กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3713)

เถรี 07-05-2013 21:52

ถาม : ตอนทำสมาธิใจภาวนาไม่สงบเลยค่ะ ทีนี้ถ้าเราถนัดท่องพุทโธ ?
ตอบ : ถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น เพราะสภาพจิตเราเคยชินแล้วจะยอมรับได้ง่ายขึ้น พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแล้วเราค่อยเปลี่ยนไปภาวนาอย่างอื่น เช่น ถ้าเราภาวนาพุทโธจนชิน กำลังใจเราทรงตัวแล้วค่อยไปว่าอิติปิโส ๑๐๘ จบ เสร็จแล้วค่อยไปว่าคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ พอว่าอย่างนั้นจบเราก็ย้อนเข้าหาพุทโธตามเดิม

เถรี 08-05-2013 11:42

ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ รู้ว่าตอนนี้คำภาวนาหายไปลมหายใจหายไป สภาพจิตของเราตอนนั้นคิดอย่างไร เป็นอย่างไร เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว อย่าไปอยากให้หายใจใหม่หรืออย่าไปอยากให้ภาวนาใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ แล้วสภาพจิตจะเป็นไปตามสภาพของเขาเอง ก็คือเข้าสู่สมาธิระดับลึกยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปไขว่คว้าหาคำภาวนาหรือหาลมหายใจ เท่ากับเราถอยหลังกลับ

ขณะเดียวกันถ้าเราอยากผลักดันให้ไปข้างหน้า อยากให้ไปดีกว่านี้ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไป ฉะนั้น..รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ดูและรับรู้เท่านั้น

เถรี 08-05-2013 11:46

ถาม : เวลาที่มีคนมาขอส่วนบุญ เราไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเคยมีส่วนเนื่องกันมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี" เขาจะได้มีโอกาสโมทนา

ถาม : ถ้าไม่ใช่ญาติ กลัวว่าเขาจะไม่ได้ ?
ตอบ : บุคคลทื่รองรับความดีเราได้ ก็คือบุคคลที่อยู่ในภูมิระดับต่ำกว่าเรา ประเภทสูงกว่าหรือเท่ากับเรา เราให้ท่าน ท่านยินดีด้วย แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์

ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้ครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ให้ไปท่านรับอยู่แล้ว แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่แล้วซื้อข้าวของมาฝาก พ่อแม่ก็ไม่ได้ยินดีกับข้าวของนั้นอะไรหรอก เพราะท่านมีเหลือเฟือแล้ว แต่ท่านดีใจที่ลูกยังคิดถึงท่าน เราเอาข้าวของมาฝาก ผู้ใหญ่จะรักเอ็นดูเรา ถึงเวลาเรามีอะไรไม่เกินวิสัย ท่านก็จะสงเคราะห์ให้

การระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นกตัญญูกติเวทิตา ขณะเดียวกันการระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เป็นการปฏิบัติบูชา

เถรี 08-05-2013 11:53

ถาม : คุยกับเพื่อนทางธรรมด้วยกัน เขาจะชอบบอกว่าช่างสงสัย ครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่าวิจิกิจฉาเยอะ ?
ตอบ : ถ้าเข้ามาปฏิบัติ ตัววิจิกิจฉาน้อยแล้ว วิจิกิจฉาจริง ๆ คือความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย การที่สงสัยหาคำตอบไม่ได้แล้วถามคนอื่นถือเป็นเรื่องปกติ แต่วิจิกิจฉาคือสงสัยลังเลในความดีแล้วก็ไม่ปฏิบัติเสียที เพราะฉะนั้น..ไปตีความคำว่าวิจิกิจฉาเสียใหม่

เถรี 08-05-2013 12:01

ถาม : เวลาเราสวดมนต์ต้องอาราธนาศีลห้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเรารู้ว่าศีลคืออะไรแล้ว เราตั้งใจรักษาก็ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา การอาราธนาศีลจริง ๆ ก็คือการขอให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเรารู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ก็ไม่ต้องอาราธนา ให้ตั้งใจทำไปเลย

ถาม : กลัวว่าถ้าไม่อาราธนาศีลแล้วศีลจะไม่ครบ ?
ตอบ : ศีลอยู่ที่การงดเว้น ถ้าไม่งดเว้นแต่ไม่ผิดศีลก็ยังไม่มีอานิสงส์เลย เพราะเจตนาไม่มี ดังนั้น..เรารู้อยู่แล้วว่าศีลมีอะไรบ้าง ไม่ละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นก็แปลว่าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

เถรี 08-05-2013 12:09

ถาม : ถ้าเราสอนลูกให้รักษาศีลห้า ?
ตอบ : เล่นกับเขาสนุก ๆ เช่น ถ้าลูกตั้งใจท่องปาณาติปาตา เวรมณีฯ ได้ก็ชมว่าเก่งจังเลย ลองดูซิเก่งกว่าน้องดีแลนด์ได้ไหม ต่อไปท่อง อทินนาทานา เวรมณีฯ บอกเขาไปว่าถ้าเขาท่องแล้วเขาจะเก่งกว่าเพื่อนในห้อง เพราะเพื่อนในห้องยังท่องไม่ได้เลย เดี๋ยวลูกก็ตั้งใจทำเอง

หลังจากนั้นเราก็ค่อยอธิบายความหมายทีละนิดทีละหน่อย ว่าแต่ละข้อหมายถึงอะไร ต้องทำอย่างไร ถ้าลูกทำผิดก็อย่าไปดุเขา บอกว่า ถ้าลูกยังเป็นลูกที่แม่รักอยู่ ต่อไปอย่าทำอย่างนี้นะ เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเองอย่างนี้ ๆ แล้วถ้าลูกจะต้องตกไปอยู่ในที่ไม่ดี แม่ก็อยู่ด้วยไม่ได้ แล้วลูกจะอยู่กับใคร เห็นไหม..เรื่องหลอกเด็กง่ายจะตายไป

เถรี 08-05-2013 12:15

ถาม : ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ เขาจะมาหาบ่อยขึ้นหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะไม่ว่าคนหรือสัตว์ พอตายไปแล้วจึงจะฉลาด ตอนนั้นก็เริ่มรู้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว ที่ไหนที่มีคนทำบุญทำกุศล ตรงจุดนั้นจะสว่าง เขาจะเห็นได้ชัดเลย เขาก็จะไปเสาะหาดูว่า เขามีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้นหรือเปล่า

ฉะนั้น..จะเรียกว่าทำให้เขามาเยอะขึ้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายที่ได้รับความดีส่วนนี้ พอสบายขึ้นแล้วมักจะกตัญญู รู้ว่าได้ดีเพราะเรา ถึงเวลาพอขอให้ท่านสงเคราะห์อะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราก็ให้ไปเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะขออะไร

เถรี 08-05-2013 20:49

ถาม : ลูกเขามองไม่เห็นผี จะบอกเขาอย่างไร ?
ตอบ : บอกว่าเป็นเรื่องปกติ ผีมีอยู่ทั่วไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เราเป็นคนรวยเขาเป็นคนจน เขามาเพื่อขอแบ่งปันความดีจากเรา คนรวยไม่ควรจะกลัวคนจนที่มาขอ หน้าที่ของเราก็คือแบ่งปันให้เขา ถึงเวลามีอะไรที่ไม่เกินวิสัยก็ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์

อาตมาไปธุดงค์ ป่าบางแห่งพวกนี้มีอยู่เต็มมาก พออุทิศส่วนกุศลให้เขามาเต็มไปหมด ถึงเวลาก็ขอให้เขาช่วยดูแลรักษาให้ ปรากฏว่าเขายืนซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ยาวเป็นกิโลเมตรเลย ถ้าเป็นคนก็เป็นกองทัพเลย ถ้าคนทั่วไปมาเห็นได้คงช็อกตาย ดีอยู่อย่างคือ ถ้าเขารับปากเราก็ปลอดภัยแน่นอน

อาตมาเป็นคนตื่นไม่เป็นเวลา บางทีก็ห้าทุ่ม-เที่ยงคืน หรือตีหนึ่งตีสอง ตื่นขึ้นมาก็เดินไปด้วย ภาวนาไปด้วย แปลกตรงที่ว่าถึงมืดแค่ไหนก็จะมองเห็นทางไปเรื่อย จะไปทางไหนก็มีทางให้ไป พอไม่มั่นใจลังเลเมื่อไร เขาจะมายืนกวักมือ แล้วเราก็ไปตามนั้นแหละ แปลกที่เสือสางช้างม้างูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ไม่มี เดินไปได้เรื่อย ๆ

บางแห่งไม่เคยไปเลย ตั้งใจกำหนดนึกถึงเขา ก็เห็นเขามายืนโบกมือให้ไปทางนั้นทางนี้ พอเดินเข้าไปใกล้ ตรงนั้นอาจจะกลายเป็นก้อนหินหรือตอไม้ แต่อาตมาทำไมเห็นเป็นคนยืนอยู่ก็ไม่รู้ ?

ถาม : แล้วถ้าคนไม่เห็นเขาจะดลใจให้ไปทางนั้นได้ไหม ?
ตอบ : ได้

เถรี 08-05-2013 21:03

ถาม : การที่เราไม่เห็นเขา แสดงว่า...?
ตอบ : กำลังใจของเราไม่ตรงร่อง ก็เลยไม่เห็นเขา การเห็นผู้อื่นได้เกิดจากสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเราปรับกำลังใจไปตรงกับเขา อย่างที่สองคือเขาปรับมาตรงกับเรา

การที่เราปรับตรงกับเขา ด้วยความที่เราไม่เคยชินก็จะยาก นาน ๆ จะตรงสักครั้งหนึ่ง ต้องผ่านการฝึกปรือมาสักระยะหนึ่งจนคล่องตัวแล้ว จึงปรับให้ตรงกับเขาได้ ส่วนที่ไหนที่เขากำลังสูงหน่อย เขาสามารถปรับมาตรงกับเราได้ ถ้าเขามาปรับมาจะชัดกว่า ถ้าเราปรับไปไม่ค่อยชัดหรอก ดังนั้น..การไม่เห็นก็เป็นเรื่องปกติ

เถรี 08-05-2013 21:33

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๔-๕ วันที่ผ่านมา มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหนีไปอยู่วัด เขาไม่เคยไปมาก่อน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วนั่งรถไป กว่าจะไปถึงวัดก็ ๘ ชั่วโมง ไปขออยู่วัดเลย

อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน เขาก็โทรศัพท์กลับบ้าน อาตมาก็ทำวัตรเย็นไป พอทำวัตรเสร็จเขาบอกว่า "ป๊าอนุญาตให้อยู่วัดแล้ว" ถามว่าอนุญาตอย่างไร "ป๊าบอกว่าจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป..!"

วันรุ่งขึ้นพ่อ อา และพี่สาวมา อาตมาบอกเขาว่าไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้ว เพราะออกมาในลักษณะนี้ทำให้คนอื่นเขาไม่เข้าใจ มองศาสนาในแง่ร้ายไปเลย ส่วนเด็กเขายืนยันว่า เขาอยากจะเร่งทำความดีไว้ ถ้าตายเสียก่อนเขาก็ยังไม่ได้ทำ แต่พ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พูดกันคนละภาษาก็เลยไม่รู้เรื่องกันสักที ต้องให้น้องเล็กไปคุยด้วย บอกเขาว่าทำแบบนี้โลกช้ำธรรมเสีย

เขาก็ยืนยันว่า ไม่อยากเสียอารมณ์ใจอย่างนี้ไปอีก ก็คือพอทำมาถึงระดับนี้ อยู่ ๆ กำลังใจหล่นลงไปก็เสียดายมาก แล้วเมื่อไรจะตั้งกำลังใจได้ระดับนี้อีก เขาก็เลยทิ้งเรื่องการเรียนไป เขาเรียนเอแบคแล้วขอไปอยู่วัดแทน น้องเล็กบอกว่า เรื่องกำลังใจตกยังต้องเจออีกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่ากำลังใจดีแล้วมาขออยู่วัด ดีไม่ดีจะตกตอนอยู่วัดนี่แหละ เพราะสถานที่ดีไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ในวัดจะดีด้วย คนเมื่อไรก็เป็นคน การกระทบกระทั่งกันย่อมมีอยู่

ท้ายสุดพ่อก็รับปากว่าสงกรานต์จะพามาทำบุญที่วัด เขาพยายามจะให้พ่อเข้าวัดทำบุญด้วย พ่อเขาก็บอกว่าต้องทำมาหากิน จะให้เอาแต่ทำบุญย่อมเป็นไปไม่ได้ นั่งเถียงกันอยู่ตรงนั้นแหละ ท้ายสุดอาตมาตั้งใจจะทำพาวเวอร์พอยต์สำหรับประชุมกรรมการวัด ก็เลยไม่ต้องทำ ให้พ่อแม่ลูกเถียงกันจนหมดวัน ท้ายสุดเขาก็ต้องยอมกลับบ้าน"

เถรี 08-05-2013 21:34

พ่อเขาก็มาถาม "หลวงพ่อมีอะไรให้ผมต้องทำบุญไหม ?" เพราะลูกเขาบอกว่าพ่อไม่ทำบุญเลย "หลวงพ่อกำลังสร้างศาลา ต้องการเงินทำบุญเท่าไรจึงพอ ?" อาตมาบอกว่า "เอาไว้รู้จักกันมากกว่านี้ก่อน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนใจแล้วค่อยมาทำ" เขามากระซิบบอกว่า ส่วนใหญ่ไปที่อื่นแล้ว เขามักจะเรียกร้องให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ทำเท่านั้นทำเท่านี้ เพิ่งจะมาเจอที่นี่แหละ ขอทำบุญแล้วยังไล่กลับอีก

อาตมาบอกเขาว่า "ให้ดูไปนาน ๆ ยังมีเวลาอีกมาก ถ้าเห็นว่าถูกใจแล้วค่อยมาทำบุญทีหลัง"

เถรี 13-05-2013 09:11

ถาม : เราสวดมนต์ทุกวันกับนั่งสมาธิอย่างไหนจะดีกว่าคะ ?
ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นก็คือนั่งสมาธินั่นแหละ แต่เป็นสมาธิขณะที่เราทำอย่างอื่นด้วย ส่วนการนั่งสมาธิถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ยังสู้สวดมนต์แล้วทรงสมาธิไม่ได้ เพราะว่าการที่เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วทรงสมาธิได้ กับการที่เรานั่งสมาธิเฉย ๆ ความสำเร็จและความสามารถเป็นคนละระดับกัน

นั่งเฉย ๆ ได้สมาธิ ถ้าขยับอาจจะหลุดไปเลย แต่ถ้าเราทำอย่างอื่นแล้วทรงสมาธิได้ สมาธิก็จะอยู่กับเราได้นาน ฉะนั้น..ถ้าเราสวดมนต์ยาว ๆ จนทรงสมาธิทรงตัวได้ ต่อไปก็ทำอย่างอื่นไปด้วยได้


ถาม : เวลาสวดแล้วจิตสงบมั่นคงดีค่ะ
ตอบ : การสวดมนต์ถ้าเราทำเป็นถึงพระนิพพานได้ อันดับแรกก็คือสมาธิขั้นต้นต้องได้แน่นอน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวเราจะสวดผิด อันดับที่สองถ้าตั้งใจที่จะทรงฌาน ใช้คำสวดทั้งหมดเป็นคำภาวนา เท่ากับว่าเราภาวนาโดยใช้คาถาทั้งบท แต่เป็นคำภาวนาที่ยาวหน่อย จนกระทั่งสมาธิสามารถทรงตัวได้ตามที่ต้องการ

อันดับต่อไปถ้าจะทำทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงคำสวดมาเป็นคำ ๆ ถ้าเห็นตัวหนังสือได้ชัดเท่าไร เราก็จะเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ท้ายสุดถ้ายกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระพุทธเจ้าข้างบนเลย ตายตอนนั้นก็อยู่บนพระนิพพานเลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปคิดว่าแค่สวดมนต์ สำคัญว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าเราทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น แค่สวดมนต์ไปพระนิพพานได้สบาย


ถาม : สวดมนต์บทใดก็ได้ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี อย่างน้อยขณะที่เราสวดอยู่ เราก็ทำความชั่วไม่ได้ ทำความชั่วทางกายไม่ได้ เพราะนั่งอยู่ตรงนั้นต่อหน้าพระ ทำความชั่วทางวาจาไม่ได้ เพราะปากต้องสวดมนต์ อย่างเก่งก็นึกแช่งคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เป็นเพียงความชั่วทางใจเล็ก ๆ เท่านั้น

เถรี 13-05-2013 09:13

พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่ของเด็กว่า "พาเด็ก ๆ มาวัดได้ มาที่นี่ได้ แต่อย่าให้เขารำคาญ เพราะเดี๋ยวเขาจะไม่มาอีก ฉะนั้น..ถ้าจะชวนเด็กมา ต้องมีวิธีหลอกล่อเขาด้วย"

เถรี 13-05-2013 09:23

ถาม : อารมณ์ระดับของพระอริยเจ้าเราสามารถรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ทำถึงแค่ไหนก็รู้ได้แค่นั้น แต่บางคนเขาเข้าใจผิด อย่างเช่นว่าถึงความเป็นพระโสดาบันละเอียด แต่คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็มี เพราะไม่เคยชินกับอารมณ์นี้ พอเข้าไปถึงก็ โอ้..ทำไมถึงสุขอย่างนี้ ทำไมเบาสบายอย่างนี้ คิดว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ที่ไหนได้เป็นตั้งพระโสดาบัน..!

ถาม : หมายความว่าเราต้องฝึกสมาธิให้เยอะ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องครบจ้ะ อย่างเดียวไปไม่รอด มีศีลเป็นพื้นฐาน มีสมาธิช่วยในการยับยั้งและตัดกิเลส มีปัญญารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วปล่อยวางได้ ต้องมีให้ครบ

เถรี 13-05-2013 09:27

ถาม : พระอริยเจ้ามีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : เยอะจ้ะ..บางทีเดินชนกันตายไปหลายรูป แต่เราก็ยังไม่รู้จัก..!

ถาม : เราไม่ทราบว่าท่านไหนเป็น จะได้ทำบุญด้วย ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ ทำบุญกับใครก็ได้ ตั้งใจเป็นสังฆทานหรือไม่ถ้าสมาธิดี ๆ ก็ใช้วิธีตั้งใจน้อมจิตน้อมใจกราบท่าน แต่นึกถึงพระรัตนตรัยแทน ถ้าตั้งใจกราบท่านด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัยจริง ๆ ต่อให้ท่านตั้งใจปิดอย่างไรก็ตาม จะปิดกระแสเย็นไม่ได้ จะรู้สึกว่าท่านมีความเย็นที่ชวนให้เราชิดใกล้อยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจได้ว่าท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่งแน่ ๆ

เถรี 13-05-2013 09:36

ถาม : ถ้าเราฝันถึงพระอริยเจ้า อย่างนี้หมายความว่าอะไรคะ ?
ตอบ : หมายความว่าฝัน..! จะเอาอะไรมากมาย ถ้าเราสามารถฝันถึงสิ่งที่ดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่า ถ้ากำลังใจของเราอยู่ในด้านไม่ดี จะไม่ฝันถึงสิ่งดี ๆ หรอก นับแล้วก็คือกำลังใจของเราทรงตัวอยู่ในด้านดีระดับที่น่าพอใจ

เถรี 13-05-2013 09:47

ถาม : เมื่อก่อนจะนั่งไปแล้วมีปีติ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีค่ะ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้แย่ลง ไม่ปีติเลยใช่ไหม ? ..(หัวเราะ).. ส่วนใหญ่คนเราจะเข้าใจผิด อยากจะบอกว่าปีติเป็นแค่เด็กชั้นประถม พอเราทำไป ๆ สภาพจิตเคยชินกับความดีก็จะก้าวข้ามปีติไป ถ้าก้าวข้ามปีติไปแปลว่าเราทรงฌานในความดีนั้นได้

ในเมื่อทรงฌานในความดีนั้นได้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความดีนั้นยังมีอยู่ ไม่ได้ถดถอยไปไหน ? ก็ให้ดูว่าเรายังยินดีในการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเรายังยินดีที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติ ก็แปลว่ากำลังใจเราก้าวข้ามความดีจากปีติไปเป็นฌานแล้ว

เราทำอะไรก็เลยรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีปีติอีก ไม่ได้หมายความว่ากำลังใจลดลง หากแต่ก้าวสูงไปจากเดิม ถ้าอยากจะปีติอีกก็ต้องลดกำลังใจลงมา ซึ่งถ้าไม่คล่องตัว ลดไม่เป็นก็ไม่เจอหรอก

ฉะนั้น..คนที่ทำบุญไปนาน ๆ แรก ๆ มีปีติ หลังจากนั้นก็ตายด้าน เฉย ๆ ไป ไม่ใช่กำลังใจแย่นะจ๊ะ กำลังใจดีขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ากำลังใจดีขึ้น ก็ไปคิดว่า เอ..เราเลวลงหรือเปล่า ? ทำไมตอนนี้ทำบุญไม่มีความปีติเลย ? นั่นกลายเป็นฌานไปแล้วจ้ะ เป็นฌานก้าวข้ามปีติไปแล้ว แต่พิจารณาง่าย ๆ ว่าเรายังยินดีทำสิ่งนั้นเป็นปกติ ถึงเวลามีบุญมีกุศลที่ไหน เราก็เต็มใจทำ ถึงเวลาเราก็รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ก็แปลว่าเราทรงฌานในความดีได้

เถรี 13-05-2013 09:52

ถาม : บางทีนึกว่าเราเข้ามาทางธรรมช้าไป กว่าที่จะได้เจอครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียดาย แต่ละคนมีวาระของตัวเอง ถ้ามัวแต่เสียดายอยู่ คิดหรือว่าถ้าเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเราจะอยู่ได้แบบนี้ ? อาจจะประเภททะเลาะกันบ้านแตกไปตั้งนานแล้วก็ได้ ฉะนั้น..จะมาเร็วมาช้า ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อมาพบความดีแล้ว เราไขว่คว้าเอาไว้ได้หรือเปล่า ?

ถาม : กว่าเราจะเจอครูบาอาจารย์ได้ก็ไปหลายที่ ?
ตอบ :แรก ๆ เราก็ต้องตะเกียกตะกายไว้ก่อน หิวมากจะเข้าร้านอาหารที่ไหนก็ได้ พอกิน ๆ ไปเริ่มอิ่ม รู้ว่ารสอาหารไม่ถูกใจค่อยเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอที่ถูกใจไปเอง

เถรี 13-05-2013 09:58

ถาม : บางทีเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ แต่ท่านก็ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : เราก็อย่าไปละสังขารตามท่านสิ คนตายความดีไม่ได้ตาย ในเมื่อความดีไม่ได้ตาย เราก็ยึดตามหลักปฏิบัติของท่าน ตั้งหน้าตั้งตาทำตามท่าน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โย ธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นจะเห็นเรา เพราะถ้าเราไม่ได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็เท่ากับไม่เห็นท่าน ถ้าเรายึดมั่นแล้วปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความเคารพและจริงจัง ก็เท่ากับอยู่กับท่านตลอดเวลา

ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์จะยุคไหนสมัยไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ายึดถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ ระลึกถึงแล้วปฏิบัติตามท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : แสดงว่าเรามีความเกี่ยวเนื่องกับท่าน ?
ตอบ : ต้องเคยมี ถ้าไม่มีก็ไม่ตามกันมา

ถาม : เคยเหมือนเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าท่านมาจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : สมัยนี้ไม่ต้องรอให้ท่านมา ไปซื้อซีดีมาสักแผ่นแล้วมานั่งดูเสียให้พอ เห็นชัดแจ๋วเลย..!

เถรี 14-05-2013 13:27

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แสดงว่าจิตเริ่มมีมุทิตาในพรหมวิหารแล้ว สมัยที่อาตมาฝึกเรื่องพวกนี้อยู่ สภาพจิตตอนนั้นเห็นใครเขาได้รับความดี ก็รู้สึกยินดีกับเขาไปหมด ขนาดเดินบิณฑบาต ก้มหน้าก้มตาเดินไปภาวนาไป ได้ยินเสียงรถ เออ..เขาทำบุญไว้ดีจังเลยนะ มีรถขี่ น่ายินดีมากเลย พลอยดีใจกับเขาไปด้วย

ใครยังไม่เคยฝึกไปลองฝึกดู ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง เจอใครก็ยิ้มกับเขาได้หมด ไม่มีใครยิ้มกับพื้นก็ยังเอา อยู่บ้านไม่มีใครจะยิ้มด้วย ก็ยิ้มกับจิ้งจกตุ๊กแกได้หมด ลองทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน สวนกระแสเขาก็หาว่าบ้าดี ๆ นี่เอง..!

เถรี 14-05-2013 13:37

ถาม : คนที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไปบวช โดยที่ปล่อยพ่อแม่ไว้ข้างหลัง และท่านไม่เต็มใจด้วย ท่านชราภาพเกินกว่าที่จะดูแลตัวเองได้ การตัดสินใจแบบนี้จะเป็นการอกตัญญูไหมครับ ? หรือการสร้างบุญให้ท่านหลังความตายเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากกว่า ?
ตอบ : ไม่น่าจะบวชได้นะ เพราะว่าการบวชพ่อแม่ต้องอนุญาต เพราะฉะนั้น..ประเด็นอื่นจึงไม่ต้องตอบ ตอนจะบวชพระคู่สวดท่านถามว่า อนุญาโตสิ มาตาปิตูหิ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ ? แล้วเราจะไป "อามะ ภัณเต" อนุญาตแล้วครับได้อย่างไร ?

เถรี 14-05-2013 13:42

ถาม : คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาเห็นคนอื่นทำงาน รู้สึกขัดตา ขัดหู ไม่ได้ดั่งใจ เลยลงมือทำเสียเองให้หมดเรื่อง ถ้ามีความคิดแบบนี้สมควรจะปรารถนาพุทธภูมิต่อไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำถูกแล้ว เพราะพุทธภูมิต้องสงเคราะห์คนหมู่มาก ในเมื่อเขาทำไม่ไหว เราทำเองแทนเขาก็ถูกต้องทุกประการ เพียงแต่ต้องทนขี้รำคาญหน่อย และงานก็มากขึ้น

ถาม : ถ้าจะบอกว่านิสัยแบบนี้เป็นนิสัยละเอียด ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ?
ตอบ : ทนเห็นคนโง่ไม่ได้..! ไม่ใช่ทำงานร่วมกับเขาไม่ได้ ในเมื่อทนเห็นคนโง่ไม่ได้ ก็ต้องสงเคราะห์คนโง่ด้วยการทำแทน

เถรี 14-05-2013 13:45

ถาม : มีวิธีปิดหูปิดตา ไม่ให้รับรู้หรือมองเห็นพวกผีไหมครับ ผมรำคาญมากเลย ?
ตอบ : มี

ถาม : ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปเป็นผีเสียเอง..!

ถาม : ผมช่วยแล้วรู้สึกหนัก ๆ ?
ตอบ : ก็หัดปฏิเสธไปบ้างสิ ไม่ใช่ช่วยไปหมด รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้วยังช่วย นี่เป็นนิสัยพุทธภูมิแท้ ๆ เลย เชื่อเถอะ..เดี๋ยวก็ต้องกลับไปช่วยอีกจนได้ เพราะรู้สึกผิดว่าเราช่วยได้แต่ทำไมไม่ช่วย

เถรี 14-05-2013 13:50

ถาม : สัมภเวสีที่มาเกาะตามร่างกาย ?
ตอบ : พวกที่มาเกาะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วพวกที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ขี่คอเรามาแบบในโทรทัศน์นั้นมีน้อย พวกนี้จะเป็นพวกที่โดนบังคับใช้มา เพื่อที่จะครอบงำเราอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกที่เขาเกาะติดตามเรามาเพราะต้องการทวงถาม หรือมีกรรมบางอย่างที่เนื่องกันมา ซึ่งมีน้อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเรามีเทวดาประจำตัว มีกุศลผลบุญที่ทำเอาไว้ มีครูบาอาจารย์คุ้มครองอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทดวงตก สมาธิตก จิตตก หรือเคราะห์หนักจริง ๆ พวกนี้เกาะไม่ได้หรอก

ถาม : พวกที่เข้ามาแทรกแซง ?
ตอบ : ยาก...อย่างดีก็แค่กลั่นแกล้งให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือทำอะไรให้ลำบากเท่านั้น เรื่องของการที่เราจะโดนครอบงำ ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือสภาพจิตเศร้าหมองอ่อนแอจริง ๆ แล้วแทบจะทำอะไรเราไม่ได้

เถรี 14-05-2013 20:36

ถาม : คนในสมัยพุทธกาลที่ทรงกำลังใจดี อยากทราบว่าปัจจุบันนี้ถ้าทรงกำลังใจอย่างนั้นแล้ว ถ้ามีภาระหน้าที่ ท่านต่าง ๆ จะออกบวชเลยหรือรอจนกว่าพระพุทธเจ้าจะเอ่ย ?
ตอบ : ใครจะไปตัดสินใจแทนได้เล่า ?

ถาม : สมัยปัจจุบันมีไหมครับ ?
ตอบ : มีทุกรูปแบบ ที่วัดท่าขนุนเมื่อสองสามวันก่อน อาตมาเพิ่งไล่กลับบ้านไป เขาหนีจากบ้านจะมาอยู่วัด อาตมาขี้เกียจมีปัญหา พวกที่หนีพ่อแม่ไปบวช ถึงเวลาเขาไม่ได้ด่าลูก แต่เขาด่าพระ..!

ปัญหาที่คุณถามต้องดูตัวอย่างพระเจ้ามหานามะ พระเจ้ามหานามะเป็นกษัตริย์ของตระกูลศากยะเหมือนกัน ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วบรรลุอนาคามี ปกติพระอนาคามีเป็นผู้ไม่ครองบ้านเรือน ก็คือออกบวช แต่คราวนี้ในตระกูลของตัวเอง มีน้องชายก็คือพระอนุรุทธ ท่านบอกกับพระอนุรุทธว่า ใคร ๆ ในตระกูลศากยะของเราออกบวชตามพระพุทธเจ้ากันมาก เจ้าจะบวชหรือจะให้พี่บวช ?

พระอนุรุทธบอกว่า "การเป็นนักบวชนั้นลำบาก น้องทนไม่ได้หรอก พี่ไปบวชเถอะ" พระเจ้ามหานามะตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเป็นกษัตริย์แทนเรา" แล้วก็บรรยายให้ฟังว่ากษัตริย์ต้องทำอะไรบ้าง แค่พูดถึงการทำนาอย่างเดียว พระอนุรุทธบอกว่า " พี่อยู่ครองราชย์ไปเถอะ ผมไปบวชดีกว่า.."

สรุปลงตรงที่ว่า พระเจ้ามหานามะท่านเป็นถึงพระอนาคามีแล้ว ยังต้องทนครองราชย์ต่อไปเพื่อเสียสละให้น้องไปบวช ฉะนั้น..ถ้าเราเองไม่ถึงขนาดนั้นก็ทนอยู่ไปเถอะ หาจังหวะดี ๆ แล้วค่อยไป ไปแบบที่แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ใครก็นินทาเราไม่ได้

เถรี 14-05-2013 20:40

ถาม : พระท่านจะมาบิณฑบาตตอน ๑๐-๑๑ โมง หนูควรใส่บาตรไหมคะ ?
ตอบ : ควรไหม ? ถ้ามีโอกาสก็ใส่ แสดงว่าท่านไม่รู้ระเบียบ เจ้าคณะกรุงเทพมหานครออกคำสั่งมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ว่าห้ามพระบิณฑบาตเกิน ๘ โมงครึ่ง งานนั้นถ้าพระวินยาธิการเจอก็โดนคว้าไปเลย พระวินยาธิการคือตำรวจพระ

ถาม : แล้วหนูควรทำไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ทำจ้ะ ของเรา..เราฉวยเอาโอกาสตรงหน้า

ถาม : แล้วไม่เป็นการสนับสนุนให้ท่านทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือคะ
ตอบ : มีโอกาสก็กระซิบบอกท่านว่า ระเบียบของทางเจ้าคณะ กทม. ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘ โมงครึ่ง หลวงพ่อระวังเจอพระวินยาธิการเขาจับไปสอบสวนหรือจับสึก บางทีท่านก็ไม่รู้จริง ๆ

เถรี 14-05-2013 20:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องอยู่ในลักษณะโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ถ้าคิดจะทิ้งเรื่องทางโลกไป ก็ให้ดูความเหมาะสมหน่อย

มีอยู่คู่หนึ่ง ไปวัดทีไรไปแบบฟ้าถล่มดินทลายทุกที อาตมาก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้เขาทุกงาน แต่ก็ยังดี..อย่างน้อย ๆ เขาก็เข้าวัด คนล่าสุดอาตมาเพิ่งบอกกับพ่อเขาไปว่า ยังดีที่ลูกยังเข้าวัด ทางวัดจำเป็นต้องให้พักก่อน เพราะว่าพ้นจากนี้ไป ถ้าเขาไม่โทรกลับบ้าน แล้วโยมจะไปหาเขาที่ไหน ?"

เถรี 14-05-2013 20:48

ถาม : เราจะดูจากไหนว่ากรรมฐานกองนั้นเหมาะกับเรา ทำแล้วได้ดี ?
ตอบ : ดูความชอบ ถ้าชอบแล้วตั้งใจทำจะได้ดี ง่ายนิดเดียว แค่นั่งอ่านไปเรื่อย

ถาม : ถ้าเราขอบารมีพระท่าน ?
ตอบ : ชอบหัวข้อไหนขึ้นมาก็คว้าไปทำแล้วจะได้ดี ถ้ามีความชอบแสดงว่าของเก่ามีอยู่ ทำก็จะได้ผลเร็วกว่า แต่ถ้าทำไปเรื่อยเปื่อย บางอย่างเท่ากับเริ่มต้นใหม่ ก็ช้าหน่อย

เถรี 14-05-2013 21:23

ถาม : การสร้างพระองค์โตไปไว้ที่วัด จำเป็นไหมคะ ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? ถ้าคนตายลำบากนี่จำเป็นมาก แต่ต่อให้สบายแล้วเขาก็ยังอยากได้บุญส่วนนี้ เพราะว่าเรื่องของพระพุทธรูปสร้างไป ถ้าใครได้บุญกุศลส่วนนั้นจะมีรัศมีกายสว่างมาก ในภพอื่น โลกอื่น เขาวัดกันที่รัศมีกายว่าใครมีศักดานุภาพมากกว่า ยิ่งสว่างมากก็ยิ่งมีอานุภาพมาก

ถาม : เราสามารถที่จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้โดยไม่ลำบากก็ทำ ไม่ต้องเยอะหรอก ใหญ่สุดสักขนาดหน้าตักประมาณสามสิบนิ้วก็พอ ขืนสร้างมากกว่านี้เดี๋ยวหมดเงินมาก พระพุทธเจ้าไม่มีประมาณอยู่แล้ว พุทโธ อัปปมาโณ จะองค์เล็กองค์ใหญ่อานิสงส์ก็มหาศาล

ถาม : จำเป็นไหมคะที่ต้องตั้งเจตนาวัดใดวัดหนึ่ง ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ไว้ที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ไปบอกทางวัดก่อนว่าจะถวายพระพุทธรูป ให้ท่านเตรียมสถานที่ ๆ เหมาะสมไว้ให้

เถรี 14-05-2013 21:36

ถาม : ไทยรบกับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า ไทยหลอกพม่าหรือเปล่า ?
ตอบ : พม่าเขาเจตนาจะตีไทยให้ได้ ไทยเราก็ได้รับบทเรียนแล้วว่า ที่อยุธยาแตกเพราะมัวแต่ตั้งรับอยู่ในเมือง จึงต้องออกไปรบกันข้างนอก ต่อให้แพ้ก็แปลว่ายังไม่เสียเมือง ท้ายที่สุดตรงจุดที่เห็นว่าเหมาะที่สุดก็คือที่ทุ่งลาดหญ้า

ถาม : ที่ทุ่งลาดหญ้ามี...(ไม่ชัด)..
ตอบ : จำไม่ได้แล้วเพราะนาน จำได้แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยไปช่วยเขาอยู่ประมาณ ๒๐๐ กว่าคน เจ้าของบ้านเขาเดือดร้อนจนอยู่แถวนั้นไม่ได้ เขาไปขอให้ช่วยหน่อยก็เลยไปดู ปรากฏว่าเป็นกองทัพจากศึกทุ่งลาดหญ้า ทั้ง ๒๐๐ กว่าคนนี้ได้รับคำสั่งว่าให้ไปตาย จะยอมอาสาไหม ? เขาก็ยอม

คำว่าให้ไปตาย ก็คือไปรบเพื่อยั่วให้ทหารพม่าไล่ตาม จนกระทั่งถลำเข้ามาในวงล้อม ก็แปลว่าทั้งหมดนั้นตั้งใจไปตายตั้งแต่แรก เขาก็เลยรบลักษณะที่เรียกว่าถวายชีวิต ในเมื่อเจอกำลังรบในลักษณะอย่างนั้นทหารพม่าจึงสูญเสียมาก กองทัพใหญ่เกิดโทสะก็ไล่เข้ามาเรื่อย กระทั่งถลำเข้ามาในวงล้อมของไทย

อาตมาก็เลยให้เขาไปเลี้ยงพระ ๙ รูป ถวายสังฆทานมีพระพุทธรูป อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้โดยเฉพาะ เรื่องถึงได้สงบ ไม่อย่างนั้นบ้านนั้นไม่มีใครอยู่ได้ วันดีคืนดีเขาก็ออกมารบกันอีโหล่งโฉ่งเฉ่งอยู่ตรงนั้น..!

เถรี 14-05-2013 21:40

ถาม : ทำไมเขายังไม่ไปเกิด ?
ตอบ : เวลาของเขาแค่ ๓ - ๔ วันเอง เพราะ ๕๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันของเขา สองร้อยกว่าปีเพิ่งจะไม่กี่วัน

ถาม : เขาอยู่ในสภาพผีหรือเทวดา ?
ตอบ : ก็ผีนั่นแหละ เป็นสัมภเวสีอยู่ตรงนั้นแหละ เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าแรงกรรมฉุดอยู่ เนื่องจากจิตที่มุ่งต่อหน้าที่ ไม่ยอมปลดตัวเองออกมา ก็เลยไปไหนไม่ได้ จึงติดอยู่แค่นั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้เสียสละมาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปตายยังเต็มใจไป

ถาม : ไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือครับ ?
ตอบ :คนละอย่างกัน..นี่เขาตายเพื่อรักษาหน้าที่ รักษาชาติบ้านเมืองให้เรา

เถรี 15-05-2013 12:17

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ :ถ้าใครอยู่ที่สูงกว่าจะสอนที่ต่ำกว่าได้ทั้งหมด ในเมื่อสอนที่ต่ำกว่าได้ทั้งหมด ถ้าท่านไปถึงระดับนั้นแล้วก็สอนได้ทั้งนั้น แม้แต่ท่านปู่พระอินทร์หรือว่าท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมก็ถามได้ยันอารมณ์พระอรหันต์เลย เพราะถ้านับแล้วก็คือท่านเป็นพระอรหัตมรรค แต่ที่ท่านยั้งเอาไว้เพราะว่าต้องรอให้พ้นวาระหน้าที่แล้วถึงไป ถ้าไม่รอท่านไปนานแล้ว รอให้หมดวาระการอยู่ในตำแหน่ง เหมือนอย่างเรียนจบแล้ว รอวันรับปริญญาบัตรเท่านั้น

ฉะนั้น..ท่านอยู่ลักษณะของพระอรหัตมรรคก็จริง แต่ท่านบอกว่าถามได้ยันพระอรหัตผลเลย..!

เถรี 15-05-2013 13:34

ถาม : พอดีย้ายบ้านแล้วมีคนทำของเข้า ?
ตอบ : ถ้าหาธงมหาพิชัยสงครามหรือยันต์เกราะเพชรของวัดท่าซุงรุ่นเก่าได้ ก็เอานั่นแหละไปใช้ ถ้าไม่ได้ก็เอายันต์เกราะเพชรของตรงนี้แหละไปติดไว้ แล้วอาราธนาทุกวัน พวกนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเขาหรอก เขาทำอะไรมาเดี๋ยวก็ย้อนกลับไปเอง ดูของเก่าวัดท่าซุงก่อนนะจ๊ะ เอาครูบาอาจารย์ของอาตมาก่อน ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ แล้วค่อยเอาที่นี่ไป

ถาม : ต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ เพราะถ้ามียันต์เกราะเพชรหรือธงมหาพิชัยสงคราม แล้วอาราธนาทุกวัน เขาทำอะไรเราจะย้อนคืนไปหลายเท่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นศัตรูกับเรื่องของไสยศาสตร์โดยตรงเลย

เถรี 15-05-2013 13:40

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อภัยให้เขาเถอะ คนที่เขาทำลักษณะอย่างนั้นเขาต้องลงที่ต่ำแน่ ๆ แทนที่จะโกรธเขาก็สงสารเขาเถอะ ถ้าหาทางช่วยเขาได้ก็ช่วย อาตมาไปอยู่ที่อื่น รูปหล่อหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อวัดท่าซุงจะเก็บไว้ในห้องตัวเอง เพราะถ้าไว้ข้างนอก พวกปากเสียจะเดือดร้อนอีกเยอะ เนื่องจากหลวงพ่อวัดท่าซุงมีอะไรท่านก็ว่าตรง ๆ คนที่เขาเชื่อก็ได้กำไร คนที่ไม่เชื่อแค่เสมอตัว แต่คนไม่เชื่อแล้วปรามาสด้วยจะขาดทุนเยอะ

ฉะนั้น...ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เลยต้องหาทางช่วยเขาด้วยการเก็บไว้ในห้องของตัวเอง อย่าให้คนอื่นเห็น คุณลองดูซิว่าไปวัดท่าขนุนเห็นรูปหลวงปู่ปานหรือหลวงพ่อวัดท่าซุงไหมเล่า ? ไม่มีหรอก..ขืนเอาไปเดี๋ยวพวกนั้นซวยกันอีกเยอะ

เถรี 15-05-2013 13:44

หลังจากมีเด็กมาขอพรวันเกิด พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเจริญขึ้น คนแก่อยู่ในช่วงเสื่อมลง คราวนี้การเจริญขึ้น คนที่มีปัญญาเขาเห็นว่าจริง ๆ กำลังก้าวไปหาความเสื่อม เพราะฉะนั้น..บางทีแล้วการปฏิบัติดูจะสวนทางกับคนทั่ว ๆ ไป เขาเห็นว่าเป็นความดี ความงาม ความเจริญ แต่เราเห็นว่ากำลังก้าวไปสู่ความเสื่อม

ฝรั่งเขาถึงบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นในเรื่องของความทุกข์ ทำให้คนไม่อยากจะมาปฏิบัติ อะไร ๆ ก็ทุกข์ ได้ยินแล้วเศร้าหมอง เขาว่าเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย..!"

เถรี 15-05-2013 14:33

ถาม : อานาปานสติเป็นพื้นฐานกรรมฐาน ถ้าเป็นกสิณจะต้องมีอานาปานสติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วคุณจะทรงกสิณได้อย่างไร ? คำภาวนา "ปฐวีกสิณัง อาโปกสิณัง" ทุกอย่างต้องควบลมหายใจเข้าออกหมด ถ้าไม่ควบลมหายใจเข้าออก สมาธิจะไม่ทรงตัว ภาพกสิณก็ตั้งมั่นไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่ากรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้าทิ้งลมหายใจเข้าออกอย่างเก่งก็ทรงตัวได้พักเดียว ถ้าไม่มีตัวสมาธิคอยช่วย การจะเข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองนั้นก็ไม่มี สมาธิจะเกิดได้ด้วยการดูลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก

ถาม : ในอานาปานสติ ภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?
ตอบ : ภายในคือลมหายใจของเราเอง ภายนอกก็คือร่างกายนี้ หรือถ้ามีปัญญามากพอก็ดูเกินร่างกายนี้ไปที่ร่างกายคนอื่นก็ได้ แต่การที่เราจะไปดูร่างกายคนอื่น ส่วนใหญ่เป็นการส่งจิตออกนอก แล้วฟุ้งซ่านได้ง่าย เขาก็เลยเน้นว่ากายในคือลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก แล้วกายภายนอกก็คือกายตัวเอง

ถาม : เป็นกายอย่างอื่นไม่ได้ ?
ตอบ :เป็นกายอย่างอื่นได้ แต่ส่งไกลไปเดี๋ยวคุมไม่อยู่

ถาม : อิริยาบถภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?
ตอบ : อิริยาบถภายในก็คือตัวสติที่ควบคุม แล้วภายนอกก็คืออาการเคลื่อนไหวของร่างกาย

เถรี 15-05-2013 14:38

ถาม : คุณพ่อคงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน จิตสุดท้ายก่อนที่เขาจะตาย เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้างให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดี ?
ตอบ : เปิดพวกเสียงสวดมนต์หรือเสียงเทศน์ให้ฟังทุกวัน เขาจะได้ชิน ถ้าไม่ใช้เสียงสวดมนต์ก็ใช้เสียงเทศน์หลวงปู่หลวงพ่อท่านไหนก็ได้ ให้ใจเกาะอยู่กับพระ ถ้ามีเสียงพวกนี้แล้วใจเขาจะเกาะพระเอง บอกให้เขาตั้งใจฟังหรือถ้าสวดตามได้ก็สวดไปเลย

ถาม : เขานั่งสมาธิเป็นปกติ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นไม่น่าห่วงหรอก ที่น่าห่วงคือพวกเราเอง

ถาม : หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน
ตอบ : ไม่จริงหรอก มีแต่อยู่นานกว่านั้น เมื่อครู่คุณน้าคนหนึ่งเขามาบอกว่า หมอเขาบอกว่าน้าอีกคนหนึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน อาตมาเถียงว่าเกิน หมอเขาคำนวณตามหลักวิชาการ แต่พระเราว่าไปตามกรรม

เถรี 15-05-2013 14:49

ถาม : ปฏิกูลบรรพภายในคืออะไร ?
ตอบ : ความสกปรกที่เราเห็นอยู่ มีทั้งข้างในร่างกายและข้างนอกร่างกาย ที่ไหลออกมาก็คือข้างนอก ที่ยังไม่ได้ออกมาก็คือข้างใน อย่างพวกเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง กระทั่งอุจจาระปัสสาวะที่อยู่ข้างในก็ได้

ถาม : ถ้าเป็นอสุภะ ภายในคืออะไร ?
ตอบ : พวกนั้นจะเห็นว่าสภาพของศพคนอื่น กับสภาพของตัวเราไม่ช้าก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นภายในก็คือตัวเราเอง ภายนอกก็คือศพนั้นแหละ

ถาม : แต่ละอย่างคนละแบบเลย
ตอบ : ต้องทำเอง ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่เข้าใจ สิ่งที่ท่านบอก พอถึงเวลาทำไป ๆ แล้วจะอ๋อ...ที่แท้อย่างนี้ ถ้าขาดตรงจุดนี้บางทีว่าไปก็ไม่ใช่

เถรี 15-05-2013 15:00

ถาม : เวทนาภายในกับภายนอกเล่าครับ ?
ตอบ : เวทนาภายในจริง ๆ ก็เอาความรู้สึกคืออารมณ์ของเรา เวทนาภายนอกก็คืออาการที่เกิดกับร่างกาย อาการที่เกิดกับร่างกายเป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกภายในใจเราเป็นอีกส่วนหนึ่ง ถ้าความรู้สึกไปเสพเสวยเมื่อไรจะเป็นเวทนาภายใน ถ้าความรู้สึกไม่เสพเสวย อาการนั้นจะเป็นเวทนาภายนอก คือสักแต่ว่าเกิดกับร่างกายเท่านั้น

ถาม : อย่างนี้สิ่งที่มากระทบกับผิวหนัง ?
ตอบ : ไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ ความเจ็บปวดในร่างกายก็ได้ ถ้าใจเรายังไม่ไปรับก็ยังเป็นภายนอก ถ้ารับเข้ามาเมื่อไรเป็นภายใน

ถาม : ส่วนใหญ่เป็นภายในทั้งนั้น
ตอบ : แทบทั้งนั้น รับไปเต็ม ๆ

ถาม : มิน่าล่ะ ขั้นตอนในมหาสติจึงยาก
ตอบ : ถึงได้บอกว่าหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา มหาสติปัฏฐานสูตรกับอภิธรรมยากมาก เพราะไม่ได้สอนบุคคลทั่วไป สอนเฉพาะคน เพราะว่าชาวกัมมาสะธัมมะสมัยนั้นปัญญาสูงมาก
ขนาดนกที่เลี้ยงไว้ยังฝึกกรรมฐานเลย แล้วคนจะขนาดไหน ?

ถาม : ถ้าแบ่งเป็นปัญจทวารกับปฐมทวาร ?
ตอบ : จะแบ่งอย่างนั้นก็ได้ แต่คราวนี้ว่าในแต่อย่างที่แตกต่างไม่เหมือนกัน ความเป็นภายในกับภายนอกก็ไม่เหมือนกัน

เถรี 15-05-2013 15:12

ถาม : แล้วจิตในจิต แยกภายนอกภายในอย่างไรครับ ?
ตอบ : อันหนึ่งก็คือสภาพจิตแท้จริงของเราที่เป็นภายใน อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต ภาษานักธรรมเขาเรียกว่าชวนะ เป็นภายนอก ถ้าเอาตามสายหลวงปู่มั่นท่านใช้คำว่าจิตกับใจ ก็คือตัวผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้
คราวนี้ท่านใช้คำเดียวกัน เป็นอาการของจิตที่เคลื่อนไปรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ กับสภาพตัวจิตที่แท้จริง ถึงได้บอกว่าตัวเรา ตัวผู้รู้ กับสิ่งที่รับรู้เวลามาสัมผัส เขาเรียกว่าชวนะ การเคลื่อนไปของจิต มีภายในภายนอก


ถาม : จิตที่รับรู้ภายในคือธรรมารมณ์ ?
ตอบ : สภาพจิตที่เป็นตัวตนจริง ๆ ก็คือภายใน ธรรมารมณ์ต่าง ๆ เป็นภายนอก

ถาม : หมายถึงภวังคจิต ?
ตอบ : จะเรียกว่าภวังคจิตก็ไม่ใช่ หากแต่คือตัวรับรู้ ตัวรับรู้เป็นภายใน สิ่งที่เข้ามาให้รู้เป็นภายนอก

ถาม : จิตไปรับรู้อารมณ์ตลอด ?
ตอบ : รับไปตลอด ถ้าเราไม่ได้ฝึกให้มั่นคงพอ กำลังของจิตก็จะหมดไปเพราะว่าเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับกิเลส ก็เลยจำเป็นที่เราจะต้องรู้จักยับยั้ง หยุดสภาพจิตของเรา เพื่อที่จะรักษากำลังของเราไว้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:28


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว