![]() |
ถาม : ขึ้นบ้านใหม่ จะตั้งศาล ไม่รู้ว่าจะตั้งศาลกี่เสา ?
ตอบ : โดยทั่ว ๆ ไปแล้วตั้งเสาเดียวก็พอ สำหรับศาล ๔ เสา ถ้าเรามั่นใจว่าตรงนั้นเป็นอากาศเทวดาดูแลจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง ถ้าหากไม่รู้ว่าเป็นอากาศเทวดาหรือว่าเป็นภุมมเทวดา ตั้งศาลเสาเดียวก็พอ ถ้าอากาศเทวดาไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวท่านก็มาทวงเอง..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังวางแผนว่า จะทำเรือนไทยหลังยาว ๆ ไว้ด้านหลังหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก แล้วก็อัญเชิญสังขารหลวงปู่สายไปตั้งไว้ตรงนั้น คนมาจะได้ไหว้ที่เดียวเลย ไม่ต้องเข้าไปข้างในวัด ข้างในวัดจะได้สงบจริง ๆ เสียที
ถ้าอัญเชิญสังขารหลวงปู่สายไว้ด้านหน้าจริง ๆ รูปหล่อหลวงปู่พุกและรูปหล่อหลวงปู่สายต้องย้ายไปด้วย เพราะส่วนใหญ่คนเขาไปมักบนท่าน ไหน ๆ แล้วก็ให้เขาบนทีเดียวไปเลย ตอนนี้ฝนกระหน่ำตั้งแต่เช้ายันค่ำทุกวัน พระบิณฑบาตเปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ เมื่อวานนี้จะเวียนเทียน ก็ทำกำลังใจบอกท่านเจ้าที่ที่รักษาวัดกับรักษาทองผาภูมิว่า เทวดาทั้งหลายก็ยินดีในบุญเป็นปกติอยู่แล้ว ญาติโยมกำลังจะทำบุญใหญ่ด้วยการตามประทีป และเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์ก็ช่วยเว้นฝนช่วงนั้นไว้สักหน่อย ปรากฏว่าหยุดให้จริง ๆ หยุดให้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสามโมงถึงสามทุ่ม รวม ๖ ชั่วโมงเต็ม ๆ ตอนหลังพระท่านไม่แปลกใจแล้ว เขาใช้คำว่า "งานของอาจารย์ฝนไม่ตกหรอก" ไม่จริง..ตก..! นอกเวลางานฝนกระหน่ำจนกระทั่งคิดว่าไม่มีทางหยุดแล้ว พอเวลางานท่านก็หยุดให้เฉยเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาขึ้นไปข้างบน ตอนแรกตั้งใจว่าจะพัก ปรากฏว่าพระนาคปรกเต็มห้องเลย มีแต่คนถวายมา จำไว้ว่าคราวหน้าถ้าอาตมาไม่บูชาด้วยเงินส่วนตัว..ต้องถวายนะ ไม่ใช่พอไม่บูชา..รอถวาย กลับไม่มีใครให้สักองค์..!
อาตมาก็เลยต้องไปจัดเรียงพระให้เข้าที่เรียบร้อย กว่าจะเสร็จก็หมดเวลาพักผ่อนพอดี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้แต่ละงานของทางวัดใช้เทียนเพื่อหล่อผางประทีปประมาณ ๑ ตัน มีพระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณหรือท่านมหาปิง แสดงความจำนงถวายไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปกวาดมาหมดวัดสระเกศหรือยัง ? คงกะว่าเทียนทั้งหมดจุดแล้วสว่างรุ่งเรืองแค่ไหน ก็ให้ทางชีวิตของท่านรุ่งเรืองแค่นั้น
เรื่องของการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยแสงสว่าง ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือพระอนุรุทธเถระ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่าพระพุทธกัสสปะ เมื่อพระองค์ท่านนิพพาน เขาสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอนุรุทธตามประทีปถวาย จุดไฟรอบพระเจดีย์ นอกจากนี้ยังใช้อ่างเติมน้ำมันแล้วก็ควั่นไส้ จุดถวายเป็นพุทธบูชาด้วยการเทินศีรษะเดินรอบพระเจดีย์ ในลักษณะทักษิณาวัตร ถวายเป็นพุทธบูชา ฟัง ๆ ดูแล้ว อยากลองทำดูไหม ? เรื่องนี้ต้องฟังตัวอย่างลุงบู๊ ลุงบู๊เป็นคนบ้านทับกฤช จังหวัดนครสวรรค์ ลุงบู๊ทำมาหากินแบบแก้บน ก็คือ ทำไร่ทำสวนไปอย่างนั้นเอง งานหนักตัวเองทำ งานเบาปล่อยลูกเมียดูแล แล้วตัวเองเอาแต่นั่งภาวนา" |
"ลุงบู๊เหลาไม้ไผ่เป็นตอกเส้นเล็ก ๆ สวดอิติปิโสฯ ได้จบหนึ่งก็เด็ดตอกนิดหนึ่งใส่ปีบไว้ ไม่รู้กี่สิบปีบเต็มบ้านไปหมด พอถึงวันพระ ลุงบู๊จุดตะเกียงกระป๋องรอบบ้านเลย กี่สิบดวงก็ไม่รู้ ? แล้วเดินจงกรมรอบบ้านถวายเป็นพุทธบูชาทุกวันพระ
เวลาคนมาขโมยข้าวของในไร่ในสวน ขโมยกล้วย ขโมยมะพร้าว ขโมยมะนาว ลูกวิ่งมาฟ้อง ลุงบู๊บอกว่า “ให้เขาไปเถอะ ถ้ามีเขาไม่มาเอาของเราหรอก” แกไม่ใช่คนมั่งมี แต่แกเน้นเรื่องของการปฏิบัติภาวนา ตั้งความปรารถนาจะขอสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล เข้าไปในบ้านแกมีแต่ปีบ ในปีบใส่เศษตอกที่นับเอาไว้ว่าตัวเองสวดอิติปิโสฯ ไปแล้วกี่จบ ซ้อนกันเป็นตั้ง ๆ เลย ท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมล หรือว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ของพวกเรานั่นแหละ กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “หลวงพ่อครับ..นี่พุทธภูมิระดับปรมัตถบารมีแล้วใช่ไหมครับ ? ” หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “ยัง..แค่อุปบารมีเท่านั้น” โอ้..แล้วปรมัตถ์เขาทำอะไรกันบ้าง ? พวกเราเอาอย่างนั้นบ้างไหม ? ภาวนาทั้งวัน ถึงเวลาลูกเมียก็ส่งข้าวปลาวันละ ๒ มื้อ เวลาที่เหลือภาวนา เดินจงกรม สวดอิติปิโสฯ ได้บทหนึ่งก็เด็ดตอกมานิดหนึ่งใส่ปีบไว้ พอเห็นเขาทำแล้วรู้สึกอายบ้างไหม ? ว่าเขาอุปบารมีเท่านั้น พวกเราหวังจะไปนิพพานชาตินี้ก็ต้องปรมัตถบารมี ในเมื่อปรมัตถบารมีก็แปลว่าต้องทำให้เข้มกว่าลุงบู๊ ฟังแล้วไปผูกคอตายดีกว่า เผื่อจะได้ไปนิพพานบ้าง..!" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องประวัติมีดบ้านจ่าตุ่มให้ฟังว่า "จ่าตุ่มเป็นตำรวจตะเวนชายแดน ในระหว่างที่อยู่ในป่า มีดที่ทางราชการแจกให้ใช้งานนั้นไม่ได้เรื่อง อาตมาก็เคยได้รับแจกมาเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเอาขุดดินได้อย่างเดียว จ่าตุ่มจึงตีมีดใช้เอง ปรากฏว่ามีดที่ตีเองมีคุณภาพดี คนนั้นก็ยืมใช้ คนนี้ก็ยืมใช้ เขาก็เลยทำเผื่อเพื่อนบ้าง ทำไปทำมามีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่ามีดมีคุณภาพดี น้ำหนักดี เหล็กดี แกก็เลยเปลี่ยนมาทำมีดเป็นอาชีพเสริม
พอจ่าตุ่มย้ายเข้ามาในเมือง ก็ไปไล่จับพวกทำปืนเถื่อนแถวบ้านอีเติ่ง จับมาแล้วก็เสียดายฝีมือพวกนี้ เพราะเขาทำปืนเถื่อนได้สวยมาก สวยกว่าปืนเมืองนอกเสียอีก เพียงแต่ว่าเหล็กของเราไม่ได้อย่างของนอกเท่านั้น จ่าตุ่มเห็นว่าพวกนี้ทำมาหากินอย่างนี้มาหลายชั่วคนแล้ว ต่อให้จับไปจนตาย พวกนี้ก็ต้องออกมาทำปืนเถื่อนใหม่อีก จ่าตุ่มก็เลยเอาพวกนี้มาเปลี่ยนอาชีพให้ทำมีดแทน พวกนี้เขามีฝีมือในการทำปืนสุดยอดอยู่แล้ว พอมาทำมีดก็กลายเป็นของง่าย มีดจ่าตุ่มก็เลยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครต้องการต้องไปเข้าคิวจองกันเป็นปี ๆ กว่าจะได้" |
"พอสิ้นจ่าตุ่มไป ป้าสุที่เป็นภรรยาก็รับช่วงต่อ ตอนแรกอาร์ตซึ่งเป็นลูกชายไม่เอา มาทำงานในกรุงเทพฯ แทน ไป ๆ มา ๆ ก็กลับไปช่วยงานที่บ้าน
บรรดาเหล็กทำมีดเป็นเหล็กชั้นดีมาก ๆ ดีขนาดตัดเหล็กด้วยกันได้ คราวนี้เศษที่เหลือจะทำมีดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เสียดาย อาร์ตเขามีหัวศิลปะอยู่ ก็เลยออกแบบเป็นกำไลบ้าง เป็นสร้อยคอบ้าง เป็นต่างหูบ้าง ด้วยความที่อาตมารู้จักสนิทสนมกันมาตั้งนานเนกาเล เห็นเขาวางจำหน่ายของพวกนี้ที่บ้าน กว่าจะจำหน่ายได้ใช้เวลานาน ก็เลยบอกป้าสุว่า เอามาฝากขายที่นี่ไหม ? (ที่บ้านวิริยบารมี) ของจากบ้านจ่าตุ่ม ก่อนหน้านี้มีจำหน่ายในอินเตอร์เน็ต แต่จัดทำไม่ไหว เพราะทั่วโลกสั่งเข้ามา บ้านจ่าตุ่มจะทำทีละเล่ม ประเภทไม่มีอารมณ์ก็ไม่ทำด้วย ลูกค้ารอนาน ก็เลยปิดเว็บไป ตอนนี้ถ้าใครต้องการ นอกจากไปบ้านจ่าตุ่มที่อุทัยธานีแล้ว ก็จะมีอยู่ที่บ้านวิริยบารมีนี่แหละ เพราะว่าที่อื่นป้าสุไม่ยอมให้ใครเอาไปจำหน่าย มีดบ้านจ่าตุ่มทำด้วยเหล็กที่ตัดเหล็กด้วยกันได้ เอามาเหลาตะปูเล่นได้ เพียงแต่ว่าราคาสูงนิดหนึ่ง เพราะเขาประกันตลอดชีวิตคนใช้ ถ้ามีการชำรุดโดยสภาพจะเปลี่ยนใบใหม่ให้ฟรี ซ่อมฟรีด้วย เท่ากับว่าบริการหลังการขายฟรีตลอดชีพ" |
มีโยมนำผ้ากาสีมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "อินเดียโบราณประกอบไปด้วยประเทศเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ ๑๖ ประเทศด้วยกัน ภาษาบาลีเรียกว่า มหาชนบท มีประเทศหนึ่งคือ กาสี มีชื่อเสียงในการทอผ้ามาก ภาษีอากรต่าง ๆ เกินครึ่งของประเทศได้มาจากพ่อค้าขายผ้า ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีหรือเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ต่างก็มีความปรารถนาจะใช้ผ้าของแคว้นกาสีทั้งนั้น แคว้นนี้จึงเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก
แต่แคว้นกาสีมักจะโดนแคว้นโกศลผนวกเข้าไปด้วย ก็คือโดนยึดไปเป็นเมืองขึ้นบ่อย พอ ๆ กับแคว้นอังคะที่มักจะโดนแคว้นมคธยึดไปอยู่เรื่อยเหมือนกัน เพราะแคว้นอยู่ติดกัน ประเภทรั้วบ้านชนกัน แต่ประเทศเขาใหญ่กว่า มีกำลังพลมากกว่า ก็มายึดไป กาสีมีเมืองหลวงคือ พาราณสี เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พออาตมาเห็นโยมเอาผ้าแคว้นกาสีมาถวาย ก็นึกถึงว่าเขามีชื่อเสียงมาแต่โบราณและรักษาชื่อเสียงมาได้จนถึงปัจจุบัน คนไทยไปเมื่อไรก็ต้องซื้อผ้าเขามา เป็นผ้าที่เบา นุ่ม ห่มสบาย และอุ่นดี ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผ้าหนา" |
"พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ป่านี้ต้องบอกว่าเป็นป่าอาถรรพ์ อิสิปตน แปลว่า ฤๅษีตก คำว่า ปตน มาจาก ปตธาตุ = ในความตก สมัยก่อนพวกโยคี ฤๅษีมีฤทธิ์ เขาเหาะกันเป็นปกติ แต่เหาะผ่านป่านี้ไม่ได้ เหาะผ่านเมื่อไรก็ตกเมื่อนั้น เขาก็เลยเรียกว่าป่าฤๅษีตก
เขาต่อด้วยคำว่า มฤคทายวัน แปลว่า สวนกวาง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน คือ ป่าสวนกวางที่ฤๅษีตก อาถรรพ์แต่โบราณยังเหลืออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่สำคัญ อย่างเช่นมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ เทวดาที่รักษาท่านก็เลยกันไว้ไม่ให้คนข้าม เพราะจะเป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง" |
ถาม : ลูกผมไปนั่งสมาธิ ก่อนวันนั่งเขาก็ดูประวัติสัตว์ในวรรณคดี พอจะนั่งวันแรกเขาเห็นเหราอยู่หน้าถ้ำ ผมก็บอกว่าขอเขาสิว่าเขาให้เข้าไปได้หรือเปล่า ? วันที่สองเขาเข้าไปในถ้ำได้ ไปเจอเหรา วันที่สามไปเจอเทวดา ผมก็เลยสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำเป็นจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : จะไปยากอะไรก็ขอหวยเลยสิ..สิ่งที่เห็นนั้นเราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นบางอย่างก็จริง บางอย่างก็ไม่จริง บางทีเทวดาเขาก็แปลงเป็นสัตว์แปลก ๆ มาให้ดู แล้วที่เราเห็นเป็นสัตว์ บางทีความจริงเป็นเทวดาก็มี เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้เด็กเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามนั้นแหละจ้ะ ถ้าผู้ใหญ่การปรุงแต่งมีมาก การรู้เห็นก็จะแตกต่างออกไป |
ถาม : เกี่ยวกับการปฏิบัติ ช่วงทำแรก ๆ เราเห็นความโกรธตัวเอง ก็เลยแผ่เมตตา ครั้งแรกจะเห็นความโกรธชัด แต่พอผ่านไปสักพักก็น้อยลง แต่ก็มีคู่ปรับที่เคยทะเลาะกับเราอยู่ กับคนอื่นจะตัดเร็ว แต่กับคู่ปรับอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เราค่อนข้างจะโกรธแรง อย่างนี้เราจะทำอย่างไรให้หายขาด ?
ตอบ : ใช้วิธีเหมือนเดิม ก็คือแผ่เมตตา แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ให้คนที่เรารักน้อย ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย ให้คนที่เราเกลียดมาก ไล่ไปตามลำดับ ถ้าไปถึงคนที่เราไม่ชอบขี้หน้าอย่างยิ่งเลย แล้วปุบปับไปอภัยให้เขา จิตจะต่อต้าน ไม่ยอมรับ ต้องไปทีละขั้น ให้คนที่เรารักนั้นให้ง่าย คนที่เราไม่รักไม่เกลียดก็พอไหว พอไปถึงคนที่เราเกลียด เราไม่ค่อยอยากจะให้อภัย บางทีเรารู้ว่าต้องให้อภัย เราก็อุตส่าห์พยายามให้ ให้ไปได้พักเดียวก็ไปนึกโกรธอีกแล้ว ถือว่าเป็นอาการปกติ ให้พยายามต่อไป เดี๋ยวก็อภัยได้ไปเอง |
ถาม : ผมกับเพื่อนจะไปเดินเที่ยวในป่า มีป่าไม้นำไป แต่ในใจคิดว่าจะไปปักกลด จะภาวนาด้วย ?
ตอบ : จะเข้าไปเองหรือให้ป่าไม้พาไปก็เหมือนกัน อันตรายมาได้ทุกเวลา ไปถึงอย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่ทั้งหมด ขอให้ท่านมาโมทนาในส่วนบุญที่เราได้มาทำในสถานที่นี้ และให้ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยด้วย ถ้าสวดบทกรณียเมตตาสูตร "เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิงฯ.." ได้ก็สวด ถ้าทำอย่างนั้นอยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย |
ถาม : อย่างเวลามีคนแนะนำอะไร ในใจเราคิดว่าไม่ต้องพูดหรอก กูรู้แล้ว อารมณ์นี้ขึ้นมา แต่หน้าตาเราไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ?
ตอบ : เขาเรียกว่า มานะ ถือตัวถือตน เป็นสังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดใหญ่ แต่เป็นสังโยชน์ตัวท้าย ๆ ความละเอียดมีมาก ตัดยากหน่อย ถาม : เราจะมีวิธีอย่างไรให้มานะลดน้อยลง ? ตอบ : ต้องพยายามเพิ่มความอ่อนน้อมถ่อมตนกับตัวเองให้มากขึ้น ให้รับรู้ว่าทุกอย่างที่เขาแนะนำมาเป็นเรื่องที่ดี คนอื่นเขาเมตตาสงเคราะห์ เรารับฟังไว้ก็ไม่เสียหลาย และขณะเดียวกันก็พยายามที่จะมองให้เห็นว่า ตัวเราหรือตัวเขา เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง แตกดับในที่สุด ไม่มีใครดีกว่าใครหรอก ระหว่างการดำรงชีวิตอยู่ สิ่งใดที่เขาสงเคราะห์แก่เรา ถ้าเป็นประโยชน์เราก็รับเอามา ไม่อย่างนั้นเราก็จะปล่อยไม่ได้ วางไม่ลงสักที ตัวกูของกูเผลอเมื่อไรก็ขึ้นมาเมื่อนั้น เป็นทุกคนแหละ อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าแม้กระทั่งขี้ของกูยังฆ่ากันตายมาแล้ว คนต่างจังหวัดเขาชวนกันเข้าป่าล่าสัตว์ เดินไปถึงท้ายหมู่บ้านติดกับป่า ไปเจอกองขี้ คนที่ ๑ บอกว่า "ใครมาขี้ทิ้งไว้ตรงนี้วะ เหม็นฉิบหายเลย ?"ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ไปด้วยกันขี้ไว้ ได้ยินดังนั้นก็โกรธ บอกว่า " ไอ้ห่..มึงว่ากูขี้เหม็นหรือ ?" สรุปแล้ววันนั้นไม่ได้ล่าสัตว์หรอก เอามีดพร้าที่ถือเข้าป่าไปฟันกบาลกันเอง สรุปว่าขี้ของกูยังทำให้คนตายได้ เรื่องของกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา เผลอไม่รู้เท่าทัน ก็โดนชักจูงไปออกไปทางรัก โลภ โกรธ หลง มีแค่ ๔ ข้อเท่านี้แหละ เพียงแต่ว่ามาอยู่ตลอดเวลา มาทุกครั้งที่เราเผลอ รู้ตัวต้องรีบแก้ไข พยายามแก้บ่อย ๆ เดี๋ยวส่วนดีมีมากกว่า กำลังเราสูงกว่า การแก้ไขก็ง่ายขึ้น ตอนแรก ๆ ส่วนดีของเรามีน้อยกว่า กำลังความดีมีน้อยกว่า จึงแก้ไขได้ยาก ต้องใช้ความพยายามสูง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคนที่ไม่รู้อันตรายของถนนเวลาฝนตก ถ้าฝนตกก็ให้ตกหนักไปเลย ถ้าแห้งก็ให้แห้งไปเลย จะทำให้ขับรถได้ง่าย แต่ถ้าถนนครึ่งเปียกครึ่งแห้ง จะทำให้ลื่นมาก หน้าถนนที่เราเห็นว่าสะอาด ความจริงมีโคลนบาง ๆ อีกชั้นหนึ่ง เป็นฝุ่นที่เกิดจากดินและท่อไอเสียเคลือบอยู่ พอโดนน้ำเข้าจะลื่นมาก โค้งที่เราเคยเข้าด้วยความเร็ว ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้นอีกนิดเดียว รถจะหมุนเลยเพราะถนนลื่น
อีกอย่างก็คือน้ำที่อยู่บนถนน โดยเฉพาะน้ำที่ท่วมถนนซีกเดียวจะอันตรายมาก ๆ เวลาเราวิ่งลงไป ล้อที่โดนน้ำจะฝืดโดยอัตโนมัติ เพราะน้ำจะไปหน่วงความเร็วของล้อไว้ เท่ากับเราเบรกรถไว้ข้างเดียว ถ้าความเร็วได้ระดับสัก ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจอเบรกข้างเดียวรถจะหมุนเป็นลูกข่างไปเลย ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่พอขับรถได้ก็ออกถนนเลย ทั้ง ๆ ที่ยังขับรถไม่เป็น ที่เล่ามานี้เพราะอาตมามีประสบการณ์หมุนกับถนนมาแล้ว เป็นถนนบนเขาค้อ ช่วงนั้นฝนตก คนขับรถก็ต้องเร่งความเร็ว เพราะมีผู้โดยสารอยู่กระบะท้าย ๓ – ๔ คน ถ้ารถวิ่งได้ความเร็วแล้ว ฝนจะบินเลยหลังคาไปหมด จะไม่ตกลงใส่กระบะ แต่ปรากฏว่าตอนเข้าโค้ง ถนนครึ่งเปียกครึ่งแห้ง เป็นเรื่องเลย อาตมาก้มลงหยิบของ เห็นฉัพพรรณรังสีสว่างวาบ จึงบอกคนขับรถให้ระวังไว้ พูดไม่ทันขาดคำรถก็หมุนติ้วเลย พระท่านเตือนแล้ว แต่บางอย่างก็เตือนเร็วไม่ได้ บางอย่างเตือนช้าก็ไม่ได้ มีเวลารู้ตัวก่อนแค่ไม่กี่วินาที" |
"บางครั้งเรื่องของวาระกรรมท่านบอกตรง ๆ ไม่ได้ มีครั้งหนึ่งอาตมาเดินจากอู่ทองกลับทองผาภูมิ ผ่านตรงจุดที่เรียกว่าตลาดเขต เป็นรอยต่อระหว่างสุพรรณบุรีกับกาญจนบุรี คุยกับคนขับไปเรื่อย มาถึงตรงนั้นหมดเรื่องจะคุย หลับตาลงเตรียมภาวนา พอนึกถึงภาพพระ เห็นพระพุทธเจ้าร้าวเป็นลายงาทั้งองค์เลย กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ลืมตาขึ้นมากระจกหน้าระเบิดเปรี๊ยะทั้งแผ่น..เตือนคนขับไม่ทัน..!
เพิ่งจะรู้ว่าลายงาอยู่ที่กระจก ของบางอย่างแม้ว่ารู้ก็รู้ล่วงหน้ามากไม่ได้ รู้แค่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นและแก้ไขไม่ทันแล้ว" |
"ช่วงที่น้ำมันแพง รถกี่คันอาตมาโละหมด..เลิกใช้ ใครจะนิมนต์ให้เอารถมารับด้วย ไม่เอารถมารับก็ไม่ไป จนโยมทนไม่ไหว ซื้อรถให้ยืมใช้ ที่ใช้คำว่ายืมเพราะอาตมาไม่ยอมรับ ในเมื่อให้ยืมใช้ โยมก็ต้องจัดการกับรถทุกอย่าง ไม่ว่าจะซ่อมแซมรถ ต่อทะเบียนรถ ถ้าไม่ทำอาตมาก็ทิ้ง..เลิกใช้..!
หลายต่อหลายคนอยากมีรถ ไม่รู้หรอกว่า "รถ" กับ "ลด" นั้นใกล้เคียงกัน เงินในกระเป๋าของเราลดลงไปเรื่อย ๆ มีแต่จ่ายกับจ่าย แต่ก็เห็นว่าอยากได้รถกันมาก เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าบ้านเราเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีอัตราการใช้รถเกือบจะอยู่อันดับ ๑ ของโลก จนต่างประเทศต้องมาศึกษาระบบเงินผ่อนในประเทศไทย โยมไปเอารถที่ศูนย์ของต่างจังหวัด เขาให้จ่ายดาวน์งวดแรกเมื่อพืชผลทางการเกษตรออก อย่างเช่น ปลูกข้าวโพด ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกปาล์มน้ำมัน ถ้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรเมื่อไร ค่อยมาจ่ายดาวน์งวดแรก แปลว่าเอารถไปใช้ฟรี ๆ ก่อน เขาใจถึงขนาดนั้น รับรองว่าชาวบ้านต้องไปวางดาวน์แน่นอน เพราะคนบ้านเราหน้าใหญ่ใจโต เวลาออกรถไป เพื่อนเห็น "เฮ้ย..มีรถนี่หว่า" "เฮ้ย..รถสวยดี ราคาเท่าไร ?" ยืดด้วยความภูมิใจ ต่อให้ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้มาวางดาวน์ คราวนี้ยุบไม่ลงแล้ว..จมไม่เป็น นึกถึงนายดาบตำรวจตระกูล ดาบตระกูลกู้เงินสวัสดิการตำรวจมาซื้อที่สร้างบ้าน อาตมาถามว่า "ดาบมีสิทธิ์อยู่บ้านหลวงฟรี ไปซื้อที่สร้างบ้านให้เปลืองเงินทำไม ?" ท่านบอกว่า "ตอนนี้ผมยังมีแรงอยู่ ยังมีเงินเดือนให้เขาหักได้อยู่ พอเวลาผมเกษียณแล้ว ที่ดินและบ้านก็เป็นของผม แต่ถ้าผมอยู่บ้านหลวง เวลาเกษียณแล้วผมออกจากบ้านหลวงมา ผมก็เคว้ง..หาที่อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บ้านหลวง ส่วนใหญ่แม่บ้านตำรวจพอว่างก็จับกลุ่มนินทากัน ที่ร้ายกว่านั้นก็คือจับกลุ่มเล่นไพ่กัน ก็มีแต่จะเสียสตางค์... พอข้างบ้านมีอะไร เมียผมก็อยากจะมีบ้าง เขามีตู้เย็น เมียผมก็อยากได้ มีโทรทัศน์ มีวีดิโอ เมียผมก็อยากได้ จ่ายตายชักเลย ผมจึงตัดสินใจกู้เงินสวัสดิการตำรวจมาซื้อที่สร้างบ้านดีกว่า เวลาเรามีหรือไม่มีอะไรคนอื่นเขาก็ไม่รู้ เขาไม่ได้มาดูที่บ้านเรา ไม่เหมือนบ้านพักตำรวจ อยู่เรียงกันเป็นตับ ใครมีไม่มีอะไรก็รู้กันหมด" |
"นายดาบตระกูลเป็นตำรวจที่ไถใครไม่เป็น นอกจากหน้าที่ตามปกติแล้ว ก็มีอาชีพเสริมเป็นการขายประกัน ขายแอมเวย์ อะไรที่เป็นเงินสุจริตแกเอาทั้งนั้น แต่ถ้าฉุกเฉินจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ก็จะไปบนหลวงพ่อ ๔ พระองค์ที่วัดท่าซุง อย่างเช่นผู้ร้ายคนนี้มีค่าหัว ๓ หมื่น ก็ไปบนหลวงพ่อ ขอให้ผมเจอและจับได้ แล้วทำสำเร็จด้วย จะได้มีเงินใช้ วัน ๆ ขี่รถลาดตระเวนตรวจท้องที่ เสร็จสรรพก็เข้าวัดกราบพระ
คุณครูนนทา อนันตวงศ์ ท่านเป็นเลขานุการส่วนตัวของหลวงพ่อวัดท่าซุง วันนั้นคุณครูนนทาบอกกับดาบตระกูลว่า "นี่ตาแดง..เวลาหลวงพ่อไม่อยู่ ดึก ๆ มีเสียงคนทำงานอยู่ในห้องหลวงพ่อ ตาแดงช่วยมาดูให้หน่อยสิ" ดาบตระกูลก็ "ตกลงครับป้า" พอตกกลางคืนครูนนทาใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป ตรวจตราเรียบร้อย เห็นว่าไม่มีอะไรก็ปิดล็อกประตู ดาบตระกูลก็นอนกอดปืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง พอ ๔ – ๕ ทุ่มก็มีเสียงพิมพ์ดีด ดังก๊อกแก๊ก ๆ อยู่ข้างใน นายดาบตระกูลก็รอ ตี ๑ กว่า เกือบตี ๒ เสียงเปิดประตู นายดาบตระกูลลืมตาขึ้นมาเห็น "ตายห่..หลวงพ่อวัดท่าซุง..!" หลวงพ่อก้าวจะข้ามตัว นายดาบตระกูลคว้าขาท่าน มีเสียงบอกว่า “ปล่อยนะไอ้แดง..ไม่อย่างนั้นกูเตะ..!” ดาบตระกูลก็ต้องปล่อย แล้วท่านก็เดินหายไป" |
"พอหลวงพ่อท่านกลับจากสายลมมา ดาบตระกูลก็ไปกราบเรียนถาม “หลวงพ่อกลับจากสายลมไปพิมพ์หนังสือตอนไหนครับ ?”
หลวงพ่อ : เฮ้ย..ใช่ข้าซะเมื่อไรล่ะ ดาบตระกูล : อ้าว..ผมจับกับมือ..เนื้อ ๆ เลย หลวงพ่อ : อ๋อ..เพื่อนกัน ท่านลิงขาวเห็นว่างานข้าเยอะ ก็เลยมาช่วยตอบจดหมายแทน นายดาบตระกูลบอกว่าสังเกตไม่ทัน หน้าตานี่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ตอนกลางคืนดูไม่ทันว่าขาวกว่าหรือดำกว่า เสร็จแล้วก็ถามหลวงพ่อต่อ ดาบตระกูล : ตอบจดหมายแทนแล้วจะเหมือนกันหรือครับ ? หลวงพ่อ : พระระดับนั้นแล้ว..สำนวนเดียวกันเลย ฉะนั้น..ใครได้รับจดหมายจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่แน่หรอกว่าจะเป็นตัวจริงตอบ มีคนช่วยพิมพ์ดีดให้เสร็จสรรพ ความจริงท่านรู้นะ เพราะตอนเข้าไม่ได้เข้าทางประตู แต่ในเมื่อมีคนมานอนเฝ้าทั้งที ก็เลยออกไปให้เขาเห็น เรื่องพวกนี้ถ้าไม่ใช่คนอยู่วัดก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้เล่ากันในวงกว้าง หลวงพ่อสององค์ในป่าไปวัดท่าซุงออกจะบ่อยไป แต่คนไม่ค่อยจะรู้กัน" |
"หลวงตาวัชรชัยบวชไม่กี่พรรษา มีหน้าที่รับญาติโยมเข้าพัก ท่านอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ศาลา ๒ ไร่ ปรากฏว่าโทรศัพท์ดังขึ้น หลวงตาวัชรชัยก็วิ่งไปรับ “วัชรชัย” หลวงตาได้ยินก็เข่าอ่อนเลย “ครับ..หลวงพ่อ” “ไปดูซิ..ที่มุมตึกพระพินิจอักษร มีพระธุดงค์แบกกลดสะพายบาตรมารูปหนึ่งหรือเปล่า ?”
หลวงตาวัชรชัยก็วิ่งไปดู พอกลับมาถึงก็ยกหู “มีครับ..หลวงพ่อ” “เออ..นั่นแหละ..หลวงพ่อลิงขาว” หลวงตาวัชรชัยวางหู วิ่งสุดชีวิตไป ปรากฏว่าหายไปแล้ว ท่านบอกว่าโง่ไปหน่อย ถ้าถามแต่แรกไปหมดเรื่องไปแล้ว ยังดีนะในชีวิตได้เห็นคา ๆ ตา แต่ถ้าเป็นอาตมาก็ไม่กล้าถามหรอกว่าใคร คงจะโง่ต่อไปตลอดชีวิต แบบเดียวกับเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ องค์ที่ ๑๑ นั่นแหละ ใคร ๆ ก็ว่าอาตมาโชคดีสุด ๆ ที่ได้พบทั้ง ๒ พระองค์ เปล่า..ไม่ได้โชคดีหรอก ตอนเจอไม่ได้คิดว่าเป็นท่าน แถมตั้งใจกวนท่านเสียด้วย" |
ถาม : เราใช้กรรมแทนคนอื่นได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้จ้ะ กรรมของใครของคนนั้น ใครทำใครได้ ไม่มีใครที่สามารถแบ่งเบาหรือว่ารับแทนกันได้ ในเมื่อแบ่งเบาไม่ได้ รับแทนไม่ได้ ใครว่าสามารถรับแทนกันได้ก็ปล่อยให้เขาทำไป เราอย่าไปยุ่งกับเขา เรื่องกฎของกรรมนั้นตรงไปตรงมา ใครทำก็คนนั้นรับ ไม่ต้องไปหาวิธีแก้กรรมหรอก วิธีแก้กรรมที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าอานิสงส์ของบุญใหญ่ ๓ ตัวนี้จะทำให้กรรมตามไม่ทัน แต่ถ้ากุศลขาดช่วงลง กรรมก็ตามทันอีก |
ถาม : ในกรณีมีแต่ความทุกข์ จะบรรเทาความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : แค่เลิกแบกก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ที่เราทุกข์เพราะเราไปแบกอยู่ เห็นว่าเป็นของกู ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกู มาสรุปท้ายก็คือ ตัวนี้ก็ตัวของกู ในเมื่อทุกอย่างเป็นของกู แบกอยู่ทุกอย่างกูก็เลยทุกข์แทบตาย ถ้าเลิกเห็นความเป็นของกูเมื่อไรก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าทุกข์เพราะไปยึด ความจริงหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะกับบุคคลทุกระดับชั้น เพราะว่าปุถุชนก็มีหลักธรรมสำหรับปุถุชนอยู่ พระอริยเจ้าก็มีหลักธรรมของพระอริยเจ้าอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเราขาดการศึกษาเรียนรู้อย่างหนึ่ง และศึกษาเรียนรู้ไปแล้วไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัวอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัว เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็มัวแต่ไปจมอยู่กับความทุกข์ พกอาวุธอยู่เต็มตัวแต่ลืมใช้งาน ก็สู้ข้าศึกไม่ได้สักที |
ถาม : ขอฤกษ์แต่งงานค่ะ
ตอบ : จะเลิกกันแล้วหรือ ? ยังไม่ทันจะแต่งเลย ..(หัวเราะ).. คงต้องเลยพรรษาไปแล้วนะ เพราะในพรรษาเขาไม่นิยมแต่งงานกัน รอให้ออกพรรษาก่อน วันที่ ๑๔ ธันวาคม ตรงกับวันศุกร์ อมฤตโชค ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ทันไหม ? ถ้าไม่ทันเดี๋ยวดูฤกษ์ให้ อีก ๓ ปีข้างหน้าก็แล้วกัน..! |
ถาม : คนที่เคยได้ฌาน จะทรงอยู่อย่างนั้นหรือคะ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เผลอเมื่อไรฌานก็เสื่อม ได้ฌานแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นก็จะเสื่อม รักษายังรักษาไม่ไหวเลย แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร ? ยกเว้นว่ามีความเพียรพยายามอยู่อย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติต่อเนื่องตามกันแล้วจะมีความก้าวหน้า ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสูงกว่าเดิมได้ ถ้าไม่ได้ทำต่อเนื่องแล้วไม่ต้องไปฝันเลย มีแต่ถอยหลังอย่างเดียว..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ปู่ ย่า ตา ยาย มักเสร็จหลาน ๆ หมด ต้องบอกก่อนเลยว่าตัวกูของกูชัด ๆ เลย อยู่คนเดียวไม่ได้ รู้สึกเหงา ไม่มีลูกคอยเอาใจก็ต้องไปเลี้ยงหลานแทน ไม่มีหลานเดี๋ยวก็ไปเลี้ยงหมาแทน
ในธรรมบทมีเรื่องไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู พราหมณ์คนหนึ่งเป็นเศรษฐี พอแบ่งสมบัติให้ลูกแล้ว ไม่มีลูกคนไหนเลี้ยง ปล่อยแกให้ไปเป็นขอทาน คือ พ่อแม่ให้สมบัติเท่า ๆ กัน พอไปอยู่กับเขา เขาต้องเลี้ยงดู ทำให้สมบัติลดน้อยถอยลง ได้ไม่เท่ากับพี่น้อง ก็เลยไม่อยากเลี้ยงพ่อแม่ พอพราหมณ์ไปเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงแนะนำว่าให้ไปเล่าเรื่องนี้ในท่ามกลางที่ชุมชน แล้วก็ตอกย้ำคำว่า "ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้" พอแกไปเล่าบรรดาลูก ๆ ได้ยินแล้วอาย ในที่สุดก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงใหม่" |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องคุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ ว่า "คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ขี่สามล้ออยู่ที่เมืองเทียนจิน อดมื้อกินมื้อ รวบรวมเงินทั้งหมดให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ประมาณ ๑ ล้าน ๗ แสนบาท เนื่องจากว่าคุณปู่ไปเจอเด็กชายอยู่คนหนึ่ง อายุประมาณ ๖ ขวบ คอยช่วยบริการถือของไปส่งคนอื่น ของบางอย่างก็หนักแทบจะเกินกำลัง เด็กก็พยายามจะหอบหิ้ว เขาก็ให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทน พอถึงเวลาเด็กคนนั้นก็ไปคุ้ยขยะหาเศษอาหารกิน คุณปู่ก็สงสัย ถามเด็กว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้ออาหารกิน เด็กบอกว่ายังต้องเลี้ยงน้อง พ่อแม่ทิ้งแกกับน้องไป น้องยังตัวเล็กทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้เงินมาต้องไปซื้ออาหารให้น้อง ตัวเองต้องไปคุ้ยถังขยะ มีอะไรพอกินได้ก็กิน คุณปู่ก็เลยเอาเด็กคนนั้นขึ้นสามล้อไปที่บ้าน ไปเจอกระท่อมสับปะรังเคโย้เย้ใกล้พัง คุณปู่ก็เลยพาทั้งพี่ทั้งน้องไปส่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วก็เอาเงินสะสมที่ตัวเองมีอยู่ทั้งหมดมอบให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเป็นค่าอาหารเด็ก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาคุณปู่ขี่สามล้อได้เงินมาเท่าไร ก็เหลือไว้แค่ซื้อซาละเปา ๒ ชิ้นสำหรับมื้อเที่ยง และเนื้อกับไข่สำหรับมื้อเย็น ที่เหลือมอบไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหมด" |
"คุณปู่ขี่สามล้อจนกระทั่งอายุ ๙๐ ปี จึงมอบเงินก้อนสุดท้ายให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ปู่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขี่สามล้อไม่ไหว น่าจะเป็นเงินก้อนสุดท้าย ปรากฏว่าคุณปู่ก็ยังอยู่ต่ออีก ๓ ปี จึงได้เสียชีวิต งานศพของคุณปู่มีเด็กนักเรียนแห่กันไปหลายร้อยคน คุณปู่ไม่รู้ว่าเงินที่มอบให้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น เขาจัดสรรให้เป็นค่าอาหารเด็กคนไหน ให้เป็นค่าเล่าเรียนเด็กคนไหน แต่ปรากฏว่ามีเด็กจำนวนมหาศาลเลยที่ได้รับ ในงานศพของคุณปู่เด็กจึงไปร่วมงานกันเยอะแยะ ไม่ต้องกลัวว่าอยู่คนเดียวจะไม่มีใครจัดงานศพให้
http://hilight.kapook.com/img_cms2/N...ANG%20LI-5.jpghttp://hilight.kapook.com/img_cms2/N...ANG%20LI-6.jpg ตอนนี้ปู่กลายเป็นอมตชน ตัวตายแต่ชื่อยัง เพราะทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเอารูปคุณปู่ติดเอาไว้ในฐานะผู้มีอุปการคุณใหญ่ เด็ก ๆ มาโรงเรียนก็ต้องไปไหว้รูปคุณปู่ก่อนตอนนี้ซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่ได้อ่าน ชื่อ เฉิน ซู่ จวี๋ แม่ค้าผัก..ผู้ให้ยิ่งใหญ่ ได้ยินแค่ชื่อก็ซื้อเลย อยากรู้ว่าแม่ค้าผักทำอะไรที่ยิ่งใหญ่บ้าง" |
ถาม : การอุทิศส่วนกุศล.... ?
ตอบ : การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนั้น พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก ท่านเคยชินกับธรรมเนียมพราหมณ์ที่ว่า การให้อะไรใครก็เอาน้ำเทรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอ แต่พออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว เขาไม่ได้ยื่นมือมาให้เห็น ท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเทรดมือตัวเอง พวกเราไม่รู้ที่มาที่ไปก็เทรดมือตัวเองต่อกันมาเรื่อย ๆ ความจริงแล้วแค่เราคิดว่า กุศลที่เราทำทั้งหมดนี้ขออุทิศให้แก่ใคร เจาะจงชื่อนามสกุลไปเลยก็ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปกรวดน้ำเป็นคูลเลอร์แบบคุณยายในเว็บหรอก ถาม : ถ้าเราอุทิศกุศลให้คนอื่น กุศลของเราจะหมดหรือไม่ ? ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่น เปรียบเหมือนเราก่อไฟขึ้นมาแล้วอนุญาตให้เขาต่อไฟไปใช้ได้ กองไฟของเราไม่ได้ลดความสว่างลง แต่ความสว่างเพิ่มขึ้นจากการที่ตัวเองให้เขาก่อกองไฟต่อไป การที่เราจะให้เขาได้จิตเราต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี ในเมื่อจิตประกอบด้วยเมตตาบารมี บุญใหญ่ก็เกิดขึ้น แทนที่จะหมดก็มีแต่มากจะขึ้นเรื่อย ๆ |
ถาม : การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติได้น้อย จะใช้กำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็แค่ถามใจตัวเองว่า อยากขึ้นสวรรค์หรืออยากลงนรก..! ถาม : รู้สึกว่าไม่อยากลงนรก ? ตอบ : เรื่องของการปฏิบัติจริง ๆ แล้วจะต้องมีเทคนิคเฉพาะตัว คนอื่นให้ได้เฉพาะคำแนะนำเฉย ๆ อาจจะเป็นได้ว่าเราเห็นประโยชน์เราจึงปฏิบัติธรรม หรือเราเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราจึงปฏิบัติธรรม สำคัญตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ทำเมื่อไร ๆ ก็ได้เท่านั้น ก็จะรู้สึกเบื่อ ดังนั้น..ให้เราเน้นในเรื่องของลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ พอใช้คำภาวนา การจับลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว ตัวปีติจะเกิด ถ้าปีติเกิด เราจะไม่ค่อยอยากจะหยุดปฏิบัติหรอก อยากทำไปเรื่อย ๆ ไปเน้นเรื่องลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก พออารมณ์ใจทรงตัวเดี๋ยวก็ดีเอง |
ถาม : ถ้าปฏิบัติแล้วอยากได้บุญ ไม่ถือว่าเป็นกามฉันทะหรือคะ ?
ตอบ : ให้เป็นไปก่อน เพราะถ้าเราไม่เกาะดีก่อน ก็จะไม่มีอะไรให้วาง เราต้องละชั่วเกาะดีก่อน ท้ายสุดถึงจะปล่อยดีทีหลัง ขึ้นบันไดต้องเกาะราว แต่ถ้าขึ้นไปถึงชั้นบนเมื่อไรก็ปล่อยราวบันไดโดยอัตโนมัติ ถาม : ช่วงนี้ปฏิบัติเพราะอยากได้บุญ รู้สึกว่ามีความโลภ ? ตอบ : ตำราใครวะ..! ทำแล้วไม่อยากได้ดี แล้วจะทำไปทำซากอะไร..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ สัตว์ที่อยากเลี้ยงมากที่สุดก็คือเหี้ย แต่เป็นเหี้ยจอมโหดที่เขาเรียกว่า เหี้ยเห่าช้าง เห่าช้างเป็นเหี้ยที่พองคอขู่ได้ เขาเชื่อว่ามันร้ายขนาดกัดช้างยังล้ม
อาตมารู้จักเห่าช้างครั้งแรกที่เขาดิน ไปเที่ยวเขาดินครั้งแรกในชีวิต เดินดูสัตว์ไปเรื่อย ไปเจอป้ายเขาเขียนว่าเหี้ยเห่าช้าง ก็เข้าไปดู เห็นเหมือนกับตะกวดตัวใหญ่ ๆ ตะกายอยู่บนดอกเห็ด เขาทำดอกเห็ดด้วยซีเมนต์ แล้วอยู่ใกล้ขอบบ่อ อาตมาก็เลยเอื้อมมือเข้าไปหา เห่าช้างก็ไต่ขึ้นมือมา อาตมาก็อุ้มเล่น พอเจ้าหน้าที่เห็นถึงกับตาค้างไปเลย เพราะเขาเชื่อว่าเห่าช้างร้ายขนาดกัดช้างยังตาย แล้วไอ้เด็กบ้านี่ดันไปอุ้มเอาไว้ อาตมาก็พาซื่อ เห็นว่าน่ารักดี ไม่ได้เห็นว่าดุ เจ้าหน้าที่เขาโวยวายใหญ่จึงต้องปล่อยคืนไป เขาก็คลานลงบ่อแต่โดยดี ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าเหี้ยเห่าช้างดุจริงหรือเปล่า ? แต่พวกพรานล่าสัตว์เคยบอกว่า โดนไล่วิ่งจนเตลิดเปิดเปิงมาหลายคนแล้ว" |
"แถวบ้านอาตมาไม่มีเห่าช้าง เพราะเห่าช้างนั้นหายาก หายากพอ ๆ กับตุ๊ดตู่ ตุ๊ดตู่ก็เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกเหี้ย เพียงแต่ตัวเล็กกว่าและสีจัดจ้านกว่ามาก
อาตมาก็เคยเลี้ยงตะกวดอยู่พักหนึ่ง เผลอหน่อยเดียวผู้ใหญ่เขาเอาไปผัดเผ็ดเสียนี่ ความจริงพวกเหี้ยหรือตะกวดเลี้ยงง่ายมาก พวกนี้กินเศษอาหาร เวลาแม่เจียวน้ำมันหมู พอเอากากหมูโยนลงไป ก็มารุมกินกัน หรือวันไหนซื้อลูกชิ้นปิ้งมาก็แบ่งให้เขากิน เห่าช้างเขาว่ากินไม่ได้เพราะว่าหนังมีพิษแบบคางคก เห่าช้างฝรั่งเรียกว่า Rough neck monitor คอจะเป็นเม็ด ๆ เล็ก ๆ เห็นชัด ๆ เลย" |
ถาม : ที่บ้านจะถูกไล่ที่ ตอนนี้เดือดร้อนเรื่องบ้าน จะหาบ้านใหม่ ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพก็ได้จ้ะ รักษาศีล ๘ สัก ๗ วัน พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน จุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้ง นึกถึงท่าน ขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ได้บ้านภายในกี่วันก็ว่าไป ถ้าได้บ้านภายในเวลาที่กำหนดเราจะถือศีล ๘ ถวายท่าน ๗ วัน |
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ อยากได้มาก ?
ตอบ : อันดับแรก..ไปวัดแล้วขัดส้วม เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วไปอธิษฐานกับพระประธานของานกับท่าน อันดับที่สอง..บนพระวิสุทธิเทพ จุดธูป ๕ ดอก นึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ของานกับท่าน ถ้าได้แล้วให้รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐานถวายท่าน ๗ วัน |
ถาม : ก่อนออกจากบ้านมา น้องชายถามว่าทำบุญแล้วดีอย่างไร นอกจากความสบายใจ ?
ตอบ : นั่นสิ..ทำบุญแล้วดีอย่างไรนอกจากเสียเงิน ในเรื่องของบุญ ส่วนใหญ่ทำแล้วผลเห็นในโอกาสข้างหน้า ไม่ได้เห็นทันตา ยกเว้นบุญบางประเภทที่หาโอกาสทำได้น้อยในปัจจุบัน คราวนี้การที่เราทำแล้วไม่เห็นผลทันตา เราก็ต้องมีความเชื่อก่อนว่า เรื่องของการทำความดีนั้นมีสวรรค์ มีพรหม มีพระนิพพานรองรับอยู่ การทำความชั่วนั้นมีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานรองรับ แต่คราวนี้เราไม่เห็น ถามว่าจะให้เชื่ออย่างเดียวได้อย่างไร ? เราก็มาเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้ากิจการเราทำแล้วมีกำไรกับเสมอตัว กับกิจการอีกอย่างหนึ่งทำแล้วมีแต่ขาดทุนกับเสมอตัว เราควรเลือกทำอย่างไหน ? ที่ว่าหากนรกสวรรค์มีจริง เราทำความดีก็กำไร เพราะว่าเราก็ไปดี แต่ถ้านรกสวรรค์ไม่มี เราทำดีก็แค่เสมอตัว เพราะไม่ได้อะไร ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ เราทำชั่วเราก็แค่เสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีจริง เราทำชั่วเราก็ขาดทุน..เพราะลงข้างล่างเลย เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งทำแล้วเสมอตัวกับกำไร กับทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน เราควรจะเลือกทำอะไร ? อันนี้คือบอกเขาให้คิดแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไป |
แต่ในส่วนของบุญนั้น คนที่เกิดมาประกอบไปด้วยกิเลสใหญ่ คือ รัก โลภ โกรธ หลง การทำบุญต่าง ๆ เป็นการตัดตัวโลภ คือสิ่งที่เราอยากได้หรือควรจะได้ เราพยายามสละให้คนอื่นเขา ทำให้เราเบากายเบาใจ รู้จักสละออก แบ่งปันคนอื่น เกิดความสบายใจขึ้นมา เพราะว่าเราให้ใครเขาก็รักเรา ในเมื่อเราเป็นที่รักของคนอื่น เราจะไปที่ไหนก็ได้ เมื่อเกิดความสบายใจขึ้นมาเราเรียกว่าบุญ
แต่คราวนี้บุญที่ต้องการจริง ๆ นั้น ก็คือบุญที่เราให้เพื่อเป็นการตัด ละ รัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เป้าหมายใหญ่มหึมามาก เราก็ดูให้ใกล้ ๆ ของเราว่า ถ้าเราทำแล้วเราเกิดความสบายใจเราก็ทำ ขณะเดียวกันเรื่องของบุญไม่ใช่ว่าทำมากแล้วจะดี สำคัญตรงกำลังใจในการสละออก ถ้าตั้งใจสละออก ถึงทำน้อยก็ได้บุญมาก ถ้าสักแต่ว่าทำไป ถึงทำมากก็ได้บุญน้อย เพราะเจตนาไม่ครบ ความมุ่งมั่นไม่มี ทีนี้พอรู้หรือยังว่าเขาทำกันอย่างไร ? ถาม : เมื่อก่อนทำบุญแล้วรู้สึกมีปีติ แต่ช่วงหลัง ๆ มารู้สึกเฉย ๆ ไม่แน่ใจว่าสักแต่ว่าทำหรือเปล่า ? ตอบ : การที่เราทำไปนาน ๆ จะเกิดความเคยชิน ความเคยชินภาษาบาลีเขาเรียกว่า ฌาน จิตที่ทรงฌานจะก้าวข้ามปีติไปแล้ว รู้แต่ว่าสิ่งนี้สมควรทำเราจะทำ ไม่เหลือปีติไว้แล้ว แต่เป็นฌาน กำลังใจสูงขึ้นไม่ได้ต่ำลง ถ้ากำลังใจต่ำลง คือไม่คิดจะทำอีก แต่ทีนี้เรายังทำเป็นปกติ เพียงแต่ก้าวข้ามปีติไปกลายเป็นฌาน ก็เลยกลายเป็นว่าทำก็ไม่รู้สึกหรือสาอะไร เพราะเคยชินไปแล้ว |
ถาม : หมอตรวจพบว่า คุณพ่อเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ?
ตอบ : ไปวัดหลวงปู่ธรรมชัยที่อำเภอแม่แตงถูกไหมจ๊ะ ? ไปหาหลวงพี่สมศักดิ์ หลวงปู่ธรรมชัยเคยมียาที่เกี่ยวกับพวกฟอกเลือด กินแล้วแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้ หลวงพี่สมศักดิ์ท่านสืบทอดตำรามาจากหลวงปู่ ถาม : ควรไปเมื่อไร ? ตอบ : ไปเมื่อไรก็ได้จ้ะ ท่านอยู่เกือบตลอด แต่เว้นช่วงต้นเดือนนิดหนึ่งเพราะได้ยินว่าท่านลงมารับสังฆทานแถว ๆ สมุทรปราการอยู่เหมือนกัน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก็มี ชื่อวัดทุ่งหลวง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนอาศัยช่วงวันหยุดยาว ๆ ออกต่างจังหวัดกัน แต่ฝนฟ้าตกไม่เป็นเวล่ำเวลา ขับรถก็อันตราย ถึงเราไม่ไปชนเขา แต่เขาเองอาจจะมาชนเรา เมื่อสองอาทิตย์ก่อนอาตมามาสอนหนังสือที่วัดไร่ขิง พอเลี้ยวเข้าถนนปิ่นเกล้า - พุทธมณฑล รถติดเป็นชั่วโมงเลย เพราะว่ารถฝั่งตรงข้ามกระโจนข้ามมาชนเสาไฟ ล้มขวางถนนทั้งต้น กว่าเขาจะมายกออก รถติดกันจนลืมโลกไปเลย แปลว่าต่อให้เราขับรถด้วยความปลอดภัย คนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัยกับเราด้วย
อาตมามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ พอขึ้นรถเมื่อไรก็รีบภาวนาไว้ก่อน เผื่อเหนียวเอาไว้ ถ้าชนตูมเดียวเงียบไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งท่านาน ช่วงนี้ตอนบิณฑบาตฝนตกทุกวัน พอเดินถึงหัวสะพานก็ต้อง "นิพพานัง สุขัง" ไว้ก่อน เพราะไฟฟ้าตรงนั้นรั่ว พระวัดท่าขนุนเดินผ่านตรงนั้นโดนทุกรูป แจ้งการไฟฟ้าไปแล้ว เขาหาไม่เจอว่าตรงไหนที่รั่ว เพราะเขามาตอนที่ฝนไม่ตก ตอนฝนตกเขาไม่มาดู พอพระเดินผ่านตรงนั้นก็เด้งดึ๋งกันทุกรูป อาตมาก็จะแปลกใจว่าพระทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรหรอก โดนไฟดูดจนกระเด้งเอง ถ้าโยมถามว่าอาตมากลัวไหม ? อาตมาไม่กลัวหรอก แต่พระที่เดินตามมากลัวแน่ ๆ เผอิญว่าเขากลัวเจ้าอาวาสมากกว่า ก็เลยต้องกัดฟันเดินตาม..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน ฉะนั้น..ถ้าใครที่พ่อแม่ยังอยู่ พยายามทดแทนท่านด้วยนะจ๊ะ ต่อให้ไม่มีอะไรพาท่านไปเที่ยวก็ยังดี หาอะไรที่ท่านชอบให้กินบ้าง พาไปวัดวาอารามที่สวยงามบ้าง เพื่อที่จะได้ติดตาติดใจท่าน เวลาปุบปัปท่านเป็นอะไร ใจท่านเกาะความดีอยู่จะได้ไปดี
เราเห็นคนแก่แล้วรู้สึกสลดใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมองให้เห็นด้วยว่าเราก็จะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเราก็จะเป็นเช่นนั้น เวลาจะทำอะไรก็ลำบากกว่าปกติหลายเท่า ก็แปลว่าความทุกข์ที่มีอยู่นั้นเท่าเดิม แต่เมื่อทำอะไรยากขึ้นก็เท่ากับว่าทุกข์มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในสังสารวัฏที่หาต้นหาปลายไม่ได้นั้น คนเราเกิดมานับชาติประมาณไม่ได้ ท่านให้ตัดเอาต้นไม้ใบหญ้าทั้งชมพูทวีปมา เสร็จแล้วมามัดเป็นฟ่อนเล็ก ๆ สมมติว่านี่คือพ่อ นี่คือพ่อของพ่อ นี่คือพ่อของพ่อของพ่อ ไล่ไปเรื่อย ท่านบอกไม่มีที่สุด จนกระทั่งไม้หมดทั้งชมพูทวีปแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้ว่าเราเกิดสืบเนื่องกันมานานเท่าไร มีพ่อแม่ของพ่อแม่ของพ่อแม่ซ้อนกันมาเท่าไร บางคนก็เกิดมาเป็นลูก บางคนก็เกิดมาเป็นพ่อแม่ บางคนก็เกิดมาเป็นพี่น้อง เป็นญาติเป็นโยม สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย หาความแน่นอนไม่ได้ มีแน่นอนอยู่อย่างเดียว คือเกิดมาแล้วทุกข์แน่ ๆ เพราะพระองค์ท่านเห็นว่าทุกข์ จึงได้ขวนขวายหาทางหลีกหนี แล้วในที่สุดก็ค้นพบหลักธรรมที่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้" |
"พระองค์เอาชีวิตเข้าแลก จนกระทั่งได้หลักธรรมนี้มาสั่งสอนพวกเรา ทรงทรมานพระวรกายด้วยวิธีการต่าง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็ตายไปหลายรอบแล้ว พระองค์ท่านต่อสู้ฟันฝ่าด้วยกำลังพระทัยที่แน่วแน่ ว่าจะค้นหาโมกขธรรมคือธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ เมื่อพบแล้วก็ไม่ใช่จะเอาแต่พระองค์ท่านรอดเท่านั้น ยังตั้งพระทัยว่าจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารด้วย
วัฏสงสาร หรือ สังสารวัฏ คำว่า วัฏฏะ แปลว่า การหมุนวน การหมุนวน ก็คือ ความหมายของคำว่าไม่มีที่สิ้นสุด มองต้นมองปลายไม่เห็น ขีดวงกลมขึ้นมาแล้วจะไปหาต้นหาปลายที่ไหนเล่า ? เพราะหมุนไปเรื่อย พวกเราเองก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย ๓๑ ภพภูมิเกิดมาจนครบแล้วกระมัง ? อาตมาขาดไป ๑ ภพภูมิ คือยังไม่เคยลงโลกันตนรก นอกนั้นไปเยี่ยมมาหมดแล้ว บางที่ติดใจก็ไปหลายรอบ ลงหลายหนหน่อย สังสารวัฏแบ่งเป็นภพภูมิเบื้องต่ำ เรียกว่าเหฏฐิมสงสาร ภพภูมิเบื้องกลางเรียกว่ามัชฌิมสงสาร ภพภูมิเบื้องสูงเรียกว่าปุริมสงสาร ภพภูมิเบื้องต่ำท่านบอกว่ามีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภพภูมิ ภพภูมิเบื้องกลางมีมนุษย์ ๑ เทวดา ๖ ก็แปลว่าเป็น ๑๑ แล้ว ภพภูมิเบื้องสูงมี รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ รวมเป็น ๓๑ พอดี ๓๑ ภพภูมินี้มนุษย์และสัตว์เวียนว่ายตายเกิด สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนกระทั่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ใน ๓๑ ภพภูมินี้ ถ้าเกิดใน ๒๑ ภพภูมิแรกก็เกิดตายไม่รู้จบ ถ้าเป็นสุทธาวาสภูมิ ๕ ชั้น ที่เป็นอนาคามีพรหมหรืออรหัตมรรค ท่านรอการหลุดพ้นอย่างเดียว แต่ว่านานมาก ถ้าหากว่านับชาติที่เกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็นับไม่ได้ เอากระดูกมากองรวมกันก็คงท่วมจักรวาลแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แค่น้ำตาที่ร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่ละชาติ รวมแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้ง ๔ อีก มิน่า..น้ำในมหาสมุทรถึงได้เค็มนัก" |
"สังสารวัฏเกิดขึ้น ท่านบอกว่าเกิดจากกิเลสวัฏ คือ การหมุนเวียนของกิเลส เมื่อกิเลสราคะ โลภะ โทสะ โมหะชักนำ ก็จะเกิดกรรมวัฏ คือการหมุนวนของกรรม คือการกระทำขึ้นมา รักชอบเกลียดชังก็ทำไปตามอารมณ์ของตน แล้วก็จะเกิดวิปากวัฏ คือการหมุนเวียนของผลกรรมขึ้นมา ส่งผลให้เราไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้น..กิเลส กรรม วิบาก พากันหมุนไล่กันเป็นกงล้อ ต้องบอกว่าเป็นกงล้อมหาประลัย พาเราเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าท่านสามารถหักกงล้อแห่งสังสารวัฏพังทลาย พาพระองค์ท่านหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะพาตนเองหลุดพ้นไปได้ โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ดี..เรามักไปยินดี แล้วก็หยิบฉวยกอบโกยเข้ามา กลายเป็นเครื่องถ่วงตัวเอง ส่วนในเรื่องที่ไม่ดี...เราพยายามผลักไสดิ้นรนหลีกหนีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..เรื่องที่ดีจึงอันตรายกว่ามาก เรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเป็นตัวถ่วงเราให้ติดอยู่ในโลกนี้ได้ง่ายที่สุด ส่วนเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราพยายามที่จะผลักไสอยู่แล้ว แต่ว่าสภาพจิตที่ไปผลักไสดิ้นรนด้วยความไม่ยินดี ไม่พอใจนี่แหละ ยังความเศร้าหมองให้เกิด เราจึงเสร็จทั้งขึ้นทั้งล่อง ทำอย่างไรถึงจะผ่ากลางไปได้ ก็ต้องพยายามหาช่องทาง ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้านำตนให้หลุดพ้นไป" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:31 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.