![]() |
ถาม : คนที่หาซื้อของมาถวายสังฆทานเอง กับคนที่มาถึงก็แค่ยกถังกับพระพุทธรูปที่เรามีไว้ให้แล้ว ผลจะต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญอยู่ที่เราตั้งใจ ถาม : แต่บางทีใช้ของที่เขาเตรียมไว้ก็ไม่รู้ว่าในถังมีอะไรบ้าง ? ตอบ : ไม่จำเป็นต้องรู้ ก็ได้แบบไม่รู้ ไม่เปิดดูก็ไม่รู้สักทีว่าตัวเองได้อะไรมา ขอให้ได้ถวาย ไม่ได้สำคัญตรงที่ได้ถวายอะไร ต่อให้เป็นทาสทานก็ยังมีผลอยู่ ถาม : แล้วอย่างคนที่เข้าครัวทำกับข้าวมาทำบุญเอง กับคนที่ซื้อมาทำบุญครับ ? ตอบ : คนที่ซื้อมาน่าจะได้เปรียบกว่า อารมณ์ใจไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ เข้าครัวทำเองแล้วเหนื่อย เกิดโมโหขึ้นมาก็บุญหายไปเยอะแล้ว สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ ท่านแนะนำเสมอว่า ถ้าตั้งใจจะทำบุญบ้านก็ดี จัดงานทำบุญใหญ่อะไรก็ดี ให้หาคนมาเป็นแม่งานรับผิดชอบแทน อย่าลงไปคลุกงานด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าใจหมองบุญก็ลด สมมติว่าเราจะทำบุญวันเกิด นิมนต์พระ ๙ รูปมาเจริญพุทธมนต์แล้วถวายภัตตาหารที่บ้าน มัวแต่ไปชี้นิ้วสั่งการอยู่ อันไหนไม่ถูกใจเดี๋ยวก็ได้ด่า กำลังใจจะตก ท่านก็เลยบอกว่าให้หาคนมาเป็นแม่งานรับผิดชอบแทน ตัวเราก็นั่งรักษาอารมณ์ไว้ |
ถาม : รักษาอารมณ์ใจให้ดี ยากมาก
ตอบ : ยากมาก ของมีง่ายกว่าทำของง่ายเถอะ อย่างในเรื่องขุนช้างขุนแผน “ครานั้นจึ่งนางทองประศรี.......เรียกข้าด่ามี่อยู่ไจ่ไจ่ อ้ายโม่งอีมาช้าอยู่ไย............มึงเอาขันใบใหญ่ไปใส่น้ำ ขมิ้นดินสองพองเอาไว้ไหน......เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ มึงอาบน้ำลูกยาทาขมิ้นตำ.......ระน้ำร่ำรดหมดเหงื่อไคล” นั่นบวชลูกชายนะ ด่าลูกน้องไปเท่าไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้มาปลื้มตอนเห็นลูกครองผ้าเหลืองนี่ รับรองไว้ว่าบุญหายไปเยอะเลย |
ถาม : ถ้าลูกบวช แล้วบุพการีได้บุญโดยไม่ต้องโมทนาหรือครับ
ตอบ : ไปเป็นบุพการีเอง..ถึงเวลาลูกบวชดูซิว่าได้จริงไหม ? ไม่อย่างนั้นยืนยันไปก็เท่านั้นเอง เด็กรุ่นหลังได้เรียนขุนช้างขุนแผนหรือเปล่าไม่รู้ ? อาตมาเรียนพลายแก้วบวชเณรมาตั้งแต่ ป.๔ จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว......เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี ไปอาศัยอยู่กาญจนบุรี.............กับนางทองประศรีผู้มารดา อยู่มาจนเจ้าจำเริญวัย..............อายุนั้นได้ถึงสิบห้า ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา...........แต่นึกตรึกตรามากว่าปี อยากจะเป็นทหารชาญชัย.........ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี ฯลฯ ขุนไกรเก่งแค่ไหนก็ตาย เพราะว่าไม่สามารถที่จะขัดรับสั่งเจ้าเหนือหัวได้ จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี..........ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี.................แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์.............อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ ตั้งใจบวชไปเรียน สมัยก่อนเขาถึงได้ใช้คำว่าบวชเรียน |
ครานั้นทองประศรีผู้มารดา............ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
อันสมภารที่ชำนาญในทางใน........ท่านขรัววัดส้มใหญ่แหละดีครัน วัดส้มใหญ่อยู่แถวหนองขาว แสดงว่าบ้านท่านอยู่แถว ๆ นั้นแหละ หลวงตาบุญ วัดส้มใหญ่ เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา...........แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน...........ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร แสดงว่าสมัยเก่าคนที่ฝึกอภิญญาเป็นเรื่องปกติ ส่งลูกไปเรียนต้องสำเร็จแน่นอน บอกเลยนะว่าถ้าไปหาอาจารย์คนนี้รับรองทำได้แน่เหมือนพ่อเลย ต้องบอกว่าสภาพจิตและเรื่องของสภาพสังคมเขายังเอื้อกันอยู่ ไม่มีใครไปรบกวนให้เสียสมาธิ ยกเว้นนางพิมจะไปถวายผ้าสไบติดกัณฑ์เทศน์..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้สมเด็จองค์ปฐมทองคำเขาขอบูชาไปแล้ว ถ้าอาตมาจะสร้างลูกแก้วจักรพรรดิก็ต้องไปยืมเขากลับมา เพราะว่าสมเด็จองค์ปฐมองค์นั้นอาตมาอาราธนาลูกแก้วจักรพรรดิหลวงปู่ทวดใส่ไว้ ยังขำ ๆ ก็คือมีคนไปอธิษฐานขอใช้อานุภาพแก้วจักรพรรดิ แต่หลวงปู่ท่านบอกให้ไปเอาที่อาตมา ท่านยืนยันว่าให้มาแล้วจริง ๆ เพราะไปเห็นเขาแล้ว เขาไม่ได้ทำในลักษณะที่ว่าสมกับเป็นแก้วคู่บารมีหลวงปู่ เขาอยู่ในลักษณะต้อนคนไปซื้อวัตถุมงคลมากกว่า
อาตมาเห็นแล้วก็นั่งเซ็ง สถานที่สำคัญออกปานนั้น ครูบาอาจารย์สำคัญออกปานนั้น ของวิเศษอย่างนั้น มีสักอย่างหนึ่งก็ทำให้วัดดังแล้วดังอีกได้ ดันไปเน้นด้านการจำหน่ายวัตถุมงคล ก็เลยไปขอหลวงปู่ท่าน บอกว่า “ในเมื่อเขาไม่รู้คุณค่าก็ขอผมเถอะครับ” ท่านก็ตกลง คราวนี้จะเอาไปอย่างไร ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสมเด็จองค์ปฐมทองคำอยู่องค์หนึ่ง จึงอาราธนาอานุภาพลูกแก้วใส่สมเด็จองค์ปฐม ต่อไปถ้าจะสร้างลูกแก้วจักรพรรดิต้องไปยืมเขา แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปเอาลูกที่วัดเขาวงได้ เพราะลูกแก้วของวัดเขาวงอาตมายังพกอยู่ เพียงแต่ว่าของวัดเขาวงยังเหลือหรือเปล่าเท่านั้นแหละ" |
ถาม : หนูบูชาธงพิชัยสงครามไปไว้บ้านที่หาดใหญ่ บ้านพังตลอด น้ำท่วมด้วยค่ะ ?
ตอบ : เกี่ยวอะไรกับพระเล่า ? ประเภทนี่แหละจะเป็นมิจฉาทิฐิเอาง่าย ๆ เอาพระเข้าบ้านแล้วได้จังหวะบ้านพังพอดี ก็โทษว่าเอาพระไปอยู่แล้วบ้านพัง..! |
ถาม : บางครั้งเราภาวนา อยู่ ๆ ทำไมเหมือนโลกหยุดไปเฉย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคลื่อนไหว ?
ตอบ : สมาธิเข้าสู่ขั้นที่ละเอียดกว่าเดิม ถาม : จะเป็นฌานหรือไม่ครับ ? ตอบ : จะเป็นหรือไม่เป็นต้องไปสังเกตเอง แต่เป็นการก้าวเข้าไปสู่ขั้นที่ละเอียดกว่าเดิม |
ถาม : ทำสมาธิอย่างไรให้มีสติ ?
ตอบ: ทำอย่างไรก็ได้ ให้สมาธิอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าตอนนั้น ถาม : ถ้าเราส่งจิตออกนอกไป แล้วเรารู้ทันดึงกลับมาใช่ไหมครับ ? ตอบ: ได้อยู่...แต่ก็เสียท่าเขาไปเยอะแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคำถามที่นอกจากกำกวมแล้วยังต้องใช้เวลาอธิบายมาก อย่างเช่น เขาถามว่าการเลือกเสาเอกจะเลือกอย่างไร ? ลักษณะคำถามนี้แบ่งได้ ๒ อย่าง ก็คือควรจะเลือกเสาต้นไหนเป็นเสาเอกของบ้านนั้น ? ซึ่งเราต้องไปเปิดตำราดูว่าเราปรารถนาอะไร ต้องการเรื่องอำนาจ เรื่องของบริวาร เรื่องของลาภยศ ต้องการเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง เขาจะมีอยู่ว่าทิศไหนของเสาเอกให้ผลอย่างไร
ส่วนอีกวิธีหนึ่งของคำถามนี้ ก็คือจะเลือกเสาแบบไหนมาทำเสาเอก ? ซึ่งลักษณะของสมัยก่อนเป็นเสาไม้ ลักษณะการเลือกเสาไม้ของสมัยก่อนนั้น เขาจะเลือกเสาที่ไม่มีตาไม้อยู่ในระดับต่ำ อย่างน้อย ๆ ต้องให้ตาไม้สูงระดับเอวขึ้นไป เขาให้คำว่า "หมูสี เป็ดไซ้ ไก่ตอด" หมูสีก็คือหมูมาเอาสีข้างถูต้นเสา ถ้าตาไม้อยู่บริเวณนั้นเขาถือว่าไม่ดี ถ้าเป็ดไซ้ก็คือเมื่อถึงเวลาฝังเสาลงไปแล้วตาไม้อยู่ระดับเสมอพื้นดิน ถ้าไก่ตอด ก็คือในระดับที่ไก่จิกถึงก็สูงจากพื้นประมาณคืบเศษ ๆ ถ้าตาไม้อยู่บริเวณนั้นเขาถือว่าไม่ดีจะทำให้เดือดร้อน ดังนั้น..คำถามบางคำถาม เป็นคำถามที่ยาวเกินกว่าจะอธิบายความได้ ขณะเดียวกันบางทีลักษณะของคำถามก็ถามเกินความจำเป็น" |
"ส่วนใหญ่แล้วตำราการปลูกบ้านของแต่ละชาติจะมีการถือเคล็ดที่ไม่เหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งที่คล้าย ๆ กันก็คืออย่าไปปลูกเรือนคร่อมตอ อย่าไปปลูกเรือนคร่อมบ่อน้ำเก่า ซึ่งลักษณะการถือตรงนี้คล้าย ๆ กันไปหมด ส่วนจะเอาทิศไหนทางไหนก็ต้องดูเรื่องของทางน้ำทางลมด้วย
โบราณเราส่วนใหญ่แล้วคล้อยตามธรรมชาติ ในเมื่อคล้อยตามธรรมชาติ โอกาสที่จะเดือดร้อนเพราะธรรมชาติก็มีน้อย แต่สมัยใหม่มักจะปลูกไปเรื่อยเปื่อย ถ้าไม่ได้ดูเรื่องของทางน้ำทางลมหรือทิศทางของแสง ถึงเวลาก็อาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิด ส่วนแต่ละทิศที่เราเลือก หรือเสาเอกที่เราเลือก จะมีผลตามตำราอย่างไรก็คงต้องตามใจเจ้าของบ้าน ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่นะพอได้ แต่ผูกอู่ไม่ต้องตามใจผู้นอนหรอก ให้มีนอนก็พอ เด็ก ๆ เลือกมากไม่ได้หรอก เลือกมากเดี๋ยวโดนไม้..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เข้ามาถวายสังฆทานพร้อม ๆ กันได้ อาตมายิ่งเป็นหวัดหายใจไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว ต้องมาให้พรทีละชุดก็ตายพอดี ทำอะไรไม่ค่อยจะใช้ปัญญากันเลย สมัยก่อนไปกราบหลวงพ่อเกษมที่สุสานไตรลักษณ์ ก็เจอลูกศิษย์ฉลาดที่จะทำอาจารย์ตายเร็ว
วันเกิดหลวงพ่อเกษมเขากั้นให้เข้าทีละคน ถ้าเป็นอาตมาก็ปล่อยให้พรวดเดียวเข้าไปเต็มห้อง กราบเสร็จแล้วก็ไล่ออกมา ใครเขาจะไปว่าอะไร เพราะรู้ ๆ อยู่ ปรากฏว่าเขากั้นให้เข้าทีละคน แถวข้างนอกยาวเกือบ ๓ กิโลเมตร แล้วเมื่อไรหลวงพ่อท่านจะได้พัก พอเขาเห็นอาตมาเป็นพระ เขาก็บอกให้โยมหยุดก่อน ให้พระเข้าก่อน อาตมาบอกว่าไม่ต้องหรอก ว่าแล้วก็กราบตรงข้างนอกนั่นแหละ เสร็จแล้วก็กลับเลย เวลาจะทำอะไรก็ให้ดูด้วย ถ้าทำบุญแบบไม่ได้ใช้ปัญญาประกอบ บางทีก็สร้างกรรมให้ตนเองแบบไม่รู้ตัว คนไปก็หวังจะไปกราบหลวงพ่อกันทุกคน ถ้าปล่อยพรวดเดียวเข้าไปเต็มห้อง อย่างน้อย ๆ ก็ได้ ๒๐ - ๓๐ คน กราบเสร็จแล้วขอร้องให้เขาออก คนข้างนอกยังอีกหลายพันคน เขาก็รู้ภาษาอยู่แล้ว นี่กั้นให้เข้าไปทีละคน หลวงพ่อจะได้สบายไม่ต้องรับแขกมาก แต่ลืมนึกถึงเวลาว่าเจอไปทั้งวันแล้วท่านจะเป็นอย่างไร" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องหลักคำสอน ปัจจุบันนี้ดีตรงที่ว่า การค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย แต่กระนั้นก็ดี บางรายก็เคารพครูบาอาจารย์แบบไม่ลืมหูลืมตา ต่อให้เขายกพระพุทธวจนะจากพระไตรปิฏกมา ก็พยายามจะค้าน กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกันไป เพราะฉะนั้น..เราต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า “อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน”
|
มีโยมเอาวัตถุมงคลมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อันนี้ตะกรุดหลวงปู่สาย ทำจากฝาบาตรแล้วอุดผงวิเศษ สมัยโบราณเขาหาวัสดุยาก บรรดาตะกรุดหรือแผ่นยันต์ก็เลยใช้ตะกั่วถ้ำชา ก็คือตัวหุ้มป้านน้ำชา เอาตะกั่วมาหุ้มนวมแล้วก็เอาป้านน้ำชาใส่ไว้เพื่อรักษาความร้อน เขาเลยเรียกตะกั่วถ้ำชา เอาตะกั่วถ้ำชามาทุบ ตีแผ่ รีดเป็นแผ่น แล้วก็ทำเป็นตะกรุด หรือง่าย ๆ เลยก็คือถ้าบาตรชำรุดก็เอาฝาบาตรมาทำตะกรุด โดยเฉพาะตรงขอบ ตัดมาแล้วจะม้วนได้ง่าย"
|
ถาม : ตัดไม้ใหญ่ แล้วนำกิ่งมาตั้งไว้ในศาล ?
ตอบ : ขอให้ตั้งปลายขึ้นฟ้าเท่านั้น เขาก็อยู่ได้แล้ว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ได้....เพราะไม่ใช่ศาลพระภูมิ เขาสร้างให้รุกขเทวดา จึงอยู่ทิศนั้นได้ หน้าตาก็ศาลพระภูมิดี ๆ นี่เอง เพราะเล่นยกศาลพระภูมิไปตั้ง ต้องไปดูที่ศาลา ๒ ไร่ด้านบน ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำศาลา ๒ ไร่ ท่านให้ตัดต้นทองกวาวออกไปเยอะ ท่านต้องตั้งศาลไว้ข้างบนเรียงเป็นตับเลย ต้นหนึ่งก็หลังหนึ่ง ถาม : ไม้ที่ตัดต้องกิ่งขนาดไหนครับ ? ตอบ :สักประมาณท่อนแขน ยาวประมาณคืบหนึ่งก็ได้ ตั้งหันปลายขึ้น เขาจะได้เอาวิมานไปแปะต่อได้ ถาม : ปกติต้นไม้จะมีรุกขเทวดาทุกต้นไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม้มีแก่นสูงตั้งแต่คืบหนึ่งขึ้นไปมีรุกขเทวดาทั้งนั้น ยกเว้นพวกไม้ที่ขึ้นส่งเดช เช่นขึ้นตามกำแพง ถอนทิ้งได้เลย..ไม่เป็นอะไร เทวดาเขาไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก เขารู้ว่าเดี๋ยวก็โดนรื้อ แต่อย่าลืมว่าหันปลายขึ้น ถ้าหันโคนขึ้นเขาก็หมดสิทธิ์ |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกับที่เสาตกน้ำมันนั่นแหละ พอถึงเวลาเสาล้ม วิมานเขาก็สลายตัว เขาก็ต้องตามไปเรื่อย ตามไปด้วยความหวังว่าคนจะตั้งเสาขึ้น พอถึงเวลาตั้งเสาขึ้นก็เอาวิมานไปแปะต่อได้ เขาก็แสดงอาการให้รู้ด้วยการตกน้ำมัน แต่ที่แปลกที่สุดก็คือพระนาคปรกที่แกะจากไม้สารคาม อาตมาบูชามาจากพม่า ปีรุ่งขึ้นน้ำมันตกนองพื้นเลย ถาม : เกิดจากอะไรครับ ? ตอบ : ท่านคงจะบอกให้รู้ว่า จะใช้อะไรท่านก็ใช้เถอะ น้ำมันตกท่วมพื้นเลย ตอนแรกไม่ได้สังเกต ว่าจะยกท่านออกจากกล่องกระจกที่พื้นเป็นกำมะหยี่ ปรากฏว่าดูดติดกำมะหยี่ อาตมาก็ลองไปแตะดูว่าทำไมเปียก ๆ เอาขึ้นมาดมเป็นกลิ่นน้ำมันไม้สารคาม น้ำมันตกท่วมพื้นเลย องค์ท่านก็เลยติดกับกำมะหยี่ องค์ที่หน้าตักเป็นคืบ ทำจากไม้จันทน์ ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศไปแล้ว องค์ไม้สารคามนี้ยังเก็บอยู่ ท่านตกน้ำมันได้ดุเดือดดีแท้ ถาม : แล้วถ้าจะตั้งศาลพระภูมิด้วยกันเลยได้ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วอยากจะสร้างก็สร้างให้ถูกทิศ คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ |
ถาม : ศาลที่ตั้งให้รุกขเทวดาต้องมีทิศไหมครับ ?
ตอบ : ต้นเดิมอยู่ตรงไหนก็ใกล้ตรงนั้นแหละ ขืนไปไกลเดี๋ยวท่านขี้เกียจตาม แล้วจะมากวนเราแทน เสาตกน้ำมันต้องไปขอดูเรือนของลุงเฉลิม คงทอง ลุงเฉลิมเป็นคริสต์นะ แต่คริสต์กลุ่มนี้นับถือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค แล้วก็ต่อมาถึงหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย ตอนที่หลวงปู่ปานสิ้นแล้ว มีบ้านอยู่หลังหนึ่งสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เสาตกน้ำมันทุกต้น แม้กระทั่งเสาที่เขาปักไว้กลางลานบ้านก็ตกน้ำมัน เจ้าของบ้านก็อยู่ไม่ได้ คนไปขอซื้อบ้านก็อยู่ไม่ได้ ลุงเฉลิมเห็นว่าขายถูกมาก อยากได้ ก็ไปปรึกษาหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เอาพานดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับพวกของหอมไปจุดธูปบอกกล่าว ว่าขออนุญาตซื้อเรือนหลังนี้ ถึงเวลาก็จะทำการบูชาให้สมกับเกียรติของท่าน ลุงเฉลิมก็ทำตาม ผลปรากฏว่าลุงเดินขึ้นบันไดเรือนเกือบจะหงายหลังลงมา เขาบอกผู้ชายตัวใหญ่เบ้อเริ่ม นุ่งแดงใส่แดงนั่งหัวค้ำหลังคาอยู่ พอลุงถือพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าไป ท่านบอกว่า “เออ..ถ้าทำอย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันได้” ลุงเฉลิมก็ถามว่าให้ทำอย่างไร ท่านบอกว่าให้ถอนเสาเรือนทุกต้น แล้วทำเครื่องหมายไว้ด้วยว่าด้านไหนหันขึ้น แม้กระทั่งเสาที่ลานบ้านก็ให้เอาไปด้วย ลุงเฉลิมก็เอาไปแล้วปลูกเป็นเรือนขึ้นมา ราคาสมัยนั้นไม่กี่สตางค์เอง เจ็ดแปดพันบาทท่านบอกว่าใหญ่เป็นศาลาเลย พอสร้างเป็นบ้านขึ้นมาเขาก็มาเข้าฝัน บอกว่าทุกวันพระให้ถวายไข่ต้ม ๑ ฟอง มีอะไรจะให้เขาช่วยก็บอก ครอบครัวคุณเฉลิมอยู่ดำเนินสะดวก ปลูกพวกผัก เป็นสวนผักของคนจีน ถึงเวลาผักชนิดไหนจะราคาดีในปีนั้นท่านก็จะมาบอก ลุงเฉลิมก็ขายร่ำรวยอยู่คนเดียว พรรคพวกมีอะไรเดือดร้อนวิ่งมาหาลุงเฉลิม ลุงเฉลิมพาไปวัดท่าซุงหมด ตกลงพวกนั้นเป็นคริสต์แต่ชื่อ เข้าวัดแขวนพระกันหมด อาตมาเจอลุงเฉลิมหลายที ตอนแรกก็นึกว่าจะแก่มากเพราะว่ารุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อ ปรากฏด้วยความที่แกทำไร่ทำนา จึงแข็งแรงมาก ก็เลยดูเหมือนกับคนไม่แก่ ถ้าลุงเฉลิมไปกราบหลวงพ่อทำบุญอะไรเสร็จ ก็จะมาหาป้านนทาที่ตึกริมน้ำ อาตมาเป็นเวรหน้าห้องหลวงพ่ออยู่ ก็เลยได้เจอกันบ่อย |
ถาม : ลุงเสียแล้วยังครับ ?
ตอบ : ได้ยินว่าตายแล้วนะ ลุงเฉลิมตายแล้ว ลุงสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ตายแล้ว พวกลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ไปกันเยอะแล้ว ลุงสมบูรณ์ตายแบบนั่งกรรมฐานเลย ตายคากรรมฐาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า เสาตกน้ำมันให้ถอนตะปูออกให้หมด เว้นไว้แต่ที่ตีไม้ฝาติดกับเสา ให้เจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอม ถ้ามีทองจะปิดทองด้วยก็ได้ ถึงเวลาให้นิมนต์ไปทำบุญเลี้ยงพระสัก ๗ รูป ๙ รูป แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา ท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้กตัญญู ส่วนใหญ่ชอบบอกหวย พอถึงเวลาเขาได้ดีจากเราก็ตอบแทนมาก ส่วนใหญ่ชอบบอกหวย แต่มีหลายรายเป็นยามเฝ้าบ้านที่โหดมาก ขโมยขึ้นบ้านนี่ตีจนบอบช้ำไปเลย ขโมยเห็นผัวเมียออกไปขายของกันทุกวัน พายเรือไปกว่าจะกลับก็ค่ำมืดทุกที พอซุ่มดูจนมั่นใจแล้วก็งัดบ้าน ก่อนที่จะงัดบ้านก็เดินดูรอบบ้านเห็นหน้าต่างเปิดแง้มอยู่ ก็คิดว่าไม่ต้องงัด ไปเอาไม้กระทู้ เด็กสมัยนี้รู้จักไม้กระทู้ไหม ? เป็นไม้ไผ่ที่ตัดให้เหลือก้านไว้หน่อยไว้เดินเหยียบได้ เอาไม้กระทู้มาพาดหน้าต่างแล้วก็ปีนขึ้นไป ปรากฏว่ามีสาวโผล่มาจากหน้าต่าง บอกว่า "ทำไมพี่มาช้าจัง หนูรออยู่ตั้งนาน” ขโมยก็คิดว่าสบายล่ะงานนี้ ปรากฏว่าปีนอยู่เขาเห็นว่าปีนไม่ทันใจ จึงเอื้อมมือช่วยจับแขนแล้วดึงพรวดขึ้นไปเลย ขโมยยังไม่สังหรณ์ใจอีกว่าผู้หญิงอะไรลากผู้ชายลอยขึ้นไปทั้งตัว ปรากฏว่าโดนซ้อมซะอานเลย ประเภทตบปลิวติดข้างฝาแล้วซ้ำ โดนซะน่วม ถ้าโดดหน้าต่างหนีไม่ทันมีหวังคงล่อปางตายจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าเข้าบ้านนั้นอีกเลย เขาบอกว่าเจ้าที่แรง ความจริงไม่ใช่เจ้าที่แต่เป็นรุกขเทวดา ถ้าเป็นเราเจอผู้หญิงหิ้วเลยไปทั้งตัวนี่ดิ้นสุดชีวิตแล้ว ไม่เอาด้วยแล้ว บ้านรวยแค่ไหนก็ไม่ปล้นแล้ว ผิดปกติชัด ๆ ปกติผู้หญิงเขาเรี่ยวแรงน้อย ผู้ชายหนัก ๖๐-๗๐ กิโลกรัม โดนหิ้วติดมือไปยังไม่ระแวงอีก จะว่าไปแล้วพวกนี้เขาสะกดได้ ทำให้คนไม่ระแวง อาตมาโดนผีหลอกทีไรไปสงสัยหลังจากที่เขาไปแล้วทุกที ตอนอยู่ตรงหน้าเหมือนอย่างกับเขาบังไม่ให้เราสงสัย คิดแต่ด้านดีกับตัวเองไว้ก่อน |
ถาม : ในบทสวดมนต์ที่ลงท้ายด้วยเครื่องหมายไปยาลน้อย หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าจริง ๆ แล้วมีเนื้อหามากกว่านั้น แต่เป็นเนื้อหาที่ซ้ำกับข้างบน เขาเลยตัดออกเหลือแค่นั้น เพราะว่าตัดออกแล้วไม่เสียความ คือพระพุทธเจ้าเวลาท่านสอนท่านจะสอนละเอียด ท่านจะย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนรุ่นหลังอ่านจนเหนื่อย หรือไม่ก็ขี้เกียจพิมพ์ก็เลยใส่ไปยาลน้อยไว้ บางที่ก็ไปยาลน้อยแล้วก็มีตัว ป คำว่า “เปฯ” ก็มาจากเปยยาลนั่นแหละ เพราะว่าเป็นเสียง เอย ออกเสียงสระไอไม้มลายครึ่งหนึ่ง ออกเสียงเอยครึ่งหนึ่ง ก็เลยเป็นไปยาล |
ถาม : มีช่วงไหนที่ท่านห่างจากการอ่านจากหนังสือไหมครับ ?
ตอบ : ช่วงเป็นทหาร ตอนที่อยู่กองโรงเรียน ๖ เดือน แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะว่าเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนก็อยู่ในสนามฝึก ถาม : ตอนฝึกสมาธิแรก ๆ อ่านหนังสือด้วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ต้องเอาตำราเป็นหลัก เพราะว่าไม่มีครูสอน อาตมาเปิดจนเปื่อยเป็นเล่ม ๆ เลย เทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ฟังประจำ ๆ มีอยู่ประมาณ ๑๕๐ ม้วน ฟังจนยืดฟังไม่ได้ ก็ยัดเข้าตู้เย็น เอาออกมาฟังใหม่ได้อีกรอบสองรอบ ก็ต้องยัดเข้าไปใหม่จนหมดสภาพ ต้องกัดฟันควักกระเป๋าไปซื้อใหม่ จนกระทั่งทุกวันนี้พระที่วัดสงสัยว่า เวลานั่งกรรมฐานฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ก่อนจบนิดหนึ่งอาตมาจะลุกขึ้นไปเปิดไฟ เขาสงสัยว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะจบ อาตมาฟังจนจำได้ทุกคำแล้ว จะให้เทศน์แทนตามนั้นทุกคำก็ยังไหว ม้วนที่ใครที่คิดจะปฏิบัติแล้วคิดว่าครอบคลุมจริง ๆ จะอยู่ในธุดงค์และปฏิปทาปฏิบัติ ม้วน ๒ และอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ไปลองฟังดู |
ถาม : .......แม่ย่านาง ?
ตอบ : ถ้าครูบาอาจารย์ท่านรู้ ท่านเจิมแล้วท่านขอเทวดารักษาให้ บางทีก็เป็นพ่อปู่นายไม่ใช่แม่ย่านาง แต่เรียกแม่ย่านางกันจนชิน ถาม : ถ้าไม่เชิญท่าน ท่านจะมาหรือไม่คะ ? ตอบ : ถ้าไม่เชิญท่านก็ไม่มาหรอก เสียเวลาท่าน คนที่จะเชิญท่านก็ต้องให้ท่านเกรงใจบ้างนะ ถ้าไม่มีที่ให้เกรงใจ อยู่ ๆ ไปเชิญอาจจะได้อะไรมาแทนก็ไม่รู้ ทางปักษ์ใต้จำไม่ไว้ว่าวัดอะไร อยู่แถว ๆ ชุมพร หลวงพ่อท่านเก่งมาก ท่านไปพลีต้นตะเคียนมาทำเรือแข่ง พอถึงเวลาพ้นฤดูกาลแข่งเรือก็ขึ้นคานไว้ เชื่อไหมว่าพอใกล้ถึงฤดูแข่งเรือ เรือจะเลื่อนจากคานลงน้ำเอง พวกชาวบ้านพอเห็นแม่ย่านางลงน้ำก็รู้ เตรียมฝึกซ้อมได้แล้ว อะไรจะเก่งปานนั้น เลื่อนจากคานลงน้ำเอง เรือลำใหญ่มหึมาขนาดนั้นลงเงียบกริบเลย ขนาดคนช่วยกันแบกกันหามยังเอะอะเอ็ดตะโรลั่น อันนี้ท่านไปเองไปเงียบกริบเลย มารู้ก็ตอนลอยลำในน้ำแล้ว ถ้าเห็นเรือลอยอยู่ท่าน้ำหน้าวัดเมื่อไรก็รู้ได้ว่าเตรียมซ้อม ครองแชมป์จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะเอาถ้วยไปไว้ที่ไหน ยังโชคดีว่าสมัยนั้นไม่มีการตระเวนแข่งเหมือนสมัยนี้ ถ้าสมัยนั้นมีพวกรถพ่วงแบบสมัยนี้ คงประเภทคว้าแชมป์ทั่วประเทศ เพราะอันนั้นไม่ใช่กำลังคนเฉย ๆ กำลังคนอย่างเดียวไม่พอ ยังมีแม่ย่านางช่วยอีกด้วย |
วัดไร่ขิงก็เพิ่งแข่งเรือไป ส่วนใหญ่จะแข่งวันออกพรรษาหรือวันตักบาตรเทโวฯ แล้วตั้งแต่ท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสนี่ เรือแข่งวัดไร่ขิงกวาดแชมป์แทบทุกปี คนก็บอกว่าน้ำเลี้ยงดี ก็คือเขาไปลือว่าวัดไร่ขิงที่ฝึกซ้อมได้ถึงเพราะว่ารวย แต่ความจริงไม่ใช่หรอก อยู่ที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่า
สมัยก่อนของพวกนี้ก็มักจะอยู่กับวัดกับวา แล้วหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็มักจะเป็นที่เคารพรักและเกรงใจของชาวบ้าน ถึงเวลารู้ว่าใครมีความสามารถ ใครแข็งแรง ก็ขอแรงกันมาได้ แล้ววัดส่วนมากก็มีท่าน้ำวัดของตัวเอง ยิ่งท่าน้ำคอนกรีตก็ยิ่งดีใหญ่เลย พอน้ำขึ้นก็ถือพายไปนั่งเรียงกัน ๒๐ ฝีพาย ๓๐ ฝีพาย ซ้อมตามจังหวะ พายท่าน้ำให้ไปให้ได้..! แล้วจะไปอย่างไรล่ะ ? ก็ต้องโหมแรงกันเต็มที่ พอเวลาซ้อมท่านั้นจนชิน ถึงเวลาเร่งก็เข้าเส้นชัยได้ ยังดีว่าสมัยนี้มีแค่แข่งเข้าเส้นชัย สมัยก่อนเขามีชิงธงด้วย ธงปักอยู่ คนที่อยู่หัวเรือต้องคล่องตัวจริง ๆ เพราะบางคนนี่ใช้เท้าหนีบหัวเรือแล้วเอื้อมไปคว้า ถ้าพลาดก็ตกน้ำหายไปเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรมาในรูปนกปรอดสวนตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่อาตมานอนพักได้ประมาณสัก ๑๕ - ๒๐ นาที นกตัวนี้จะมาเคาะหน้าต่างจนตื่นทุกครั้งเลย อาตมากำลังคิดว่า วันดีคืนดีจะเอามาปิ้งซะ..!
นกตัวนี้อยากเข้าห้องจริง ๆ จะต้องมาเคาะทุกครั้ง ตอนแรกก็ดูว่าหน้าต่างห้องน้ำที่อาตมาง้างเปิดขึ้นไปมีที่เกาะ นกก็เลยเคาะได้ อาตมาอุตส่าห์ดึงหน้าต่างห้องน้ำลงมาไม่ให้เกาะ ก็ยังใช้วิธีบินแล้วเคาะ มุ่งมั่นมาก ตอนแรกพูดไปไม่มีใครเชื่อหรอก ต้องเอาพยานไปดูว่านกมาเคาะอย่างไร ต้องบอกว่าเวรกรรมที่ทำเอาไว้ ถึงเวลาก็ตามสนองเอาจนได้" |
ถาม : ถ้าเป็นวิบากกรรมอย่างไรเราก็ต้องรับ ถ้าสมมติรับมาระดับหนึ่งแล้ว เราอยากจะช่วยแม่กับพ่อบ้าง อยากขอคำแนะนำค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นต้องแนะนำเลย อยากช่วยก็ลุยไปเลยเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าเตรียมรับแรงกระทบให้ดี ๆ ก็พอ ถาม : จะทำอย่างไรบ้างคะ ? ตอบ : ก็ไม่เห็นต้องทำอย่างไรนี่ ท่านลำบากด้านไหนเราก็ช่วยจากด้านนั้น |
ถาม : เวลาพระไปปลุกเสกมาก ๆ พออายุมากแล้วจะมีอาการเป็นโรคหัวใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องพระหรอก..ทุกคนก็เป็น พออายุมากแล้วอย่างน้อยต้องเป็นโรคหัวใจโต ส่วนใหญ่พระที่ท่านทำพุทธาภิเษก ส่วนมากคนไปใช้ท่านหัวไม่วางหางไม่เว้น เวลาพักผ่อนไม่มี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการปลุกเสกเลย เกี่ยวกับการที่ท่านไม่มีเวลาพัก อาตมายังบ่น ๆ อยู่ว่าอยากได้เวลาวันละสัก ๓๐ ชั่วโมงจึงจะพอทำงาน ทุกวันนี้เวลามีไม่พอทำงาน |
ถาม : ท่านที่เป็นพระอริยบุคคล จะเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมเมื่อตอนอายุมากไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น....อัลไซเมอร์เกิดจากสมองเสื่อมส่วนหนึ่ง และสติไม่มั่นคงส่วนหนึ่ง บุคคลที่ฝึกกรรมฐานอยู่ ความเสื่อมของสมองจะมีน้อยและสติมั่นคง ดังนั้นจะไม่มีปรากฏการณ์อัลไซเมอร์ ถาม : สมองช้าลงไหมครับ ? ตอบ : ช้าลงได้..ทำอะไรช้าได้ แต่ว่ายังจำทุกอย่างได้เป็นปกติ ในเรื่องธรรมะที่ละเอียดกว่าท่านยังเข้าถึงได้ ดังนั้นพวกส่วนหยาบจึงเป็นเรื่องง่ายของท่าน |
ถาม : อย่างคนที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่บวชเป็นพระแล้วจะตายภายใน ๗ วัน อย่างถ้าบวชเป็นเณรหรือบวชในนิกายอื่นเช่นมหายาน ?
ตอบ : ขอให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็แล้วกัน เพราะว่าพระอยู่ในเพศสูงที่เขาให้ความเคารพ คนเขาไม่ล่วงเกินอยู่แล้ว ถ้าเราเป็นฆราวาสอยู่ คนที่ไม่รู้เป็นประเภทเพื่อนกันมาตบหัวเล่น ไอ้นั่นก็ซวยไปตลอดชาติและอีกหลาย ๆ ชาติ เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าเป็นฆราวาสอยู่จึงจำเป็นต้องตัดให้ตายไปเลย จะได้ไม่ไปเป็นโทษกับผู้อื่น ถาม : ถ้าเป็นผู้หญิง ? ตอบ : ถ้าเป็นผู้หญิงก็ตัดใจเถอะ..ไปดีกว่า ถาม : บวชเป็นแม่ชีละครับ ? ตอบ : แม่ชีก็ยังนับเป็นฆราวาส |
ถาม : คนต่างชาติเขาให้เหล้า เขาไม่รู้เรื่องศีล เขาจะเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าไม่มีบาปและไม่มีบุญ เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ปกติแล้วการให้จะได้บุญ แต่การให้เหล้าเป็นการให้ของที่เป็นโทษกับบุคคลอื่น แต่ไม่ได้บังคับให้บุคคลอื่นกิน ก็เลยกลายเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เสียของไปเปล่า ๆ พระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ท่านเล่าประวัติพระเวสสันดร พระเวสสันดรท่านให้ทานทุกอย่างแก่บุคคลที่ต้องการ ท้ายสุดท่านก็ให้เหล้ากับพวกนักเลงเหล้า พระอานนท์จึงถามถึงเรื่องนี้ ว่ามีประโยชน์มีโทษอย่างไร พระองค์ท่านตรัสว่าแค่ให้สิ่งที่เขาชอบใจเท่านั้น เพราะพวกนักเลงเหล้าให้อย่างอื่นเขาก็ไม่ชอบใจ แต่ว่าเป็นทานที่ไม่มีผลานิสงส์อะไร ให้ไปเปล่า ๆ เฉย ๆ |
ถาม : ถ้ามีคนเอาข้าวหมากมาถวายพระ พระท่านฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ข้าวหมากเป็นกึ่งแอลกอฮอล์ ยังไม่ใช่เหล้า ฉันเข้าไปทำให้หลับ พวกประสาทเครียด ๆ กินข้าวหมากแล้วดี อย่างอาตมาไม่แตะเลยเพราะรังเกียจกลิ่น ว่ากันตามสภาพความเป็นจริงแล้ว ก็นับเป็นขนมชนิดหนึ่ง ยังกินได้อยู่ ถาม : อย่างพวกคนต่างชาติเขาไม่รู้เรื่องศีล เขาเอาเหล้ามาถวายพระ ? ตอบ : ก็รับไว้ แต่อย่าไปฉันแล้วกัน ถาม : แล้วจะมีคุณมีโทษกับเขาหรือเปล่า ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าอานิสงส์ไม่มี ยิ่งเขาทำโดยไม่รู้ ก็เป็นกตัตตากรรม กรรมที่ไม่ได้เจตนา ยกเว้นว่าพระได้รับมาก็ เอ้า..ชนแก้ว..! ถาม : บางคนเอาแกะ เอาแพะมาถวาย ? ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลย เรื่องของการรับแพะ แกะ วัว ควาย ทาสหญิง ทาสชาย ท่านไม่ให้รับ เพราะสร้างภาระให้กับพระภิกษุจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ถาม : การห้ามพระเก็บอาหารไว้ ? ตอบ : กลัวว่าพระจะไปทำกินเอง เพราะว่ามีศีลห้ามอยู่ในข้อที่ไม่ให้พระทำกินเอง กลัวว่าท่านที่มีฝีมือทำครัวดี ๆ ท่านจะทำตามใจปากตนเอง |
ถาม : แล้วถ้าเขาไม่ประเคนก็ผิดหรือครับ ?
ตอบ : พอพ้นมือเราไปก็พ้นแล้ว อย่างเช่นว่าให้ศิษย์วัดไป ถ้าเขาไม่ประเคนใหม่เราก็ไม่มีสิทธิ์ทำเป็นอาหาร แม่ชีเอาไปถ้าเขาไม่ประเคนใหม่พระก็อด แล้วที่ขำที่สุดคือฝรั่งเขาไม่รู้หรอกว่าประเคนคืออะไร เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาส่งอาหารมาให้รีบรับไว้ สมัยก่อนหลวงพี่สมาน สมานจิตฺโต ไปอเมริกากับหลวงพ่อวัดท่าซุง ฝรั่งเอาอาหารมาเสิร์ฟแทนที่ท่านจะรีบรับก็รอเขาวาง พอเขาวางไปสามจานสี่จาน ไปเรียกให้เขาประเคนเขาก็ไม่รับรู้ด้วยแล้ว หลวงพ่อท่านว่า "ต่อไปถ้าโง่อย่างนั้นก็อย่าแด..เลย เขายกมาก็รีบรับไว้ ไม่ใช่ไปรอให้เขาวาง" เขาจะเสิร์ฟด้วยการวาง แค่เราชิงรับเสียก่อนก็หมดเรื่อง หรือไม่ก็อย่างอาตมาที่จับผ้าปูโต๊ะไว้ เขาก็วางไปสิ เวลาไปฉันตามบ้านเขาจะเอาผ้าพลาสติกใหญ่ ๆ มาปูให้ อาตมาจะคว้าไว้มุมหนึ่งก่อนทุกที มีปัญญาก็วางไป พอโยมจะประเคนก็บอกว่าไม่ต้องแล้ว โยมก็ยังงง ๆ เขย่ามือให้ดูเขาถึงเห็นว่าอาตมาจับมุมผ้าไว้เป็นการรับประเคนแล้ว ถาม : แล้วถ้าฉันที่บ้านโยม โยมเขาประเคนทั้งจานชาม ถือว่าเขาถวายจานชามด้วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : โดยเจตนาเขาถวายแต่อาหาร ไปตีเหมาโหลอย่างนั้นเดี๋ยวเจออาบัติปาราชิก..! ยกเว้นเขาบอกว่าถวายทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็หอบกลับวัดได้ เอาไปได้ ไม่ใช่ถึงเวลาฉันเสร็จก็เก็บช้อนเก็บชามกลับ แบบนั้นมีหวังขาดความเป็นพระไม่รู้ตัว..! |
ถาม : เวลาตั้งใจจะภาวนา แล้วนิ่งไปเลย ภาวนาไม่ออก ?
ตอบ: สมาธิทรงตัวแล้ว ในเมื่อสมาธิทรงตัวความละเอียดของจิตมีมาก อยู่เหนือการปรุงแต่ง ภาวนาไม่ได้ เราก็แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปดิ้นรน ถาม : หนูก็กลับมาภาวนาใหม่ ? ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังไปนับหนึ่งใหม่ ถาม : หนูไปอ่านเจอวิกขัมภนวิมุตติ แล้วสงสัย ? ตอบ: ต้องสงสัยอยู่แล้วเพราะเป็นอารมณ์การละกิเลส ดังนั้นตอนนี้สงสัยไว้ก่อน ไว้ทำถึงก็หายเอง ไม่ว่าจะเป็น ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ อันนั้นเป็นเรื่องของท่านที่ทรงฌานทรงสมาบัติขึ้นไป |
ถาม : เวลาตั้งจิตภาวนา อารมณ์ข้างในเหมือนเป็นอย่างไรไม่รู้ ?
ตอบ : ต้องสังเกตเอง บางทีการเข้าถึงสมาธิแต่ละระดับ จะมีอาการแสดงออกแปลก ๆ ทางร่างกายเหมือนกัน ถ้าเป็นมาก ๆ บางทีรู้สึกเหมือนกับแข็งไปทั้งตัว ถาม : แล้วอารมณ์ไหนดีกว่า ? ตอบ : อารมณ์ไหนก็ได้ ที่กิเลสกินเราไม่ได้ ถาม : เราต้องให้อยู่อย่างนั้น ? ตอบ : พยายามรักษาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้ใจผ่องใส พอคลายออกมาก็รีบคิดในเรื่องของวิปัสสนา ไม่อย่างนั้นกิเลสจะเอาไปกินหมด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไทยมักจะเคยชินกับการที่หมารักเจ้าของคนเดียว แต่ฝรั่งจะฝึกหมาให้เห็นทุกคนที่ถือเชือกจูงเขาเป็นเจ้านาย บางทีเราจะรู้สึกว่าเราเลี้ยงหมามาแท้ ๆ พอคนอื่นจูงไปก็ยึดคนอื่นเป็นเจ้านายเลย ก็เขาไปฝึกเอาไว้อย่างนั้น ถึงเวลาจะมอบให้คนอื่น เจ้าของเดิมจะส่งเชือกจูงให้ คนนั้นก็รับไป เขาก็รู้ว่าต่อไปต้องไปดูแลรับใช้คนนั้นแทน
คนไทยรับไม่ค่อยได้ตรงจุดนี้ คนไทยถนัดเลี้ยงหมาแล้วหมารักเรา เราเป็นเจ้าของคนเดียว ก็เลยกลายเป็นตัวกูของกูแรงกว่า แต่ส่วนหนึ่งที่น่าสงสารก็คือ คนจำนวนมากรักหมาตอนเป็นลูกหมา พอเลี้ยงโต ความเป็นลูกหมาหมดไป ตัวเองก็พลอยหมดรักไปด้วย แต่หมายังรักเราเท่าเดิม กลายเป็นว่า หมาบางตัวโดนเจ้านายทิ้ง ที่วัดท่าขนุนมีหมาประเภทตกสวรรค์อย่างนี้อยู่หลายตัวแล้ว สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี กลุ่มพวกไอ้ส้มเป็นหมากรุงเทพฯ เคยอยู่ดีกินดี นอนห้องแอร์ กินอาหารกระป๋อง พอไปอยู่ที่นั้นเหลือแต่ข้าวคลุก อย่างเก่งก็คลุกปลากระป๋อง" |
ถาม : รู้กรรมของผู้อื่น ?
ตอบ : มัวแต่ไปดูกรรมคนอื่น..เหนื่อยเปล่า ถ้าจะดูต้องดูตัวเอง ทำดีได้ดีอย่างไร ทำชั่วได้ชั่วอย่างไร แล้วเลือกทำแต่ที่ดี ๆ ถ้าทำดีต่อเนื่องยาวนานได้ต่อไปผลดีจะให้ผลแก่เราเอง ยถากัมมุตาญาณ เขาให้ดู ให้กลัว ให้เข็ด จะได้หาทางหนี มุญจิตุกัมยตาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวหนึ่ง แปลตามบาลีออกมาเป็นภาษาไทยยาก ๆ ว่า ปรีชาคำนึงซึ่งการหาทางหนี |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเราแล้วลูกจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าลูกไม่ชอบใจหน่อยเดียวแม่ก็รีบหาที่เรียนใหม่ให้ อย่างนั้นลูกจะไม่มีภูมิต้านทานเลย ลูกจะไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายอย่างไร ขาดเราสักคนลูกก็ตายเปล่า ต้องให้เขาเจอแรงกดดันมาก ๆ ชนิดหัวหงอกตั้งแต่อายุยังไม่ ๒๐ แล้วจะแกร่งเอง..!
น่าจะเป็นนักร้องฝรั่งคนหนึ่ง มีคุณแม่ที่ฝึกลูกชนิดที่คนอื่นรู้คงหัวใจวายตาย ลูกอายุ ๔ ขวบแม่ทิ้งไว้ห่างบ้าน ๒ ไมล์ ให้หาทางกลับบ้านเอง แล้วทุกวันนี้เขาก็เป็นคนประเภทแข็งแกร่งสุด ๆ เพราะคุณแม่ฝึกไว้ดี อายุ ๘ ขวบพาปีนยอดเขาที่ติดอันดับโลก จำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่จำได้ว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เปิดกว้างมาก ๆ คนงานชอบทำงานด้วย เพราะแนวคิดของเขาก็คือ ถ้าคุณสามารถสร้างความเจริญให้บริษัทได้ คุณจะแหกคอกอย่างไรก็ทำไป ไม่ห้ามลูกดื่มบรั่นดี แก้วใหญ่ ๆ ไปเลยลูก เมาหัวทิ่มตื่นขึ้นมาปวดหัวแทบระเบิด นั่นแหละ..จำไว้ต่อไปอย่าดื่มเพราะจะเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ดื่มอีกเลย โดนเองแล้วเข็ด เป็นคุณแม่ที่แสบไส้จริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่าญาติพี่น้องไม่มีใครอยากฝากลูกให้เลี้ยง กลัวตัวเองหัวใจวายตาย..! กลัวสะพานแขวนใช่ไหม แม่พาไปเอง จูงเดินไปถึงกลางทาง ปล่อยให้เดินเอง แล้วแม่ก็ไปเลย พอเด็กเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องหายกลัวไปโดยปริยาย เห็นผู้ใหญ่ไปได้ก็ต้องไป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางโลกกับทางธรรมมักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน ทางธรรมสามารถมองทางโลกเพื่อที่จะสอนตัวเองได้ แต่ทางโลกถ้าไม่เอาทางธรรมเลยมักจะไปไม่รอด"
|
:4672615: เก็บตกเดือนมกราคม ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ :4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.