กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3509)

เถรี 18-09-2012 11:45

ถาม : ผีกระสือมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : กระสือเป็นอสุรกายประเภทหนึ่งจ้ะ ในชีวิตอาตมาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอ ที่ตลกก็คือเจอทั้งครอบครัวเลย ผัวเป็นกระหัง เมียเป็นกระสือ..!

ตอนนั้นช่วงเช้าอาตมาภาวนาอยู่ ปกติจะขึ้นไปไหว้พระที่จุฬามณีก่อน ปรากฏว่าวันนั้นจิตไม่ไปที่นั่น แต่พุ่งออกไปที่บ้านหลังหนึ่ง เห็นว่าเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดา บ้านไม้เก่า ๆ ใต้ถุนสูง มีสากตำข้าวทิ้งที่ลานบ้าน อาตมาก็คิดว่า บ้านนี้ทำไมสะเพร่าขนาดนี้ เครื่องมือหากินแท้ ๆ เอามาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จึงเดินเข้าไป

ปรากฏว่าพวกเขากรูกันออกจากบ้านมา ๔ - ๕ คน พอเขาเห็นอาตมาเขาก็ชะงัก อาตมาบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก..มาดี ไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรหรอก” แล้วก็ถามว่า “ตกลงพวกเราไม่ใช่คนใช่ไหม ?” เขาบอกว่าตัวเขากับเมียไม่ใช่คน ส่วนลูก ๆ ยังเป็นคนอยู่ จึงถามต่อว่าที่ออกมานี่ตั้งใจมาทำอะไร ? เขาตอบว่า “ถ้าท่านเป็นคน ผมก็จับกินแล้ว”

เขาบอกว่าสากตำข้าวที่เขาทิ้งไว้ที่ลานบ้านเป็นเขตหากินของเขา ถ้าใครก้าวข้ามมา เขามีสิทธิ์ที่จะจับกินได้ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าตัวเขาเป็นกระหัง เมียเขาเป็นกระสือ ถ้าถึงวาระหมดอายุขัยของเขาแล้ว เขาจะถ่ายทอดต่อให้ลูกคนใดคนหนึ่ง ลูกของเขา ๓ - ๔ คนตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไร แต่ถ้าเขาใกล้ตายแล้วต้องมีสักคนหนึ่งที่รับช่วงไป

ไล่ไปไล่มาเพิ่งจะรู้ว่าพวกนี้เป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ถ้าไม่ไปอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะหากินได้ พอเจ้าของร่างที่อาศัยอยู่หมดอายุ ก็จะเปลี่ยนตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ

เถรี 18-09-2012 11:51

ถาม : กระสือมีหลอดไฟด้วย ?
ตอบ : เขาไปลักษณะอย่างนั้นแหละ แต่เขาไปในลักษณะกายในที่เป็นดวงจิต พอมีคนเข้าไปใกล้ เขาจะแสดงให้เห็นว่าเป็นหน้าของใคร มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเพื่ออำพรางตัวเองไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร จึงแสดงหน้าคนอื่นให้เห็น อีกอย่างก็คือหมายจะให้เขาตกใจแล้วก็ไปให้พ้น จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับการหากินของเขา

ถาม : เขาครอบงำจิต แล้วเจ้าของร่างเขายังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ :
เขาอาศัยแฝงร่างอยู่ตามสายของเขา คนนั้นต้องไปรับช่วงมาจากญาติของเขาเอง ถ้าหาคนแทนไม่ได้เขาจะทรมาน ตายไม่ลงสักที ถ้าหาคนรับช่วงแทนได้ก็ไปได้

อาตมาถามครอบครัวนั้นว่า ตรงนี้เรียกว่าอะไร ? เขาบอกว่า “เมืองเก่าปอมเป” อาตมาก็ไปถามคนอื่นว่าบ้านปอมเปอยู่ตรงไหน ? “เขาบอกว่าเดินไปถึงหน้าตลาด แทนที่เลี้ยวขวาเข้าทองผาภูมิ ก็เลี้ยวซ้ายไปเลย บริเวณนั้นแหละเมืองเก่าปอมเป”


ถาม : อยู่ที่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่ทองผาภูมิ ตอนช่วงเข้าพรรษาทางวัดจะส่งพระไปบิณฑบาตที่ปอมเปเป็นประจำ แต่อาตมาไม่ได้ไปเอง ก็เลยไม่ได้ไปเล็งว่าเป็นบ้านหลังไหน

เถรี 18-09-2012 11:54

ถาม : คนที่เป็นกระสือ กระหัง ไม่ใช่เป็นแต่กำเนิด ?
ตอบ : ไม่ใช่คนที่เป็นแต่กำเนิด เขาต้องไปรับช่วงจิตวิญญาณที่แฝงมา พูดง่าย ๆ ก็คือต้องไปรับอสุรกายพวกนั้นเข้ามา ถ้าเราไม่รับ พวกนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้

ถาม : แล้วจะหมดเมื่อไร ?
ตอบ : ก็จนกว่าดวงจิตจะสิ้นกรรม แล้วเวลาของเขาต่างกับเราเยอะ วันหนึ่งของเขาก็กินเวลาของเราไป ๕๐ ปีแล้ว ถ้าเขาอยู่สัก ๔๐ - ๕๐ ปี ก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนตัวไปกี่ร้อยคนแล้ว

ถาม : แล้วผีปอบเป็นอสุรกายไหมคะ ?
ตอบ : ผีปอบอาการหนักกว่า แต่ก็ประเภทเดียวกับอสุรกายนี่แหละ

เถรี 18-09-2012 12:04

ถาม : อสุรกายมีแบ่งประเภทไหมครับ ?
ตอบ : อสุรกายเป็นภูมิที่ประหลาดมาก มีอสุรกายประเภทที่เป็นเทวดา มีอสุรกายประเภทที่เป็นเปรต อสุรกายประเภทที่เป็นสัตว์นรก จึงกลายเป็นภูมิที่ประหลาดที่สุด

ตอนแรกอาตมาคิดว่าพวกอสุรกายจะเป็นภูมิหนึ่งต่างหาก แต่ไม่ใช่ อสุรกายเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในภูมิอสุรกาย แต่ไม่มีภูมิต่างหากของเขา ต้องไปปะปนอยู่กับภูมิอื่น

อสุรกายประเภทเทวดา อย่างพวกที่โดนมฆมานพกับพรรคพวกจับโยนลงจากดาวดึงส์เพราะเอาแต่เมา พวกนี้ถ้าดอกปาริชาตบานเมื่อไร เขาได้กลิ่นก็จะระลึกถึงความหลังได้ว่า เราเคยอยู่ข้างบน ก็จะยกทัพไปไล่ตีกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายเทวดาจะชนะ ถึงไม่ชนะ ท้ายสุดก็กลับมาชนะใหม่ อย่างที่มีในธรรมบทว่า มาตุลีเทพบุตรขับรถพาพระอินทร์หนีกองทัพอสูร ปรากฏว่ารถของพระอินทร์วิ่งฝ่าเข้าไปในป่าต้นงิ้ว พวกลูกครุฑส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ไปหมด พระอินทร์จึงถามว่าเสียงอะไร มาตุลีบอกว่าเสียงลูกครุฑที่ตกจากรัง เพราะว่าราชรถของพระองค์เบียดต้นงิ้วพังทลาย พระอินทร์ได้ยินแล้วก็สลดใจ ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นกลับรถเถอะ ถ้าเราเอาชีวิตรอดแล้วต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นขนาดนี้ เรายอมกลับไปสู้ตายดีกว่า” มาตุลีเทพบุตรก็ต้องขับรถเลี้ยวกลับ

พอกลับรถมาได้ พวกอสูรเห็นว่าอีกฝ่ายคนเดียวแต่ดาหน้าเข้าหากองทัพทั้งกอง สงสัยว่าพรรคพวกของพระอินทร์จะยกมาช่วยแล้ว จึงรีบหนีไปเลย ทำให้พระอินทร์ที่แพ้อยู่แท้ ๆ กลับเป็นชนะไปได้

เถรี 18-09-2012 12:13

ถาม : อสุรกายเกิดแล้วโตเลยหรือคะ ?
ตอบ : การเกิดของเขาก็คล้ายกับเทวดา เกิดเท่าไรก็อายุเท่านั้น เกิดแล้วโตเลย เป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่ง

ส่วนสัตว์เดรัจฉานมีชลาพุชะ เกิดในมดลูก มีรกหุ้ม อย่างพวกช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ อัณฑชะ เกิดในฟองไข่ อย่างพวกนก เป็ด ไก่ งู เหี้ย ตะกวด จระเข้ ฯลฯ สังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคลหรือของหมักหมมสกปรก อย่างพวกหมู่หนอน พยาธิ เห็บ หมัด เล็น ไร ฯลฯ โอปปาติกะ อย่างพวกครุฑ นาค ฯลฯ

พวกอสุรกายที่เป็นเปรต อย่างพวกกาลกัญจิกสุรกายจะอยู่ในเขตของเปรต พวกอสุรกายจำพวกสัตว์นรกจะอยู่ในโลกันตนรกทั้งหมด พวกนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าเจอใคร แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกมาเจอใคร กลายเป็นอสุระ แปลว่าไม่กล้า อสุรกาย คือ ผู้มีกายอันไม่กล้า เพราะว่าออกมาไม่ได้

เพราะฉะนั้น..อสุรกายเป็นภูมิที่แปลกมาก ไม่มีที่อยู่เฉพาะของตน จะอยู่ปน ๆ กับภูมิอื่น พวกที่ปนอยู่ในมนุษย์ก็มี อย่างพวกกระสือ กระหัง ปอบ ฯลฯ เป็นต้น

เถรี 18-09-2012 12:40

ถาม : พวกนี้จะต้องรับโทษ ?
ตอบ : เขารับโทษหนักมาแล้ว อันนี้เป็นเศษกรรม แต่ถ้าเป็นพวกนิรยอสุรานั้น โทษหนักระดับ ๔ เท่าของอเวจีเลย ยังไม่ได้ยินว่ามีใครทำได้ขนาดนั้น ยกเว้นในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันกฤต ก็คือฝ่ายมหายาน

เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ของเถรวาทว่า เกิดจากความไม่เสมอกันของศีล เขาใช้คำว่าสีลสามัญญตา ก็คือภิกษุชาววัชชีอนุโลมศีลไป ๑๐ ข้อ ทำให้ท่านที่เคร่งครัดรับไม่ได้ ศีล ๑๐ ข้อ ก็คือ ภิกษุรับเงินและทองได้ เมื่อเอาเกลือมาผสมอาหารแล้วยังฉันเป็นยาวกาลิกได้ แต่ความจริงถ้าเอามาผสมกันแล้ว เขานับของที่อายุน้อยที่สุดก็ต้องเป็นอาหาร พอหมดหลังเที่ยงแล้วต้องประเคนใหม่ เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงต้องทำสังคายนาพระธรรมวินัย

แต่ฝ่ายมหายานที่เขาบันทึกเป็นภาษาสันกฤต เขาบอกว่า การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ เกิดจากมติพระมหาเทวะ ๕ ประการ ตามประวัติพระมหาเทวะเป็นลูกพ่อค้า พ่อไปค้าขายต่างเมืองหลาย ๆ เดือนหรือเป็นปีกว่าจะกลับมา มหาเทวะโตเป็นหนุ่มขึ้นมาจึงเป็นชู้กับแม่ตัวเอง เมื่อพ่อกลับมา มหาเทวะกลัวพ่อจะรู้ก็เลยฆ่าพ่อ เป็นอนันตริยกรรมข้อที่ ๑

พอฆ่าพ่อแล้วจึงพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น ไปเจอพระอรหันต์ที่เคยอยู่เมืองเดียวกับตัวเอง ท่านธุดงค์ไปที่นั่น มหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะเปิดโปงเรื่องของตัวเอง จึงฆ่าพระอรหันต์อีก คราวนี้ทำกรรมใหญ่ ๒ เรื่องติด ๆ กัน แม่คงจะด่าว่า ทำให้มหาเทวะโกรธก็เลยฆ่าแม่ด้วย พอทำกรรมหนัก ๓ อย่าง ตัวเองคงจะเครียดมาก จึงตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุ

เถรี 18-09-2012 12:52

แต่ท่านเป็นคนเก่ง บวชเข้าไปไม่นานก็ศึกษาจนจบพระไตรปิฎก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณจบประโยค ๙ พอมีลูกศิษย์มาก คนเชื่อถือเคารพมาก ท่านก็เกิดวิปลาสคือความเห็นผิดขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์มรรคผลคนอื่น ลูกศิษย์ก็สงสัยไปถามพระอาจารย์ว่า "พระอาจารย์บอกว่าผมได้มรรคผลแล้ว ทำไมมีหัวข้อธรรมบางอย่างที่ผมยังขบคิดไม่เข้าใจ ?"

พระมหาเทวะบอกว่า พระอรหันต์ก็ยังมีอัญญาณ ก็คือสิ่งที่ไม่รู้ ลูกศิษย์บอกว่า "ถึงแม้จะมีสิ่งที่ไม่รู้ได้ แต่การบรรลุธรรมเป็นปัจจัตตังไม่ใช่หรือ ? ผมก็ควรรู้สิว่าผมบรรลุแล้ว" พระมหาเทวะก็เอ่ยถึงมติข้อที่ ๒ ว่า "พระอรหันต์ต้องมีอาจารย์พยากรณ์ให้ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์"

คราวนี้ตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พอถึงเวลาไปเที่ยวพยากรณ์คนอื่นเขา เขาก็คิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย ปรากฏว่าวันหนึ่ง พระมหาเทวะนอนแล้วฝันเปียก ลูกศิษย์เอาผ้าสบงไปซัก เห็นเข้าก็สงสัยว่า "พระอาจารย์ยังฝันเปียกอยู่เลย จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" พระมหาเทวะบอกว่า “พระอรหันต์ก็อาจจะโดนมารยั่วในความฝันได้” เป็นมติที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย

พอโดนลูกศิษย์จี้หนักเข้า ท่านก็เครียด ท่านก็แอบไปบ่นว่า “อะโห ทุกขัง" ลูกศิษย์ดันได้ยินอีก จึงถามพระอาจารย์ว่า "เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์หรือ ?" ลูกศิษย์นี่สุดยอดจริง ๆ เลย พระมหาเทวะบอกว่า "บุคคลจะบรรลุอรหันต์ได้ต้องภาวนาว่า “อะโห..ทุกขัง” แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ อีก

เถรี 18-09-2012 13:09

กลายเป็นว่าทำให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเสื่อมลง เพราะว่าไปใช้มติที่เป็นอัตโนมติ ก็คือมติส่วนตัวหลายประการเข้ามาปนกับพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เท่ากับไปทำลายพระธรรมอีก

เพราะฉะนั้น..โอกาสที่จะลงโลกันต์ของท่านมีแน่นอน แต่คราวนี้คัมภีร์ทางเถรวาทไม่มีบันทึกไว้ ทางสันกฤตเขาบันทึกไว้ สาเหตุเรื่องการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ก็เลยแตกเป็น ๒ ฝ่าย ที่แน่นอนก็คือการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๑๐๐ มีแน่ แต่สาเหตุที่สังคายนา เถรวาทกับมหายานกล่าวไม่ตรงกัน

ฉะนั้น..ถ้าพูดถึงนิรยอสุราหรืออสุรกายประเภทสัตว์นรกที่อยู่ในอเวจีมหานรก ไม่ใช่ว่าจะไปได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องที่ไปยากเย็นเข็ญใจที่สุดเลย ต้องสร้างกรรมอย่างน้อย ๔ เท่าของอเวจีถึงจะลงไปได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปกันเยอะแยะ ต้องถือว่าเป็นความสามารถพิเศษที่เลียนแบบไม่ได้


ถาม : สร้างกรรมยากกว่าจะลงได้ ?
ตอบ : เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาตั้งใจไปดู เพราะยังไม่เคยลง ที่ไม่เคยลงไม่ใช่ชั่วไม่พอ..ชั่วเกินพอแต่ลงไม่ได้ เพราะว่าเคยปรารถนาพระโพธิญาณอยู่ กติกาของพุทธภูมิเขาห้ามเป็นอรูปพรหมกับห้ามลงโลกันต์ เพราะเวลายาวนานเกินไป เสียเวลาในการสร้างบารมี เพราะฉะนั้น..คุณชั่วขนาดไหนเขาก็เอาไปเผาในอเวจีแทน

เถรี 19-09-2012 19:48

ถาม : พวกผีกระสือกระหัง เขาทำร้ายคนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาอดก็คงจะกินแหละ อาตมายังจะโดนจับกินเลย พอก้าวข้ามไปพวกเขากรูกันมาทั้งบ้านเลย แต่เขาก็มีกติกาเหมือนกับยักษ์ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ใครเข้าไปใต้ต้นไทรให้จับกินได้ ถ้าไม่ใช่วาระกรรมมาถึงจริง ๆ ก็คงไม่มีใครหลงเข้าไปตรงนั้นหรอก เขาก็ต้องนั่งรอไป หรือไม่ก็หลอกให้เข้าไป ปลอมเป็นสาวสวย ๆ นั่งอยู่ เดี๋ยวหนุ่ม ๆ ก็เข้าไปให้กินเอง

เราต้องนึกถึงว่าต้นไทร ต่อให้เป็นไทรในความทิพย์ปริมณฑลก็เพียงโยชน์เดียว เท่ากับว่าเขตหากินของเขาไม่ได้กว้างเลย ถ้าไม่ได้เข้าไปในร่มเงานั้นก็จับกินไม่ได้ด้วย แล้วตัวเองจะไปหากินได้อย่างไร ก็นั่งไส้กิ่วรอไปจนกว่าจะมีอะไรหลงมาสักตัวหนึ่ง

ถาม : ฝรั่งเขาจะเจอพวกผีไหมครับ ?
ตอบ : ทำไมจะไม่เจอ เขาโดนหลอกขนาดบันทึกหนังสือมาเป็นเล่ม ๆ ไปหาอ่านบ้างสิ จนกระทั่งทุกวันนี้บางแห่งก็ยังหลอกกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่เลย สมัยก่อนมีหนังสืออยู่ฉบับหนึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนชื่อโลกลี้ลับ เป็นหนังสือที่ดีมาก เพราะเขาบันทึกเรื่องพวกนี้เอาไว้ จะเป็นเรื่องของจานบิน มนุษย์ต่างดาว สัตว์แปลก ๆ เรื่องผีหลอกตามสารพัดมุมโลก ออกได้ไม่กี่ฉบับก็เลิกไป

ถาม : ฝรั่งเขาเห็นแบบเราหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาก็เห็นแบบเรานี่แหละ เห็นเป็นตัว ๆ เลย อาตมายังเก็บภาพพวกนี้เอาไว้ ที่เขาบอกว่าสุดยอดภาพผีของโลก เขาถ่ายรูปแล้วภาพติดชัด ๆ แต่ก็ยังเห็นของข้างหลังอยู่ด้วย เขาถึงได้รู้ว่าเป็นผี

ถาม : เวลาเราได้ยินเสียงหรือเห็นภาพราง ๆ จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นผีหรือเทวดา ?
ตอบ : พวกเราพอเสียงอะไรดังก็อกแก็กขึ้นมา ตั้งแต่สัมภเวสียันพระบนนิพพานเราก็เหมาว่าเป็นผีหมด ฉะนั้น..วิธีที่สุดก็คือถามเขา แบบเดียวกับที่อาตมาถาม เวลาไปบิณฑบาตแล้วไปเจอเขา ก็บอกว่า “หยุดใส่บาตรก่อน อย่าเพิ่งใส่..คุยกันก่อนซิว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ?” ฉะนั้น..เราต้องถามเขา สงสัยแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป

เถรี 19-09-2012 20:08

ถาม : กำลังซ่อมบ้าน ช่างแนะนำให้ที่บ้านตัดริดต้นไทรบ้านร้างข้างบ้าน เพราะรกและพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขออาศัยอยู่ คนงานปีนขึ้นไปจะตัดก็รีบกรูหนีกันออกมา บอกว่าเห็นเงาคนเดินออกมาจากต้นไม้ เราค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นเทวดา ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : จุดธูปขอขมาเขา แล้วขออนุญาตตัด อาจจะเจอเหตุการณ์แบบที่อาตมาเจอที่วัดท่าซุง ตรงโรงครัววัด ข้างทางเดินลงท่าน้ำเก่า มีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่งโตขนาด ๓ - ๔ โอบแล้ว กิ่งที่ยื่นออกไปมีน้ำหนักมาก ทับสายไฟจนสายไฟตึงจวนจะขาดอยู่แล้ว

อาตมาคิดว่า "ขืนปล่อยไว้แบบนี้สายไฟขาดแน่" จึงจุดธูปบอกกล่าว ขออนุญาตพ่อปู่แม่ย่าที่อาศัยอยู่ตรงนี้ ขอตัดกิ่งนั้นกิ่งหนึ่ง ว่าแล้วก็เหน็บมีดตะกายขึ้นไป แถมขู่เทวดาเสียด้วยว่า "อย่าให้ตกนะ ถ้าตกจะฟ้องหลวงพ่อด้วย..!"

ขึ้นไปถึงก็จัดแจงตัดทางปลายทิ้งก่อน เพราะว่าพวกกิ่งเล็กตัดง่าย เสร็จแล้วก็มานั่งที่โคนแล้วก็สับไป ๆ จนขาด แต่กิ่งไม่หล่น อาตมาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะกิ่งข้างนั้นยังติดสายไฟอยู่ จึงค่อย ๆ ดันไปเรื่อย พ้นสายไฟแล้วก็ยังไม่หล่น ดันจนกระทั่งพ้นหลังคาหอฉันเก่า จึงร่วงตึงสนั่นเลย..!

วันนั้นน่าจะมีคนถ่ายรูปไว้ เห็น ๆ กับตาเลย อาตมาแค่ขู่เทวดาว่าถ้าตกจะฟ้องหลวงพ่อ หมายถึงตัวเองตก นี่ขนาดกิ่งไม้
ยังไม่ยอมให้ตกเลย ไปเจอเด็กปากหมาอย่างอาตมาขู่เข้า ท่านคงมายืนค้ำกันอุตลุต

ถาม : ตัดต้นไม้ กิ่งไม้ ไม่ผิดพระวินัยหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่ตัดโทษจะหนักกว่านั้น ถ้าอาตมาเองจะถือหลักนิติศาสตร์ว่า ผิดพระวินัย..กูไม่ตัด..ปล่อยวัดรกเป็นป่า แล้วใครจะเข้าวัดล่ะ ? แต่ถ้าเราทำความสะอาดวัด ถากถางดิบดี คนเห็นว่าวัดวาอารามสะอาดสะอ้าน เขาก็เข้าวัดมาทำบุญ

ทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามแล้วไม่ผิด..ไม่มีหรอก แต่ในเมื่อทำแล้วมีสิ่งที่เป็นกุศลมีมากกว่า พวกหน้าด้านอย่างอาตมากล้าลงทุนกันทุกคน
พวกประเภทที่มีข้ออ้างเยอะแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้วัดรกไปหมด ต้นโพธิ์ขึ้นเต็มโบสถ์ยังไม่ยอมถอน..อย่างนั้นก็เจริญ..!

สมัยที่อยู่วัดท่าซุงถึงได้หัวเราะกัน เพราะบางทีที่ต้องเอารถไถไปไถในป่าร้อยไร่ราบไปเป็นไร่ ๆ เลย ไม่อย่างนั้นแล้วป่ารกมาก พวกงูเหลือมตัวโต ๆ นอนเป็นขอนไม้เลย แล้วมาปลงอาบัติแซวกันเล่น “พวกเรานี่..ถ้าพรากของเขียวไม่ถึงไร่..ไม่โดนอาบัติหรอก..!” เอามาล้อเล่นกันแก้เครียดเท่านั้น

เถรี 19-09-2012 20:18

ถาม : มนุษย์ต่างดาวที่ฝรั่งจับได้นี่เป็นพวก.....หรือเปล่า ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงโลกต่าง ๆ จักรวาลต่าง ๆ ไว้ชัดเจนมาก ท่านกล่าวว่าจักรวาลขนาดเล็กมี ๑,๐๐๐ โลกธาตุ จักรวาลขนาดกลางมี ๑๐๐,๐๐๐ โลกธาตุ จักรวาลขนาดใหญ่มีโลกธาตุประมาณไม่ได้ คำว่าประมาณไม่ได้ คือคนทั่วไปนับไม่ไหว พวกฝรั่งเพิ่งจะไปศึกษาว่ากาแล็กซี่นั้นมีกี่ดวงดาว กาแล็กซี่นี้มีกี่ดวงดาว ให้เขานับจนตาเหล่ไปเถอะ..!

พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ละเอียดหมด ท่านบอกไว้ถึงระดับปรมาณู พวกเราตอนนี้เพิ่งจะมาค้นคว้าถึงกัน พระองค์ท่านบอกว่า

๑ รถเรณู เท่ากับ ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เท่ากับ ๓๖ อณู
๑ อณู เท่ากับ ๓๖ ปรมาณู

เห็นอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านไหม ? ท่านบอกในสิ่งที่สมัยนั้นไม่มีเครื่องมือมาตรวจวัดเลย

สมัยนี้ก็เพิ่งจะยอมรับว่าอนุภาคมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดก็ไปลงหลักธรรมของพระพุทธเจ้าคือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง เขาคิดว่าพอเข้าไปถึงแกนกลางของอนุภาค จะเจอพลังงานใดที่เสถียรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่จริง ท้ายสุดเขาก็เห็นว่าเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา

ไอน์สไตน์ถึงได้เป็นคนแรกที่ยอมรับว่า ถ้ามีศาสนาสักศาสนาหนึ่งที่เป็นสากล และตัวเขาจะยอมรับได้ ก็เห็นมีแต่พระพุทธศาสนา คุณหมอสม สุจิรา ท่านถึงได้เขียนหนังสือเรื่องไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ไอน์สไตน์พบอะไร พระพุทธเจ้าเห็นมาแล้วทั้งนั้น

เถรี 19-09-2012 20:26

ถาม : พระบรมรูปรัชกาลต่าง ๆ ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านสร้างไว้เพื่ออะไรครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านทำไว้ เพื่อที่วันสำคัญของทางราชการ จะได้เจริญพุทธมนต์อุทิศส่วนกุศลถวายไปให้ อย่างเช่นรัชกาลที่ ๖ ก็จะมีวันลูกเสือโลก

ช่วงนั้นจะเป็นงานเดียวที่อาตมาได้นั่งเหนือหลวงปู่หลวงตาที่พรรษามากกว่า ๒๐ - ๓๐ พรรษา เพราะว่าอาตมามีพัดยศ งานหลวงท่านนั่งตามลำดับพัดยศ ไม่นั่งตามลำดับพรรษา ฉะนั้น..ใครยศใหญ่กว่าต้องนั่งหน้า อาตมาต้องนั่งติดกับหลวงตาเจริญที่อาวุโสที่สุดในวัด หลวงตาเจริญต้องนั่งถัดจากอาตมาไป เพราะท่านไม่มีพัดยศ

เถรี 19-09-2012 20:31

ช่วงนั้นจะมีเงินเดือนด้วย เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฐานานุกรม แล้วท่านตั้งเงินเดือนให้ด้วย ความจริงเขาจะมีเงินเดือนเฉพาะพระครูสัญญาบัตรขึ้นไป ถ้าเป็นพระครูฐานานุกรมที่จะได้เงินเดือน ต้องเป็นพระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรมขึ้นไป หรือไม่ก็ต้องเป็นมหาเปรียญ ๙ ประโยค แต่พวกเราหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งเงินเดือนให้ ๒๖๐ บาท เทียบเท่าพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

ตอนนั้นอย่าคิดว่าน้อยนะ หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าคุณสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ต้องนั่งหน้าเจ้าคุณสามัญฝ่ายคันถธุระทั้งหมด เพราะพัดวิปัสสนาธุระนี่ใหญ่กว่า เงินเดือนหลวงพ่อได้เดือนละ ๔๔๐ บาท ส่วนเราได้ ๒๖๐ บาทเกินครึ่งของท่านเลย

ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาสมัยคุณทักษิณนี่แหละ ที่ปรับเงินเดือนขึ้นให้ แต่ว่าคุณทักษิณหลุดออกจากตำแหน่งเสียก่อน พระก็เลยได้เงินเดือนน้อย

ตอนนี้อาตมาไม่มีเงินเดือนตำแหน่งเจ้าอาวาส เพราะว่าเขาให้เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาทแทน เขาให้รับตำแหน่งเดียว ให้เลือกเอาว่าจะเอาอย่างไหน ระหว่าง ๑,๕๐๐ ของเจ้าอาวาส กับ ๒,๕๐๐ บาทของพระครูสัญญาบัตร

ถาม : การถวายปัจจัยพระแบบนี้..?
ตอบ : เขาเรียกว่านิตยภัต ในหลวงเป็นองค์ถวาย

เถรี 19-09-2012 21:00

ถาม : มนุษย์ต่างดาวมาที่โลกเรา ?
ตอบ : เขามาตั้งนานเนกาเลแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมาอยู่ เมื่อวานอาตมาเพิ่งจะคุยกันว่าฝรั่งไปดาวอังคาร ถ่ายรูปรองเท้ามา เขายังสงสัยจนทุกวันนี้ว่าใครไปถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่ดาวอังคาร ?

ก้อนหินที่ยานอพอลโล่ ๑๑ เอามาจากดวงจันทร์ มีรูปหล่อโลหะ เป็นรูปมนุษย์มีปีก จนทุกวันนี้เขายังหาโลหะชนิดนั้นในโลกเราไม่ได้ จะว่าใครในโลกนี้จะเล่นตลก เอาไปโยนทิ้งไว้ให้คนอื่นหา..ก็ไม่ใช่หรอก อย่างพวกเราก็ใช้วิธีอวตาร ถอดจิตไป แต่เรื่องอวตารนี่ถอดจิตไปใส่คนอื่น เสียดายบวชมาแล้วไม่ได้ดูหนังดี ๆ เยอะเลย

เถรี 19-09-2012 21:02

ถาม : การถอดจิต คือ การอวตารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...อวตารเป็นชื่อหนังวิทยาศาสตร์ เขาถอดจิตไปช่วยมนุษย์ต่างดาว

ความจริงการอวตารเป็นความเชื่อของทางฮินดู ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจิตหนึ่งก็คือกายหนึ่ง ถ้าจะลงไปเกิดก็ต้องเอาไปทั้งหมดเลย ไม่ใช่ประเภทจิตอยู่ข้างบน แล้วอีกตัวหนึ่งไปอยู่ข้างล่าง แบ่งภาคกันไปอย่างนั้น นั่นเป็นความเชื่อ..ไม่ใช่ความจริง


อวตารอย่างแท้จริงก็เห็นจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น เราพบพระองค์ท่านที่อื่น นั่นคือฉัพพรรณรังสีที่พระท่านเปล่งไป เหมือนไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เป็นเนื้อเป็นหนังให้จับได้ต้องได้ ไม่แน่ใจก็คลำดูได้ แต่ถ้าจะเอาพระองค์จริงก็อยู่ที่พระนิพพานนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะฉะนั้น..ถ้าว่ากันตามหลักอวตารจริง ๆ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องพระระดับพระจุลปันถกะ ใช้มโนมยิทธิถอดกายในมาเหมือนตัวเองทุกประการ ๑,๐๐๐ ร่าง ทำงานต่าง ๆ กันไป


ตอนแรกสาวใช้ของนางวิสาขาไปหาพระจุลปันถกะไม่เจอ เพราะว่ามีแต่พระเต็มลานวัด ถามว่าองค์ไหนพระจุลปันถกะ ทุกองค์ก็บอกว่าพระจุลปันถกะทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ไปตะโกนเรียกว่ารูปไหนคือพระจุลปันถกะ พระรูปไหนขานก่อนให้จับมือรูปนั้นไว้ พอสาวใช้วิ่งไปถามใหม่ รูปที่กวาดลานวัดอยู่บอกว่า “ข้าพเจ้าเอง” จึงคว้ามือเอาไว้ รูปอื่นก็หายไปหมด ตอนที่ไม่หายก็เป็นกายเนื้อเหมือนคนทั่ว ๆ ไปนี่เอง ทำงานได้ทุกอย่างเหมือนตัวจริงเลย


พระจุลปันถกะจึงได้เป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิ สามารถถอดกายในออกมาเหมือนตัวเองทุกประการได้ ๑,๐๐๐ ร่างพร้อม ๆ กัน พวกเราเองร่างเดียวยังคุมยากเลย

เถรี 19-09-2012 21:12

ถาม : จิตไม่ได้อยู่ที่ร่างหรือคะ ?
ตอบ : ใช้อำนาจอภิญญาบังคับให้ทำงานได้ แต่สภาพจิตยังอยู่กับร่างเดิม เพราะฉะนั้น..เวลาเรียกก็จะขานเหมือนกัน แต่ร่างอื่นจะขานช้ากว่าหน่อยหนึ่ง ต้องคนช่างสังเกตถึงจะรู้

ถาม : มโนมยิทธิเป็นฤทธิ์จากกสิณ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจัดอยู่ในวิกุพพนาฤทธิ์อยู่แล้ว แต่ว่าไม่ใช่ฤทธิ์จากกสิณ ถ้าฤทธิ์จากกสิณจะใช้อำนาจจากภูตกสิณบันดาลให้เป็น อย่างพวกดิน น้ำ ไฟ ลม สมัยนั้นเขาใช้กันเป็นปกติ ได้กันเยอะ แต่อำนาจของใจก็มีแต่พระจุลปันถกะที่ทำได้โดดเด่นที่สุด ท่านก็เลยได้เป็นเอตทัคคะ ก็คือยอดเยี่ยมกว่าผู้อื่น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เรียกมโนมยิทธิว่าอภิญญาเล็ก เพราะจัดอยู่ในส่วนของอภิญญาเหมือนกัน แต่อยู่ในหมวดมโนมยิทธิ มโน
มัย + อิทธิ = ฤทธิ์ที่เกิดจากใจ หรือฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ

เถรี 20-09-2012 21:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไทยทุกคนต้องมีสำนึกความเป็นไทย ถึงจะรักษาเอาไว้ได้ เราลองไปดูประเทศเกาหลี ถึงแม้ว่าคนเกาหลีจะรับสิ่งที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือวัฒนธรรมต่างชาติมาอย่างไร เขาก็ยังคงวัฒนธรรมเกาหลีอยู่ และเข้มแข็งมากถึงขนาดส่งออกได้ด้วย ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวไปประเทศเกาหลี ส่วนหนึ่งก็เพื่อดูวัฒนธรรมเกาหลีที่เกิดจากหนังที่เขาส่งไปฉายทั่วโลก

หรือไม่เราลองไปดูประเทศลาวที่ใกล้บ้านเรา ตอนนี้ฝรั่งเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เขารักษาบ้านรักษาเมือง รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ได้ ปฏิทินโฆษณาเบียร์ลาวไม่มีภาพวับ ๆ แวม ๆ แบบบ้านเราหรอก ใส่ชุดอย่างกับบ้านเราจะไปวัดกัน ฉะนั้น..เห็นวัฒนธรรมของเขาแล้ว ทำให้รู้ว่าบ้านเรารับมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ

ตอนนั้นอาตมาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นน้องป๊อบ อารียาเขียน เขาไปเที่ยวเกาะสมุยแล้วเห็นแต่ป้ายภาษาอังกฤษใหญ่ ๆ โต ๆ แทบไม่มีป้ายภาษาไทยเลย เขาบอกว่า “บุคคลที่ขาดความภูมิใจในภาษาพ่อภาษาแม่ของตัวเอง จะมีอาการอย่างนี้แหละ” ฝรั่งเขามาเมืองไทยเพราะเขาต้องการเห็นอะไรที่เป็นไทย ๆ เขาไม่ได้ต้องการเห็นความเจริญแบบต่างชาติ เพราะเขาหนีความเจริญมา แต่พวกเราดันไปเห่อต่างชาติ แล้วขนเอาความเจริญไปประเคนให้เขา แทนที่เขาจะชอบก็มีแต่จะเผ่นไปที่อื่นเท่านั้น"

เถรี 20-09-2012 21:22

"ต้องบอกว่าพวกเราขาดจิตสำนึกในความเป็นไทย ก็คือไม่ได้รับการวางรากฐานมาให้ชื่นชมในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แบบที่เขาพูดง่าย ๆ หยาบ ๆ ว่า "เห็นฝรั่งเป็นพ่อ" ในเมื่อเห็นฝรั่งเป็นพ่อ อะไร ๆ ก็ต้องทำเพื่อเอาใจฝรั่ง หารู้ไม่ว่าฝรั่งเขามาเพื่อที่จะมาดูความเป็นไทยของเรา

อาตมามีลูกศิษย์อยู่ที่ภูเก็ต เขาทำโรงแรมอยู่ ๒ - ๓ แห่ง มีอยู่ที่หนึ่งมีห้องอยู่แค่ ๒๐ ห้อง แต่เป็นเรือนไทย มีสระน้ำเล็ก ๆ และก็มีสวนที่ค่อนข้างจะร่มเย็น ฝรั่งเช่าเต็มทั้งปีทั้งชาติเลย บางคนมาอยู่เป็นเดือน เขามาปรึกษาว่าจะสร้างใหม่เป็นอาคารสัก ๑๒๐ ห้องดีไหม ? อาตมาบอกว่า "ไม่ต้อง..เอาแค่ ๒๐ ห้องนี่แหละ บริหารให้ดีเอาไว้เป็นตัวเรียกแขก ถ้าใครเขาต้องการที่พักประเภททันสมัย คุณก็ส่งไปอีกโรงแรมหนึ่ง" เขามาเพราะเขาต้องการธรรมชาติ คุณดันไปเอาคอนกรีตให้เขาแล้วใครจะมาอีก

นายกเทศมนตรีนี่เอาใจฝรั่งสุด ๆ เลย พอเข้าป่าตองรถจะต้องวิ่งชิดขวาทุกคัน ถ้าคนขับไม่ชินจะชนคันอื่นเขา อาตมาต้องคอยเตือนสติคนขับว่า “ให้นึกว่าเรากำลังแซง” ไม่อย่างนั้นเผลอเข้าซ้ายไปก็ชนกับรถที่สวนมา"

เถรี 20-09-2012 21:28

"สาเหตุที่น้องป๊อบรับราชการทหารต่อไม่ได้เพราะเขามีความคิดแบบอเมริกัน มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ท้ายสุดก็ต้องลาออก ขึ้นไปเป็นรองโฆษกกองทัพ ซึ่งความจริงตำแหน่งอย่างนี้เป็นตำแหน่งของพันเอกหรือพลตรี ตัวเองแค่ร้อยโทแต่ขึ้นไปถึงระดับนั้น

แต่พอถึงเวลางานนอก งานการกุศลอะไรเธอไม่รับ เลิกงานแล้วผู้บังคับบัญชาสั่งไม่ได้ ก็เลยทำให้ไปไม่รอด ธรรมเนียมไทยต่อให้เป็นเวลานอน ถ้าเป็นความต้องการของผู้บังคับบัญชา ก็ต้องลุกมาทำงานก่อน"


ถาม : คนไทยไม่ค่อยสนับสนุนผู้หญิงขึ้นตำแหน่งสูง
ตอบ : กว่าที่บ้านเราจะมีนายพลเป็นผู้หญิงก็ต้องต่อสู้กันมาตลอด เพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเต็มที่ก็แค่พันเอกพิเศษ อย่างสมเด็จย่าก็ติดยศพันเอกพิเศษจนกระทั่งสวรรคต แล้ว ตชด.ถวายตำแหน่งพลตำรวจเอกให้ เพิ่งจะมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ขึ้นเป็นนายพลได้ ก็เลยเป็นอานิสงส์ให้ท่านอื่น ๆ ได้ตามไปด้วย

ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบายที่ดีเยี่ยม พระองค์ท่านไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนให้โรงเรียนนายร้อย จปร. เท่ากับว่าบรรดานายพันนายพลรุ่นหลัง ๆ เป็นลูกศิษย์ของพระองค์ท่านหมด ลูกศิษย์ไม่สนับสนุนอาจารย์แล้วจะไปสนับสนุนใคร ?

เถรี 20-09-2012 21:40

ถาม : ตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่จำเป็นไหม ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? จำเป็นจ้ะ แต่ถ้าเป็นหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่จะมีศาลรวมอยู่แล้ว เราไปไหว้บูชาท่านตรงนั้นก็ได้

ถาม : ถ้าเป็นอาคารพาณิชย์ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาคารพาณิชย์ก็ตั้งศาลที่ดาดฟ้า หรือไม่ก็ที่ระเบียงเลย เพราะว่าที่ ๆ เหมาะสมกว่านั้นคงไม่มี การตั้งศาลเป็นการแสดงซึ่งความเคารพของเรา ถ้าเราทำด้วยตัวเองได้จะดี โดยเฉพาะบางแห่งซึ่งน้อยที่นัก จะมีเจ้าที่เป็นอากาศเทวดา

อากาศเทวดาท่านจะสงเคราะห์แค่ ๒ ปี ถ้าเรายังไม่ตั้งศาลแสดงซึ่งการยอมรับ ท่านก็จะปล่อยเรา ถึงเวลาก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเราตั้งศาลแสดงซึ่งการยอมรับท่าน เวลามีอะไรที่ไม่ดีมา ท่านก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้


ถาม : ตั้งสี่เสาหรือคะ ?
ตอบ : ตั้งเสาเดียวก็พอจ้ะ สี่เสานั้นเป็นอากาศเทวดา ถ้าเรารู้ว่าท่านอยู่ตรงนั้นจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง ถ้าไม่รู้ก็เอาเสาเดียวเป็นหลักไว้ก่อน อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าเราแสดงซึ่งความเคารพท่าน

ถาม : วันเวลาตั้งศาล ?
ตอบ : เวลาตั้งศาลส่วนใหญ่เขาใช้วันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้น และเดือนสิบสองไปเลย เดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบ ซึ่งอยู่ในช่วงพรรษาเขาไม่นิยมตั้งศาลกัน ฤกษ์ตั้งศาลกับฤกษ์ลงเสาเอกเกือบจะเหมือนกัน ยกเว้นฤกษ์ลงเสาเอกซึ่งใช้วันศุกร์ แต่ก็เป็นข้างขึ้นเดือนคู่เหมือนกัน

เสาเอกบ้านวิริยบารมีบรรจุวัตถุมงคลไว้เพียบเลย อาตมาสละเสือสาลิกาหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยไป ๑ ตัว พระรอดลำพูน เนื้อดำ ๑ องค์ เห็นมีคุณพีระเอาเสือหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน ใส่ลงไปอีกตัวหนึ่ง นอกนั้นอะไรบ้างก็ไม่รู้ มะรุมมะตุ้มใส่กัน สรุปว่าชุดพระเบญจภาคีของอาตมา ปัจจุบันนี้ขาดพระรอดไปองค์หนึ่ง เพราะไปอยู่ในเสาเอกเสียแล้ว

เถรี 20-09-2012 21:55

ถาม : ถ้ามีคนมานินทาเรา เรารู้แล้วไปนินทาเขากลับ อย่างนี้ถือเป็นการแก้แค้นไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เจตนา ถ้าเราคิดเพื่อการสร้างสรรค์จริง ๆ ก็ไม่เป็นการแก้แค้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ในเมื่อฉันใจกว้างพอที่จะฟังคำวิจารณ์ของคุณ คุณก็ต้องใจกว้างพอที่จะฟังคำวิจารณ์ของฉันด้วย ถ้าหากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไป ตามที่เขาบอกว่าไม่ดีแล้วเราแก้ไขให้เป็นดี ก็เท่ากับว่าเราสร้างความเจริญให้กับตัวเอง เขาก็สร้างความเจริญให้กับตัวของเขาเอง

แต่ถ้าเราวิจารณ์เพราะตั้งใจว่า “มึงว่ากู..กูต้องเอาคืน” อย่างนั้นก็เป็นการแก้แค้นแน่ ๆ

เถรี 21-09-2012 21:44

ถาม : ร่างกายคือตัวทำลายความอร่อย ความหิว พอเอาเข้าปากก็ไม่ได้อยากอีก ?
ตอบ : ในบทสวดชื่อธาตุปฏิกูลปัจเวกขณะ ที่ว่า "ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง.." ความจริงแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มิได้มีความสกปรก สักแต่ว่าเป็นธาตุเท่านั้น แต่เมื่อได้สัมผัสกับร่างกายนี้จึงกลายเป็นของสกปรก อันนี้อยู่ในลักษณะพิจารณาให้เห็นความจริง

ถาม : ทำไมจากของที่ไม่ได้สกปรก แต่พอไปสัมผัสกับร่างกายจึงกลายเป็นของสกปรกคะ ช่วยขยายความด้วยค่ะ ?
ตอบ : ทำไมต้องไปขยายความ ? ไม่ซักผ้าสัก ๓ วันก็รู้เอง เวลาซักผ้าสะอาดแล้วก็สะอาดเลยใช่ไหม ? ที่ผ้ามาสกปรกใหม่เพราะเราเอามาใส่ ท่านให้พิจารณาทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นปกติก็เป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น แต่พอมาสัมผัสกับร่างกายของเราแล้ว เราก็ไปรังเกียจว่าสกปรก

เถรี 22-09-2012 13:39

พระอาจารย์เล่าว่า "การปล่อยชีวิตสัตว์ที่พวกเราทำกันประจำทุกเดือน ส่วนใหญ่แม่ค้าเขาคอยถามว่า "ครั้งหน้าจะมาเมื่อไร ?" ถ้าบอกไปเขาก็จะเตรียมไว้ให้ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของเรา วัตถุประสงค์ของเราคือต้องการจะช่วยชีวิตเขา ถ้าเขาเตรียมไว้ให้ก็จะเป็นการสร้างความลำบากให้กับสัตว์โดยใช่เหตุ แล้วที่เขาเตรียมไว้ไม่ได้แปลว่าเขาขายเพื่อให้ฆ่า เขาเตรียมไว้เพื่อให้เราปล่อย เราจะไม่ได้อานิสงส์ในการต่อชีวิต จะได้แค่เมตตาบารมีเฉย ๆ

รู้สึกว่าจะเป็นเมตตากะพร่องกะแพร่งด้วย เพราะเขาอยู่ดี ๆ แล้วไปตีอวนมาให้เขาเดือดร้อน พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ปล่อยปลาที่ไรก็ใช้วิธีนี้แหละ อาตมาบอกท่านว่าให้ไปเหมาในตลาด ท่านว่าในตลาดมีน้อยไป สั่งให้เขาตีอวนมาทีหนึ่ง ๓ - ๔ ตัน ต้องบอกว่าพุทธภูมิก็เป็นแบบนั้นแหละ เอาจำนวนมากไว้ก่อนเพื่อต้องการบริวาร

นึกถึงหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส ปรมาจารย์นักเทศน์ ท่านเป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไปปล่อยปู ท่านบอกกับพวกปูว่า “ไอ้ปูอีปูเอ๊ย..ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ไม่ได้ต้องการพวกเอ็งไปเป็นบริวารหรอก ข้าเห็นพวกเอ็งลำบาก ข้าก็เลยเอาพวกเอ็งมาปล่อย เอ็งไปทางไหนได้ก็ไปตามทางของเอ็ง ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” ถ้าขืนให้ปูไปเกิดตามท่าน ก็คงตามกันไม่หวาดไม่ไหว..เพราะอีกนานเหลือเกิน"

เถรี 22-09-2012 13:52

"หลวงอามหาเวกตั้งใจจะเป็นนักเทศน์แบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปอยู่วัดดาวดึงส์จนกระทั่งมรณภาพ แต่ว่าหลวงปู่พระครูโวฯ ท่านประกาศตนชัดว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขนาดปล่อยปูยังบอกตรง ๆ เลยว่า "ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า..!"

เสียดายพระที่เป็นอัจฉริยะในการเทศน์แบบท่านหายาก สมัยนั้นพระนักเทศน์ทั่วประเทศไทยเป็นลูกศิษย์ของท่านกันหมด ตอนจัดงานศพตัวเอง ท่านบอกว่า “ถ้าข้าตายแล้วไม่ได้เห็น ข้าอยากจะเห็นตอนเป็น ๆ นี่แหละ” ว่าแล้วท่านก็จัดงานศพตัวเอง ลูกศิษย์มาช่วยงานกัน เอาผ้าไตรมาถวายคนละไตร ปัจจัยอีกคนละร้อยบาท เราต้องนึกถึงสมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ราคา ๕ สตางค์ เงินร้อยหนึ่งบาทมีมูลค่าสูงมาก สมัยนี้น่าจะเหมือนกับถวายเงินเป็นแสน

ตอนจัดให้เทศน์ปรากฏว่าจัดไม่ลงตัว เพราะลูกศิษย์ที่มาเป็นนักเทศน์ระดับเซียนของพื้นที่กันทั้งนั้น ก็เลยมีเทศน์ ๕๐๐ ธรรมาสน์ มีครั้งเดียวในประเทศไทยและไม่มีอีกแล้ว ว่ากันคนละประโยคก็หมดไปเป็นวันแล้ว..!"

เถรี 22-09-2012 14:00

"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ความจริงหลวงปู่พระครูโวฯ ท่านรู้ว่าท่านหมดอายุ แต่งานยังมีอยู่ ก็เลยจัดงานศพตัวเองเป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่ เวลาใครถามท่านก็บอกว่า “ข้าตายแล้วไม่ได้เห็น จัดตอนเป็นนี่แหละ จะได้รู้ว่าพวกเอ็งทำอะไรให้ข้าบ้าง”

ท่านเป็นองค์ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังตลก ๆ ว่า พอเสียงหวอขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด หลวงปู่ท่านเผ่นไปนอนอยู่กับชาวบ้านกลางทุ่ง พอเสียงหวอบอกว่าเครื่องบินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านก็กลับขึ้นศาลา หลวงปู่พระครูโวฯ ก็เดินตุ้บตั้บมาพร้อมกับย่าม และคัมภีร์ที่ถือติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านยังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ พอหลวงปู่ขึ้นมาถึงก็ใส่เลย “ตัวเองเป็นพระเป็นเจ้า สอนชาวบ้านเขาให้รู้จักมรณานุสติ จะได้ไม่กลัวความตาย แต่นี่วิ่งก่อนเลย”

หลวงปู่ท่านถามว่า “มึงว่าใครวะ ?” หลวงพ่อท่านก็ว่า “ไอ้คนไหนทำอย่างนั้น ก็ว่าคนนั้นแหละ” หลวงปู่ชี้หน้ามาบอกว่า “ไอ้ที่มึงว่าแสดงว่าไม่รู้นะสิ ว่ามึงน่ะอกตัญญู” ถามว่าอกตัญญูตรงไหน ? ท่านบอกว่า “มึงรู้ไหม กูนี่พระสงฆ์ ไอ้ที่ในมือกูถือนี่นะพระธรรม แล้วที่คอสวมพระเอาไว้ทั้งพวง นี่แหละพระพุทธ กูไปครบพระรัตนตรัย ตามไปคุ้มครองโยม มึงเสือกนั่งอยู่บนศาลา มึงนั่นแหละอกตัญญู” เป็นอาตมาก็ไปไม่เป็นแล้ว ท่านไปได้ลื่นเลย

พอเทศน์เสร็จหลวงพ่อเข้าไปกราบขอขมา “ขออภัยครับหลวงพ่อ ต้องเล่นครับ เพราะได้มุมพอดี” หลวงปู่ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก รู้ท่าอยู่ว่าเอ็งเอาแน่” ต้องบอกว่าปฏิภาณท่านสุดยอดเลย ใส่ชนิดไม่ให้ตั้งหลัก ท่านยังไปได้ลื่น ๆ เลย"

เถรี 22-09-2012 14:07

"องค์นี้แหละที่ตั้งนะโมฯ ขึ้นอุเทศแล้วชาวบ้านงง เขานิมนต์ท่านเทศน์กะทันหัน ท่านเพิ่งจะเทศน์วัดนี้แล้วเขานิมนต์ต่อเลย ท่านตั้งหลักไม่ทัน ไม่ได้เตรียมเรื่องเทศน์ไว้ ถึงเวลาท่านขึ้นธรรมาสน์ได้ก็ตั้งนะโมฯ เลย จากนั้นจึงขึ้นอุเทศไม่เหมือนใคร ท่านขึ้นว่า "รัตนะมาลา จะ การาจี เอสเอบี พาหุรัดสะโตติ" มีลงติ..ถูกต้องตามแบบเลยนะ แล้วท่านก็เทศน์ไปเรื่อย

โยมที่ฟังคิดว่าเป็นภาษาบาลี แต่ไม่ใช่หรอก รัตนมาลาเป็นร้านขายโคมไฟในสมัยนั้น การาจีเป็นร้านขายผ้าของแขกที่พาหุรัด เอสเอบีก็คือสี่แยก พาหุรัดสโตร์ก็เป็นร้านขายผ้าเหมือนกัน รู้สึกว่าเป็นอุเทศที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาอยู่อุเทศเดียว ตั้งหัวข้อตามสถานที่ซึ่งตัวเองผ่านไปเห็นเข้าพอดี"

เถรี 22-09-2012 14:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ค่าเรียนของพระวัดท่าขนุน ทั้งปริญญาตรี โท เอก และบาลี เดือนหนึ่ง ๕๐,๐๐๐ - ๖๐,๐๐๐ บาท อาตมากำลังรอจังหวะเปิดกองทุนการศึกษา ตอนนี้เปิดบัญชีและใส่เงินไปเองแล้ว แต่ส่วนที่จะเปิดให้พวกเราทำบุญยังหาจังหวะไม่ได้ เพราะยังมีงานอื่นแทรก คงต้องรอให้หลังกฐินไปแล้ว

ใครต้องการพระกริ่งพิชัยสงครามให้เตรียมเงินไว้ อาตมาไปค้นเจอมีรุ่น ๒ (สีเงิน) อยู่ ๘๓ องค์ คิดหนึ่งหมื่นบาทเท่าเดิม จะเอาเข้ากองทุนการศึกษา ไปค้นเจอพระหลงอยู่ที่ห้องนอนที่เกาะพระฤๅษี ด้วยความที่เก็บไว้นาน กล่องชั้นนอกที่เป็นกระดาษติดกันเป็นแผงเลย เก็บนานไปหน่อย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ ประมาณ ๑๐ กว่าปีแล้ว เพิ่งจะรู้สึกว่าท่านสั่งให้สร้างเมื่อไม่นานนี้เอง

อาตมาไปพม่าหลายเที่ยวก็พกไปองค์เดียวนี่แหละ ที่ไม่พกพระอย่างอื่นไป เพราะว่าส่วนใหญ่โยมช่วยทำกรอบเป็นทองให้ ถ้าทหารพม่าค้นเจอแล้วสงสัยว่าทำไมรวยแท้ เดี๋ยวโดนยึด อาตมาก็เลยพกพระกริ่งพิชัยสงครามไปองค์เดียว ลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว"


"ที่ขำไม่ออกก็คือ พวกตำรวจทองผาภูมิเขาคิดว่าอาตมาพูดเล่น อาตมาบอกว่าราคา ๑,๐๐๐ บาทเฉพาะวันนี้ พอ ๖ โมงเย็นไปแล้วจะขึ้นเป็น ๑๐,๐๐๐ บาท พระท่านสั่งมาอย่างนั้น อาตมาก็ทำอย่างนั้น ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นตำรวจค่อยมา ควักเงินมา ๑,๐๐๐ บาทเพื่อบูชาพระกริ่งพิชัยสงคราม อาตมาบอกว่า “ไม่ทันกินแล้วเอ็ง ขึ้นไปเป็นหมื่นหนึ่งแล้วว่ะ..!” อยู่แค่หลังวัดแท้ ๆ ถ้าเดินขึ้นสะพานแขวนไปก็เป็นบ้านพักตำรวจแล้ว เลี้ยวขวาไปอีกไม่กี่ก้าวเป็นสถานีตำรวจ ดันมาช้าจนเจอของแพง..!"

เถรี 22-09-2012 14:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีความรู้เกี่ยวกับราคาไข่มุกบ้าง ? เพราะมีโยมถวายไข่มุกสีทองมา ๗ - ๘ เม็ด ขนาดประมาณ ๑๘ มม. เห็นราคาแปะว่า ๕๐,๐๐๐ บาท เม็ดหนึ่งแพงขนาดนั้นเลยหรือ ? เขามีใบรับรองมาให้ด้วย

เคยมีคนส่งรูปแหล่งผลิตไข่มุกสีทองมาให้ดู เขาทำอย่างกับมีกองทัพส่วนตัวเลย เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกคน เวลาไปต้องบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ ห้ามเรือทุกชนิดเข้าไปในเขตพื้นที่ของเขา ไม่อย่างนั้นโดนยิงหมด

ระยะหลังไข่มุกเซ้าท์ซีของบ้านเรามีราคาสูง เพราะว่ามุกจีนกับญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นมุกเลี้ยง และเขาใช้วัสดุใหญ่ เวลาหอยเคลือบมาจะมีน้ำมุกอยู่นิดเดียว ต้องบอกว่าคนเราอาศัยความเจ็บปวดทรมานของหอยมาเป็นอุตสาหกรรม ไข่มุกธรรมชาติเกิดจากเม็ดกรวดเม็ดทรายหลุดเข้าไปในเนื้อหอย พอหอยเจ็บหรือระคายเคืองก็ขับน้ำมุกออกมาเคลือบไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ไปโดนเนื้อของตัวเอง ก็คงเหมือนกับแผลสด ๆ ไปโดนไม้เขี่ยอย่างนั้นแหละ พอเคลือบไปเพื่อรักษาตัว คนกลับเห็นว่าเป็นของสวย

คนที่คิดการผลิตมุกเลี้ยงออกมาได้ ต้องบอกว่าใจคอโหดมาก เพราะเขาต้องเอาพวกนี้ยัดเข้าไปในหอยทุกตัว"

เถรี 22-09-2012 14:54

"พิพิธภัณฑ์ไข่มุกทะเลที่ภูเก็ตมีไข่มุกสีทองจากหอยสังข์ทะนานเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ประมาณไข่นกพิราบ วันนั้นอาตมาไปพอดีว่าฝนตก ที่นั่นจึงไม่มีคนเลย แล้วพระก็ดันเข้าฟรีอีก อาตมาก็เลยเข้าไปถ่ายรูปจนทั่วพิพิธภัณฑ์ ทั้ง ๆ ที่เข้าห้ามถ่ายนั่นแหละ

เขาเอาพวกหอยทะเลที่เป็นฟอสซิล ฟันปลาฉลามดึกดำบรรพ์มาจัดแสดงด้วย ซึ่งทำได้สวยมาก ถ้าเขาขุดมายาวสัก ๒ ฟุต เขาจะขัดแค่บางส่วนให้เงาขึ้น เพื่อให้เห็นว่าสวยแค่ไหน ส่วนที่เหลือก็ปล่อยเป็นธรรมชาติไว้ มีพวกฟอสซิลปลาดึกดำบรรพ์ด้วย

ถ้าพวกเรามีโอกาสก็เข้าไปดู เพราะของพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะมีได้ทั่ว ๆ ไป พวกบรรดาเปลือกหอยต่าง ๆ เขาจัดไว้เป็นหมวดหมู่สวยงามมาก"

เถรี 22-09-2012 15:00

"พวกพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วเป็นตัวตนหรือจิตวิญญาณของท้องถิ่นนั้น เมื่อเจอที่ไหนก็ควรวิ่งใส่ที่นั่น แต่บ้านเราไม่นิยมเข้าพิพิธภัณฑ์กัน นิยมไปเดินห้างแทน

ต้องดูอย่างประเทศอังกฤษ บ้านเขาทันสมัยกว่าเราเยอะ โลกไซเบอร์พวกอินเตอร์เน็ตเขามีใช้กันแทบทุกคน แต่เด็ก ๆ ของเขาเข้าคิวกันยาวเป็น ๑๐๐ เมตรเพื่อจะเข้าห้องสมุด ต่างกับบ้านเรามากเลย บ้านเราเห็นหนังสือก็ปวดหัวแล้ว

ประเทศอังกฤษเอาหลักสูตรสอนสมาธิเข้าไปในระดับมหาวิทยาลัย ระดับวิทยาลัย เพราะเห็นว่าเป็นของดีมาก แต่บ้านเราเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ลดหลักสูตรสมาธิลง เพราะเขารู้สึกทุกข์ทรมานกว่าที่จะจบหลักสูตรได้ ต่างประเทศเขาเห็นประโยชน์แต่บ้านเรากลับไม่เห็นประโยชน์

การที่จะเก็บรากเหง้าของตัวเองเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้ได้เห็น อย่างพิพิธภัณฑ์จ่าทวี พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปของกำนันมานะก็ดี เขาต้องอาศัยกำลังของตัวเอง พอไม่ไหวจะของบประมาณจากทางราชการช่วยก็ไม่มี ต้องระดับพิพิธภัณฑ์ของคิงส์เพาเวอร์ ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ เขามีเงินนี่...

มีพิพิธภัณฑ์พระที่อยู่ระหว่างแม่จันกับเชียงแสน เป็นพิพิธภัณฑ์พระเหมือนกัน แต่ที่นั่นแอบถ่ายรูปไม่ได้ เพราะเขาส่งเจ้าหน้าที่ตามประกบเลย อธิบายให้ฟังไปด้วย จนกระทั่งบางทีอาตมารำคาญ ต้องบอกเขาว่า “อีหนูดูเสียใหม่..ที่เธอว่ามานั่นไม่ใช่ พระยุคสุโขทัยต้องเป็นอย่างนี้ ที่เธอว่ามาเป็นยุคต้นอยุธยา ยังติดแบบสุโขทัยมา แล้วเธอก็ไปเหมาว่าเป็นสุโขทัย ลองดูดี ๆ สิว่าจริงอย่างที่อาตมาว่าไหม ?” เขาต้องยอมรับเพราะอาตมารู้มากกว่า

พุทธศิลป์บางทีก็คาบเกี่ยวกัน พุทธศิลป์ที่คาบเกี่ยวกัน อย่างเช่นปลายสุโขทัยต้นอยุธยา หรือไม่ก็ปลายเชียงแสนต้นสุโขทัย ในเมื่อพุทธศิลป์คาบเกี่ยวกันนี่สายตาต้องถึง ถ้าไม่ถึงก็ดูไม่ออก"

เถรี 24-09-2012 19:40

ถาม : นิมิตที่เห็น สงสัยว่าเป็นแก้วใช่ไหม ?
ตอบ : ต้องถามว่านิมิตอะไร ? ถ้านิมิตคือภาพที่เห็นทั่วไป เราจะเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นนิมิตกสิณ ขึ้นอยู่กับลำดับของการปฏิบัติว่าอยู่ขั้นไหน ถ้าขั้นต้นไม่มีทางที่จะเป็นแก้วได้อยู่แล้ว

ถาม : ออกไปแบบมโนมยิทธิ เวลาฟังควรจะวางจิตอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิได้ก็จะฟังออกทุกภาษา นี่แสดงว่ายังไม่ได้ไปจริง..!

เถรี 24-09-2012 19:44

ถาม : ควรออกรถสีอะไรคะ ?
ตอบ : ถ้าตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าออกรถได้ไม่จำกัดสี ให้เว้นสีดำสีเดียว คนสมัยนี้ชอบสีดำ แต่หลวงพ่อท่านว่าเป็นการไว้ทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ท่านให้ออกรถวันพฤหัสบดี เอาไปไว้ที่บ้าน แล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกรถวันอาทิตย์ แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

เถรี 24-09-2012 20:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เทคโนโลยีในสมัยนี้ โดยเฉพาะดาวเทียม ช่วยให้รู้สภาพได้ดีมาก แต่เขาไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์กัน ระบบต่าง ๆ ที่ติดตั้งเอาไว้ แค่เปลี่ยนรัฐบาลก็จะโดนทิ้งทันที ไม่มีการสานต่อ เพราะเหมือนกับไปทำตามรัฐบาลเก่า ก็เลยทำให้บ้านเราประสบความสูญเปล่าไปมากต่อมากด้วยกัน

บ้านเรานักการเมืองยังขาดจิตสำนึกสาธารณะมากมาย ส่วนใหญ่ยังทำเพื่อพวกพ้องและตัวกูเอง เราจะไม่เห็นนักการเมืองบ้านเราค้านแบบสร้างสรรค์ แต่เขาจะค้านทุกเรื่อง ไม่มีอะไรให้ค้านมากุข่าวเล่นก็ยังเอา ขอเพียงชาวบ้านเชื่อเท่านั้น ฉะนั้น..ในเรื่องของคะแนนเสียงเกิดจากอารมณ์มากกว่าความจริง ขอเพียงทำให้ชาวบ้านมีอารมณ์ร่วมและเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นใช่ เขาจะแห่ตามเลย

เราจะเห็นว่าคนแค่ไม่กี่คนทำให้ประเทศชาติแตกแยกวุ่นวายจนทุกวันนี้ เพราะสิ่งที่กรอกหูชาวบ้านอยู่หลาย ๆ เดือนจนกระทั่งเป็นปี กลายเป็นสารพัดข้อมูลที่สับสน จริงบ้างโกหกบ้าง โดยเฉพาะการขยายข้อมูลจนเกินจริง ทำให้คนส่วนหนึ่งเชื่อและคล้อยตามไป ทำให้เกิดความเกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง

โดยเขาลืมไปว่าบุคคลที่รับภาระหนักที่สุดก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าเขาจะทะเลาะกัน ตีกัน ฆ่ากันขนาดไหน ก็เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน พวกเขาคือลูกที่พ่อต้องปกป้องดูแลทุกคน แต่ลูกไม่เคยสำนึกตัว เอาไฟเผาบ้านมากี่ครั้งแล้ว ? พ่อต้องดับไฟมากี่ครั้งแล้ว ? เขาไม่เคยคิด มีแต่แหย่ไฟเข้าไป เผาบ้านต่อไป..!

ถ้าพ่อไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาดับไฟวันไหน แล้วเขาจะมีปัญญาดับเองหรือ ? ไปนึกถึงที่บางคนพูดเล่น แต่น่าจะเป็นจริงว่า ประเทศไทยมีดีทุกอย่าง แต่เสียอย่างเดียวที่มีคนไทยอยู่ ถ้าเอาคนไทยออกไปได้ ประเทศชาติจะเจริญ..!"

เถรี 24-09-2012 20:13

"บ้านเราเมืองเราไม่ว่าจะยุ่งยาก วุ่นวาย ห่วยแตกอย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องข่าวคราวโลกภายนอกมากนัก เราก็อยู่อย่างมีความสุข ถ้าเราไปใส่ใจเรื่องราวภายนอก มีสปิริตสูง มีความรับผิดชอบสูง เราก็จะเครียด

ถ้าหากทุกคนมีความรับผิดชอบสูงอย่างที่ว่า ก็แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะลืมไป มักจะไปมองหน้าที่ของคนอื่น คนอื่นทำได้ไม่ดี เราก็ไปเครียดแทนเขา"

เถรี 24-09-2012 20:19

ถาม : เขาตายแล้วมาคุยกับผม ?
ตอบ : วันแรกที่เขาตาย อาตมาอยู่ที่ภูเก็ต เขาไปบอกยันในห้องน้ำเลย อาตมาบอกว่า "เอ็งมีมารยาทหน่อยสิวะ เป็นผีแล้วยังนิสัยเสียอีก พระกำลังสรงน้ำอยู่ เสือกโผล่มาบอก..!" เขาเป็นห่วงลูก มาบอกว่าฝากลูกฝากเมียด้วย อาตมารับฝากไม่ได้หรอก เพราะว่าพ่อตาแม่ยายเขารับผิดชอบแทนอยู่แล้ว ...(หัวเราะ)...

เถรี 24-09-2012 23:01

พระอาจารย์นำพระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์ แกะจากหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด มาให้บูชาร่วมบุญกฐินที่บ้านวิริยบารมี "มีใครได้พิมพ์ไกเซอร์ไปบ้างไหม ? พิมพ์ไกเซอร์คือพิมพ์ที่หัวโต หูยาน ไม่มีเกศ เป็นพิมพ์ที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ถวายรัชกาลที่ ๕ ตอนที่เสด็จไปยุโรป พระองค์ท่านพกเอาไว้ในกระเป๋าฉลองพระองค์ พระเจ้าไกเซอร์ตรัสว่าเห็นแสงอะไรออกมาจากกระเป๋า แสดงว่าพระองค์ก็เป็นคนมีบุญมากนะถึงได้เห็น

เขาก็เลยเรียกพระสมเด็จพิมพ์นั้นว่า พิมพ์ไกเซอร์มาตลอด เพราะได้รับการรับรองคุณภาพจากพระเจ้าไกเซอร์เอง"


เถรี 24-09-2012 23:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงพวกหนังสือหนังหาสมัยก่อนเขาเขียนลงสมุดข่อย เขาก็เลยเรียกว่าสมุด เมื่อเรียกสมุดกันจนเคยชิน ห้องเก็บหนังสือก็เลยกลายเป็นห้องสมุด (library) พวกเราอาจจะสงสัยว่า ทำไมห้องเก็บหนังสือถึงเรียกว่าห้องสมุด ? เพราะเคยชินจากการที่เราใช้สมุดข่อยสมุดไทยในการจารึกตัวอักษรแล้วเก็บไว้ ก็เลยกลายเป็นห้องสมุด ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นห้องสมุด ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นห้องหนังสือ"

"ส่วนคำว่าหนังสือ มาจากการจารึกลายสือ (ตัวอักษร) ลงบนแผ่นหนัง ส่วนมากใช้ในการส่งข่าวยามศึกยามสงคราม ต้องจารึกลงบนแผ่นหนังเพื่อความทนทาน จนกลายเป็นคำว่าหนังสือ คือลายสือที่จารึกลงบนแผ่นหนัง นี่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนมาจนบัดนี้เช่นกัน"

เถรี 26-09-2012 08:02

มีโยมเอาพระเศรษฐีนวโกฏิมาถวายพระอาจารย์ ท่านกล่าวว่า "คนสร้างพระพุทธรูปไม่ได้คิดเลยว่าสร้างออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เขาเรียกว่าพระเศรษฐีนวโกฏิ แต่ละใบหน้าเขาถือว่าทำแทนมหาเศรษฐีในพุทธกาลคนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สมควรที่จะทำเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า

ต้องบอกว่านี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เขาพยายามจะฉีกแนวออกไปไม่ให้เหมือนใคร เขาลืมไปว่าทำแล้วออกไปทางเทพเจ้าของฮินดูแทน ถ้าไปถึงวัดท่าขนุนนี่อาตมาเก็บเข้ากรุอย่างเดียว ไม่ให้โผล่มาให้ชาวบ้านเห็นเลย บางคนเขาไม่รู้ว่าอะไรสมควร อะไรไม่สมควร ต้องบอกว่าแนวความคิดดี แต่ขาดสติสัมปชัญญะไปหน่อย"

เถรี 26-09-2012 08:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยเด็ก ๆ ถ้าผู้ใหญ่เอาลูกหมาตัวใหม่มา เขาจะเอาไปไหว้หมาตัวเก่าก่อน หมาตัวเก่าจะได้ยอมรับ แต่ความจริงไม่ใช่หรอก พอยกขาไหว้หมาตัวเก่าก็ดมกลิ่น จำได้ว่าเจ้าตัวนี้เจ้านายพามา หมาเก่าจึงรับได้ หมาเขาจะเห็นเจ้าของเป็นจ่าฝูง ถ้าจ่าฝูงพาตัวใหม่เข้ามาเขารับได้ แต่ถ้ามาเองก็โดนกัดกระจาย..!"

เถรี 26-09-2012 08:15

พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีนักเลงสมัยก่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้กว้างขวาง มีเพื่อนฝูงมาก ใครโดนรังแกมาก็ช่วยคุ้มครองป้องกันเขา ไม่เหมือนกับนักเลงสมัยนี้ ที่ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กไปทั่ว นักเลงคนนี้แขวนพระปิดตาหลวงปู่ทับ วัดทอง แล้วหนังเหนียว ใครทำอะไรเขาไม่ได้ จะดวลปืนดวลมีดก็ไม่ไม่ได้กินเลือดเขา

วันนั้นมีคนมาขอดูพระ ด้วยความพาซื่อจึงให้เขาดู พอเขากระตุกหลุดจากคอ เขาชักปืนยิงเลย..นั่นเสียท่าเขา ที่เล่ามาก็เพราะเห็นพวกเราถอดพระให้คนอื่นเขาดูทั้งพวงเลย ถ้าเจอคนแปลกหน้ามาขอดู ให้ระวังไว้บ้าง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว