![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามตำราพรหมชาติ หลวงปู่จามท่านเกิดปีจอ เดือน ๗ ท่านบอกว่าเปียกฝนอยู่ตลอดเวลา ที่กินที่นอนก็หายาก ลำบากลำบน เป็นคนทุกข์มาแต่เล็กแต่น้อย โบราณเขาดูแม่นนะ...
หลวงปู่จามท่านมีความจำท่านสุดยอดเลย อายุเป็นร้อยปีแล้ว ให้ท่านเล่าความหลังซักประวัติต้นตระกูลผู้ไทท่านบอกได้หมด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนบรมลงมา หลวงปู่จามอายุ ๑๐๓ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีเป็นรุ่นน้องท่าน อายุน้อยกว่าปีหนึ่งก็คือ ๑๐๒ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาล พระระดับนี้เป็นห่วงแต่สังขารท่านเท่านั้น เรื่องของจิตใจไม่ต้องไปห่วงท่านเลย เขาบอกว่าพระปฏิบัติส่วนใหญ่ที่อายุยืน เกิดจากสาเหตุ ๒ - ๓ ประการด้วยกัน ประการแรกคือจิตใจท่านสงบ ในเมื่อจิตใจสงบ สภาพความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนร่างกายไม่ขึ้นสุดลงสุดเหมือนคนทั่วไป อีกประการหนึ่งก็คือสวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า การสวดมนต์ไหว้พระเท่ากับได้บริหารอวัยวะภายใน อวัยวะภายในบริหารยาก แต่การสวดมนต์ไหว้พระเราต้องเปล่งเสียง ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นไปบริหารอวัยวะภายในด้วย อวัยวะภายในจึงแข็งแรง ก็เลยทำให้นักปฏิบัติมักจะอายุยืน ที่แน่ ๆ ก็คือร่างกายเสื่อมโทรมช้า พอกำลังใจมั่นคง สภาพร่างกายเสื่อมโทรมช้า ก็เลยทำให้อายุยืนไปเลยปริยาย แต่ต้องหมายถึงว่ากรรมเก่าท่านไม่ได้มากมายด้วยนะ ถ้ากรรมเก่าหนัก ๆ ประเภทออกรบมาทุกชาติอายุยืนไม่ไหวหรอก" |
ถาม : ลูกสาวเขาถามว่าทำไมคนเราต้องตายครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาใช้ร่างกายมากไป ร่างกายอยู่ไม่ไหวก็พัง เคยเห็นของเก่า ๆ ไหมจ๊ะ ? ถึงเวลาก็พัง คนแก่ ๆ ก็พังเหมือนกัน อย่างหลวงตาเดี๋ยวแก่อีกหน่อยก็พังแล้ว ฉะนั้น..เป็นเรื่องปกติลูก ถึงเวลาเราก็เตรียมตัวพัง..เท่านั้นเอง |
ถาม : มีอาชีพไหนที่ทำแล้วไม่ก่อกรรมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เยอะแยะไป อยู่ที่สภาพจิตของเรา ถ้าสภาพจิตไม่มุ่งเบียดเบียนใครก็จบ ส่วนใหญ่แล้วจะอดไม่ได้นะสิ |
ถาม : เวลานอนภาวนาไปแล้วตัวแข็ง ผมสติแตกทุกที ?
ตอบ : แสดงว่ากลัวดี เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกันจะขยับตัวไม่ได้ แค่คลายสมาธิออกมาหน่อยเดียวเท่านั้น ก็จะเป็นปกติเอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านเก่ง ท่านกำหนดเรื่องการบวชพระเพื่อให้เราได้บุญได้กุศลมากที่สุด เริ่มจากการแห่นาค สมัยก่อนเขาไม่ได้แห่นาคแค่รอบโบสถ์ เขาแห่รอบหมู่บ้าน แห่รอบตำบลกันเลย เพื่อให้ญาติโยมคนที่เห็นจะได้โมทนาด้วย นั่นคือเจตนาของการแห่นาคที่แท้จริง
ช่วงที่แห่นาครอบโบสถ์ก็นึกถึงพระพุทธ นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ถึงได้แห่ ๓ รอบ จัดเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ การวันทาเสมาคือการขอขมาพระรัตนตรัย โทษอะไรที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วย ลักษณะว่าจะเข้าไปบวชแล้ว ก็ให้บริสุทธิ์ที่สุด คราวนี้พอวันทาเสมาเสร็จก็มีการโปรยทาน เป็นการทำทานและเป็นทานไม่เจาะจงด้วย เพราะโปรยไปใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น ต้องบอกว่าเกือบ ๆ จะเป็นสังฆทานแล้ว หลังจากนั้นพอเข้าโบสถ์ก็กราบพระ รับศีล ก็ได้ทาน ได้ศีล แล้วไปได้ภาวนาตอนเริ่มบวช พระอุปัชฌาย์ท่านจะบอกกรรมฐานให้ เขาเรียกมูลกรรมฐานหรือตจปัญจกกรรมฐาน แปลว่ากรรมฐาน ๕ ที่มีหนังเป็นที่สุด คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพราะฉะนั้น..โบราณท่านเก่งมาก แทรกความดีไว้ในพิธีกรรมเต็มที่เลย แต่คนรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้กัน เขาแห่เราก็แห่ด้วย บางทีก็เมาหัวทิ่มอยู่ในขบวนแห่นั่นแหละ สมัยก่อนเขาแห่นาคเพราะต้องการให้คนอื่นโมทนาในความดี แต่นี่ไปเมา..แล้วจะเอาความดีที่ไหนมาให้เขาโมทนาได้ บางคนเมาแล้วยิงปืนอีกต่างหาก..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอุปสมบทหมู่ของวัดท่าขนุน อย่างน้อย ๆ ก็จะเหลือติดวัดไว้รุ่นละรูปหรือสองรูป ปรากฏว่าช่วงลอยกระทงปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา บวชไปสิบกว่ารูปแต่ไม่เหลือเลย รายสุดท้ายเพิ่งสึกไปหลังปีใหม่ แม้กระทั่งท่านลุคก็เหมือนกัน
ท่านลุคอยู่ในลักษณะโดนทดสอบกำลังใจแล้วไม่ผ่าน ท่านเองปีนขึ้นไปดูถังใส่น้ำประปา เพราะว่าลูกลอยไม่ตัด น้ำล้นอยู่ตลอด ท่านก็ปีนขึ้นไปซ่อม ตอนลงมามือซ้ายโดนเหล็กโครงสร้างหอประปาบาด แล้วตอนเดินบิณฑบาต เท้าซ้ายท่านไปโดนเศษแก้วตำ ท่านเป็นคนถนัดซ้าย แล้วโดนข้างซ้ายทั้งหมด ท่านเองก็ไปนั่งเซ็ง เกิดมาจนป่านนี้ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยกับใคร อยู่ ๆ เป็นทีเดียว ๒ อย่างทั้งบนทั้งล่างเลย จึงเสียกำลังใจ พออธิบายให้ท่านทราบ ท่านก็ค่อยเข้าใจหน่อยว่าเป็นการทดสอบ แต่ท่านก็แปลกใจว่าทำไมต้องทดสอบกันด้วย ท้ายสุดก็สอบไม่ผ่าน..ขอสึก เมื่อวานก็ย่องมาทำบุญ การทดสอบลักษณะนี้ดีกว่าทดสอบลักษณะของทิพยจักขุญาณ เพราะว่าท่านลุคทิพจักขุญาณท่านชัดด้วย ถ้าทดสอบลักษณะนั้นแล้วพลาด จะไปยาวเลย เนื่องจากว่ารู้เห็นด้วยตัวเอง ในเมื่อรู้เห็นด้วยตัวเองทำให้น้อมใจเชื่อ ถ้าคนปัญญาไม่พอก็จะเชื่อยาวไปเลย ที่เชื่อเพราะว่าตัวเองเห็น โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งตัวเองเห็นนั้น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่แน่ว่าจริง เคยยกตัวอย่างให้พระท่านฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าเราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา แล้วเราก็ไปขวางเขา จะถูกเขากระทืบเราตายเพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริงหรือเปล่า ? ก็จริง..แต่เรื่องที่เราเห็นไม่จริง เพราะเป็นฉากในหนังเท่านั้น เรื่องของทิพยจักขุญาณเวลาเขาทดสอบเรา จะทดสอบเจ็บอย่างนี้แหละ ถ้าปัญญาไม่ถึง การตรึกตรองใคร่ครวญไม่ดีก็จะหลงทาง โดนเขาหลอกแล้วไปยาวเลย เพราะว่าตัวเองเห็นเลยไปมั่นใจว่าต้องใช่อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนนิยมสร้างสมเด็จองค์ปฐมจนอาตมาเองก็หนักใจ ตกลงว่าเขาทำถูกหรือทำผิด ? มีการบวงสรวงขออนุญาตกันหรือเปล่า ? เรื่องของพระพุทธเจ้าบางทีพวกเราก็เผลอ ด้วยความที่สมัยนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นง่าย สะดวกไปหมด ใครนึกจะสร้างก็สร้าง ต้องบวงสรวงบอกกล่าวกันให้เรียบร้อยก่อน ยิ่งถ้าได้มโนมยิทธิหรือว่าได้อภิญญาก็ไปกราบขอต่อหน้าพระพักตร์เลย"
|
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมว่า "เอาพระพุทธรูปไว้ข้างบนเลยลูก พระพุทธอย่าวางไว้ต่ำ วางสูงไว้ก่อน พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ สมัยก่อนเขาใช้พุทโธคำเดียวหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าเลย
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า มีนักเลงรุ่นน้าบ้านอยู่ตลิ่งชัน ชื่อปาน เป็นเพื่อนของน้าชายของหลวงพ่อที่เป็นตำรวจ น้าปานเป็นนักเลงใหญ่ประเภทคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ถ้าแถวบางระมาดหรือตลิ่งชันมีคนอื่นมารังแก น้าปานจะออกหน้ารับหมด รับได้เพราะแกหนังเหนียว ซัดกันทีไรถ้าคู่ต่อสู้หนังไม่ดีจริงนี่เยินไปทุกราย คนก็เลยกลัวและเกรงน้ำใจ ปรากฏว่าวันนั้นเดินกลับบ้านผ่านไร่อ้อย น้าปานเกิดหิวน้ำขึ้นมา ไปตัดอ้อยของเจ๊กเขามาลำหนึ่งกินแก้หิวน้ำ ปรากฏว่าพวกเจ๊กเขากรูกันออกมาสิบกว่าคน ช่วยกันจับน้าปานมัดเป็นหมูเลย คนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กก็ทั้งฟันทั้งแทงปรากฏว่าไม่เข้า เจ้าของไร่โมโห ให้เมียมานั่งคร่อมหัวก็ยังแทงไม่เข้า เขาเลยกะว่าเอาไฟเผา ก็เลยจะเอาคบไต้ทิ่มหน้า พอเห็นเป็นน้าปานคบไต้หลุดมือเลย ตกใจ..ไปเล่นนักเลงใหญ่เสียเต็มที่เลย น้าปานก็เลยบอกว่า “ทำไมอาเจ๊กทำกันอย่างนี้เล่า ? แค่กินอ้อยลำเดียวเท่านั้น ต้องถึงขนาดฆ่าแกงกันด้วยหรือ ? ดึกแล้วฉันเองก็ไม่อยากจะตะโกนเรียก ก็เลยถือวิสาสะตัดเอาเอง” เจ๊กเขาบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น หลายวันก่อนอีมาที อีเล่นตัดแล้วขนไปเป็นหอบ ๆ เลย” เลยขอโทษขอโพย น้าปานก็ไม่โกรธ เพราะรู้เหตุผลอยู่แล้ว" |
"สมัยก่อนกว่าจะได้อ้อยมา กว่าจะคั้นน้ำ กว่าจะทำเป็นงบน้ำอ้อยขึ้นมานั้นลำบากลำบนจะตาย กวนกันข้ามวันข้ามคืนกว่าจะได้ เขาทำมาหากินสุจริตพวกนี้ยังไปขโมยเขาอีก แต่ต้องบอกว่าน้าปานแกเฮงเองแหละ ผ่านไปตอนนั้นพอดี ถ้าไม่ใช่หนังเหนียวก็ตายคาที่ไปแล้ว เพราะกลางคืนมืด ๆ โดนรุมตีเอา ตัวเองคนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กมีวิทยายุทธ์ทั้งนั้นเลยจับมัดไว้ ถ้าไม่ได้คิดจะใช้ไฟเผาก็ยังจำไม่ได้ว่าใคร
นั่นแหละคุณพระรัตนตรัย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่าน้าปานมีของดีอะไร น้าปานบอกว่าไม่มีหรอก ภาวนาพุทโธเท่านั้น แล้วคิดดูว่าขนาดผู้หญิงนั่งคร่อมหัวกำลังใจแกยังไม่ตก ในเมื่อกำลังใจไม่ตกก็ยังเหนียวเหมือนเดิม แทงเท่าไรก็แทงไม่เข้า ดังนั้น..เรื่องของพระรัตนตรัยอย่าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ญาติโยมหลายคนมาถวายสังฆทาน พอวางพระลงก็หยิบเงินถวายข้ามเศียรพระเลย อาตมาพยายามเบี่ยงขันหลบซ้ายหลบขวา บางทีโยมไม่ได้สังเกต เห็นอาตมาเบี่ยงขันหลบ โยมเขาก็ยกเงินข้ามเศียรพระแล้วก็เบี่ยงตามมา ต้องระมัดระวังกันนิดหนึ่ง เราเป็นนักปฏิบัติ ทำบุญหวังความดีชั้นสูง จิตใจต้องละเอียด ถ้ากำลังใจไม่ละเอียดมักจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาต้องขอขมาไว้ก่อน จะไหว้พระ จะสวดมนต์ จะทำวัตร ตื่นนอน ก่อนนอน กราบขอขมาพระไว้ให้ชิน ถึงเวลาแล้วตั้งใจขอขมาไว้ก่อน จะทำโดยรู้หรือไม่รู้ก็ขอเอาไว้ จะได้ปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องของกรรมล่วงเกินพระรัตนตรัยนี่ ถ้าปฏิบัติธรรมจะไม่ก้าวหน้าเลย" |
ถาม : ถ้าพระบรมสารีริกธาตุที่เราบูชาอยู่เกิดเปลี่ยนวรรณะ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตีเสียว่าดีแล้วกัน แต่พระบรมสารีริกธาตุของอาตมานี่ ถ้าเปลี่ยนเมื่อไรแล้วต้องระวัง ที่ระวังก็คือมักจะเกรงว่าตัวเองความดีจะไม่พอ คนอื่นเขาบูชาแล้วพระธาตุงอกบ้าง เพิ่มบ้าง แต่ของอาตมาบูชาไปแล้วลดลงไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมไม่เหมือนเขา พอมานึกได้ว่าอาตมาเป็นคนไม่หวงของ ปกติใครขอก็ให้เขาอยู่แล้ว กลายเป็นว่าท่านเลยเสด็จไปอยู่กับคนอื่นเรื่อย ส่วนของอาตมานี่ท่านมาเพิ่มเมื่อไร ก็ระแวงว่าเราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า กลายเป็นว่าตรงกันข้ามกับคนอื่น ของคนอื่นเขาเพิ่มบ้าง งอกบ้าง เปลี่ยนแปลงบ้าง ถือว่าดี แต่ของอาตมาถ้าเพิ่ม งอกขึ้นมานี่ต้องระแวงว่ามีอะไรไม่ดีหรือเปล่า |
ถาม : เวลาแผ่เมตตาออกไป ตอนที่ดึงกลับยังดึงไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ให้ซ้อมบ่อย ๆ ของอย่างนี้ถ้าขาดความชำนาญก็จะเป็นอย่างที่ว่ามา ถ้าซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวความคล่องตัวก็มีขึ้น โดยเฉพาะถ้าได้ความคล่องตัวในตัวสมาธิ เวลารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาอย่างกะทันหัน เราจะได้ป้องกันทัน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวหรือตั้งรับไม่ทัน ก็เหมือนกับปิดประตูบ้านไม่ทัน ขโมยเข้าบ้านไปแล้ว |
ถาม : พระมีผู้หญิงในห้อง มีข้อหาปาราชิก ยังไม่มีการตัดสินจากฝ่ายธรรมยุติ ไปบวชใหม่ทางมหานิกาย อย่างนี้จะขาดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาทำจริงหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นการอยู่กับหญิงสองต่อสองนี่เขาปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าคดีขึ้นสู่ศาล ต้องไปพิสูจน์ว่าปาราชิกจริงไหม จะทำได้ยาก ? ตอบ : ถ้าทำก็ไม่ต้องพิสูจน์ เพราะขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ในเรื่องของทางธรรมขาดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในเรื่องของทางโลกก็ลำบากหน่อย มัวแต่ไปพิสูจน์กันอยู่ ถาม : ต้องไปรอเจ้าคณะอำเภอตัดสินไหมครับ ? ตอบ : ถ้าขาดแล้วก็ไม่ต้องรอใครตัดสินหรอก ตัวเองก็รู้เอง ถาม : แล้วในเรื่องของสายการปกครองไม่ต้องไปรอใช่ไหมครับ ? ตอบ : ก็ให้เขาตัดสินแล้วสึกเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป เสียดายว่าไม่มีโทษอื่น แค่สึกก็จบ ถ้าให้ติดคุกติดตะรางเสียบ้าง น่าจะรู้สึกกลัวกันมากขึ้น |
ถาม : หนูแต่งงานกับผู้ชายต่างศาสนา บางทีเขาหึงก็ทำร้ายร่างกายหนู ควรทำอย่างไรให้หมดเวรกรรมตรงส่วนนี้ดีคะ ?
ตอบ : ไม่หมดหรอก ระดับนั้นหมดยาก...รู้จักคาถาเมตตาของหลวงปู่แช่ม วัดฉลองไหม ? พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต เช้าขึ้นมาก็นึกถึงหน้าเขา แล้วภาวนาไปสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง ภาวนาให้เป็นกรรมฐานเลย ตั้งใจนึกถึงหน้าของทุกคนในบ้าน ยิ่งต่างชาติยิ่งดี เขาไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ทำไมรักเรามากขึ้น คาถานี้ช่วยให้เขารักเขาเมตตา เขาก็จะทำดีกับเราเอง ให้ทำเป็นกรรมฐานเลย ถ้าเคยใช้พุทโธก็ใช้คาถานี้แทน ยาวหน่อยก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ทำไป เท่ากับเราได้ภาวนามากขึ้นด้วย เวลาภาวนาอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก อานุภาพคาถาจะมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่การทรงตัวของลมหายใจของเรา ถ้าลมหายใจทรงตัวเป็นสมาธิสูงมากเท่าไร คาถาก็มีผลมากเท่านั้น ไปลงมือทำได้แล้ว..ห้ามมาคร่ำครวญ..! |
ถาม : พระที่อาพาธด้วยโรคริดสีดวงทวาร ไม่สามารถผ่าตัดได้ จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตามพระวินัยแล้วพระพุทธเจ้าท่านห้าม แต่ถ้าเห็นว่าท่านทรมานมากก็ผ่าตัดให้ แล้วให้ท่านไปปลงอาบัติเอา เพราะว่าเป็นศีลที่เป็นส่วนเกินจากพระปาฏิโมกข์ ที่เราเรียกว่าอภิสมาจาร ในเมื่อเป็นอภิสมาจารก็อยู่ในลักษณะว่าเขาปรับเท่ากับจับเงิน คือปรับอาบัติทุกกฎ ทุกกฎแปลว่าความชั่ว เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะสมัยก่อน เวลาพระท่านเป็นริดสีดวงทวารแล้วไปให้หมอรักษา ซึ่งหมอที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เป็นคนศาสนาอื่น อย่างพวกฮินดู เขาก็เอาพระไปวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยห้าม คราวนี้ว่าของเราผ่าตัดแล้วก็แนะนำท่านให้ไปปลงอาบัติเอาก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ท่านก็ไม่ได้ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอีก ถาม : ถ้าเป็นอย่างนั้นจะได้สั่งว่านเพชรสังฆาตไปด้วย ตอบ : เอาเพชรสังฆาตก่อนดีกว่าจ้ะ เพราะว่าเพชรสังฆาตช่วยได้เยอะมากเลย ถ้ากินต่อเนื่องกันครบแล้วส่วนใหญ่ริดสีดวงทวารจะหาย แต่เพชรสังฆาตถ้ากินไม่เป็นนี่คันตายเลย..! |
การผ่าริดสีดวงทวารท่านใช้คำว่า ทำสัตถกรรมในที่แคบ สัตถะแปลว่าอาวุธ ก็คือใช้มีดผ่าตัด ท่านห้ามเอาไว้ สมัยโน้นนั้นเขาจะมีเวชกรรม มีอยู่อันหนึ่งที่ปรับพระแรงมากเลย ก็คือเปลี่ยนเพศให้กับคนอื่น แสดงว่าสมัยก่อนการเปลี่ยนเพศเขาทำเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นผ่าตัดหรือใช้สมุนไพร หรือว่าใช้อภิญญาฤทธิ์อะไร ไปเปลี่ยนเพศให้เขานี่ท่านปรับเลย
มานึกถึงเรื่องการแพทย์โบราณ ประเทศจีนกับอินเดียรู้สึกว่าก้าวหน้าใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณจิตใจสงบ เกิดทิพจักขุญาณขึ้นมา ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าควรจะทำอย่างไร อย่างที่หมอฮัวโต๋ผ่าตัดกะโหลกศีรษะ หรือไม่ก็แบบเดียวกับที่หมอชีวกฯ ท่านรักษาคนไข้ อยากได้ตำรายาถ่ายของพ่อปู่หมอชีวกฯ สมัยนี้คงทำกันไม่ได้แล้ว ให้ดมแล้วถ่ายได้ ไม่ต้องกินเลย แค่ดมยาแล้วถ่ายนี่ต้องบอกว่าสุดยอดเลย |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่านที่ยอมรับกฎของกรรมก็ไม่รู้ว่าจะไปฝืนทำไม ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ตัวท่านเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกไปเดือดเนื้อร้อนใจกับการเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ว่าลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ ในเมื่อลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ก็ให้การรักษา ท่านก็รับการรักษาสนองน้ำใจ ถ้าไม่ได้รักษาท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก จะตายวันตายพรุ่งก็เป็นเรื่องของร่างกาย |
ถาม : ทางตะวันตกเขาก็ยอมรับแล้วว่าการทำสมาธิทำให้อาการโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างดีขึ้นได้ ?
ตอบ : เราต้องยอมรับว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคภัยสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคประสาท เหล่านี้เป็นต้น การทำกรรมฐานทำให้หายเครียด ในเมื่อหายเครียดโรคเหล่านี้ก็พลอยหายไปด้วย ระยะหลัง ๆ อย่าง ไมเกรนยาก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้วิธีเจริญกรรมฐานแทน |
ถาม : มีครั้งหนึ่งทำกรรมฐานแล้วรู้สึกว่าตัวเองดูตัวเองอยู่ ไม่ทราบว่าเพี้ยนไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพี้ยนไปแล้วจ้ะ คือจิตแยกจากร่างกายเป็นเรื่องปกติ หลายต่อหลายคนที่มีประสบการณ์นี้ใหม่ ๆ ก็สงสัยว่าตัวเรายืนอยู่นี่ แล้วคนนั้นเป็นใคร เป็นเรื่องปกติจ้ะ ให้ทำต่อไป ถ้ากำลังของเราเพียงพอ เราจะควบคุมได้ เราจะไปที่ไหนก็กำหนดได้ ถ้าปล่อยให้หลุดส่งเดช เดี๋ยวหลุดไปห้องน้ำแล้วคนอื่นกำลังอาบน้ำอยู่จะยุ่ง เขาไม่เห็นเราหรอก แต่เราเห็นเขานะสิ..! เพราะฉะนั้น..กลับไปฝึกสมาธิเพิ่มขึ้น กำลังเข้มแข็งขึ้นจะได้ควบคุมได้ง่าย ส่วนใหญ่แล้วโยมเขาจะกลัวกัน เพราะว่าไม่เคยชิน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่ากลัวดี จะได้ดีแล้วกลัว ก็เลยไม่ทำต่อ จริง ๆ แล้วถ้ากำลังใจมั่นคง คุ้มครองตนเองได้ คุ้มครองหมู่คณะได้ก็สบายเลย เอาแค่คุ้มครองตัวเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว |
ถาม : การใช้คาถาย่นระยะทางให้สั้นลง มีตรรกะทางโลกอธิบายไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ตอนที่ตัวเองย่นระยะทางก็ไม่รู้ตัวนะ รู้แต่ว่าคนอื่นไล่ตามไม่ทัน ถ้าจะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ ก็คือการเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่เร็วขึ้นโดยที่ตัวเราไม่รู้ตัว ระยะทางยังเท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ไปถึงเร็วขึ้น |
ถาม : การใช้ลูกแก้วพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอให้หลวงพ่อสอนเป็นกรรมฐานหน่อยครับ
ตอบ : ก็มองแล้วจำภาพ จะเป็นกสิณ ๒ อย่างด้วยกันคืออาโลกกสิณ กสิณลูกแก้ว และกสิณภาพพระ เป็นพุทธานุสติด้วย ๒ อย่างรวมกัน ตั้งใจนึกถึงท่าน เอาให้ย่อได้ ขยายได้ แล้วคราวนี้จะอธิษฐานอย่างไรก็ตามใจจ้ะ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ควรจะภาวนาคาถาเงินล้านไปเลย |
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเข้าถึงไตรสรณคมน์แล้ว ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของเรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นก็ใช่ กำลังใจขึ้นลงอาจจะมีบ้าง แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย เพราะว่าการขึ้นลงนี่เป็นไปตามกำลังใจช่วงนั้น แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย อย่างไรชีวิตนี้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแน่นอน ถาม : จะทดสอบได้อย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าจะทดสอบก็ต้องทดสอบแบบสุปปพุทธกุฏฐิ ที่พระอินทร์มาทดสอบกำลังใจ โดยให้พูดว่าพระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นตายแกก็ไม่ยอมพูด เพราะให้พูดอย่างนั้นก็แปลว่าไม่ใช่ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง |
ถาม : เวลากลางวัน ใจสงบมองท้องฟ้าแล้วระยิบระยับเหมือนเคลื่อนไปเคลื่อนมา เป็นเพราะดวงจิตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นเรื่องของอานุภาพพลังงาน ถ้าชัด ๆ บางทีก็เห็นเป็นบวกเป็นลบเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "แก้ว" โบราณเขาหมายถึงของดีที่สุด เขาถึงเรียกว่าแก้ว อย่างประเภทลูกแก้ว เมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ของดีที่สุดของประเภทนั้นทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าแก้วแล้วก็ถือว่าดีที่สุด ขนาดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ยังเรียกแก้ว ๓ ดวง
เราเองพิจารณาถึงลูกแก้ว ให้นึกถึงพระรัตนตรัยไว้ก่อน หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านออกแบบตราประจำองค์ของท่านเป็นเพชร ๓ ดวงก็คือพระรัตนตรัย" |
ถาม : อย่างคนขายเนื้อที่ต้องฆ่าสัตว์ คนเหล่านั้นจะไปพระนิพพานไม่ได้จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ตอนที่ไปนิพพานเขาไม่ได้ฆ่านี่ ถ้าสามารถตัดกำลังใจช่วงนั้นได้ก็ไปได้ แบบเดียวกับตัมพทาฐิกโจร ไม่รู้ฟันหัวคนมาตั้งกี่ร้อยกี่พัน เฉพาะครั้งแรกก็จัดการพวกตัวเองไปตั้งหลายร้อยแล้ว พระสารีบุตรบอกว่า “เป็นการทำด้วยความต้องการของเธอเอง หรือทำตามที่พระราชาสั่ง ?” ตัมพทาฐิกโจรก็บอกว่า ทำตามพระราชาสั่งเพราะว่าตัวเองเป็นเพชฌฆาต รับเงินเดือนหลวง พระสารีบุตรก็เลยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นบาปจะตกอยู่กับใคร ?” ท่านคิดไม่ทัน ก็คิดว่าบาปเป็นของพระราชา เราไม่บาป พอกำลังใจคลายออก ตั้งใจฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบันเลย ตอนที่เขาฆ่าก็คือฆ่า แต่หลังจากนั้นไม่ได้ฆ่าทั้งวัน ถาม : ต้องเป็นโอกาสที่ได้รับธรรมช่วงนั้น ? ตอบ : ต้องมีบุญเก่ามาสนับสนุน ถ้าไม่มีบุญเก่ามาสนับสนุนก็ไปไม่รอดหรอก |
ถาม : กรณีพวกนักการเมืองในปัจจุบัน เป็นลักษณะที่พูดไม่หมด จะเข้าข่ายการโกหกไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ตัวเขารู้อยู่แล้วว่าเขาพูดไม่หมด แล้วเขาหวังประโยชน์กับตัวเอง การโกหกที่ชัดที่สุดก็คือหลอกคนอื่นแล้วเอาประโยชน์เข้าตัว อย่างโฆษณาในปัจจุบันนี้แหละ เขาไม่ได้หลอก แต่เขาบอกเราไม่หมด เขาบอกแค่ในสิ่งที่เขาอยากให้เรารู้ เขาไม่ได้บอกในสิ่งที่เราอยากจะรู้ |
ถาม : ทำไมสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ถึงสร้างพระไพรีพินาศ ?
ตอบ : ไม่ได้สร้าง แต่พระองค์ท่านได้มา พอได้มาแล้วพวกที่ทำตัวเป็นศัตรู ก็มีอันเป็นไปทีละคนสองคน พระองค์ท่านจึงพระราชทานพระนามว่าพระไพรีพินาศ วัดท่าขนุนกำลังจะออกพระไพรีพินาศ ปีนี้ครบ ๑๐๐ ปีสมเด็จพระสังฆราช ท่านมีชาติภูมิเป็นคนกาญจนบุรี วัดต่าง ๆ ของกาญจนบุรีจึงมีโครงการเฉลิมพระเกียรติถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดท่าขนุนก็ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ถวายเป็นพระราชกุศลด้วย และได้ขออนุญาตสร้างพระไพรีพินาศ ตอนนี้กำลังให้เขาเอาพระไปถอดแบบอยู่ ทำองค์เล็ก ๆ จะได้แขวนคอได้ ถ้าไพรีไม่พินาศ เราก็พินาศไปเอง หมดเรื่องหมดราว จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร |
ถาม : รู้สึกว่าเราไม่ค่อยสบายใจ เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าไม่มีใจเราก็จะได้สบาย แต่ถ้ามีใจเราก็ไม่สบาย..! ถ้ากรรมเข้ามา วิธีบรรเทาก็คือสร้าง ทาน ศีล ภาวนาเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องของภาวนา จะตัดกรรมใหญ่ได้ดีมาก ๆ แล้วการภาวนาจะทำให้จิตใจเราผ่องใสขึ้นด้วย นี่แสดงว่าเราทิ้งการภาวนาแล้วไปนั่งฟุ้งซ่านแทน |
ถาม : คนที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฐิ ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : มิจฉาทิฐิคือเห็นผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าบอกว่าโลกนี้มีทุกข์ เขาก็บอกว่าสุข ท่านบอกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เขาก็ยึดว่าใช่ เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ พูดง่าย ๆ คือเห็นตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า ถาม : อย่างนี้ต้องขอขมาพระพุทธเจ้าทุกวันไหมคะ ? ตอบ : ควรจะขอขมาทุกวัน เพราะว่าถึงเราจะไม่ได้ทำผิดด้านนี้ เราก็อาจจะทำผิดด้านอื่น |
ถาม : ตกลงคนที่เป็นมิจฉาทิฐิ เราจะคุยทำอย่างไร ?
ตอบ : ให้เขาไปเริ่มต้นให้ถูกใหม่ ประเภทเริ่มต้นผิด เดินคนละทางแล้วจะไปคุยอะไรกัน หันหลังให้กันแล้วต่างคนต่างไป ก็ไกลออกไปเรื่อย ๆ ถาม : เมตตาให้ท่านจัดการ ? ตอบ : ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา พระไม่ได้มีหน้าที่ไปดึงใครให้พ้นนรก ถ้าเขาอยากลงก็ปล่อยให้เขาลงไป ถ้าอยากขึ้นมาก็ตะกายเอาเอง..! |
ถาม : รู้สึกว่าตัวเองมีร่างกายที่หนัก ?
ตอบ : รู้สึกได้ถูกต้องเลย ถาม : แล้วหนูรู้สึกทุกข์ค่ะ ตื่นเช้าขึ้นมาต้องแปรงฟัน ล้างหน้า ทำความสะอาดร่างกาย เหนื่อยที่ต้องดูแล ตอบ : บอกไปเลยว่า ฉันจะดูแลแกชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไร ลาก่อน ฉันไม่เอาอีกแล้ว ถาม : หนูก็ออกจากงานมา มานั่งกินนอนกินเฉย ๆ ตอบ : แล้วหายเหนื่อยไหมเล่า ? ถาม : อุตส่าห์นั่งกินนอนกิน ก็ยังปวดหัว เวียนหัว ตอบ : กลับไปทำงานใหม่ ถาม : กลับไปทำงานก็ทุกข์อีกนะคะ ตอบ : แล้วนอนอยู่เราทุกข์ไหมเล่า ? ถาม : ทุกข์ค่ะ ตอบ : โง่ตายชักอีกคนแล้ว ตราบใดที่เรายังมีร่างกายนี้อยู่เราต้องบริหารร่างกาย เราต้องบริหารหมู่คณะ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ให้ตั้งใจไว้ว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร เราไม่ขอคบมันอีกแล้ว ไปสมัครงานใหม่...ทุกข์เขามีเอาไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้แบก เมื่อเห็นทุกข์ก็วางลง แล้วก้าวข้ามไป การที่เราจะก้าวข้ามความทุกข์ไปได้ จะต้องเห็นความเป็นจริง คือเห็นให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ตราบใดที่อยู่กับร่างกายเราก็แต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้น..เราไม่ปรารถนาในร่างกายนี้อีกแล้ว ตายเมื่อไรก็จบกันแค่นี้..! |
ถาม : เงินเดือนล่าสุดประมาณแปดหมื่นบาทค่ะ แต่หนูก็ออกมา
ตอบ : จะเยอะหรือจะน้อยก็ตาม ก็ให้ได้ทำไว้ก่อน เกิดมาชาติหนึ่งต้องทำประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง แต่ตัวเราไม่เอาแล้ว เอาเป็นว่าถ้าได้เกินหมื่นห้า ที่เหลือเอามาแบ่งให้อาตมา..! ถาม : หนูเกรงว่าถ้าเงินเดือนเยอะ กิเลสจะเยอะตามค่ะ ตอบ : ก็อย่าให้เยอะสิ แบ่งให้อาตมา ไม่มีเงินแล้วกิเลสจะงอกได้อย่างไร ก็ได้แต่นั่งมอง ตรงนี้พูดเล่นนะ อย่างคุณเขาเรียกว่าเสือกไปคิดให้ทุกข์ เลิกคิดก็เลิกทุกข์ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตราบใดที่คนเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ยังมีอยู่เสมอ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้แปลกตรงที่ว่า ถ้าเขาคิดเองไม่ได้ คนอื่นบอกเขาก็ไม่ฟัง ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า ต้องปล่อยให้เขาคิดได้ไปเอง
แบบเดียวกับคนกินเหล้า ถ้าเราบอกว่าไม่ดี เขาก็จะหาเหตุผลมาเอาให้ดีให้ได้ ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปบอก เหนื่อยเปล่า ปล่อยให้คิดได้เอง ถึงหลายชาติหน่อยถ้าปัญญามากขึ้นเดี๋ยวก็คิดได้เอง " |
ถาม : ต้องทำบุญอะไรคะ ถึงจะได้เจอนักการเมืองที่เราสนิทและพูดคุยกับเขาได้ ?
ตอบ : นักการเมืองคุยกับเราได้ทุกคน แต่ลับหลังเราแล้วเขาจะจำเราได้หรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถาม : ลักษณะแบบสนิท เราช่วยเขาได้ เขาช่วยเราได้ ? ตอบ : เราก็ต้องทำประโยชน์ให้เขาได้ และประโยชน์ที่จะทำให้เขา เราก็จะเดือดร้อนทุกที คบคนแล้วอย่าไปหวังประโยชน์ ถ้าคบคนแล้วหวังประโยชน์จะลำบาก...เหนื่อย... |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การดำรงชีวิตอยู่ในโลก ต้องเจอแต่สิ่งที่ไม่ชอบใจทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงมองเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ เป็นภัย แต่บุคคลทั่วไปที่ปัญญาไม่ถึง จะมองไม่เห็นตรงจุดนี้
อย่างที่พูดไว้เมื่อวานนี้ว่า เขาตั้งทฤษฎีเก่า ๆ ขึ้นมา แล้วก็จำจนฝังหัวไปแล้วว่า บุคคลที่จะหลุดพ้นได้ต้องทรมานตนเท่านั้น หรือไม่ก็จะต้องเสพสุขให้ล้นเกินจนเบื่อไปเลย แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเราไปที่เมืองฤๅษีเกษของอินเดีย จะเห็นว่า บรรดาพวกนักบวชต่าง ๆ ก็ยังทรมานตนเป็นปกติ บางคนประเภทเหยียดแขนขึ้นฟ้าข้างเดียว จนกระทั่งติดกันเป็นแท่ง ลดไม่ลงเลย เพราะระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ทำอยู่อย่างนั้น ทาตัวด้วยขี้เถ้า ไม่อาบน้ำตลอดระยะเวลาที่บวชมา ยี่สิบ - สามสิบปี หัวเป็นสังกะตัง ใช้หวีไม่ได้เลย แต่เขาเชื่อว่านั่นจะทำให้หลุดพ้น เพราะว่าสภาพจิตจะได้ไม่ยึดหน่วงอยู่กับร่างกาย แต่กลายเป็นว่ายิ่งยึดหนักขึ้นไปอีก ที่ยิ่งยึดหนักขึ้นเพราะเขาไปเน้นเรื่องร่างกาย เขาไม่ได้เน้นว่าอยู่ที่จิตใจ สภาพโดยแท้จริงแล้วร่างกายของคนและสัตว์อยู่ในลักษณะ 'ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว' พระพุทธเจ้าเห็นความจริงตรงนี้ถึงได้ตรัสว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจสูงสุด สำเร็จได้ด้วยใจ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดก็รื้อศาลาหลังเก่าไปแล้ว ข้าวของเยอะจนไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน บอกกับแม่ชีว่า อะไรที่คนอื่นเขาต้องการ วัดอื่นเขาต้องการก็ให้เขาไป เดี๋ยวของเราค่อยหามาใหม่
วันนี้ญาติโยมส่วนใหญ่ไปงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ครูบาอ่อนที่พะเยา อีกส่วนหนึ่งก็ไปพระธาตุดอยตุง เวลาคนน้อยรู้สึกว่าสบายดี คนมาก ๆ แล้วเหมือนกับรถไฟ หัวรถจักรพอโดนเกี่ยวพ่วงมาก ๆ เข้า ลากไม่ค่อยจะไหว..เหนื่อย คนน้อย ๆ ค่อยรู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจหน่อย ไม่ต้องลากใคร ไม่ต้องแบกใคร ความจริงไม่ได้ลากไม่ได้แบกอะไรหรอก เขากระโดดมาเกาะเอง" |
ถาม : ท่านไม่ไปดอยตุงบ้างหรือคะ ?
ตอบ : จะไปทำไม ? ถาม : ไปเที่ยว ตอบ : ไม่มีอารมณ์..อาตมาไปจนเบื่อตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสแล้ว ถาม : ถ้าหนูอยากไป แต่ไม่มีเวลาไปล่ะคะ ? ตอบ : เอาใจไป..กายไม่ได้ไปก็ช่างมัน การระลึกถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะพระบรมธาตุดอยตุง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ถ้าเราไปกราบไปไหว้จนถึงที่ แปลว่าไปลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นอยู่ที่บ้านนึกถึงยังจะดีกว่า ความทุกข์เกิดขึ้นตั้งแต่อยาก แม้แต่อยากพ้นทุกข์ก็เป็นความทุกข์ ถ้าเราอยากไปที่ไหนก็แปลว่าเราเริ่มทุกข์แล้ว ดังนั้น..ก็ปล่อยให้เป็นภาวะเฉพาะหน้า ถ้าได้ไปก็ไป ถ้าไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร ต้องวางกำลังใจให้เป็น |
ถาม : ยิ่งทำงานก็ยิ่งทุกข์ค่ะ
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไม่ทำแล้วทุกข์ไหมเล่า? ก็ยังต้องกิน ยังต้องดื่ม ยังต้องป่วย ยังต้องร้อน ยังต้องหนาวอยู่ดี |
ถาม : ภาวนาไปด้วย และอ่านหนังสือไปด้วย ?
ตอบ : ค่อย ๆ ซ้อมไป แรก ๆ ยังทำไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้ากำลังใจหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะไม่รับรู้อีกข้างหนึ่ง แต่ถ้าซักซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็สามารถแบ่งความรู้สึกให้เท่ากันได้ สามารถที่จะอ่านหนังสือไปด้วย ภาวนาไปด้วย ขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ทำได้ทุกคน หาเรื่องที่เราชอบแล้วก็อ่าน เพราะถ้าเราเผลอก็จะไหลตามเนื้อเรื่อง จึงต้องรีบดึงกลับ มีของไว้สำหรับทดสอบแบบนี้เห็นความก้าวหน้าชัดเจน ภาวนาให้ทรงตัวก่อนแล้วค่อยไปอ่าน ทำไป ๆ พอใจไม่ปรุงไม่แต่งแล้วก็หมดสนุก ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ตอนอ่านเราไปจินตนาการตาม พอเราไปจินตนาการตามตัวความรู้สึกทั้งหมดก็ไปปรุงแต่ง เราก็ไหลตามเนื้อเรื่องไป ไม่มีตัวยั้ง แต่ดูหนังภาพเขากำหนดขึ้นมาแทน เราไม่ต้องจินตนาการมาก สักแต่ว่าเห็น จะทำได้ง่ายกว่า |
ถาม : ......เคลื่อนไปและก็แก่ เห็นชัดแบบนั้น ใช่ที่เขาบอกว่า... ?
ตอบ : ใช่..แต่เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น ถ้าจะเอาให้มั่นคงกว่านั้นก็ทรงสมาธิให้เป็นฌานไปเลย ถ้าทรงฌานได้จะอยู่กับปัจจุบันได้แน่นอน แต่ก็ยังแน่นอนแค่สมาธิที่ทรงตัวเท่านั้น ต้องประเภทปัญญาเห็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับอยู่ทุกขณะ ถ้าแยกอย่างนั้นออกได้ จิตกับกายจะเป็นคนละส่วนกัน ในส่วนของกายก็คือเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา เป็นสมมติไปอย่างนั้น ในส่วนของจิตก็อยู่กับส่วนที่เป็นธรรม เป็นผู้รู้เฉย ๆ มีหน้าที่เสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ด้วยสติและปัญญาที่ประกอบด้วยความระมัดระวังอย่างสูง เรื่องพวกนี้ต้องค่อย ๆ ทำไป พอท้ายสุดก็สักแต่ว่าอยู่ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ถาม : เอาเรื่องการพิจารณามาประกอบหรือครับ ? ตอบ : จำเป็นเลย เพราะถ้าปัญญาไม่ถึง ใจจะไม่ยอมรับ ถาม : สิ่งที่ผ่านไปแม้ไม่นานก็คืออดีต ? ตอบ : ใช่...ขยับไปเรื่อย วินาทีนี้ผ่านไปก็กลายเป็นอดีตไปอีกแล้ว ถาม : ปัจจุบันก็ไม่เที่ยงใช่ไหมครับ.......... ? ตอบ : การที่เราทำนั้นดีอยู่อย่างก็คือ จิตไม่ปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง เมื่อจิตปรุงแต่งในรัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ ตัวกรรมก็ไม่เกิด ในเมื่อตัวกรรมใหม่ไม่เกิด กรรมเก่าที่ส่งมา เดี๋ยวก็หมด ในเมื่อกรรมเก่าหมด กรรมใหม่ไม่เกิด แรงที่จะดึงให้เราอยู่กับโลกก็ไม่มี เราก็สามารถหาทางหลุดพ้นไปได้ ถาม : พอเรารู้สึกว่าว่าง...? ตอบ : ก็บอกแล้วว่า เรามีหน้าที่ดูไว้เฉย ๆ รู้ไว้เฉย ๆ ถาม : พอเรารู้สึกว่าว่าง สักพักก็ตามไม่ทัน ? ตอบ : เริ่มต้นใหม่ ของอย่างนี้ต้องพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แรก ๆ ก็เหมือนกับหัดเด็กตั้งไข่ หกล้มหกลุกไปเรื่อย จึงจะต้องพยายาม เดี๋ยวก็ยืนได้ เดินได้เอง ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้าสมาธิไม่มี โอกาสที่สิ่งที่เราทำจะทรงตัวมันยากสุด ๆ ต้องบอกว่าแทบไม่มีโอกาสเลย ไปซ้อมเข้า พอรู้ว่าทางไหนที่ดีกับเราก็รีบทำ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : พยายามอยู่กับปัจจุบันเรื่อย ๆ เพราะว่าไปอดีตก็ฟุ้งซ่าน ไปอนาคตก็ฟุ้งซ่าน อดีตผ่านมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึง หาความจริงไม่ได้เหมือนกัน จะทำให้ได้ต้องตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ปัจจุบันนี้ |
ถาม : ความว่าง ?
ตอบ : สมาธิที่ทรงตัวทำให้รัก โลภ โกรธ หลงถอยไปชั่วคราวก็ว่างได้ อากาสกสิณก็ว่างได้ อรูปฌานก็ว่างได้ ตัวว่างที่ว่างจริง ๆ คือการปล่อยวางจากรัก โลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ถ้าหากเข้าถึงตรงนั้นจะเหลือแต่ธรรมะแท้ ๆ ล้วน ๆ บางทีแม้กระทั่งสภาพจิตที่เป็นผู้รู้เรายังไม่เอาเลย สักแต่ว่ารู้อยู่เฉพาะหน้า ก็เลยไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่ง ถ้าอย่างนั้นจะว่างจริง ๆ ต้องดูว่าของเรานั้นว่างแบบไหน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:35 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.