กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3570)

เถรี 29-10-2012 19:41

"ในเรื่องของการปฏิบัติระยะแรก ๆ พอเริ่มเข้าปีติก็เท่ากับเริ่มเห็นผล เพราะเป็นไปตามที่ครูบาอาจารย์บอก หรือที่ตำราบอกไว้ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว

แต่ปีติเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะคนที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ บางทีไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ภาวนาไปเรื่อย โยมที่ภูเก็ต นั่งตั้งแต่ ๗ โมงเช้าจนถึง ๑๐ โมงครึ่ง..ไม่เลิก อาตมาต้องเคาะกบาลให้เลิก บอกว่าพอได้แล้ว การนั่งสมาธิก็เหมือนกับการทำงาน ถ้าโหมงานหนักในวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำงานไม่ไหว

เขาเองพอนั่งแล้วกำลังใจเขาสบาย ก็ภาวนายาวไปเลย จะว่าไปแล้วเป็นการฉวยโอกาสที่ถูก แต่ระยะเวลานานเกินไป สภาพจิตที่ไม่เคยถูกควบคุมนาน ๆ พอถึงเวลาดิ้นจะดิ้นแรงมาก แล้วจะพังไปนาน ดังนั้น..จึงต้องค่อย ๆ ผ่อนสั้นผ่อนยาว เอาแค่พอเหมาะพอดี

ไม่ใช่วันนี้ทำเต็มที่เลย ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง พอพรุ่งนี้หรือมะรืนก็พังกระจาย ทำอะไรไม่ได้ สภาพจิตไม่ยอมให้ควบคุม เพราะเข็ดแล้ว เข็ดที่โดนจับให้นิ่ง ๆ ก็ดิ้นเต็มที่..!"

เถรี 31-10-2012 07:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า..อานันทะ ดูกร..อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรบ้างหรือไม่ ? อานันทะ..ดูกร อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรหรือไม่ ? ฯลฯ พระอานนท์กราบทูลว่า เห็นพระพุทธเจ้าข้า

นั่นแหละ..อานนท์..หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรเป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญามาก หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระโมคคัลลานะเป็นบุคคลที่ปรารถนาในฤทธิ์อภิญญา หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก

เช่นเดียวกัน ลักษณะที่พวกเราจับกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือชอบใจแบบไหนก็ไปแบบนั้น"

เถรี 31-10-2012 07:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการเมือง ฟังมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการฟังความข้างเดียว พอฟังความข้างเดียว ถึงเวลาก็ตัดสินความข้างเดียว แล้วจะลำบาก

ตอนเขาทะเลาะกันเหมือนกับเขาตีกันจนฝุ่นตลบ ให้เราถอยไปให้ห่าง ๆ วงเลย รอให้ฝุ่นจางก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะโดนม้วนเข้าไปด้วย"

เถรี 31-10-2012 08:06

"ถ้าเป็นนักการเมืองไม่ควรไปต่อความยาวสาวความยืดกับใคร ทำงานไปก่อน เขาอยากทะเลาะปล่อยให้เขาทะเลาะไป ถึงเวลาชาวบ้านเขาตัดสินด้วยผลงานที่เขาเห็น

ภาษาบาลีเขาเรียกว่า มุโขโลกนะ ถ้ามีความลำเอียง อคติก็ย่อมมี พระพุทธเจ้ากล่าวถึงคติว่ามี โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด บางคนรักฝังใจ อย่างไรก็ต้องเชียร์พรรคการเมืองนี้ ไม่เปลี่ยนใจ จึงกลายเป็นฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักไป"

เถรี 31-10-2012 08:38

ถาม : ผมมีความคิดว่า .....(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : มีจริง แต่เขาไม่ได้เอามาใช้ มีแต่คนที่ศึกษาไม่ครบก็เลยไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตยหรือธรรมาธิปไตย จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนใช้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักการ หรือหลักธรรมนั้น ๆ

อย่างอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเผด็จการ คุณดูสิว่าเผด็จการอย่างรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช สั่งให้ใครตายก็ได้ แต่ทำไมบ้านเมืองเจริญมาก ? ช่วงนั้นเราเจริญกว่าญี่ปุ่นอีก

ปัจจุบันโลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เรามาเรียกอีกอย่างว่า ประชาธิปไตย ดูสิว่าเละขนาดไหน ? ฉะนั้นไม่ใช่หลักการไม่ดี แต่อยู่ที่คน

อย่างในหลวงของเราปัจจุบัน ต้องบอกว่าพระองค์ท่านถือธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ อาศัยหลักธรรมในการปกครองประเทศ อย่างเศรษฐกิจพอเพียงก็ถือหลักสันโดษ แล้วยังมีหลักทศพิธราชธรรม หลักจักรวรรดิวัตร หลักพรหมวิหาร

เพียงแต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ให้การสนับสนุน พระองค์ท่านก็ทำได้เต็มที่แค่กำลังของพระองค์เอง ถ้าไม่ได้อยู่ในฐานะอย่างพระองค์ท่านก็ทำไม่ได้เท่านี้ ฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนใช้

อัตตาธิปไตยกับโลกาธิปไตยขึ้นกับคนใช้เต็ม ๆ ธรรมาธิปไตยนี่หลักการดีแน่ ถ้าคนใช้อยู่ในศีลในธรรมก็ยิ่งเสริมความดีเข้าไปใหญ่

เถรี 31-10-2012 08:42

พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสนับสนุนการปกครองแบบไหนเลย แต่พระองค์ท่านตรัสในส่วนของธรรมาธิปไตย ก็คือ ไม่ว่าจะมีการปกครองแบบไหน จะต้องประกอบไปด้วยหลักธรรม อย่างเช่น อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คุณก็ต้องปราศจากอคติ ๔ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นต้น

ถ้าโลกาธิปไตย คุณจะถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ คุณก็ต้องประกอบด้วยความยุติธรรม ถ้าเป็นอัตตาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม

พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญหลักการปกครอง แต่พระองค์ท่านตรัสถึงธรรมะที่จะไปประกอบกับหลักการนั้น ๆ เพราะพระองค์ท่านทราบดียิ่งกว่าเราหลายเท่านักว่า หลักการดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนเอาไปใช้ด้วย ถ้าคนเอาไปใช้เป็นคนไม่ดี เขาก็พยายามดัดแปลงหลักการให้เกิดประโยชน์แก่พวกพ้องและตัวเองจนได้

เถรี 31-10-2012 08:50

ถาม : คนในครอบครัวเดียวกัน ใช้หลักการเดียวกันตัดสินหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่เท่ากัน จะตัดสินต่างกัน ฉะนั้น..กำลังใจต้องเท่ากัน

ถาม : ถ้าเกิดเราใช้ธรรมาธิปไตย อะไรถูกอะไรผิดว่ากันตามหลักการ
ตอบ : จริง ๆ จะว่าไปแล้ว กฎพื้นฐาน คือ ศีล ๕ ถ้าละเมิดศีล ๕ นี่ผิดทั้งนั้น คุณลองดูว่าโลกปัจจุบันของเรา ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร ?

ละเมิดข้อที่ ๑ ก็ฆ่ากัน ฝังอยู่เต็มไร่ ขุดหายังไม่เจอ ศีลของที่ ๒ ลักขโมย ช่วงชิง ปล้นฆ่ากัน ละเมิดศีลข้อที่ ๓ เสี่ยง้อภรรยาไม่ได้ ๘ ปีผ่านไปตามไปยิงตายเลย ละเมิดศีลข้อที่ ๔ โกหกหลอกลวง ฉ้อโกงกัน ละเมิดศีลข้อที่ ๕ เมาสุราก็ละเมิดศีลข้ออื่นไปด้วย

เราจะเห็นว่าถ้ามีศีล ๕ กำกับอยู่ บรรดากฎหมายไม่ต้องมีหรอก ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็คือหลักมนุษยธรรมคือการมีศีล ถัดไปคือหลักเทวธรรม ก็คือ มีหิริโอตัปปะ ละอายชั่วกลัวบาป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรายึดถือเป็นปกติ ไม่ต้องไปสนใจกฎหมายอื่น ๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายนักหรอก

เถรี 31-10-2012 09:01

ถาม : ถ้าจะมีพวก....
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติของคน คนเราเกิดมาสร้างเวรสร้างกรรมไม่เท่ากัน มีอยู่สมัยหนึ่งในยุคคอมมิวนิสต์ ที่เขาจะทำให้ทุกคนเท่ากันหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาเองสร้างความดีความชั่วมาไม่เท่ากัน ถึงเวลาจะให้รับผลดีผลชั่วเท่า ๆ กันนั้นเป็นไปไม่ได้ หลักการผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นสังคมในอุดมคติ เขาคิดว่าถ้าทุกคนเสมอภาคกัน มีส่วนในทรัพยากรเท่าๆ กัน โลกนี้จะสงบสุข เขาคิดผิดตั้งแต่แรกแล้ว

เราลองดูว่า ถ้าหากว่าโลกปัจจุบันมีคนรวยคนจน คนจนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คนรวยมีทรัพยากรมากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้มา ทุกคนก็จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะทุกอย่างต้องประกอบด้วยหลักธรรม ถ้าไม่มีหลักธรรมโลกก็วุ่นวาย..อยู่ไม่ได้หรอก

ที่ในหลวงตรัสเอาไว้ เป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุดเลย คือ พยายามส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ และอย่าให้คนชั่วมีอำนาจขึ้นมา เมื่อคนดีมีอำนาจในการปกครอง คนชั่วก็ไม่เดือดร้อน เพราะคนดีที่มีอำนาจไม่ไปเบียดเบียนคนชั่วอยู่แล้ว แต่ถ้าคนชั่วมีอำนาจในการปกครองแม้แต่คนเดียว คนดีจะเดือดร้อนเป็นร้อยเป็นพัน พระองค์ท่านตรัสมาตั้งกี่สิบปีแล้วก็ไม่รู้ ?

เถรี 31-10-2012 09:13

ถ้าคนเราไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนและมีความยุติธรรม รู้จริง ๆ ว่าธรรมะคืออะไร ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นหรอก มโนธรรมของตัวเองจะบอกเอง ต่อให้เด็กที่เกิดขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าความดีความชั่วเป็นอย่างไร ถ้าเขาฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง เขาจะรู้สึกไม่สบายใจทันที นั่นแหละคือมโนธรรม เป็นหลักการที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นเขาบอก

แต่สมัยนี้มโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด ถึงเวลาแล้วตัวกูต้องถูกไว้ก่อน ถึงเวลาต้องไปฟ้องศาลปกครอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ให้ศาลฎีกาตัดสิน บ้าชัด ๆ อย่างพระในปัจจุบันหลงประเด็นกันเยอะมาก เวลาละเมิดศีลต้องอาบัติปาราชิก ต้องรอให้ศาลสั่งก่อน กูถึงจะยอม ความจริงเจ๊งตั้งแต่ตอนทำแล้ว จะไปรอให้ศาลสั่งได้อย่างไร

ถึงได้บอกว่ามโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด มีอยู่ทางเดียวคือเราต้องเข้าถึงธรรมให้มากที่สุด เวลามีอำนาจหน้าที่บริหารหมู่คณะ จะเล็กจะใหญ่ก็ตาม ต้องใช้หลักธรรมในการบริหาร ให้เกิดความยุติธรรมให้มากที่สุด

เถรี 31-10-2012 09:18

มีอยู่สมัยหนึ่งเพื่อนชวนไปสมัครส.ส. อาตมาก็บวชมาตั้งหลายพรรษาแล้ว แต่ก็ยังมาชวน เขาใช้คำพูดว่า ถ้าคนดีเข้าวัดบวชกันหมด แล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร ? อาตมาก็ว่าถ้าคนดีบวชกันหมด ประเทศชาติน่าจะดีขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ มีโอกาสสั่งสอนคนอื่นได้อีกมาก

เราต้องเข้าใจศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือเป็นอุดมมงคล ศิลปะอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ศิลปะการในดำรงชีวิต ก็คือ ต้องรู้กาลเทศะ กาละคือเวลาที่เหมาะสม เทศะคือสถานที่ที่เหมาะสม

ถ้ามีแต่พวกโกงกินกันทั้งหมด แล้วเราไปพูดเรื่องปราบคอร์รัปชั่น คงจะมีคนสนับสนุนเราหรอก เรื่องพวกนี้เราต้องค่อย ๆ ศึกษาไป แล้วท้ายสุดก็จะปรับตัวเองให้อยู่ในลักษณะไม่โดนเบียดเบียนมากนัก สามารถที่พอจะอยู่ได้ในโลกที่สับสนวุ่นวายขนาดนี้

เถรี 31-10-2012 09:29

ถาม : ผมไม่เข้าใจว่า การพยากรณ์มรรคผลเป็นอย่างไร ?
ตอบ : การพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนทั่ว ๆ ไปอย่าไปยุ่ง เรารู้ไม่จริงหรอก

การฝึกมโนมยิทธิทั่ว ๆ ไป เวลาเราดูให้คนอื่นจะแม่น แต่ดูให้ตัวเองจะไม่แม่น เพราะการดูให้คนอื่นส่วนได้เสียไม่มี แต่พอดูให้ตัวเองเวลาเห็นว่าไม่ดี เราก็จะคิดว่าน่าจะดีนะ ทีนี้จะเริ่มผิด และพอเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ก็จะทำให้ใจก้าวเข้าไปสู่รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะผิดยาวเลย

อย่างเช่น แทนที่จะไปดูว่าตัวเองเกิดมากี่ชาติกี่ภพแล้ว มาชาตินี้ควรจะเข็ดหรือยัง ? ก็ไปดูว่าหวยจะออกอะไร ? ถ้าอย่างนั้นจะโดนกิเลสอุปาทานหลอกเอา

ถาม : ถ้าบอกว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว คนนี้เป็นพระสกิทาคามี ?
ตอบ : จะเรียกว่าการพยากรณ์มรรคผลก็ได้ บุคคลที่อยู่ระดับเดียวกันจะรู้บุคคลในระดับเดียวกันและต่ำกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่พูดถึง การพูดถึงจะพูดในลักษณะของการยกย่อง พูดถึงในส่วนความดีงามของเขา จะไม่มีการพูดในลักษณะไปกดข่มคนอื่น ฉะนั้น..ต้องดูกำลังใจของคนพูดด้วยว่าอยู่ในระดับไหน

เหมือนคนเรียนจบปริญญาตรีย่อมรู้ว่าคนจบปริญญาตรีเขาเรียนอะไรมา ขณะเดียวกันก็รู้ว่าคนที่ความรู้ต่ำกว่าว่าเรียนอะไรมา แต่ไม่รู้ว่าคนจบโทหรือเอกเขาเรียนอะไรกัน เพราะตัวเองยังเรียนไม่ถึง ฉะนั้น..เรื่องพยากรณ์มรรคผลหรือดูกำลังใจคนอื่น ดูได้ในระดับที่เท่ากันและต่ำกว่าเท่านั้น สูงกว่าดูเขาไม่ได้


ถาม : คนใดเรามองว่าเป็นอริยบุคคล แต่ในบางกิริยาที่ท่านทำ เราอาจจะมองว่าไม่น่าใช่
ตอบ : แปลว่าคุณยังขาดความมั่นใจในตัวท่าน ถ้ามีความมั่นใจในตัวท่านจริง จะไม่สงสัยเลย

เถรี 31-10-2012 09:32

พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า "เรามีหน้าที่อะไรก็ไปทำ ในเรื่องของการรับงานเพื่อส่วนรวม ต้องประกอบไปด้วยเสียสละ ไม่ใช่ถึงเวลากูจะอยู่ใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์ แล้วงานส่วนอื่นก็เสียหมดเพราะไม่มีใครไปดูไปแล"

เถรี 31-10-2012 09:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "จากที่เคยเห็นมา ใครเคยทำไม่ดีกับพ่อกับแม่อย่างไร เวลามีลูกแล้วได้คืนหลายเท่า เป็นกรรมอย่างเดียวที่ทันตาเห็นจริง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราไม่แสบจริงก็ไม่มาเกิดกับพ่อแม่เราหรอก ฉะนั้น..ถ้าอยากจะมีลูกดี ตัวเราเองต้องดีก่อน"

เถรี 01-11-2012 20:19

ถาม : ผมควรจะไปฝึกเรื่องทิพจักขุญาณที่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าของเก่ามีแล้ว เราภาวนาไปจนกำลังใจเริ่มนิ่ง ของเก่าก็จะกลับมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่ไหนหรอก เพียงแต่ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า ถึงเวลาเขาทดสอบจะเล่นแรง

ให้จำไว้ให้แม่นว่าสิ่งที่เราเห็น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริง ส่วนใหญ่ที่เสียไป เนื่องจาก “เชื่อเพราะเราเห็น” เพราะฉะนั้นต่อให้เห็นเองก็ยังเชื่อไม่ได้ ต้องรอเวลาพิสูจน์ก่อน

เถรี 01-11-2012 20:20

ถาม : ถ้าต้นไม้ที่มีรุกขเทวดาอยู่ เราจำเป็นต้องโค่นทิ้งต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตั้งศาลให้เขาในที่ที่เหมาะสม แล้วตัดกิ่งไม้นั้นมากิ่งหนึ่ง ประมาณ ๑ ศอก ตั้งไว้ในศาล หันทางด้านปลายขึ้น เขาจะได้อาศัยต่อได้

ถาม : ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะมีเทวดาอาศัยอยู่ทุกต้นไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น ถ้าไม่มีแก่นท่านก็ไม่ได้อาศัย พวกไม้ไม่มีแก่นอย่างพวกนุ่น สำโรง เป็นต้น

ถาม : ผมไม่ได้ตัดทั้งต้น ตัดแค่กิ่งก้านออก
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตัดทั้งต้นไม่เป็นไร แต่ถึงไม่ตัดทั้งต้นก็ควรจะบอกเล่าเก้าสิบกันก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ไปตัดเลย

เถรี 01-11-2012 20:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเครื่องของหลวงปู่โหน่งเป็นของดีราคาถูก เพราะท่านทำเอาไว้มาก วัดไหนขอ ท่านให้เขาเป็นลำเรือเลย ก็เลยกลายเป็นว่าของดี แต่ราคาถูกเพราะของมีมาก

อาตมามีขุนแผนหน้าค่ายอยู่องค์ครึ่ง เพราะองค์หนึ่งแหว่งไป แล้วก็มียอดขุนพล ส่วนองค์ที่เป็นพิมพ์สมเด็จนั้น ตอนแรกใคร ๆ เขาก็ตีว่าเป็นวัดระฆัง อาตมาบอกว่าไม่ใช่ แต่ว่าสมเด็จรุ่นแรก ๆ ของท่านเนื้อแกร่งมาก พอมารุ่นหลัง ๆ แล้วเน้นเอาดินมาทำ ความต่างจึงเห็นชัด เพราะเป็นเนื้อดินเผา

วิธีเสกพระของหลวงปู่โหน่งไม่เหมือนใครหรอก ตั้งบายศรีคู่ ปูผ้าขาว มีดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระเสร็จสรรพ ท่านเดินจงกรมรอบเตาเผา ภาวนาเสกพระไปเลย"


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่รู้ยังเหลือหรือเปล่า ? สมัยหลวงพ่อแดง แค่วัดพวกเรายังไม่กล้าเดินผ่านเลย ท่านดุมาก พอมานึกถึงสมัยนี้ที่พวกชาวบ้านบอกว่าอาจารย์เล็กดุ ลองเจอหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ไอ้เด็กเซียน ๆ อย่างเราไม่กล้าเดินผ่านวัด นึกเอาก็แล้วกันว่าท่านดุขนาดไหน ?

เถรี 01-11-2012 20:57

หนังสือประวัติหลวงพ่อปานของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ปานกับหลวงปู่โหน่งดังขึ้นมาอีกมาก ลำพังท่านดังอยู่แล้ว แต่คราวนี้พอลูกศิษย์เก่งแล้วยกย่องครูบาอาจารย์ด้วยก็เลยดังกันไปใหญ่ แต่วัดเก่า ๆ สายครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่จะโทรม มีหลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอที่ทางวัดปากน้ำฯ ไปสนับสนุนทำให้ ก็ดูว่าเจริญขึ้นมา วัดอื่น ๆ ค่อนข้างจะทรุดโทรม

แม้กระทั่งวัดบางนมโค สมัยพระครูวิหารกิจจานุยุต ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นพระอาจารย์คู่สวด คราวนี้หลวงพ่อท่านก็ตั้งใจจะสนับสนุนวัดบางนมโค ถ้าจำไม่ผิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงพ่อท่านไปวัดบางนมโค ญาติโยมตามไปทำบุญวันนั้นได้สี่แสนบาท ท่านบอกพระครูอุไรว่า ให้เอาเข้าเป็นกองทุนหลวงปู่ปาน แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วท่านเอาไปใช้อย่างอื่น หลวงพ่อท่านก็เลยตัดขาด ไม่ไปวัดบางนมโคอีกเลย ท่านบอกว่า “ในเมื่อไม่ฟังกันแล้วจะไปทำไม ?”

ถาม : รูปหล่อหลวงปู่ปานที่วัดใหญ่มาก ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพียงแต่ให้ทำในลักษณะส่งเสริมครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำเพราะอาศัยชื่อเสียงครูบาอาจารย์ไว้หากิน เจตนาต่างกันนิดเดียว ผลจะออกไปคนละโลกเลย

เถรี 02-11-2012 08:33

ถาม : วัดบางปลาหมออยู่ใกล้นิดเดียว ?
ตอบ : วัดบางปลาหมอ วัดน้ำเต้า วัดเจ้าเจ็ด วัดหน้าต่างนอก ก็อยู่ละแวกนั้นแหละ ถ้าวัดหน้าต่างนอกไม่ได้หลวงพ่อนิลสืบต่อมาก็คงโทรมเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่พอสิ้นครูบาอาจารย์แล้ว ที่เหลือก็มักจะอาศัยวัดเฉย ๆ ไม่ได้อยู่ให้วัดได้อาศัยบ้าง

เรื่องของเจ้าอาวาสเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าอาวาสใหม่ต่อให้เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า ญาติโยมก็ยังนึกถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ก็จมหายไปเลย วัดวาโทรมทันตา ยังดีว่าหลวงปู่จ้อย วัดบ้านแพน ยังมีสืบสายมาจนปัจจุบัน อย่างหลวงปู่พูนก็ทำให้วัดวาอารามเจริญรุ่งเรืองได้ ถ้าไม่มีสืบสายต่อกันมาก็หมด

เจ้าอาวาสวัดบางนมโคจากหลวงปู่คล้ายมาหลวงพ่อปาน มาหลวงพ่อเล็ก มาหลวงตาเจิม แล้วก็มาหลวงพ่อฉัตร แล้วมาหลวงพ่อวัดท่าซุง พอสิ้นรุ่นหลวงพ่อมาแล้วที่เหลือก็ไปไม่รอด พอหลวงพ่อท่านออกมาอยู่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท วัดบางนมโคก็โทรมไปเลย

เถรี 02-11-2012 08:38

ส่วนใหญ่มีปัญหาตรงพวกบรรดามัคคนายก ที่มีอำนาจมักจะเป็นญาติเจ้าอาวาส คนอื่นไม่กล้าว่ากล่าว อาตมาไปอยู่ที่ไหนถึงได้ออกระเบียบวัดว่า ถ้าใครอ้างว่าเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของเจ้าอาวาสแล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าตลอดชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเอาญาติตัวเองไม่อยู่ก็ปกครองคนอื่นไม่ได้

ไม่ได้แวะเข้าไปดูวัดพิกุล
พอสิ้นหลวงปู่ปั้นแล้วไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ครูบาอาจารย์สมัยนั้นสุดยอดทั้งนั้นเลย ไปตกอยู่ยุคสมัยไล่ ๆ กันหมด มีหลวงปู่จงที่อายุยืนกว่าเพื่อน ต้องบอกว่าหลวงปู่จงท่านทำปาณาติบาตน้อย แล้วก็เมตตาเหลือล้นจริง ๆ

ญาติโยมมาถึงเสือกหัวเรือพรวด ล่ามเรือเสร็จสรรพเรียบร้อย ตะโกนว่า “หลวงตา..เฝ้าเรือให้หน่อยนะ จะไปกราบหลวงพ่อหน่อย” แล้วก็วิ่งขึ้นกุฏิท่าน สักพักวิ่งหน้ากระเรี่ยกระราดกลับมา พระท่านบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่ท่าน้ำนั่นแหละ ใช้ท่านให้เฝ้าเรือไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นั่งอยู่นั่นแหละ

เขาถามว่าทำไมท่านไม่ไปกุฏิ ? ท่านบอกว่า “ก็โยมใช้ให้ฉันเฝ้าเรือ ก็เฝ้าให้โยมก่อน” หลวงปู่จงท่านอายุ ๙๐ กว่าเกือบร้อยปี

เถรี 02-11-2012 08:40

ถาม : ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิรู้สึกกำลังใจรวมตัวได้ง่ายมากเลย เป็นเพราะว่าเราเริ่มขยันหรือเป็นเพราะว่าช่วงระยะเวลานี้ทำได้ดี ?
ตอบ : หลายอย่างรวมกัน สำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็พังอีก..!

เถรี 12-11-2012 08:31

ถาม : ตอนท่านแม่จามเทวีรบกับเจ้าชายโกสัมภี ท่านแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ ?
ตอบ : ผู้หญิง

ถาม : แล้วใครชนะครับ ?
ตอบ : เจ้าชายตายฟรี..!

ถาม : แล้วท่านแม่ได้แต่งงานไหมครับ ?
ตอบ : แต่งกับเจ้าชายรามราช ช่วงที่ท่านแม่ท้องอยู่ต้องยกครัวขึ้นไปครองหริภุญไชย ไปถึงได้ไม่นานก็คลอด ลูกแฝดด้วย ท่านแม่เดินทางไปหริภุญไชยใช้ระยะเวลา ๗ เดือน เจ้าชายรามราชเดือนหนึ่งก็แวะไปหาท่านแม่ครั้งหนึ่ง

ถาม : ท่านแม่ใช้ระยะเวลาเดินทางตั้ง ๗ เดือน แล้วเจ้าชายรามราชไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขี่ม้าไป ตอนนั้นท่านแม่ท่านยกขบวนไป ๗,๕๐๐ คน จึงต้องค่อย ๆ ไป ส่วนเจ้าชายรามราชขี่ม้า การเดินทางจึงเร็วกว่า แต่น่าคิดนะ..ขี่ม้าไปกลับระหว่างลพบุรีกับลำพูน ถ้าไม่รักจริงไม่ไปหรอก ไกลฉิบ..!

ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงซื้อเรือเพื่อช่วยพวกน้ำท่วม เรือเร็วที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ ชื่อรามราชนาวี ส่วนเรือใหญ่ที่เป็นเรือรักษาพยาบาล ชื่อจามเทวีนาวา เรือสองชื่อนี้หายไปแล้ว คนเขาไม่จำกัน เขาไปจำชื่อที่ท่านแม่ตั้งใหม่ มีคะนึงหา พาถวิล สินสวาท สมัยนี้ถ้าไปถามว่ารามราชนาวีลำไหน เขาหากันไม่เจอหรอก จำกันไม่ได้แล้ว

เถรี 12-11-2012 08:40

ถาม : เจ้าชายรามราชใช่ที่เขาเก็บศพไว้ใต้โบสถ์วัดโขงขาวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เจ้าชายรามราชเป็นพ่อ ท่านมีลูก ๒ คน คือ เจ้าชายอนันตยศกับเจ้าชายมหันตยศ ศพที่อยู่ใต้โบสถ์วัดโขงขาวเป็นลูก สมัยโบราณเขาทำเป็นห้องใต้ดิน แล้วไปสร้างโบสถ์คร่อมไว้

ถาม : ท่านเคยลงไปดูไหมครับ ?
ตอบ : ไปอย่างไรเล่า ? เขาเอาโบสถ์วางไว้ทั้งหลัง

ถาม : แล้วตอนนั้นท่านเกิดเป็นลูกคนโตหรือคนน้องครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นหรอก อาตมาได้เป็นลิงในกองทัพก็บุญโขแล้ว สมัยนั้นส่วนใหญ่ที่รบชนะได้ก็เพราะลิง พระยากากวานรเป็นพระยาลิงที่ฤๅษีวาสุเทพมอบให้มาดูแล เอาบริวารมาด้วยอีก ๓๐ กว่าตัว พอถึงเวลาออกรบ พรวดเดียวลิงก็ขึ้นถึงหลังช้างเลย

ถาม : คุยกับคนรู้เรื่องหรือครับ ?
ตอบ : โตมากับคนด้วยกัน สื่อสารกันรู้เรื่อง

เถรี 17-11-2012 10:05

ถาม : เราคิดว่าจะไม่ใส่ใจ เขามาทางธรรมแล้วคงจะไม่อะไรนัก คนเราน่าจะว่ากันผิดถูกตามหลักธรรม เอาเข้าจริงก็ยัง..?
ตอบ : อาตมาเคยเตือนไปหลายคนแล้วว่า วัดดี ผู้นำวัดดี แต่คนที่อยู่ในวัดไม่แน่ว่าจะดี ใช้คำว่า “กิเลสของนักปฏิบัติ” เวลาอยู่ในวัดต่างคนต่างเก็บกด ใครมาใหม่ก็งับเลย..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องที่ไปอ้างว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อสมัยนั้น แล้วทำอะไรสู้คนใหม่ไม่ได้ก็น่าขายหน้า พวกมาทีหลังเขาคว้าเอาของดีไปหมด ต้องบอกว่า “เสียแรงที่คุย” ถ้าจะอวดกันก็อวดสิว่าเราทำความดีอะไรได้ ไม่ใช่ไปอวดกิเลสว่าเราอยู่มานาน

วันก่อนจำไม่ได้ว่าคุยกับใคร ที่คนจีนเขาเกทับกันว่า “ข้าพเจ้ารับประทานเกลือมา มากกว่าท่านรับประทานข้าวอีก” อะไรอายุจะมากกว่ากันขนาดนั้น..!

เถรี 17-11-2012 10:13

ถาม : วันก่อนเห็นคนที่บ้านเขาตบยุง แต่เราก็พูดเตือนไม่ได้ เลยเฉย ๆ ?
ตอบ : ต้องอย่างนั้นแหละ เพราะถ้าพูดโทษเขาอาจจะหนักกว่านั้นเยอะ อาจจะมีการปรามาสพระรัตนตรัยไปเลย เพราะฉะนั้น..ปล่อยเขาไป ใครทำใครได้

ไม่ใช่แต่โยมนะ ปัจจุบันแม้กระทั่งพระเณรบางวัดก็ตบยุงตบแมลงวันกันเป็นเรื่องปกติ พออาตมานั่งเฉย ๆ ยังมีหน้ามาถามอีกว่า “อาจารย์ไม่โดนกัดบ้างหรือ ?” อาตมาเลยบอกว่า “อ๋อ..ผมแก่แล้ว..เลือดเย็น ยุงเลยไปกินแต่พวกคุณ”

เถรี 17-11-2012 10:35

ถาม : คาถามหาประสาน ถ้าคนที่เก่งจริง แผลติดเลยหรือคะ ?
ตอบ : แผลติดเลยจ้ะ ไม่ต้องเย็บ แผลเป็นก็ไม่มี

ถาม : ต้องใช้กำลังฌานสี่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก โบราณเขาให้กลั้นใจว่าคาถา อยู่ที่ความมั่นใจ บางคนว่าคาถามหาประสานต้องให้ดำน้ำ เพราะดำน้ำก็เท่ากับบังคับให้กลั้นใจ เวลาคนกลั้นใจจิตจะนิ่ง จะเป็นสมาธิ ที่นิ่งไม่ใช่เพราะอะไรหรอก พอไม่ได้หายใจแล้วจะตาย จิตไม่รู้จะดิ้นไปไหนต้องรีบกลับมาอยู่กับตัว พอจิตกลับมาอยู่กับตัวกำลังก็มี ไปลองซ้อมดูก็ได้

ถาม : หนูใช้เท่าไรก็ไม่ติดเสียที
ตอบ : ไม่รู้ว่าที่อาตมาทำได้ไม่เต็มที่ เพราะถ้าทำได้เดี๋ยวจะซนหรือเปล่า ท่านก็เลยให้แค่หยุดเลือดได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเที่ยวไปไล่กรีดแล้วก็ประสานให้เขาดู ก็เลยเป็นคาถาบทหนึ่งที่อาตมาทำได้ไม่ถึงที่สุด

เถรี 17-11-2012 10:45

ถาม : คาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง กับคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ มีอานุภาพต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจ ถ้าเรามั่นใจว่าคาถาอะไรก็ได้ ตั้งใจจะให้รวยก็รวยเอง เพราะสำเร็จด้วยใจ เพียงแต่ว่าถ้าเราได้คาถาที่ตรง เป็นคาถาที่พระหรือว่าพรหมเทวดาท่านให้ เวลาเราภาวนาคาถานั้นท่านก็ส่งกำลังมาช่วย ก็ได้ง่ายขึ้น ได้มากขึ้น

ฉะนั้น..จะกี่หลวงพ่อก็ว่าไปเลย ทำให้ขึ้นสักบท ที่เหลือก็เหมือนกัน กำลังใจเท่ากัน เขาบอกว่า “ศิษย์มีครูเปรียบเหมือนงูมีพิษ" เพราะฉะนั้น..ศิษย์สารพัดครูก็จะกลายเป็นงูสารพัดพิษ..!

เถรี 17-11-2012 10:56

ถาม : คาถาสะเดาะกลอนประตู ?
ตอบ : บางทีอยู่ในลักษณะว่าไม่ทันได้ใช้อะไร แค่กำลังใจไม่ได้นึกว่าประตูล็อก ก็บิดเปิดไปเลย วันนั้นอาตมาวิ่งหนีฝน พอไปถึงประตูสำนักงานหน่วยจัดการต้นน้ำ อาตมาก็บิดพรวดเข้าไปเลย แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาถามว่า “อาจารย์เปิดได้อย่างไร ? ผมเองล็อกไปแล้ว” เขาดันจำได้อีก..!

เถรี 17-11-2012 11:02

ถาม : มีคาถาที่ใครเข้าบ้าน แล้วทำให้เขาใจเย็น ใจสบาย บ้างไหมคะ ?
ตอบ : ต้องภาวนาคาถาเมตตาให้เป็นปกติเลย ถ้าเราภาวนาแผ่เมตตาเป็นปกติ กระแสเย็นจะคงอยู่ พอทำบ่อย ๆ เข้า เราเคยชินก็ไม่รู้สึก แต่คนเข้ามาใหม่จะรู้สึก เหมือนอย่างกับเขาอยู่ที่ร้อนแล้วเข้ามาในห้องปรับอากาศ จะรู้สึกเย็นวูบเลย

เถรี 21-11-2012 15:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมหลายคนที่กลัว ๒๐๑๒ วันสิ้นโลก ถึงขนาดทิ้งการทิ้งงานไปซื้อที่อยู่แถวเชียงใหม่เชียงรายเพื่อที่จะหนีภัยพิบัติ ต้องบอกว่าความกลัวเป็นเรื่องดี ทำให้เรารู้จักระมัดระวังแล้วก็ป้องกันไว้ก่อน แต่ถ้ากลัวจนขาดสติ บางทีก็สร้างความเสียหายได้เหมือนกัน

ขนาดทิ้งที่ ทิ้งบ้าน ทิ้งการทิ้งงานเพื่อไปอยู่อีกทีหนึ่งเพราะกลัวตาย รู้สึกว่าเหลวไหลอย่างไรไม่รู้ ช่วงที่เขาแห่กันไปซื้อที่แถวเขาใหญ่ วังน้ำเขียว จนราคาที่ขึ้นไปไร่จะเป็นล้านบาท เพราะคนไปแย่งกันซื้อ

จริง ๆ แล้วถ้าเกิดแผ่นไหวขนาดใหญ่ขึ้นมา อีสานเราแย่ที่สุด เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่าน ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่แล้วเขื่อนที่ประเทศจีนพัง น้ำจะทะลักลงมาทางแม่น้ำโขงก่อน พอตูมลงมา ระบายไม่ทันน้ำก็เข้าอีสาน ไม่ใช่ย้ายไปอีสานแล้วจะปลอดภัยเสียเมื่อไร

ต้องเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ถ้าไม่ได้สร้างกรรมร่วมกับเขาอย่างไรก็รอด ถ้าสร้างกรรมร่วมกับเขาไว้ก็ยึดให้มั่นคงในพระรัตนตรัย อย่างไรก็เอาปลอดภัยเฉพาะหน้า ยกเว้นอายุขัยมาถึงจริง ๆ เราเกาะพระอยู่ก็ไปดี ดูอย่างปีที่อุทกภัยถล่มที่กะทูน นครศรีธรรมราช น้ำกวาดหมดหมู่บ้านเลย แต่ก็มีคนรอดเพราะขี่ท่อนซุงไป ปกติซุงเวลาลอยน้ำจะไปไม่เป็นทิศเป็นทาง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้"

เถรี 21-11-2012 15:41

ถาม : เวลาผมแผ่เมตตา จังหวะที่เราดึงกลับเข้ามา ทำไมบางครั้งผมรู้สึกว่ามีไอร้อนติดมาด้วย ?
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ เหมือนกับว่าที่อื่นร้อนหมด เราเอาเย็นให้เขาไป เขาก็กลืนไปเสียเยอะ แล้วตอนกลับมาก็เลยเย็นไม่เท่าเดิม

เถรี 21-11-2012 20:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "ซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธชินราช ก็คือฉัพพรรณรังสี ช่วงที่พระองค์ท่านเสวยวิมุติสุข ๔๙ วัน มีอยู่ ๗ วันที่ท่านเสด็จเดินจงกรมอยู่ในรัตนฆรเจดีย์ ก็คือซุ้มฉัพพรรณรังสี รัตนะ แปลว่า แก้ว ฆระ แปลว่า เรือนหรือบ้าน"

เถรี 21-11-2012 21:14

ถาม : ช่วงที่ผ่านมาฝันร้ายค่ะ ฝันว่าไปหาหมอ..?
ตอบ : เขาเรียกว่ากรรมนิมิต ในช่วงวาระที่กรรมแสดงเหตุให้รู้ เราต้องอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เพราะเป็นช่วงที่สภาพจิตรับอะไรได้ชัดเจนที่สุด ถ้ากำลังนั้นยังกดอยู่ เราขยับไม่ได้หรอก ต้องเลยไปก่อนถึงจะขยับได้

ถาม : เป็นเรื่องของกรรม ?
ตอบ : เรื่องของบุญของกรรมที่เราทำมาแสดงเหตุให้รู้ แก้ไขโดยรีบไปปล่อยชีวิตสัตว์ไว ๆ ถ้าเข้าไปเจออะไรที่เขาตั้งใจจะฆ่าในตลาด รีบซื้อปล่อยไปเลย สัก ๓ - ๔ ตัวก็ได้

เถรี 21-11-2012 21:29

ถาม : คนในครอบครัวไปนับถือศรัทธาร่างทรงองค์เทพต่าง ๆ ?
ตอบ : ถ้าเขาจะไปก็ปล่อยเขาไป วาระของใครของมัน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องเทวตานุสติ คือ การระลึกถึงความดีของเทวดา แต่พระองค์ท่านไม่ได้สอนให้ไปวิงวอนร้องขอ ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ พระองค์ท่านสอนในลักษณะที่ว่า เราเองก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเป็นเทวดา เป็นพรหมอย่างเขาได้เหมือนกัน

ฉะนั้น..การที่เราไปบูชาเทวดา ไปขอความช่วยเหลือ ก็ถือว่าทำได้ แต่เราต้องยกเอาไว้ในใจของเราว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสูงสุดของเรา ไม่ใช่ว่าเราพึ่งในหลวง แต่กำนันผู้ใหญ่บ้านเราไม่แลเลย เดี๋ยวอาจจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..เราก็พึ่งท่านบ้าง แต่ถ้าถึงขนาดจะต้องไปครอบครู ต้องไปรับขัน ถ้าขนาดนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยงไป


ถาม : เราบอกเขาไปว่า ถ้าเป็นเทพก็ต้องมีความเมตตา ก็ไม่ต้องไปครอบครู ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ที่เจอมาก็คือ พอไปรับการครอบครู รับขันอะไรก็ตาม เขาจะดึงไปให้เป็นตัวทำเงินให้เขา ถึงเวลาก็ต้องไป เพราะว่าไปอยู่ใต้อำนาจเขาแล้ว เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ให้เลี่ยงไป

ถาม : เขาถึงขนาดโทรเรียก ?
ตอบ : เปลี่ยนเบอร์โทรไปเลยก็ได้

ถาม : แล้วขันที่รับมาทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็ลอยน้ำไปสิ..!

เถรี 21-11-2012 21:41

ถาม : ที่เกิดเหตุดีหรือไม่ดี เพราะเขาพึ่งพาเราจริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าเรามั่นคงในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างอื่นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าจะแก้ก็คือภาวนา ถ้าเราภาวนาจับลมหายใจจนกำลังของเราทรงตัว กำลังของเราจะเท่ากับพรหม ก็แปลว่าเหนือกว่าเขาเยอะ เขาจะทำอะไรเราไม่ได้ ฉะนั้น..ถ้าต้องการจะแก้ตรง ๆ ก็ภาวนาไปเลย

ส่วนใหญ่แล้วพวกตำหนักทรง แรก ๆ เทวดาท่านมา หรือพรหมบางท่านมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ แต่พอเกิดผล คนไปกันมาก ความโลภเกิดขึ้นในใจของคนทรง บางทีไม่ใช่วาระที่ท่านมาก็ทรงปลอม ๆ ไปเรื่อย ท้ายสุดเมื่อความโลภเกิดขึ้นมาก ท่านก็ไม่สงเคราะห์ให้อีก ไม่มาอีก บางทีพวกเปรตพวกอสุรกายเขาก็มาแทรกแทน

ฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปยุ่งกับเขา ถ้าใครคิดว่าไม่ไปแล้วเขาจะขัดขวาง ทำให้เราหากินไม่เจริญ ทำให้เราประสบสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็ให้ภาวนาจนกำลังใจทรงตัว ถ้าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวอย่างต่ำสักปฐมฌาน กำลังของเราจะเท่ากับพรหม ซึ่งมักจะสูงกว่าเขาทั้งหมด เขาจะทำอะไรเราไม่ได้

วิธีง่าย ๆ เลยก็คือไปภาวนาไว้ ถ้าภาวนาจนกำลังใจทรงตัวนี่ไม่ใช่แต่พวกตำหนักทรงอย่างเดียว ไสยศาสตร์ต่าง ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย เพียงแต่ว่าเพื่อความแน่นอน ก็อาราธนาวัตถุมงคลติดตัวไว้ด้วย เพราะว่าตัวเรามีโอกาสเผลอได้ แต่เทวดาที่ท่านรักษาวัตถุมงคลท่านไม่เผลอ ถึงเวลาเราเผลอท่านก็ป้องกันให้ แต่ถ้าเราไม่เผลอ เราภาวนาเองกำลังใจทรงตัวได้ ก็เท่ากับเราป้องกันตัวเองได้

เถรี 21-11-2012 21:47

ส่วนใหญ่ที่เจอมาร้อยละ ๙๙.๙๙ จะมาดีในตอนแรก พอความโลภเกิดขึ้น เทวดาหรือพรหมท่านไม่สงเคราะห์อีก ก็ทรงปลอมกัน ปลอมไปปลอมมามีตัวปลอมแทรกเข้ามาจริง ๆ คราวนี้ก็ไปกันใหญ่เลย

เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิ เพราะหลายอย่างเขาทำแล้วเกิดผล แล้วเป็นผลทันตา เป็นผลในลักษณะของการฝืนดวงฝืนกรรม จึงทำให้บางคนเลื่อมใสหัวทิ่มตัวตำ แต่พอเราไปรับขันหรือครอบครูของเขาเข้า บางแห่งเขาก็ใช้ผีคุม บางแห่งก็ใช้ไสยศาสตร์คุม พอถึงเวลาเขาก็ดึงเราไป ก็ต้องตะเกียกตะกายไปหาเขา เอาเงินเอาทองไปประเคนให้เขา กลายเป็นสร้างความร่ำรวยให้กับเขามากขึ้น ๆ

แม้กระทั่งปัจจุบันนี้สำนักอาจารย์บางแห่ง ที่เป็นอาจารย์สักชื่อดัง ก็กลายเป็นของปลอมไปแล้ว เพราะเมื่อเกิดความโลภขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านไม่สงเคราะห์ สักไปแล้วก็ได้แค่รอยสักไปเฉย ๆ อานุภาพอะไรต่าง ๆ ที่จะพึงมีก็ไม่มี เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

ในชีวิตเจอพวกถือของ โดยเฉพาะรอยสัก ถือแล้วขึ้น ๓ - ๔ ราย แต่พวกนี้ของขึ้นไม่เป็นเวลา คือตอนจะเอาจริงใช้จริงกลับไม่ขึ้น ไปขึ้นในเวลาที่ไม่สมควร มีอยู่รายหนึ่งไปทัวร์ธรรมะทำบุญกันที่เพชรบุรี ขากลับเขาตั้งวงดื่มเหล้ากันท้ายรถ คาดว่าไปผิดครูตรงที่ไปดื่มเหล้าเหลือเดนเขา เลยของขึ้น รายนี้สักเสือสมิง มือเปล่า ๆ ตะกุยกระจกรถทัวร์แตกกระจาย..! แต่พอเสือออกแล้วต้องควักกระเป๋าจ่ายเขาอานไปเลย เพราะรถทัวร์เขาไม่ยอม โดยเฉพาะกระจกหลังแผ่นละเป็นหมื่น..!

เถรี 21-11-2012 21:53

อีกรายหนึ่งก็ลักษณะเดียวกัน คนนี้ลิงลมเข้า ตอนนั้นยังเป็นทหารอยู่ อาตมาไปตามจับตามฟัดเอง เพิ่งจะรู้ว่าเวลาของของขึ้นแล้วพวกนี้แรงเหลือเฟือ ขนาดจับยกลอยทั้งตัวเขายังดิ้นหลุดได้

ปกติคนเราพอขาลอยพ้นพื้นจะดิ้นไม่ได้แล้ว จับเขากดไว้กับเตียง เอาผ้าขาวม้ามัดติดเตียงไว้ เขายกเตียงไปทั้งหลังเลย..! ความจริงเพื่อนบอกว่าให้ตบบ้องหูเดี๋ยวก็ออก แต่อาตมาไม่ทำ จะลองดูว่าเขาจะแน่สักแค่ไหน ไล่ฟัดกับเขาอยู่หลายยกจนกระทั่งเพื่อนอีกคนทนไม่ไหว เอาน้ำเย็นทั้งถังสาดโครมเข้าให้ หายเดี๋ยวนั้นเลย

เวลาต้องการใช้งานจริง ๆ อย่างเช่นจะโดนเขารุมกระทืบดันปลุกของไม่ขึ้น เพราะกำลังใจไม่มั่นคง ถ้าใครอยากดูพวกของขึ้นให้ไปที่งานไหว้ครูประจำปีของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ สมัยหลวงพ่อเปิ่นยังอยู่ต้องขอทหารมาเป็นกองร้อยเลย ถึงเวลาของขึ้นพร้อม ๆ กันต้องให้ทหารช่วยกันล็อก สมัยนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร เพราะไม่ได้ไปดูนานแล้ว

เถรี 21-11-2012 22:46

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าจะนับอานิสงส์จริง ๆ แล้วเท่ากัน ก็คือเป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่ถ้าเราได้สละทรัพย์ออกมากกว่า สมมติเกิดใหม่เป็นมหาเศรษฐีเขาจะมีเงิน ๘๐ โกฏิ สิ่งที่เรามีจะมีเกินนั้น ดังนั้น..ต่างกันแค่นี้นิดเดียวเอง

จริง ๆ แล้วจะมีมากมีน้อยไม่เป็นไรหรอก ให้เป็นมหาเศรษฐีก็แล้วกัน เขามี ๑๒๐ โกฏิ เรามี ๘๐ โกฏิก็ใช้ไม่ไหวแล้ว

เถรี 21-11-2012 22:49

:54bd3bbb:เก็บตกเดือนตุลาคมจบแล้วค่ะ:54bd3bbb:
ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว