กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3398)

เถรี 19-07-2012 11:58

ถาม : ทำไมเขาถึงต้องดัดแปลงใหม่คะ ทำไมไม่สร้างใหม่เลย ?
ตอบ : เพราะศาสนสถานมหึมามโหฬาร ไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ พอมีของเก่าอยู่ก็แค่เปลี่ยนนิดหน่อย ง่ายกว่าตั้งเยอะ ตอนที่ไปที่นั่น เขาชี้ให้ดูว่าหินทุกก้อนจะเจาะรูไว้ก้อนละ ๔ รู แล้วเขาก็ถามว่า "รู้ไหมครับว่ารูอะไร ?"อาตมาก็พยายามดูว่ารูเอาไว้ตั้งเทียนหรือเปล่า เขาบอกว่ารูที่เจาะนี่เขาจะเอาลิ่มไม้ตอก แล้วก็ผูกเชือกเอาช้างลากไป ไม่อย่างนั้นจะขนหินไปก่อสร้างไม่ได้

ถาม : เป็นความเชื่อเรื่องทำเล หรือสภาพบริเวณที่ตั้งด้วยหรือเปล่า ว่าแบบนี้เหมาะสำหรับสร้างศาสนสถาน ?
ตอบ : อาจจะมีส่วนด้วย เพราะในเรื่องของภูมิทัศน์ ภูมิสถาปัตย์ เรื่องของฮวงจุ้ย คนโบราณเขาเก่งกว่าเราเยอะ แต่การสร้างบ้านในปัจจุบันนี้เขาไม่เอาแล้ว เราสร้างบ้านไปตามใจตัวเอง

ถ้าสร้างบ้านแบบโบราณ เขาจะหันไปตามแนวเหนือใต้ แล้วหน้าต่างหันรับลมใต้ เพราะถ้าหันรับลมเหนือ เวลาหน้าหนาวลมหนาวก็เข้าบ้าน ส่วนที่หันเหนือใต้เพราะแสงแดดจะส่องข้างบ้านแทน ทางด้านแสงเข้าเวลาบ่ายก็จะทำเป็นครัว เพราะว่าพอแสงบ่ายส่องไปก็เท่ากับทำความสะอาดขจัดเชื้อโรคไปในตัว ทางด้านทิศใต้จะสร้างห้องน้ำไว้ พอถึงเวลาลมมาจากเหนือมาไปทางใต้กลิ่นจะได้ไม่ฟุ้งไปในบ้าน

กลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่สร้างไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ดูว่าอะไรเป็นอะไร บางทีอาตมาสั่งช่างที่วัดให้ทำหน้าต่างครึ่งนี้เปิดออก ครึ่งนี้ปิดเข้า ช่างเขาก็งงว่าทำไม่ทำแบบเดียวกันให้หมด เขาไม่รู้ว่าอาตมาจะเอาไว้รับลม

เถรี 19-07-2012 15:08

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของลานสาวกอดกับเรื่องมิดะนั้นมีอยู่จริง แต่อีก้อสมัยใหม่เขาอาย เขาก็เลยประท้วงบอกว่าไม่มี ทั้ง ๆ ที่มีหนังสือที่เขียนเรื่องนี้มานานแล้ว คุณจรัล มโนเพชร เอามาเป็นข้อมูล ขณะเดียวกันเขาก็เดินป่าเดินดงไปหาข้อมูลมาเองด้วย ขณะที่หนังสือไทยบอกว่ามั่ว แต่มีหนังสือฝรั่งตั้งหลายเล่มยืนยันได้ ส่วนฝรั่งเขาไปเก็บข้อมูลจากพม่า เขายืนยันว่าที่นั่นมีลานสาวกอด

ซึ่งตรงจุดนี้เป็นความทันสมัยของอีก้อเสียด้วยซ้ำไป แต่พอชาวอีก้อเขามาศึกษามากขึ้น ๆ แล้วเขาอายว่าเป็นประเพณีที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน เขาก็เลยพยายามปฏิเสธ คุณจรัล มโนเพชรตายไปแล้วแท้ ๆ แต่กลายเป็นจำเลยไป อีก้อเขาบอกว่าไม่มี ไปมั่วข้อมูลแต่งกันขึ้นมา เพลงมิดะนี้ห้ามเปิด เป็นต้น

คนอีก้อสมัยก่อนเขาไม่ถือสา ยิ่งผู้หญิงท้องค่าสินสอดยิ่งแพง เพราะเขาต้องการแรงงานในครอบครัว ผู้หญิงสาวนี่ค่าตัวไม่แพงนะ ประเภทเหล้าไหไก่ตัวอาจจะแต่งได้แล้ว แต่ถ้าผู้หญิงท้องคุณอาจจะต้องเสียหมูเพิ่มไปอีกตัว เขาเองมีลานสาวกอด เพื่อ ให้หนุ่มสาวไปเข้าไปมีเพศสัมพันธ์กัน ให้ศึกษากันไปก่อน เหมือนทดลองอยู่ก่อนแต่งทำนองนั้น แล้วเขาจะไม่มีการไปไล่ชี้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก เพราะเขาถือว่าเป็นลูกที่เทวดาส่งมาเกิด

แต่ทางด้านชาวอีก้อ ชาวเย้า เขาจะกลัวอยู่อย่างหนึ่ง คือ ลูกแฝด ถ้าได้ลูกแฝดเขาจะฆ่าทิ้งทั้งคู่เลย เขาถือว่าคนหนึ่งลูกผี คนหนึ่งลูกคน จึงไม่รู้ว่าจะเก็บคนไหนไว้ดี"

เถรี 19-07-2012 15:17

"เป็นวัฒนธรรมที่ต้องบอกว่าดีมาก ๆ ตรงที่มิดะเป็นคนที่มีประสบการณ์มาคอยสอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ให้รู้จักเรื่องพวกนี้ ทันสมัยกว่าพวกเราไม่รู้กี่ร้อยปี แต่คราวนี้เขารับไม่ได้ เพราะว่าพอศึกษาตามแบบวัฒนธรรมไทย เราไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ เขาก็อายขึ้นมา ท้ายสุดก็รับไม่ได้เลยปฏิเสธไป

ส่วนประเพณีแปลก ๆ เช่น ประเพณีล้วงสาวของกะเหรี่ยง พอถึงเวลาดึก หนุ่ม ๆ ก็จะดีดเตหน่า (พิณกะเหรี่ยง) เดินไปร้องเพลงไป บ้านไหนสาวยังไม่หลับ ก็ล้วงมือเข้าไป ถ้าหากว่าเขาตอบรับก็จะจับมือ แล้วก็ย่องไปคุยกัน แต่ว่าพ่อแม่เขาก็รู้ พอเห็นว่านานเกินไปพ่อจะกระแอมไล่เหมือนบอกว่า “กลับบ้านได้แล้วโว้ย” แต่เขาเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมีความใกล้ชิดกัน ถ้าหากว่ารักชอบพอกันก็ไปสู่ขอแต่งงานกันต่อไป

กะเหรี่ยงที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ชุดสีขาวซึ่งมีเส้นไหมพรมยาว ๆ อันนั้นห้ามขาดนะ คนที่จะเด็ดไหมพรมนั้นได้ก็คือเจ้าบ่าวในวันส่งตัวเท่านั้น ฉะนั้น..หนุ่มคนไหนอยากคุยกับสาวแล้วเขาไม่สนใจ เขาก็จะดึงไหมพรมเส้นนั้นแหละ ขู่ว่าจะตามมาหรือไม่มา อย่างไรก็ต้องตามไปคุยกับเขา ถ้าโดนดึงขาดก็ขายไม่ออกเลย เพราะถือว่าแต่งงานไปแล้ว"

เถรี 19-07-2012 15:37

ถาม : เมื่อเร็ว ๆ นี้เห็นในโทรทัศน์มีการรณรงค์ โดยขึ้นข้อมูลว่า วัยรุ่นไทยท้องโดยไม่พร้อมสูงสุดในเอเชีย ให้ป้องกันไม่ให้กลายเป็นสูงสุดในโลก ?
ตอบ : ประเทศของเราเลียนแบบวัฒนธรรมอเมริกาโดยที่พื้นฐานของเราไม่ใช่แบบอเมริกา อเมริกาเขาให้ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันก่อนแต่ง ในลักษณะว่าถ้าจริตนิสัยหรือรสนิยมไปกันได้ก็จะขอแต่งงานกัน บางทีอยู่กันจนมีลูกสองคนสามคนแล้วค่อยแต่งงาน แต่ของเขาพอเข้าวัยรุ่น คือเริ่ม ๑๓ ปี พ่อแม่จะให้ทำงานหาเงินเองแล้ว ไม่มีมาส่งเสียเลี้ยงดูแบบของเรา

เด็กเขารับผิดชอบชีวิตได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ แล้วแต่งกันได้ เขาจะต้องคิดว่าถ้าเพิ่มมาอีกคนเขาจะเลี้ยงดูได้ไหม ถึงขนาดที่ว่าสามีภรรยากินข้าวโต๊ะเดียวกัน แต่ต่างคนต่างจ่าย เราไม่มีธรรมเนียมตรงนี้ เราไปเลียนแบบการมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่วัยรุ่น แต่ความรับผิดชอบของเราไม่มี เราไปเลือกวัฒนธรรมตรงที่เราชอบมาก็เลยเจ๊ง..! อย่างไอแพด ไอโฟน คนไทยเราซื้อเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นึกเอาแล้วกันว่าประชากรของเราแค่ไม่กี่คนเอง

สมัยอาตมาเรียนอยู่มัธยมปีที่ ๑ มีรุ่นพี่ที่เรียนอยู่มัธยมปีที่ ๓ เขาท้อง ต้องย้ายหนีจากนครปฐมไปอยู่โคราชเลย เพราะว่าสังคมสมัยนั้นเขาไม่ยอมรับ ตกเป็นขี้ปากโดนเขานินทา กลายเป็นเป้าสายตา เป็นเป้านินทาของทั้งหมู่บ้านทั้งตำบล ก็อยู่ไม่ได้ แต่ปัจจุบันสังคมที่คอยควบคุมในลักษณะอย่างนี้ไม่มีแล้ว

เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็มักจะไปเรียน โดยการขอพ่อแม่เช่าหออยู่ ก็เลยหาคนมาช่วยกันจ่ายค่าหอ..! ก็ไปกันใหญ่ สังคมเราเปลี่ยนไป การควบคุมโดยสังคมไม่มี ที่เขาเรียกว่าระบบล่มสลาย แล้วก็รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เหลือแต่จะทำอย่างไรให้เขาละอายชั่วกลัวบาป ตรงนี้ก็เป็นภาระของพระอีก

เถรี 19-07-2012 15:53

ถาม : การปฏิบัติทุกอย่างต้องใช้การจับลมหายใจหรือครับ ?
ตอบ : การปฏิบัติทุกอย่าง ถ้าไม่จับลมหายใจเข้าออกก็ทรงตัวยาก

ถาม : แล้วอย่างพวกเล่นของ ?
ตอบ : ต่อให้เล่นไสยศาสตร์ก็ต้องภาวนาเอาลมหายใจเป็นหลัก ถ้าไม่มีสมาธิก็ทำของไม่ขึ้น

เถรี 20-07-2012 13:17

ถาม : ธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ผมได้เห็นบ้างครับ
ตอบ : แน่ใจนะ..ถ้าจะเอาก็ให้..! อาตมาเองลำบากลำบน ต้องทุ่มเทความพยายามชนิด “ตายเป็นตาย” มาแลกกับการปฏิบัติ อยากได้แบบนี้ก็เอาไปเลย

เถรี 20-07-2012 13:45

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะออกหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์หรอก เกิดจากตอนหลวงตาวัชรชัยท่านย้ายจากวัดท่าซุงไปอยู่วัดเขาวง แล้วท่านออกหนังสือเสียงจากถ้ำ ท่านก็ชวนอาตมาเขียนให้ท่าน พอเขียนไปเขียนมาก็นึกว่า แล้วทำไมเราไม่ทำเสียเอง ? สรุปว่าพี่เขาออกหนังสือก่อนเป็นปี ตอนนี้เพิ่งจะได้ ๑๐ กว่าเล่ม ส่วนอาตมาออกทีหลัง ตอนนี้ไปเกือบร้อยเล่มแล้ว เพราะว่าออกทุกเดือน ท่านเองเขียนไม่ทันก็ปล่อย บางที ๒-๓ เดือนค่อยออกเล่มหนึ่ง

สมัยก่อนเวลาไปธุดงค์ก็บันทึกเป็นบันทึกประจำวันไว้ ถึงเวลาก็ตัดมาลง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยดีตรงที่ว่านาน ๆ ไปความลับส่วนตัวจะหายหมด คนรู้ว่าแอบทำอะไรมาบ้าง"

เถรี 20-07-2012 13:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นิลกาฬ ในนพรัตน์ จริง ๆ แล้วคือไพลิน เราอย่าไปคิดว่าเป็นนิล นิลที่เราเห็นทุกวันนี้คือนิลตะโกที่เขาท่องว่า "เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต.." นั้น สีหมอกเมฆนิลกาฬไม่ใช่นิลตะโก แต่เป็นไพลิน

คนเข้าใจผิดมาเยอะ คิดว่าทำไมเอานิลซึ่งเนื้ออ่อนมากเข้าไปปนอยู่ในนพรัตน์ โบราณเขาเรียกสีน้ำเงินว่านิล จึงต้องเป็นไพลิน"

เถรี 20-07-2012 14:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม มีจำนวนมากด้วยกันที่เป็นอัจฉริยะด้านใดด้านหนึ่ง มีอยู่คนหนึ่งคิดเลขเร็วกว่าเครื่องคิดเลขอีก แต่สมองด้านอื่นเขาไม่พัฒนา เขาพัฒนาด้านเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งฟังภาษาอะไรรู้เรื่องหมด พูดได้ ๒๐๐ กว่าภาษา แต่เป็นดาวน์ซินโดรม สมองทำงานด้านเดียว ด้านอื่นไม่ทำ ถ้าหากสมองเขาใช้ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นคงประเภทสร้างโลกใหม่ได้เลย จึงต้องให้มาแค่นั้น"

ถาม : เขาพูดได้โดยไม่ต้องเรียนเลยหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกับมีสัญชาตญาณในการจับการออกเสียงและสื่อความหมายได้เร็วกว่า เขาก็เลยเรียนได้เร็วมาก พวกภาษาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกาเขายังพูดได้ พวกนี้มีแววว่าถ้าบรรลุมรรคผลจะได้เป็นนิรุกติปฏิสัมภิทา

ถาม : พวกปัญญาอ่อนนี่เขาเข้ามาทางธรรมได้หรือเปล่า ?
ตอบ : เรื่องของการทำบุญทำกุศล ไม่ว่าอยู่ในสภาพไหนก็ทำได้ อย่าลืมว่าเขาเกิดเป็นคนนะ ภูมิจิตภูมิธรรมสูงกว่าสัตว์เดียรัจฉานตั้งเยอะตั้งแยะ หมูหมากาไก่ยังทำบุญได้ อย่างโฆษกเทพบุตร มัณฑุกเทพบุตร เอราวัณเทพบุตร เขาทำบุญของเขาก็ขึ้นไปเป็นเทวดา เพราะฉะนั้น..คนเรามีโอกาสมากกว่าตั้งเยอะ อย่าให้เสียชาติเกิดก็ใช้ได้แล้ว เกิดมาแล้วกินทุนเก่าอย่างเดียว ไม่ยอมทำใหม่ก็แย่

เถรี 20-07-2012 15:42

ถาม : เวลาของเข้าตัว แล้วจะเป็นอันตรายหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าของขยายขนาดหรือเปล่า ? ถ้าไม่ขยายขนาดก็ปล่อยให้เข้าไปสิ พวกนี้เวลาเข้าไปในตัวเราแล้วจะขยายคืนเป็นของเดิม เราถึงจะเกิดอาการผิดปกติ

ถาม : ตอนงานเสาร์ห้าที่วัดท่าซุง เขาพุทธาภิเษก รู้สึกมีของดันมาที่ข้อมือแล้วปล่อยออกไป
ตอบ : สำนักใหญ่ส่วนใหญ่เขาอยากจะลองของกัน อย่างที่วัดท่าขนุนเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่าน พอทำพิธี ผอ.จันทร์แรมก็แปลกใจว่า “เห็นที่อื่นเขาต้องไปสวดภาณยักษ์ พยายามใช้เสียงสวดดัง ๆ ข่มเข้าไว้ แล้วคนถึงจะดิ้นจะร้องกัน เห็นพระอาจารย์นั่งเงียบ ๆ เขาก็ดิ้นกันตึงตังโครมคราม” ผอ.ท่านไม่ทราบว่าพวกนี้โดนไสยศาสตร์มา

เถรี 20-07-2012 17:17

ถาม : ไปฝึกมโนยิทธิที่ศูนย์พุทธศรัทธามาครับ เวลาขึ้นไปก็เห็นภาพพระ แต่ยังไม่ใสครับ พยายามทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ใช้ได้แล้วจ้ะ ให้เอากำลังเกาะพระนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แรก ๆ จะชัดหรือไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ขอให้เรามั่นใจว่าอยู่ตรงนั้นได้ก่อน พอนานไป ๆ สภาพจิตที่เคยชินกับความหมดกิเลสของพระนิพพาน และการอยู่กับสมาธิ จะผ่องใสขึ้นเรื่อย ๆ ความชัดเจนก็จะมีมากขึ้น

ถาม : ผมเองเดิมเป็นคนชอบพวกหมอผี พวกคาถาอาคมต่าง ๆ แต่พยายามจะไม่นอกลู่นอกทาง ?
ตอบ : ใช้ได้..ไม่เป็นไร เพราะถ้าเราสังเกตดูพวกตัวบทคาถาจริง ๆ ก็เป็นหัวใจพระธรรมทั้งนั้น เพียงแต่อยู่ที่เราใช้ ถ้าเอาไปเบียดเบียนคนอื่นก็เป็นไสยดำ ถ้าไม่เอาไปเบียดเบียนคนอื่น แต่เอาไปช่วยเขา ก็มีประโยชน์เสียด้วยซ้ำไป ต่อให้เราเล่นไสยศาสตร์มาเต็ม ๆ เลยก็ตาม เพียงแต่เราเปลี่ยนวิธีใช้ ก็กลายเป็นพุทธศาสตร์ไปเท่านั้นเอง

อยู่ที่ความตระหนักรู้ของเรา ว่าเราทำไปแล้วเบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้เบียดเบียนคนอื่น ช่วยเหลือเขาด้วย ก็เล่นไปเถอะ เป็นกีฬาสมาธิอย่างหนึ่ง ช่วยให้สมาธิของเราดีขึ้น


ถาม : บางทีก็ชอบกุมารทอง
ตอบ : อาตมาก็เคยเลี้ยงกุมารทอง แต่ซนมาก เขาเล่นกับหลานชาย ลากลงบันไดมา ๑๐ กว่าขั้น กองอยู่ตรงที่พักบันไดข้างล่างเลย เล่นกันรุนแรงขนาดนั้นแต่ไม่เป็นอะไร สนุกสนานเฮฮาของเขา แต่คนเป็นพ่อแม่จะหัวใจวายตาย

เถรี 20-07-2012 17:49

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้จ้ะ..แค่เราตั้งใจทำดีก็เป็นบุญแล้ว นี่เรายังลงมือปฏิบัติด้วย ในบาลีท่านบอกว่า การปฏิบัติแม้กระทำแค่เพียงช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็คือแวบเดียวเท่านั้น ยังมีบุญใหญ่ มีอานิสงส์เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราบรรลุมรรคผลได้ภายหน้า เพราะฉะนั้น..ยิ่งทำมากระยะทางก็สั้นเข้า ถ้าทำน้อยระยะทางก็ยาวหน่อย

เถรี 21-07-2012 09:59

ถาม : ธูปเทียนที่เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรสามารถเก็บไว้ใช้ได้ ถ้าเป็นธูปเทียนที่ใช้รับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ได้เหมือนกัน..เราตั้งใจรับด้วยความเคารพ บารมีพระท่านส่งไปถึงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ธูปเทียนในพิธีจะอยู่ที่บ้านหรือที่วัดก็ใช้ได้เหมือนกัน

เถรี 21-07-2012 10:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือแต่ละเล่มกว่าจะเสร็จได้นั้นยากเย็นเข็ญใจ จัดวางรูปเล่มกว่าจะลงตัว บางทีไม่ได้นอนเป็นวันเป็นคืน ทำทั้งวันไม่พอ ต้องทำทั้งคืนต่ออีก แล้วโยมก็บอกว่าทำไมไม่ออกเยอะ ๆ ? แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว..!"

เถรี 21-07-2012 11:38

ขณะที่โยมกำลังกราบพระอยู่ พระอาจารย์ท่านชี้ให้ดู แล้วกล่าวว่า “คนนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราช มาเกิดแล้วคิดจะกลับไปให้เหนือกว่าพรรคพวก บางทีพออาตมาบอก..พวกเราก็พอจะสังเกตดูจริยาบางอย่างได้ แต่ถ้าไม่บอก..พวกเราก็ดูไม่ออกหรอก”

เถรี 21-07-2012 12:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพี่เปี๊ยก พระที่มาคุมการก่อสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมหน้าวัด ท่านคุมการก่อสร้างยิ่งกว่าระบบทหารอีก กินเต็มที่ แต่เรื่องนอนไม่ต้องพูดถึง งานไม่เสร็จไม่ได้นอนหรอก

กินเต็มที่ก็คือเราจัดให้ ถ้าหากว่าไม่พอท่านจะซื้อเพิ่มเอง ท่านบอกบางที่จัดอาหารมานิดเดียว แล้วพระ ๒๐ รูป ต้องไปซื้อกินกันเอง ถือว่าท่านไปทำให้เขาด้วยใจจริง ๆ เลย ทำด้วยใจไม่พอยังต้องควักเงินเพิ่มอีก ท่านจะสร้างพระไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ ๑๐๘ องค์ทั่วประเทศ วัดเราเป็นองค์ที่ ๒๑ "


ถาม : แล้วบรรจุของไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : พระเศียร

เถรี 21-07-2012 12:22

ถาม : ช่วงกรรมฐานตอนเย็น พอเสียงสมาทานพระกรรมฐานหลวงพ่อจบ แล้วขยับตัวนั่งท่าที่สบาย มารู้ตัวอีกทีก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแล้ว ต่อเนื่องกันเลย ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกหายไป ทำไมเราขาดสติได้ขนาดนั้น ?
ตอบ : ต้องถามตัวเอง เพราะว่าสภาพจิตทรงเป็นฌาน แต่ว่าความหยาบมีมาก สติจึงตามไม่ทัน

เถรี 22-07-2012 16:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักอาทิตย์ที่ผ่านมา พระที่วัดมีคำถามว่า มีคนอยากได้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๒ เนื้อสีแดงมากเป็นพิเศษ จึงเอาพระกริ่งพิชัยสงครามรุ่น ๑ พระองค์ที่ ๑๑ กับพระอีกองค์หนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นพระอะไร มาขอแลกพระปิดตาสีแดง ๑ องค์ ในศีลบอกว่าห้ามภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น..เขาจะโดนอาบัติหรือเปล่า ?

อาตมาก็เลยบอกว่า การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์นั้น จริง ๆ เขาหมายเอาเรื่องขาดทุนกำไร อย่างเช่น เอาผ้ามาแลกกัน ผ้าของคฤหัสถ์เขาดีกว่า ราคาสูงกว่า อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้สำหรับงานนี้ ถ้าคุณโดนอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ห้ามสละให้คนอื่น ต้องสละให้เจ้าอาวาสเท่านั้น..!


คนแลกก็กล้าลงทุน พระกริ่งพิชัยสงครามรุ่น ๑ ยังไม่พอ ยังแถมพระองค์ที่ ๑๑ อีก กับพระอะไรอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ แต่ละอย่างในเว็บราคาเป็นหมื่น ๆ ทั้งนั้นเลย อาตมาก็ไม่ทราบว่าอะไรทำให้เขาชอบพระปิดตามากเป็นพิเศษโดยเฉพาะสีแดง ถึงได้ขอแลกกันดุเดือดขนาดนั้น"

เถรี 22-07-2012 17:00

"พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ดัดแปลงมาจากพระปิดตานะมิ ของหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค รุ่น ๒ ถอดแบบของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีมา ยังไม่รู้ว่ารุ่น ๓ จะลอกแบบใครดี ? รุ่น ๓ นี่จะดังที่สุด เพราะอาตมาจะเอายานัตถุ์หลวงพ่อมาผลิต"

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็เป็นพระผงสิครับ ?
ตอบ : เป็นพระผง แต่พระผงทางเมตตามหานิยมส่วนใหญ่ก็เป็นพระปิดตา คราวนี้พระปิดตารุ่น ๓ เราจะทำแบบไหนดี ?

ถาม : เอาแบบหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงปู่แก้วหรือ ? เอาหลังแบบด้วยไหม ? อาตมามีหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ แต่เป็นเนื้อชินตะกั่ว ท่านออกรุ่นนี้สมัยอยู่วัดปากทะเล หรือไม่ก็เป็นพระปิดตาแบบวัดสะพานสูง แบบลอยองค์เลย ขอเวลาก่อน..มีโครงการว่าจะสร้าง แต่ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไร

เถรี 22-07-2012 17:17

มีโยมนำแหวนจักรพรรดิวัดท่าซุงมาถวาย เพื่อบรรจุในองค์พระ พระอาจารย์เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นของวัดท่าซุง
"ของจำหน่ายกับมือก็เลยจำได้ สมัยนั้นอาตมาเป็นมือจำหน่ายวัตถุมงคล ปกติเป็นคนที่ไม่มีหน้าที่ในวัด นอกจากอยู่เวรอยู่ยาม ถึงเวลาหลวงพี่วิรัชจะมาตามไปช่วยจำหน่ายวัตถุมงคล เพราะอาตมาทำยอดสูงสุดได้ทุกครั้ง

เนื่องจากเป็นคนจำแม่น ก็เลยไม่กลัวโยมโกง โยมต้องการดูกี่แบบ อาตมาหยิบส่งให้หมดเลย ๓ - ๔ คนตรงข้างหน้า ส่งให้ไปเรื่อย พอถึงเวลาเขาถามราคาก็บอกเขาเสร็จสรรพ และไม่เคยพลาด"


ถาม : มีคนขโมยด้วยหรือครับ ?
ตอบ : มี...เขาไม่ได้ขโมยหรอก ขอดูแล้วก็เดินหนีไปซึ่ง ๆ หน้าเลย แล้วคนเบียดกันเป็นพัน ๆ ใครจะไปตาม ?

มีอยู่ครั้งหนึ่ง โยมผู้หญิงคนหนึ่งขอบูชาลูกแก้ว เขากลิ้งดูทีละเหลี่ยม "อันนี้กระทบกันมา บิ่น..ขอเปลี่ยน" อาตมาก็ให้ เขาก็กลิ้งดูต่อ อาตมาก็ใจเย็นนั่งมอง วันนั้นกรรมฐานดี ใจเย็นมาก มีปัญญาก็กลิ้งไปไม่ว่ากัน เขากลิ้งดูเหลี่ยมไปประมาณชั่วโมงเศษ ๆ แล้วสรุปว่าเอากองนี้แหละ คิดราคามาแล้วสี่หมื่นกว่าบาท..! คุ้มจริง ๆ..คนเดียวบูชาลูกแก้วไปสี่หมื่นกว่าบาท

เถรี 22-07-2012 17:31

ถาม : ตอนนั้นลูกแก้วราคาเท่าไรครับ ?
ตอบ : มีราคา ๒๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๓๐ บาท สูงสุดลูกแพร์ใหญ่ก็แค่ ๕๐๐ บาท วันนั้นที่ใจเย็นนี่ไม่ใช่อาตมาแน่เลย ต้องมีครูบาอาจารย์สักองค์หนึ่งเหยียบให้นิ่งสนิท เพราะรายได้เยอะขนาดนั้นขืนไปอาละวาดคงไม่ได้สักบาท

อาตมาคิดว่าถ้าจะทำให้ได้จำนวนมากต้ององค์เล็ก ๆ เอาสักปลายเล็บนิ้วก้อย ถึงเวลาเผื่อเอาไว้ใส่ตลับสีผึ้งได้


ถาม : ถ้าเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ปัจจุบันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้ต่างหรอก แต่ต่างกันตรงที่นั่นเป็นของครูบาอาจารย์

ถาม : พระปิดตาใส่ยานัตถุ์ออกมาสีอะไรครับ สีแดง ?
ตอบ : สีน้ำตาล ถ้าอันไหนไม่ใช่น้ำตาลเข้มก็เป็นเพราะยานัตถุ์หมดอายุแล้ว มีคนถวายท่านมากจนใช้ไม่ทัน ยานัตถุ์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องยี่ห้อลูกสาวหมอมีเท่านั้นนะ หมอชิตก็ไม่เอา

สมัยที่หลวงปู่โง่นอยู่ หลวงปู่โง่นก็เป่ายานัตถุ์เหมือนกัน สองท่านก็นั่งคุยกัน “ไอ้คุณกับผมนี่ติดสาวคนเดียวกัน” พวกบรรดาลูกศิษย์ก็สงสัย ถามว่าใครครับ ? “ลูกสาวหมอมี” เขามียานัตถุ์หมอชิตด้วย สถานีขนส่งหมอชิตก็มาจากชื่อร้านขายยาเก่าของหมอชิต

เถรี 23-07-2012 12:00

ถาม : เวลาบวงสรวงจะต้องย้ายไปทำพิธีที่พระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกหน้าวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก..จะไปบวงสรวงเฉพาะตอนส่งงานเท่านั้น งานอื่นก็ทำที่เดิม แต่งานจะหนักที่คุณตัวเล็ก เพราะพอถึงวันสำคัญจะตามประทีปรอบ ๆ ลานสมเด็จองค์ปฐมด้วย อย่างน้อยก็ต้องใช้ประทีป ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ดวง ดูซิว่าจะผลิตไหวไหม ?

มีคนเห็นองค์พระแล้วศรัทธา ปวารณาถวายมาสามล้านบาท ที่เหลืออาตมาหาเพิ่มเอง สร้างพระตรงริมถนนก็ดีนะ คนเห็นแล้วศรัทธาก็แวะมาทำบุญ พอดีเขาแวะไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นฐานพระตรงหน้าวัด เขาก็แวะเข้าไปถามว่าทำอะไร แค่นั้นแหละ..เขาอยากทำบุญด้วย


ถาม : ใช้งบไปเท่าไรแล้วครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน แค่ฐานก็ลงไปเกือบห้าล้านบาทแล้ว ฐานพระเราตีเข็มหลุมละ ๔ เสา เพราะเขาบอกว่าน้ำหนักพระ ๓๕๐ ตัน

ถาม : อย่างคนที่บอกว่าไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นแล้วอยากทำบุญ คนนั้นจะได้อานิสงส์อะไรครับ ?
ตอบ : สงสัยจะถูกล็อตโต้เป็นพันล้าน เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นแล้วอยากทำ

ถาม : เวลามาที่นี่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันครับ
ตอบ : แล้วจะมาทำไมล่ะ ? (หัวเราะ) แค่ตั้งใจคิดจะมาเจตนาก็แน่วแน่แล้ว

เถรี 23-07-2012 12:24

ถาม : ถ้าความดีกับความชั่วหน้าตาเหมือนกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าต่างกันตรงไหน ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ผลลัพธ์ของการกระทำ ความชั่วจะชี้ให้เราเดินทางผิดอยู่ตลอด

ถาม : ถ้าเราโดนมารหลอก เราจะรู้ตัวได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : จนกว่าจะมีปัญญามากกว่าตอนนั้น ถ้าปัญญายังเท่าตอนนั้นก็เสร็จเขาไปก่อน พอปัญญามากขึ้น ก็จะรู้ว่าตรงนั้นเขาหลอก เมื่อก้าวล่วงพ้นไป เขาก็จะหาสิ่งที่เนียนกว่านั้นมาหลอกใหม่อีก

ถาม : แล้วนี่ผมโดนท่านหลอกอีกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โดนเต็ม ๆ กำลังหลอกให้ไปพระนิพพาน ดูซิว่าคุณจะไปได้ไหม ?

ถาม : ถ้าโดนหลอกอยู่ตลอดแล้ว เราจะใช้ปัญญาพ้นจากตรงนั้นได้อย่างไรละครับ ?
ตอบ : ต้องรอวาระกุศลเข้ามา พอวาระกุศลเข้ามา สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว ก็จะเห็นว่าที่เราเดินทางตรงจุดนั้นผิด หรือไม่ก็วาระกุศลเข้ามา ได้รับการทักท้วงจากผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่า ซึ่งเห็นว่าเราเดินทางผิด แล้วเราเองก็เพิ่งจะยอมรับเป็นครั้งแรกว่าผิด เพราะก่อนหน้านั้นอกุศลครอบงำอยู่ ไม่เคยยอมรับว่าผิด ก็จะอยู่ลักษณะนี้ไปเรื่อย ๆ

เถรี 23-07-2012 12:27

ถาม : เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือครับ ?
ตอบ : เป็นมานับชาติไม่ถ้วน เราจะเห็นว่าสำคัญตรงบุญกุศล เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสร้างบุญกุศลไว้ไม่ให้ขาดช่วง บุญกุศลหนุนนำอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ก็เท่ากับเราใส่เกราะ แม้จะออกรบรบโดนอาวุธบ้างก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัสนัก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แค่ดูกำลังใจของเราก็รู้ ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ไหม ? มีอิจฉา ริษยา อาฆาตพยาบาทอยู่ไหม ? ทั้งที่กำลังใจของเรารู้ว่า เขาทำอย่างนั้นเป็นเพราะอกุศลกรรมชักจูงเขา แต่การกระทำของเขามากระทบกระทั่งเรา เราก็พยายามให้อภัยเขา แต่เนื่องจากว่ากำลังใจเรายังต่ำอยู่ คิดให้อภัยเขาไปพักหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดว่า “มันว่ากูนี่หว่า” ตัวโทสะกำเริบขึ้นมาใหม่ ตัวอาฆาตพยาบาทก็ “เดี๋ยวกูจะเอาคืน” ไปเรื่อยแหละ

แต่พอนึกขึ้นมาใหม่ก็ “เออ..อภัยให้เขาเถอะ” จะยื้อกันไปยื้อกันมา จนกว่ากำลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเหนือกว่า ทีนี้ก็จะลากยาวไปเลย

เถรี 23-07-2012 12:41

พระอาจารย์ใช้ให้ลูกศิษย์ไปเปิดไฟ แล้วกล่าวโยงไปถึงเรื่องฤทธิ์ว่า "ถ้าจะใช้อิทธิฤทธิ์เปิดไฟก็ต้องเจริญปฐวีกสิณให้มาก บังคับอากาศให้แข็งตัวแล้วนึกกดลงตรงสวิทช์ไฟ แต่นี่ใช้ให้คนอื่นไปเปิดให้เป็นบุญฤทธิ์ เมื่อสั่งสมไปถึงระดับหนึ่ง สามารถบอกแล้วมีคนทำให้ อันนี้เรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องขำ

ท่านผู้รู้ถึงได้เปรียบเทียบไว้ว่า อิทธิฤทธิ์สู้บุญฤทธิ์ไม่ได้ แต่บุญฤทธิ์ก็สู้วิบากกรรมไม่ได้ ต่อให้มีบุญมากขนาดไหน ถ้าวิบากเข้ามาถึงก็ต้องเสวยผลนั้นไปก่อน"

เถรี 23-07-2012 12:50

มีโยมที่ตั้งครรภ์อยู่มาทำบุญ แล้วเอาเข็มกลัดกลัดติดอกเสื้อมา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าใกล้คลอดอย่าทำอย่างนั้นนะ โบราณเขาถือ อะไรที่ขมวด ขัด กลัด พวกนี้เขาจะไม่ให้อยู่ใกล้ตัว เพราะกลัวว่าจะคลอดลูกไม่ได้"

เถรี 23-07-2012 13:00

ถาม : ถ้าวาระบุญของเราจะรวย เรานั่งเฉย ๆ ก็ได้สิครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ถ้านั่งอยู่อาจจะมาไม่ถึง เพราะว่าความดีมีหลายองค์ประกอบ พอขาดไปองค์ประกอบหนึ่งก็มาไม่ถึงแล้ว

ถาม : ในเมื่อผมเชื่อมั่นว่า ผมต้องรวยแน่ ๆ ผมก็รอได้
ตอบ : ก็ใช่..แต่คราวนี้อาจจะต้องมีองค์ประกอบหนึ่ง คือต้องทำถึงจะได้ องค์ประกอบอื่นถึงจะมา ในเมื่อองค์ประกอบไม่ครบคุณก็นั่งรอไปสิ

ถาม : กรรมชั่วก็เหมือนกันสิครับ ถ้าเรานั่งเฉย ๆ ก็ไม่ส่งผลเหมือนกันสิครับ ?
ตอบ : ส่ง..ผลของกรรมชั่วมักจะเล็งตรง มาเร็ว ไม่ค่อยแยแสเรื่องอื่น เหมือนกับนิสัยเราตอนทำความชั่วที่ไม่สนใจอะไร ตัดสินใจทำรวดเร็ว แต่เรื่องของกรรมดีต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องอาศัยเพื่อนกระตุ้น ต้องอาศัยพระเทศน์ ต้องอาศัยกำลังใจที่ใฝ่ดีของเรา เราจึงจะกระทำความดีได้ มีองค์ประกอบเยอะกว่ามาก

ในเมื่อองค์ประกอบมีหลายอย่างกว่า เราทิ้งองค์ประกอบเสียอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็ไม่มาแล้ว ตัวนี้ต้องไปศึกษายถากัมมุตาญาณ ถ้าหากว่าเข้าถึงจริง ๆ จะเห็นว่าละเอียดยิบย่อยมากเลย

ถาม : อย่างนั้นเราก็ต้องขยันอย่างเดียว ?
ตอบ : ขยันอย่างเดียว จะมาหรือไม่มาก็ช่าง ถ้ามาก็ได้กำไร ไม่มาเราก็ได้อยู่แล้วเพราะเราทำเอง

เถรี 23-07-2012 13:15

ถาม : เราป้องกันไม่ให้วาระกรรมส่งผลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ต้องทำความดีใหญ่ให้สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ความดีใหญ่ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำได้ต่อเนื่องกัน กำลังความดีก็ส่งเราห่างจากผลกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าดีถึงที่สุดก็ตามไม่ทันเลย

ถาม : ถ้าดวงตกเล่าครับ ก็ทำเหมือนเดิม ?
ตอบ : เหมือนเดิม อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยบรรเทา อย่าให้ผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เพราะถ้าผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เราอาจจะถึงตายเลย

ถาม : แล้วถ้าอยากให้บุญส่งผลเร็ว ๆ เล่าครับ ?
ตอบ : ก็ทำความดีเยอะ ๆ ทำหนัก ๆ แต่ที่เยอะ ๆ หนัก ๆ นี่ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของทาน แต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าเป็นสมาธิกับภาวนา ถ้ากำลังใจของเราเข้มข้น สมาธิยิ่งสูงเท่าไร บางทีแค่คิดก็ได้แล้ว พอปฏิบัติไปถึงระยะหนึ่งห้ามคิดนอกลู่นอกทาง เดี๋ยวได้จริง ๆ

ล่าสุดอาตมาคิดจะเปลี่ยนโน้ตบุ๊กให้น้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) เขาทำงาน เพราะว่าของเดิมเก่ามากแล้ว หมดสภาพขนาดทำไปดับไป ก็ปรึกษากันอยู่จนกระทั่งควักเงินเตรียมจะให้เขาไปซื้อ ปรากฏว่าไปค้นในกองสังฆทาน เจอโน้ตบุ๊คมา ๑ เครื่อง เขาถวายมากี่วันแล้วก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูหรอก

ถาม : เมตตาท่านคิดให้ผมรวย ๆ บ้างสิครับ
ตอบ : ไม่กล้าคิด..กลัวตัดของตัวเองไปหมด..!

ถาม : การตัดความโลภยากนะครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ อย่างเราถึงโลภก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ตัวคิดอย่างเดียวใคร ๆ ก็คิดได้ แต่อย่าไปลงมือทำก็แล้วกัน ถ้าเราอยากได้ก็ทำให้ถูกต้องเป็นสัมมาอาชีวะ ถ้าทำผิดเมื่อไรก็กลายเป็นมิจฉาอาชีวะ

ถาม : แสดงว่าทุกชีวิตต้องเคยชั่วสุด ๆ มาแล้ว
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นเช่นนั้น

เถรี 24-07-2012 11:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "กายกรรม..การกระทำทางร่างกาย วจีกรรม..การกระทำทางวาจา สามารถที่จะระงับได้ง่ายกว่า ส่วนมโนกรรมเป็นของละเอียดจึงระงับได้ยาก แต่เราต้องระงับในลักษณะที่ว่า อยากจะคิดก็คิดไป แต่เราจะไม่พูดและไม่ทำ

ถ้าอย่างนั้นความชั่วก็ไม่ครบองค์ประกอบ จะชั่วได้แค่ใจอย่างเดียว กายกับวาจาไม่ทำ โทษหนักก็ไม่มี มีแค่โทษเบาคือกำลังใจที่เศร้าหมองเอง"

เถรี 24-07-2012 11:25

ถาม : ผมไปอยู่ต่างประเทศและเพิ่งกลับไทยมาเมื่อไม่นานมานี้ และเห็นว่าพื้นที่รอบ ๆ ข้างตัว แต่ละชีวิตจะคิดอะไรก็ได้ จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ทีนี้ความคิดในตัวเราเอง จะคิดปรุงแต่งอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนธรรมชาติ จิตของเราถ้าเข้าไปยึดมั่นในความหลงความอยาก ก็จะเป็นผลสะท้อน เป็นผลข้างเคียง เป็นอารมณ์ เป็นบทละครยาวมาก มีร้องไห้ เสียใจ
ตอบ : โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส มีครบถ้วนเลย

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีก็เมตตาผมหลายอย่างเหมือนกันครับ
ตอบ : ใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หรือว่าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านจำเป็นต้องสนับสนุน เพราะว่าปัจจุบันนี้ท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระพุทธศาสนาอยู่ จะบอกว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าก็ได้ กว่าท่านจะพ้นหน้าที่นี้ยังเหลืออีก ๒๒ ปีเต็ม ๆ

สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระที่ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ จะมากราบลาหลวงพ่อเพื่อขอไปพระนิพพาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราพูดกันได้ แต่ว่าคนที่ไม่เข้าใจเขาก็หาว่าเราปั้นเรื่องขึ้นมาเชิดชูครูบาอาจารย์


ถาม : ในพื้นที่ต่าง ๆ บนโลก การจะสื่อสารกันได้ ต้องให้บริเวณพื้นที่นั้นรับรู้และตกลงก่อน
ตอบ : โดยมารยาท ไปที่ไหนก็ตามต้องบอกเจ้าของที่ก่อน หลังจากเจ้าของที่เขาตกลงไม่ขัดคอ ทุกอย่างก็จะเรียบง่าย สะดวกสบาย คล่องตัว ถ้าเขาไม่เห็นด้วยเราก็จะสะดุดหัวทิ่มหัวตำ

จริง ๆ แล้วงานทุกอย่างก็เหมือนกัน ในโลกของความเป็นทิพย์เขาไม่ได้แบ่งแยกเขตแดนเหมือนโลกมนุษย์ เขาแบ่งเป็นภพภูมิ ฉะนั้น..ความหยาบละเอียดจึงต่างกัน เขาเห็นชัดว่าใครเป็นใคร อย่างเรานี่เห็นหน้าแต่ก็ไม่รู้จักใจ

เถรี 24-07-2012 12:05

ถาม : ผมขึ้นไปพม่ามาครับ ไปมา ๗ วัน ประทับใจเจดีย์โบตาทัวที่ย่างกุ้งมากครับ
ตอบ : พม่าเรียกว่าโบตะเทา บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ ๑ เส้น โบ คือนายทหาร ตะเทา แปลว่าหนึ่งพัน ความหมายก็คือ นายทหารหนึ่งพันนายลงทุนร่วมกันสร้างเจดีย์นี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ศาลาทางด้านข้างจะมีพระประธานอยู่องค์หนึ่งที่เป็นเนื้อสำริดแก่ทอง องค์นั้นโดนอังกฤษยึดไป ๔๐ กว่าปี กว่าจะได้คืนมา อาตมาไปเมื่อไร พอไหว้พระเกศาธาตุเสร็จก็อยู่ตรงพระประธานองค์นั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก

ภาษาอังกฤษแบบพม่าเขาเขียนอย่างหนึ่ง แต่อ่านอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นออกเสียงไม่ถูกหรอก จริง ๆ อ่านว่า โบตะเทา ตรง ๆ เลย ตะเทาคือหนึ่งพัน ถ้าตะเต๊า คือ หนึ่งหมื่น อย่างโบอองซาน ท่านนายพลอองซาน นายทหารหนึ่งพันช่วยกันสร้างขึ้นมา


ถาม : ผมประทับใจเจดีย์โบตะเทามากกว่าเจดีย์ชเวดากอง
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราเคยมีความผูกพันมาในสถานที่นั้นมากน้อยอย่างไร อย่างอาตมาเองไปทั่วประเทศพม่าเลย ที่ติดใจที่สุดคือเจดีย์เมียะตะลูนที่เมืองมะกูย มะกูยถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษออกเสียงมาเกว แต่ความจริงออกเสียงว่ามะกูย

มีโอกาสลองไปดู เป็นเจดีย์ที่ไม่ใหญ่เลย แต่เวลาเราไปเหมือนกับท่านเปล่งแสงออกมาเองได้ อร่ามเรืองไปหมด อยู่กลางแดดร้อน ๆ ไม่รู้สึกร้อนเลย เพราะฉะนั้น..ขึ้นอยู่กับความผูกพันเดิม ๆ ของเรากับแต่ละสถานที่

เถรี 24-07-2012 12:13

ถาม : ได้ไปกราบหลวงปู่เท้าหอมด้วยครับ
ตอบ : ท่านยังอยู่หรือ ? ตอนอาตมาไปท่านอายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว อยู่ที่บ้านกงโลง เมืองปินดายะ ต้องขึ้นรัฐฉานไปก่อน จากรัฐฉานถ้าเราวิ่งขึ้นถึงตองยี ต้องนั่งรถย้อนลงมาให้ถึงเมืองปินดายะ แล้วก็ออกไปที่บ้านกงโลง จึงจะเจอท่าน

ตอนที่อาตมาไปคราวนั้นถือว่าไปสาย ปกติเขาบอกว่าท่านรับแขกตอนบ่ายครู่เดียว ปรากฏว่าตอนไปถึงก็ตัดใจว่าเรามาผิดเวลา เพราะไปถึง ๙ โมงครึ่ง ไม่เป็นไร..ขอทำบุญกับท่านก็พอ ควักเงินกำลังหยอดตู้อยู่ ท่านเดินมาข้างหลังเฉยเลย แล้วญาติโยมที่รออยู่ ๑๐ กว่าคนก็ดีใจจนน้ำตาไหล กราบทำบุญกับท่าน หลังจากนั้นท่านเดินกลับ ปิดประตูต่อ ท่านออกมาพบแค่นั้นจริง ๆ ท่านเห็นว่าพวกเรากำลังใจดี ในลักษณะว่าไปเพื่อบุญจริง ๆ จึงออกมาสงเคราะห์

เถรี 24-07-2012 12:47

ถาม : ช่วยอธิบายเรื่องของจักระกลางหน้าผากหน่อยครับ
ตอบ : จริง ๆ ก็ เป็นเรื่องของทิพยจักขุญาณนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทางด้านทิเบตเขามีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์สูงมาก เขารู้ว่าพวกต่อมไพเนียล ถ้าได้รับการกระตุ้นในระดับหนึ่ง จะช่วยสร้างทิพยจักขุญาณได้ เขาก็เลยใช้วิธีกระตุ้นด้วยการเจาะหน้าผากแล้วฝังสมุนไพรลงไป อาจจะเป็นไปได้ว่า พอได้รับการเจาะแล้วฝังสมุนไพร ทำให้ความรู้สึกไปจับอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจนขึ้น แน่วแน่ขึ้น ก็เลยทำให้เกิดตาที่สามขึ้นมาได้

แต่ว่าตาที่สามจริง ๆ ไม่ได้เห็นตรงนั้น ยัง เห็นด้วยใจเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเขาอาศัยการแพทย์มาเสริมเข้าไป ซึ่งก็คือจักระตรงกลางหน้าผากนั่นแหละ

ถาม : กลางหน้าผากจะโล่งไปตลอดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ คนที่สามารถเห็นพวกนี้ได้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำหรอก เขาเป็นอยู่แล้ว อินเดียเขาเรียกว่า กุณฑาลินี เขาบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานมหาศาล

ถาม : แล้วการที่เราใช้กำลังตัวเอง กับการใช้คาถาของครูบาอาจารย์ ผลก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว สมควรที่จะใช้คาถาแล้วอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ช่วย เพราะไม่อย่างนั้นเท่ากับว่าเราไปฝืนกรรม ผลนั้นจะตกแก่เรา ถ้าหากว่าเราขอบารมีครูบาอาจารย์ ท่านจะได้คอยกันให้หรือไม่ก็รับไปแทน

ถาม : อย่างเวลารับขันครู ?
ตอบ : ใช่..ไม่อย่างนั้นก็รับเละอยู่คนเดียว กระแสกรรมเหมือนกับลูกปืนที่ยิงมา แล้วเราไปยืนขวางจะโดนใคร ? ก็โดนเรานั่นแหละ

เถรี 25-07-2012 12:36

ถาม : ช่วยแนะนำวิธีการรู้ด้วยตนเอง ให้เข้าใจชัดเจนหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก แค่เรากำหนดความรู้สึกว่าอยากรู้เรื่องอะไร แล้วก็ทิ้งความรู้สึกนั้นเสีย จากนั้นก็ภาวนาทรงอารมณ์ให้เต็มที่ คลายออกมาแล้วอธิษฐานขอใหม่อีกทีก็จะเป็นแล้ว แค่นั้นเอง อย่างคุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกฝนอะไรมากมายแล้ว

ถาม : การรู้นี่ให้รู้ด้วยตัวเองเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องมีนิมิต ?
ตอบ : ให้ระมัดระวังไว้ด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะงานเพิ่มขึ้นเท่านั้น เรื่องก็จะเพิ่มขึ้นด้วย พอเรารับรู้ได้ก็เหมือนกับโทรศัพท์ติดต่อกันได้ ต่อไปเราก็รับเละอยู่คนเดียว

ถาม : คำว่างานเพิ่มขึ้นกับเรื่องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่างเช่น เขาขอให้ทำนั่นทำนี่ หรือไม่ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา เรารับรู้มากเกิน บางทีก็ไปแบกเอาไว้แทนจนเครียด

บุคคลบางประเภท ถ้าหากมารขวางตรง ๆ ไม่ให้เขาเข้ามรรคผล คนประเภทนี้จะสู้ตะบันราด เพราะเขารู้ว่าผ่านได้แน่ เขาก็จะไม่ขวางด้วยวิธีนั้น แต่จะดึงให้ไปทำงานชิ้นนั้น ทำงานชิ้นนี้ ซึ่งเป็นงานเพื่อส่วนรวม เป็นอานิสงส์ใหญ่ที่เราเห็นอยู่ จะดึงเราไปทำตลอด จนเราไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อมรรคผลของเราเอง ซึ่งเป็นวิธีขวางของเขาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไปรู้เข้า เรื่องพวกนี้จะเข้ามาเยอะ

ถาม : ก็จริงครับ
ตอบ : เขาไม่ได้ขวางเรา เขารู้ว่าถ้าขวางเราสู้ แล้วนิสัยอย่างเรานี่ผ่านได้แน่ เขาก็ใช้วิธี “คนนั้นน่าสงสาร ไปช่วยเขาหน่อย” “สถานที่นี้น่าบูรณะ เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ไปทำเสียหน่อย” ทำเราให้มีงานอยู่ตลอด จนไม่มีเวลาปฏิบัติของเราเอง

ถาม : กรณีอย่างว่า เราต้องละวางดีใช่ไหม ?
ตอบ : ใช่..ถึงเวลาแม้แต่ดีก็ต้องละ

ถาม : การทำอะไร ถ้าเราเองทำทางเดียวเหมือนกับว่าจะมีตัวล่ออยู่ แต่ถ้าขยายไปหลาย ๆ ทางแล้วเราเลือกเอง จะดีกว่าไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่า..แต่ว่าเราต้องไม่ลืมเป้าหมายของเรา ถ้าเราลืมเป้าหมายเดี๋ยวก็โดนจูงไปไกลอีก

เถรี 25-07-2012 12:53

พระอาจารย์กล่าวกับคณะโยมที่ศึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้แบบมวยไชยาว่า "ในเรื่องที่เราศึกษานั้น เป็นมรดกที่เป็นภูมิปัญญาไทย แล้วช่วยกันรักษาเอาไว้ แต่ระยะหลังนี้มีหลายสำนักเกิดขึ้นมา ต่างคนต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของเทียม สำนักของตนจึงเป็นของแท้ จึงสร้างปัญหากันขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางทีเรื่องกิเลสคน เราต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากจะว่าอย่างไรก็ว่าไป เราใช้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์"

เถรี 25-07-2012 13:03

ถาม : ทำไมเวลาสวดบังสุกุลสะเดาะเคราะห์ จึงให้โยมเอาจิตอยู่ที่นิพพาน ?
ตอบ : กำลังใจเราต้องมุ่งสูงสุดก่อน ถ้าไปไม่ได้สูงที่สุด ก็ยังไปได้มากที่สุด

เถรี 25-07-2012 13:17

ถาม : มีคนประสบอุบัติเหตุกระดูกสันหลังหัก ควรทำบุญอย่างไรเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นครับ ?
ตอบ : "ให้คนเอาน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาทาแล้วนวดให้ ส่วนตัวเองภาวนาอิติปิโสฯ ทั้งบทไปเลยก็ได้ ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์

น้ำมันชาตรีวัดท่าซุง ถ้าหากว่าจะรักษาโรคให้อธิษฐานแล้วลองทาดูก่อน ถ้ารู้สึกปกติหรือรู้สึกเย็นแสดงว่าโรคนั้นรักษาได้ ถ้ารู้สึกร้อนแปลว่าเกินกฎของกรรม ไม่สามารถที่จะฝืนได้ หลังจากนั้นจะกินหรือทาก็แล้วแต่ ถ้ารู้สึกปกติเหมือนกับน้ำมันทาผิวเฉย ๆ หรือว่ารู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนไม่ต้องรักษาเลย กรรมนั้นเราจำต้องรับ

เดี๋ยวเอาไว้ตอนอาตมาแก่กว่านี้ จะขออนุญาตพระท่านทำบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ในชีวิตท่านเห็นหลวงปู่ปานกับอาจารย์โภคาทำได้แค่ ๒ องค์เท่านั้น แล้วก็ทำได้คนละครั้งเดียว หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านเองท่านไม่แน่ใจ เมื่อพระอนุญาตท่านก็ทำเสียเต็มที่เลย สั่งน้ำมันงาจากโรงงาน ๓๐๐ ปีบ ไปเข้าพิธี

น้ำมันชาตรีดีตรงที่ว่าเติมไปได้เรื่อย ๆ เติมเท่าไรอานุภาพก็ยังเท่าเดิม แต่ให้เอาของเก่าเททับของใหม่ อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าเอาของใหม่เททับของเก่า จะเหมือนกับเราเอาของไปเทใส่หัวพระ ในเมื่อไม่มีความเคารพท่านก็ไม่สงเคราะห์ให้"

เถรี 25-07-2012 13:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เราเอาจิตเกาะพระนิพพาน อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวพอเคยชินเข้า อารมณ์นั้นก็จะเป็นของเราเอง ฉะนั้น..เกาะนิพพานให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ สภาพจิตที่เคยชินกับการปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง พอไปนาน ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ กำลังกิเลสถอยลงไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดกิเลสก็จะหมดไปเอง นี่เป็นการบรรลุมรรคผลแบบเจโตวิมุติ"

เถรี 25-07-2012 13:38

ถาม : ตัว "พาวเวอร์" หรือเก่ง ผมเห็นว่ายังแยกออกมาเรื่อย ๆ คือ มันไม่ใช่เรา แต่ตัวอื่นก็ยังมีกิเลสแฝงอยู่อีกเยอะ ?
ตอบ : นั่นแหละตัวกิเลสเลย "ตัวกู ของกู" ภาษาพระเรียกว่า "อหังการ มมังการ"

ถาม : เห็นไปเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาหรือครับ ?
ตอบ : เห็น..ควบคุมให้อยู่ รู้ให้เท่าทันก็พอ

ถาม : บางทีมันก็พยายามสร้างเรื่อง
ตอบ : หน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่หลอก เรามีหน้าที่หลบหลีก หนีไปให้ได้

ถาม : แล้วมีวิธีหยุดอย่างไรครับ เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติธรรม ?
ตอบ : รู้เท่าทันแล้วก็วาง วิ่งเข้าหาศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก

เถรี 26-07-2012 08:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุและบรรจุของมีค่าที่สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกนั้น พระครูไพโรจนภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านถวายพระพุทธรูปทองคำร่วมบรรจุด้วย ๑ องค์ น้ำหนัก ๑๔ บาท ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว