![]() |
ถาม : พุทธมณฑลถือเป็นที่ธรณีสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...เป็นศาสนสมบัติกลาง ดูแลโดยสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ถาม : วิสุงคามสีมาจะได้ทุกวัดไหมครับ ? ตอบ : วิสุงคามสีมา ขึ้นอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ถ้าพระองค์พระราชทานให้ ต่อให้เป็นศาสนสมบัติกลางก็มีได้ ถาม : เฉพาะโบสถ์หรือเปล่าครับ ? ตอบ : เฉพาะบริเวณที่ปักเขตไว้ว่าพระราชทานให้กว้างยาวเท่าไร ไม่ใช่เฉพาะเสมา บางทีพระราชทานให้กว้าง ๑๐ วา ยาว ๒๐ วา แต่ตัวโบสถ์กว้างแค่ ๒ วาครึ่งเอง ถาม : ได้ทุกวัดหรือเปล่า ? ตอบ : ทุกวัดจะขอไป จะช้าจะเร็วก็ต้องได้ ถาม : ถนนผ่ากลางวัด ? ตอบ : ถนนผ่ากลางวัด ถ้าที่ตั้งวัดอยู่ด้านไหน อีกที่หนึ่งจะกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์โดยอัตโนมัติ ต่อให้ถนนมาทีหลังก็เถอะ อย่างเช่น ที่มี ๒๐ ไร่เป็นที่ตั้งวัด แล้วอยู่ ๆ เขาตัดถนนผ่ากลางไป ตัวอาคารอยู่ด้านไหน ด้านนั้นจะเป็นที่ตั้งวัด อีกที่หนึ่งจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ไปเลย ที่ธรณีสงฆ์จะอยู่มุมไหนของโลกก็ได้ แต่จะขึ้นอยู่กับวัดนั้น ถาม : ไม่จำเป็นต้องติดกับวัด ? ตอบ :ไม่จำเป็นต้องติดกับวัด อยู่ที่ไหนก็ได้ ถาม : แล้ววัดพระแก้วเป็นวิสุงคามสีมา ? ตอบ : วัดพระแก้วไม่ได้อยู่ในที่พระราชทาน แต่เป็นที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจสร้างถวายพระแก้วอยู่แล้ว |
ถาม : ถ้าเวลาเราภาวนาแล้วจับภาพพระ ถ้าภาพพระแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลย จะถูกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจจับภาพ พระท่านจะมาแบบไหนก็จับไปเถอะ ถาม : ถ้าภาพพระเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงฌานไหน ? ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นแก้วใสทั้งองค์ก็เป็นฌาน ๔ |
ถาม : บวชในพรรษาผิดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด ถาม : บวชได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : บวชได้..สึกได้ ไม่มีปัญหา แต่สมัยก่อนเขาไม่นิยมสึกกลางพรรษา เพราะเขาถือว่าแค่ ๓ เดือน ถ้าทนอยู่ไม่ได้ จะไปทำมาหากินอะไรไหว สมัยก่อนใครแหกพรรษานี่ไม่มีใครคบเลย ไปขอลูกสาวบ้านไหนเขาก็ไม่ให้ แต่สมัยนี้เขาไม่ถือหรอก จะบวชตอนไหนสึกตอนไหนก็ได้ |
ถาม : ภาพพระกับดวงปฐมมรรคนี่เราควรจับอย่างเดียวหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : ภาพพระนี่เลยดวงปฐมมรรคไปเยอะแล้ว ถาม : ไม่ต้องสนใจดวงปฐมมรรค ? ตอบ : ถ้าจับภาพพระได้ก็จับภาพพระเป็นหลักเลย ภาพพระนี่ถ้านับแล้วเป็นกายที่ ๑๘ ไม่ใช่ดวงปฐมมรรค เป็นประเภทจบแล้ว ไม่ใช่เริ่มต้นใหม่ ถาม : แล้วเอาภาพพระไว้ที่ไหน ? ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัว จะเอาไว้ที่ไหนก็ได้ ถ้าความเคยชินของเราอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็เอาไว้ที่ศูนย์กลางกาย |
ถาม : ทำไมเขาชอบอยู่ระหว่างความขัดแย้งตลอดเลย ไปที่ไหนก็เป็นแบบนั้น ?
ตอบ : บอกเขาว่าสร้างบุญไว้ดี ที่ว่าอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ก็คือทั้งสองฝ่ายจะดึงเราเป็นพวกด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นคือเราทำบุญไว้ดี ใครเห็นก็อยากเอาเราไปเป็นพวก พยายามเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้แก้ไขความขัดแย้ง โดยเฉพาะตัวขันติ ความอดทน พยายามมองให้เห็นปัญหา ชี้ให้เห็นโทษ และหาหนทางที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ผู้อื่น แล้วเขาจะทำตามเอง ถ้าเราชี้ให้เขาเห็นโทษไม่ได้ แล้วบอกทางที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ เขาก็จะขัดแย้งกันไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..เราเป็นพวกเขาได้ทั้ง ๒ ฝ่าย พยายามชี้ให้เขาเห็นโทษ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สามัคคีกันไว้ดีกว่า มีงานการอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ให้เสร็จเร็วขึ้น ให้สะดวกและง่ายขึ้น ความสามัคคีในหน่วยงานเมื่อเป็นไปด้วยดี ภาพพจน์ของหน่วยงานและตัวบุคคลก็จะดีขึ้นไปด้วย |
ถาม : มีตาทิพย์ เห็นภาพพระได้ แต่อย่างหนึ่งหนูสงสัยก็คือ เรื่องหวยไม่แม่น ?
ตอบ : เพราะโลภ..! ถ้าเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย สภาพจิตจะโดนย้อมไปด้วยกิเลส การรู้เห็นจะผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นการทดสอบเราว่าโลภหรือไม่ ? แล้วเราก็สอบตก..! ถ้าอยากจะเล่นหวยให้แม่น ให้คนอื่นไปเล่นแทน ถ้าเราเล่นเมื่อไร ผลได้ผลเสียจะทำให้จิตของเราไม่นิ่ง ถึงเวลาอยากได้เท่านั้น อยากได้เท่านี้ก็ตั้งใจดู แล้วพลาด ฉะนั้น..บอกแม่ให้เล่น พอถูกแล้วแบ่งให้หนูครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน คราวนี้จะโดนแม่ด่า เพราะพาแม่เสียไปด้วย..! ปัญหาพวกนี้ อาตมาทำมาเองแล้วทั้งนั้น ถึงขนาดดูรางวัลที่ ๑ สมัยนั้นมีเลข ๗ ตัว ดูครบ ๗ ตัวเลยแต่หาซื้อไม่ได้ พอตัดเลขท้าย ๓ ตัวมาเล่น ดันออก ๒ ตัว ตัด ๒ ตัวมาเล่นดันออก ๑ ตัว ตัด ๑ ตัวมาเล่น กลับไม่ออกเลย เสร็จเขาทุกวิธีแล้ว ถึงได้ตอบปัญหานี้ได้ แต่ถ้าบอกคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่เล่น ออกเป๊ะเลยทุกที บังเอิญอาตมาขี้สงสัยว่าบอกคนอื่นทำไมจึงถูก ? ดูให้ตัวเองทำไมไม่ถูก ? อ๋อ..สังเกตใจตัวเองว่าไม่สะอาดจริง ตัวโลภขึ้นหน้ามาแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยก่อนถึงเป็นฆราวาส เขาก็มีวิชาความรู้ติดตัวทั้งนั้น จะเห็นว่าหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายท่าน ก็ไปเรียนกับครูที่เป็นฆราวาส ถึงเวลาไหว้ครูก็ต้องน้อมนึกถึงบุญที่ท่านช่วยสั่งสอนมาให้ สมัยก่อนเขายึดมั่นจริง ๆ ทุกอย่างถึงได้ขลัง สมัยนี้เขาไม่ค่อยจะยึดกัน"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไม่มีโทรศัพท์ รู้สึกมีความสุขมาก ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรคอยเรียก เดี๋ยวนี้เวลาเจ้านายหรือเพื่อน ๆ โทรมาชักจะชิน ตอนแรก ๆ เวลาน้องเล็กรับ เขาจำได้ว่าเบอร์พระ แต่ทำไมเสียงผู้หญิงรับ ?
อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำมังกรทองโดนอธิกรณ์ เพราะไปไหนกับผู้หญิงสองต่อสอง ในที่สุดก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง บรรดาเพื่อนก็ว่า "เฮ้ย..แล้วอาจารย์เล็กทำไมไม่โดนวะ ?" เพราะไปไหนกับน้องเล็ก ๒ คนบ่อยไป อาตมาบอกว่า "มึงก็ดูความประพฤติของเขาสิ เขาไปไหนกลางค่ำกลางคืน ดึกดื่นก็ออกจากวัด ผมออกเฉพาะกลางวัน เลิกงานแล้วก็กลับเลย ไม่เคยเถลไถลไปแวะที่ไหน" สมัยอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส เวลาไปไหนชอบแวะนั่นแวะนี่ นิสัยของอาตมาพองานเสร็จจะตรงดิ่งกลับเลย คือกลับไปให้ทันทำวัตรเย็น อาจารย์สมพงษ์ไปด้วย ๒ ครั้ง..เข็ดเลย ไม่ไปด้วยอีกแล้ว แกชอบแวะหลายที่ เป็นประเภทไม่ค่ำหาทางกลับวัดไม่เจอ ส่วนอาตมาหมดธุระก็กลับวัดทันที จึงกลายเป็นคนละเรื่องกัน เจ้านายท่านมีตา เห็นอยู่ว่าใครทำอะไร" |
ถาม : พระเอามีดแทงคนแล้วไม่ตาย เป็นแผลบาดทะยักแล้วเขารักษาไม่ดี จนเสียชีวิตลง ?
ตอบ : ถ้าตายเพราะบาดแผลโดนอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ เพราะเจตนาฆ่าเขาแต่แรกแล้ว สัมฤทธิ์ผลตามเจตนา แม้จะช้าหน่อย ก็ขาดความเป็นพระ ถาม : แต่ที่ นาย ก. ใช้ให้ฆ่า นาย ข. ไม่ผิดใช่ไหมครับ เพราะคนละคนกัน ? ตอบ : ถ้าใช้โดยกำหนดเวลา ถ้าเขาไปฆ่าผิดเวลา คนสั่งก็ไม่ผิด สมมติว่าเราเป็นพระ แล้วสั่งว่าคืนนี้แกไปฆ่านาย ก. เวลาสองทุ่มให้ได้นะ ปรากฏว่านาย ข. ไปฆ่านาย ก. วันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นพระไม่ต้องอาบัติปาราชิก เพราะถือว่าทำคนละเวลากับที่สั่ง พระวินัยจะละเอียดมาก แต่ถ้าเป็นทางโลกก็เรียบร้อย คุณเป็นคนสั่ง จะทำเวลาไหนก็โดน..! |
ถาม : ถ้าฟังคนอื่นภาวนาคาถาสะหัสสะเนตโต ๕ นาที กับท่องเอง ๕ นาที อย่างไหนจะได้ผลกว่ากัน ?
ตอบ : ดูคนอื่นกินข้าวกับตัวเองกิน อย่างไหนดีกว่ากันเล่า ? ต้องกินเองใช่ไหม ? เพราะฉะนั้น..ไปกินเองจ้ะ ประเภทเดียวกับเปิดเทปคาถาเงินล้านในบ้านแล้วเมื่อไรจะรวยสักที ต่อให้เปิดจนตายก็เหมือนเดิม ต้องภาวนาเอง ไปนึกถึงหลวงพี่สมาน ท่านเป็นเด็กชาวเขา หากินกับป่า ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนเป็นฆราวาสไปตีผึ้ง ผึ้งหลวงตัวใหญ่ประมาณครึ่งนิ้วก้อย โดนเข้าไปแต่ละตัวเป็นเรื่องเลย แกก็เที่ยวหาคาถาหัวใจหมี ถ้าได้มาภาวนาแล้วผึ้งจะไม่ต่อย แกก็ภาวนาอยู่โคนต้น แล้วให้เพื่อนปีนขึ้นไปตี รับรองตัวเองไม่โดนแน่เพราะอยู่โคนต้น..! |
มีโยมที่เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกันมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวขึ้นว่า "นึกถึงสมัยวิ่งรับใช้หลวงพ่ออยู่ด้วยกัน ยังหนุ่มแน่นแข็งแรงกันดี ตอนนี้กลายเป็นแต่ละคนลูก ๆ โตกันหมดแล้ว อาตมาเองไม่รู้รอดมาได้อย่างไร ไม่ได้คิดจะบวช ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันยังอยู่เรื่อยเปื่อยมาได้ ขนาดก่อนบวชยังเรียนถามหลวงพ่อ ถามแล้วถามอีกว่าตกลงจะเอากี่วัน กลัวจะบวชนาน ...(หัวเราะ)...
ตอนนั้นมาพิจารณาดูว่า ตัวเองก็อายุพอสมควร ๒๗ ปีเข้าไปแล้ว แม่เรียกร้องให้บวชมาทุกปี ก็บวชให้ท่านไม่ได้สักที แล้วอยู่ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอให้บวชให้ท่านสักหน่อย ก็มาคิดว่า โอกาสอย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ เสียดายชีวิตฆราวาส รู้สึกว่าเป็นฆราวาสเราก็ปฏิบัติได้ ถ้าไปเป็นพระแล้วจะเสี่ยงนรกมาก..! ตอนนั้นความคิดของตัวเองคือ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างน้อยเป็นพระโสดาบันก่อน หรือถ้าจะเอาปลอดภัยก็เป็นพระอนาคามีไปเลย แล้วค่อยไปบวช บวชเข้าไปแล้วให้โยมเขาไหว้ได้เต็มมือไปเลย แต่ปรากฏว่าเป้าหมายที่หวังเอาไว้นั้น ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของฆราวาส ทำเท่าไรก็ไม่ถึงสักที คราวนี้หลวงพ่อท่านไปบนพระเอาไว้ เนื่องจากตอนนั้นภายในวัดพวกไสยศาสตร์ระบาดมาก ฝ่ายที่รับเคราะห์ก็เป็นบรรดาสารพัดหมา ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วลงมาจากข้างบน เพื่อมาถวายการรับใช้หลวงพ่อ ในเมื่อเขามีน้ำจิต หลวงพ่อก็มีน้ำใจ เห็นว่าเขามาอยู่วัดแล้วตายแทนพระแทนเณรได้ ท่านก็เลยบวชพระให้พวกเขา ท่านบอกว่าจะบวชพระให้เขา ๓ รูปด้วยกัน อาตมาก็ไปชวนเพื่อนคนอื่นบวช เขาก็ปฏิเสธกันหมด ไปได้ลุงพุฒิคนเดียว แกชื่อพุฒิจริง ๆ นะ อายุมากกว่าก็เลยเรียกลุงพุฒิจนติดปาก ตอนนั้นลุงพุฒิอายุ ๔๐ กว่าปีแล้ว อาตมา ๒๗ ปีเรียกแกเป็นลุงก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหรอก มากราบเรียนหลวงพ่อว่า “ตกลงผมจะบวชให้ครับ แต่ว่าผมหาได้แค่อีกคนเดียว ยังขาดอยู่คนหนึ่ง” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น คนของข้าไม่เคยขาด” แล้วก็จริง ๆ จาก ๒ คนโด่เด่ พรวดเดียวกลายเป็น ๓๖ คน ต้องการ ๓ คนกลายเป็น ๓ โหลไปเลย แล้วก็หมดเกลี้ยง สูญพันธุ์ เหลืออาตมาโด่เด่อยู่คนเดียว" |
"ใหม่ ๆ อาตมาก็อยากสึก แต่ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของหลวงปู่ขนมจีน ท่านเล่นอาตมาตั้งแต่ภายใน ๗ วันแรกเลย พอโดนเข้าก็เลยคิดว่า คนตายไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้วยังมาเป็นตัวเป็นตนได้อีก เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก พอกราบขอขมาท่านเสร็จสรรพถึงได้ขอกับท่าน อาตมาเป็นคนหน้าด้าน ก็ว่า “หลวงปู่เล่นผมเป็นคนแรก ผมก็ถือว่าผมเป็นลูกคนโต ขอหลวงปู่โปรดเมตตาสงเคราะห์ให้หน่อย ว่าอารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นอย่างไร ถ้าหลวงปู่สามารถสงเคราะห์ได้ เมื่อผมทำถึง ผมจะได้รู้ว่าถึงแล้ว”
ท่านไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ท่านถามว่าจะเอานานเท่าไร ก็กราบเรียนท่านไปว่า “ถ้าเป็นไปได้ขอ ๓ เดือนเลยครับ ผมจะได้บวชเอาพรรษาไปเลย” หลวงปู่ท่านบอกว่า “ได้” พอสิ้นคำที่ท่านบอกว่าได้ อาตมาคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว สภาพจิตรู้รอบขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด แยกแยะออกอย่างละเอียดยิบภายในพริบตาเดียวว่า ถ้าเราคิดอย่างไรจะเป็นรัก คิดอย่างไรจะเป็นโลภ คิดอย่างไรจะเป็นโกรธ คิดอย่างไรจะเป็นหลง เห็นโทษตลอดทั้งหมดเลย ในเมื่อรู้ ก็เลยไม่ทำ จึงทำให้เห็นว่าถ้าเราดับเหตุได้ ทุกอย่างก็ดับหมด แล้วก็เลยเข้าใจว่าจริง ๆ พระอรหันต์นั้นท่านก็มีกิเลสเหมือนกับเราเต็มเพียบเลย เพียงแต่ว่าท่านไม่สร้างเหตุ กิเลสจึงกำเริบไม่ได้ แล้วบุคคลที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อมถึงขนาดไม่สร้างเหตุอะไรเลย ต้องระดับนั้นเท่านั้น ระดับอื่นเดี๋ยวก็เผลอ พอครบ ๓ เดือนอาตมาก็เป็นหมาเหมือนเดิม ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นได้ ท่านให้ได้จริง ๆ..!" |
ถาม : จริง ๆ ไม่ต้องอยู่ในเพศพระก็ได้นี่คะ ?
ตอบ : เป้าหมายนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฆราวาสแล้ว มาตอนที่หลังจากรับกฐินแล้วลากลับบ้าน สิ่งที่พี่น้องญาติโยมเขาปฏิบัติกับอาตมา รู้สึกว่าไม่ใช่เราคนเดิม ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า "นี่ไม่ใช่บ้านของเรา อยู่ไม่ได้แล้ว..!" รู้สึกร้อนไปหมด อยู่บ้านได้สิบกว่านาทีเท่านั้น ก็ขอตัวหนีไปนอนกับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทร์ฯ แทน ตั้งแต่นั้นมาความคิดจะกลับบ้านไม่มีอีกเลย บอกตัวเองเลยว่า "นี่ไม่ใช่บ้านของเราแล้ว" ในเมื่อไม่ใช่บ้านของเราแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ต้องลากถูลู่ถูกังบวชไปเรื่อย ๆ พระใหม่ท่านสงสัยว่า นอกจากไปกิจนิมนต์หรือธุระแล้ว ไม่เคยกลับบ้านเลยหรือ ? อาตมาบอกว่า ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไม มีญาติโยมเขาขอร้องให้ไปร่วมงานตรุษจีน ไปได้ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ก็ไม่ไปแล้ว เพราะเวลาไปเขาถวายเงินแต๊ะเอียกันมา คนนั้นให้ คนนี้ให้ เหมือนอย่างกับว่าเจตนาไปเอาเงิน คนอื่นเขาเต็มใจให้ก็จริง แต่ความรู้สึกของอาตมา ถ้าไปก็แฝงไว้ด้วยความโลภที่ว่า เจตนาไปเอาเงิน ฉะนั้น..ไม่ไปเสียก็หมดเรื่อง ตั้งแต่นั้นมาเรื่องของญาติของโยม พิธีกรรม ถ้าไม่ใช่สำคัญจริง ๆ ประเภทพ่อตายแม่ตายนี่ไม่ต้องมาชวนไปบ้าน ไม่ไปหรอก บรรดาหลาน ๆ แต่งงานก็นิมนต์หลวงน้า นิมนต์หลวงตา ไม่ต้องนิมนต์หรอก..กูไม่ไป รู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่รู้จะไปทำไม คนไหนที่อาตมาไปทำธุระพอดี แล้วไปงานของเขาได้ เขาก็หน้าบานเป็นจานเชิง หารู้ไม่ว่าอาตมาไปทำธุระ ไม่ได้ตั้งใจมางานเขา แต่ไหน ๆ ผ่านเฉียดไปแล้ว ก็แวะสักหน่อย..แค่นั้นเอง |
ถาม : พระพักตร์ของพระองค์ ๑๐ ?
ตอบ : พระพักตร์ของพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเหมือนกับหลวงพ่อพระพุทธลีลาที่พุทธมณฑล เหมือนอย่างนั้นเลย ลองไปดูให้ดี ๆ ไม่ว่าจะลักษณะของหน้าผาก จมูก ปาก มาอย่างนั้นเลย ถาม : แล้วรูปบูชาท่านที่วัดท่าซุง ? ตอบ : ไม่รู้..คนปั้นที่วัดท่าซุงคือช่างประเสริฐ ช่างเสริฐตอนแรกปั้นหน้าพระเป็นหน้าตัวเองตลอด ช่วงแรกที่ช่างประเสริฐปั้นพระคือที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ ไปดูพระประธานองค์ใหญ่ในศาลาตรงหัวอาสน์สงฆ์ นั่นหน้าช่างเสริฐเองเลย จนกระทั่งหลวงพ่อท่านต้องบอกวิธีว่า ให้จุดธูปขอพระท่านสงเคราะห์ ขอให้มือปั้นไปได้ ถึงได้กลายเป็นแบบพระชำระหนี้สงฆ์แบบวัดท่าซุง ไม่อย่างนั้นแล้วช่างปั้นพระเกือบทุกคน จะเคยชินกับการปั้นแล้วเผลอออกมาเป็นใบหน้าตัวเอง จัดเป็น “ตัวกู ของกู” ที่ฝังอยู่ลึกมาก ลึกขนาดตัวเองก็ไม่รู้ว่าปั้นสวยเป็นที่พอใจก็คือสวยแบบหน้าของตัวเอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องอดีตที่ผ่านพ้นยังมีโครงเรื่องที่อยากเขียนอีกตั้งเยอะ ที่มอง ๆ ไว้ก็อย่างเรื่องลูกกรอก เรื่องปรอทสำเร็จ เพราะว่าไปเจอหลังจากออกจากวัดท่าซุงแล้ว โดยเฉพาะลูกกรอกให้หวยแม่นด้วย ออกตรงเป๊ะเลย ลูกกรอกตัวนั้นแปลกมาก อายุ ๒๐ กว่าปี ปกติเขาจะไม่อยู่นานขนาดนั้น แต่ว่ารายนี้เป็นหลานคุณพนม เป็นลูกของพี่สาวคุณพนม เขาบอกว่าพี่สาวเขาท้องแปลกมาก เดี๋ยวก็ท้องโต เดี๋ยวก็ท้องยุบ บางวันก็ต้องใส่ชุดคลุมท้องเบ้อเร่อ บางวันก็นุ่งกางเกงยีนส์ฟิต ๆ ไปเต้นรำได้เลย
ลักษณะของลูกกรอกจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเขายังอยู่จะท้องโต แต่ถ้าเขาไปเที่ยวท้องจะยุบ พอคลอดออกมาตัวนิดเดียวเท่านิ้วก้อยเอง หรือบางทีก็ตั้งท้องเป็นปี อยู่ที่อารมณ์ว่าอยากจะออกมาเมื่อไร ปกติแล้วอายุไม่เท่าไร" ถาม : ทำไมเขาถึงอยู่นานขนาดนั้น ? ตอบ : เขาจะมีอายุจำกัด อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของทำอะไรไม่เป็น ในเมื่อไม่ได้ใช้เขา งานไม่ได้ทำสักที งานไม่จบก็เลยไปไม่ได้ พอคุณพนมรู้จักลูกกรอก ช่วงระยะไล่ ๆ กันคนอื่นก็รู้เข้าเช่นกัน เพราะว่าแกไปร้านอาหารแล้วก็ทำเหมือนกับอยู่ที่บ้าน ก็คือสั่งอาหารเผื่อลูกกรอกชุดหนึ่ง เจ้าของร้านดันรู้ เดินมาถามว่า "เลี้ยงลูกกรอกใช่ไหม ?" คราวนี้ก็ตกใจว่าเขารู้ คุณพนมเขาเคยได้ยินมาว่า ถ้าเขารู้เดี๋ยวเขาเรียกไป เขาก็เลยรีบพาพี่สาวเขา เอาลูกกรอกใส่พานมาให้อาตมา บอกว่าให้ช่วยทำให้หน่อย พอจัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยอาตมาบอกว่า “ไหน..ลองดูหน่อยซิ..เก่งจริงหรือเปล่า ? เอาหวยมา ๒ ตัว” ปรากฏว่าถูกจริง ๆ ปกติไม่กี่ปีเขาก็ไปแล้ว นี่อยู่มา ๒๐ กว่าปีเพราะแม่ไม่ได้ใช้งานเลย มีอยู่อย่างเดียวก็คือเรียกกินข้าว ถาม : ลูกกรอกคืออะไรคะ ? ตอบ : จริง ๆ ลูกกรอกเป็นโอปปาติกะนั่นแหละ กึ่งผีกึ่งเทวดา ส่วนใหญ่มาสงเคราะห์พ่อแม่ญาติโยมของตัวเอง สมัยโบราณใครมีลูกกรอกก็สบาย "ลูกกรอก..วันนี้แม่จะไปค้าขาย ไปทางไหนขายได้ดี ช่วยพาไปทางนั้นด้วย" ถึงเวลาผลักเรือออกจากท่าพาไปเองเลย เรือหันหัวไปทางไหนก็แจวไปทางนั้นแหละ ข้าวของมีเท่าไรก็ขายเกลี้ยง |
ถาม : พระพุทธเจ้ามีพระเกตุโมลีแหลม ๆ จริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ช่างปั้นพระรุ่นหลังเขาใส่ไปแทนพระปัญญาของท่าน เวลาปั้นแล้วอยากจะแสดงออกซึ่งพระบริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ และปัญญาธิคุณของท่าน คราวนี้พยายามปั้นลักษณะของพระองค์ท่านออกมา สวยที่สุดเท่าที่ตัวเองนึกแล้ว แต่ไม่รู้จะเอาอะไรแทนปัญญาได้ เพราะปัญญาเป็นนามธรรม ท้ายสุดก็เอาตามพระบาลีที่ว่ามีพระเกตุมาลา ก็เลยสมมติปั้นขึ้นมาเป็นเปลว |
ถาม : ถ้าสมเด็จองค์ปฐมท่านคลุม หลวงพ่อท่านจะดำ แต่ถ้าสมเด็จองค์ปัจจุบันคลุมหลวงพ่อท่านจะขาว ?
ตอบ : ถ้าคนที่ถ่ายรูปไว้จะรู้ เพราะว่าแต่ละรูปสีสันหลวงพ่อท่านจะไม่เหมือนกัน |
ถาม : พระอาจารย์ลาพุทธภูมิมากี่ปีแล้วครับ ?
ตอบ : ลาตั้งแต่ก่อนบวช ลาก็เหมือนกับไม่ได้ลา ท่านบอกให้ทำงานไปก่อน เหมือนอย่างกับว่า "แน่จริงเอ็งก็ไปพระนิพพานได้ ไม่แน่จริงก็ต่อไปก็แล้วกัน" |
ถาม : การที่สัตว์บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว แสดงว่าเราไม่ต้องไปใช้กรรมเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมีอยู่ ๒ อย่างคือ ตั้งใจจะไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้น ซึ่งน้อยคนจะเป็น อีกอย่างหนึ่งเคยฆ่าสัตว์ชนิดนั้นมา แล้วต้องไปชดใช้กรรม ด้วยการไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นให้คนอื่นเขาฆ่า ในเมื่อไม่มีแล้ว ฆ่าไม่ได้ก็ไม่ต้องเกิด ก็ต้องปิดโปรโมชั่นไปโดยปริยาย ส่วนญี่ปุ่นที่ฆ่าจนกระทั่งน้ำทั้งอ่าวแดงหมดไม่ต้องห่วง นั่นรอรอบต่อไป ถึงเวลาโลกฟื้นใหม่ มีใหม่ก็โดนแน่..! |
ถาม : หน แปลว่า เจ้าคณะหนกลางหรือครับ ?
ตอบ :หน เป็นคณะปกครองที่ใหญ่ที่สุด เป็นการปกครองในส่วนกลาง จะแบ่งออกเป็น ๕ หนด้วยกัน คือ หนกลาง หนเหนือ หนตะวันออก หนใต้ และคณะธรรมยุติ ในหนหนึ่งจะประกอบไปด้วย ๕ - ๖ ภาคแล้วแต่ว่าใหญ่หรือเล็ก แต่ละภาคจะมี ๒ - ๓ - ๔ จังหวัด แล้วแต่จังหวัดใหญ่เล็ก จากภาคลงไปก็จะเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ เป็นตำบล เป็นวัด ตั้งแต่ภาคลงไปเขาถือเป็นการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ถ้าหนกับมหาเถรสมาคมจะเป็นการปกครองส่วนกลาง ส่วนกลางจะคุมส่วนภูมิภาคอีกที หนเปรียบกับสมัยก่อนก็เป็นมณฑล มณฑลหนึ่งก็มีหลายจังหวัด อย่างสมัยก่อนก็มีมณฑลลาวเฉียง มณฑลลาวพวน ของมหานิกายมี ๔ หน ๑๘ ภาคด้วยกัน |
ถาม : พระอรหันต์จี้กง ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วท่านจี้กงก็เหมือนกับหลวงพ่อขี้วัวของเรา ถึงเวลาท่านก็เอะอะเฮฮาไปเรื่อยเพราะต้องการปิดจริยาตัวเอง คนเห็นคิดว่าท่านบ้า ๆ บอ ๆ จะได้ไม่ไปยุ่งกับท่าน ไม่อย่างนั้นแล้วคนแห่ไปกวนตายเลย คราวนี้เมื่อท่านต้องการปิดจริยาตัวเอง ท่านก็ทำอะไรเหมือนอย่างกับหลุด ๆ ไม่ค่อยจะถือศีลอะไรหนักหนา แบบสมัยก่อนหลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ แบกไหน้ำตาลเมาซดไปเรื่อย เอาเข้าจริง ๆ เทออกมาเป็นน้ำชา ฉันน้ำชาเสร็จสรรพเรียบร้อยที่เหลือติดก้นถ้วยกลายเป็นน้ำตาลเมา เอากับท่านสิ แล้วพระแบบนั้นใครจะไปทำอะไรท่านได้ |
ถาม : ช่วงเข้าพรรษาพระอาจารย์มารับสังฆทานที่นี่ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้ามีเหตุจำเป็นไปได้ แต่ให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน ภาษาบาลีเขาเรียกว่า สัตตาหะกรณียะ จะมีระบุไว้ว่า ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วยไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ สหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึกไปเพื่อห้ามปรามได้ วัดพังไปหาทัพสัมภาระมาซ่อมวัดไปได้ ได้รับกิจนิมนต์ไปเจริญศรัทธาไปได้ ของอาตมาอยู่ในข้อนี้ จะว่าไปแล้วเรื่องการจำพรรษาเริ่มจากศาสนาเชนเขาก่อน ศาสนาเชนที่มีนักบวชแก้ผ้าเกิดก่อนศาสนาพุทธ เขาถือว่าถ้ายังมีเสื้อผ้าอยู่แสดงว่ายังมีกิเลส แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าปัจจุบันนี้ไปดูให้ไปดูที่เมืองฤๅษีเกศ เขายังมีนักบวชศาสนานี้อยู่มาก แต่ละคนจะได้รับการฝึกมาอย่างอุกฤษฏ์เลย ต้องบอกว่าถ้าออกมาต้องไม่ทำให้ขายหน้าครูบาอาจารย์ของเขา ไปนึกถึงในทักขิณาวิภังคสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ให้ทานแก่นักบวชนอกพุทธศาสนาที่ระงับกามราคะได้ มีผลเป็นแสนเท่า นั่นก็คือนักบวชพวกนี้ เขาเป็นนักบวชแก้ผ้าก็จริง แต่เขาทรงฌานระงับกามราคะได้เป็นปกติเลย เขาจะไม่หวั่นไหว ไม่ตื่นเต้นอะไรกับใคร เดินไปตามปกติของเขา คนอื่นจะเห็นเป็นของแปลกหรือไม่แปลก จะเคารพไม่เคารพไม่รู้ เขาก็เฉย ๆ อาตมาก็ว่า เออ..ให้ทานกับคนที่มีศีลสมบูรณ์มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานกับคนที่มีศีลแล้วศีลบกพร่อง ๑๐๐ เท่า แต่ปรากฏว่าให้ทานกับนักบวชนอกศาสนาที่ระงับกามราคะได้มีผลเป็นแสนเท่า เรื่องอภิญญาสมาบัติของเขาเป็นเรื่องปกติเลย เคยมีคลิปวีดีโออันหนึ่งที่เขาถ่ายสถานที่ แล้วไปติดโยคีกำลังเหาะพอดีเลย เขาอุตส่าห์หลบไปหลังเสาแล้ว คนถ่ายคลิปดันถ่ายติดพอดี อาตมาเองก็ยังเสียว ๆ อยู่ เป็นโรคหวาดระแวงไม่รู้เมื่อไรจะโดนออกคลิปบ้าง |
ถาม : นักบวชเชนเขาทำอรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาทำได้เป็นปกติ อรูปฌานสำหรับเขาก็เป็นหลักสูตรท้าย ๆ ประเภทเตรียมจบปริญญาแล้ว ถาม : การที่เรามั่นใจว่าทำได้ เป็นเพราะมีของเก่า ? ตอบ : ความที่มีของเก่าอยู่ ทำให้เกิดความมั่นใจ แต่อย่าเชื่อเฉย ๆ ต้องไปทบทวนด้วย เชื่อเฉย ๆ ไม่ยอมทวนของเก่าก็ไม่ได้สักที เชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องซักซ้อมไว้ด้วย พอซักซ้อมเคยชินแล้วของเก่าก็คืนมาเอง เหมือนอย่างกับมีเงินอยู่ในเซฟอยู่แล้ว จำรหัสได้ก็เปิดเอาเงินมาใช้ได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีโครงการทำหนังสือสวดมนต์เป็นบาลีโรมัน แต่ยังไม่มีเวลาตรวจทานต้นฉบับ แล้วก็จะแปลพระธรรมเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่มีเวลาทำ งานบางอย่างนอกจากมีเวลาแล้ว ยังต้องมีทีมงานด้วย
ข้อธรรมบางอย่างแค่แปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าความหมายของธรรมะนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็แปลให้ใกล้เคียงที่สุด แปลตรง ๆ เป็นสากกะเบือไม่ได้หรอก...ไม่ได้ความ ภาษาอังกฤษอธิบายธรรมะยากมาก เคยลองดูแล้ว แค่คำว่า “ทุกข์” คำเดียวเหนื่อยลิ้นห้อยเลย ไปบอกว่า Suffering เขาไม่เข้าใจหรอก จะถือว่าเป็นความลำบากเฉย ๆ ก็ได้ แบบเดียวกับเรื่องกรรม อธิบายยากมาก จะบอกว่าเป็นการกระทำ แล้วทำไมยังมีกรรมดี ยังมีกรรมชั่ว ท้ายสุดอธิบายกันเป็นชั่วโมงได้แค่คำเดียว" ถาม : น่าจะใช้ทับศัพท์ไปก่อนนะคะ ตอบ : พอเราทับศัพท์ ด้วยความที่เขาไม่ใช่พุทธศาสนิกชนก็ไม่ชิน เขาจะไม่เข้าใจ จริง ๆ แล้วควรจะเป็นตำราภาษาอังกฤษ แต่ทับศัพท์แล้วมีวงเล็บคำอธิบาย ไปนึกถึงพวกชาวต่างชาติที่ศึกษาพุทธศาสนาในยุคแรก ๆ เขาต้องไปอยู่ในประเทศอินเดียหรือลังกา เรียนอักขรานุกรมจนหมดแล้วก็เขียนกลับมาเป็นภาษาของตัวเอง ต้องใช้ความพยายามกันทั้งชีวิตเลย กว่าจะเรียนภาษาถึงขนาดใช้เขียนข้อธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานปัจจุบันนั้นมีอยู่ แต่การเข้าถึงธรรมของทีมงานยังไม่พร้อม |
ถาม : แม่ของบ้านนี้เขาไปดูดวงมาว่า ที่บ้านมีใครมาสิงอยู่ในศาลพระภูมิ จะทำอย่างไรดีคะ ? เหมือนกับว่าเมื่อก่อนเขาเคยรุ่งเรือง ตอนนี้ตกจนไม่เหลืออะไรค่ะ ?
ตอบ : ถ้าไปดูดวงอย่างนั้นก็จะเจอแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อนาถบิณฑิกเศรษฐีกินข้าวมธุปายาสทุกมื้อ ตอนหลังต้องไปกินข้าวต้มผสมน้ำผักดอง วาระของคนเรามี พอถึงเวลากรรมไม่ดีเข้าเราก็โดน แต่ถ้าเวลามั่นคงกับความดีไว้เดี๋ยวก็กลับคืนมาดีตามเดิม เพราะว่าเราไม่ได้สร้างกรรมอย่างเดียว บุญเราก็ทำ พอถึงเวลาวาระกรรมผ่าน วาระบุญให้ผลก็ดีเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าตอนนี้วิ่งไปพึ่งเขา ก็เปะปะโทษฟ้าโทษดินไปเรื่อยเปื่อย บางทีของดี ๆ อยู่ในบ้านแท้ ๆ เขาว่าไม่ดีก็เอาออกไป อย่าดันทะลึ่งไปหาหมอดูอีก..! |
ถาม : ผู้หญิงที่บวชเป็นพระ ทำไมถึงถือศีลมากกว่าพระผู้ชายครับ ?
ตอบ : ศีลพระส่วนใหญ่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านนินทาพระ คราวนี้ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ผู้หญิงจะโดนนินทามากกว่า ก็เลยต้องมีศีลเยอะกว่า ศีลของผู้ชาย ๒๒๗ ข้อก็พอป้องกันได้ ศีลของผู้หญิงต้องมีถึง ๓๑๑ ข้อ จริง ๆ ก็คือกันชาวบ้านตกนรก เพราะเขาชอบนินทาพระกัน |
ถาม : การบริจาคร่างกายทีละส่วน ค่อย ๆ ทำไปทุกปี ?
ตอบ : คุณต้องคิดว่าความตายอาจจะมาถึงเราได้ทุกขณะ เราบริจาคครั้งนี้อาจจะอยู่ไม่ถึงครั้งหน้า เพราะฉะนั้น..ให้ไปทีเดียวทั้งตัวเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกศาสนาจะกล่าวถึงเรื่องของเทพกับมาร ก็แปลว่าบุคคลแรกเริ่มจะมีความรู้เหมือน ๆ กัน แต่พอถ่ายทอดไปนาน ๆก็อาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง อย่างของศาสนาคริสต์ก็จะมีเทวดากับซาตาน ของศาสนาอิสลาม ก็มีพระเจ้ากับไซตอน ของไทยเราก็พระพุทธเจ้ากับพญามารมาผจญ ของทางด้านมหายานไม่ต้องพูดถึงเลย เราไม่ลงนรกใครจะลงนรก มหายานเขามาแบบพระโพธิสัตว์"
ถาม : ปลายพระศาสนาเรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นที่ยอมรับ ? ตอบ : การยอมรับหรือไม่ยอมรับอยู่ที่ตัวบุคคล ส่วนการมีอยู่ คงอยู่ เป็นไป เป็นเรื่องของความจริง เราไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่ได้แปลว่าความจริงไม่ได้อยู่ตรงนั้น |
ถาม : ผมกับเพื่อน ๆ รวมเงินกันเป็นกองกลาง เพื่อนำไปทำบุญวัดต่าง ๆ ด้วยกัน จะถามว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะได้อานิสงส์เหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : อานิสงส์เหมือนกันแต่อาจจะได้ไม่เท่ากัน คำว่าอานิสงส์เหมือนกันคือ เขาทำบุญแบบไหนทุกคนก็ได้บุญแบบนั้น เหตุที่ได้ไม่เท่ากันคือ แต่ละคนบางทีอาจจะออกเงินมากน้อยไม่เท่ากัน ถาม : มาจากเรื่องที่คนในกลุ่มบางคนไม่มีโอกาสทำบุญ แต่ผมผ่านวัดทุกวัน ได้หยอดตู้ทุกวัน เลยอยากให้เขาได้ทำบุญด้วย ตอบ : ถ้าสถานะแค่นั้นเราจะได้บุญมากกว่าเขา เราไปได้ตัวบุญในเวยยาวัจมัย ที่ช่วยให้งานบุญของคนอื่นสำเร็จด้วย ขณะที่คนอื่นเขาอาจจะได้แค่ทานมัย คือได้ทำทาน ในลักษณะนั้นเราได้เพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง ถาม : ถ้าเอามารวมกันแล้วแบ่งกันไปตามวัดต่าง ๆ ใกล้บ้าน ของแต่ละคนก็ได้ด้วยหรือครับ ? ตอบ : แรกเริ่มได้เท่ากัน หลังจากนั้นก็ดูเหตุการณ์พิเศษ อย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนนำบุญเขาให้สำเร็จ เราก็ได้เวยยาวัจมัยเพิ่มขึ้นมา หรือถ้าเราออกเงินมากกว่าเราก็ได้มากกว่าคนอื่นเขา แต่พื้นฐานได้เท่ากัน ถาม : แล้วถ้าเงินหมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง เราเอาเงินส่วนตัวเติมไป โดยที่ตั้งใจให้เป็นกองกลาง เพื่อนำไปทำบุญต่อ อย่างนี้เพื่อน ๆ ยังจะได้ด้วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เขาได้ส่วนของเขา บอกแล้วว่าพื้นฐานได้เท่ากัน แต่เราได้เพิ่มส่วนที่เติมมา |
พระอาจารย์กล่าวถึงผู้ที่ติดของหวานว่า "พวกเรากินของหวานมากไป ถ้าหยุดได้จะเป็นคุณแก่ตัว ทรมานแค่ ๓ วันแรกเท่านั้นแหละ เราต้องเข้มแข็งพอที่จะสู้ ไม่อย่างนั้นพอร่างกายเรียกร้องเราก็มืออ่อนตีนอ่อนยอมแพ้ อย่างนั้นก็แพ้ทั้งชาติแหละ..!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเองสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาจึงไม่มีหมอที่มารักษาแล้วทำให้ไม่เจ็บ คราวนี้ญาติโยมหาหมอมา ถ้าไม่รักษาเขาก็บอกว่า “เห็นไหม ที่ไม่หายเพราะไม่ยอมรักษา” เพราะฉะนั้นใครมาก็ให้เขารักษาไป อาตมาก็ทนเจ็บเอา เอายาอะไรมาก็กิน กินให้หมด ให้รู้ ๆ ไปว่ารักษาได้หรือไม่ได้ โยมเขาจะได้ว่าอะไรไม่ได้"
|
ถาม : นั่งสมาธิสักพักหนึ่ง พิจารณาผม ขน ฟัน หนังแล้ว ตัวโยกแต่ก็กำหนดรู้ว่าตัวโยกหนอ พอสักพักหนึ่งโยกมากขึ้น ก็หลุดแล้วออก ?
ตอบ : ปล่อยให้โยกเต็มที่ ตึงตังโครมครามไปเลย พอเต็มที่แล้วสมาธิจะทรงตัวแนบแน่น ก้าวพ้นตรงนั้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราไปห้ามให้หยุด ถึงเวลาอารมณ์ใจทรงตัวระดับนั้นก็จะโยกอีก ปล่อยให้เป็นเต็มที่ทีเดียวแล้วจะเลิก ถาม : โยกแล้วล้มเลยนะครับ ตอบ : ถ้ามัวแต่กลัวล้มอยู่ก็อย่าไปปฏิบัติ การปฏิบัตินี่แม้แต่ตายเขาก็ยอม ถาม : บางครั้งถ้านั่งสมาธิแล้วไม่สงบ เปลี่ยนไปสวดมนต์ให้จิตสงบขึ้นได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้..ถ้าสภาพจิตไม่สงบ เราภาวนาอย่างไรก็ไม่ยอมลง มีวิธีไหนที่ทำให้สงบลงได้ให้ทำวิธีนั้น ไม่ได้จำกัดตายตัว ถาม : ก็คือปล่อยให้ไปตามกิริยาอย่างนั้น ? ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้ามีคนรอบข้างบอกเขาด้วยว่า ถ้ามีเสียงตึงตังโครมครามไม่ต้องตกใจ เป็นอาการปกติ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วจิตจะนิ่งสงบมาก เป็นแค่อาการของร่างกายที่ดิ้น |
ถาม : มีคดีความ แล้วเขาส่งคนมาจะทำร้าย ?
ตอบ : อย่าไปคิดว่าคาดว่า เรื่องของคดีความต้องเอาหลักฐานข้อเท็จจริงมาสู้กัน ไม่ใช่เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อายุจนป่านนี้แล้ว ถ้าเขาช่วยฆ่าให้ตายก็ขอบคุณเขาเถอะ อาตมาเองหาที่ตาย เสี่ยงทุกเรื่อง แต่ไม่ตายสักเรื่อง ยังเซ็งอยู่จนป่านนี้ ถ้ามีใครช่วยฆ่าให้ตายจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเลย ถ้ามัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่อยู่แล้วในชีวิตจะทำอะไรได้สักกี่อย่าง |
ถาม : หนูไม่เห็นว่าผีจะกลัวพระเลย ?
ตอบ : ผีที่เราเห็นว่ากลัวพระ คือผีชั้นต่ำทั่ว ๆ ไป ส่วนผีที่เราเห็นว่าไม่กลัวพระ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผีจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเทวดาแกล้งเป็นผี ถ้าประเภทหลังนี่คาถากี่บทก็ไม่มีประโยชน์หรอก เขาท่องได้เยอะกว่าเราอีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เพื่อน ๆ เขาสงสัยว่าอาตมาจดตามที่อาจารย์สอนตั้งแต่เช้ายันเย็นได้อย่างไร จะไปอธิบายว่าเป็นผลจากสมาธิพวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เลยบอกว่า “กูไม่อยากสอบตก” อธิบายง่ายที่สุดแค่นั้นแหละพอ ของบางอย่างพูดไปก็ไร้ประโยชน์ อะไรที่ทำให้เขาเข้าใจง่าย ๆ ได้ก็เอาแค่นั้นแหละ"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่วันหนึ่งนั่งรถไปสอนหนังสือที่วัดใต้ ไปถึงแถวแยกชุกโดนประมาณ ๗ โมงกว่าเกือบ ๘ โมง เห็นโยมผู้ชายคนหนึ่ง ถือเครื่องช่วยเดินแบบคอก ค่อย ๆ เดินทีละก้าว ๆ ไม่มีลูกไม่มีหลานหรอก ไปคนเดียว เดินไปเรื่อย ๆ เขามีความพยายามดี ถ้าคนมุ่งมั่นขนาดนั้นทำอะไรก็สำเร็จ จะตั้งใจกายภาพบำบัดหรือซ้อมหัดเดิน ถ้าทำแบบนั้นทุกวันเดี๋ยวก็แข็งแรงพอเดินเองได้
ส่วนใหญ่คนเราพอป่วยแล้ว พอที่จะกายภาพบำบัดหรือว่าออกกำลังตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ กล้ามเนื้อเลยอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ อย่างโยมคนนั้นดูแล้วยังชื่นใจว่า เขากำลังใจเข้มแข็งดี เดินก๊อก ๆ อยู่ข้างถนนคนเดียว ถึงเวลาก็ยกเครื่องช่วยเดินค้ำไปข้างหน้า แล้วก็ลากขาตามไป ค้ำอีกแล้วก็ลากขาตามไปอีก ไปนึกถึงสมัยอาตมากายภาพบำบัดมือตัวเองอยู่ ๔ เดือนกว่าจึงจะกำมือได้ตามปกติ ตอนนั้นไปโดนหมากัดในฝ่ามือเดียว ๑๑ เขี้ยว ป่นเป็นแป้งเลย เหลือนิ้วโป้งกระดิกได้นิ้วเดียว ต้องค่อย ๆ กำจนกระทั่งสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ใช้เวลา ๔ เดือน แรก ๆ เหมือนกับไฟช็อต พอกำแล้วแปลบปลาบไปหมด เพราะว่ากระทบพวกเส้นประสาทเส้นเอ็น หมากัดเขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะโดนอะไรบ้าง งับแหลกหมด ๑๑ เขี้ยวในฝ่ามือเดียว" ถาม : ทำไมถึงโดนกัด ? ตอบ : จำเป็นต้องให้กัดเพราะเขากัดที่อื่นไม่เข้า ได้แค่นอกข้อมือกับนอกข้อเท้า ตอนนั้นไปทายาให้หมาเพราะเป็นขี้เรื้อน หมาตัวนี้ดุมาก กัดทุกคน กัดกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุง เห็นเป็นขี้เรื้อน สงสารก็เลยผสมยาทาให้ แรก ๆ ก็ให้ทา แต่พอเริ่มร้อนดิ้นจะหนีอาตมาก็ล็อกมันไว้ เจ้านี่ถ้าใครล็อกเขาคิดว่าทำร้าย..ก็กัด อาตมาก็ทายาไป เอ็งมีปัญญากัดก็กัดไป ทาไปเรื่อย คราวนี้วิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีจุดอ่อน คือข้อมือข้อเท้าลงมาจะกันไม่ได้ ครั้งนั้นเห็นชัดเลย เพราะแถวแขนที่โดนกัดก็เป็นแค่รอยขูดนูน ๆ แต่ในมือนี่ ๑๑ รูพรุนหมดเลย เพราะฉะนั้น..จำไว้ว่ามือกับเท้าอย่าแหย่เข้าไปหา ถ้าจะกัดต้องยื่นหัวเข้าไปให้หมากัดก่อน..! ก็ที่อื่นเหนียวแต่นอกข้อไม่เหนียวนี่..! |
:4672615:เก็บตกเดือนสิงหาคมปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:09 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.