![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือในปัจจุบันจำนวนมากที่คนรุ่นเก่าเขาเขียนถูก แต่ปัจจุบันกลายเป็นผิด ต้องระวังตรงนี้ให้ดี อย่างสถิต สมัยก่อนมี ย์ ตอนนี้ตัดทิ้งไปแล้ว อาตมาเองอยู่ช่วงกลาง สับสนอย่าบอกใครเลย เรียนแบบเก่ามา แต่ต้องเขียนแบบใหม่
ไปนั่งเถียงกับท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ ว่าสมัยก่อนเขียนอย่างนี้ มีรากศัพท์บาลีชัดเลย อาจารย์บอกว่าเมื่อเขียนแบบไทยได้ ทำไมต้องลากไปบวชด้วย เออ..ท่านอาจารย์ก็คิดแปลก ๆ มีภาษาไหนที่เป็นภาษาของตัวเองแท้ ๆ บ้าง ก็ต้องปนภาษาอื่นด้วยกันทั้งนั้น แน่จริงลองเขียน ปฏิมากร แบบใช้ ต.เต่าดูสิ ปฏิมากร คือผู้สร้างพระพุทธรูป ถ้าปติมากร กลายเป็นผู้สร้างผัว..! ปาติโมกข์ยังเขียนเป็น ต.เต่าไปแล้ว บาลีเขาใช้ ฏ ภาษาเก่าที่เขียนถูกตามบาลีกลายเป็นผิดไปเลย อย่างสมัยเด็ก ๆ เขาใช้พิลาป แปลว่าร้องไห้คร่ำครวญ สมัยนี้กลายเป็นพิราบ คนไม่เข้าใจว่านกพิราบ คือเสียงร้องของนกเหมือนคนร้องไห้ ครางฮือ ๆ ทั้งวัน โบราณเขาจึงเรียกนกพิลาปคือนกร้องไห้" |
ถาม : อยากให้จัดบวชเนกขัมมะที่กรุงเทพ ฯ
ตอบ : วัดในกรุงเทพฯ ที่เขาให้บวชก็มีเยอะแยะ แวะวัดไหนก็ได้ใกล้ ๆ บ้าน สำคัญอยู่ที่เราทำจริงหรือเปล่า ? ถ้าทำจริงไม่ได้สำคัญตรงสถานที่ ที่ไหนก็ทำได้ |
ถาม : ครั้งที่แล้วมีปัญหาการปฏิบัติ คือ ออกจากสมาธิโดยกะทันหัน
ตอบ : แล้วใครเขาบังคับให้คุณออกจากสมาธิโดยกะทันหัน ? ถาม : ได้ยินเสียงเรียกแล้วผมตกใจสะดุ้งขึ้นมา ตอบ : ไม่มีปัญหา ถาม : บางครั้งมีอาการหนัก ๆ ที่ท้ายทอย ตอบ : เรื่องปกติ..แสดงว่าตอนที่ภาวนา นอกจากสมาธิไม่ทรงตัวแล้วยังไปคิดเรื่องอื่นอีกด้วย พอสมาธิไม่ทรงตัว คิดเรื่องอื่นอยู่ ประสาทกระทบเสียงเรียกขึ้นมา จิตวิ่งกลับเข้าหาตัวเร็วเกินไป จึงมีอาการที่เรียกว่าตกใจ ไปปฏิบัติใหม่ แสดงว่าที่ผ่านมายังไม่ได้ขึ้นชั้นอนุบาล ๑ เลย ถ้าสมาธิทรงตัว ฟ้าผ่าลงข้างตัวยังไม่ตกใจเลย ถาม : ตอนที่ผมภาวนา กำหนดดูรู้ว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ทุกวันนี้แค่หลับตาก็สามารถทำได้แล้ว ตอบ : ถ้าสามารถทำได้แล้วจะไปตกใจได้อย่างไร ? ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าสมาธิอยู่ในระดับฌานขั้นใดขั้นหนึ่งที่เราสามารถเข้าได้ทุกเวลาอยู่แล้ว การที่เข้าฌานได้ทุกเวลาขนาดนั้น กำลังใจต้องมั่นคงมาก แปลกดีเหมือนกัน...ตกลงที่คุณว่ามาต้นกับปลายไม่ได้เสมอกันเลย ไปด้วยกันไม่ได้ น่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง |
ถาม : พ่อผมกำลังจะตายแล้วครับ
ตอบ : ตายแล้วค่อยมารายงาน ถ้ามีโอกาสและหมอยอมให้เข้าห้องฉุกเฉิน ก็หาเสียงสวดมนต์ไปเปิดให้ท่านฟัง อย่างน้อย ๆ ใจท่านจะได้เกาะความดีไว้ |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาจะไปยุโรปแล้วฝันว่าทั้งคณะเครื่องบินตก ไปตกที่ชายทะเลอะไรก็ไม่รู้ ? หัวเครื่องบินไถพรวดเข้าไปเหมือนประตูวังใหญ่มหึมา อาตมาเองกำลังจะคิดอยู่ว่าจะมุดออกไปทางไหนเพื่อช่วยคนอื่นเขาได้ ดันไปสะดุ้งตื่นเสียก่อน ยังไม่รู้ว่าบาดเจ็บหรือล้มตายเท่าไร ?
คนที่เขากลัวนั้นมี แต่อาตมาตายด้านแล้ว ชีวิตเก็บตกมาตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี ที่เหลือเป็นกำไรล้วน ๆ ถ้าถึงเวลาก็ไปเถอะ..! สมัยพรรษาแรก ๆ อยู่ที่วัดท่าซุง ตั้งเป้าหมายการปฏิบัติไว้ว่าจะเอาอะไร ก็ไปอ่านมงคล ๓๘ ของพระพุทธเจ้าท่าน ไปติดใจ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺสนกมฺปติ จิตที่กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง อาตมาเขียนติดหน้าสมุดบันทึกไว้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ ถึงเวลา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เข้ามาได้ ก็พยายามพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ดีเข้ามาก็อย่าฟูมาก อะไรที่ร้ายเข้ามาก็อย่าฟุบ พยายามรักษาใจเป็นกลาง ๆ ไว้ ถ้าไม่ยินดียินร้ายได้เมื่อไรเดี๋ยวก็แก่ช้าไปเอง เพราะไม่เครียด เคล็ดลับอยู่ตรงนี้แหละ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การแห่นาคสมัยก่อนนี้เขาตั้งใจให้คนที่เห็นได้โมทนา มาสมัยหลังเมากันเละเลย สมัยก่อนที่เขาให้โมทนา บางทีเขาแห่รอบ ๒ - ๓ หมู่บ้านเลย โดยเฉพาะลูกของคนใหญ่คนโตประเภทผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน
บางหมู่บ้านก็มีการแห่นาคด้วยม้า แห่นาคขี่ช้าง อย่างที่หาดเสี้ยว สุโขทัยแห่นาคขี่ช้าง อย่างบ้านหนองขาว กาญจนบุรีนั้นแห่นาคด้วยม้าเพราะไปไกล ขืนให้คนผลัดกันขี่ก็เป็นลมตายพอดี จึงต้องขี่ม้าแทน สมัยเด็ก ๆ มีคนใกล้บ้าน เขามีวัวอยู่คู่หนึ่ง วัวคู่นี้ยอมให้เฉพาะนาคขึ้นหลังเท่านั้น คนอื่นไม่ให้ขึ้นหรอก โดนสลัดทิ้งหมด แสดงว่าเอาแต่บุญอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอา ขึ้นไปให้เก่งแค่ไหนก็โดนสลัดทิ้งจนได้ ไม่ยอมให้นั่ง แต่ถ้าเป็นนาคกลับยอมให้นั่ง แปลกดีเหมือนกัน ตอนแรกคนก็ไม่รู้หรอก เห็นวัวโตเป็นหนุ่มเขาก็เอาไปแห่นาค แล้ววัวก็ชอบด้วย เสียงปี่เสียงกลองดังแค่ไหนไม่มีกลัว เดินนิ่มเลย ปรากฏว่าพอคนอื่นสนุกกระโดดขึ้นบ้าง โดนสลัดลงเลย ต้องบอกว่าสัตว์ก็คือคน เพียงแต่ว่าเขาอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ความคิดเขาก็เหมือนกับคนนี่แหละ ใครที่มีจิตใจน้อมไปทางบุญกุศลก็เน้นเอาบุญกุศลอย่างเดียว ซ้ำค่อนข้างถือตัวมากด้วย ถ้าไม่ใช่นาคไม่ให้ขึ้นหลังเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กที่ซนเราสามารถหัดให้เขาทำงานบ้านได้ เช่น เอาผ้าขี้ริ้วมาแล้วเราก็ถู ๆ พอเด็กมาแย่งเราก็แกล้งว่าไม่ให้ ๆ เดี๋ยวเขาก็สนุก หลอกให้ถูบ้านได้ หัดเอาไว้..เอาให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่เล็ก ๆ จะได้เป็นขวัญเรือน จริง ๆ ชื่อโบราณความหมายลึกซึ้งมากเลยนะ เป็นมิ่งขวัญในบ้านเลย
แบบเดียวกับพราหมณ์ที่ไปหลอกเอามิ่งขวัญของบ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ปกติคนร่ำรวยจะต้องมีมิ่งขวัญ ก็คือส่วนที่เป็นกำลังบุญเสริมอยู่ พอพราหมณ์เข้าไปสอดส่องดูก็พบว่า มิ่งขวัญสถิตอยู่ที่หงอนไก่ แสดงว่าวิชาเขาดีนะ..เขาดูออก พราหมณ์ก็เลยขอไก่ตัวนั้น อนาถปิณฑิกเศรษฐีเห็นว่าเป็นคนจน ขออะไรก็ให้ทั้งนั้น พอพราหมณ์อุ้มไก่มิ่งขวัญ ปรากฏว่ามิ่งขวัญหนีจากไก่ไปอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง พราหมณ์ก็ขอนั่นขอนี่ เศรษฐีก็ให้ทุกอย่าง พอหนีไปอยู่ที่ฉัตรเศรษฐี พราหมณ์หมดท่าเลย ขอไม่ได้ เพราะว่าฉัตรเศรษฐีต้องให้พระราชาพระราชทานเท่านั้น" |
ถาม : พระสวมเสื้อกันหนาวผิดไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจำเป็นก็ต้องใส่ สมัยก่อนที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านยังเป็นพระสาสนโศภณอยู่ ได้ข่าวว่าพระไทยที่ไปเป็นธรรมทูตอยู่ที่ต่างประเทศแต่งตัวไม่เหมาะสม แต่งตัวเหมือนฆราวาส ใส่เสื้อใส่กางเกง ท่านก็เลยเดินทางไปตรวจการณ์ด้วยพระองค์เอง ตอนนั้นคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก ยังเป็นมหาไต้อยู่ แกล้งพาท่านขึ้นรถไฟ กว่าจะถึงก็หนาวแย่สิ..พอไปถึงท่านก็เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าในที่อย่างนี้ก็จำเป็น อนุญาตให้ใส่ได้ เขาแกล้งพระผู้ใหญ่ได้ขนาดนั้น ถ้าท่านไม่แข็งแรงนี่ได้ไข้จับตายกันบ้าง หนาวขนาดนั้น หิมะตกเลยให้ท่านใส่จีวรกับสังฆาฏิห่มซ้อนแค่นั้นเอง |
ถาม : อวิชชาเป็นต้นเหตุทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วต้นเหตุของอวิชชามาจากไหนครับ เป็นเพราะตัวเราเองหรือเป็นเรื่องของมารครับ ?
ตอบ : เกิดจากตัวเราเอง สภาพจิตที่ไม่รู้จึงไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง จนเจริญงอกงามใหญ่โต เหมือนกับเด็กเล่นไม้ขีด เขาไม่รู้ว่าขีดเล่นแล้ว จะเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้บ้านไปทั้งหลังได้อย่างไร แต่เด็กก็เล่นไปแล้ว เล่นเพราะไม่รู้ ความไม่รู้ของเด็กที่ไปเล่นไม้ขีดก็คืออวิชชา เกิดจากตัวเด็กนั้นแหละ กว่าจะรู้ก็ได้บทเรียนด้วยการที่บ้านหมดไปเป็นหลังแล้ว |
ถาม : ในพระไตรปิฎก ภรรยาของพรานหยิบอุปกรณ์ล่าสัตว์ส่งให้สามีเพื่อเอาไปล่าสัตว์ การปฏิบัติของนางไม่เป็นอกุศลใช่ไหมครับ เพราะนางทำตามหน้าที่ ?
ตอบ : ไม่ต้องถาม พระโสดาบันไม่สร้างอกุศลโดยเจตนาอยู่แล้ว นางแค่ทำตามหน้าที่ภรรยาที่ดี เตรียมสิ่งของให้กับสามีไว้ใช้งาน ส่วนสามีเอาไปทำอะไรนางไม่รับรู้ รู้แค่ว่าทำหน้าที่ของภรรยา ส่วนอื่นเป็นเรื่องของสามี ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง ถาม : การทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของนางจัดว่าเป็นกุศลได้ไหมครับ ? ตอบ : จะเรียกว่าเป็นกุศลไหม ? ก็ต้องบอกว่าเป็นความดีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เต็มสติกำลัง คราวนี้เราก็ต้องมาดูว่าในส่วนที่เขาทำนั้นได้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมอะไรหรือเปล่า ? ถ้าเกี่ยวข้องกับหลักธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกก็เป็นกุศล ถ้าไม่อย่างนั้นก็สักแต่เป็นหน้าที่ ๆ ตนเองทำเท่านั้น |
ถาม : มารย่อมดลใจให้เรากระทำความผิด เมื่อความผิดนั้นสำเร็จลง มารที่ถือว่าเป็นผู้บงการจะต้องได้รับเคราะห์กรรมนั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คุณจะไปสรุปอย่างนั้นไม่ได้ มารพยายามช่วยเราอย่างสุดชีวิตเพื่อให้เราหลุดพ้น แต่ความโง่ของเราที่ไม่ยอมหลุดพ้นต่างหาก ก็เลยสอบตกทุกที ครูออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ ลูกศิษย์สอบตกครูมีความผิดไหม ? ไม่ผิดหรอก ต้องโทษว่าเป็นความโง่ของเด็กเอง ถาม : ที่สุดของมารเป็นอะไรครับ ? ตอบ : ท้ายสุดก็เข้าถึงนิพพานเหมือนกัน เพียงแต่ในวาระนั้นท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน หน้าที่เป็นคุณครูออกข้อสอบไปเรื่อย ๆ เกษียณอายุแล้วก็ไป ตัวใครตัวมัน ถาม : ทำไมท่านถึงชอบทดสอบ ? ตอบ : ท่านมีจริตนิสัยที่ชอบทำอย่างนั้น คราวนี้ในสิ่งที่ท่านทำ ถ้าเราสอบผ่านเราจะไม่มีวันตกในจุดนี้อีก แต่ถ้าเราสอบไม่ผ่านเราจะติดอยู่แค่นั้น ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามไปได้ ท่านก็เลยได้ชื่อว่ามาร มาระคือผู้ฆ่า ผู้ขวางเราจากความดี ความจริงต้องโทษว่าเราไม่เก่งเอง สอบตกแล้วก็พาลไปว่าครูออกข้อสอบโหด ถาม : ผู้เป็นมารจะต้องมีอานุภาพมากเพราะสามารถดลใจให้คนเห็นผิดได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ในส่วนของความดลใจนี่ได้เฉพาะบุคคลทั่ว ๆ ไปเสียส่วนใหญ่ สำหรับพระอริยเจ้าไม่ได้อยู่ในลักษณะดลใจ แต่ต้องใช้คำว่าปิดบังมากกว่า ปิดบังทำให้นึกไม่ถึง มองไม่ทัน คิดไม่ได้อย่างนี้ |
ถาม : วิตกคืออะไร ? วิจารคืออะไรครับ ?
ตอบ : วิตก..คิดอยู่ว่าตอนนี้เราจะภาวนาอะไร วิจาร..ตามดูว่าตอนนี้ลมหายใจเข้าหรือออก แรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ใช้คำภาวนาอย่างไร ฉะนั้น..วิจาระคือการแยกแยะตามดูอาการ วิตกก็แค่คิดว่าจะทำ ถาม : ผู้ที่ได้เอกัคตารมณ์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรครับ ไม่กระทบหรืออย่างไรครับ ? ตอบ : ในลักษณะของเอกกัคตารมณ์นั้น คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่นในอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เข้ามากระทบ ก็เลยทำให้หลายท่านที่เข้าถึงตรงจุดนี้ คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว แต่ความจริงเพราะอำนาจของสมาธิที่แนบแน่นมาก กดกิเลสต่าง ๆ ให้นิ่งสนิทลงไป เกิดอาการวางเฉยต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ ด้วยอำนาจของสมาธิช่วยข่มไว้ ในส่วนนี้ก็เลยกลายเป็นการก้าวล่วงเรื่องของสุขทุกข์ไปได้ด้วยในขณะที่กำลังใจยังดำเนินอยู่ในฌานนั้น ถ้าคลายออกมาเมื่อไรก็โดนงัดหงายท้องเหมือนเดิม ถาม : อย่างในอรูปฌานก็เหมือนกันใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเข้าถึงจริง ๆ กำลังก็เท่ากัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนวิธีกรรมเท่านั้น จากการยึดรูปก็เปลี่ยนเป็นไม่ยึด แต่กำลังอำนาจของสมาธิก็เท่ากับกำลังของฌาน ๔ ในเมื่อเข้าถึงตรงส่วนท้ายของฌานที่จัดเป็นอุเบกขา ก็สามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ชั่วคราวเช่นกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราจีนเขาบอกว่า พืชหรือสัตว์ที่สีสันสดใส ให้คิดไว้ก่อนว่ามีพิษ อาตมาเองก็สงสัยว่านกยูงสีสันสดใสจะมีพิษตรงไหน ? ปรากฏว่าพิษที่ร้ายมากเลยอยู่ที่ดีของนกยูง อย่างนกกระเรียนเขาบอกว่าพิษอยู่ที่หงอน งูเขียวแอฟริกาที่เขาเรียกแบมบา สีน่ารักจะตายไป ที่ไหนได้กัดช้างยังล้มเลย..!"
|
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบายปฏิจจสมุปบาทหน่อยครับ
ตอบ : เสียเวลาคิด..ถ้าคุณไม่คิดจะเกิดก็จบแล้ว ถ้าเกิดเมื่อไรก็ยาวเลย อวิชชาเป็นอดีตเหตุ ปัจจุบันผลก็คือตัวเราที่เสวยทุกข์อยู่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราทำในปัจจุบันเป็นปัจจุบันเหตุ จะส่งผลให้คุณทุกข์ต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตผล ดังนั้น..ถ้าจะดู..ก็ดูแค่นี้ เสียเวลาไปดู แค่เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา กูไม่เอามึงอีกแล้วก็จบ หมดทุกอย่างเลย ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะท่องคล่องปากกันทุกคนแหละ รู้หรือเปล่าว่าอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้น ? ความไม่รู้ทำให้จิตของเราไปยินดี ในเมื่อเรายินดีก็อยากมีอยากได้ ความอยากมีอยากได้พอเกิดขึ้น ก็เลยทำให้เกิดการปรุงแต่งหรือสังขาร สังขารตัวนี้ไม่ใช่ร่างกาย ตัวนี้คือจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ ในเมื่อการปรุงแต่งของใจเกิดขึ้น ความรู้สึกก็จะเกิดขึ้น ก็คือรัก ชอบ เกลียด ชัง เขาถึงได้บอกว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คราวนี้ความรัก ชอบ เกลียด ชังหรือวิญญาณต้องอาศัยประสาทรับความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งจะต้องอยู่ในรูป ในเมื่ออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็เลยเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เพราะว่าต้องอาศัยอยู่ นามรูปเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีอายตนะ คือส่วนที่ติดต่อสัมผัสได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อมาบรรจบประชุมรวมกันขึ้นมา จึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ |
คราวนี้เห็นหรือยังว่า แค่ความไม่รู้เรื่องอย่างเดียว แล้วไปรัก ชอบ เกลียด ชัง พายาวไปจนถึงขนาดนี้ ในเมื่ออายตนะมี การรับสัมผัสต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็เลยบอกว่าอายตนะทำให้เกิดผัสสะ คือการสัมผัส เมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น เขาถึงได้บอกว่าผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา ในเมื่อสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นก็จะเกิดตัณหา ก็คือเลือกเอาในส่วนที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องการส่วนที่ตัวเองไม่ชอบ ก็เป็นทั้งกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ในเมื่อเกิดตัณหาขึ้นมา ก็เลยทำให้ตัวเองไปยึดว่าสิ่งนี้กูเอา สิ่งนี้กูไม่ เอาทำให้เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น คราวนี้ตัวเองไปเกาะแล้วนี่ อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ซวยเลย ทำให้เกิดภพคือที่อยู่ เพราะตัวเองไปเกาะหนับอยู่ตรงนั้นแล้ว คราวนี้ก็ ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่แล้วก็เกิดสิ คราวนี้ แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์โศกร่ำไร ตามมาเป็นลูกระนาดเลย บาลีท่านบอกว่าให้ย้อนกระบวนการกลับไป แล้วก็จะกลับไปสู่จุดดับ ก็เหลือแค่ว่าถ้าเราไม่ยินดี ไม่อยากมีอยากได้ในร่างกายนี้ก็จบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปปรุงแต่ง เรื่องพวกนี้ถ้าอธิบายละเอียดแล้วยาว แต่จริง ๆ แล้วก็อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก คือไปเล่นจุดสุดท้ายเลยก็หมดเรื่อง ถาม : ถ้าพ้นไปแล้วจะเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดขึ้นไหมคะ ? ตอบ : ถ้าพ้นไปแล้วมองกลับมาจะเห็นละเอียดดีมาก |
ถาม : พระอรหันต์ท่านพูดด้วยความรู้ ส่วนคนทั่วไปพูดด้วยความจำ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พระอรหันต์ท่านมีความจำด้วย มีความรู้ด้วย และมีความรู้แจ้งด้วย ดังนั้น..ท่านจะพูดด้วยสติ แต่ว่าบุคคลทั่วไปส่วนใหญ่แล้วพูดแบบขาดสติ สรุปอย่างนี้ชัดไหม ? ถาม : ในเมื่อท่านมีสติตลอดเวลา ท่านจะจำชื่อคน จำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ท่านจะจำในเรื่องของธรรมะ ชื่อคนไม่จำเป็นต้องไปจำก็ได้ เพราะไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่เกี่ยวเนื่องด้วยธรรมะ ยกเว้นบุคคลที่ใกล้ชิด ต้องเรียกไปตามสมมตินั้น ๆ เรื่องคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ถ้าไม่เคยทราบมาก่อนก็จำเป็นที่จะต้องสอบถามจากคนอื่นเขา เรื่องชื่อเสียงเรียงนาม ถ้าไม่ได้อยู่คลุกคลีใกล้ชิดกัน ไม่ได้จดจำเอาไว้ก็ลืมได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเรื่องของธรรมะ คือการเห็นเกี่ยวกับร่างกายนี้และโลกนี้ ท่านไม่มีวันลืมเด็ดขาดว่ามีแต่ความทุกข์จริง ๆ |
ถาม : ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีสติสมบูรณ์ ท่านรู้แจ้งโลก ท่านก็สามารถจำชื่อ จำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ?
ตอบ : ท่านไม่ต้องจำ เวลาอยากรู้ท่านรู้เลย แล้วท่านไม่ได้รู้แค่ชาตินี้ด้วย ท่านรู้ข้ามไปอีกหลายชาติ สามารถเรียกตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันได้ ลองไปดูในฆฏิการสูตร ท่านคุยกับฆฏิการพรหมที่เอาบริขาร ๘ มาถวาย “เป็นอย่างไร..ช่างปั้นหม้อ ?” เรียกย้อนกลับไปชาติแรก ๆ ที่เป็นเพื่อนกันมา ทางด้านนั้นท่านเป็นพรหมอยู่ มีความเป็นทิพย์ พอโดนเรียกก็มองย้อนกลับไปก็รู้ว่าใช่ ท่านก็สามารถที่จะรับคำได้ว่าเป็นอย่างไรในเหตุการณ์สมัยนั้น พูดง่าย ๆ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ต้องเสียเวลาจำ เนื่องเพราะสัพพัญญุตญาณของท่านไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ อยากรู้เรื่องอะไรรู้ได้หมด พระพุทธเจ้าท่านมีเบญจพิธจักษุ คือมีดวงตา ๕ ประเภท คนทั่ว ๆ ไปมีไม่ครบอย่างนั้นหรอก โดยเฉพาะในส่วนของสมันตจักษุ คือการรู้รอบ แม้กระทั่งพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ทั่วไปไม่ต้องไปเทียบท่านหรอก คงเหมือนกับเอาเทียนดวงหนึ่งไปเทียบกับแสงตะวัน สำหรับพระอรหันต์ทั่วไป ด้วยความที่ท่านมีสติมั่นคง ทำให้ระลึกถึงเรื่องที่พูดมาแล้วนาน ๆ ได้ ทำให้เรื่องระลึกถึงเรื่องที่ทำมาแล้วนาน ๆ ได้ ดังนั้น..ในเรื่องของชื่อเสียงเรียงนามของบุคคล ถ้าเคยบอกเคยกล่าวท่านเอาไว้ ท่านจะระลึกได้ง่ายกว่าเรา เราเองบางทีผ่านไป ๓ วัน ๕ วันก็ลืมแล้ว ท่านเองบางทีหลาย ๆ ปีท่านก็ยังจำได้อยู่ เพราะสติท่านมั่นคงกว่า |
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะว่าลูกเขามีของเก่าด้านสมาธิมาก่อน ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ โดยเฉพาะกำลังใจเขายังสะอาดอยู่ ถ้าของเก่ามีนี่ได้ง่าย ๆ เลย ถาม : เป็นไปได้ไหมคะว่าเขาเกิดมาเพราะมีหน้าที่อะไร ? ตอบ : เป็นไปได้จ้ะ แต่ไม่ต้องไปกังวล ถ้าใช่จริง ๆ ถึงเวลาเขาจะทำของเขาเอง เราวางแนวเริ่มจากศีล แรก ๆ ให้เขารักษาศีล แล้วก็หัดทำสมาธิเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ถ้าวิสัยเดิมของเขามีเดี๋ยวเขาทำของเขามากขึ้นไปเอง |
มีโยมช่วยยกของสังฆทานเก็บให้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "บุญเป็นของเราด้วย เขาเรียกเวยยาวัจมัย ขวนขวายให้งานบุญของผู้อื่นให้สำเร็จลง เขาว่าได้ตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า ? "
ถาม : เหมือนกับโมทนาบุญคนอื่นหรือเปล่าคะ ? ตอบ : อันนี้ต้องลงมือทำเลย สมัยที่นั่งนับเหรียญอยู่ที่วัดท่าซุง บางวันก็หลังขดหลังแข็งจนดึกดื่นกว่าจะนับเสร็จ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งนับเหรียญอย่างเก่งก็วันกว่า ๆ เณรเขาบวชเณรรักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดระยะเวลา ๑๐๐ ปี ถ้าตายไปเป็นเทวดามีนางฟ้าหนึ่งแสนเป็นบริวาร แต่บุคคลที่มานั่งนับเงินเป็นเวยยาวัจมัย ถ้าตายลงไปตอนนี้ เราทำงานแค่วันกว่า ๆ เกิดเป็นเทวดามีนางฟ้าแปดหมื่นเป็นบริวาร” คงต้องเอาอะไรมาอุดหู แค่ผู้หญิงคนสองคนบ่นก็จะแย่แล้ว แต่นี่มาทีตั้งแปดหมื่น..! ถามว่าทำไมนางฟ้ามีมากมายขนาดนั้น ? ต้องบอกว่าคนเราที่ทำบุญใหญ่มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ก็ทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย โดยเฉพาะถ้าไม่เคยทำในส่วนของวิหารทานมาก่อนย่อมไม่มีที่อยู่ ก็เลยต้องไปอาศัยเป็นบริวารของวิมานอื่น ดังนั้น..ท่านที่สร้างกุศลใหญ่ มีศักดานุภาพมาก บริเวณวิมานของท่านอยู่กันแสนสองแสนเป็นเรื่องปกติ |
ถาม : ฝันว่าโดนเสือกัด ?
ตอบ : นึกเสียว่าเป็นเสือกิเลสแล้วกัน เผลอเมื่อไรก็โดนกิเลสกินเกลี้ยง คนเรามีความกลัวเป็นปกติ ในฝันให้ดูว่าสภาพจิตใจเรามีความกลัวอยู่หรือไม่ ? แล้วถ้ากลัวแล้วเรานึกถึงความดีได้หรือไม่ ? ถ้ากำลังใจมั่นคงไม่หวั่นไหวเลยก็ถือว่าใช่ได้ ถ้ามีความกลัวอยู่ แต่นึกถึงสิ่งที่เรายึดเกาะเป็นความดี อย่างเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานก็แปลว่าใช้ได้ ถ้าประเภทกลัวหนีแล้วเตลิดเปิดเปิงอย่างเดียว อันนั้นยังต้องฝึกอีกนาน |
ถาม : ระดับที่เป็นอภิญญาคือระดับฌานสี่ แต่ถ้าโสดาปัตติมรรคซึ่งอาศัยแค่ปฐมฌาน จะเรียกว่าเป็นอภิญญาได้อย่างไร ?
ตอบ : ที่เรียกอภิญญาคือเราเรียกกันเอง จริง ๆ แล้วการเป็นพระอริยเจ้านั้นยิ่งกว่าอภิญญาอีก เพราะศัพท์คำว่าอภิญญาแปลว่ารู้ยิ่ง แต่อภิญญาที่เขาว่ากันตามบาลี หมายถึงอภิญญาที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ในความเห็นของอาตมาบอกแล้วว่า การรู้ยิ่งไม่มีอะไรรู้ไปกว่าการตัดกิเลส เรื่องของสมาธิภาวนาจะระดับไหนก็ตาม สามารถช่วยในการตัดกิเลสได้ก็ต้องระดับปฐมฌานขึ้นไป คราวนี้บางท่านอาจจะคล่องถึงระดับสมาบัติ ๘ เลย แต่เนื่องจากกำลังใจอาจจะพะวงอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง หรือกำลังปัญญาไม่ถึง กลายเป็นสมาธิมีมากแต่ปัญญาไม่ถึง ก็อาจจะตัดได้น้อย ดังนั้น.. ถ้ากำลังถึงปฐมฌานขึ้นไป ก็แปลว่าเราสามารถตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต้น ก็คือพระโสดาบันกับสกิทาคามีได้ แต่ไม่ได้หมายว่าบุคคลที่ได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ จะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีไม่ได้ เป็นได้เหมือนกัน กำลังสูงแต่บังเอิญอาวุธทื่อไปหน่อย ก็ฟันของได้น้อยเหมือนกัน |
ถาม : หนูรับยันต์เกราะเพชรผ่านอินเตอร์เน็ตสองครั้งแล้วค่ะ
ตอบ : รับทางไหนก็ได้จ้ะ ให้เวลาตรงกับที่ทางวัดทำอยู่ ถ้าเราตั้งใจรับด้วยความเคารพอยู่ที่ไหนก็รับได้ เพราะพระท่านสงเคราะห์ให้ |
ถาม : หนูได้เงินมาไม่สุจริต แล้วเอาเงินนั้นมาซื้อรถครึ่งหนึ่ง แล้วเอาอีกครึ่งหนึ่งไปทำบุญ หนูอยากทราบว่ามีผลกรรมไหม ?
ตอบ : สามารถบอกได้ไหมว่าเงินที่ไม่สุจริตมาอย่างไร ? ถาม : บอกได้แบบไม่ชัดเจนค่ะ ตอบ : ถ้าบอกไม่ได้ก็ตีความไม่ได้ มีเงินบางประเภทที่ถึงเวลาเขาแบ่งมาให้เองโดยที่เราไม่ได้เรียกร้องอะไร โดยเฉพาะบางหน่วยงาน เขากลัวว่ากินคนเดียวเดี๋ยวจะเดือดร้อน เขาก็แบ่งปันคนอื่น แต่เขาเอามาให้เฉย ๆ โดยไม่บอกว่าอะไร ถ้าอย่างนั้นเราก็ถือว่าเขาให้โดยเสน่หาก็แล้วกัน เพราะอย่างของพระเรา ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่เห็นว่าเขาทำเพื่อเรา ส่วนเราเป็นฆราวาสโทษไม่หนักขนาดนั้น ในเมื่อไม่รู้ที่มาที่ไปก็ถือว่าเขาให้โดยเสน่หาแล้วกัน ถาม : ถึงแม้จะเป็นเงินที่...... ตอบ : ต่อไปก็อย่าเอามา แล้วจะไม่ต้องมาระแวงอีกเลย วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งกับเขา แต่ไม่ยุ่งกับเขาก็จะโดนแบบอาตมา ไม่ยุ่งกับเขาแล้วท้ายสุดเขากินไม่สะดวกก็หาทางงัดให้กระเด็น อาตมาโดนตั้งกรรมการสอบสวนมาโดยที่ไม่มีความผิดด้วย ผิดอยู่อย่างเดียวคือไปขวางอยู่ตรงกลางเขาพอดี เขาต้องงัดออกไปให้พ้น ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเกะกะหูตาเขา แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาทำอย่างนั้น เพราะพออาตมารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ลาออกเลย เปลี่ยนมาบวชแทน..! |
ถาม : ถ้าพระแตกเราควรเอาไปทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระแตกหรือหักเขาให้บรรจุในองค์ใหญ่ หรือไม่ก็บรรจุกรุบรรจุเจดีย์ไปเลย อย่าเอาไปตำผงสร้างพระเชียวนะจ๊ะ โทษทำลายพระพุทธรูปสาหัสนักแล รู้สึกเขานิยมกันมากเลย เอาพระเก่า ๆ มาตำ มาหลอมสร้างพระกัน อาตมาสยดสยองจริง ๆ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร ก็ต้องตัวใครตัวมัน ถ้าเป็นสมเด็จวัดระฆังแตก ๆ หัก ๆ ชิ้นหนึ่งก็หลายกำมือนะจ๊ะ กำมือเป็นภาษานักเลงพระ..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไม่เคยท้อเรื่องอ่านหนังสือ เพราะฉะนั้น..ใครขอหนังสือก็ให้..เชื่อว่าเขาอ่าน ให้จำไว้ว่าอย่าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น เราไม่ชอบอ่านไม่ได้แปลว่าคนอื่นเขาไม่ชอบ ถ้าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่นนี่จะพลาดอะไรดี ๆ ไปเยอะเลย
ปัจจุบันนี้บรรดานักวิชาการต่าง ๆ เขาเอาตัวเขาไปวัดคนอื่น โดยเฉพาะวัดพระพุทธเจ้าด้วย เขาถึงได้แบ่งพระไตรปิฏกออกเป็นส่วน ๆ เขาบอกว่า พระไตรปิฏกไม่ได้มีขึ้นสมัยพุทธกาล ในเมื่อไม่ได้มีขึ้นในสมัยพุทธกาล คนรุ่นหลังอาจจะเขียนแต่งเติมเข้าไปได้ ดังนั้น..ส่วนไหนที่คนทั่วไปทำไม่ได้อย่าพึงเชื่อ อาจจะเป็นการเขียนเพื่อสรรเสริญพระศาสดาอย่างเดียวก็ได้ ส่วนไหนที่คนทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้างให้ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะเป็นสาธารณะ คือคนทั่วไปทำได้ ส่วนไหนที่คนทั่วไปทำได้จึงเชื่อ แบบนี้เฮงมาก ต้องบอกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี สมัยนี้เขาเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ไปเก่งเทียบใครไม่ว่า ไปเก่งเทียบพระพุทธเจ้าก็หมดเลย" |
ถาม : นอกจากตัดปฏิฆะแล้ว จะตัดราคะต้องใช้อานาปานสติไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วกรรมฐานทุกกอง ถ้าควบอานาปานสติสามารถแก้ได้ เพียงแต่ว่าแก้ไม่ตรง แบบเดียวกับปวดท้องแล้วไปกินยาแก้ปวดหัว พอรักษาได้เหมือนกัน เพราะว่าอานาปานสติมีกำลังสามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่ว่าเราสามารถรักษาให้ต่อเนื่องได้หรือเปล่าเท่านั้น ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่ากรรมฐาน ๔๐ กองใดกองหนึ่งก็เป็นพระอริยเจ้าได้ แล้วถ้าเราตัดราคะไม่ได้จะเป็นพระอริยเจ้าอีท่าไหน โดยเฉพาะในระดับสูงขึ้นไป |
ถาม : ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงฟุ้งได้ ?
ตอบ : อยู่ดี ๆ ไม่ฟุ้งหรอก เราต้องไปช่วยจึงฟุ้ง บางทีเราก็ช่วยแบบไม่รู้สึกตัว คือไปใส่ฟืนใส่ไฟให้โดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าตาเห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็นก็ไม่มีโทษอะไร คราวนี้พอไปเห็นแล้วเราไปคิดต่อแม้แต่นิดเดียว ว่าเราชอบหรือไม่ชอบก็เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังนั้น..เวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดอะไรก็ตาม ต้องหยุดให้ทัน ถ้าหยุดไม่ทันก็ฟุ้งทั้งหมด จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ เพียงแต่ว่าบางทีสภาพจิตเราหยาบไปหน่อย ก็เลยไม่รู้ว่าฟุ้งเพราะอะไร ตามไม่ทัน ตัวเองกวนน้ำขุ่นเอง แต่สงสัยว่าเราไม่ได้กวนสักหน่อย เราแค่เดินลุยน้ำเฉย ๆ ...(หัวเราะ)... |
ถาม : นอกจากไม่ติดในรส ยังมีอะไรอีกในอาหาเรปฏิกูลสัญญา ?
ตอบ : นอกจากตรงจุดนี้แล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็ตรงสมาธิ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ตัวระงับยับยั้งจะมีมากเท่านั้น สามารถห้ามปากห้ามลิ้นตัวเองได้ ไม่ไปแสวงหาเพิ่มเติม แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่พอ ก็จะยอมแพ้ใจตัวเอง วิ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองชอบเข้ามา ดังนั้น..อันดับแรก พิจารณาเห็นว่าอาหารมีพื้นฐานเป็นของสกปรก สักแต่ว่าอาศัยกินเข้าไปเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถ้าในส่วนอื่นก็อย่างที่บอก ใช้ยาแก้ปวดหัวไปรักษาโรคปวดท้องก็ไม่เป็นไรหรอก ขอให้มีเถอะ |
ถาม : ท่องพุทโธแล้วยังฟุ้งค่ะ
ตอบ : รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ถ้ารู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมา แรก ๆ เหมือนอย่างกับม้าหรือลิงที่อยู่ในป่า เขาไม่ชอบให้กักขังก็จะดิ้นไปทางนั้นทางนี้ ก็คือคิดนั่นคิดนี่ฟุ้งซ่านไปเรื่อย เราต้องดึงมาผูกไว้กับหลัก ก็คือลมหายใจเข้าออกให้ได้ รู้ตัวว่าเตลิดเมื่อไรก็รั้งกลับมา อยู่ตัวว่าเตลิดเมื่อไรก็รั้งกลับมา หรือถ้าตั้งใจสู้จริง ๆ ดูว่าจะคิดได้สักเท่าไร ก็ตามดูไปเรื่อย ๆ รับรองว่าคิดได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก เรามักจะคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้นะ จาก ๑ ไป ๒ ไป ๓ เรื่อย ๆ จนจบแล้วก็จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ ถ้าเป็นอย่างนี้นะ ๑-๒-๓ ใหม่ เราจะเห็นว่าจริง ๆ เราคิดไม่นาน แต่จะคิดวนไปวนมา ฉะนั้น..ถึงเวลาเรารู้ตัวก็ดึงกลับมา บางทีปล่อยให้คิดไปสักรอบสองรอบก็ได้ พอเหนื่อยแล้วดึงกลับมาภาวนา เขาก็ยอมเราหน่อย พยายามซ้อมบ่อย ๆ จ้ะ การปฏิบัติแรก ๆ จะลำบากนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราเคยชินแล้ว อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ภาวนาเมื่อไรอารมณ์ใจทรงตัว เราก็ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านอีก ถาม : มักจะยอมก่อนค่ะ ตอบ : ถ้ายอมก่อนนี่มักจะยอมไปเรื่อย ๆ ฉะนั้น..ต้องพยายามดึงกลับมา ถาม : เราต้องสู้กันตลอด จนกว่าจะยอมเราหรือคะ ? ตอบ : จนกว่าจะยอมเรา พอเรามีความคล่องตัว มีกำลังเหนือกว่า เราก็กดคอไว้เลย กำลังเหนือกว่าเราก็จับลิงมัดเลย แต่ถ้ากำลังยังสู้ลิงไม่ได้ ลิงก็จะเตลิดไปเรื่อย ๆ ตอนแรก ๆ ต้องพยายามนิดหนึ่งจ้ะ ใครภาวนาก็เป็นแบบนี้ทุกคน เราไม่ได้เป็นแค่คนเดียว |
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กว่า "เป็นอย่างไรจ๊ะตัวเล็ก ? ถึงเวลานั่งกรรมฐานเลยลูก หลวงตายืนยันว่าใครนั่งกรรมฐานเรียนเก่งทุกคน"
เมื่ออาทิตย์ก่อนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ไปบิณฑบาตที่โรงเรียนแล้วก็เทศน์ให้ฟังวันวิสาขบูชา ก็ยืนยันกับเด็กเขาไปว่า ทานเราได้ทำแล้วตอนใส่บาตร เมื่อครู่นี้เราก็ได้สมาทานศีล เหลืออย่างเดียวคือภาวนา คราวนี้การภาวนาถ้าใครทำเป็นจะเรียนเก่งทุกคน แล้วก็ยกตัวอย่างให้เขาฟัง เรื่องของเด็ก ๆ ถ้าไปพูดไม่ถูกจังหวะเขาก็คุยแข่งกับเรา แต่ถ้าพูดในสิ่งที่เขาอยากฟังเขาก็จะตั้งใจฟัง เด็กทุกคนอยากเรียนเก่งทั้งนั้นแหละ ในเมื่อมีวิธีทำให้เรียนเก่งก็สบาย บอกเขาว่าสมัยก่อนหลวงตาเองก็ไม่ได้เรียนเก่งหรอก แต่พอภาวนาแล้วเรียนเก่งขึ้นเรื่อย ๆ " |
ถาม : ภาวนาแล้วตัวจะลอยค่ะ
ตอบ : คราวหน้าอย่าแค่จะลอย ให้ลอยจริง ๆ ดู ปล่อยลอยเลย ไม่ไปไหนหรอก ถึงเวลาก่อนภาวนาปิดหน้าต่างไว้ พอลอยแล้วดูว่าไปไหน ก็จะวน ๆ อยู่รอบห้องนั้นแหละ พอเรากลัวก็จะกลับที่เดิมพอดีเลย ถึงเวลาเราก็ทำใหม่ ซ้อมให้คล่อง ต่อไปเวลาไปไหนไม่ต้องเสียค่ารถ เราใช้ลอยไปแทน นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ บอกเรื่องจริงเลย เพราะว่าอาตมาเองเคยทำมาก่อน ภาวนาแล้วลอยดีนักแล เพียงแต่ตอนอาตมาภาวนาดันไปเปิดพัดลมเพดานไว้ ลอยขึ้นไปห่างพัดลมนิดเดียว เกือบตายมาแล้ว..! |
ถาม : ไปเอากุมารทองมา แล้วเขาตามไปไหนมาไหน ?
ตอบ : ให้ตั้งใจถามเขาว่า เขามาเพื่ออะไร ถาม : ได้มาปีกว่าแล้วค่ะ ต้องทำอะไรบ้างคะ ? ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรจ้ะ ทำบุญอะไรก็อุทิศให้เขาก็แล้วกัน บอกว่ากุศลทั้งหมดที่เราสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย เสร็จสรรพเรียบร้อยจะให้เขาช่วยเรื่องอะไรก็บอกเขาไป ให้เขาช่วยดูแลรักษาเรื่องความปลอดภัยของเราทุกครั้งที่เดินทางอยู่ในบ้านนอกบ้านก็ว่าไป หรือจะให้เขาช่วยในเรื่องอื่น ๆ เช่น ขอให้มีความคล่องตัวในด้านหน้าที่การงานก็ว่าไป ถาม : ต้องอุทิศส่วนกุศลไหมคะ ? ตอบ : อุทิศส่วนกุศลนั่นถูกเลย ถ้ากำลังบุญเราสูงแค่ไหนเขาไปแค่นั้นเลย แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะกตัญญู รู้ว่าได้อะไรไปจากเรา ถึงเวลาก็พยายามตอบแทน ดังนั้น..ถ้าเราขอไม่เกินวิสัย ท่านก็สงเคราะห์ให้ แต่เราไม่ขอท่านก็สบาย นอนตีพุงรออยู่ข้างบนว่าเมื่อไรจะขอสักที ถาม : ทุกวันนี้เหมือนกับเป็นการขังเขาหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขาอย่างนั้นเขาไปได้เลย |
ถาม : เทวดาจะมีเทพธิดา นางฟ้าเป็นบริวาร เขาทำกรรมอะไรไปเกิดในลักษณะเป็นบริวาร ?
ตอบ : พวกนั้นสร้างบุญมาน้อย ในเมื่อทำบุญแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะไม่เคยสร้างบุญในเรื่องของวิหารทาน จึงไม่มีวิมานของตัวเองอยู่ ต้องอาศัยคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น..ใครที่มีกำลังบุญใหญ่กว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไปอาศัยเขา เขาก็เลยมีกฎเกณฑ์ว่าถ้าทำบุญระดับไหนจะมีบริวารได้เท่าไร ถาม : แล้วถ้าเจ้าของวิมานไปเกิด บริวารจะทำอย่างไรคะ ? ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ..เดี๋ยวเขาก็ไปหาที่ใหม่ของเขาเอง พวกที่ไปมีน้อยกว่าที่อยู่ไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องกลัวจ้ะ ไม่ได้เหน็บบริวารไปด้วยหรอก ไปก็ไปคนเดียว |
ถาม : กุมารทองเขาอยู่ในภพภูมิอะไรครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาเอาอะไรมา ส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสี แต่ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา ก็จะมีสภาพเป็นเทวดา ถาม : สัมภเวสีคือ ? ตอบ : พวกที่ตายแล้วยังไม่หมดอายุของความเป็นมนุษย์ จะไปรับความดีความชั่วก็ไม่ได้ ต้องรออายุความเป็นมนุษย์หมดก่อน สมมุติว่าอายุความเป็นมนุษย์ ๘๐ ปี แล้วตัวเองตายตั้งแต่ ๓๐ ปี ก็ต้องร่อนเร่อยู่ ๕๐ ปี ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกที่ตายก่อนอายุ ที่เขาเรียกว่าตายโหง ถาม : อย่างนี้เขาก็อยู่ชั้นจาตุมหาราช ? ตอบ : จะอยู่ในเขตของกึ่ง ๆ จาตุมหาราช ในบริเวณนั้นจะมีที่ตั้งของตำหนักพญายมอยู่ด้วย เขาไปไหนไม่ได้ก็วนเวียนไปเรื่อย ถาม : ไม่ใช่เปรตหรือครับ ? ตอบ : ไม่ใช่..เปรตนี่รับโทษไปเลย อสุรกายรับโทษไปเลย แต่สัมภเวสียังเร่ร่อนอยู่ รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นคน เขาถึงจะไปรับโทษหรือรับความดีได้ ดังนั้น..ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปเท่าไร พวกนี้จะได้รับทั้งหมด แล้วถ้าเขาได้รับ เขาจะมีสภาพเหมือนเทวดา ต่อให้ร่อนเร่อย่างไรก็มีความสุข |
ถาม : กุมารทองมีที่เป็นเทวดาไหมครับ ?
ตอบ : มี..ของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามที่นครปฐม คนเขาถามหลวงพ่อว่าวิชาพวกนี้ต้องเอาผีมาไม่ใช่หรือ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว" แสดงว่าอุทิศส่วนกุศลให้เขาจนเป็นเทวดาไปหมด |
ถาม : มีดตัดหวายนิมิต มีอานุภาพอะไรบ้าง ?
ตอบ : เอาไว้ขู่ขโมยได้จ้ะ เพราะอันใหญ่ดี..! ต้องดูว่าเขาเข้าพิธีพุทธาภิเษกมาหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เข้าพิธีก็เท่านั้นแหละ ก็เป็นมีดอันหนึ่ง ถ้าเข้าพิธีพุทธาภิเษกมาก็ใช้แบบเดียวกับมีดหมอ |
ถาม : กุมารทองปฏิสนธิแบบไหนครับ ?
ตอบ : การปฏิสนธิของกุมารทองเป็นแบบโอปปาติกะ คือผุดขึ้นก็เป็นตัวตนเลย ถาม : อย่างนี้เรียกว่าเปลี่ยนภพภูมิหรือครับ ? ตอบ : เปลี่ยนแล้ว..เพียงแต่อยู่ในสภาพของจิตที่ยังไม่ได้ไปในภพภูมิเฉพาะของตน ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ จนกว่าหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ ถึงจะไปภพภูมิเฉพาะตามบุญตามบาปที่ตัวเองทำมา ถาม : ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน ? ตอบ : ถ้าไม่ใช่ญาติที่เนื่องกันมาหรือไม่ใช่คนที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลเฉพาะแก่เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขามีกติกาว่าห้ามไปรบกวน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยเป็นญาติกันมาเขาถึงมาได้ ถาม : พอเราทำความดี เขาก็แห่กันมาขอ ? ตอบ : เราทำความดีก็สว่าง เขาเองเหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด แสงสว่างตรงไหนมาก เห็นชัด เขาก็ลุยไปตรงนั้นแหละ ถ้าตรงนั้นจุดตะเกียงเจ้าพายุ ส่วนเราจุดเทียน เขาก็วิ่งไปหาตะเกียงเจ้าพายุกันหมด |
ถาม : เทวปุตตมารถือว่าเป็นผีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นผี ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก เพราะว่าตั้งแต่สัมภเวสีจนถึงพระบนนิพพาน พวกเราก็เหมาว่าเป็นผีหมด แต่ถ้าเป็นมารแท้ ๆ เลยเขาจะอยู่สวรรค์ที่ ๖ คือปรนิมมิตวสวัสตี จะมีเขตของเขาต่างหาก คนละครึ่งกับเทวดา จะว่าไปแล้วในระดับความดีของเขาสูงกว่าเทวดาแต่ยังเป็นพรหมไม่ได้ ในบาลีเอ่ยถึงว่า เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เขาไล่ไปจากเป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม ฟัง ๆ ดูแล้วเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าด้วยซ้ำไป ถาม : แล้วตอนที่เชิญพระโพธิสัตว์จากดุสิตลงมา มารก็ไปเชิญด้วย ? ตอบ : ถ้าพร้อมใจกันทุกคนก็ไปเชิญ ถาม : แล้วทำไมตอนหลังจึงมาคอยทำร้ายครับ ? ตอบ : ไม่ใช่ทำร้าย พวกเราเข้าใจผิด นั่นเป็นข้อสอบ ครูออกข้อสอบ อยู่ที่ลูกศิษย์จะทำได้ไหม แล้วครูท่านนี้ค่อนข้างโหดหน่อย ข้อสอบหนักมากเลย ถาม : แล้วอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมหรือครับ ? ตอบ : เป็นการทดสอบจ้ะ ครูออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ แล้วลูกศิษย์ทำไม่ได้ครูมีโทษไหมเล่า ? ครูไม่มีโทษหรอก มีแต่นักเรียนนั้นแหละจะโทษครู |
ถาม : เราไม่ใช่ญาติเขา แต่เขาก็มากวน ขอกุศลจากเรา ?
ตอบ : ยกเว้นอย่างสายเรา "เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี" เราให้เป็นประจำ เขาก็วิ่งใส่เหมือนกัน ถ้าไม่อยากให้เขากวนก็ตัดคำนี้ออก แต่ก็โหดไปหน่อย ถาม : บางท่านรับกุศลได้ แต่บางท่านก็รับกุศลไม่ได้ ? ตอบ : อย่างทั่วไปที่ทำกรรมไม่มาก มีโอกาสโมทนาบุญได้ แต่ถ้าเป็นท่านที่ทำกรรมมาหนัก อาจจะประเภทฆ่าสัตว์ใหญ่ทุกวัน อย่างเช่น อยู่โรงฆ่าสัตว์ ฆ่าวัวฆ่าควายตลอด ก็โมทนาบุญได้ยาก มีฝรั่งอยู่คนหนึ่งนอกจากเลิกฆ่าสัตว์แล้วยังกินมังสวิรัติด้วย เขาบอกว่าเขาอยู่โรงฆ่าสัตว์ มีหน้าที่เอาปืนไฟฟ้ายิงหัววัวควาย วัวควายทุกตัวก็มักจะดิ้นรนหนี ต้องให้คนต้อนเข้าซองมาตรงเขา แต่เขาบอกว่าวันนั้นสะเทือนใจจริง ๆ วัวตัวนั้นเดินตรงดิ่งเข้ามาเองเลย แต่มายืนมองหน้าเขาแล้วน้ำตาไหล เหมือนกับว่ายอมตายแต่โดยดี เขาสะเทือนใจมาก เลยเลิกอาชีพนั้น เลิกอาชีพนั้นไม่พอ ยังกินมังสวิรัติด้วย |
ถาม : ทำไมคนฮินดูถึงกินมังสวิรัติคะ ?
ตอบ : เขาถือว่าเป็นการไม่เบียดเบียน ส่วนใหญ่แล้วมาในสายของศาสนาเชนที่เขาเป็นนักบวชแก้ผ้า พวกนั้นจริง ๆ เป็นต้นตำรับศีล ๕ มาก่อน แต่เป็นศีล ๕ ที่เคร่งครัดมาก อย่างเช่นต้องมีผ้าปิดจมูกเพราะกลัวหายใจเอาจุลชีวะเข้าไปแล้วทำให้เขาตาย เวลาเดินทางต้องมีลูกศิษย์กวาดนำหน้าไป เพราะกลัวจะเหยียบสัตว์เล็ก ๆ ตาย เขาก็เลยพลอยไม่กินเนื้อสัตว์อื่นไปด้วย ไปกินมังสวิรัติแทน แล้วคราวนี้ความเชื่อนี้ฝังรากลึกมานาน ก็เลยทำให้ชาวฮินดูทั้งหมดกินมังสวิรัติเป็นปกติ ถาม : เวลากินอาหารเข้าไป เราก็กินชีวะไปนี่ครับ ? ตอบ : ก็ต้องถามเขาดู ขนาดน้ำเขาต้องกรอง ๗ ครั้ง ความจริงเขาถือเคร่งครัดดี แต่กลายเป็นสีลัพพัตตุปาทาน คือยึดมั่นในศีลของตัวเองมากเกินไป ในเมื่อยึดมั่นมากก็เลยหลุดพ้นไม่ได้ ศาสนาของเขามาก่อนศาสนาพุทธ ประวัติแทบทุกอย่างของเขาคล้าย ๆ พระพุทธเจ้า ศาสดาคือมหาวีระหรือเขาเรียกนิครนถนาฏบุตร เป็นกษัตริย์แล้วก็สละราชสมบัติออกบวชเหมือนกัน บรรลุธรรมเหมือนกัน แล้วมีมหาปุริสลักษณะเหมือนกัน คราวนี้เวลาเราไปอินเดีย เวลาจะไปไหว้พระต้องดูดี ๆ ก่อน ถ้าเห็นอวัยวะเพศอยู่นั่นคือรูปของมหาวีระ แต่หน้าตาเหมือนพระพุทธรูปเลย เอาให้ดี ๆ นะ ไปที่นั่นเราอาจจะเปลี่ยนศาสนาโดยไม่ตั้งใจ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.