ายที่ไม่ควรจะจ่ายก็โผล่มา อย่างสายไฟใต้ดินสั่งไป ๒ ปีแล้ว อยู่ ๆ เขาบอกให้โอนเงินเลย จะส่งแล้ว ต้องจ่ายไปอีก ๑.๗ ล้านบาทอย่างนี้ อยู่ ๆ รายจ่ายเพิ่มมากะทันหัน เบิกมา ๕ ล้านบาท จ่ายไป ๗ ล้านกว่าบาท นั่งหัวเราะตัวเอง เออ...ทำได้เหมือนกัน เดี๋ยวก่อสร้างเสร็จจะขายนั่งร้านถอนทุนคืน ทำนั่งร้านหมดไปเกือบ ๓ ล้านบาท เขาคำนวณมาให้ว่าค่าเช่านั่งร้าน ถ้าเราใช้งานตั้งแต่แรกจนจบงาน ชุดละ ๓ บาทต่อวัน จะตกประมาณ ๓ ล้านบาท ก็มาคำนวณว่าถ้า ๓ ล้าน ซื้อเหล็กมาทำเอง รวมค่าแรงช่างแล้วประกอบเอง ของยังเป็นของเราอยู่ ถ้าเราเช่าเสร็จแล้วต้องคืนเขาหมด ท้ายสุดก็เลยสั่งเหล็กมาทำเอง ถ้าวัดไหนก่อสร้างมาเลย จะขายให้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประคำที่เอาไปนับเมื่อตอนสวดคาถาเงินล้านถวายสมเด็จพระสังฆราช เพิ่งมารู้ทีหลังว่าทำไมคุ้นขนาดนั้น เพราะเป็นประคำที่อาตมาสั่งทำแล้วเอาไปถวายหลวงพ่ออุตตมะ ไม่รู้คุณเฟิร์สเข้านอกออกใน รับใช้หลวงพ่ออุตตมะเอาท่าไหน ก็เลยชำระหนี้สงฆ์มา ท้ายสุดก็เลยกลายเป็นเอามาถวายคืน อาตมาเองก็เลยเอาไปประมูลต่อ
ตอนนั้นที่สั่งทำนี่ถือว่าถูกนะ เพราะว่านิลขนาด ๑๖ มิลลิเมตร เม็ดหนึ่งเขาคิดแค่ ๙๐ บาท ทำจากร้านอนันตพลพลอยกาญจน์ เดี๋ยวนี้นิลใหญ่ ๆ หายาก ส่วนใหญ่เม็ดเล็ก ถ้ามีรอยร้าวก็ใช้ไม่ได้ มีรอยร้าวต้องทำใหม่ เพราะนิลค่อนข้างจะเนื้อเปราะ กระทบหนัก ๆ ก็ร้าวแล้ว พวกนิลคิดกันในราคาที่เขาเจียระไนทำเป็นวัตถุออกมาแล้วนี่ เมื่อ ๕ - ๖ ปีก่อน มาตรฐานกะรัตละ ๕ บาท ถ้าสมมติเราถามว่านิลชิ้นนี้กี่กะรัต ถ้าเขาบอก ๑๐๐ กะรัต ราคามาตรฐานก็คือ ๕๐๐ บาท กะรัตละ ๕ บาท ตอนนี้ไม่รู้ขึ้นไปเท่าไร แต่ว่าตอนนั้นที่สั่งนั่นก็คือเม็ดละ ๙๐ บาท เส้นนั้นก็ตกหมื่นกว่าบาท เดี๋ยวนี้ไม่รู้หาได้หรือเปล่าราคานี้" |
ถาม : หนูมีความคิดจะทำตะกรุดให้พ่อแม่เขียนให้ เป็นแผ่นทองคำ ให้เขาเขียนคำอวยพร แล้วหนูพกติดตัวไว้ ?
ตอบ : ก็เอาสิ..พรจากพ่อแม่ย่อมประเสริฐที่สุด ถาม : แล้วหนูมีเกศาหลวงพ่อฤๅษี ถ้าบรรจุไปด้วยจะสมควรหรือไม่ ? ตอบ : ก็ได้อยู่นะ แต่ว่าต้องหาที่บรรจุให้ดี ๆ เพราะว่าไม่อย่างนั้นร่วงหล่นไปน่าเสียดาย ถึงเวลาก็อุดหัวอุดท้ายให้ดี ถาม : หนูมีความกังวลว่าไปเอาพรของพ่อแม่ตัวเองมา จะมีผลอะไรหรือไม่คะ ? ตอบ : ก็ต้องมีผลดี..เพราะเป็นของพ่อแม่ให้ ถาม : จะมีผลกับอายุท่านหรือไม่ ? ตอบ : เรื่องของอายุขัยขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่ทำไว้ ต่อให้ไม่อวยพรให้เรา หมดอายุขัยท่านก็ไปได้ |
ถาม : อย่างเราเจอปัญหา แล้วใจจะจำ เหมือนกับเราผูกใจเจ็บ ?
ตอบ : ไม่ใช่ผูกใจเจ็บ ลักษณะนั้นเขาเรียกว่าเข็ด ขอให้ความรู้สึกของเราที่มีต่อการเกิด มีต่อร่างกาย มีต่อโลกนี้ให้เข็ดแบบนั้น พลิกกำลังใจนิดเดียวจะเป็นทางธรรมเลย ว่าฉันเข็ดกับแกแล้ว ฉันจะจำไว้เลย ฉันจะไม่เกิดอีก ถาม : กลัวว่าจะมาเจออีก ตอบ : ก็นั่นแหละ เพราะเกิดมาก็เจออย่างนี้ เพราะฉะนั้น..พลิกมุมนิดเดียวจะเข้าทางธรรมเลย ถ้าพลิกมุมไม่ได้จะกลายเป็นโกรธแค้น อาฆาต พยาบาท สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตัวเองด้วย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นกระยาสารทเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเป็นวันสารทไทย ปัจจุบันไม่ว่าจะตรุษสารทหรือใบไม้ใบหญ้า ออกนอกฤดูกาลจนกระทั่งคนเขาเลิกจำแล้วว่าวันจริง ๆ เป็นวันไหน วันก่อนฉันลำไยไป กลิ่นโปแตสเซียมฟอสเฟตแรงมากเลย บอกกับพระท่านว่าลำไยปลอม เพราะว่าเขาเร่งโปรแตสเซียมฟอสเฟตให้ออกนอกฤดูกาล ต้นไม้ที่โดนเร่งให้ออกลูกนอกฤดู จะงันไปหลายปีกว่าจะฟื้นตัว สวนไหนที่จะทำลักษณะนั้น อย่างน้อยต้องมีที่สัก ๖๐ ไร่ ทำปีละ ๑๐ ไร่วนเวียนกันไป จะได้มีเวลา ๕ ปีที่จะฟื้นกลับคืนมา พอโดนเร่งมาก ๆ เข้าต้นไม้ก็เลยสับสนกับชีวิต
สมัยก่อนถึงฤดูกาลจึงจะมีกิน สมัยนี้มีทั้งปี แต่รสชาติไม่ได้เหมือนเดิม เรื่องของกระยาสารทก็เหมือนกัน ตรุษก็จะมีกะลาแมกับข้าวเหนียวแดง สารทจะมีกระยาสารท แต่เดี๋ยวนี้เขาทำขายทั้งปีทั้งชาติ ตรุษสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์กลางเดือน ๕ แล้วก็สารทสิ้นเดือน ๑๐ พวกเราส่วนใหญ่ไม่จำกันแล้ว ไปนึกถึงตอนเด็ก ๆ พอเดือน ๑๒ หมาติดสัด ไล่กัดกันลั่น ก็จะรู้ว่าถึงเวลาของเขา พอมาระยะหลังไม่เป็นเวล่ำเวลากันแล้ว กลายเป็นว่านอกจากดินฟ้าอากาศวิปริตกันแล้ว ต้นไม้กับสัตว์ก็วิปริตไปหมด ปีนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนผลัดใบ ๔ ครั้งแล้ว ปกติผลัดใบปีละครั้ง พวกต้นโพธิ์ต้นไทรออกลูกปีละครั้ง แต่ปีนี้ต้นโพธิ์ออกลูก ๓ ครั้ง ใบไม้ผลัดใบ ๔ ครั้งแล้ว เพราะว่าที่นั่นพอฝนหยุดอากาศจะเย็นมาก คล้าย ๆ ฤดูหนาวเลย เช้า ๆ อยู่ระหว่าง ๒๑ - ๒๒ องศาเซลเซียส ต้นไม้ก็คิดว่าถึงฤดูหนาวแล้วก็ผลัดใบ เพิ่งทิ้งใบได้วัน ๒ วัน ฝนตกอีกแล้ว ก็แตกใบใหม่ ตกลงต้นไม้ก็สับสนกับอากาศเหมือนกัน ต้นชัยพฤกษ์ที่ลานธรรม ออกดอกได้ไม่เต็มที่ฝนก็ลง พอได้แดดร้อนออกดอก ฝนลงก็แตกใบเขียว ๆ แทน ตกลงว่าตั้งแต่ปลูกมาจนถึงป่านนี้ ได้เห็นดอกอยู่ ๒ ครั้ง คือพอร้อนแล้งเขาก็ออกดอก แต่ออกได้ไม่กี่วัน พอฝนตกเขาเลยต้องทิ้งดอกแตกใบใหม่ ธรรมชาติวิปริตไปหมด คนเราต้องรักษากำลังใจให้มั่นคง ทิ้งสมาธิภาวนาไม่ได้ ถ้าทิ้งตัวสมาธิภาวนา เรื่องของดินฟ้าอากาศก็มีผลกระทบเหมือนกัน ก็จะทำให้คนเราใจร้อนใจเร็ว โกรธง่าย แปรปรวนง่าย แล้วก็อย่าไปโทษดินฟ้าอากาศทั้งหมดนะ เป็นที่ตัวเรา ไม่ใช่ว่าวันนี้ไปอาละวาดจนเต็มที่ แล้วก็ไปโทษว่าวันนี้ดินฟ้าอากาศไม่ปกติ ที่ไม่ปกตินั่นเราเองต่างหาก..!" |
ถาม : บางคนบอกว่าการทำสังฆทานเพื่ออุทิศให้แก่คนที่เสียชีวิตแล้ว เป็นเพราะว่าเขาไปเป็นเปรต เขาพูดอย่างนี้จริงไหมคะ ?
ตอบ : ใครก็ตามถ้าสามารถโมทนาบุญได้ มีส่วนได้รับเหมือนกันจ้ะ พวกเปรตจะรับยากด้วยซ้ำไป เพราะเปรตมี ๑๐ กว่าจำพวก ต้องเป็นจำพวกที่บาปเหลือน้อยแล้วถึงโมทนาได้ เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรตอย่างเดียว ถ้าว่าตามบาลีแล้ว คำว่าเปตะ แปลว่าผู้ที่ละโลกไปแล้ว ก็คือที่คนตายไปแล้ว แต่คนตายไม่ได้เป็นเปรตอย่างเดียว ลงนรกก็มี เป็นเปรตก็มี เป็นอสุรกายก็มี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เป็นคนก็มี เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมก็มี จนกระทั่งหลุดพ้นไปพระนิพพานก็มี ฉะนั้น..เราทำบุญอุทิศไป ถ้าเขาไม่ได้อยู่ที่เขตที่ลำบากมาก มีสิทธิ์โมทนาได้ก็ได้บุญนั้นไป ไม่ใช่เฉพาะเปรตอย่างเดียว |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงเช้ายันค่ำ ไม่เคยอาศัยเครื่องดื่มกระตุ้นเลย จะมีพวกพี่ ๆ เขาเป็นห่วงเหมือนกัน เอากาแฟมา เอาอะไรมา ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่ายังพอสู้ไหว แล้วอาศัยความเคยชินที่ว่าไม่เคยใช้สารกระตุ้น บางคนเขามีกระทิงแดง สมัยนั้นมีกระทิงแดงยี่ห้อเดียว ยี่ห้ออื่นไม่มี ของอาตมาตัวเปล่าลุยข้ามวันข้ามคืน ถึงเวลาเช้าวันอังคารเดินทางกลับ หลับคอพับบนรถเมล์ก็มี
สมัยอยู่ที่วัดท่าซุงก็ต้องเตรียมงานก่อนด้วย ข้ามวันข้ามคืนเหมือนกัน บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ก็มีกาแฟ มีกระทิงแดง บางคนก็กระทิงผสมกาแฟ ผสมกันมั่วไปหมด เลิกงานก็หมดสภาพกันเกลี้ยง ของอาตมาเลิกงานนอนคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็ลุกขึ้นบิณฑบาตได้ ท่านอื่นลุกไม่ขึ้น เพราะไปกระตุ้นพลังงานสำรองออกมาหมด พักแล้วไม่ฟื้น ของอาตมาแค่ใช้งานเต็มที่เท่านั้น หมดงานแล้วได้พักก็ยังฟื้นได้ หลวงพ่อเองท่านก็ใช้ เพราะว่าสังขารท่านไม่ไหว คนมาเยอะขนาดนั้น คุยกับเขาทั้งวัน แจกของแจกข้าว โยกซ้ายโยกขวาไปเรื่อย จนปี ๒๖ อาตมาก็ยึดอำนาจ บอกว่า "หลวงพ่อครับ เดี๋ยวผมแจกวัตถุมงคลเองครับ ปล่อยให้หลวงพ่อโยกอย่างนี้ทั้งวันไม่ไหวหรอกครับ" ใหม่ ๆ ก็มีหลาย ๆ คนไม่ยอมรับ ต้องรับจากมือของหลวงพ่อให้ได้ จนกระทั่งหลวงพ่อหัวเราะบอกว่า "เฮ้ย..เขาตั้งกติกาไว้แล้วก็ต้องทำตามเขา" ยังโชคดีที่ความตรงไปตรงมาของอาตมาเป็นที่เลื่องลือ คนก็เลยด่าไม่ถนัด เพราะรู้ว่าทำเพื่อหลวงพ่อจริง ๆ อย่างงานวันเกิดที่บ้านสายลมเดือนตุลาคม คนประดังเข้ามาเป็นพันเป็นหมื่นแล้วมีเวลานิดเดียว เลยบอกว่าให้เข้าได้ทีละไม่เกิน ๑๐ คน และอยู่ได้ไม่เกินชุดละ ๒ นาที คุณต้องถวายสังฆทานให้ทัน แล้วก็จะมีคนนั้นก็คุณหญิง คนนี้ก็คุณนาย คนโน้นก็นายพัน คนนี้ก็นายพล จะขอเข้าก่อน อาตมาขวางประตูอยู่ จะมีเสวีกับเจ้าพัชน้องสาวอีก ๒ คน มาช่วยยืนกั้นประตูไว้ ลูกศิษย์เก่าแก่ตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหน ขุดขึ้นมาขู่ทั้งนั้น อาตมาต้องบอกว่า "ขอโทษครับ..วันนี้ผมจำใครไม่ได้" บางทีก็ไม่ไหว ต้องชี้ให้เขาดู "เห็นคุณป้าแก่ ๆ ที่ยืนข้างประตูนั่นไหมครับ ? " "เห็น" "นั่นแหละครับ คุณแม่ผมเองยังไม่ได้เข้าเลย" เขาเลิกคบอาตมาไปเลย ขนาดแม่ตัวเองยังไม่ให้เข้า แล้วใครจะไปได้เข้า หลวงพ่อท่านชอบคนตรงไปตรงมา ทุกคนราคาเดียวกัน ไปกันตามลำดับ เข้าได้ทีหนึ่ง ๘ คน ๑๐ คน ๒ นาทีต้องออก แล้วไล่ออกประตูหลังด้วยนะ ไม่ใช่ย้อนออกมาทางเดิม ท้ายสุดพอไปบวชเข้า ยังได้ไม่ถึงปี หลวงพ่อท่านก็เรียกให้ไปเฝ้าหน้าห้อง แล้วคำสั่งท่านก็คือ "ถ้าไม่ใช่คนที่ข้าเรียก ไม่ต้องให้ใครเข้ามา.." ต้องบอกว่าคนที่แหกคอกมากที่สุดคือป้าน้อย ป้าน้อยนี่ไม่มีใครกล้ากั้นแกได้ ยกเว้นอาตมา เพราะว่าชื่อเลื่องลือมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ป้าเลยไม่กล้าฝืน" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องถามว่าท่านมาเพื่ออะไร แล้วทำตามที่ท่านต้องการก็จบแล้ว เพราะฉะนั้น..ไปคุยกันเองก็ได้จ้ะ ไม่ต้องเสียเวลาคนอื่นไปคุยหรอก ถึงเวลาก็ถามท่านตรง ๆ มาด้วยธุระอะไร ต้องการอะไร แล้วทำตามที่ท่านว่า ถ้าฤๅษีมาแสดงว่าหลงยุค บรรดาร่างทรงต่าง ๆ ที่มา ส่วนใหญ่แล้วอยากจะมาสร้างบารมี ถ้ารอเกิดก็ช้า จึงอาศัยคนที่มีกรรมเก่าเนื่องกันมา อาศัยผ่านร่างเขา อาตมาเองเคยต่อรองให้หลายคน ว่าถ้าจะใช้ร่างเขาจริง ๆ อันดับแรกต้องอย่าให้เขาเดือดร้อนด้วยเศรษฐกิจส่วนตัว คืออย่างน้อยต้องให้เขามีความคล่องตัวด้านการเงิน ไม่เดือดร้อนเรื่องการครองชีพ จะได้มาทำหน้าที่ให้เขาได้ ข้อที่สอง ถ้าใช้งานผ่านร่างมา อย่าให้เขาแสดงอาการวิปริต ผิดประหลาดจนเขาต้องอับอายต่อคนอื่น ให้เป็นปกติ ๆ นั่นแหละ แต่ทำงานได้ ข้อที่สาม สิ่งใดก็ตามที่รับปากช่วยเหลือคน สิ่งนั้นต้องมีผล ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อเราไปด้วย ส่วนใหญ่พอต่อรองแล้วก็ยอมรับด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทำตามนี้ก็ตกลงว่าจะรับ จัดขันธ์ครูมา ถ้าไม่ทำตามข้อตกลงนี้ก็ไม่รับ โดยเฉพาะข้อตกลงที่ชัดที่สุดคือ ต้องให้รวยก่อน |
ถาม : อย่างฤๅษีเกศแก้ว มีคนสงสัยมากว่าทำไมพระกราบได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่ามารดลใจ ฤๅษีเกศแก้วท่านเป็นฤๅษีถือศีล ๘ สร้างบารมีเพื่อพระโพธิญาณ คราวนี้การที่พระไปกราบเท่ากับเกิดโทษแก่ท่าน กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย โอกาสที่จะพลาดลงอบายภูมิมีสูง กลายเป็นว่าการสร้างบารมีก็จะช้าไป ส่วนบรรดาพระทั้งหลายก็ไม่เข้าใจในสถานภาพของตัวเอง ว่าศีล ๒๒๗ สูงกว่าศีล ๘ เท่าไร พอไปกราบกลายเป็นว่าตัวเองก็หลุดจากพระรัตนตรัย เพราะไปกราบผู้อื่นที่ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง สรุปคือเรื่องของมารกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ต้องห่วง ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่าฤๅษีเกศแก้วเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี ? ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ตาม ศีลเขาแค่นั้น ในสภาพของการเป็นฆราวาสไม่สามารถที่จะรับไหว้จากพระได้ ต่อให้เป็นพระอริยเจ้าก็เถอะ ถาม : ผมคิดว่าท่านเป็นพระอนาคามี พระก็เลยไปกราบท่าน ? ตอบ : ไม่ใช่..พระเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน ก็เลยไปกราบโดยลืมสถานภาพของตนเอง จึงเกิดโทษทั้งสองฝ่าย ถาม : เป็นอย่างไรครับ ที่กราบอย่างอื่นเป็นที่พึ่งยิ่งกว่าพระรัตนตรัย ? ตอบ : เขาเรียกว่าอัญญเดียรถีย์ คือผู้ที่ถือผู้อื่นเป็นศาสดา ไม่ได้ถือพระรัตนตรัย โทษหนักมาก บาลีว่ากึ่ง ๆ อนันตริยกรรมเลย ถาม : ท่านไม่ได้เป็นเดียรถีย์ใช่ไหมครับ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วท่านเข้าใจผิด ถ้ามีคนไปชี้แจงให้ท่านเข้าใจถูกก็ดี แต่อยู่ ๆ จะให้ถือไมค์ไปพูดก็เหมือนไปหักหน้าเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะทำ |
ในลักษณะของอัญญสัตถุเทส ถือผู้อื่นเป็นศาสดา เท่ากับปิดมรรคผลเลย เพราะขาดความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง บางคนอาจจะคิดว่าคับแคบเกินไปหรือเปล่า ทำไมจะไปถือศาสดาอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราดูในเรื่องของมรรคผลจริง ๆ แล้ว เบื้องต้นต้องมีความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น และต้องเป็นการศรัทธาถูกที่ถูกทางด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองมีความศรัทธาไม่แน่นแฟ้นพอ ก็เลยไปให้ความเคารพผู้อื่นที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย เรื่องของเรื่องก็คือว่าเข้าไม่ถึงมรรคผล
บางทีเจอกันในงาน ก็จับมือท่านเดินคุยไปเรื่อย คนอื่นอาจจะสงสัยว่าอาตมาทำไมไม่แสดงความเคารพฤๅษีเลย แต่ปู่ฤๅษีท่านเข้าใจ ขนาดอยู่ในช่วงสร้างบุญสร้างบารมี มารเขายังขวางสุดชีวิตเลย เพราะว่าถ้าสำเร็จไปนี่แปลว่าเอาคนไปพระนิพพานนับไม่ถ้วน |
ถาม : มารที่เป็นคู่ปรับของเรามีอยู่ท่านเดียว หรือว่ามากกว่านั้น
ตอบ : นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะมารเสนา ทหารของมาร เสนาของมาร คือคนทุกคน สัตว์ทุกตัว ของทุกชิ้นรอบข้างของเรา มารเขาใช้เป็นเครื่องมือในการขวางเราได้ทั้งหมด เหลือเชื่อว่าเขาทำได้ขนาดนั้น เดินไปเจอถังน้ำอยู่ใบหนึ่ง เตะโครมเข้าให้ "ใครวางเกะกะวะ ? ไม่รู้จักเก็บจักเก็บงำ.." โทสะกินเพราะของชิ้นเดียว มีนกอยู่หนึ่งตัว กวนอาตมาอยู่ทุกวัน เวลาขึ้นไปจะนอนพัก ก็จะบินมาตะกายหน้าต่างให้ตื่นทุกที จะตะกายเข้ามาในห้องให้ได้ นกอะไรก็ไม่รู้ ถาม : นกเขาจะเกิดเป็นกรรมไหมครับ ? ตอบ : เขาโดนดลใจให้ทำอย่างนั้น เจตนาไม่มี ในเมื่อเจตนาไม่มี ก็เป็นกตัตตากรรม คือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เป็นกรรมที่เบาที่สุด กรรมอื่นส่งผลโดยไม่มีอะไรเหลือแล้ว กรรมนี้จึงจะตามมา ถาม : นกที่อยู่ตามวัด ถ่ายลงมาที่วิหาร ? ตอบ : เขาเองด้วยความที่อยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ความมืดบอดของจิตมีมาก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นโทษ ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้โทษเขามีน้อย แบบเดียวกับคนฆ่าพ่อฆ่าแม่โดนอนันตริยกรรม แต่ถ้าสัตว์อย่างเช่นเสือ กัดพ่อแม่ตาย ไม่โดนอนันตริยกรรม เพราะอยู่คนละภูมิกัน ภูมิของเขาอยู่ในภูมิที่ต่ำกว่า ฉะนั้น..การตั้งราคาหรือตั้งโทษเลยเบากว่า ถาม : เรากลัวว่ามารจะมาขวางเรา หรือเล่นงานเราหนัก หลายคนบอกว่าตอนนี้ยังไม่ลาพุทธภูมิ แต่พอไปตอนปลายใกล้จะหมดวาระต้องตัดสินใจลา แบบนี้จะหลอกมารได้ไหมครับ ? ตอบ : อันนี้หลอกตัวเอง ไม่ใช่หลอกมาร..! ถาม : จริง ๆ เขารู้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่มีทางที่จะหลอกได้ เขาหลอกให้เราคิดอย่างนั้นด้วยซ้ำไป |
ถาม : คนที่รู้ว่าทำแล้วเป็นกรรม กับคนที่ไม่รู้ว่าทำแล้วจะเป็นกรรม อย่างไหนโทษจะหนักกว่า ?
ตอบ : ในสิ่งที่ทำโดยพื้นฐานแล้วเกิดโทษเท่ากัน แต่ว่าคนที่รู้แล้วขืนทำ จะเพิ่มโทษตรงจุดนี้ คือรู้ทั้งรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดแล้วตั้งใจทำ ต้องใช้กำลังใจที่สูงกว่า ในเมื่อต้องใช้กำลังใจที่สูงกว่า โทษก็เลยมากกว่า เหมือนกับว่าเราขับรถไปชนคนตายโดยประมาท ก็เท่ากับว่าขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนอีกคนตั้งใจพุ่งไปชนเลย ถ้าเรามั่นใจว่ามีเจตนาอย่างนั้นแน่ ๆ โทษหนักกว่าแน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราฆ่าโดยเจตนา |
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : บูชาติดบ้าน พร้อมพระคาถาเงินล้าน ตั้งใจภาวนาพระคาถาเงินล้านให้สม่ำเสมอ เอาวันละกี่จบก็ได้ แต่ต้องทำเท่า ๆ กัน ขอบารมีท่านให้สงเคราะห์เรื่องความคล่องตัวในความเป็นอยู่ทุกด้าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังตามเก็บข้อมูลเรื่องวัตถุมงคลที่สร้างเองมาตั้งแต่แรก ตอนอยู่ที่วัดท่าซุง ทำพระวิสุทธิเทพหลังยันต์เกราะเพชร มี ๑๐,๐๖๐ องค์ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไป ๑๐,๐๐๐ องค์ เสร็จพิธีแล้วท่านบอกว่าเป็นพิธีที่สมบูรณ์ที่สุด พระท่านสงเคราะห์ให้ทุกด้าน ให้หลวงพี่วิรัชเก็บเอาไว้ บอกว่าถึงเวลาวัดพัง จะได้มีไว้จำหน่ายซ่อมวัด
ปรากฏว่าพอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่วิรัชงัดออกมาจำหน่ายจนเกลี้ยง รุ่นนั้นถือว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นแรก ในพรรษาปี ๒๕๒๙ ตำผงเพื่อพิมพ์พระกันทั้งพรรษา ส่วนประกอบสำคัญคือเกศาหลวงพ่อวัดท่าซุง จีวรหลวงพ่อ ทรายแก้ว ทรายทอง ดอกบัวพระองค์ที่ ๑๐ ใส่ลงไปแบบไม่ต้องเสียดาย โดยเฉพาะยานัตถุ์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านปลงผม ๓ ครั้งกว่าจะพอ กราบเรียนท่านว่าจะขอสร้างรุ่นนี้ถวายหลวงพ่อ แล้วขออนุญาตกำหนดราคา ท่านบอก "แกจะขายเท่าไร ?" " องค์ละ ๑๐๐ บาทครับ" กราบเรียนท่านว่าทำ ๑๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะหาเงินถวายท่าน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ท่านอนุญาตก็เลยทำ อย่างที่สอง ทำตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นแรก ๖๐ ดอก ตอนนั้นไม่ค่อยมีเงิน แผ่นเงิน ๖๐ บาทก็เยอะอยู่ เพราะว่าต่ำสุดต้องน้ำหนักบาทหนึ่ง แล้วก็มาชุดสุดท้ายที่ทำคือมีดชาตรี ชาตรีรุ่นแรก ๔๒ เล่ม พอท่านเอ่ยปาก อาตมาก็วิ่งถึงพยุหะคีรี ไปกวาดมาหมดตลาดมีแค่ ๔๒ เล่ม หลังจากนั้นคนอื่นเพิ่งจะไปกัน ยิ่งใกล้งานคนยิ่งไปหากันมากขึ้น จนท้ายสุดขนาดปากกาเฉพาะใบเปล่า ๆ ไม่มีด้ามไม่มีฝัก ใบละ ๖๐๐ บาท ของอาตมาด้ามงาฝักงาเขาให้บูชา ๒๐๐ กว่าบาทเอง หลังจากนั้นก็มาเกาะพระฤๅษี ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก รูปหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อฤๅษี รุ่นนั้นประสบการณ์เพียบ หลายต่อหลายอย่างที่โยมบูชาประมูลกันแพงหูดับตับไหม้ จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้สร้าง อย่างพระองค์ที่ ๑๑ หรือว่าสมเด็จสัมพุทธเธ นั่นเป็นพระครูแสงสร้างแล้วเอามาเข้าพิธี ดังนั้น..ที่ลงเอาไว้เป็นทะเบียนประวัติสร้างวัตถุมงคล จะลงเฉพาะที่สร้างเอง ชนิดไหนไม่มีอยู่ในนั้นแปลว่าคนอื่นทำ" |
ถาม : ทำไมไม่แยกล่ะครับ ?
ตอบ : แยกไม่ไหว ที่แยกไม่ไหวเพราะว่าแต่ละงานอาตมาไม่เคยห้ามเขาเอาวัตถุมงคลมาเข้าพิธี ที่ขออนุญาตอย่างเป็นทางการแทบไม่มี ส่วนใหญ่ก็บอกว่าขอเอาวัตถุมงคลเข้าพิธี แต่ไม่ได้แจ้งว่าอะไรบ้าง ส่วนใหญ่มารู้ทีหลังว่าเป็นของพวกนั้นพวกนี้ เพราะเขามาจำหน่ายในเว็บราคาแพง ๆ ไปแล้ว จะลงไว้เฉพาะที่ตัวเองทำ เพราะว่ามีบันทึกประจำวันลงไว้ ตอนนี้ข้อมูลขาดแต่ท้าวมหาราชเท่านั้น ทำในนามของวัดตัวเอง จะมีสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก ที่ใช้แบบของทางด้านวัดพระธาตุ ๕ ดวง คือสั่งเพิ่มเติมจากที่เขาสั่งโรงงานไว้ ๕,๕๐๐ องค์ แต่ว่าชุดนั้นพุทธาภิเษกหลายรอบ คือจะมีหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์อธิษฐานจิตเดี่ยว หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศอธิษฐานจิตเดี่ยว แล้วก็ไปเข้าพิธีเสาร์ ๕ รุ่นนั้น พวกเราไม่ทันหรอก ๕,๕๐๐ องค์ ละลายหายวับไปกับตา แต่ว่าทางด้านวัดพระธาตุ ๕ ดวง จะมีเนื้อทองคำด้วย แบบเดียวกัน เพราะขอให้เขาทำเพิ่มจากจำนวนที่เขาสั่ง ชุดนี้ถือว่าไม่ได้ทำเช่นกัน เพราะเป็นแบบของวัดพระธาตุ ๕ ดวง แยกไม่ถูกหรอก เพราะเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่ที่กล่องเขียนว่าเป็นของทางด้านอาตมา ก็แปลว่าเป็นของวัดพระธาตุ ๕ ดวง หรือวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีปัญหาเรื่องลมฟ้าอากาศ โดยเฉพาะทางทะเล ให้บนกับนางมณีเมขลา ทำสังฆทานชุดใหญ่ให้ท่านจะช่วยได้"
|
ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะตัดสังโยชน์ ๕ แล้วเราสามารถทำได้จริงหรือไม่ มีอะไรเป็นที่สังเกตคะ ?
ตอบ : ผู้หญิงนี่ดูง่ายที่สุดเลย ถ้าถึงสังโยชน์ ๕ เมนส์จะไม่มา ระบบร่างกายตัดไปเลย ระบบร่างกายจะปรับใหม่ ระบบเกี่ยวกับการสืบพันธุ์พวกฮอร์โมนอะไรจะหยุดทำงานหมด ต่อให้สาวพริ้งอยู่ก็ไม่มีเมนส์ ประจำเดือนไม่มา ตั้งแต่สังโยชน์ ๕ ขึ้นไป ถ้าสังโยชน์ ๓ ก็ยังปกติอยู่ ถ้าตัดสังโยชน์ ๕ ขึ้นไปก็เรียบร้อย..หมดสภาพ..! |
ถาม : คนที่บูชาวัตถุมงคลกับคนที่บริจาควัตถุมงคลให้บูชา อานิสงส์ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : กำลังใจเขาสละออกอยู่แล้ว บุญเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่บริจาคเพื่อได้วัตถุมงคล ก็จะได้วัตถุมงคลกลับไปด้วย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชะมดเช็ดกับชะมดเชียงก็คืออย่างเดียวกัน สารพวกนี้พวกชะมดเขาเอาไว้ทำเครื่องหมาย เพราะจะติดทนนานมาก ลองนึกถึงแมวเวลาฉี่ว่ากลิ่นติดทนนานขนาดไหน พวกชะมดก็เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ฉี่ เป็นสารที่ใช้ทำเครื่องหมายอาณาเขตของเขา"
|
ถาม : ถ้าฝึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ เขาฝึกโดยถอยหลังเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ทิพจักขุญาณแล้ว แค่ต้องการรู้เรื่องตรงนั้นก็จะรู้ได้ เป็นวิธีการใช้ทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือทิพจักขุญาณต้องได้ก่อน พอได้แล้วไปดูอดีตเรียกว่าอตีตังสญาณ ดูอนาคตก็เป็นอนาคตังสญาณ ดูปัจจุบันเป็นปัจจุปันนังสญาณ ดูว่าชาติก่อน ๆ เราเกิดมาอย่างไรก็เป็นปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไปดูเรื่องของบุญกรรมที่เราทำไว้ก็เป็นยถากัมมุตาญาณ ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทิพจักขุญาณก่อน ซักซ้อมจนคล่องตัวแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้ไปในทางไหน ถาม : แยกระหว่างปุพเพนิวาสานุสติญาณกับยถากัมมุตาญาณ ? ตอบ : อันหนึ่งดูว่าแต่ละชาติเราเกิดมาอย่างไร เกิดเป็นใคร แต่อีกอย่างดูว่าเราทำความดีความชั่วอะไรไว้ |
ถาม : รู้จักรงไหมครับ ?
ตอบ : รงเป็นสีเหลืองที่ได้มาจากธรรมชาติ ถาม : ได้มาจากอะไรครับ ? ตอบ : น่าจะเป็นพวกหินหรือแร่ธาตุอะไรบางอย่าง ถาม : สีแดงชาดละครับ ? ตอบ : สีแดงสมัยก่อนได้จากฝางก็มี จากชาดตรง ๆ เลยก็มี ชาดเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นสีแดง ใบสีแดง รากก็สีแดง เขาสกัดเอายางออกมา อาตมาเคยธุดงค์แล้วไปเจออยู่ดงหนึ่ง อยู่รอยต่อระหว่างอุ้มผางกับห้วยขาแห้ง แต่เดินมาเป็นเดือน ๆ เหนื่อยจนหมดสภาพ อารมณ์จะหยิบกล้องมาถ่ายเลยไม่มี ตอนแรกที่เห็นต้น ก็สงสัยว่า ถ้าจะเหนื่อยจนตาลายหรือไฟไหม้ป่าอยู่ ทำไมป่าแดงอยู่ตรงนั้นกลุ่มเดียว พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงรู้ว่าเป็นต้นไม้ ต้นก็แดง ใบก็แดง มิน่า..เขาถึงเรียกว่าต้นชาด ตอนนี้เหลือแต่ในป่าลึก ๆ อย่างไม้งิ้วดำ เดี๋ยวนี้หายากหาเย็น ส่วนใหญ่ที่เจอถ้าไม่ใช่มะริดก็พญาดำดง หรือไม่ก็มะเกลือ แต่พวกนั้นดูง่ายเพราะลายไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไม้มะริด ลายไม้จะออกสีชมพูหน่อย ๆ ระยะหลังเขาแหกตากันเยอะ เขาบอกว่าถ้าลายเป็นสีน้ำตาลก็คือมะเกลือ แต่ถ้าลายเป็นสีชมพูก็งิ้วดำ ความจริงลายสีชมพูเป็นมะริด เขาหาเรื่องที่จะขายของ จึงพยายามอธิบายอย่างนั้น งิ้วดำจริง ๆ เป็นต้นงิ้วเลย ดำโดยธรรมชาติ ที่สังเกตง่ายที่สุดคือเนื้อเบามาก พวกไม้นุ่นไม้งิ้วเนื้อเบาอยู่แล้ว ถาม : อายุสักเท่าไรจึงเอามาใช้งานครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่เจอก็ยืนต้นตายแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอายุเท่าไร |
ส่วนมากที่เขาเอามาใช้ต้องเอาจากต้นที่ยืนตาย แต่ก็อัศจรรย์ตรงที่ว่าไม่เคยเจอต้นที่ล้มตาย มีแต่ยืนตาย ขนาดตายยังไม่ยอมล้ม เขาก็เลยถือเคล็ดตรงนี้ แล้วเอามาใช้งานกัน อาตมาเคยเจออยู่ ๒ ครั้ง ตอนนั้นพระครูแสงยังเป็นฆราวาส เลยช่วยกันลองทดสอบดู เขาบอกว่าพญางิ้วดำแช่เหล้าแล้วเหล้าจะจืดหมด จึงลองเลื่อยมาชิ้นหนึ่ง ลองแช่เหล้าดู รสจืดจริง ๆ เขาบอกว่าเหลือแต่กลิ่น รสไม่มี พระครูแสงเขาไม่กลัวอยู่แล้ว สมัยฆราวาสท่านกินเหล้าเป็นปกติ แต่เวลาแช่แล้วออกสีน้ำตาลเหมือนน้ำชา เขาบอกถ้าเอาไม้งิ้วดำตัดไปทำพายหุงข้าวแล้วข้าวจะกลายเป็นสีดำ
ที่ขำที่สุดคือซิยิ่นกุ้ย แม่ทัพของจีน ซิยิ่นกุ้ยแข็งแรงกว่าคนอื่นเขา เพราะกินข้าวที่หุงจากไม้งิ้วดำ เขาเป็นพลทหารสูทกรรม ไปตัดไม้มาหุงข้าว ปรากฏว่าข้าวดำทั้งกระทะ โดนแม่ทัพบังคับกินให้หมด ก็เลยแข็งแรงอยู่คนเดียว ต่อมาเลยกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม้มะริด ไม้ดำดง อีกอย่างคือรักเขา ถ้ารักโดนไฟไหม้ ยางจะละลายเข้าเนื้อไม้ ทำให้ไม้ดำได้เหมือนกัน เป็นต้นรักที่ส่วนใหญ่ขึ้นในป่าดิบเขา เลยเรียกว่ารักเขา ตอนหลังพวกไสยศาสตร์เอาคำว่า "รักเขา" มาเป็นเคล็ดทำไสยศาสตร์ ถาม : ถ้าจะสักตามตำราแบบแสนตรีเพชรกล้า ? ตอบ : "แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง" คุณไม่ต้องไปเสียเวลาหาหรอก รงคุณก็ใช้สีทอง ชาดคุณก็ใช้สีแดง ที่เหลือก็เอาหมึกตามปกติไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังทำพระไพรีพินาศ ตอนแรกตั้งใจสร้างฉลอง ๑๐๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช แต่ปรากฏว่าการติดต่อขออัญเชิญพระนามย่อ ญส.ส. มาประดับที่ฐานสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ไม่ได้รับการสนองตอบ ก็เลยต้องยกเลิกโครงการไป
ถ้าดูเรื่องการติดต่อเพื่อจัดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช ทุกอย่างจบลงภายอาทิตย์เดียว แต่อาตมาส่งจดหมายลงทะเบียนด่วนพิเศษ เรื่องขออนุญาตสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เพื่อถวายเนื่องในโอกาสสมเด็จพระสังฆราชเจริญพระชันษา ๑๐๐ ปี ตั้งแต่ก่อนสร้าง ระหว่างที่สร้าง สร้างเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้รับการสนองตอบจากกองงานเลขานุการ อาตมาจึงส่งหนังสือขอยกเลิกโครงการไปเลย แต่วัตถุมงคลที่ตั้งใจสร้างแล้วไม่ยกเลิก..ทำต่อ เอาไว้สำหรับท่านที่ร่วมบุญสร้างเครื่องมือแพทย์ถวายโรงพยาบาล อาตมาเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ เมื่อปี ๕๔ มอบเครื่องกระตุ้นหัวใจ (เครื่องช็อตไฟฟ้า) ให้กับโรงพยาบาล ปีที่แล้วก็มอบชุดเครื่องมือทันตกรรมเคลื่อนที่ ปีนี้ทางโรงพยาบาลขอเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเตียงพยาบาล ตกลงกันว่า จะไปทอดผ้าป่าให้ช่วงปฏิบัติธรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ถึงเวลาใครไปสมัครบวชเนกขัมมะ จะพาเดินไปโรงพยาบาล เอาให้ขาวไปทั้งถนนเลย ไปทอดผ้าป่ากัน ให้คอยติดตามข่าวในเว็บวัดท่าขนุน ถึงเวลาคุณก้านบัวจะเปิดกระทู้ "ร่วมกันซื้อเครื่องมือแพทย์ให้อาคารผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลทองผาภูมิ" เสียดายอยู่อย่างเดียวว่าขอห้องพระ ๑ ห้องแล้วไม่ได้ ได้ห้องสงฆ์อาพาธมา ๒ ห้อง เป็นห้องพิเศษ จะแบ่งมาทำห้องพระสักห้องหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะถ้าไปทำห้องพระ เกิดมีพระป่วยจากที่อื่นมาจะไม่มีที่พัก เลยบอกกับ ผอ.นวลจันทร์ไว้ว่า ดูมุมทางด้านนอก ถ้ามุมไหนกว้างแล้วก็สะดวกหน่อย อาตมาจะไปตั้งพระให้ อย่างน้อยถ้ามีพระในอาคาร ผู้ป่วยจะได้มีกำลังใจ หรือใครจะมาเจริญพระกรรมฐานต่อหน้าพระประธานก็ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สภาพร่างกายเสื่อมลงไป ใช้งานยากขึ้น แต่ความทุกข์ยังมีเท่าเดิม ก็เลยทำให้เหมือนกับมีความทุกข์มากขึ้น"
|
ถาม : เวลาเราหยอดเงินใส่ตู้ชำระหนี้สงฆ์ บุญที่เราได้เป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่เราเคยทำไว้ หรือเป็นการต่อยอดการทำบุญของเราคะ ?
ตอบ : เป็นการชำระหนี้สงฆ์ เพียงแต่ต้องดูด้วยว่าเงินชำระหนี้สงฆ์ส่วนใหญ่แล้วตั้งเจตนาไว้ว่า เราเข้าวัดไปใช้น้ำใช้ไฟอะไร เราก็ไปหยอดตู้ชำระหนี้ แต่ถ้าเขาบอกว่าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แปลว่าจบเลยทีเดียว แต่ควรจะเป็นพระปิดทองด้วย ถ้าไม่ปิดทองจะได้แค่เจ้าภาพคนเดียว ถาม : วัดที่อื่นอาจจะไม่มีตู้ชำระหนี้สงฆ์ แต่เราอาจจะไปเจอตู้ที่วัดท่าขนุนแล้วหยอดใส่ ถือว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่วัดอื่น ๆ ด้วยไหมคะ ? ตอบ : ถ้าเป็นการสร้างพระ ๔ ศอกปิดทอง ชำระได้ทั้งหมด ถาม : แล้วถ้าเป็นการหยอดตู้ละคะ ? ตอบ : หยอดตู้เฉย ๆ ได้แค่สถานที่นั้น ถาม : ถ้าเป็นการใช้หนี้ที่ผ่าน ๆ มา เราอาศัยอยู่ในวัดก็ต้องติดหนี้สงฆ์อยู่แล้ว เพราะกินใช้ของในวัด เท่ากับเราเป็นหนี้ทั้งชาติเลยไหมคะ ? ตอบ : เราก็ค่อย ๆ ทยอยหยอดไปทุกเดือน ทีละ ๑๐๐ - ๒๐๐บาท ก็ได้ ตั้งใจว่าขอชำระหนี้สงฆ์ในส่วนนั้น |
ถาม : ทุกวันพระ หลังจากที่พระฉันข้าวจากญาติโยมถวายมาเสร็จแล้ว เด็กวัดจะถ่ายกับข้าวจากสำรับ เพื่อเก็บให้พระฉันต่อตอนเพล ทำอย่างนี้มานานแล้ว เมื่อไม่นานมานี้มีพระรูปหนึ่งมาห้าม บอกว่าพระฉันเสร็จแล้ว ยังไม่ได้อุปโลกน์ให้เด็กวัดมาจับ เป็นวิบัติ ผิดศีล เพราะฉะนั้น..ห้ามคนอื่นถ่ายกับข้าว ให้พระถ่ายกับข้าวเอง ไม่ทราบว่าที่พระรูปนี้พูดถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : ถูก....ท่านควรจะเหนื่อยเอง บอกท่านไปทำคนเดียว..! ถาม : ญาติโยมเกลียดกันใหญ่เลย มองว่าการที่พระถ่ายกับข้าวเองน่าเกลียดมากกว่า ? ตอบ : ต้องอุปโลกน์ก่อนที่จะฉัน ไม่ใช่ว่าฉันแล้วค่อยอุปโลกน์ ถ้าไปสังเกตที่วัดท่าขนุนจะเห็นว่า พอโยมประเคนเสร็จก็อุปโลกน์เลย แล้วค่อยยกไปโรงครัว แสดงว่าที่ว่ามานั้นพระคุณท่านมั่วสุดชีวิต..! บอกทุกคนว่าไม่ต้องเสียเวลาไปเกลียดท่านหรอก ให้ทุกคนวางมือทั้งหมด นิมนต์พระเณรทุกรูปวางมือทั้งหมด ให้ท่านจัดการเองรูปเดียว ท่านจะได้เหนื่อยให้สมใจนึกไปเลย..! |
ถาม : เมื่อก่อนมีความเข้าใจว่า ทำไมคน ๆ หนึ่งถึงประพฤติตัวไม่ดีเช่นนั้น ซึ่งเราได้เตือนหรือบอกเขาหลายครั้งแล้วว่า การเสพยาเป็นสิ่งไม่ดี แต่เขาก็ยังจะทำเช่นเดิม ทำให้เราเกิดความหงุดหงิดใจ ซึ่งก็เป็นความโกรธอย่างหนึ่งนั่นเอง วันหนึ่งหนูนั่งสมาธิแล้วแวบเห็นภาพคน ๆ นั้นว่า การที่เขาทำเช่นนั้นเพราะเขาทำไปตามกรรม คนเราประกอบทั้งกรรมดีและกรรมชั่วมาด้วยกัน ขณะนั้นกรรมได้ชักนำให้เขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอกุศล และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีสติปัญญามากพอที่จะแยกแยะหรือต่อต้านอำนาจอกุศลนั้น เขาจึงคล้อยตามอำนาจฝ่ายต่ำ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ตอนที่รู้สึกเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น และทำให้เข้าใจความประพฤติคนอื่นโดยเช่นกัน ไม่ทราบว่าตอนที่หนูแวบมานั้น มีตรงไหนที่ผิดไปหรือไม่คะ ?
ตอบ : มี...ผิดตั้งแต่ไปเสือกเรื่องของชาวบ้านเขาแล้ว..! ถาม : แต่ว่าตอนที่เราเข้าใจ แล้วคำตอบทุกอย่างแวบออกมา ถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดจากกุศลหรืออกุศลชักนำทั้งหมด ฉะนั้น..ถึงได้บอกว่า แม้กระทั่งตัวเราก็อย่าทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่น เพราะมีแต่จะสร้างกรรมไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ในเมื่อเข้าใจแล้วจะได้ไม่ไปยุ่งกับชาวบ้านเขาอีก ไม่อย่างนั้นเขาอยู่ในนรกแล้ว เราไปโกรธเขาก็ถือว่าลงไปกับเขาด้วย ถาม : ไม่ทราบว่าหนูเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ว่าเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลของทุกคน ที่ได้กระทำ คิด หรือพูด ออกไปนั้น อยู่บนพื้นฐานของคำว่า "ต้องการสุข หลุดพ้นจากทุกข์" จึงทำให้การแสดงออกของเขาเป็นไปตามนั้น ซึ่งการหลุดพ้นจากทุกข์และต้องการสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นไปตามสติปัญญา และเป็นไปตามลำดับขั้น เช่น คนที่กินเหล้าเพราะคิดว่าเหล้านั้นทำให้เขามีความสุขได้ชั่วขณะ คนที่มีแฟน เพราะคิดว่าการที่เขาเหงา ไม่มีใคร นั่นคือความทุกข์ จึงต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น โดยหาใครมาช่วยบรรเทาความทุกข์ออกไป หรืออย่างนักปฏิบัติธรรม คิดว่าการพึ่งคำสอนของพระ คือการทำให้เขาหลุดพ้นจากทุกข์ไปสู่ความสุขได้ ซึ่งเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าเป็นไปตามเหตุผลนี้ ทุกคนก็อยู่บนพื้นฐานเดียวกันหมด ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ระวังไว้ให้มากที่สุด ตอนนี้กำลังฟุ้งสุดขีด ทุกอย่างที่คิดจะสมเหตุสมผลไปหมด แต่ไม่มีเรื่องไหนช่วยให้ตัวเองพ้นทุกข์เลย กลายเป็นว่าเขาหลอกให้เราคิดกว้างออกไป ๆ จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ แล้วลืมไปว่าตัวเองก็ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ มัวแต่ไปเพลิดเพลินอยู่กับความคิดประเภทนี้ |
ถาม : มีหลายครั้งที่หนูแวบขึ้นมาด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว ว่าตอนที่เราโกรธนั้นมีสาเหตุมาจากตัณหา ก็คือ อยากและไม่อยาก เช่น คนนี้ทำงานไม่ดี บกพร่อง ทำให้เราเกิดความหงุดหงิดขุ่นเคือง ซึ่งตอนที่หงุดหงิดนั้นแหละแวบเห็นมาว่า ที่แท้เรา "อยาก" ให้งานออกมาดี เขาไม่เป็นตามใจเรา เราจึงโกรธ หรือคนนี้พูดจาไม่ดีกับเรา เราโกรธ ไม่พอใจ เหตุผลก็คือ เรามีความปรารถนาลึก ๆ "อยาก" ให้เขาพูดดี คิดดี ทำดีกับเรา ซึ่งเหตุผลทั้งหลายมาจากตัวเราทั้งสิ้น เป็นความอยากและไม่อยากของเรา ไปโทษเขาไม่ได้เลย และเราก็ไม่ยอมรับด้วยว่า เราไปบังคับให้คนอื่นอยากเป็นหรือทำตามใจเราไม่ได้ ตรงนี้เห็นในช่วงระยะเวลาไม่กี่วินาที และก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่รู้จะโกรธใครไปทำไม เพราะความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองนี่ อยากจะถามว่าเวลาที่เขาดับความโกรธกันแบบนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย ก็จะถอนกำลังใจจากจุดนั้นมา ไม่ไปสร้างสาเหตุนั้นอีก ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ไม่ใช่รู้เฉย ๆ ส่วนใหญ่ที่ว่ามา เขาหลอกให้เราคิด รู้ไปเรื่อย ๆ แล้วหาจุดลงไม่ได้ ถาม : มีวันหนึ่งหนูนั่งสมาธิ แล้วเห็นภาพนิมิตเป็นก้อนเนื้อ หลังจากนอนตื่นขึ้นมา ภาพนั้นก็ยังอยู่ในใจ และอยู่มาหลายวัน เห็นคนก็เป็นแค่ก้อนเนื้อ ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น รู้สึกแค่ว่าภาพนั้นเป็นภาพจริง ก็เลยทำให้ความสำคัญกับรูปร่างวัตถุ สิ่งของ หรือคนนั้นลดลง ระยะเวลาการคิดหรือสนใจหดสั้นลง จะว่าเป็นคนความจำสั้นก็ไม่เชิง เพียงแค่ขี้เกียจคิด มองเห็นรับรู้อะไรก็แค่ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น ไม่ต้องการคิดอะไรเลย เหมือนเป็นคนโรคกลัวการคิด จะคิดอะไรต่อก็จะเกิดอาการชะงัก หยุดกึก แล้วทุกอย่างรอบกายก็คล้ายดับวูบลง ตรงนี้อาการมากไปหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ยังไม่มากพอ ต้องเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ แล้วก็รู้ด้วยว่าถ้าเราคิดแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ในเมื่อเห็นอย่างนั้นก็เลยเลิก เมื่อเราไม่สร้างเหตุ ความทุกข์ต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา ถาม : เมื่อก่อนคิดว่าชีวิตนักปฏิบัติ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ใครทำได้คนนั้นก็เก่ง เป็นผู้มีความพิเศษกว่าผู้อื่น แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ยิ่งทำไป ๆ กลับเป็นตรงกันข้าม คือ ตัวหดเล็กลง ๆ แทนที่จะใหญ่ขึ้น กลายเป็นว่า ความสำคัญในตนเองน้อย ๆ ลง ถ้าไม่มีตัวตนเลยยิ่งดี ตรงนี้เป็นวิถีทางที่ถูกใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถูกในระยะนี้ ต่อไปที่ถูกกว่านี้ยังมีอีก ถ้าคลำผิดกลายเป็นพิษละก็ คราวนี้จะไปกันใหญ่เลย ถาม : เฉลยทางระยะยาวได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ได้...ต้องบอกทีละช่วง ไม่อย่างนั้นพูดไปก็เท่านั้น คนไม่เคยไปเชียงใหม่ พอบอกว่าเชียงใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไปจินตนาการเอง ท้ายสุดฝากบอกคนถามด้วยว่า มาถามเอง อุตส่าห์โผล่หน้าไปหาแล้ว เสือกวิ่งหนีอีก..! |
สำคัญที่สุดตรงที่บอกไปว่า ในช่วงนี้กำลังโดนหลอกให้ฟุ้ง เป็นการฟุ้งในด้านดี แต่จะหาทางลงไม่ได้ แล้วเราเองก็ไปคิดว่าได้อะไรมากมายมหาศาล ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลไปหมด แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ไม่มีสักเรื่องเดียวที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้เลย เหมือนกับหลอกให้เห็นเงาในน้ำ พอถึงเวลาเอื้อมมือไปก็แตกกระจายหมด แล้วเราก็จะเสียเวลาอยู่ตรงจุดนั้น โดยไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น นักปฏิบัติทุกคนมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าโดนหลอกให้เสียเวลา ก็จะเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าความจริงใกล้ประตูมากแล้ว อาตมาเองก็เคยโดนมาก่อน
อาตมาถึงเคยบอกว่า มารกับความดีท้ายสุดก้าวซ้อนรอยกันมา ขี่คอมากับความดีเลย เหลือเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นแหละ ที่จะรอดหรือไม่รอด จะเลี้ยวลงหรือจะตะกายขึ้น ถ้าทำ ๆ ไปมาถึงตรงจุดนี้ ก็จะเข้าใจว่าที่อาตมาพูดหมายถึงอะไร เขาสามารถหลอกเราได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องดีและไม่ดี โดยเฉพาะในเรื่องดี เราไปนึกตรองดูด้วยปัญญาสั้น ๆ เห็นว่าดี แต่ความจริงเขาหลอกให้เราติดดีก็มี เพลิดเพลินกับความดี แล้วมัวไปติดอยู่ตรงนั้น ไปเพลินอยู่ตรงนั้น ท้ายสุดก็ไม่ได้ไปสู่จุดหมายที่ตัวเองต้องการ |
ถาม : อย่างตอนเช้าฟังเสียงธรรมะ เหมือนกับเราฟังเพลง ไม่ได้พิจารณาหรือไม่ได้เอาความหมายอะไรเลย ดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ :ได้อย่างนั้นก็ดี เพราะอย่างน้อยใจก็ยังเกาะความดีอยู่ เพราะจิตมีสภาพจำ เคยทำอะไรถึงเวลาก็ทำอย่างนั้น ต้องบังคับให้ทำในด้านดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะเผลอทำในด้านที่ไม่ดี ถาม : ไม่ได้รู้ความหมายสักเท่าไรค่ะ ตอบ : ไม่เป็นไร...เราแค่รู้ว่าเป็นบทสวด บทเทศน์ ใจเราเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว |
ถาม : เวลาจับภาพพระ จะทราบได้อย่างไรว่าตอนนี้เป็นฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ครับ ?
ตอบ : สังเกตดูลมหายใจเข้าออกของตัวเอง ถ้าใจจดจ่ออยู่กับภาพพระอย่างเดียว ลมหายใจเข้าออกยังมีอยู่เพียงแต่เบามาก ก็อยู่ในปฐมฌาน หลังจากนั้นภาพพระจะชัดขึ้น ๆ ถ้าภาพพระขาวเต็มระดับจะเป็นฌาน ๔ แต่ให้สังเกตอาการอื่นควบไปด้วย ถ้าเราไม่ชำนาญจะสังเกตยาก ถาม : แล้วสีขององค์พระ ประโยชน์ต่อไปที่จะสลับฌานครับ ? ตอบ : ถ้าเราเองจะเข้าถึงจริง ๆ แล้ว เราจะรู้ว่าแต่ละระดับอารมณ์จะเป็นอย่างไร แล้วก็สลับตามนั้นเลย |
ถาม : ทำสมาธิแล้วจะรู้สึกแน่น ?
ตอบ : เป็นอาการปกติของสมาธิจ้ะ เมื่อกำลังใจเริ่มทรงตัว จะบีบแน่นมาทุกทิศทุกทาง บางทีรู้สึกเหมือนโดนมัดแน่น หรือแข็งจนเป็นหิน แต่ส่วนใหญ่จะไปกลัวแล้วก็เลิก จึงเข้าไม่ถึงสมาธิลึก ๆ สักที ถาม : ภาวนาเข้าไปแล้วแน่นทุกที ๆ ? ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ตามดูไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไปกลัวอยู่ ไปสนใจ หรือไปหวาดระแวงอยู่ สมาธิก็ทรงไม่ได้สักที ก็ติดอยู่แค่นั้น |
ถาม : พระนาคปรก.... ?
ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ ศิลปะขอมสร้างไปอย่างนั้นเอง อาตมาเองได้รับการประทานมาจากหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า "คุณควรจะมีพระอย่างนี้ไว้ใช้ อยู่ป่าอยู่ดงจะได้ปลอดภัย" พอดีจะสร้างพระพุทธรูปฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ถ้าจะสร้างก็ควรจะสร้างพระนาคปรก เพราะอยู่ในลักษณะที่ปกป้องพระพุทธศาสนา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็มานึกว่าเราจะเอาพระองค์ไหนเป็นต้นแบบ ก็มานึกได้ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านให้มา เลยเอาองค์นั้นเป็นต้นแบบ ทำไปแล้ว หมดเกลี้ยงไปแล้ว มีหลายท่านบอกว่าอยากได้นาคไทยบ้าง ก็เลยมาทำนาคไทยอีกรุ่นหนึ่ง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไปไหนแล้วไม่ค่อยอยากบอกใคร เพราะว่าคนไปเยอะแล้วรำคาญ ยิ่งถ้าไปมาก ๆ แล้วเป็นงานที่เนื่องด้วยตัวเอง ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเขา การไปมาก ๆ เท่ากับว่าเป็นภาระ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ปีที่แล้วงานมั่วมาก เพราะว่าคนรับผิดชอบไม่เป็นงาน ไม่เป็นงานแล้วการแบ่งงานยังหาผู้เสียสละไม่ได้ ก็เลยพลาดตั้งแต่ทางเข้าเลย ควรจะมีคนไปดูแลตรงทางเข้า ทางแยก ทางเลี้ยวทุกแยกไว้ จะได้อำนวยความสะดวกให้เขาได้ มาปีนี้ดีขึ้น เพราะบอกแล้วว่าถ้าครูบาท่านออกมาแล้วให้แห่ไปเลย ถ้านั่งอยู่รอแห่ก็ไม่ได้แห่หรอก
แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องที่จอดรถ อาตมาจอดรถจ่อถนนไว้ มีพวกมักง่ายมาถึงก็จอดปิดหน้าไว้เลย แทนที่จะปลดเบรกมือไว้ก็ดันเข้าเบรกมือไว้อีก เข้าเบรกมือไม่พอ ยังเข้าเกียร์ไว้อีกด้วย ประกาศแล้วประกาศอีก กำลังกะ ๆ อยู่ว่า ถ้าประกาศครั้งที่ ๔ เมื่อไร จะช่วยดันลงข้างทางไปเลย ดีที่มาขยับให้ ปีนี้ลำบากตรงที่ว่าฝนตก มรสุมเข้าพอดี แล้วก็ขบวนเสลี่ยงที่แห่นั้น เสลี่ยงที่อาตมานั่งมีปัญหาที่สุด คนหาเสลี่ยงมาแสดงว่าไม่เคยแบกเอง ไปเอาเสลี่ยงที่เป็นคานไม้สี่เหลี่ยมมา โอ้โห..คนแบกโดนกดเจ็บไหล่ตายชักเลย เสลี่ยงควรจะเป็นไม้กลม ๆ ถ้าเป็นไปได้ให้หาผ้ารองมาด้วย กว่าจะเดินครบรอบนี่ สงสารทหารเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเองไม่นิยมเอารถส่วนตัวไปไหน เพราะหาที่จอดรถลำบาก เวลาไปงานที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนใหญ่ไปรถแท็กซี่ เมื่องานสวดพระคาถาเงินล้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไปรถไฟฟ้า บางทีเพื่อนพระท่านถามว่า "ทำไมไม่เอารถมา ?" ก็บอกไปว่าเอารถไป ค่าใช้จ่ายก็ใกล้เคียงกับรถแท็กซี่ ซ้ำยังต้องห่วงคนขับรถอีกคนหนึ่ง ว่าจะกินอย่างไร จะอยู่อย่างไร แล้วที่จอดก็หายาก ถ้าไปเฉี่ยวไปชนก็ซวยหนักเข้าไปอีก ลงจากแท็กซี่ได้ก็ไปเลย สบายกว่ากันเยอะ เขาก็มองว่าอาตมาเพี้ยน คิดไม่เหมือนชาวบ้าน
อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิท่านว่า "อาจารย์เล็ก ทำไมไม่เอารถดี ๆ มาใช้บ้างวะ ?" "แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับ ผมนั่งรถสองแถว เขาก็ว่าอาจารย์เล็กรวย หลวงพ่อนั่งเบนซ์ เขาก็รู้ว่าหลวงพ่อยืมเงินผมเติมน้ำมัน..!" สนิทกันเลยว่าแรง ๆ ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ประเทศจีน มีเด็กผู้ชายอายุ ๒ ขวบท้อง แม่ก็สงสัยว่าลูกเป็นท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องมานหรือเปล่า ? เพราะท้องโตขึ้น ๆ ท้ายสุดก็โตจนหายใจลำบาก เลยเอาไปหาหมอ หมอเอ็กซ์เรย์ดู ปรากฏว่ามีเด็กอยู่ในท้อง หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว ปรากฏว่าเป็นฝาแฝดของเด็กคนนั้นเอง เพียงแต่ฝาแฝดไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ไปอยู่ในท้อง
เขาว่าคงจะเป็นรายแรกและรายเดียวของโลก จำเป็นที่จะต้องผ่าตัด แต่ก่อนผ่าตัดเขาก็เอ็กซ์เรย์รอบเลย ดูว่ามีส่วนไหนติดอยู่กับอวัยวะสำคัญบ้าง จะได้ระมัดระวังในการผ่าตัด เขาบอกว่าน่าจะเป็นรายแรกในโลกที่ปรากฏขึ้น เพราะปกติฝาแฝดจะติดอยู่ข้างนอก มีบางรายเหมือนกันที่อยู่ข้างนอกครึ่งตัว ติดอยู่ข้างในครึ่งตัว แล้วส่วนที่อยู่ข้างในก็ฝ่อไปเฉย ๆ แต่นี่ท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็ก ๒ ขวบแล้ว" ถาม : เป็นกรรมแบบไหนคะ ? ตอบ : อธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกัน มีใครอธิษฐานแบบนี้ไหม ? เกิดกี่ชาติเราจะไม่พรากจากกัน จึงติดกันเป็นตัวเดียวเลย เหลือเชื่อจริง ๆ ว่าคำอธิษฐานจะมีผลขนาดนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมวิบากอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ไม่พึงคิด ว่าทำไมถึงปรุงแต่งได้ขนาดนั้น ไปอธิษฐานว่าเกิดชาติใหม่เราจะไม่พรากจากกัน คงจะรักเธอปานจะกลืนกินด้วย จึงไปอยู่ในท้องเสียเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงตั้งแต่วันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จะมีนิทรรศการ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่วัดบวรนิเวศวิหารจะเปิดอาคารสำคัญให้เข้าไปชมนิทรรศการและกราบไหว้พระสำคัญได้ ใครมีเวลาว่างก็แวะไปหน่อย เพราะว่าบางสถานที่ในวัด ร้อยวันพันปีถึงจะเปิดให้ชมได้ อย่างเช่น อุโบสถที่มีพระพุทธชินสีห์อยู่ เปิดเฉพาะวันพระ ถ้าเป็นพระศาสดาเปิดวันออกพรรษาปีละครั้ง แล้วต้องไปช่วงบ่ายด้วย เพราะว่าช่วงเช้าเจ้าใหญ่นายโตหรือเชื้อพระวงศ์ท่านไปกราบพระกัน
ถ้าเป็นพระกริ่งปวเรศ อาตมาเพิ่งจะได้เข้าไปดู ๒ ครั้งเท่านั้นคือ ตอนเขาฉลอง ๙๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช กับ ๒๐๐ ปี ในหลวงรัชกาลที่ ๔ แม้กระทั่งพระไพรีพินาศ ถ้าไม่ใช่โอกาสสำคัญจริง ๆ เขาก็ไม่เปิดให้ขึ้น ได้แต่กราบอยู่ข้างล่าง ถ้าเขาเปิดตึก จปร.ให้ก็มีโอกาสได้ชมพระกริ่งปวเรศด้วย นิทรรศการส่วนใหญ่จะจัดที่ตึกมนุษยนาคมานพ ตรงข้าง ๆ ลานจอดรถ ก็เข้าไปดูข้างใน อาตมาดูมา ๓ - ๔ รอบแล้ว เนื้อหาคล้าย ๆ เดิม อาจจะมีรายละเอียดอื่นเพิ่มขึ้น งานนี้ก็เลยไม่ได้ไป โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรหลายท่านอยากจะเห็น ในชีวิตนี้ขอดูสักครั้งหนึ่ง คือพัดงาแฉกประดับพลอย อาตมาดูมา ๓ ครั้งแล้ว ถ่ายรูปไว้ด้วย พัดนี้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี บุรณศิริ) สร้างขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่มาภายหลังกำหนดให้เป็นพัดประจำองค์ของเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ปัจจุบันนี้เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต คือสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร เพราะว่าก่อนหน้านี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ ก็แปลว่าสองสมัยติดกันแล้ว พัดก็เลยเหมือนกับเป็นสมบัติของวัดบวรนิเวศวิหารไปโดยปริยาย สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก็เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร มาถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เป็นเจ้าอาวาสไล่กันมา ฉะนั้น..พัดนี้ไม่ค่อยจะหลุดไปจากวัดบวรฯ หรอก แกะสลักจากงาทีละชิ้น ๆ แล้วต่อกันขึ้นมาเป็นรูป ฝีมือละเอียดยิบเลย จะได้รู้ว่าฝีมือช่างสิบหมู่นั้นขนาดไหน แล้วยังมีพานแกะสลักจากงาช้าง ใช้งาช้างแกะทีละชิ้น ดัดโค้งแล้วประกอบต่อ ๆ กันเป็นรูปพาน มีข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นของส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ๆ ที่เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรฯ อยู่หลายต่อหลายชิ้น ไปดูกันให้ได้ เครื่องชุดกระ เดี๋ยวนี้กระก็หายากมาก ๆ ถึงขนาดมาทำเป็นจอกน้ำล้างพระพักตร์ คิดดูว่าจะต้องใช้กระใหญ่ขนาดไหน กระดีอยู่อย่างว่า ถึงเวลาแล้วใช้ความร้อนเข้าช่วยนิดหน่อย สามารถดัดให้เปลี่ยนทรงได้ จะว่าไปแล้วก็คือเกล็ดเต่า ถึงเวลาก็หลุดเป็นเกล็ด อาตมาเคยไปหาถึงเกาะสิเหร่ เอาไปให้บ้านจ่าตุ่มทำมีดให้ ไปถามหาซื้อ แต่ละคนมองหน้าด้วยความระแวงว่าเป็นป่าไม้หรือเปล่า ป่าไม้คงไม่ลงทุนปลอมมาเป็นพระหรอก เกล็ดพวกนี้ถ้าถึงเวลาจะหลุดจากกระดองเอง แต่จะบาง ถ้าต้องการหนา ๆ ก็ต้องเล่นจากกระดองเลย ก็แปลว่าต้องทำให้ตาย เต่ากระ เต่าตนุ เต่ามะเฟือง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ ๑ มีไว้ในครอบครองไม่ได้ มีไว้เพื่อศึกษาได้ แต่ได้ตัวเดียว ส่วนใหญ่ที่ไปถามหา ก็มีแต่ที่หลุดลอยน้ำมา" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:12 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.