กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3835)

เถรี 21-08-2013 19:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ดวงอาตมาราหูทับลัคน์ อะไร ๆ ก็แห่กันมาทีเดียว งานก็เยอะ เงินก็เยอะ โรคก็เยอะ เยอะไปหมด ถ้าเราพิจารณาว่า การมีชีวิตอยู่แม้จะต้องทนลำบากขนาดไหนก็ตาม ไม่เกิน ๑๐๐ ปีก็ตายแล้ว ถ้าสามารถตัดชาติตัดภพได้อย่างไรก็คุ้ม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน"

เถรี 21-08-2013 19:59

ถาม : ส่วนใหญ่พุทธภูมิที่ผมรู้จัก เขาจะคิดหรือทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านครับผม เป็นเพราะเรายังไม่เข้มหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ถ้าทำเหมือนชาวบ้านก็เป็นสาวกภูมิคือตาม ๆ เขาไป ฉะนั้น..พุทธภูมิไม่เหมือนเขาหรอก ทางมีไม่เดิน ชอบหักร้างถางพงเอง เลยค่อนข้างจะเพี้ยน ๆ ในสายตาคนปกติเขาหน่อย

ถาม : อะไรที่คนเขาว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาทำได้ ?
ตอบ : ที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นกำลังใจของคนอื่น แต่กำลังใจของท่านเรื่องแบบนี้ง่ายนิดเดียว ต่อให้ชาตินี้ไม่เสร็จ ชาติหน้าก็ทำต่อได้ เรามีอารมณ์อย่างนั้นหรือเปล่า ?

ถาม : กระผมก่อนจะสนิทกับใคร ผมจะต้องไม่ถูกชะตาเขาก่อน หรือเกลียดขี้หน้าเขาก่อน ท้าดวลก่อน จึงจะให้ความเคารพเขา หรือสนิทกับเขา เป็นสันดานเก่าหรือครับ ?
ตอบ : สันดานทรพี..! เจออะไรก็ชนดะไปก่อน ไม่มีอะไรจะชน ชนกับจอมปลวกก็เอา ไปดูตามภาคอีสาน ตามท้องนา ไม่มีอะไรก็ขวิดกันเอง หาคู่ขวิดไม่ได้ก็ขวิดจอมปลวก

ถาม : อย่างเพื่อนรักก็อย่างเดียวกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน ภาษิตจีนเขาบอกไว้ชัดแล้ว

เถรี 23-08-2013 15:47

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถวายดอกไม้บาน ๆ แบบนี้ ก็จะได้ประมาณท่านอาจารย์มิตซูโอะ คู่นี้ผู้ชายอายุ ๖๓ ปี ผู้หญิงอายุ ๕๒ ปี ยังไม่ถือว่าไกลนะ เมื่อหลายปีก่อนมีผู้ชายอายุ ๗๓ ปี ผู้หญิงอายุ ๘๒ ปี แต่งงานกัน บรรดาลูกหลานก็คิดว่าจะแต่งไปทำไม ? อายุจนป่านนี้แล้ว

แต่เขายืนยันว่าพอเห็นหน้าก็รักเลย ไปเจอกันที่วัดหลวงพ่อพระพุทธชินราช ต่างคนต่างไปทำบุญ พอเห็นหน้าก็รักเลย ทำไมบุพเพสันนิวาสมาช้าแท้ โบราณบอกว่า ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม ถ้าสึกตอนแก่จะไปทำมาหากินทันใคร ?"

เถรี 23-08-2013 15:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "สังขารัง โรคนิทธัง สังขารเป็นรังของโรค ปะภังคุณัง ย่อมเน่าเปื่อยเป็นธรรมดา ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้ สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ สัตว์ทั้งหลายจะต้องถึงแก่ความตาย มะริงสุจะ มะริสสะเร ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้ ตะเถวาหัง มะริสสามิ ตัวเราก็ต้องตายเช่นกัน นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย ไม่มีใครล่วงพ้นไปได้ ทั้งเอ็งและข้าก็ตายเหมือนกัน..!"

เถรี 23-08-2013 16:02

ถาม : ทำไมนั่งสมาธิแล้วแน่นหน้าอก ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรก..เป็นเรื่องปกติ ถ้าสมาธิทรงตัว เราจะรู้สึกว่าแน่นเข้า ๆ อย่างที่สอง...ขันธมาร มาทดสอบดูว่าเรายังกลัวตายหรือเปล่า ?

ถาม : แสดงว่านั่งกรรมฐานต่อได้เรื่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดอย่างไรช่างมัน..!

เถรี 23-08-2013 16:27

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานซืนนี้สามเณรของวัดท่าขนุนสูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว ที่เหลืออยู่ ๑ รูปสึกไปแล้ว พอสามเณรเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มมีดวงตาเห็นธรรมว่า..สึกดีกว่า ความจริงเขาจะสึกนานแล้ว อาตมาบอกเขาว่า เอ็งช่วยอยู่ล้างอาถรรพ์ให้หน่อยได้ไหม ? เขาถามว่าล้างอาถรรพ์อะไร ? "สามเณรวัดท่าขนุนไม่เคยอยู่จนได้บวชพระ ส่วนใหญ่สึกไปก่อนแล้วค่อยย้อนมาบวชพระทีหลัง"

เขาก็ทนอยู่มาอีก ๓ - ๔ เดือน ในที่สุดก็สึกดีกว่า ไม่อย่างนั้นเข้าพรรษาแล้วกว่าจะได้สึกก็ต้องรับกฐิน แต่พวกนี้ยังดี กำลังใจยังอยู่กับวัดกับวา ยังเทียวไปเทียวมา หลายรายสึกแล้วก็เวียนไปเวียนมาอยู่กับวัด ถามว่าแต่งงานหรือยัง ? "ยังครับ" "หาไม่ได้เลยหรือ ? " "ไม่ได้หาครับ" "แล้วจะสึกไปทำไมวะ ? สึกไปไม่แต่งเมียถือว่าสึกไปขาดทุน..!"

ถามไปถามมาได้ความว่าใจไม่ถึง ตอนเป็นพระกลัวว่าถ้าทำไม่ดี
แล้วจะเกิดโทษ ถึงได้ตัดสินใจสึกเป็นฆราวาส แต่ชีวิตฆราวาสถ้ามีครอบครัวแล้วการปฏิบัติไม่ต้องพูดถึงเลย โอกาสมีน้อย เลยตัดสินไม่ถูก ทำตัวครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้าเป็นนิทานกำลังภายในเรียกว่า "พวกครึ่งหลวงจีน" คือปฏิบัติตัวเหมือนพระ แต่ตัวเองเป็นฆราวาส

อย่างอาตมา เพื่อนเรียกว่า "มหา" มาตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะใจรักชอบทางนี้เอง ของเก่าทำเอาไว้เยอะ ถึงเวลาทิ้งไม่ได้ สมัยก่อนเขานิยมเฟรนด์ชิป เวลาเขียนเสร็จ เพื่อนจะเอารูปไปแปะ ประเภทอดีต ปัจจุบัน อนาคต ความรักชอบส่วนตัว คติธรรม ของอาตมา อนาคต... "..เดินตามรอยบาทพระศาสดา.." บอกไว้ชัดเลย ไม่เคยโกหกเพื่อน"

เถรี 23-08-2013 16:29

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่การตัดสินใจ การเข้าถึงมรรคผลทุกระดับต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและแน่นอน สัจจะต้องมั่นคงจริง ๆ เอาก็คือเอา ไม่เอาก็คือไม่เอา ประเภทครึ่ง ๆ กลาง ๆ เดี๋ยวบวชเดี๋ยวสึกยังไม่ได้เรื่อง ให้ตายเป็นตายไปข้างหนึ่งเลย ถ้าไปพระนิพพานไม่ได้ก็ลงอเวจีเลย ถ้าตัดสินใจแบบนั้นได้ถึงจะได้เรื่อง พวกที่ยังกั๊กอยู่ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถือว่าไม่ได้เรื่อง ถ้าเป็นเศรษฐีไม่ได้ก็เป็นมหาโจรไปเลยถึงจะใช้ได้..!

เถรี 23-08-2013 17:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปั้น การวาด ถ้าเผลอเมื่อไรหน้าตาจะเหมือนเจ้าตัว ไปนึกถึงช่างประเสริฐ สามีป้าจำเนียรที่วัดท่าซุง ช่วงแรก ๆ ที่ทำงานออกมาหน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบเลย จนกระทั่งมาช่วงหลัง ๆ ใช้วิธีขอบารมี แล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ นั่นแหละถึงจะฉีกแนวตัวเองออกไปได้ ไม่อย่างนั้นปั้นพระกี่องค์หน้าตาเหมือนตัวเองหมด"

เถรี 23-08-2013 17:50

ถาม : พระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้ามีตลอดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : ต้องการให้ปรากฏถึงปรากฏ จะมีอยู่บางพระองค์ในอดีตที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา นั่นท่านสงเคราะห์บริวารของท่านโดยเฉพาะ แล้วก็มีบางองค์รัศมีไม่ได้มีเฉพาะโลกของเรา พระพุทธเจ้ามีนามว่า มังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีท่านแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ พอ ๆ กับพระอาทิตย์นั่นแหละ

ถาม : เห็นด้วยตาเปล่าหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าพระองค์ท่านแสดงก็เห็นด้วยตาเปล่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องบอกว่าพระรัศมีแคบที่สุด ไม่กี่วา หลายองค์มีรัศมีปกติก็ ๑ โยชน์ แต่ว่าในรัศมี ๑๖ กิโลเมตรนี่เห็นท่านหมด

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องไปดูในพุทธวงศ์ รู้สึกว่าทุกอย่างของพระองค์ท่านนี่จะน้อยกว่าคนอื่น และยากกว่าคนอื่นทั้งหมด มีอยู่พระองค์เดียวที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ลำบากกว่าเจ้าชายสิทธัตถะ คือพระพุทธนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเดินไป ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะของเราทรงม้าไป บางท่านทรงช้างไป บางท่านนั่งคานหามไป มีบางองค์ลอยไปทั้งปราสาทเลย ไม่ต้องลงจากปราสาท ท่านเจตนาจะออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วปราสาทถอนเสาลอยไปทั้งหลังเลย บารมีท่านขนาดนั้น

พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญเพียรนานที่สุด ๖ ปี มีหลายท่านที่บรรลุใน ๗ วัน อย่างลำบากเลยก็ ๖ เดือนบ้าง ๑ ปีบ้าง ต้องบอกว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงผจญทุกอย่างมาโชกโชนที่สุด ถ้าเปรียบกับพระพุทธเจ้าองค์อื่นแล้วก็ต้องบอกว่าต้นทุนน้อย ในเมื่อต้นทุนน้อยแล้วสามารถทำกำไรจนกระทั่งอยู่ในระดับมหาเศรษฐีเท่ากัน ก็ต้องคิดเหมือนกันนะว่าฝีมือขนาดไหน ถึงได้บอกว่าท่านเป็นปัญญาธิกะจริง ๆ ก็คือเป็นพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีมาในด้านปัญญา ต้นทุนน้อย เรียนระยะสั้น แต่จบเท่ากัน

เถรี 23-08-2013 20:11

ถาม : ท่านั่งขัดสมาธิทั่วไปกับนั่งขัดสมาธิเพชร อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่เราชอบ ขัดสมาธิเพชรดีอยู่อย่างหนึ่งคือนั่งมั่นคงดี ไม่หลุดง่าย ๆ แต่ถ้าคนไม่เคยชินก็ปวดขาดีแท้ กว่าจะนั่งให้ชินได้ก็ต้องหัดกันเป็นเดือน ๆ

ถาม : น้องสาวผมนั่งขัดสมาธิเพชรอยู่ ผมบอกว่าทรมาน
ตอบ : เป็นความเคยชินของเขา สมาธิท่านั้นเขาเรียกว่าปัทมบัลลังก์ รูปดอกบัวบาน เป็นของทางด้านโยคะ นั่งแบบนั้นยืดเส้นยืดสายได้ด้วย ถ้านั่งจนเคยแล้วจะไม่อยากนั่งท่าอื่น

ถาม : นั่งแบบนั้นทรมานครับ
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจเราสู้เขาไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องของการปฏิบัติไม่ได้เน้นที่ร่างกาย การปฏิบัติเขาเน้นที่ความสงบของใจ ถ้ากายทรมานมากเกินไปบางทีใจก็ไม่สงบ แต่ว่าบางคนโดยจริตนิสัย โดยเฉพาะคนอีสาน ด้วยความที่ต้องดิ้นรนทำมาหากินมาก การต่อสู้กับภัยธรรมชาติสูงมาก กำลังใจจะเข้มแข็งมาก ถ้าไม่ได้ทรมานกันสุด ๆ นี่ไม่ยอมลงให้ง่าย ๆ หรอก ถ้าเป็นจริตนิสัยลักษณะนั้นก็ต้องยอมเขา ต้องออกไปทางนั้น

ยกเว้นว่าเราจะปฏิบัติลักษณะการดูเวทนา อยากรู้ว่าเวทนานี้เป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ? เป็นจริงไหม ? หรือสักแต่ว่าเป็นความรู้สึกที่เราปรุงแต่งขึ้นมา แล้วก็ไปยินดียินร้าย ก็ลองนั่งดู แต่ว่าไม่ต้องถึงขนาดนั่งขัดสมาธิเพชรหรอก นั่งธรรมดา ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ก็ทรมานพอกันนั่นแหละ

เถรี 23-08-2013 20:18

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เราไม่ได้มีเจตนาโกหกเขานี่ ถ้าเจตนาชักนำเขาไปในทางที่ดี แล้วสิ่งที่ตอบไปนั้นถูกต้องตามศีลตามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าบางอย่างบอกหมดเขาก็รับไม่ได้ ในเมื่อรับไม่ได้ก็ให้แค่เขารับได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็ตีความว่าพระพุทธเจ้าโกหกด้วย เพราะท่านรู้เท่าใบไม้ทั้งป่า แต่ท่านเอามาสอนแค่กำมือเดียว ครูบาอาจารย์ก็พลอยโกหกคุณไปด้วย เพราะสอนเท่าไรเราก็ไปไม่ถึงจุดสุดท้ายเหมือนท่านสักที

ความพอเหมาะ ความพอดีต่อกาละและเทศะคือเวลาและสถานที่ จึงเป็นศิลปะชั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง สำคัญที่สุดก็คือศิลปะในการดำรงชีวิต ความจริงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรอก ศิลปะในการเอาตัวรอดจากวัฏสงสารจึงสำคัญที่สุด แต่การที่เราจะอยู่ในวัฏสงสารโดยที่ตัวเองไม่ลำบากมากนั้น ศิลปะการดำรงชีวิตสำคัญที่สุด

เถรี 23-08-2013 20:24

พระอาจารย์กล่าวหลังจากที่ฉันยาไปว่า “รู้ว่าลำบากแล้วกินไปทำไม ? ไหน ๆ โยมก็หามาแล้ว กินให้เขารู้ว่ากินไปก็เท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นเอามากันจัง นั่นก็ดี นี่ก็ดี โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา ขอให้เชื่อเถอะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้ว สังเคราะห์ออกมาใช้งานแล้ว

คนป่วยด้วยโรคเดียวกันแท้ ๆ ยังต้องรักษาด้วยยาคนละขนานเลย เพราะว่าสภาพร่างกายไม่เท่ากัน โบราณเขาว่าธาตุไม่เหมือนกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงฉันยาถ่ายทีละ ๑๒๐ เม็ด เป็นพวกเราฉันไหวไหมเล่า ? เจอไป ๒ เม็ดก็ตายแล้ว ของท่าน ๑๒๐ เม็ดแต่ถ่ายออกมานิดเดียว"

เถรี 24-08-2013 08:37

ถาม : พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสนะ ?
ตอบ : โน่น..คือพระพุทธเจ้าตั้งแต่ช่วงสร้างบารมีแรก ๆ การจะสร้างบารมีนั้น การเกิดเป็นพระมหากษัตริย์หรือเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังเป็นแค่บารมีขั้นต้น ๆ เท่านั้น ไม่เกินอุปบารมี การปฏิบัติในเนกขัมมะบารมียังอ่อนอยู่ เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาก็ยังอยู่ในระดับต้น ๆ แต่ก็ต้องเป็นผู้นำคนหมู่มากอยู่ดี สมัยนั้นท่านครองกรุงกุสินารา แต่กุสินาราในสมัยนั้นชื่อมหาสุทัสนนคร

ถาม : มีมานานมาก ?
ตอบ : นานจนลืม แผ่นดินจะสลายตัวลงแล้วก็พอกพูนขึ้นมาใหม่ สลายตัวลงแล้วพอกพูนขึ้นมาใหม่ ท่านบอกว่าถ้าแผ่นดินหนากลับมาได้ ๑ โยชน์ก็จะเริ่มมีคนมาอยู่อาศัย แสดงพวกต้นไม้ใบหญ้าต้องมาก่อน ตายทับตายถมกันไปเรื่อย เวลาไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกก็เหมือนกับไฟไหม้ขอน ไหม้จนเหลือข้างในหน่อยหนึ่ง เวลาฝนตกลงมา เกิดสิ่งมีชีวิตก็ค่อย ๆ หนากลับคืนมา หนาได้ ๑ โยชน์คนก็เริ่มมาอยู่ได้ ฉะนั้น..ในเรื่องของการเจริญและเสื่อมเป็นเรื่องปกติ

จะมีสังวัฏฏอสงไขยกัปและวิวัฏฏอสงไขยกัป สังวัฏฏอสงไขยกัปเป็นกัปในขั้นเสื่อม สลายลงไปเรื่อย ๆ แบบของเราในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นเส้นกราฟวิวัฒนาการก็โค้งลง ถ้าสังวัฎฏัฏฐายีอสงไขยกัปเป็นกัปที่เสื่อมสนิทแล้ว เส้นกราฟโค้งติดดินแล้ว แล้วถ้าเป็นวิวัฏฏอสงไขยกัปก็เริ่มโค้งขึ้น เพราะเป็นกัปในข้างเจริญ เป็นวิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัปก็เจริญเต็มที่แล้ว สมัยพระศรีอาริยเมตไตรยนั่นแหละ เจริญเต็มที่แล้ว เส้นกราฟโค้งขึ้นสุด มนุษย์เราก็สูง ๘๘ ศอก ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็เป็นยักษ์เลย

รุ่นของเราเหลืออยู่หน่อยเดียว ๒ เมตร เต็มที่ ๘๘ ศอก ตีว่าเป็นศอกสมัยนี้ยังตั้ง ๔๔ เมตร สูง ๒๐ กว่าวาก็ตึกทั้งหลังดี ๆ นี่เอง สงสัยว่าถ้ามนุษย์ตัวขนาดนั้น พวกไดโนเสาร์ก็ประมาณกะปอมสมัยนี้ ไล่คล้องมาปิ้งได้เลย


ถาม : สูงเท่าเทวดาไหมคะ ?
ตอบ : บังเอิญว่าอยู่คนละช่วงกัน เทวดาเขาอัตภาพอย่างน้อย ๓ คาวุต ก็ ๑๒ กิโลเมตร อันนี้ของเราแค่ ๔๐ กว่าเมตร ๑๐๐ เมตร ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปคิดถึงครึ่งกิโลเมตร ถึงได้บอกว่าตอนไปยุโรปเทวดาท่านเดินเอามือช้อนประคองเครื่องบินให้ รู้สึกว่าท่านเพลินมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย กลัวเครื่องบินตกก็แค่เอามือรองไว้

เถรี 24-08-2013 09:04

ถาม : พระพุทธศาสนาอายุยาวห้าพันปีหรือครับ ?
ตอบ : ๕,๐๐๐ ปีสั้นสุด ๆ

ถาม : แปดหมื่นปีถือว่ายาวนานที่สุด ?
ตอบ : ใครบอก ? พระปทุมมุตระอายุพระศาสนา ๓ อันตรกัป อายุพระศาสนานานขนาดนั้น ๕,๐๐๐ ปีนี่น้อยแล้ว น้อยมาก ๆ เลย แต่องค์อื่น ๆ ที่อายุศาสนาท่านไม่ยาว เพราะบางทีท่านเทศน์จบเดียวไปหมดแล้ว ก็เลยไม่รู้จะเอาอายุศาสนาไปทำอะไร แสดงว่าบริวารของท่านนี่สั่งสมมาเต็มที่เลย

เถรี 25-08-2013 08:07

ถาม : คนที่ใช้มโนมยิทธิแล้วค่อย ๆ ดูแบบละเอียด เป็นสายพุทธภูมิบารมีต้นหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก บารมีไหนก็เหมือนกัน เพราะว่าเขาต้องการรู้ทุกอย่าง ในเมื่อต้องการละเอียด อาตมาจะไปเข็นอย่างไรไหว เราไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว เขายังไปค่อย ๆ ไปเล็งพื้นอยู่เลย เขาจะเอารายละเอียดทั้งหมด ทำไมถึงต้องเอารายละเอียดทั้งหมด ? ก็วิสัยการจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ต้องไปเป็นครูสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบเวลาลูกศิษย์มาถามก็บอกเขาไม่ได้

ฉะนั้น..ท่านก็ต้องค่อย ๆ ไป คุณจะไปรถสปอร์ตพรืดเดียว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไปเถอะ ของท่านขอไปทีละก้าว


ถาม : ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ?
ตอบ : เดินตามรอยคนอื่นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ แหกคอกไปเองจะสบายใจที่สุด

ถาม : คุ้มค่าหรือครับ ?
ตอบ : ก็ดูว่าคุ้มค่ากับการลงทุนไหม ? ถ้าคุ้มค่ากับการลงทุน ท่านเห็นว่าเป็นการสร้างบารมีของท่านก็เอา ประเภทกระโดดไปเป็นเหยื่อให้เสือกิน เพื่อที่เสือจะได้ไม่ล่ากวางก็ทำ..!

เถรี 25-08-2013 09:36

ถาม : เพราะเหตุใดสัตว์เดรัจฉานถึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาอยู่ในภูมิที่มืดบอด ดวงปัญญาไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงธรรม การสั่งสมยังไม่เพียงพอ และภพภูมิที่ตนเองไปอยู่ตามกรรมที่สร้างมาเป็นภูมิที่ต่ำ ทำให้สติปัญญาน้อย ไม่สามารถจะตัดสินใจให้เด็ดขาดได้ อาลัยอาวรณ์อยู่ เหมือนอย่างที่ท่านเปรียบว่า เป็นหมู่หนอนในกองขี้ เพื่อนเป็นเทวดาชวนให้รักษาศีลจะได้ไปอยู่เป็นเทวดาด้วยกัน เขากลับบอกอยู่ในกองขี้สบายแล้ว มีกินทุกวัน ไม่เห็นต้องไปทำอะไรให้ลำบากเลย ตื่นขึ้นมาก็มีกินแล้ว

ถาม : พวกที่ไปเสวยกรรมไม่มีโอกาสเข้าใกล้พระหรือครับ ?
ตอบ : โอกาสไม่มี ถ้าโอกาสมีไปเจอพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านให้รับไตรสรณาคมณ์ ส่วนใหญ่จะหลุดจากภูมิเดิมไปเลย ที่โอกาสไม่มีบางทีกรรมยังบังอยู่ โอกาสจะเข้าใกล้ก็ไม่มี พอมีโอกาสจะเข้าใกล้พระ ก็เห็นพระเป็นศัตรูอีก เพราะ หวงที่ของตัวเอง

เถรี 25-08-2013 09:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเรามีหลายคนที่หนักใจในเรื่องการรักษาศีล เพราะว่าต้องไปละเมิดศีลตอนทำงาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำให้รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงที่ทำงานเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พอถึงที่ทำงานแล้วค่อยยอมให้ขาดหน่อย ตั้งแต่เลิกงานแล้วจนกระทั่งนอนก็รักษาศีลให้บริสุทธิ์

คราวนี้การรักษาศีลเป็นเวลา อย่างน้อย ๆ ความดีก็มีอยู่ เพราะว่าเวลาที่เราทำความดียังมี ไปยุโรปงวดนี้เห็นว่า ถ้าแนะนำให้เขารักษาศีลเป็นเวลาก็ได้ เพราะคนยุโรปเขาล่าสัตว์กันเป็นฤดู ถ้าไม่ใช่เวลาล่าสัตว์นี่เขาก็ยืนมองกันอยู่ข้างทาง รถวิ่งไปมามีป้ายระวังกวางข้ามถนน ระวังหมูป่าข้ามถนน บ้านเรามีแต่ระวังคนข้ามถนน ถ้าไม่ถึงฤดูการให้ล่าสัตว์ ไม่มีบัตรอนุญาต ต่อให้สัตว์ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ได้แต่มองเฉย ๆ ก็น่าจะแนะนำให้เขารักษาศีลเป็นเวลาได้

หงส์ว่ายอยู่เต็มน้ำเลย เป็นบ้านเราก็อาหารอย่างดี ตัวใหญ่กว่าห่านอีก เขาก็ปล่อยให้ว่ายอยู่นั่นแหละ"

เถรี 25-08-2013 10:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกหมาเขาฉลาดสุด ๆ เลยนะ ตอนนี้อาตมาไม่ได้เลี้ยงหมาเลย แต่มีหมาที่หน้ากุฏิ ๗ - ๘ ตัวเข้าไปแล้ว แต่ละตัวเสนอตัวมาเป็นหมาของอาตมาเอง ยัดเยียดตัวเองมาให้เราเป็นเจ้าของ มีไอ้เก็บตกนี่แสบที่สุด ไม่ได้เสนอตัวมาเป็นหมาของอาตมา แต่ไปฝากตัวเป็นลูกของนังแสบที่อาตมาอุ้มมาจากเกาะพระฤๅษี แล้วก็อยู่กันอย่างกับแม่ลูกจริง ๆ เลย

สรุปก็คือถ้าเลี้ยงนังแสบก็ต้องเลี้ยงไอ้เก็บตกด้วย ร้ายจริง ๆ ถ้าอยากรู้จักหมาให้ลึกซึ้งก็ต้องดูที่อนุสาวรีย์ย่าเหล ดูว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านมีพระราชดำริเกี่ยวกับหมาอย่างไร"

เถรี 25-08-2013 20:48

ถาม : การละโทสะ ?
ตอบ : ถ้าเกิดนี่ละไม่ทันแล้ว ฉะนั้น..เรื่องของสติ สมาธิ ปัญญายังไม่พอ ทำให้โทสะเกิดขึ้น ถ้ากระทบ รู้ว่าสู้ไม่ได้ให้ถอยไปก่อน ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็ปลีกตัวออกจากเหตุการณ์ไปเลย ถ้าอยู่แล้วไปชนกันเดี๋ยวเสียหายเยอะ

เถรี 25-08-2013 20:53

ถาม : มีความจำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นต้นไม้ที่บ้านให้ตั้งศาลเพียงตาหลังหนึ่ง ศาลพระภูมิก็ได้ ตั้งไว้ในที่ ๆ เหมาะสมแล้วก็ตัดกิ่งของต้นนั้นมากิ่งหนึ่ง เอาที่ค่อนข้างใหญ่หน่อย ประมาณให้ตั้งได้ สูงสักคืบสองคืบ ตัดแล้วเลื่อยให้เรียบเพื่อจะได้หันปลายตั้งขึ้นได้ เอาปลายกิ่งขึ้นนะ อย่าหันผิดด้าน แล้วก็จุดธูปเชิญท่านมาอยู่ที่นั่นแทน ที่เหลือก็โค่นไปได้เลย


ไม่ต้องกังวลหรอก..รุกขเทวดากี่ร้อยกี่พันองค์ก็อยู่ได้ เพราะว่าถ้าเกิดความจำเป็นขึ้นมานี่ พื้นที่ ๑ หัวเข็มหมุดเทวดาอยู่ได้ ๘ องค์..!

เถรี 26-08-2013 13:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่เรียนนักธรรมเอกอยู่ เขาบอกว่าอุทกุกเขปสีมา หรือสีมาน้ำ ให้ห่างจากฝั่ง ๗ อัพภันดร ๑ อัพภันดรประมาณกำลังบุรุษปานกลางวักน้ำไปถึง อาตมาก็สงสัยว่ามีกำลังปานกลาง กำลังมาก กำลังน้อยอะไรของเขา มาตอนนี้เข้าใจแล้ว บางอย่างคนอื่นยกไหวแต่อาตมายกไม่ไหว เพราะกำลังคนต่างกัน"

เถรี 26-08-2013 13:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ต้องรักษารูปแบบไว้ แต่เนื้อหาอยู่ที่เราจะใส่ การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์มาจากการสังคายนาพระไตรปิฎก องค์ประธานก็คือพระมหากัสสปะจะเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีกับพระอานนท์จะเป็นผู้ตอบ แต่คราวนี้เขาไม่ได้กำหนดตายตัวว่า จะต้องตอบเรื่องวินัยเรื่องธรรมหรืออะไร กลายเป็นว่า ๓ ท่านจะมีท่านหนึ่งเป็นหลักคอยถาม ท่านที่เป็นหลักถ้าคนอื่นตอบไม่ตรงอย่างไรนี่ ต้องต้อนกลับไปให้ตอบตรงให้ได้

แต่ถ้าเทศน์ ๒ ธรรมาสน์จะเป็นพระสกรวาทีกับพระปรวาที คือท่านผู้ถามกับผู้ตอบ ๒ คน เขาจะสมมติว่าพระสกรวาทีพิจารณาธรรมอยู่ในป่า แล้วก็ติดขัด นึกถึงพระปรวาทีว่าท่านเป็นผู้ที่เจริญด้วยศีลสุตาธิคุณ กอปรไปด้วยปัญญาอันยิ่ง คงจะเข้าใจซึ่งปัญหาอันนี้ เราควรที่จะไปสอบถาม แล้วก็มีการสมมุติให้เดินทางไปสอบถาม บางที่คำถามก็งัดเอาคำถามที่โยมเขียนนั่นแหละมาถาม จะมีการขึ้นต้นลงท้ายที่เป็นรูปแบบตายตัวของเขา ส่วนคำตอบก็อยู่ที่ปัญญาของคนเทศน์"

เถรี 26-08-2013 13:27

ถาม : แล้วการเทศน์แจงละครับ ?
ตอบ : การเทศน์แจงเป็นเรื่องของการสังคายนาพระไตรปิฎกโดยตรงเลย เป็นการเทศน์เดี่ยว ใครถามปัญหาอะไรต้องตอบได้หมด จริง ๆ แล้วเขาเรียกเทศน์แจง ๕๐๐ รู้สึกว่าจะมีแต่หลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส ที่จัดได้ เพราะลูกศิษย์นักเทศน์ของท่านเยอะ ถามกันคนละประโยคก็หมดวันแล้ว

ปกติแล้วจะใช้ในงานศพ ขึ้นต้นว่า ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ ฯลฯ แปลเป็นไทยก็ถามตอบดี ๆ นี่แหละ

ปะฐะมัง ปาราชิกัง กัตถะ ปัญญัตตันติ ฯ ......ปฐมบัญญัติปาราชิกบัญญัติขึ้นที่ไหน ?
เวสาลิยัง ปัญญัตตันติ ฯ ......................... บัญญัติขึ้นที่เมืองเวสาลีครับ
กัง อารัพภาติ ฯ .....................................ด้วยปรารภเรื่องอะไร ?
สุทินนัง กะลันทะปุตตัง อารัพภาติ ฯ ..............ด้วยปรารภเรื่องพระสุทินนกลันทบุตรครับ

พูดง่าย ๆ ก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้าง่ายสุด ๆ ท่านเล่นถามตอบกันทีละประโยคอย่างกับถามเด็กเลย คนสมัยนั้นฟังแล้วเข้าใจก็ได้มรรคได้ผลไปตาม ๆ กัน อย่างในอนัตตลักขณสูตร ท่านถามว่า

ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว............................ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วาติ ..........................รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
อนิจจัง ภันเต .........................................ไม่เที่ยงขอรับ
ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ...........ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า ?
ทุกขัง ภันเต .........................................เป็นทุกข์ขอรับ

เถรี 26-08-2013 13:31

ถามเหมือนถามเด็กเลย เรียนบาลีรู้ไว้ก็ดีเหมือนกัน เพราะหลักธรรมแท้ ๆ แคะได้จากบาลี แต่ระยะหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ คือการแปลขึ้นอยู่กับกำลังใจของคน ของบางอย่างต้องแปลจากสิ่งที่เราไม่เห็น เหมือนกับเวลาที่เขาอ่านพวกสัญญาบัตรตราตั้ง เราต้องอ่านสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย เช่น มีลายเซ็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นพระปรมาภิไธย ก็ต้องอ่านว่า “โดยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยลเดช ปร.” ต้องอ่านสิ่งที่มองไม่เห็น อ่านให้เห็นให้ได้

เรื่องของหลักธรรมหนักกว่านั้น เพราะว่าคำพูดและตัวหนังสือหยาบเกินไป อธิบายหลักธรรมชัด ๆ ไม่ได้ ต้องอธิบายในสิ่งที่มองไม่เห็นแต่อยู่ตรงนั้นออกมาให้ได้

ต้องบอกว่าสัญญาและปัญญาทรามลงอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก สัญญาคือความจำ ปัญญาคือการรู้แจ้ง ปัจจุบันนี้บางทีก็เป็นจินตามยปัญญา คือคิดแล้วเข้าใจขึ้นมา แต่เนื่องจากว่ายังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ยังไม่ใช่การรู้แจ้งจริง ๆ ก็ยังมีการสูญหายไปได้ ถ้าเป็นเรื่องที่รู้แจ้งแล้วจะติดใจอยู่ตลอดไป ทรงอยู่ในใจอยู่ตลอดไป ถ้ามีใครสะกิดก็จะเข้าใจเลย รอคนสะกิดหน่อยเดียว หรือไม่ก็ประเภททำถึงเองก็จะเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง

เถรี 26-08-2013 13:38

มีโยมขนข้าวของมาถวายสังฆทาน พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมขนมาไม่หมดสักที แสดงว่ารวยได้เรื่อย ๆ มาเป็นระยะ ๆ แปลว่ารวยได้เรื่อย ๆ เหมือนน้ำไม่ขาดสาย ถ้าแบบนี้ต้องแบบของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ เหมือนน้ำในแม่น้ำใหญ่ที่หลั่งไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่วนทานของสมเด็จพระพุทธทีปังกรมาครืนเดียวเป็นคลื่นยักษ์เลย ซัดมาทีเดียวให้รวยสะใจไปเลย

พระพุทธเจ้าเหมือนกัน สร้างบารมีมาเหมือนกัน แต่ความคล่องตัวในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน อย่างของสมเด็จพระพุทธทีปังกรกับสมเด็จพระพุทธกัสสปะ พระองค์ท่านเริ่มด้วยทานบารมี ฉะนั้น ๒ พระองค์นี้ในเรื่องลาภผลจะเด่นเป็นพิเศษ อย่างถ้าเริ่มด้วยปัญญาบารมีก็จะฉลาดมาก เลยกลายเป็นว่าสร้างบารมีมาเหมือน ๆ กัน แต่ตอนเริ่มต้นไม่ได้เริ่มจากบารมีเดียวกัน"

เถรี 26-08-2013 13:41

พระอาจารย์อ่านข้อความจากหนังสือเล่มหนึ่ง "แค่นี้ก็ไปแล้ว เขาเขียนว่าพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นผู้บันลือเสียงดังกังวานดุจราชสีห์ ความหมายผิดแล้ว จริง ๆ แล้วท่านเป็นผู้ที่กล้าประกาศว่า ใครอยากรู้ธรรมส่วนไหนให้มาถามเรา เหมือนสิงห์สั่งป่า ถึงเวลาก็คำรามลั่นประกาศให้สัตว์ทั้งหลายรู้ว่านี่คือถิ่นที่อยู่ของเรา ฉะนั้น..ถ้าหลักธรรมนี้เรารู้ เธอก็มาถามได้เลย..อะไรประมาณนั้น

การแปล..พอแปลไปความหมายจะเพี้ยนไปเรื่อย อย่างพระสุภูติเถระ เป็นเอตทัคคะทางเลิศด้วยอรณวิหารและทักขิไณยบุคคล ท่านเป็นเลิศ ๒ ด้าน อยู่ด้วยอรณวิหารคืออยู่ด้วยหลักธรรมที่ปราศจากโทษ ท่านเข้านิโรธสมาบัติเป็นปกติ ในเมื่อเข้านิโรธสมาบัติอย่างเดียวก็ย่อมเป็นทักขิไณยบุคคล คือบุคคลที่เขาสมควรที่จะทำบุญด้วย"

เถรี 26-08-2013 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "การวางผางประทีปครั้งนี้ ถ้าฝนตกตอนเก็บผางให้คว่ำถ้วยลงด้วยนะจ๊ะ คราวที่แล้วเขาเก็บถ้วยไปทั้งที่ยังหงายอยู่ กว่าจะทำความสะอาดได้ก็ลำบาก เพราะยังมีน้ำขังอยู่ การวางผางประทีปเราต้องแนะนำคนใหม่เขาด้วย หลายคนไม่เฉลียวใจ ทำไมคนอื่นวางได้เท่ากันแล้วของเราวางไม่เท่ากัน ลานธรรมมีแผ่นกระเบื้องปูอยู่ จะวางเว้นช่วงกี่แผ่นก็วางไปสิ จะได้พอดี ๆ กัน ข้างทางก็มีเหล็กที่ปิดท่อของเทศบาลเขาอยู่ แผ่นเหล็กแต่ละช่วงก็ห่างกันพอดี ก็วางไปสิ เขาวางเลื้อยเป็นงูได้ทั้ง ๆ ที่มีแนวให้ตรง ๆ ต้องบอกว่าปัญญาน้อยจริง ๆ..!

ชอบใจสมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ต้องให้บอก ไม่ต้องขอให้ช่วย ถึงเวลาก็วิ่งช่วยทำเอง แล้วก็ทำได้ไม่พลาดด้วย ต้องบอกว่ารุ่นนั้นเป็นรุ่นหัวกะทิ รุ่นของเราเป็นหางนม ไม่ใช่หางกะทิ เวลาเขาทำเนยจะมีการล้างไปเรื่อย ๆ หางนมนี่แทบจะเป็นน้ำเปล่าแล้ว..!"

เถรี 26-08-2013 14:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "กินอาหารฝรั่งแล้วรู้สึกว่าเขากินเพื่ออยู่กันจริง ๆ เรื่องจะเอาให้อร่อยนี่ยาก เขาต้องการรสชาติอาหารแท้ ๆ แต่บ้านเราเอาเครื่องปรุงประดังลงไป ไปยุโรปมัคคุเทศก์ของเราเขาเตรียมพริก มะนาว น้ำพริกนรก และพวกเครื่องปรุงอื่น ๆ ไปบานเลย"

เถรี 26-08-2013 14:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ ๑๒ สิงหาคม อาตมาไม่ได้นิมนต์หลวงตาวัชรชัย ไม่ได้นิมนต์หลวงตาชลอ ไม่ได้นิมนต์หลวงพ่อวิรัช เพราะนิมนต์ไปเมื่อวันที่ ๒๑ มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากว่าช่วงนั้นทุกท่านต้องจัดงานที่วัด ในเมื่อท่านไปไม่ได้ก็ต้องนิมนต์ไปงานอื่นแทน

หลวงตาท่านบอกว่า “เดี๋ยวปีหน้าขอข้าอีกปีว่ะ แล้วหลังจากนั้นพี่น้องคนไหนพร้อมก็เตรียมงานได้เลย จะได้แห่กันไปวัดอื่นบ้าง” สรุปว่างานฉลองสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก หลวงตาวัชรชัยไปถึงคนแรกเลย เพิ่งจะ ๖ โมงกว่า ยังไม่ทันจะ ๗ โมงไปถึงแล้ว

ส่วนหลวงตาชลอไปกับพระทั้งวัด พร้อมด้วยลอดช่องหน้าวัดเจษฯ อีก ๘๐ กิโลฯ อย่าคิดว่าเยอะนะ ถ้าคนยังไม่กินก็เห็นว่าเยอะ ซดเข้าไปสักถ้วยมักจะขอถ้วยที่ ๒ ลอดช่องหน้าวัดเจษฯ เขายังทำแบบโบราณอยู่ ประเภทใส่น้ำใบเตย อบเทียน ของโบราณ ๆ เขาทำประณีตมาก"

เถรี 26-08-2013 14:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ เขาบอกว่าอาจารย์เล็กรวย ความจริงอาตมาก็มีคล้าย ๆ เขานั่นแหละ แต่ว่าของอาตมาเวลาเขาขอแล้วอาตมาให้ คนอื่นขอแล้วไม่ได้ เมื่อวานมาก็แวะไปร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนารามไปสามแสนบาท ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีสุทธิวงศ์ วัดอรุณราชวรารามท่านขอให้ช่วย สรุปว่าบางทีอาตมานั่งรับสังฆทานทั้งเดือนให้เขารายเดียวก็หมดแล้ว"

เถรี 26-08-2013 14:36

ถาม : ลูกสาวนั่งสมาธิแล้วมักจะง่วง ?
ตอบ : เขาเรียกถีนมิทธะ เป็นเรื่องปกติจ้ะ พยายามสู้หน่อย ตั้งสติไว้นิดหนึ่ง ถ้าแก้ไม่หายก็ให้ลูกเขาไปเดินจงกรมแทน แต่อย่าทิ้งการภาวนา บางคนถึงขนาดเดินแล้วยังหลับได้ นั่นเป็นกิเลสหยาบที่พยายามมาขวางเราไม่ให้ทำความดี

ถาม : รู้สึกว่าคล้าย ๆ จะหลุดไปแบบเต็มกำลัง ?
ตอบ : ถ้าเต็มกำลังต้องปล่อยเลย หงายตึงไปได้เลย อย่ามัวแต่กลัวแล้วไปรั้งไว้ ปล่อยให้ล้มไปเลยจ้ะ เราเข้าสมาธิอยู่อำนาจของฌานป้องกันได้ ล้มแค่นั้นไม่เป็นอะไรหรอก อาตมาตกจากหลังคาลงมายังเฉย ๆ เลย ถ้ามีความคล่องตัวแล้วจะก้าวข้ามไปเลย แต่ของเรามัวแต่กลัว อายเขาก็จะดิ้นอยู่นั่นแหละ ต้องยอมหน้าด้าน ทนให้อาละวาดเต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ตึงตังโครมครามให้เขาเห็นไป ๓ บ้าน ๘ บ้านเลย พอก้าวข้ามไปได้ต่อไปจิตเรียบก็จะไม่ดิ้นอีก

ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก ที่ดิ้น ๆ ก็คือกายในจะออก แต่เจ้าตัวดันไปกลัวก็เลยรั้งเอาไว้ ยิ่งรั้งก็ยิ่งดิ้น อย่างกับเด็กดื้อ ถ้าตัดใจว่าเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตายเป็นตาย เราไปพระนิพพานดีกว่า เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่ที่พูดว่าตัดใจ ๆ นั้น ตอนพูดยังพูดได้ ตอนเจอเข้าจริง ๆ ตัดใจไม่ได้..เพราะกลัว

เถรี 26-08-2013 14:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ธรรมเนียมคนจีนที่เขาป้อนข้าวศพก่อนใส่โลง อาตมาก็มานั่งคิดว่า พวกที่มาป้อนตอนนี้มีประโยชน์อะไร ? คนตายก็ไม่ได้กินอยู่แล้ว ยิ่งประเทศไทยเราก็มีการเอาข้าวปลาอาหารไปวางไว้หน้าโลง แล้วเคาะโลงก๊อก ๆ เรียกแม่กินข้าว หรือไม่ก็เรียกพ่อกินข้าว ถ้าเป็นอาตมาเดี๋ยวก็มีเสียง “เออ..กูยังไม่หิว”

มีอะไรทำให้ท่านชื่นใจตั้งแต่ตอนเป็น ๆ นี่แหละ แม้ว่าบางอย่างอยู่ในลักษณะของความเห็นไม่ตรงกันก็เถอะ เราต้องเข้าใจว่าขณะที่คนหนึ่งเป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนกำลังเกิน คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็วัยทอง ฮอร์โมนขาดพอดี ไปกันได้ก็เก่งมากแล้ว"

เถรี 27-08-2013 20:10

ถาม : ตอนไปปฏิบัติที่วัดได้ผลดี แต่มาทำที่บ้านแล้วไม่ได้อย่างนั้น ?
ตอบ : ธรรมดา..เพราะกระแสคนละอย่างกัน ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งย่อมต่างกับอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า การปฏิบัติต้องมีสถานที่สัปปายะด้วย ก็คือสถานที่ ๆ เหมาะสม จนกว่ากำลังใจเราจะทรงตัวมั่นคงจริง ๆ ถึงจะอยู่ที่ไหนก็ได้

แรก ๆ ก็หาที่ ๆ สงบ เหมาะสมกับเราหน่อยแล้วก็ทำ อยู่ที่วัดมีเสียงสวดมนต์ แหม..น่านั่งสมาธิ อยู่บ้านมีแต่เสียงด่า จะไปชวนนั่งสมาธิอย่างไร ?

เถรี 27-08-2013 20:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนบอกว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขามทำบุญมาดี เลยได้อาจารย์เล็กเป็นลูกศิษย์ ความจริงไม่ใช่หรอก ต้องบอกว่าท่านทำบุญมาดีด้วยตัวท่านเอง เพราะว่าระยะหลังสุขภาพท่านก็ไม่ดี ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจตั้ง ๓ เส้น อายุท่านก็มากกว่าอดีตเจ้าคณะจังหวัดปีหนึ่ง ใคร ๆ ก็ว่าตายก่อนแน่ ไม่มีทางได้เป็นเจ้าคณะจังหวัดหรอก ปรากฏว่าหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ไปอินเดีย ล้มตึงมรณภาพ ท่านก็มาเลื่่อนเป็นเจ้าคณะจังหวัดจนได้ เป็นจนกระทั่งเกษียณ อยู่มาจนกระทั่ง ๘๔ ปี ทั้ง ๆ ที่ผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจไป ๓ เส้นแล้ว

ถึงเวลาเจ้านายอยากให้เลื่อนเป็นพระเทพเมธากรก็สั่งมา ลูกน้องทำประวัติกันแทบตายเพราะไม่ได้เตรียมเอาไว้เลย ไม่นึกว่าเขาจะให้ ท่านก็ได้ของท่านจนได้ แล้วได้แบบอัศจรรย์ คือในหลวงพระราชทาน
ทั้ง ๆ ที่ในหลวงให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปพระราชทานแทน แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปรออยู่ในโบสถ์วัดพระแก้ว ที่พระราชทานจริง ๆ ต้องเป็นพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในหลวงท่านมา เจ้าพนักงานขานชื่อ ก็ทรงพระราชทานไปเรื่อยไปถึงท่านรับเป็นรูปสุดท้าย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จมาถึงพอดี ในหลวงก็หยุดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระราชทานต่อ ตกลงว่าท่านรับจากพระหัตถ์ในหลวงเป็นรูปสุดท้าย อย่างนี้ไม่ใช่บุญของอาตมาหรอก เป็นบุญของท่านเองแท้ ๆ

ท่านมีนิสัยว่าจะไปไหนต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อน ถ้าจะออกกิจนิมนต์กันตี ๔ - ๕ ท่านก็ต้องลุกมาสวดมนต์ตั้งแต่ตี ๓ สวดมนต์ไม่เสร็จไม่ไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกับหลวงพ่อวัดท่ามะขามไว้เลยว่า ไปงานวัดท่าซุงได้ทุกงาน ไม่ต้องรอฎีกา ท่านก็ไปคู่กับหลวงพ่อวัดเขื่อนฯ ต้องบอกว่าความดีที่ท่านทำส่งผลให้ ท่านบอกว่าในชีวิตก็ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นมาจนถึงระดับนี้"

เถรี 27-08-2013 20:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่ครูบาอาจารย์พูดนั้นพอดีอยู่แล้ว อย่าพยายามอวดฉลาดไปขยายความให้มากขึ้น"

เถรี 27-08-2013 20:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเราระยะหลังบารมีบกพร่องมาก โดยเฉพาะเรื่องของสัจจะ ความจริงจังจริงใจในการปฏิบัติมีน้อย ไปดูรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด แม้แต่กระทั่งเป็นเสือเป็นสาง เป็นโจรก็ประเภทหนังเหนียว มีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์กัน เพราะว่าเขาทำกันจริง ๆ จัง ๆ พอมารุ่นเราสัจจะบารมีไม่มั่นคง ขันติบารมี (ความอดทน) ไม่เพียงพอ วิริยบารมี (ความเพียร) ไม่ถึง เจ๊งเลย

ถ้าใครคิดว่าจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าก็เร่ง ๓ ตัวนี้ให้เยอะ ๆ วิริยบารมีถ้าเร่งขึ้นมาก็ต้องมีขันติบารมีหนุนเสริม ต้องมีสัจจะบารมี ต้องมีอธิษฐานปักใจแน่วแน่ต่อเป้าหมาย ไม่ได้ไม่เลิก"

เถรี 27-08-2013 20:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "บาลีเขาบอกว่าเด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง คราวนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเรามั่นคงเข้มแข็งพอไหม ? ถ้าไม่หวั่นไหวก็ไม่มีปัญหา ถ้ายังหวั่นไหวอยู่นี่เสร็จเขาแน่

ท่านบอกว่า พะลังจันโท พะลังสุริโย พะลังสมณะพราหมณา พะลังเวลาสมุทัสสะ พลาติพะละมิตถิโย ไม่ว่าจะกำลังของพระจันทร์ พระอาทิตย์ กำลังของมหาสมุทร หรือว่ากำลังของสมณชีพราหมณ์ก็ตาม ถ้านับแล้วสตรีมีกำลังมากที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่ผิดหรอก ๓๘ พรรษายังสึกไปแล้ว เวลาท่านยังเป็นพระอยู่ อาตมาไปสนทนาธรรมด้วย ท่านพูดภาษาไทยไม่ชัดก็น่ารักดี ตอนที่มาออกคลิปพูดภาษาไทยไม่ชัดนี่มีแต่คนด่า ท่านบอกว่าคงจะเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ปางก่อน พอเห็นก็รักเลย ต้องบอกว่าพระบวชมาระดับนั้น ฝึกปฏิบัติมาระดับนั้น กำลังยังก้าวล่วงไม่ได้ ถึงเวลาไปชนเข้าก็เสร็จ ฉะนั้น..เราจะประมาทไม่ได้เลย

อย่างเรื่องชอลิ้วเฮียงที่มี "สามีคันชั่ง ภรรยาลูกตุ้ม" ชั่งจีนเขาจะมีลูกตุ้มอยู่ ผัวแกผอมเป็นตะเกียบ เมียอ้วนเป็นกระพ้อม เขาก็เลยได้ฉายาสามีคันชั่ง ภรรยาลูกตุ้ม ผัวบอกเมียว่าผู้ชายอายุตั้งแต่ ๘ ขวบถึง ๘๐ ก็ไว้ใจไม่ได้ เมียเขาจับตัวพระเอกได้ โดนพระเอกหลอกไปเรื่อย ท้ายสุดใจอ่อนยอมให้กินเหล้า ปรากฏว่าพระเอกหลอกกินเฉย ๆ แล้วพ่นออกมาคลายจุดตัวเอง เพราะฉะนั้น..ผู้ชายอายุ ๘ ขวบถึง ๘๐ นี่ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น"

เถรี 28-08-2013 08:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีนิสัยไม่ชอบรบกวนคนรวย ถ้ารบกวนคนรวยคงกลายเป็นเณรคำไปตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องของโลกธรรมเข้ามา ผู้ที่ไม่หวั่นไหวได้กำลังใจต้องหนักแน่นกว่าหินผาเสียอีก

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสายลมฉันใด บัณฑิตที่ฝึกตนดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมฉันนั้น” คราวนี้เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตนเองฝึกตนดีแล้วหรือเปล่า ฉะนั้น..จึงประมาทไม่ได้ ต้องคอยระวังไว้ตลอดเวลา

โยมจะถวายรถราคาแพง ๆ อาตมาก็ต่อรองจนราคาถูก แถมมีกติกาด้วยนะ ต้องเอาไปซ่อมให้ด้วย เอาไปต่อทะเบียนให้ด้วย ยังดีที่ไม่ให้ขับให้ด้วย"


ถาม : นักบวชใช้กระเป๋าแบรนด์แนมแพง ๆ ผิดไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอก แต่ไม่เหมาะสม อาตมาไปเดินดูในร้านหลุยส์ วิตตองมาแล้ว ไม่เห็นมีถูกตาสักใบ เขาใช้ไปได้อย่างไรกัน ดูลักษณะอย่างไรก็ไม่ใช่ของที่พระใช้ได้ ท้ายสุดก็เลยไปซื้อยี่ห้อ "คีบลิง" เพราะว่าเป็นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลซึ่งพระใช้ได้ ถึงขนาดนั้นยังเจอไปตั้ง ๖๗ ยูโร

เข้าไปซื้อของเพื่อให้รู้ว่าเราพูดได้ เราต่อรองได้ ทดสอบตัวเองแค่นั้นแหละ อยากจะลองจ่ายเงินบ้าง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ไปยุโรปทั้งทำบุญ ทั้งไล่แจกพวกเจ้ากรรมนายเวร ทั้งซื้อของ ตอนไปมี ๒,๑๗๘ ยูโร ขากลับเหลือ ๒,๔๐๐ กว่ายูโร มาอย่างไรก็ไม่รู้ รู้อย่างนี้ใช้ให้เยอะกว่านั้นก็ดี

ถึงเวลาพวกองค์กรการกุศลก็ดี พวกแหกตาหากินก็ดี มาถึงก็ให้เซ็นชื่อบริจาคเท่านั้นเท่านี้ อาตมาเซ็นกระจาย คุณโอ๋ มัคคุเทศก์เขาก็บอก “หลวงพ่ออย่าไปเซ็นครับ เขาหากิน” อาตมาบอกว่า “ตั้งใจให้เขา” ติดหนี้เขามาก่อน กลัวอยู่อย่างเดียวแหละ กลัวโดนล้วงกระเป๋า ถ้ามัวแต่เผลอเซ็น ไม่ระวังกระเป๋าก็เสร็จ

เถรี 28-08-2013 08:31

ถาม : พระมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวได้ไหม ?
ตอบ : ถามว่ามีได้ไหม ? ตอบว่าได้ แต่สมควรกับฐานะไหม ? พระพุทธเจ้าจัดฐานะของพระไว้เท่ากับขอทาน ต้องไปขอเขากิน คนอื่นเขาช่วยสงเคราะห์ให้ ถ้าขอทานขี่เครื่องบินเจ็ตแล้วไปขอใครเขาจะให้ ?

ถาม : แล้วโยมเขาถวายให้ละคะ ?
ตอบ : ได้...แต่สมควรไหม ? ถ้าไม่สมควรก็ปฏิเสธได้นี่ มีโยมเขาจะถวายรถเล็กซัส อาตมาขอเปลี่ยนเป็นฟอร์จูนเนอร์ ราคาถูกกว่ากันตั้งหลายเท่า

เถรี 28-08-2013 08:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วถ้าตรงกับวันอาสาฬหบูชา มาฆบูชา วิสาขบูชา ออกพรรษา เขาทำบุญกัน พระยายมท่านจะปล่อยผีมาให้โมทนาบุญ ได้บุญแล้วจะได้ไปให้พ้น ไม่ต้องเสียเวลาให้ท่านตัดสิน เป็นวิธีลดงานประเภทหนึ่ง มีปีละ ๓ ครั้ง ครั้งละ ๓ วันเท่านั้น

พวกผีก็ตระเวนหา ญาติของตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าวัดไหนประเภท “เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี” พวกเขาจะล้อมวัดเลย ถ้าวัดไหนให้ “อิทังเม ญาตินัง โหนตุ” ก็ยืนน้ำตาเล็ดไป เพราะถ้าไม่ใช่ญาติก็ไม่ได้ อิทังเม ญาตินัง โหตุ ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย สุขิตา โหตุ ญาตโย ขอความสุขพึงถึงแก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย

บางคนก็ใช้ ญาตัง เย ปัตติทานัม เม อนุโมทันตุ เต สะยัง ทานอันข้าพเจ้ากระทำไว้ดีแล้ว ขอญาติทั้งหลายจงอนุโมทนาด้วยเทอญ คนไม่ใช่ญาติก็อดไป

ฉะนั้น..ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ “ผลบุญที่เราทำแล้วตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ รวมทั้งผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ ขออุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะใช่ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี ขอให้เธอทั้งหลายจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอทั้งหลายจงได้รับด้วย” แค่นั้นแหละ ภาษาไทยชัดดี มัวแต่ไป "อิมินา ปุญญะกัมเมนะ" ก็เจ๊งพอดี

ให้กำลังใจเราตั้งตรงเลย ถ้าปากพูดเรื่อยเปื่อยพวกกำลังน้อยจะรับไม่ได้ เราต้องตั้งใจโยนให้ถึงด้วย ประเภทเหวี่ยงส่งเดชเป็นโปรยทานก่อนเข้าโบสถ์ อาตมาบอกพวกนาคโปรยทานหลายทีแล้ว อย่าไปโปรย ขว้างใส่หน้าไปเลย..!"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว