กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3340)

เถรี 23-05-2012 12:36

ถาม : เวลานั่งกรรมฐานรู้สึกว่าร่างกายเราเป็นแค่โมเลกุลแคบ ๆ
ตอบ : อย่าลืมนะร่างกายเราที่เห็นว่าทึบ แต่จริง ๆ แล้วระหว่างโมเลกุลนี่ใหญ่มโหฬารเลย

ถาม : มีคนมาเล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับตัวเอง แล้วมีอารมณ์ใจกระทบ แต่รู้ตัวก็ค่อย ๆ เบาขึ้น
ตอบ : ถ้ากำลังใจดีขึ้นแล้วจะไม่หวั่นไหว ตอนนี้กำลังยังน้อยอยู่ พอกระทบแล้วจึงหวั่นไหว แต่ว่ายังดีที่รักษาตัวได้ เพียงแต่ว่าเวลากระทบแล้วยังหวั่นไหวอยู่ ก็ทำให้เราทุกข์เพราะอารมณ์นั้นได้

ถาม : เวลากำลังคุยแล้วอยู่ดี ๆ ก็ไม่เข้าใจในเรื่องที่พูด
ตอบ : สภาพจิตตัดระบบไป ไม่รับรู้ภายนอก หลบเข้าไปในสมาธิ สภาพจิตของเราจึงอยู่คนละส่วนกับเขาแล้ว จะเรียกว่าคนละความถี่ คนละมิติอะไรก็ช่างเถอะ ด้วยความเคยชินของเรา ถึงเวลารู้ว่าเรื่องไม่น่าสนใจเราก็เข้าสมาธิไปเลย แบบนี้เขาเรียกว่านิสัยไม่ดี ไม่เป็นไร..อาตมาก็เป็น บางคนเขามาบ่น ๆ ก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ ฟังแต่ไม่ได้ยิน

ถาม : พอหายใจแล้วเข้าใจ....(ไม่ชัด)...
ตอบ : จะสัมผัสชัดหรือว่าหนักอยู่แค่ ๓ ที่ นอกนั้นจะเป็นแนวที่เรารู้ตลอด ถ้าหากว่าความละเอียดมีมาก จะเหลือเพียงสายละเอียดเล็ก ๆ เหมือนเส้นเอ็นใส ๆ อยู่ จิตรู้ตลอด บางทีพอรู้ไป ๆ จะเย็นเหมือนกับน้ำแข็ง

เถรี 23-05-2012 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวจะเรียนต่อปริญญาเอกอีก ปริญญาทางโลกเรียนแล้วหมด แต่ไม่จบจริง แต่ปริญญาของพระพุทธเจ้าเรียนแล้วจบ ปริญญา มาจาก ปริ (รอบ , ทั่ว) + อัญญา (รู้) ถ้าจะรู้รอบ รู้ทั่วจริง ต้องรู้วิธีหนีทุกข์ เรื่องเรียนทางโลกมีแต่เพิ่มทุกข์"

ถาม : แล้วท่านเรียนทำไมครับ ?
ตอบ : เรียนเพื่อประโยชน์คนอื่นเขา เรียนเป็นตัวอย่าง เวลาเรียนอยู่เห็นเพื่อนเขาทุ่มเทกันด้วยความทุกข์ยากลำบาก บางคนถึงขนาดล้มป่วยไปเลย อย่างพระครูปลัดชลอ อาตมาก็ว่ามันยากขนาดนั้นเลยหรือ ? ท่านไม่ใช่คนไม่เก่ง ท่านเก่งนะ แต่ทำไมรู้สึกว่าท่านต้องแบกขนาดนั้น แสดงว่าอาตมาเองผิดปกติ

ขนาดหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ท่านบอกว่า “ไม่เอาแล้วนะ ผมเอาแค่โทนี่แหละ ถ้าเอกให้อาจารย์เล็กเรียนไปคนเดียวเถอะ” ท่านเองตอนเรียนโทท่านไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอก ท่านให้ท่านเอกที่เป็นลูกศิษย์มาเรียน แล้วก็สรุปเนื้อหาไปให้ท่าน ท่านก็ดูก่อนนอนแต่สอบแล้วได้เอ ส่วนลูกศิษย์ได้บี (หัวเราะ) อย่าลืมว่าสมาธิท่านดีกว่า แค่ดูสรุปท่านก็จำได้หมดแล้ว

เถรี 23-05-2012 17:06

ถาม : ลูกดื้อมากเลยค่ะ
ตอบ : เป็นปกติของเด็ก ฟาดเขาไปสิ..รักลูกจนไม่กล้าตีแล้วจะไปโทษใคร

ถาม : หนูตีเยอะนะคะ
ตอบ : เราไปตีแบบไม่มีเหตุผล ตีแบบระบายอารมณ์ เราต้องให้เหตุผลเด็กไปก่อนว่าอย่างนั้นทำไม่ได้ ถ้าทำอีกแม่จะตี แต่นี่เราให้อภัยเขาไปเรื่อย พอถึงเวลาทนไม่ไหวก็ระเบิดทีเดียว เด็กเขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำผิดขนาดนั้น เราไปตีมากเกินไปเขาจะดื้อ แต่ถ้าหากว่าเราให้เหตุให้ผล โดยเฉพาะผู้ใหญ่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ถ้าเราอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เด็กจะไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น..เราเองต้องฝึกตัวเองเสียใหม่

เถรี 23-05-2012 17:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "จากสารคดีเรื่อง soul of nation ที่ฝรั่งเขามาสัมภาษณ์ในหลวงเมื่อ ๓๐ ปีก่อน เขาถามพระองค์ว่ามีเป้าหมายและวางแผนในการทำงานอย่างไร? พระองค์ท่านตรัสว่า

“ถ้าคุณถามข้าพเจ้าว่ามีแผนอะไรหรือไม่ ข้าพเจ้าขอตอบว่าไม่มี เพียงแต่รู้ว่าในวันหนึ่ง ๆ เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าสิ่ง ๆ นั้นคืออะไรบ้าง แต่เราจะต้องทำ และจะต้องเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ นั่นคือแผนในใจของข้าพเจ้า” สารคดีดี ๆ แบบนี้ ถ้าไม่ขุดขึ้นมารักษาไว้ก็มีแต่จมหายไปเรื่อย"

เถรี 24-05-2012 07:43

ถาม : ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปข้างบน เห็นวิมาน เห็นท่านข้างบนสององค์ องค์หนึ่งอยู่ ๆ ร่างกลายเป็นสีดำ หนูคิดว่าเป็นมาร ตกลงองค์ใดที่เป็นพวกเรา ?
ตอบ : กำหนดใจถามท่านตอนนั้นไปก็หมดเรื่อง

ถาม : หนูคิดว่าเป็นมาร บอกว่าไม่เอา ๆ
ตอบ : บางทีก็เป็นพวก ๆ กันนั่นแหละ มาลองแกล้งดูว่าจะตกใจไหม ? ถ้ามารมาจะประสาทเสียกว่านี้ พวกเรายังรู้ความซนของเทวดาน้อยไป ตอนอาตมาไปพม่าก็อาราธนาท่านปู่พระอินทร์ไปด้วย ปรากฏว่าช่วงจะกลับจากวัดเขาตามะยะ ท่านปู่บอกว่าติดงานสำคัญ คงมีใครอัญเชิญท่านไปงานอะไรสักอย่าง ท่านบอกว่าไม่ได้ตามดูแลช่วงนี้ จะให้พี่ ๆ มาแทน

ปรากฏกว่าพี่ ๆ ที่มามี พี่พวงทิพย์ พี่พรทิพย์ พี่พรสวรรค์ พี่เกศแก้วมณี สุดยอดทั้งนั้นเลย ระดับยอดขุนพล แล้วสนุกกัน ปลอมเป็นพระนั่งเต็มหลังคารถ หัวเราะคิกคักกันมาตลอดทาง พอมาถึงมะละแหม่ง จราจรโบกเรียก ยึดใบขับขี่ บอกว่าให้พระนั่งบนหลังคารถมากจนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

คนขับรถก็เถียงบอกว่าไม่มี จราจรก็ยืนยันว่ามี ฝ่ายคนขับกลัวไปส่งพวกเราไม่ทันก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเอาใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกัน ขอไปส่งพระที่มุด่งก่อน” อาตมาบอกครูบาน้อยที่ไปด้วยกันว่า พี่เขาปลอมเป็นพระพม่านั่งมาเต็มหลังคารถ ปกติท่านเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ต้องมีมาด คราวนี้ท่านมางานที่ไม่เป็นทางการ ท่านก็สนุกของท่านไป ไม่รู้ป่านนี้คนขับกับจราจรคุยกันรู้เรื่องแล้วหรือยัง ? เพราะคนขับก็ต้องยืนยันว่าไม่มีพระบนหลังคา จราจรก็ยืนยันว่านั่งกันมาเต็มหลังคา

ถาม : แล้วทำไมคนขับไม่ออกมาดูเองคะ ?
ตอบ : ออกมาดูก็ไม่เห็น ส่วนจราจรเห็น คนขับคงคิดว่าตำรวจหิวเงินจะมาไถ ก็เลยตั้งข้อหาบ้า ๆ

ถาม : ท่านพี่นั้นเป็นใครคะ ?
ตอบ : ๔ องค์นั้นเป็นพี่ ๆ ของพวกเราเองแหละ เป็นลูกพ่อด้วยกัน

เถรี 24-05-2012 08:41

พระอาจารย์คุยกับโยมที่ออกแบบบุษบกพระลีลาประทานพรว่า "บุษบกลักษณะโบราณเขาเรียกว่า จอมแห เข้าใจคำว่าจอมแหไหม ? เวลาที่เขาเหวี่ยงแหไปแล้วสาวคืนมา ก็คือปลายเล็กโคนใหญ่ ลักษณะทรงของพระพุทธบาทที่สระบุรีนั่นแหละ เขาเรียกทรงจอมแห

ถ้าเราไม่เคยหาปลาเราก็ไม่รู้จักจอมแห เวลาเหวี่ยงแหไปกว้าง ๆ พอเขาสาวแหขึ้นมาแหก็จะสอบลงมา เขาก็ออกแบบมาเป็นบุษบก ถ้าคุณเหวี่ยงแหไม่เป็นอาจจะฟันหลุด คือเขาต้องการให้แหบาน ก็เลยคลี่แหออกมาแล้วเอาปากคาบช่วย ตอนเหวี่ยงแหไป ถ้าลืมอ้าปากนี่ตะกั่วจะกระชากฟันหลุดเลย

แล้วก็จะมีปลาดวงซวย พอถึงเวลาเขาเหวี่ยงไปครอบแล้วสาวขึ้นมา ปลาดันว่ายไปชน อยู่ข้างนอกแล้วติดขึ้นมา ที่เขาเรียกว่า "ติดหลังแห" แล้วคราวนี่คนไม่เข้าใจเปลี่ยนเป็น "ติดร่างแห" ความจริงคือติดหลังแห เป็นปลาที่ซวยสุด ๆ เลย เพราะว่าอยู่ข้างนอกแหแล้วดันมาชนติดเอง นั่นแหละเขาถึงได้บอกว่า คนดวงซวยที่อยู่ ๆ มีเรื่องมีราวแล้วก็โดนไปด้วย เขาเรียกติดหลังแห ส่วนแพะรับบาปคือคนเขาตั้งใจใส่ร้าย"

เถรี 24-05-2012 08:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ายังตกใจอยู่ก็แปลว่าจิตอยู่นอกกายมากเกินไป พอส่งออกไปไกลแล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นจะวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้ อาการที่จิตวิ่งกลับมาเร็วเกินไปนั้นเขาเรียกว่าตกใจ เพราะพรวดพราดกลับมา ถ้าจิตยังอยู่กับตัวก็จะไม่ตกใจ เพราะอยู่ข้างในแล้ว นั่งอยู่สบาย แขกไปใครมาก็ไม่รีบร้อน เพราะนั่งอยู่กับที่แล้ว"

เถรี 24-05-2012 11:37

พระอาจารย์กล่าวถึงไม้ผลว่า "มะมุด ผลคล้าย ๆ มะม่วงแต่ลูกกลม อาตมาลงไปปักษ์ใต้ครั้งแรกไม่รู้จักมะมุด ชาวบ้านสอยมา ๒ ลูก เขาอุตส่าห์เลือกลูกที่สุกมาให้ พอดมดูจึงรู้ว่ากลิ่นแรงมาก เอาใส่ไว้ท้ายรถ วิ่งไปไม่ถึงชั่วโมง กลิ่นตลบไปทั้งรถ ทนไม่ไหวต้องเอาออก อาหารปักษ์ใต้รู้สึกว่ากลิ่นแรงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสะตอ ลูกเนียง หรือแม้กระทั่งมะมุด

มะมุดเสียอยู่อย่างเดียวตรง "ไคล" เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักไคลแล้ว ไคลก็คือขนที่เม็ดมะม่วง ไคลแข็งเป็นหนามเลย ถ้างับแรง ๆ แล้วจะหลุดติดมาเหมือนอย่างกับเศษไม้ติดฟันเลย ที่เขาบอกว่ามะม่วงเริ่ม "เข้าไคล" หมายถึงเริ่มแก่

ส่วนทุเรียนใต้เขานิยมกินตอนเละ ๆ เขาต้องกินลูกที่หล่นจากต้นมาเลย ถ้าไม่ถึงขนาดหล่นจากต้นมาเขายังไม่กิน เพราะฉะนั้น..ที่เราบอกว่าทุเรียนเละเป็นปลาร้า ไม่กินแล้ว ลงไปปักษ์ใต้เขาว่ากำลังพอดีเลย"


มะมุด

เถรี 24-05-2012 11:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "ผลไม้ในป่าร้อยละ ๙๙.๙๙ มีรสเปรี้ยวทั้งนั้น น้อยชนิดที่จะมีรสหวาน ไม่เปรี้ยวมากก็เปรี้ยวน้อย ไปเจอสุกเหลืองอร่ามไปทั้งต้น เห็นแล้วน้ำลายหก สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าทำไมไม่มีตัวอะไรกิน พอกินเข้าไปลูกเดียว โอ้โห...ลิงยังเมินเลย เพราะเปรี้ยวมาก

เวลาแกะออกมาเม็ดข้างในจะรวมกัน เนื้อก็จะติดเปลือกมาอยู่หน่อยหนึ่ง เหมือนจะเป็นเปลือกกลวง ๆ ขนาดเอาน้ำตาลยัดใส่เต็มเปลือก เคี้ยวลงไปยังไม่รู้สึกว่าหวานเลย เปรี้ยวได้ขนาดนั้น รสชาติสุดยอดจริง ๆ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน เพราะถ้าหวานแล้วลิงคงไม่เหลือไว้ให้เรา เรื่องในป่านี่ไม่มีอะไรที่รู้เกินสัตว์ป่าอยู่แล้ว

สัตว์ต้องการธาตุเกลือ ต้องกินดินโป่ง คราวนี้คนเรามีเกลือแล้ว ถ้าเราจะเอาดินโป่งมาทำเกลือก็ต้องขุดมาละลายน้ำ กรองแล้วต้มกันขนานใหญ่กว่าจะเป็นเกลือ แต่สัตว์ก็กินแบบดินนั่นแหละ เพราะเขาทำอย่างเราไม่เป็น

อยู่ในป่าเรื่องฝนฟ้าหาความแน่นอนไม่ได้ นึกจะตกก็ตก บางทีไม่ทันรู้ตัวก็เทโครมลงมา เวลาตกแรง ๆ ร่มหรือกลดก็กันไม่ได้ เพราะเม็ดฝนเม็ดใหญ่มาก"

เถรี 24-05-2012 12:10

ถาม : สมัครสอบรอบแรกไม่ติด รอบสองจะติดหรือเปล่า ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ปกตินั่งภาวนาก็พุทโธ ๆ ไปเลย ถ้าหากว่าเราภาวนาเป็น ดูลมหายใจเข้าออกเป็น เปลี่ยนคำภาวนาเป็นสัมปะติจฉามิแค่นั้น ว่าคำภาวนาก่อนที่เราจะไปยื่นเรื่องสักชั่วโมงก็ได้ ตั้งใจว่าขอให้ติด

เถรี 25-05-2012 07:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงเที่ยงเขาเอาพระขรรค์เล่มพิเศษมาให้ดูตัวอย่าง ใครแรงไม่ดีจริงยกไม่ไหวหรอก ใครจองไว้แล้วก็รื่นเริงบันเทิงใจ ใครไม่ได้ก็เศร้าไป เฉพาะค่าชุบใบด้วยรูธีเนียมก็ใบละ ๕,๐๐๐ บาทแล้ว นี่คิดแบบกันเองมากเลย สำหรับลวดลายทั้งด้ามทั้งฝักรวมค่าชุบทองประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาทต่อเล่ม ค่าแรงผลิตลวดลายเล่มละ ๓,๕๐๐ บาท

เพราะฉะนั้น..พระขรรค์เล่มละ ๘๔,๐๐๐ บาทนี่ไม่รู้เหลือถึงเล่มละ ๔๐๐ บาทหรือเปล่า ? ใบพระขรรค์ยาว ๒๙ นิ้ว ๒ หุน เท่าของจริงเลย ทำไมถึงรู้ว่าของจริงยาวเท่าไร ? เพราะว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยดูแลทำความสะอาดเขาวัดมาให้

พระขรรค์ที่ทำปกติ ถ้าผสมสัตตโลหะสีจะออกอย่างนั้นแล้วไปกลับดำทีหลัง แต่ของเรานี่ผสมเกินแล้วออกมาสีนั้นได้ แสดงว่าช่างเขาเก่งจริง เพราะปกติโลหะหลายอย่างจะมีลาย เพราะเนื้อโลหะผสมไม่ค่อยเข้ากัน แต่นี่ตั้งแต่ต้นยันปลายสีสม่ำเสมอกันทั้งใบ"

เถรี 25-05-2012 08:14

มีคนขอคำปรึกษาเรื่องการตรวจต้นฉบับหนังสือ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าสำนวนอะไรที่เห็นว่าไม่เข้าท่าให้แก้ไขได้ทั้งหมด ตอนพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิตตรวจต้นฉบับหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง พระองค์ท่านตัดออกเยอะเลย แล้วก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนหนึ่งไปพูดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย หลวงพ่อท่านได้ยินแล้วก็หัวเราะ ท่านบอกว่า “ตัดแล้วเนื้อหาเสียไหมเล่า ? ฟังแล้วรื่นหูขึ้นไหม ? ถ้าหากว่าทำแล้วดีขึ้นก็ทำไปสิ” พวกฟุ้งซ่านมัวแต่กลัวปรามาสพระรัตนตรัยก็ไม่กล้าทำอะไร

ช่วงแรก ๆ เสด็จพระองค์หญิงตรวจต้นฉบับหนังสือให้วัดท่าซุง ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าหนังสือรุ่นเก่าของวัดท่าซุงมีสำนวนรื่นหู เพราะพระองค์ท่านเป็นนักเขียน เคยอ่านนิกกับพิมไหม ? ที่หมาเขียนจดหมายคุยกัน พระองค์ท่านเป็นคนเขียนหนังสือเรื่องนี้ โดยใช้นามปากกาว่า "ว.ณ. ประมวญมารค" นิกกับพิมเป็นเรื่องของหนุ่มจะจีบสาว สาวก็จะบอกรักหนุ่ม แต่คนสมัยก่อนอยู่ในลักษณะไม่กล้าแสดงออกมากนัก ก็เลยทำเป็นว่าหมาคุยกับหมา แต่เป็นหมาการศึกษาสูง เขียนจดหมายคุยกันได้"

เถรี 25-05-2012 08:20

ถาม : กินข้าวหมากผิดศีล ๕ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตีว่าผิดศีลไปเลยจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน ความจริงพระฉันข้าวหมากได้ แต่อาตมาไม่เอาเลยเพราะรังเกียจกลิ่น ถ้าเรากินเพราะชอบ ต่อให้เป็นอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการผิดศีลแต่เราก็เป็นทาสกิเลส เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากกินข้าวหมากแล้วพยายามจะไปสืบหาว่าผิดศีลหรือเปล่า ? แปลว่ากิเลสหลอกเราเข้าแล้ว

ไม่ใช่ว่าเราไปสืบหาว่าผิดศีลหรือเปล่าเพราะต้องการทำความดี แต่กิเลสกำลังหลอกเรา ถ้าเรารู้ว่าไม่ผิดศีลเราก็กินเต็มที่เลย เพราะฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี กิเลสลีลาเยอะ ทำท่าเหมือนกับเราเป็นคนดีมากเลย ที่ไหนได้..กำลังจะหาช่องว่างกฎหมายเพื่อจะละเมิด..!

เถรี 25-05-2012 08:29

ถาม : ตอนนี้พระศรีอาริยเมตไตรยท่านมาเกิดแล้วยังคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง อีกประมาณล้านกว่าปีท่านจึงมาเกิด ไม่ต้องไปห่วงถึงพระศรีอาริยเมตไตรยท่านหรอก ถ้าจะห่วงให้ห่วงตัวเองเถอะว่าจะทันท่านไหม ? จะเกิดในยุคท่านจริง ๆ เราต้องรักษากรรมบถ ๑๐ อย่างเคร่งครัด เนื่องจากว่าในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดได้เฉพาะคนดีเท่านั้น ถึงเวลาพระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกขบวนไปพระนิพพานกันหมด

ใครที่อธิษฐานขอเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย แค่อธิษฐานอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก ต้องรักษากรรมบถ ๑๐ ด้วย เพราะว่าถ้าหากว่ากุศลกรรมในศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่เข้มข้นพอ เวลาพระองค์ท่านเทศน์เราก็ไปไม่ได้ ยุคนั้นเขาบังคับว่าต้องระดับหัวกะทิเท่านั้น

เถรี 25-05-2012 08:48

ถาม : สงสัยว่าสมัยพระองค์ท่าน คนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พอพระองค์ท่านเทศน์คราวเดียวไปนิพพานหมด แล้วเวลาที่เหลือทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...แต่ละคนในยุคนั้นอายุยืนกันหมด ถ้าบวชเป็นพระสงฆ์ก็อยู่จนหมดอายุขัย แปลว่าอายุศาสนาของพระองค์ท่านอยู่ครบตามอายุ แต่ถ้าเป็นฆราวาสก็ไปเลย ได้เปรียบกว่าพระเยอะ ฉะนั้น..ช่วงนั้นต้องท่องไว้ในใจเลยว่า..กูไม่บวช ๆ..พอบรรลุจะได้ไปสบายเลย..(หัวเราะ)..

ถาม : จะไม่มีคนของท่านอื่น ๆ ที่ท่านฝากไว้บ้างเลยหรือคะ ?
ตอบ : ห้ามเกิด ถ้าจะเกิดก็แปลว่าจะต้องไปได้

ถาม : ไม่มีฝากแบ่ง ๆ ไว้แถวนี้บ้างหรือคะ ?
ตอบ : มี..แต่จะต้องเป็นเด็กฝากชั้นดีประเภทดีหนึ่ง เด็กฝากชั้นดีประเภทดีสองนี่ไม่เอา อาตมาเข็ดจริง ๆ กับเรื่องเด็กฝาก

เถรี 25-05-2012 09:00

คนไทยเราเชื่อว่าพระศรีอาริยเมตไตรยจะตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง คนพม่าเชื่อว่าพระศรีอาริยเมตไตรยจะตรัสรู้ใต้ต้นบุนนาค บาลีตัวเดียวกันแต่แปลคนละอย่าง

ถาม : ตกลงพระองค์ท่านจะตรัสรู้ใต้ต้นไหนคะ ?
ตอบ : รอดูพระองค์ท่านตรัสรู้ เราก็จะรู้เองว่าเป็นต้นไหน แต่จะเป็นต้นอะไรก็ตามถึงเวลาเขาก็เรียกต้นโพธิ์ทั้งหมด โพธิ คือ ไม้แห่งการตรัสรู้ อย่างของพระพุทธเจ้าเราเรียกต้นหางม้าหรืออัสสัตถพฤกษ์ เพราะว่าปลายใบมีชายยาว ๆ เหมือนหางม้า อย่างต้นราชายตนะก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าบ้านเขาหน้าตาเป็นอย่าไร แต่บ้านเราเรียกต้นการะเกด

เถรี 25-05-2012 09:17

อาตมาเคยอ่านหนังสือของคุณสุวรรณี สุคนธา เรื่องดอกเกด คุณสุวรรณีตายเร็วไปหน่อย เป็นผู้หญิงก็จริงแต่กินเหล้าคอแข็งกว่าผู้ชายอีก เพราะว่านักเขียนพอว่างก็ตั้งวงก๊งเหล้ากัน ส่วนใหญ่พอเข้าวงแล้วรุ่นพี่เขาเล่าประสบการณ์ในการเขียน ตัวเองก็เกิดจินตนาการออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี

ถาม : นักเขียนเป็นการทำให้ผู้อื่นหลงเหมือนดาราไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูการแต่ง สมัยก่อนคุณสิทธา เชตวัน ก็เขียนเรื่องบู๊ ตอนหลังพอมาปฏิบัติธรรมแล้วก็เขียนเรื่องพระอย่างเดียว อยู่ที่ว่ารู้หรือเปล่า ? เมื่อรู้แล้วก็เลิก

เถรี 25-05-2012 09:39

ถาม : ที่เขาบอกว่าหลวงปู่ปานจะตรัสรู้ใต้ต้นอัญชัน แล้วจะตรัสรู้อย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยได้ยิน ในอนาคตวงศ์ที่แปลกกว่าใครก็มีตรัสรู้ใต้ต้นไผ่ ความจริงก็ไม่แปลกหรอกเพราะว่ากอไผ่เย็นสบายดี

ตั้งแต่โบราณมาไม้ไผ่เป็นไม้เคล็ด คำว่าไม้เคล็ดก็คือแก้อาถรรพ์ หนังเหนียวแค่ไหนเจอหลาวไม้ไผ่เข้าก็เสร็จทุกราย เพราะเป็นอาวุธธรรมชาติ ถ้าหากว่าใครศึกษาคาถาชื่อโองการมหาทมื่น จะทราบว่าเขาพยายามผูกคาถาให้ครอบคลุมที่สุด มีคงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางวัน คงทั้งกลางคืน คงทั้งยืน คงทั้งนั่ง คงทั้งบนบก คงทั้งในน้ำ คงต่อหอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ ฯลฯ จะแหกคอกขนาดไหนเขากันไว้หมด

ถาม : กันไม้ไผ่ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..กันแต่อาวุธคนสร้าง ส่วนไม้ไผ่เขาไม่ได้กัน เพราะเป็นของธรรมชาติ มีกระทั่งมีดพร้าฟืนไฟ แต่ไม่มีหลาวไม้ไผ่

ถาม : ถ้ามีคำว่ากันหลาวไม้ไผ่ด้วยจะกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจเรา ต่อให้ภาวนาไป ถ้าใจไม่แน่นพอก็เสร็จเขาจนได้

เถรี 25-05-2012 10:10

อย่างหอกสัตตโลหะที่ไกรทองเอาไปฆ่าชาละวัน เขากันไว้ชนิดเดียว นี่ผสมไปตั้ง ๗ อย่าง ถ้าอยู่ ๆ มีหนุ่มรูปหล่อเดินขึ้นมาจากน้ำ เราจะวิ่งหนีหรือจะอยู่ ? เราก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าไม่ใช่งูไม่ใช่เงือก ก็ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ผิดปกติแน่ ๆ

ถาม : แล้วเขาเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : อชคราทิเปรต เป็นเปรตที่อยู่ในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่เวลาฉุกเฉินจะกลับคืนเพศเดิม เรื่องอย่างนี้ไม่ได้มีเฉพาะบ้านเรา พม่าเขาก็มีเรื่องของพญาจระเข้งาโมย่ากับนางละมุ พญาจระเข้บำเพ็ญเพียรจนสามารถแปลงเป็นคนได้ มารักกับสาวแม่ค้าคือนางละมุ คำว่าละมุ บ้านเราก็ลำพู

วันหนึ่งฝ่ายชายไปพูดผิดอะไรไม่รู้ ก็เลยกลายเป็นจระเข้ ด้วยความอายจึงหนีลงน้ำ ปรากฏว่าประเมินน้ำใจสาวเจ้าผิดไป นางละมุพายเรือตามหา แต่แถวนั้นอยู่ใกล้ปากอ่าวย่างกุ้ง คลื่นลมแรง เรือเล็กก็เลยล่ม นางละมุจมน้ำตาย พญาจระเข้คาบนางละมุขึ้นมาไว้บนบก ตัวเองก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกจนกระทั่งขาดใจตาย ชาวบ้านเขาก็เลยช่วยกันสร้างเจดีย์ขึ้นมา เรียกว่าเจดีย์แมละมุ เป็นพระเจดีย์เล็ก ๆ แต่ว่าหนุ่มสาวนิยมไปอธิษฐานให้รักกันยืนนาน

เราจะเห็นว่าบ้านเรามีไกรทอง มีชาละวัน พม่าเขาก็มีเหมือนกัน แต่จระเข้ของเขาคาบสาวไปคนเดียว จระเข้ของเรานี่คาบไปเป็นฝูง ชอบใจลูกสาวบ้านไหนก็คาบไปไว้ในถ้ำ สมัยก่อนส่วนใหญ่เขาอาบน้ำกันตามท่าน้ำ พอไอ้เข้โผล่มาก็งาบไปเลย

เถรี 25-05-2012 10:19

เมื่อช่วงสักครึ่งค่อนเดือนที่ผ่านมามีข่าวว่าปลาปิรันย่ากัดชาวบ้าน อาตมาได้ยินแล้วก็หัวเราะว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักปลาปักเป้า รุ่นของอาตมานี้ถ้าจะแกล้งชาวบ้านก็เอาปลาปักเป้าตัดหางแล้วไปโยนที่ท่าน้ำ ปลาปักเป้าโดนตัดหางว่ายไปไหนไกลไม่ได้ ก็วนอยู่แถวนั้นแหละ อะไรลงไปก็กัดแหลก เพราะปลาปักเป้ามักจะหวงที่

ส่วนคนที่ไม่กลัวปักเป้าก็หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ รุ่นอาจารย์ของหลวงปู่ปาน ถึงเวลาท่านลงไปสรงน้ำที่ท่าน้ำ พวกชาวบ้านเอะอะว่า "ปลาปักเป้าเยอะแยะหลวงตา เดี๋ยวมันกัดตาย..!" ท่านก็สรงน้ำไปหน้าตาเฉย สรงน้ำเสร็จเดินขึ้นมาปักเป้างับติดมาเต็มเลย ท่านก็แกะโยนลงน้ำไปทีละตัว ปลางับติดมาเฉย ๆ แต่กัดท่านไม่เข้า ท่านจึงไม่กลัว ปลาปักเป้าก็คงงงว่าทำไมงับแล้วไม่ได้เลือดสักที

ถาม : เกิดจากสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะการฝึกวิชาอย่างหนึ่ง ถึงเวลาได้ทดสอบตัวเองได้ว่าเหนียวพอหรือยัง โดยเฉพาะถ้ากันพวกธรรมชาติเขี้ยวงาได้นี่อย่างอื่นก็กันได้หมด เพราะว่าพวกธรรมชาติเป็นฤทธิ์อย่างหนึ่ง โดยธรรมชาติเขาให้ฤทธิ์อย่างนั้นไว้ป้องกันตัว ถ้ากันพวกนี้ได้อาวุธอื่นก็กันได้

เถรี 25-05-2012 10:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีบุคคลที่เห็นผิดเป็นชอบ กล่าวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าพระองค์ท่านสร้างภาพ อาตมาก็เลยสงสัยว่า คนเราสามารถสร้างภาพต่อเนื่องกันนานถึง ๖๐ - ๗๐ ปีเลยหรือ ? ท่านกอล์ฟเขาบอกว่า “อาจารย์อะไร ๆ ก็ไม่เอา ทำอย่างกับสร้างภาพ” อาตมาก็เลยว่า “ถ้าพระทั้งประเทศช่วยกันสร้างภาพแบบนี้ ศาสนาจะเจริญไหมล่ะ ?”

เรื่องของในหลวง ถ้าคนมีปัญญาก็จะเห็นว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำจากน้ำใสใจจริง ไม่มีใครทำได้ทนขนาดนั้น นั่นแหละคือทำดีเพราะอยากทำ ถ้าทำเพราะอยากดีคงเลิกไปนานแล้ว เนื่องจากทำเท่าไรก็ไม่ดีสักที แถมโดนด่าอีกต่างหาก"

เถรี 25-05-2012 11:38

"งานทุกอย่างจะมีอุปสรรคขัดขวางตลอด อย่างช่างที่ทำฝักพระขรรค์โสฬสเอางานไปดองอยู่เป็นเดือน ๆ ตอนนี้มาแจ้งว่าไม่สามารถจะทำทันกำหนดได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก..ขอให้ตัวพระขรรค์เสร็จมาเข้าพิธีแล้วกัน ฝักเอาไว้ทีหลัง

งานทุกขั้นตอนมีอุปสรรคตลอด ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป โดยเฉพาะหลวงพี่นิล ตอนนี้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ปะฉะดะ พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ช่างหลวงแทบทุกประเภทต้องรู้จักหลวงพี่นิลหมดแล้ว พวกช่าง ๑๐ หมู่นะ เพราะว่าถ้าไม่ได้ฝีมือระดับนั้นท่านก็ไม่เอา

เสียดายตรงที่ฝักไม้พยุง ไม้ที่ได้มาไม่ใช่ไม้แห้งค้างปี เป็นไม้ที่เขาโค่นต้นเลย พอเป็นไม้สดเอามาทำชิ้นงานบาง ๆ แบน ๆ อย่างฝัก การหดตัวก็เลยมีมาก

สมัยนี้เขาใช้วิธีจู่โจมเร่งด่วน เพราะรู้ว่าถ้ามัวแต่ไปตั้งแคมป์ ตัดไม้เลื่อยไม้อยู่โดนจับแน่ ๆ เขาใช้วิธีเข้าไปถึงก็ล้มไม้แล้วผ่าเลย ขนขึ้นรถได้ก็เผ่นแน่บ ที่แสบที่สุดก็คือไม่โค่นต้นด้วย ไปถึงก็เอาเลื่อยยนต์เจาะเฉพาะตรงกลาง ให้ได้ขนาดที่ตัวเองต้องการยาวราว ๔ - ๕ เมตรแล้วก็ยกขึ้นรถไปเลย ต้นไม้ก็โบ๋อยู่ตรงกลาง ถ้าไม่โดนลมพัดโค่นต้นไม้ก็ไม่ตาย"

เถรี 25-05-2012 11:44

ถาม : น้องคนนี้เขาป่วยบ่อยครับ
ตอบ : ป่วยมากแสดงว่าเศษกรรมปาณาติบาตมาก ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด สักเดือนละตัวสองตัว ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะดีขึ้น ทำสักเดือนละครั้ง หรือถ้าไม่เกรงใจก็อาทิตย์ละครั้งเลยก็ได้ ชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร

ถาม : เคยปล่อยนะคะ
ตอบ : เขาให้ทำประจำสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วหายเลย ถ้าทำเป็นประจำเศษกรรมจะค่อย ๆ ห่างไปเรื่อย อย่างอาตมากว่าจะเบาลงนี่ปล่อยต่อเนื่องมา ๓๐ ปี แล้วไม่ได้ทีละตัวสองตัวด้วย เหมาทีหมดตลาดเลย

เถรี 25-05-2012 12:50

ถาม : กรรมบถ ๑๐ ข้อที่ว่าห้ามพูดวาจาไร้ประโยชน์ มีขอบเขตอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ยาก...เรื่องของการพูดวาจาไร้ประโยชน์ขึ้นอยู่กับกำลังใจ เราพูดตอนนี้เราเห็นว่ามีประโยชน์ แต่คนที่กำลังใจสูงกว่าจะเห็นว่าไร้ประโยชน์ พอเราก้าวขึ้นไปสู่กำลังใจระดับนั้น คิดว่าพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ บุคคลที่กำลังใจสูงกว่าเราก็ยังเห็นว่าไร้ประโยชน์อีก เพราะฉะนั้น..กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้กำหนดขอบเขตไม่ได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

ถาม : วิธีแก้ไขทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : พูดให้น้อยลงหน่อย ใส่สติไปเยอะ ๆ

เถรี 26-05-2012 11:17

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ หลังจากล้างมือในอ่างทองคำแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า มีเคล็ดลับอะไรถึงขึ้นบ้านไหน ก็ขนของได้ชนิดเจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย ตาไป๊บอกว่า “จัดการกับหมาก่อน ถ้าหมาไม่เห่า เจ้าของก็ไม่รู้หรอก”

ช่วงหัวค่ำเขาทำทีไปสำรวจทาง เอาอาหารไปโยนให้หมากิน ไม่ได้วางยาหมานะ เพราะหมาบางตัวฉลาดวางยาไม่ได้ แต่ตาไป๊เอาเนื้อสับทอดกระเทียมพริกไทยไปให้หมากิน เนื้อสับนี้ใส่กัญชาไปเยอะเลย หมากินแล้วก็เมาหลับ เขาบอกว่าลากหางรอบบ้านยังไม่ตื่นเลย หลังจากนั้นจะขึ้นบ้านไปขนอะไรก็เชิญ เพราะเวลาดึก ๆ เจ้าของบ้านหลับไปแล้ว เนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ คนกินก็เมาตายเหมือนกัน อย่าว่าแต่หมาเลย

หมาสมัยใหม่ที่เข้าโรงเรียนฝึกมา จะไม่รับอาหารจากคนอื่น นอกจากเจ้านายตัวเอง ระยะหลังหมาบ้านเราเริ่มมีเวรมีกรรมแล้ว ต้องเข้าโรงเรียน ขนาดที่กาญจนบุรียังไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรักหมาขนาดนั้น มีทั้งอาบน้ำ ตัดขนหมา สปาหมา..!"

เถรี 26-05-2012 11:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลองฯ วันที่ ๙ มิถุนายนนี้ มีหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีกระเป๋าเอาไว้สำหรับใส่ธนบัตร ๑ ใบ มีพระนาคปรก ๑ องค์ ฉะนั้น..ใครไปงานก็จะได้ ๓ อย่างนี้ ใครไม่ไปให้เตรียมซื้อของแพงได้ เพราะว่าแจกเฉพาะในงาน กระเป๋ามีแค่พันกว่าใบเท่านั้นนะจ๊ะ ไปเกิน ๑,๕๐๐ คน ก็ต้องเสี่ยงดวงกัน เฉพาะฆราวาสนะ ส่วนของพระนี่เตรียมไว้ต่างหาก กระเป๋าเอาเข้าพิธีพุทธาภิเษกไปแล้ว ใช้งานได้เลย

งานฉลองมีคนเสนอตัวจะแสดงในงานมาหลายรายแล้ว โดยเฉพาะรายใหญ่คือคณะป้าเม้าท์จะเล่นเพลงฉ่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเพลงฉ่อยอวยชัยให้พร หรือเล่นไปเล่นมากลายเป็นแช่งก็ไม่รู้ งานเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ว่าพิธีสงฆ์จริง ๆ มีตอนบ่าย ๓ โมง เพราะฉะนั้น..พระภิกษุรอจนเที่ยงแล้วค่อยออกจากกรุงเทพฯ ก็ทัน

เหตุที่จัดบ่าย ๓ โมงนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านแนะนำว่า ส่วนใหญ่แล้วท่านมักจะติดกิจนิมนต์ตอนช่วงเพล ถ้ารับนิมนต์ของเราแล้วไปเจองานที่สำคัญกว่า ท่านก็ต้องทิ้งงานของเรา ท่านจึงแนะนำว่าให้เลยเพลไปหน่อยท่านจะได้ปลีกตัวไปได้ เหตุผลข้อที่ ๒ เป็นเหตุผลส่วนตัวของอาตมาเอง คือขี้เกียจเลี้ยงพระ เปลืองงบฯ..!

พิธีสงฆ์ก็สั้น ๆ พอได้เวลาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่ท่านก็จะอ่านสัญญาบัตร ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ อ่านหนังสือพระราชทานแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ใหญ่ที่นิมนต์จากกรุงเทพฯ และในจังหวัดก็จะเจริญชัยมงคลคาถาสั้น ๆ นาทีเดียวจบ ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแล้วก็นิมนต์ท่านกลับได้เลย"

เถรี 26-05-2012 11:45

"ลำดับต่อไปเป็นการสวดทักษิณานุประทาน ส่วนใหญ่ก็เป็นการอุทิศส่วนกุศลถวายอดีตเจ้าอาวาส ตลอดจนกระทั่งญาติ ๆ ของเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันที่ล่วงลับไปแล้ว สวดแค่ชุดเดียว ก็คือบรรดาเจ้าคณะอำเภอและรองเจ้าคณะอำเภอของกาญจนบุรีทั้งหมด ๑๓ อำเภอ ถ้าไปครบก็มี ๒๖ รูป ส่วนท่านที่เหลือดาหน้าไปได้เลย ไม่ต้องทำอะไร รับอย่างเดียว อาตมาเจอหน้าก็ประเคนทีละรูป ไม่น่าจะเกินบ่าย ๓ โมงครึ่งทุกอย่างคงเรียบร้อย ยกเว้นพระที่ท่านมาไกล มาช้า แต่ไม่มีปัญหาเพราะว่าโยมรับของแล้วกลับได้เลย ที่เหลืออาตมาก็นั่งรับท่านไปเรื่อย ๆ

อาตมานิมนต์เจ้าอาวาสและเจ้าสำนักสงฆ์ทั้งหมดในทองผาภูมิ ตลอดจนกระทั่งเพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ในเขตกาญจนบุรี ส่วนที่เหลือนิมนต์เฉพาะเจ้าคณะอำเภอและรองอำเภอเท่านั้น คนอื่นเขาบอกว่าใช้งบประมาณสามล้านบาท อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก หนึ่งล้านห้าแสนบาทก็เยอะแล้ว เพราะอาตมาไม่แจกของอื่น ไม่มีย่ามแจก ไม่มีตาลปัตรแจก พับใส่ซองทั้งหมด ท่านคงจะชอบใจกว่าเพราะเอากลับไปง่ายดี

อาตมาเคยเจอพระเถระบางรูปมีตาลปัตรเกือบ ๑,๐๐๐ อัน ก็เพราะไปงานอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนี้ตาลปัตรด้ามไม้ราคาอย่างถูก ๆ ก็ ๑,๒๐๐ บาท ย่ามอีกใบหนึ่ง ถ้าหากว่าสั่งเป็นหลาย ๆ ร้อยใบก็จะอยู่ที่ใบละ ๓๐๐ บาท ถ้าสั่งน้อยก็แพงกว่านั้น เพราะฉะนั้น..ของเราไม่สั่ง พับเงินใส่ซองไปเลย จริง ๆ แล้วอาตมาไม่อยากจัดงานฉลอง นอกจากเสียเวลาแล้วยังเปลืองเงินเปลืองทองด้วย แต่ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาจัดงานฉลองแล้วเขานิมนต์เรา ถ้าเราไม่จัดงานบ้างเขาจะเหยียบเอา..!"

เถรี 26-05-2012 11:58

พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าคนดูของเก่าไม่เป็นอย่าไปเล่นของเก่า เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ทำของเก่าได้เหมือนมาก อาตมาข้ามไปเขมร เขาพาไปตลาดของเก่า เดินดูไปได้พักเดียวก็รู้สึกเบื่อ ที่เบื่อเพราะว่าไม่ชอบให้ใครมาหลอก พอเห็นแต่ของปลอมก็เลยเบื่อ หมดอารมณ์ที่จะดู

มีอยู่ร้านหนึ่ง ทั้งร้านมีของแท้อยู่ชิ้นเดียว แล้วคาดว่าถ้าจะเอาชิ้นนั้น ราคาคงแพงหูดับแน่ ๆ เลย เพราะว่าชิ้นอื่น ๆ เห็นติดราคาต่ำสุด ๑,๕๐๐ ดอลลาร์ ก็เลยอธิบายให้โยมที่เป็นคนพาไปว่า ของเก่าเป็นของที่เก็บมานานแล้ว เนื้อโลหะจะหมดประกาย และมีสนิมขึ้น ถ้าหากว่าเก่าแล้วเงาวับ สวยน่าดูแบบนั้น แสดงว่าเขาตั้งใจทำทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าส่องกล้องดูจะเห็นความเก่าของพื้นผิวโลหะที่มีการหด มีการยุบตัว มีรอยสนิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ปลอมยากมาก ไปดูแล้วรู้สึกเหมือนว่าเขาตั้งใจหลอก อาตมาก็เลยหมดอารมณ์

โยมชวนไปดูพิพิธภัณฑ์ของเขมร อาตมาบอกเขาว่าอย่าไปเลยเดี๋ยวกิเลสจะงอกงาม ไปเห็นของเก่าชิ้นงาม ๆ แล้วเดี๋ยวเกิดอยากได้ขึ้นมา นอกจากนั้นได้เข้าไปในพระราชวังเขมรินทร์ ถ่ายของที่เขาห้ามถ่ายรูปมาหลายชิ้น เจ้าหน้าที่เขามีน้อยกว่าของบ้านเรา ขนาดโบสถ์วัดพระแก้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลพร้อม ๆ กันตั้ง ๘ คนอาตมายังถ่ายมาแล้ว

ถึงเวลาก็ถามพระท่านก่อนว่าถ่ายได้หรือไม่ ? พระท่านบอกว่าได้อาตมาก็จัดการ แต่ว่าตอนนั้นเหลือบดูด้วยว่าเจ้าหน้าที่เขาทำอะไรอยู่ เหมือนอย่างกับทุกคนพร้อมใจกันหันหลังไปทำงานอื่นพอดี เวลาท่านให้นี่คือให้จริง ๆ "

เถรี 26-05-2012 12:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่เป็นเจ้าของพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ขอแนะนำว่าอย่าไปขึ้นคม ถ้าหากว่าลับคมขึ้นมาเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง อย่างไรก็ให้ทื่อ ๆ อย่างนั้นแหละ จะได้มีอันตรายน้อยหน่อย"

เถรี 26-05-2012 12:55

ถาม : ขอวิธีที่ทำให้เรียนเก่งครับ นอกจากทำสมาธิแล้วมีวิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : คำตอบอยู่ในคำถามนั่นแหละ ทำสมาธิดีก็เรียนได้เก่งแล้ว

ถาม : อยากให้ท่านสอนวิธีนั่งสมาธิให้น้องเขาหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสอน ทำไปเลย รู้ทุกคน เพียงแต่ไม่ทำ การปฏิบัติต้องลงมือทำ การทำสงครามบนแผ่นกระดาษ เวลาออกสนามจริงตายมาเยอะแล้ว การสอนเป็นแค่ทฤษฎี ต้องทำถึงจะเกิดประสบการณ์จริง แบบเดียวกับเด็กนักเรียนช่างกล ถึงเวลาเรียนจบมาไปทำงานตามอู่ ตามศูนย์รถยนต์ วาดรูปอะไหล่สวยเหมือนของจริงเลย แต่พอบอกให้ถอดชิ้นส่วนออกมา หาไม่เจอว่าชิ้นนี้อยู่ตรงไหน เพราะไม่มีประสบการณ์จริง

แบบเดียวกับคนจีน พ่อพยายามสอนหนังสือลูกก่อนเข้าโรงเรียน เวลาทำงานอยู่พ่อก็เอากิ่งไม้ขีดพื้น บอกว่า “นี่ลูก เลข ๑” ลูกก็จำไว้เลข ๑ ขีดอย่างนี้ พอถึงเวลากินข้าวพ่อเอานิ้วจุ่มน้ำชาขีด ถามว่านี่เลขอะไร ลูกตอบไม่ได้ พ่อบอกว่า “ก็เลข ๑ อย่างไรเล่า ? เมื่อเช้าก็สอนแล้ว” ลูกบอกว่า “เมื่อเช้าเลขยังผอม ๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้อ้วนใหญ่กว่าเดิมมาก" ตอนเช้าใช้กิ่งไม้ขีดจึงออกมาเป็นเส้นเล็ก ตอนกลางวันใช้นิ้วจุ่มน้ำชาขีดจึงเป็นเส้นใหญ่ อันนี้โทษลูกไม่ได้ เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ พ่อก็ไม่ได้บอกว่าตรง ๆ แบบนี้คือเลข ๑

การเรียนจะให้เก่งต้องอ่านตำราไปเรื่อย ๆ อย่าไปโหมทีเดียวตอนใกล้สอบ ถ้าใครทำอย่างนั้นอนาคตสั้นแทบทั้งนั้น อย่างอาตมาเวลาอาจารย์อธิบายจะตั้งใจฟัง เราเรียนวิชาอะไร ? อาจารย์พูดในหัวข้ออะไร ? แล้วขยายความว่าอย่างไร ? พอฟังการขยายความเข้าใจ เราจดแต่หัวข้อก็พอ เพราะว่าอ่านหัวข้อเราก็เข้าใจแล้วว่าอาจารย์พูดว่าอะไร จดใส่เศษกระดาษด้วยนะ ถึงเวลาเลิกเรียนก็มาลอกใส่สมุด เท่ากับได้ทวนอีกรอบหนึ่ง อาทิตย์ต่อไปจะเรียนซ้ำก็อ่านทวนว่าอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้ว เท่ากับว่าเราได้ทวนอยู่ทุกวัน ไม่ต้องอ่านมาก ๆ ทีเดียว

เถรี 26-05-2012 13:08

เรื่องของหนังสือ แรก ๆ เราอ่านอาจจะไม่เข้าใจหรอก แต่ให้อ่านซ้ำไปเรื่อย ๆ พอซ้ำไปซ้ำมาจะเกิดความเข้าใจขึ้นมาเอง รอบที่ ๑ ไม่เข้าใจให้อ่านรอบที่ ๒ รอบที่ ๒ ไม่เข้าใจอ่านรอบที่ ๓ อ่านไปเถอะ บางที ๘ - ๑๐ รอบ กว่าจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร พอเราเข้าใจแล้วเราก็จำแต่หัวข้อ ที่เหลือเราสามารถขยายความได้หมดแล้ว

แต่การเรียนของเด็กสมัยนี้กับการเรียนของพระคนละอย่างกัน พระเขานิยมข้อสอบอัตนัย ให้เขียนอธิบายมา ๓ - ๕ หน้ากระดาษ ส่วนเด็กสมัยนี้เล่นกากบาทอย่างเดียวหรือไม่ก็ใช้ดินสอฝนเอา อยากจะบอกว่ากากบาทผิดแล้วผิดเลย แต่ถ้าเขียนอธิบายความจะเขียนมากเขียนน้อยอย่างไรก็ได้คะแนน คนมักไปกลัวข้อสอบอัตนัยเพราะเขียนอธิบายไม่ได้ ขอให้รู้ว่าปรนัยยากกว่า เพราะปรนัยผิดแล้วผิดเลย แก้ตัวไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ท่านที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยของพระ มักจะอธิบายความได้ดี แต่มหาวิทยาลัยของฆราวาสปัจจุบันนี้ บางทีเข้าไปไม่ได้เรียนด้วย เพราะครูสอนอยู่ข้างหน้า ข้างหลังก็นั่งกินขนม คุยกันบ้าง แต่งหน้าบ้าง เล่นบีบีบ้าง ในเมื่อไม่รู้เรื่องก็ทำแบบมั่ว ๆ กากบาทหรือฝนไปส่งเดช

มีอยู่คนหนึ่งมั่วเก่งมากแล้วได้คะแนนเต็มด้วย ดวงดีจริง ๆ เพราะว่าเขาฝน ก ข ค ง จ แล้วก็มา จ ง ค ข ก สลับไปสลับมา อาจารย์เขาดันทำอย่างนั้นจริง ๆ ลูกศิษย์ได้เต็มทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวตัวเองเลย ๖๐ ข้อถูกหมด สุดยอดมาก มากับดวงจริง ๆ

เถรี 26-05-2012 13:19

เชื่อว่าพวกเราทุกคนตั้งใจเรียน เมื่อตั้งใจเรียนแล้วให้ทำความเข้าใจบทเรียนไปด้วย พร้อมกับตั้งคำถามไว้ในใจด้วย โดยเฉพาะส่วนที่เราไม่เข้าใจหรือสงสัยจริง ๆ ให้ถามอาจารย์ อาจารย์จะชอบเด็กที่ถามมากกว่านั่งเงียบ ๆ เพราะอย่างน้อยก็แสดงปฏิกิริยาออกให้รู้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ถ้าเราไปนั่งเงียบ กลัวอาย กลัวเสียฟอร์ม กลัวเพื่อนจะว่า “จะจริงจังอะไรกับชีวิตมากมายวะ มึนไปวัน ๆ เดี๋ยวก็จบแล้ว” ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เฉาแน่

โบราณเขาบอกแล้ว สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตโต กถัง โส ปัณฑิโต ภเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุ จิ ปุ ลิ สุ ก็คือสุตตะ ตั้งใจฟัง จิ ก็คือจิตตะ ตั้งใจคิดตาม ปุ คือปุจฉา สงสัยให้ไต่ถาม ลิ คือลิขิต จดเอาไว้อ่านทบทวนด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็เรียนเก่งทุกคน

วิชาที่มี ๓ หน่วยกิต อาตมานั่งฟังตั้งแต่ต้นชั่วโมงยันท้ายชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมงไม่ไปไหนเลย แต่เพื่อนทนฟังได้ ๑๕ นาทีก็หันไปคุยกันแล้ว เพราะฉะนั้น..คนที่ทำสมาธิจะได้เปรียบ เพราะใจเรามุ่งมั่นอยู่กับบทเรียน เท่าที่เรียนมาจะชอบใจที่สุด ก็คือ ผศ.ประสิทธิ์ ทองอุ่น ๓ ชั่วโมงอาจารย์สามารถพูดไปได้เรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับน้ำไหลไม่ขาดสายสักที เพราะว่าท่านสอนมาทั้งชีวิต พวกบรรดาเนื้อหาต่าง ๆ อยู่ในหัวท่านอยู่แล้ว ๓ ชั่วโมงพูดได้ไม่หยุดเลย อาตมาเองก็ต้องจับจุดแล้วก็บันทึกเอาไว้

เด็กสมัยนี้ไม่มีใครเรียนชวเลข ตั้งแต่มีพวกเทป พวกเครื่องบันทึกเสียง ก็อาศัยเครื่องพวกนี้บันทึกเสียงไว้แทน ถ้าหากว่าพวกเราไปเจอพระเรียนเข้าเจ็บปวดกว่านั้นอีก ถึงเวลาอาจารย์ขึ้น Power Point มีหลวงตายก iPad ถ่ายรูปเก็บไว้เลย ยืนยันว่าหลวงตา เรียนปริญญาโทรุ่น ๒ ถัดจากอาตมานี่แหละ อาตมาเห็นก็ "โอ้โหเว้ย..!" ไม่ใช่แต่อาตมาหรอก อาจารย์ผู้สอนก็โอ้โห..เหมือนกัน ว่าหลวงตาทันสมัยขนาดนี้เลยหรือ ? แต่ต้องบอกว่าท่านสนใจจริง กลัวจดไม่ทันยก iPad ถ่ายไว้เลย

เถรี 26-05-2012 13:29

ถาม : ทำไมเวลาเราใช้ผลของกรรมชั่วในนรกแล้วยังต้องมาใช้ในโลกนี้ต่ออีกคะ ?
ตอบ : เพราะว่ายังใช้ไม่หมด ความละเอียดของนรกไม่พอ เพราะว่าเราชั่วได้พิสดารมาก นรกขุมต่าง ๆ เขาเอาสร้างไว้ไม่เพียงพอ ก็ต้องมาชดใช้กรรมในเขตของเปรต หลุดจากเปรตก็ต้องมาเป็นอสุรกาย หลุดจากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วถึงจะมาเป็นมนุษย์ ใช้กรรมมาเป็นระดับ ๆ ตามความหยาบละเอียดที่ทำมา กรรมหยาบ ๆ ก็ใช้ในนรก ส่วนอื่นที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยก็ไล่มาเรื่อย เข้าใจแล้วนะจ๊ะ ไม่ใช่ลงนรกทีเดียวแล้วใช้หมด เขาเก็บได้ไม่หมด เพราะว่าเราเก่ง ทำไว้เยอะ

มีใครสงสัยเรื่องพวกนี้ก็ถามได้นะจ๊ะ ถ้าถามเราจะได้ความรู้ เขาบอกว่า อัสสุตัง สุณาติ ได้รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ สุตัง ปริโยทะเปติ รู้แล้วก็ได้ทบทวน กังขัง วิหะนะติ ได้แก้ข้อที่สงสัย ทิฐิง อุชุง กโรติ ได้ปรับความเข้าใจให้ตรงกัน และท้ายสุด จิตตะมัสสะ ปสีทะติ กำลังใจย่อมสงบเยือกเย็น เป็นสมาธิ

เถรี 27-05-2012 09:58

ถาม : เราเกิดมาทำไมครับ ?
ตอบ : แต่ละคนการตั้งใจอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าเป้าหมายใหญ่ของเราคือ ทำความดีหนีความชั่ว เพียงแต่ว่าบางคนสนุกกับความชั่ว ก็เลยลืมเป้าหมายของตัวเอง สิ่งที่เราทำทุกอย่างเพื่อความเจริญ ก็คือทำให้ดีขึ้น แต่จะให้ดีที่สุดต้องไม่เจริญแต่ทางโลก ไม่ได้เจริญแต่ทรัพย์สมบัติ ต้องมีความเจริญทางใจด้วย

ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่พอทำไปแล้วก็ลืมเป้าหมาย กลายเป็นไปไขว่คว้าความเจริญทางโลกแข่งกัน พอแข่งขันกันมาก มีเงินมากเท่าที่ตัวเองต้องการ ความเครียดที่สะสมมาตลอดก็มะเร็งรับประทาน..ตายพอดี สรุปแล้วทำไว้ตั้งมากมายแต่ไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้รักษาตัวก็ไม่ไหวเพราะโรคนี้ไม่ฟังใคร

ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราเป็นนักเรียนก็ให้ทุ่มเทกับการเรียน ถ้าหากว่าเรียนจบไปแล้วทำงานก็ทุ่มเทให้กับการงาน ถ้ามีครอบครัวก็ทุ่มเทให้กับครอบครัว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามถ้าเราทำอย่างเต็มความสามารถ ทุ่มเทให้จริง ๆ แล้ว เราจะทำได้ดีทั้งนั้น

ในเมื่อเราทำได้ดี คนอื่นเขาก็จะบอกว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เป็นการประสบความสำเร็จในทางโลก ในเรื่องของทางธรรมนั้นต้องดูว่าเราเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเรามีศีลก็เป็นความดีในเบื้องต้น มีศีล มีสมาธิก็เป็นความดีในเบื้องกลาง มีศีล มีสมาธิ แล้วยังเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาโดยไม่รู้จบอยู่ พยายามรวบรัดตัดทางให้เหลือการเกิดให้น้อยที่สุด หลุดพ้นได้ในชาตินี้ยิ่งดี ก็จัดว่าเรามีปัญญา อันนี้ถือว่าเป็นความดีขั้นสูง

เพราะฉะนั้น..ในระหว่างที่เราสร้างความเจริญในทางโลกอยู่ เราก็สามารถสร้างความเจริญในทางธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะว่าไม่มีอะไรขัดกัน บางคนอาจจะเห็นว่าเราทำมาค้าขาย อาจจะต้องโกหก ทำให้ศีลขาด ความจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ศีลขาด มีวิธีเลี่ยงเยอะแยะไป บอกเขาว่าเรารับมาแพงก็เลยต้องขายแพง รับมา ๕ บาทขายไป ๕๐ บาท เราก็บอกว่าเรารับมาแพง เพราะว่าแพงของเรา เป็นต้น

เถรี 27-05-2012 10:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนมักจะเข้าใจผิด ไปเรียก "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรือศาสตราจารย์" เป็น "ศาสดาจารย์" ศาสดาจารย์นี่ต้องเป็นเจ้าของศาสนา

ศาสตราจารย์ คือ อาจารย์ผู้ทรงความรู้ เขาไปเปลี่ยนเป็นศาสดาจารย์ กลายเป็นอาจารย์เจ้าของพระศาสนา คำว่าศาสดาเป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ถ้าบาลีใช้สัตถา เช่น สัตถา..อันว่าพระศาสดา

หรือคาถาที่ว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือพระยาราชสีโห สัตถาอาห.." คาถานี้ใช้บาลีปนภาษาไทยกลายเป็นคาถาขลังไปได้ ตะมัตถัง ปะกาเสนโต แปลว่า เมื่อจะประกาศพระศาสนา สัตถาอาหะ แปลว่า พระศาสดาว่าอย่างนี้ ตัวกูคือพระยาราชสีห์มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? แต่ทำแล้วขลังสุด ๆ ไปเลย..! "

เถรี 27-05-2012 11:04

ถาม : ที่ท่านเคยบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนการภาวนาคาถาเงินล้านโดยใช้วิธีจับที่ศูนย์กลางกาย แบบนี้เราต้องจับลมหายใจไปด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจจับศูนย์กลางกายก็เอาไว้ที่เดียว

ถาม : จับเป็นภาพพระหรือความรู้สึกอย่างเดียว ?
ตอบ : เอาความรู้สึกอย่างเดียวก็พอ

เถรี 27-05-2012 11:17

ถาม : ทำบุญให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ต้องให้เขาโมทนา ถ้าเขาไม่โมทนาก็น้อยนักที่จะมีผล

เถรี 27-05-2012 11:28

ถาม : รถใหม่จำเป็นต้องมีฤกษ์ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของฤกษ์ก็เหมือนกับเราข้ามถนน เลือกจังหวะไม่มีรถก็ปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าคนเก่งต่อให้มีรถเยอะ ๆ เขาก็ข้ามถนนได้ ก็เลยอยู่ที่เราว่าจะเอาอย่างไร ? ถ้าเอาปลอดภัยไว้ก่อนก็เลือกตอนที่ฤกษ์ดีหน่อย ถ้ามั่นใจว่าอย่างไรเราไปรอดแน่ แบบนี้ไม่ต้องมีฤกษ์ก็ได้

ถาม : ฤกษ์ออกรถใช้วันพฤหัสบดีถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ฤกษ์ออกรถให้ซื้อวันอาทิตย์แล้วไปใช้วันพฤหัสบดี หรือซื้อวันพฤหัสบดีแล้วไปใช้วันอาทิตย์

อาตมาเคยออกเดินทางตอนตีสามกว่า เจอห้างขายรถเบนซ์เปิดร้านเพื่อออกรถให้ลูกค้าช่วงนั้น เขาได้ฤกษ์มาเวลานั้นพอดี ต้องชมว่าบริการเขาสุดยอดจริง ๆ ขอให้คุณซื้อรถของเราเถอะ ดึกดื่นแค่ไหนเราก็เปิดขายให้

อย่างพระวัดเทพศิรินทราวาสจะสึก ไปถามฤกษ์จากหมอดู หมอดูบอกให้สึกตอนตี ๓ ครึ่ง แล้วก็ออกจากวัดทางด้านทิศเหนือถึงจะเจริญ ก็ต้องปลุกหลวงปู่มหาอำพันขึ้นมาตั้งแต่ตี ๓ ทำน้ำมนต์ให้อาบ พอเปลี่ยนผ้าเสร็จเรียบร้อย จะออกจากวัดทางทิศเหนือก็ไม่มีประตู ต้องปีนกำแพงออก แถมหลังกำแพงยังเป็นบ้านของโยม พอโผล่พ้นกำแพงไป หมาก็เห่าสนั่นไปหมด จะไม่ลงก็ไม่ได้ เดี๋ยวผิดฤกษ์ก็ต้องไป อาตมาเป็นคนรดน้ำมนต์ให้เองยังอนาถใจอยู่เลยว่า ฤกษ์อย่างนี้เขาก็เชื่อกันด้วย

เถรี 28-05-2012 07:13

ถาม : เวลาสู้กับยักษ์ เรายั่วให้โกรธก็หมดอายุขัยแล้ว ?
ตอบ : อยู่ที่จะยั่วขึ้นหรือเปล่า ? ถ้าจอมอสูรอย่างเวปจิตตาสูรเราคงยั่วไม่ไหวหรอก

ถาม : คนเรามักว่ายักษ์หน้าดุ ความจริงแล้วที่เราเห็นนั้นเรียกว่างามแบบยักษ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ยักษ์ก็คือเทวดา แต่เวลาท่านแปลงตัวมาก็ต้องมีความบ้าดุเดือดหน่อย เราก็ไปเหมาว่าท่านเป็นอย่างนั้น ความจริงนั่นเป็นตอนท่านแต่งเครื่องแบบ เวลาถอดเครื่องแบบก็สวยเหมือนเทวดานั่นแหละ

เถรี 28-05-2012 07:15

ถาม : ออกรถมาไม่ได้ตรงกับตำราฤกษ์ออกรถ มักจะมีปัญหาไปชน ไม่ว่าคนขับจะเป็นใครก็ตาม แก้อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เปลี่ยนรถใหม่ วิธีแก้ง่ายจะตายไป ก็แค่ออกรถใหม่ให้ตรงฤกษ์ เอาให้ดี ๆ นะ รถบางคันมีนิสัยชนเขา บางคันมีแต่ให้เขาชน นิสัยไม่เหมือนกัน

ถาม : แก้ไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แก้ไม่ได้ สำหรับบุคคลทั่วไปคาดว่าค่าใช้จ่ายที่หนักมากน่าจะเป็นรถยนต์ จ่ายทุกวัน ทั้งค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าสึกหรอ ค่าเข้าศูนย์ เดี๋ยวเฉี่ยว เดี๋ยวซ่อม

ถาม : ถ้าเปรียบร่างกายเหมือนพาหนะ ค่าใช้จ่ายกับร่างกายนี้แพงกว่าอีก ?
ตอบ : แพงกว่า เพราะเรารักร่างกายนี้มากกว่า


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว