กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3692)

เถรี 29-03-2013 13:20

ถาม : เนกขัมมบารมี ต้องบวชเป็นพระเท่านั้นจึงจะสามารถเกิดได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกัน...เนกขัมบารมีคือเว้นจากการมีคู่ ตั้งใจประพฤติในพรหมจรรย์ เราจะเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายทำได้ทั้งนั้น ผู้หญิงรักษาศีล ๘ ก็เป็นเนกขัมบารมีแล้ว ถ้ารักษาศีล ๘ อย่างเดียวเห็นไม่ชัดก็โกนหัวบวชชีไปเลย..!

เถรี 29-03-2013 21:23

ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ พอใจสบายเราควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ยกใจไปกราบพระบนนิพพานสิจ๊ะ

ถาม : ถ้าออกกำลังกายไปด้วย ภาวนาไปด้วย ?
ตอบ : ได้...ควรทำให้ได้อย่างนั้น ทำงานทำการทุกอย่างให้อยู่กับการภาวนาให้ได้ เป็นสิ่งที่ต้องทำเลย ไม่ใช่ว่าถ้าทำแล้วกลัวว่าจะปรามาสพระ

เถรี 29-03-2013 21:26

ถาม : เครียดเรื่องที่วัด ?
ตอบ : ตราบใดยังวิ่งหาอยู่ข้างนอกก็จะเครียดไปเรื่อย เรื่องจะจบต้องดูข้างใน ไม่ใช่ดูข้างนอก

ถาม : เครียดเรื่องชีวิตประจำวัน
ตอบ : ก็บอกแล้วว่ายังวิ่งข้างนอกอยู่ก็เครียดไปเรื่อย ต้องแก้ที่ข้างใน ถ้ารู้จักพออยู่ที่ไหนก็ได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : โดยหลักแล้วก็คือ เรื่องดีให้เปิดเผย เรื่องไม่ดีก็ปิดไว้ หลักการปกครองเขาเป็นอย่างนั้น เรื่องไม่ดีเรามาตีกันเอง เรื่องดี ๆ ยกประโยชน์ให้กับชาวบ้านเขาไป

เถรี 29-03-2013 21:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าไปคิดมีตัวเล็ก ๆ นะ ลูกคนอื่นน่ารักทุกคน พอเราเลี้ยงเองอยากจะบีบคอให้ตายวันละ ๓ รอบ ...(หัวเราะ)...

เด็ก ๆ เขามาตามบุญตามกรรมที่เนื่องกันมา คนไหนที่อาละวาดกับพ่อแม่ไว้มากก็จะได้รับคืนไปหลายเท่า เรื่องกรรมที่ทำกับพ่อแม่นี่เห็นทันตาจริง ๆ เห็นมาแทบทุกคน ตอนเด็ก ๆ ตัวเองแสบแค่ไหน ถึงเวลาตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แล้วโดนแสบกว่านั้นอีก ถ้าใครรู้ตัวว่าสร้างวีรกรรมไว้มาก พยายามเลี่ยงห่าง ๆ อย่าไปมีลูกเชียว ได้คืนแน่นอน..!"

เถรี 29-03-2013 21:36

ถาม : การทำคาถาให้ขึ้น ขึ้นอยู่กับอะไร ?
ตอบ : สมาธิและการทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าภาวนาครั้งหนึ่งแล้วอีกเดือนค่อยมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนั้นคงจะทำขึ้นอยู่หรอก

ถาม : ต้องทำจิตให้เข้มแข็งหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวก็เข้มแข็งเองแหละ ถ้าทำจิตแข็งได้โดยไม่ต้องใช้สมาธิได้ก็ดีสิ

เถรี 30-03-2013 19:30

ถาม : พระเครื่องนี้ พี่ที่ทำงานบอกว่าแท้บ้างเก๊บ้าง แต่ในเว็บเขาบอกว่าเก๊หมดเลยครับ ?
ตอบ : พระหลวงปู่ปานอย่างหนึ่ง หลวงพ่อโตวัดระฆังอย่างหนึ่ง สองท่านนี้ให้พรไว้ว่า พระของท่านจะใหม่จะเก่า ทันท่านหรือไม่ทันท่านก็ตาม ถ้านึกถึงท่าน ก็มีอานุภาพเหมือนกัน

เรื่องของวัตถุมงคลอย่าไปสงสัย สรุปง่าย ๆ ว่าถ้าสะสมวัตถุมงคลก็อย่าไปเข้าตลาดพระ อาตมาเองเห็นเขาให้บูชาพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่ ปี ๒๔๙๗ ราคาสองล้านห้าแสนบาท เห็นว่าของอาตมาสวยกว่าตั้งเยอะ ให้ลูกศิษย์เอาไปลองแหย่ดู เขาให้แค่แสนเดียว..!

เล่นพระอย่าเล่นด้วยหู เขาให้เล่นด้วยตา พยายามศึกษาให้รู้จริงเข้าไว้ พอถึงเวลารู้จริงก็เหมือนเรารู้จักต้นไม้ เรารู้จักว่านี่ต้นมะขาม ต่อให้ต้นใหญ่ต้นเล็กต้นแก่ต้นอ่อน เราดูก็รู้ว่านี่คือต้นมะขาม ไม่ต้องไปฟังใคร ถึงเขาจะบอกว่ามะม่วง เราก็มั่นใจว่านี่เป็นมะขามอย่างแน่นอน

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) วัดพระงาม จังหวัดนครปฐม ท่านบอก "ตอนแรกกูก็ไม่ได้คิดจะดูพระกับใครหรอก เห็นเขาส่องพระ กูยังตำหนิเขาเลย ไป ๆ มา ๆ พอเขาเอาพระมาให้ โดนปลอมไปหลาย ๆ องค์ ชักรำคาญ มัวแต่อาศัยตาคนอื่นก็เกรงใจ ดูเองก็ได้วะ" พอตำแหน่งท่านใหญ่ขึ้นก็มีคนเอาพระเครื่องมาถวายอยู่เรื่อย พูดง่าย ๆ ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหวังประโยชน์ก็เอาพระมาถวาย ปรากฏว่าพอเอาไปให้เซียนดู เป็นของเก๊อยู่เรื่อย ท้ายสุดท่านก็เลยดูเองดีกว่า

เถรี 30-03-2013 19:31

ถาม : หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามก็เหมือนกันครับ
ตอบ : ตอนสมัยที่ท่านยังอยู่ เวลาไปหาหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม อาตมามักจะเอาพระไปถวายท่านด้วย พอกราบเรียนท่านว่าผมไม่มั่นใจว่าแท้หรือเปล่า เพราะดูไม่เป็น ท่านนั่งสอนให้เป็นชั่วโมง โยมเห็นว่าอาตมาไม่กลับออกมาเสียที คิดว่ากลับออกไปทางอื่นแล้ว

ตอนไปเปิดงานที่วัดไร่ขิง มีคนถวายพระเครื่อง หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านรอจนงานเขาเสร็จ มีเวลาว่างแล้วท่านก็นั่งส่อง พระที่จะทำความสะอาดเก็บกวาดสถานที่ เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านนั่งส่องพระอยู่ก็ "หลวงตา..! เขากลับกันหมดแล้ว ยังจะมานั่งส่องพระอยู่อีก" พอท่านเงยหน้าขึ้นมา พระก็เข่าอ่อนร่วงอยู่ตรงนั้นแหละ หลวงตาที่ว่ากลายเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม..!

เถรี 30-03-2013 20:28

ถาม : เวลาปฏิฆะเกิด เราเอาวิปัสสนาญาณเข้าไป ตอนแรกมันก็ขาด สักพักก็คิดขึ้นมาอีกแล้วครับ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกำลังเราเหนือกว่า กดทับเอาไว้ได้ แต่ก็ยังอยู่ เผลอเมื่อไรก็มาอีก แต่ระยะเวลาที่ชนะจะได้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี 30-03-2013 20:55

ถาม : พระพุทธชินราชกับสมเด็จองค์ปฐมต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : แสดงว่าคุณเล่นพระเครื่องไม่ได้แน่ องค์ใหญ่ขนาดนั้นยังไม่เห็นความต่างอีก สมเด็จองค์ปฐมมุมพระโอษฐ์แทบจะไม่มี ลักษณะเต็มอิ่มเลย แต่พระพุทธชินราชมุมพระโอษฐ์จะเห็นชัดมาก คุณลองไปสังเกตดู พิมพ์พระเครื่องมีมากกว่านั้นอีก นี่องค์ขนาด ๔ ศอกยังไม่เห็นความต่างก็เลิกคุยได้เลย ..(หัวเราะ)..

เถรี 30-03-2013 21:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถือว่าเราทำหน้าที่ การที่ทำหน้าที่ของตนให้ดีนั้น ถือว่าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าอยากรู้ว่าหน้าที่ของตนมีอย่างไร ให้ไปดูในสิงคาลกสูตร พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสกับสิงคาลมาณพที่ไปไหว้หน้าไหว้หลัง ไหว้บนไหว้ล่างอยู่ตลอดทุกวันว่า

"มาณเว..ดูกร..มาณพ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ?" มาณพทูลว่า "ก่อนพ่อจะตายท่านสั่งให้ไหว้ทิศทั้ง ๖ ทุกวัน" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สิ่งที่เธอทำเป็นความดี ที่ทำตามที่พ่อสั่ง แต่ถ้าเป็นทิศทั้ง ๖ ในความหมายของตถาคตจะเป็นอย่างนี้..." แล้วพระองค์ก็บอกว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่างคือข้าทาสบริวาร ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทรงบอกว่าแต่ละทิศเราต้องทำหน้าที่อย่างไรบ้าง

ฉะนั้น..การทำหน้าที่ของเราให้ดีก็คือการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงเวลาไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทำตามหน้าที่ของเราเท่ากับเป็นการฝึกในสัจจบารมี คนที่มีสัจจบารมีเป็นคนตรงไปตรงมา ทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจะเป็นคนตรงเวลามาก ถ้าใครไม่ตรงเวลาแสดงว่าสัจจบารมียังพร่องอยู่"

เถรี 02-04-2013 20:10

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูกศิษย์ท่านพระครูสังฆรักษ์คณิศรนิมนต์ให้ไปนั่งปรกตอนหล่อระฆัง เขาบอกว่างานเริ่มประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมาก็ไปก่อนเวลาหน่อย ไปถึงประมาณบ่ายสองโมง ปรากฏว่าได้ขึ้นธรรมาสน์เกือบสองทุ่ม เพราะว่างานของเขามีการสวดชินบัญชร ๑๐๘ จบก่อน ไม่รู้ว่านานเท่าไร รู้แต่ว่าคนสวดเกือบจะเป็นลม ...(หัวเราะ)... พุทธาภิเษกเสร็จ กลับไปถึงวัดสี่ทุ่มกว่า

โดนไปงานเดียวนี่เข็ดเลย ต่อไปงานไหนที่ควบคุมเวลาไม่ได้จะไม่ไปอีก ลืมตาขึ้นมาบนธรรมาสน์ ตอนแรกนึกว่าจะลงไปกราบหลวงพ่อราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านอันตรธานไปตอนไหนก็ไม่รู้ สรุปง่าย ๆ ก็คือ ท่านไหนที่เผ่นได้ก็เผ่นกันหมดแล้ว เหลือแต่อาตมากับพรรคพวกไม่กี่คนที่อยู่จนงานเขาเสร็จ

เห็นประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสมาธิ ในเมื่อตั้งเวลาว่าให้งานเขาเสร็จแล้วค่อยถอนสมาธิ สมาธิจะไม่ยอมถอนออกมาหรอก อยู่อย่างนั้นแหละ พอเลิกเมื่อไรถึงถอนออกมา ให้ลงจากธรรมาสน์ได้ เรียกว่านั่งกันจนลืมโลกไปเลย

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ได้รับการฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ในเมื่อเราซักซ้อมกำลังใจเอาไว้ สามารถเข้าออกสมาธิตามเวลาที่ต้องการได้ อย่างน้อย ๆ กิเลสต่าง ๆ ก็กินเราไม่ได้ชั่วคราว ตราบใดที่ไม่ออกจากสมาธิมาแส่หาเรื่อง เราก็เดือดร้อนน้อยหน่อย"

เถรี 02-04-2013 20:19

"ดังนั้น..แม้ว่าในขั้นต้น ๆ ของการปฏิบัติ เราทรงสมาธิได้คล่องตัว สามารถหลบหลีกหนีกิเลสได้ แต่ถ้าใครมีปัญญาประกอบมาก พิจารณาเห็นโทษของกิเลส เข้าถึงสาเหตุว่าแต่ละอย่างเกิดจากอะไร แล้วเราไม่ไปแตะต้องสาเหตุของกิเลสนั้น ๆ กิเลสก็ไม่เกิด ถ้าอย่างนั้นกำลังสมาธิก็จะเป็นตัวหนุนเสริมปัญญาในการตัด ละ กิเลสเหล่านั้นลงไปได้

นั่งสบายใจเฉิบอยู่บนธรรมาสน์ รอว่าเมื่อไรจะเสร็จ อาตมาไม่ได้ร้อนไปด้วย เพราะจะขึ้นนั่งปรกแต่ละทีนี่เล็งแล้ว เล็งด้านที่อยู่เหนือลม พอถึงเวลาลมพัดจากข้างหลังไปข้างหน้า ความร้อนก็มาไม่ถึง รูปไหนไปอยู่ทิศที่เป็นใต้ลม กว่าจะเสร็จก็แทบจะกลายเป็นเนื้อย่างรมควัน..!

โบราณเวลาจะแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงจะแนะนำว่าให้เว้นจาก อุปปริ วาตัง อย่าไปนั่งเหนือลม เพราะถ้าเราลืมอาบน้ำสัก ๓ วัน คนฟังได้กลิ่นคงเป็นลมตายไปเสียก่อน แม้กระทั่งการแสดงธรรมพระพุทธเจ้ายังให้สังเกตทิศทางลม การหล่อพระก็เลยยิ่งจำเป็น ต้องรีบสังเกตทางลมก่อน เพราะว่าปะรำพิธีหล่อพระจะร้อนมากทุกที่ ลมพัดไปทางด้านไหน อาตมาก็ไปนั่งทิศตรงกันข้ามเดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี 02-04-2013 20:28

"พรานล่าสัตว์เวลาจะเข้าไปล่าสัตว์ก็ต้องดูให้ตัวเองอยู่ใต้ลม คือให้ลมพัดจากสัตว์มาหาเรา กลิ่นของเราไปไม่ถึง สัตว์จะได้ไม่หนี อาจจะใช้ฝุ่นโรยเพื่อดูทางลมก็ได้ ถ้าหาฝุ่นไม่ได้ก็ให้อมนิ้วมือตัวเองแล้วยกขึ้น ลมมาด้านไหนด้านนั้นจะเย็นกว่า อมเฉพาะนิ้วนะ ไม่ใช่อมทั้งกำปั้น ...(หัวเราะ)... เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหนึ่ง

ส่วนใหญ่แล้วสัตว์กินหญ้าจะจมูกไวมาก พวกนี้เชื่อจมูกมากกว่าตา ถ้าจมูกได้กลิ่นจะหนีทันที แต่ถ้าตาเห็นแล้วเรายืนนิ่ง ๆ บางทีเขาก็มองเฉย ๆ ได้ยินนักสัตวศาสตร์เขาบอกว่า พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระดูกสันหลังอย่างเก้ง กวาง วัว ควาย จะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ ในเมื่อเห็นภาพเป็นขาวดำ ถ้าเรายืนเฉย ๆ เขาก็ไม่มั่นใจว่าตอไม้หรือเปล่า แต่ถ้าได้กลิ่นเขาจะหนีทันที

แต่จะว่าหนีก็ไม่ใช่ อาตมาอยู่ในป่าบางทีเจอวัวแดงเป็นฝูง ประมาณสิบกว่าตัว เขาเห็นตอนแรกก็ชะงัก อาตมาก็ชะงัก เพราะพระกับวัวเขาลือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า วัวไม่ชอบสีจีวรพระ อาตมาจึงต้องทำใจดีสู้วัว ยื่นมือไปให้ ตัวหน้าก็ยื่นจมูกมาดม ดมเสร็จก็ร้องบอกเพื่อน เพื่อนก็เดินมาดม สรุปว่าวัวทั้งฝูงมาดมมือจนหมดแล้วก็ไป แสดงว่าเขาดมดูแล้วว่าไม่น่าจะมีอันตราย

พวกพรานป่าล่าสัตว์ต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งจะมีกลิ่นตัวสัตว์อยู่ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระฉันพวกเนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์ หมี งู ฯลฯ เพราะถ้าฉันเข้าไปแล้วกลิ่นตัวจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น เวลาเข้าไปในเขตของเขา เขาจะเห็นเป็นสัตว์แปลกหน้าไปบุกรุกถิ่นเขา แล้วจะไล่ทำร้ายไปให้พ้นเขต แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราเวลาโดนทำร้ายมักจะตายเสียก่อน ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง สาเหตุหนึ่งเพราะว่าถ้าฉันไปแล้วอาจจะโดนสัตว์ทำร้ายได้ทีหลัง"

เถรี 02-04-2013 20:43

ถาม : ดิฉันไปถวายของที่วัดสายพระป่า แต่ท่านไม่รับของหลังจากฉันเช้าแล้ว ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วจ้ะ

ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร อย่างพวกบะหมี่แห้ง ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พระธรรมยุตท่านเคร่งครัดต่อพระวินัย หลังมื้ออาหารแล้วท่านจะไม่รับอาหารที่มาทีหลัง เพราะว่าในธุดงควัตรจะมีบอกว่าห้ามภัตร คืออาหารที่ตามมาหลังจากฉันแล้ว ท่านกลัวว่าจะผิดศีลตรงนี้ ท่านก็เลยไม่รับ ถ้าวัดไหนที่ท่านไม่ได้สมาทานธุดงควัตรตรงนี้ท่านก็รับได้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นพระป่าสายหลวงปู่มั่น ท่านจะถือธุดงควัตร คราวนี้เราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ถวายไปท่านไม่รับ เราก็เอาไปถวายวัดที่รับเสียก็หมดเรื่อง

ถาม : ท่านรับแล้วค่ะ แต่ท่านก็ตกใจ
ตอบ : เจออาหารยังตกใจ ถ้าเจอสาว ๆ เข้าคงจะยุ่ง เห็นใจท่านเถอะ แสดงว่ายังบวชไม่นาน ตบะยังสู้อาหารไม่ได้..!

ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร เราบาปไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เจตนาเราดีตั้งแต่ต้น กลัวพระจะอด อุตส่าห์เอาอาหารไปถวาย

เถรี 02-04-2013 20:45

ถาม : เอาจีวรผ้าไหมอย่างดีไปถวายท่าน ท่านต่อว่าเลย ว่าเอาผ้าขาวมาถวายก็พอ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระป่าท่านเย็บย้อมจีวรด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า "พระป่า" "วัดป่า" หรือวงเล็บท้ายชื่อวัดมี “ธ” แปลว่า ธรรมยุต เอาผ้าขาวไปถวายก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวท่านจัดการเอง แล้วถ้าหลังเก้าโมงเช้าไปแล้ว ก็อย่าเอาอาหารไปถวาย เพราะท่านคงฉันไปแล้ว เราทราบทีหลังก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ

เถรี 02-04-2013 20:47

ถาม : ช้างป่าที่โดนด่าแล้วรู้ นี่เป็นเพราะว่าเขาฉลาด ?
ตอบ : อันนั้นผีรู้...ส่วนใหญ่ช้างป่าจะมีผีดูแลอยู่ บางทีก็ไม่ใช่ผีแต่เป็นเทวดา ถึงจะเป็นพวกภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดาก็ตาม แต่ท่านมีความเป็นทิพย์ ด่าเขาไกลแค่ไหนเขาก็ได้ยิน แล้วก็รู้ด้วยนะว่าใคร ด่าดีนักใช่ไหม ? ว่าแล้วช้างก็ไปกวาดเรียบ

เถรี 02-04-2013 21:05

ถาม : ผมยังมีความกังวลใจเวลามีผู้โมทนาบุญผม เพราะบางทีผมหล่อพระแล้วผมก็ด่าคน ผมอยากให้คนอื่นโมทนาบุญแบบบริสุทธิ์ไม่มีอกุศลกรรมของผมเจือปน ?
ตอบ : คนอนุโมทนาเขาไม่โง่หรอก เขาเอาแต่ที่ดี ๆ ส่วนที่ไม่ดีของเรา เราก็รับต่อไปเถอะ อย่าลืมว่า คำว่า "บุญ" ก็คือความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข ในเมื่อเขาโมทนาบุญ แปลว่าเขาเลือกแต่ความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข เขาไม่ได้เลือกที่คุณกำลังด่าคน เพราะฉะนั้น..จงกลุ้มต่อไป เขาเองสบายไปแล้ว

เถรี 02-04-2013 21:10

ถาม : จะมีวิธีปฏิวัติความเชื่อของคนได้บ้างหรือไม่ครับ ? เพราะว่าพ่อแม่ผมเชื่อและศรัทธาในร่างทรง ตอนแรกผมก็ว่าจะปล่อย พอตอนหลังเขาก็ปรามาสพระ มีครั้งหนึ่งที่ผมก็เอามีดหมอถอนโบสถ์วัดปรังกาสีกับพระขรรค์โสฬสไป เขาไม่กล้ามองหน้าผม แต่พ่อแม่ผมก็ยังศรัทธาเขาอยู่ ?
ตอบ : มีสองอย่าง...อย่างที่หนึ่ง..ทำตัวของเราเอง ก็คือ พยายามสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้นให้ได้ ในเมื่อเรายังอภิญญาให้เกิดขึ้นได้ ในความเป็นฆราวาสเราสามารถทำให้พ่อแม่ดูได้ พอพ่อแม่เห็นแล้วก็เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใสขึ้นมา เราค่อยไปเปลี่ยนแนวความเชื่อของเขา ส่วนวิธีที่สอง...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ทางใครทางมัน

เถรี 02-04-2013 21:25

ถาม : แม่ย่านางรถ ถ้าเราไม่ได้ทำพิธีบวงสรวง ท่านจะมาไหมคะ ?
ตอบ : ปกติต้องเชิญถึงจะมาได้

ถาม : ปกติแม่ย่านางต้องเป็นผู้หญิงหรือเปล่าหรือเป็นผู้ชายก็ได้ ?
ตอบ : ไม่แน่...เจอนายมาเยอะแล้ว

ถาม : แม่ย่านาง ท่านจะต้องตามติดพาหนะไปหรือคะ ?
ตอบ : เป็นงานของท่าน ในเมื่อเป็นงานของท่าน ถึงเวลาท่านก็ต้องไปด้วย

ถาม : ปกติท่านจะมีขอบเขตของท่าน ถ้าออกไปนอกเขต ก็ถือว่าท่านยังตามไปได้ ?
ตอบ : ไปได้ เพราะรถเป็นเขตของท่าน

ถาม : ถ้าเราเช่ารถ รถมีแม่ย่านางอยู่แล้ว หนูจะเชิญแม่ย่านางของหนูไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : มีอยู่แล้ว ก็เป็นหน้าที่เขา ใครจะไปยุ่งด้วยเล่า ?

เถรี 02-04-2013 21:42

ถาม : ตอนแรก ๆ ก็เห็นว่าต่อมใต้สมองเป็นตัวสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว แต่พอผ่านไปสักระยะเห็นว่าไม่ใช่สมองสั่ง ?
ตอบ : ใจสั่ง..สมองรับคำสั่งจากใจ แล้วไปบังคับประสาทให้ทำงาน

ถาม : แต่ใจนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อถือ ?
ตอบ : เขาไม่เห็น ไม่เห็นไม่พอ ยังไม่เชื่ออีกด้วย

ถาม : สรุปว่าหนูผิดหรือเปล่า ที่เห็นว่าตัวเริ่มไม่ใช่สมอง ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพอฝึกไปตอนท้าย ๆ ใช้คำว่า อยากยืน อยากเดิน อยากนั่ง แล้วพอพิจารณาเข้าจริง ๆ เป็นความอยาก แต่ว่าเป็นความอยากที่ละเอียดมาก เราไม่รู้เพราะสติสมาธิไม่พอ มองไม่เห็น เมื่อละเอียดพอที่จะเห็นเข้าจริง ๆ แล้วที่แท้เราก็อยากทำนั่นเอง

ถาม : ฝึกไปเรื่อย ๆ เราจะสั่งได้ไหม หรืออยู่ที่ตัวเรา ?
ตอบ : ได้..ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ทั้งหมดเริ่มจากใจ

เถรี 02-04-2013 21:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีใจที่วันนี้คนมาน้อย แสดงว่าไปเลือกตั้งกัน ประเทศชาติของเราก้าวมาถึงจุดนี้ อยู่ในช่วงที่เริ่มจะไต่ขึ้นแล้ว หลังจากที่ลงก้นเหวมานาน แต่เกรงว่าในหลวงไม่อาจจะฝืนพระวรกายอยู่จนกระทั่งเห็นประเทศชาติเป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ

สมมติว่าเราทุ่มเทสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วไม่มีโอกาสได้ดูตอนเสร็จเรียบร้อย ก็คงลักษณะคล้าย ๆ กัน ช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านในบ้านในเมืองก็ต้องทนความลำบากกันหน่อย ช่วงนี้ก็ถือว่ากำลังก้าวล่วง ก็คือพ้นก้นเหว แต่ว่าการไต่ขึ้นนี่เหนื่อยกว่าตอนลงเยอะเลย

พอชราแล้วก็ต้องอาศัยผู้อื่น มีภาษิตจีนอยู่บทหนึ่งว่า “ม้าศึกชราหมอบอยู่ในคอก หัวใจโลดแล่นไปพันลี้” ตอนประเภทวัยรุ่นหรือหนุ่ม ๆ อยู่ก็พาเจ้านายไปได้ทั่วประเทศ ตอนแก่แล้วไปไม่ไหว ได้แต่นอนอยู่คอก แต่ใจก็ยังไปอยู่ อยากจะบอกว่าตอนนี้สภาพของในหลวงก็อย่างนั้นแหละ เหมือนกับม้าศึกชรา ยังคงอยากจะทำประโยชน์ให้กับประชาชนเหมือนอย่างกับสมัยก่อน แต่ตอนนี้กำลังพระวรกายไม่ให้แล้ว"

เถรี 02-04-2013 21:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยบอกกับญาติโยมหลายท่านว่า อาตมาภูมิใจในความเป็นเด็กบ้านนอก ที่เคยลำบากมาก่อน เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างที่เจอในปัจจุบันจะไม่ลำบากเท่าที่เคยเจอมา จึงเลยกลายเป็นงานง่าย งานสบาย จึงภูมิใจในความเป็นเด็กบ้านนอกมาก

พวกเราที่เลี้ยงลูก ถ้าคิดกันอย่างหลักการทั่ว ๆ ไปก็คือเราอายุมากกว่า ต้องตายก่อนแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องให้ลูกเขาทำอะไรด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ถ้ามัวแต่ไปตามดูแลเขาอยู่จนเขาทำอะไรไม่เป็น ถ้าเราปุบปับเป็นอะไรไป ลูกจะน่าสงสารมาก เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย อย่าไปดูแล อย่าไปโอ๋มาก ให้ลูกเขาเข้มแข็งอยู่ได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด"

เถรี 03-04-2013 21:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่าอุตรกุรุทวีปจะโดนปลดออกจากระบบสุริยจักรวาลแล้ว อุตรกุรุทวีปคือดาวพลูโต เขาบอกว่าไม่น่าจะเป็นวงโคจรที่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์ ก็เลยจะปลดดาวพลูโตออกจากระบบสุริยจักรวาล

ที่อุตรกุรุทวีปคนเขามีลูกทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ ผู้หญิงก็เลี้ยงได้ผู้ชายก็เลี้ยงได้ พอถึงเวลาเด็กจะกินนมก็เอานิ้วแหย่ใส่ปาก จะมีน้ำนมให้กิน เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงก็เลี้ยงลูกได้ผู้ชายก็เลี้ยงลูกได้ ชาวอุตรกุรุทวีปมีต้นข้าวที่ไม่มีเปลือกหุ้มเมล็ด ถึงเวลาไปรูด ๆ จากรวงใส่หม้อ เอาน้ำใส่ ตั้งบนแก้วมณีพักเดียวก็สุก รู้สึกว่าจะใช้งานได้ดีกว่าไมโครเวฟของเราอีก เพราะสุกพอดีไม่มีการไหม้

ถึงได้บอกว่าชาวอุตรกุรุทวีปมีบุญตรงที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหาร ไม่ขาดแคลนเรื่องอาหาร ชาติก่อนทำทานเรื่องอาหารไว้มาก มีความดีมากไม่พอจะเกิดเป็นเทวดา แต่ความดีก็มากเกินกว่าจะมาเกิดร่วมกับเรา จึงต้องไปอยู่ที่อุตรกุรุทวีป"

เถรี 03-04-2013 21:26

ถาม : หนูไปฝึกมโนมยิทธิ ถ้าจะเปลี่ยนคำภาวนาจากนะมะพะธะเป็นอย่างอื่นจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : อะไรก็ได้...เวลาที่เราคล่องแล้ว ไม่ทันจะภาวนาก็ไปแล้ว เรานึกถึงพระนิพพานก็ไปแล้ว ไม่ทันจะภาวนาหรอก เพราะฉะนั้น..ใช้อะไรก็ได้ อาตมาเองภาวนาพุทโธก็ไปได้ มาตอนหลังไม่ทันจะภาวนาก็ไปแล้วทุกที

เถรี 04-04-2013 12:24

ถาม : เจ้ากรรมนายเวร กับผลวิบากกรรม คืออย่างเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เราเข้าใจว่าเจ้ากรรมนายเวร คือ เราทำใครไว้แล้วคนนั้นตามมาจองเวร แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้ากรรมนายเวรตาย ก็ไปตามภพตามภูมิ ผลกรรมที่เราทำไว้ต่างหากที่ตามมา มีไม่กี่รายหรอกที่เจ้ากรรมนายเวรตายก่อนอายุแล้วตามมาจองเวร พอถึงเวลาหมดอายุของเขาก็ต้องไปตามกรรม

ถาม : แล้วการอโหสิกรรมล่ะครับ ?
ตอบ : การอโหสิกรรม คือ การปลดตัวเองออกจากความรู้สึกนั้น การอโหสิกรรมที่แท้จริงต้องอยู่ต่อหน้ากัน แล้วเอ่ยปากยอมกันถึงจะหลุด ปัจจุบันของเราที่ขออโหสิกรรมนั้น เราขออยู่ฝ่ายเดียว เราเป็นฝ่ายปลดตัวเราเองออกมาจากกรรมนั้น

เถรี 04-04-2013 12:33

ถาม : หมอเวลารักษาผู้ป่วย จะมีผลกระทบต่อตัวเองหรือไม่ ?
ตอบ : ลูกปืนกำลังวิ่งใส่เขา เราไปยืนขวางตัวเองก็โดนด้วย สมัยโบราณเขาเก่ง เขาจะมีการไหว้ครู ขอบารมีครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ ช่วยปกป้อง ถึงเวลาก็ให้คนไข้อนุญาตก่อน สมัยนี้ไม่ค่อยมีหรอก

ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่หมอรักษาคนเท่ากับฝืนกฎแห่งกรรมหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเขาสามารถรักษาได้ คือวาระกรรมนั้นยังไม่หนักเกินไปสำหรับคน ๆ นั้น แต่ถ้าหนักเกินแล้วตัวเองยังไปฝืนอยู่ เดี๋ยวจะโดนเอง ฉะนั้น..รักจะเป็นหมอก็ต้องเสี่ยงหน่อย

เถรี 04-04-2013 12:39

ถาม : เวลาภาวนาอยู่ เหมือนภาพพระพุทธองค์เคลื่อนไหว กลายเป็นสีเหลืองทั้งองค์ ?
ตอบ : เริ่มดีแล้วจ้ะ...เราก็รักษาไปเรื่อย ๆ แล้วภาพจะค่อย ๆ ขาวขึ้นเอง ตอนแรกจะเป็นสีเหลืองก่อน พยายามให้ภาพนั้นทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ เราจะได้ไม่ต้องบังคับมาก ถ้าทำจนรู้สึกเองเป็นอัตโนมัติ จะภาวนาเอง รู้ลมหายใจของเราเอง เราก็รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ แล้วภาพพระก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นใสขึ้นเรื่อย

เถรี 04-04-2013 13:25

ถาม : พระบางรูปบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง บางรูปบอกว่าไม่มีจริง รบกวนไขข้อข้องใจด้วยครับ ?
ตอบ : มีจริงและไม่มีจริง เจ้ากรรมนายเวรส่วนใหญ่ของเรา หมายถึงบุคคลที่เราทำร้ายหรือเข่นฆ่าเขา ถ้าเขาถึงความตายแล้วส่วนใหญ่เขาจะไปรับบุญรับบาปของเขา แต่ผลที่เรากระทำนั้นแหละ เป็นตัวที่ส่งผลให้เราเป็น ก็เลยกลายเป็นว่าเราเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเขาตามจองเวร แต่จริง ๆ แล้ว ผลของกรรมต่างหากที่เป็นคนจอง แบบเดียวกับเราฆ่าคนตาย คนตายแล้วก็ตายไป แต่กฎหมายต่างหากที่มาจัดการกับเรา

ขณะเดียวกันยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย แล้วเขากำหนดจดจำได้ว่าเราเป็นคนทำร้ายเขา พวกนี้เขาก็ตามอาฆาตอยู่เหมือนกัน ก็เลยเป็นไปได้ว่าทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตนไม่มีตัวตน แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๐ จะไม่มีตัวตน

เถรี 04-04-2013 13:46

ถาม : เด็กหรือผู้ใหญ่ที่อายุเยอะ เวลาเรามาทำบุญจะบอกเขาอย่างไรให้เขารับบุญ ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถที่จะบอกกล่าวแล้วรู้เรื่องกันตามปกติ ก็ให้จับเขามาทำด้วยกันเลย ในลักษณะที่เรียกว่ากตัตตากรรม ถึงไม่เจตนา บุญก็ยังเป็นของเขาอยู่ คือให้เขามีส่วนร่วมด้วย

เถรี 04-04-2013 13:51

ถาม : ในกรณีเด็กเล็ก ๆ เราควรพามาที่วัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอยู่ในท้องแม่ก็ควรพามาแล้ว ที่นี่มีหลายคนที่เขามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เป็นการสร้างปัจจัยนิสัยให้กับเด็ก พอเขาคุ้นชินเขาก็จะมาทางด้านนี้ เป็นเรื่องที่พ่อแม่จะต้องชักนำเขาเอง

ถาม : ผมกลัวว่าเด็กมาแล้วจะร้องโวยวาย วิ่งซน จะรบกวน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเขาเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก เราจะเห็นว่าเด็กจะดื้อจะซนเราก็อภัยให้เขาได้ แต่คราวนี้ส่วนใหญ่เราไม่สามารถจะเห็นว่าธรรมดาของผู้ใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น พอถึงเวลาเราจะไปโกรธผู้ใหญ่แต่เราให้อภัยเด็ก แต่ถ้าเราเห็นธรรมดาเหมือนกัน แม้กระทั่งผู้ใหญ่เราก็จะให้อภัยแก่เขาได้

เถรี 04-04-2013 14:03

ถาม : สมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ที่หน้าวัดพระพักตร์สวยมากค่ะ
ตอบ : ต้องไปดูตอนเขาแต่ง พอเขาใส่พระเนตรแล้วออกมาสวยถูกใจมากเลย เดี๋ยวต้องรอดูสมเด็จองค์ปฐมของพระครูหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร พิมพ์เดียวกันนั่นแหละ คนทำก็ชุดเดียวกัน แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เหมือนกัน

คราวนี้เขาทำอยู่กับอาตมาเขาอารมณ์ดี เพราะได้กินเต็มที่ นอนเต็มที่ ขาดอะไรบอกได้เดี๋ยวนั้นเลย เฉพาะค่าบุหรี่ควักให้อาทิตย์ละ ๕,๐๐๐ บาท บอกเขาว่า “บุหรี่แพง ถ้าพวกคุณไปซื้อกันเอง ๒๐ คน คุณจะเอาเงินที่ไหนมา เพราะฉะนั้น..เอาที่ผมนี่แหละ” เขาก็เลยทำกับอาตมาอย่างสบายใจ แล้วเขามาทำหวังกุศลอย่างเดียว ตอนกลับอาตมายังติดปลายนวมให้เขาไปแสนหนึ่ง ๒๐ คนถวายท่านไปแสนหนึ่ง ไปหารกันเอาเอง


ถาม : ก็ได้คนละห้าพันเองนี่คะ
ตอบ : ใช่...แต่ที่อื่นไม่ได้เลย เขาไปทำกำแพงเพชร เขาบอกว่าเป็นวัดธรรมยุติ เขาถวายข้าวมื้อละจานเดียว ฉันไม่อิ่มก็ต้องไปซื้อฉันกันเอง แต่อาตมานี่บอกเต็มที่เลย ต้องการอะไรเรียกร้องได้

เถรี 04-04-2013 14:10

ถาม : เดี๋ยวนี้เขานำถั่วเขียวมาทำเป็นน้ำปานะ พระฉันได้หรือคะ หนูงงจริง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : หลายที่เขาฉันกันเป็นปกติ แต่ว่าผิดพระวินัย เพราะว่าถั่วเขียวจริง ๆ เป็นอาหาร ต่อให้ทำเป็นปานะก็ไม่ควร พวกน้ำฟักทอง น้ำถั่วเขียว น้ำเผือก น้ำมันเทศ ในปัจจุบันเขาฉันกันเป็นปกติ ไปที่ไหนก็มี อาตมารับมาแล้วต้องวาง เพราะรู้ว่าเป็นอาหาร

ถาม : เณรชาวเขาออกจากวัดไปเซเว่นฯ กันเลย
ตอบ : ไม่ต้องห่วง...เณรที่ไหนก็เหมือนกันแหละ เณรที่ด่านช้างพาพระหน้าแตกไปด้วย พระสั่งให้ไปซื้ออาหารตอนเย็น เณรก็เดินท่องไปเลย “ก๋วยเตี๋ยวสี่ บะหมี่สอง กะหล่ำปลีไม่เอา เอาผักบุ้ง” อาจารย์เขาสั่งแล้วเณรเดินท่องไปเลย ชาวบ้านก็รู้กันหมด

นาน ๆ ไปความย่อหย่อนมีมากขึ้น ถึงได้บอกกับญาติโยมหลายคนที่ประท้วงว่า วัดท่าขนุนเข้มงวดไปหรือเปล่า ? ก็บอกกับเขาว่า “ถ้าเข้มเอาไว้ ถึงเวลาเราผ่อนจะพอดี แต่ถ้าไปปล่อยหย่อนตั้งแต่แรก ผ่อนแล้วจะยาน”


ถาม : เห็นกับตาเลย บ่ายสองโมงยังเปิดตู้เย็นฉัน
ตอบ : ก็ไม่เห็นหรือว่าที่เพิ่งผ่านมา พระควงสาวไปนั่งร้านอาหารตอนห้าโมงเย็น เขาถ่ายไปลงเฟซบุ๊กกันครึกครื้น ถึงได้บอกว่าอาตมาพยายามจะยืนหยัดอยู่ เพื่อแนะนำในสิ่งที่ดีที่ควรให้กับพระเณรของเรา แล้วที่เหลือรุ่นต่อไปถึงคิวท่านขึ้นมารับผิดชอบเป็นเจ้าอาวาส เป็นครูบาอาจารย์ ก็ให้เขาดูแลกันไปเอง

เถรี 10-04-2013 19:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมมาถามว่า เพื่อนจะแต่งงานวันเสาร์ ๕ ค่ำ จะช่วยเขาแก้ได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่าไม่ต้องช่วย..เขาแก้กันเองได้ ไปช่วยผิดจังหวะเดี๋ยวเขาจะเตะเอาด้วย..!

เรื่องนี้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือไม่รู้จริง ๆ ว่าวันเสาร์ ๕ ไม่ควรแต่งงาน อย่างที่ ๒ ก็คือ ถึงรู้ก็จะแต่ง ถ้าเป็นแบบถึงรู้ก็จะแต่งนี่น่าจะเป็นบุพเพสันนิวาส ประเภทนั้นถ้าไม่ให้แต่งก็หนีตามกันเลย
บาลีเขาว่า ปุพเพสันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะ หิเตนะ วา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเกฯ


มีคนเขาผูกเป็นกลอนแปลไว้ว่า

......................เพราะได้เกื้อกูลกันในกาลก่อน..........เพราะอาทรห่วงใยในชาตินี้
......................จึ่งศรรักปักใจในทันที.....................ดั่งวารีเคียงคู่กับอุบล


ปุพเพสันนิวาเสนะ = เพราะได้เกื้อกูลกันในกาลก่อน ปัจจุปปันนะ หิเตนะ วา = เพราะอาทรห่วงใยในชาตินี้ เอวันตัง ชายะเต เปมัง = จึ่งศรรักปักใจในทันที อุปะลัง วะ ยะโถทะเก = ดั่งวารีเคียงคู่กับอุบล จริง ๆ แล้วแปลว่า เหมือนกับบัวที่ขาดน้ำไม่ได้ ความหมายเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นบทกลอนจะไม่ลงตัว"

เถรี 10-04-2013 19:59

ถาม : จับภาพพระอย่างหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นภาพพระอีกอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : ถ้าเราทำพุทธานุสสติ ภาพพระที่มาจะเปลี่ยนเป็นลักษณะไหนก็ยังเป็นพุทธานุสสติอยู่ สามารถจับเป็นนิมิตต่อไปได้ แต่ถ้าเราทำกองกรรมฐานอย่างอื่นแล้วอีกอย่างหนึ่งแทรกขึ้นมา ให้ละเว้นไว้ก่อน ยึดของเดิมต่อไป ดังนั้น..ถ้าเราจับภาพพระอยู่แล้วมีภาพพระอื่นเข้ามา จับต่อก็ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน

ถาม : ถ้าจะจับองค์เก่า ?
ตอบ : ได้...ถ้าท่านมาทั้งคู่ก็แบ่งเวลา หรือไม่ทำอย่างอาตมาหมุนเวียน องค์หนึ่งขึ้นบน องค์หนึ่งลงล่าง สลับกัน ซ้อมกีฬาสมาธิได้เลย

เถรี 10-04-2013 20:01

ถาม : เห็นภาพพระที่พระนิพพานไม่ชัดเจน ?
ตอบ : ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น การกำหนดนึกถึงภาพพระ แรก ๆ ถ้าสมาธิไม่ดี วิปัสสนาญาณไม่ดี ความชัดเจนจะไม่มี เห็นได้เท่าไรให้เอาเท่านั้นก่อน

สมัยแรก ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นจุฬามณีเป็นเจดีย์ปูนธรรมดา แต่พอพิจารณาวิปัสสนาญาณ ตัดร่างกายจนกระทั่งสมาธิแจ่มใสแล้ว ท่านบอกว่าเห็นเป็นเจดีย์แก้วสว่างไสวเพราะฉะนั้น..กำลังของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน การรู้เห็นจึงไม่เท่ากัน เห็นแค่ไหนให้พอใจแค่นั้นก่อน

เถรี 10-04-2013 20:16

ถาม : คนที่ตายแล้วฟื้น ทำไมการเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกับกำลังสมาธิและขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ตัวเองยึดถือด้วย ถ้าเขาเชื่อว่านรกสวรรค์หน้าตาอย่างไร เขาก็จะเห็นอย่างนั้น เพราะถ้าเห็นเป็นอย่างอื่นเขาก็จะไม่เชื่อ

ถาม : พอถึงเวลาที่เขาตายไปจริง ๆ การเห็นของเขา ?
ตอบ : เป็นของจริง

ถาม : การที่หนังสือหลายเล่ม คนเขียนเล่าว่าไปตามแสงที่เห็น ?
ตอบ : ยังไม่แน่ ถ้าตามแสงไปได้ก็แค่ไปเกิดตามกรรมของตัวเองเท่านั้น

ถาม : คนที่ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา จะมีคนที่กลับมาแล้วจำไม่ได้บ้างไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าฟื้นขึ้นมาใหม่จะจำได้ หรือไปเกิดเป็นคนใหม่ทันทีจะจำได้ แต่ถ้ามีการข้ามชาติเสียก่อนจะจำไม่ได้

เถรี 10-04-2013 20:53

:4672615: เก็บตกเดือนมีนาคม ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:17


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว