กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3285)

เถรี 21-04-2012 17:23

ถาม : ถ้าเราปฏิบัติธรรม แล้วยังมีความโกรธ ?
ตอบ : เรื่องปกติ เขาไม่ได้ห้ามโกรธ คนที่หมดความโกรธแล้วมีแต่พระอนาคามีขึ้นไป พระสกทาคามียังนึกถึงความโกรธอยู่ แต่ความโกรธไม่ค้างคาใจ พระโสดาบันยังโกรธได้เต็ม ๆ แต่ไม่ฆ่าใครไม่ทำร้ายใคร แล้วเราถึงหรือยัง ? ก็ต้องมีบ้าง

ถาม : มารู้ตัวตอนโกรธไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..โกรธได้แต่อย่าไปผูกโกรธ เลิกแล้วก็ลืมเสีย พอถึงเวลาเรารู้เท่าทันก็อย่าไปแสดงออกไปทางกาย ทางวาจา เก็บไว้ในใจให้อกแตกตายไปคนเดียว ทำแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวความโกรธก็ค่อย ๆ ลดกำลังลงไปเอง

เถรี 22-04-2012 08:43

ถาม : คำว่า "จาร" จริง ๆ คืออะไร ?
ตอบ : จาร คือ เขียนใส่ลงไปบนวัตถุ ต้องเขียนทีละตัว จารแปลตรง ๆ ว่าเขียน

ถาม : จารกับยันต์ก็เหมือนกัน ?
ต้อง : ต้องจารลงไป ถึงจะออกมาเป็นยันต์ จารก็คือจารึกลงไป

ถาม : จารแล้วมีผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจคน ถ้ากำลังใจทรงตัว เท่ากับปลุกเสกไปในตัว

ถาม : ถ้าเรามั่นใจในวัตถุมงคลก็ได้ผล ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ได้ผล ?
ตอบ : วัตถุมงคลเป็นเครื่องส่งและมีการส่งพลังเป็นปกติ สำคัญที่ใจเราซึ่งเป็นเครื่องรับ ถ้าไม่มั่นใจหรือกำลังใจไม่เปิดรับก็ไร้ประโยชน์
ต้องทำให้ได้จริง ๆ ด้วย ไม่ใช่ปากบอกว่ามั่นใจ แต่พอเห็นปากกระบอกปืนแล้วกำลังใจตกวูบ ถ้าอย่างนั้นก็ตายฟรี..!

เถรี 22-04-2012 12:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงบัว ๓ เหล่า และบุคคล ๔ จำพวก คนก็เลยไปมั่วเป็นบัว ๔ เหล่า แล้วคิดว่าเป็นพระพุทธวจนะ พระองค์ทรงเปรียบบัว ๓ เหล่า คือ บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำเท่านั้น

แต่บุคคลท่านกล่าวถึง ๔ เหล่าคือ อุคฆฏิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมก็บรรลุมรรคผลได้ วิปจิตัญญู ฟังการอธิบายขยายความก็บรรลุมรรคผลได้ เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญจ้ำจี้จ้ำไชกันอย่างหนัก ปทปรมะ ประเภทนี้ไปห่าง ๆ เลย ปทปรมะไม่ใช่คนโง่ แต่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ปทปรมะเขาแปลว่ามากด้วยบทบาท ในเมื่อความรู้มากก็ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว เติมเข้าไปไม่ได้ เพราะเถียงทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง"

เถรี 22-04-2012 12:55

พระอาจารย์เล่าว่า "พวกที่มีนิสัยเกินร้อย อย่าไปท้าทายเข้านะ ใครเคยอ่านสามก๊กบ้าง ในเรื่องยี่เอ๋งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโจโฉ เป็นคนเก่ง แต่ไม่มีโอกาสแสดงความเก่ง เพราะว่าเป็นคนไม่รู้กาลเทศะ เขาบอกว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือร้าย จะโดนตะปบกินเมื่อไรก็ไม่รู้ ยี่เอ๋งถือว่าตัวเองเก่ง นึกอยากทำอะไรก็ทำ

อยู่กลางงานเลี้ยงใหญ่แท้ ๆ ดันไปแก้ผ้าตีกลอง ตีได้ไพเราะแต่ไปถอดเสื้อผ้า นั่นเก่งแต่ไม่รู้กาลเทศะ แทนที่จะได้มีโอกาสใหญ่โต สุดท้ายก็โดนประหารชีวิต "

เถรี 22-04-2012 13:03

ถาม : ทำเขี้ยวเสือของเขาหายครับ
ตอบ : ลงทุนสักสองแสน หาเขี้ยวเสือของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยไปสิ เป็นเครื่องรางเขี้ยวเสืออันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่เขี้ยวสวย ๆ ราคาเป็นแสนแล้ว เดี๋ยวนี้ของปลอมเยอะด้วย

ถาม : พระปิดตาต่อไปราคาเป็นล้านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องต่อไปนะ ระยะเวลาอันใกล้นี้ก็น่าจะมี ลองว่าคนแย่งกันขนาดนั้นแล้ว

ถาม : พระปิดตาจัมโบ้มีตะกรุดอยู่สามดอก ถ้าเอาไปเลี่ยมแล้วตะกรุดหายไปหนึ่งดอก จะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผลให้เราไล่เตะคนเลี่ยม..! พวกช่างระยำบางทีไม่ได้ทำหายหรอก เขาตั้งใจแคะไป อาตมามีพระคำข้าวที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของวัดท่าซุงเอาไปให้ช่างเลื่ยม ช่างสะกิดไปเสีย ๒ องค์ สมควรตายไหม ?

ถาม : แล้วมีผลต่อพุทธานุภาพหรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระท่านเสกทั้งองค์ ไม่ได้เสกเฉพาะตะกรุด

เถรี 22-04-2012 13:12

ถาม : ถ้าเกิดหาเขี้ยวเสือไม่ได้ หาอะไรแทนครับ ประเภทเขี้ยวสิงโต ?
ตอบ : ประเทศไทยยังไม่มีใครทำเขี้ยวสิงโตเลย มีแต่เขี้ยวเสือของหลวงปู่ปาน เขี้ยวหมีของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ความจริงหลวงพ่อนก วัดสังกะสีท่านก็ทำเขี้ยวเสือ แต่ส่วนใหญ่เป็นเขี้ยวหมีมากกว่า

ลองไปหาดู ๑. เขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ๒.เขี้ยวเสือหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ๓. ราชสีห์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ๔. อันนี้หายากหน่อย ราชสีห์หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เพราะเก่ากว่าหลวงปู่ปาน หลวงปู่เดิมอีก ๕.ผ้ายันต์ราชสีห์ของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก

ราคาถูกที่สุดน่าจะเป็นผ้ายันต์ของหลวงปู่จง ราคาถูกก็เถอะ เจอคนหวงก็ฟาดไปเป็นหมื่นเหมือนกัน ผ้ายันต์สีหราชบรรลือของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ใช้คาถา สีหะนาทัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา ไปเปิดดูในหนังสือมนต์พิธีของหลวงพ่อพระครูอรุณธรรมรังษี มีอยู่ที่หน้า ๗๓ บรรทัดแรกเลย ขนาดบอกหน้าบอกบรรทัดเลยนะ ถ้าหาไม่เจอก็ไปฆ่าตัวตายเลย..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็เขี้ยวเสือหลวงพ่อนกนั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่เป็นเขี้ยวหมี

ถาม : ท่านอยู่จังหวัดอะไรครับ ?
ตอบ : แถว ๆ บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ไม่เคยไปเลยใช่ไหม ?

เถรี 22-04-2012 13:31

ถาม : แล้วมีดหมอชาตรีล่ะครับ?
ตอบ : ความจริงอยากจะแนะนำมีดหมอหลวงพ่อเดิม แต่ถ้าไปเจอมีดหมอเก้านิ้ว ตำรวจจับแน่นอน เขาเรียกว่ามีดหมอควาญช้าง รวมด้ามแล้วยาวเป็นศอกเลย

เรื่องของคาถาอย่าไปแปล แปลแล้วไม่ขลัง อย่างคาถาหัวใจราชสีห์ ที่ว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือพระยาราชสีโห สัตถาอาหะ" ตะมัตถัง ปะกาเสนโต เมื่อจะประกาศพระพุทธศาสนา สัตถาอาหะ พระศาสดาว่าดังนี้ฯ ประโยคที่ว่า "ตัวกูคือพญาราชสีโห" โผล่มาจากไหนไม่รู้

แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้อภิญญา ท่านกำหนดขึ้นมาแล้วอธิษฐานจิตทับไว้ ใครใช้ตามก็ได้ผล ถ้าลังเลสงสัยก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น..เรื่องของคาถาอย่าไปแปล แปลแล้วไม่ขลัง แบบเดียวกับที่หลวงพ่อบางท่านทำตะกรุดให้ลูกศิษย์ไปใช้ หนังเหนียวนักหนา พอแกะตะกรุดออกมาเจอท่านเขียนเอาไว้ว่า "ไอ้โง่" แต่ทีนี้ท่านทำแล้วขลัง ท่านก็คงรู้ว่าเขาจะต้องแกะ เลยเขียนไปซะเต็ม ๆ ว่า “ไอ้โง่” อยากแกะดีนัก คงจะด่าเพราะเสือกแกะให้เสียของ


วัตถุมงคลของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอย่าไปหา เพราะของปลอมเยอะ เจ้าอาวาสรุ่นถัดมาอีก ๒ องค์ ท่านก็ทำตามครูบาอาจารย์ แล้วยังเป็นช่างรุ่นเดียวกัน ฝีมือเดียวกันอยู่ แต่ว่ารอยจารเขาดูออกว่าคนละลายมือกัน แต่ว่าพอของใช้ไปนาน ๆ แล้วความเก่าใกล้เคียงกัน เซียนเลยแกล้งโง่ ตีเป็นของหลวงปู่ปาน จะได้ขายราคาแพง ๆ

ความจริงมีคาถาอยู่บทหนึ่งแต่ว่าอาตมาเลิกใช้ก็คือ มหาอำนาจพญาครุฑ ที่เลิกใช้ก็เพราะว่าชอบเล่นกับงู พอใช้คาถานี้แล้วงูจะไม่เข้าใกล้

ถาม : คาถานี้ว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช้ก็เลยไม่ถ่ายทอดต่อด้วย ลักษณะเหมือนนะจังงัง ตวาดทีคนยืนนิ่งเป็นหุ่นเลย แล้วทีนี้เป็นมหาอำนาจพญาครุฑ ถึงเวลาแล้วงูไม่เข้าใกล้ จะเล่นกับงูเล่นไม่ได้ อาตมาก็เลยเลิกใช้

เถรี 22-04-2012 13:33

ถาม : แล้วโดนงูกัด เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สี่เขี้ยวเต็ม ๆ ทิ้งไว้หลักฐานไว้ให้เห็นด้วย จะได้ยืนยันกับเขาได้ว่าโดนกัดมาจริง ๆ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ดีกว่าหลวงพี่สมานหน่อย หลวงพี่สมานท่านสึกไปแล้ว เมื่อก่อนแกเป็นเด็กบ้านนอกชอบตีผึ้ง อุตส่าห์ไปหาคาถาหัวใจหมีมา พอได้มาแล้วท่องคาถา ให้เพื่อนปีนขึ้นไปตีผึ้ง เพื่อนเลยโดนต่อยหัวปูดลงมาเลย

ถาม : ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ?
ตอบ : ก็คนท่องคาถาอยู่ข้างล่าง ส่วนคนไม่ท่องขึ้นไปตีผึ้ง โง่ได้ขนาดนั้นก็สมควรโดน ส่วนเพื่อนก็เชื่อ สุดยอดจริง ๆ อย่างนี้ต่อให้คาถาหัวใจโคตรหมีก็ช่วยอะไรไม่ได้..!

เถรี 23-04-2012 07:37

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ให้เจ้าอาวาสใหม่และพระอุปัชฌาย์ใหม่ไปปฏิบัติธรรม ๔๕ วัน จากประสบการณ์ส่วนตัวของอาตมาที่เข้ากรรมฐานมา ตั้งแต่สมัยหลักสูตรพระนักเผยแผ่ หลักสูตรพระธรรมทูตสายวิปัสสนา หลักสูตรประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ พุทธศาสตรบัณฑิตและพุทธศาสตรมหาบัณฑิต เข้ากรรมฐานตามแบบสติปัฏฐานสายพองหนอยุบหนอมา น่าจะเกินกว่า ๑๐ ครั้งแล้ว

ทำให้สรุปได้ว่า ท่านที่เข้ากรรมฐานแล้วทำท่าจะตายเสียให้ได้ ก็เพราะว่าใจไปคัดค้านเขา ถ้ากำลังใจของเรายอมรับ เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำ ไม่คัดค้านเขาก็จะอยู่ได้สบาย โดยเฉพาะถ้าใครสามารถเข้ากรรมฐานแบบตั้งเวลาได้จะสบายมากเลย

ช่วง ๑๕ วันที่ผ่านมา อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่ พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็กฝึกมาอย่างไรวะ ลงเป็นหลับ ถึงเวลาเป็นตื่น ?" ท่านเองตั้งนาฬิกาปลุกไว้จนเขาตื่นกันหมดทุกคนแต่ท่านยังไม่ลุกเลย อาตมาบอกท่านว่า "คุณไม่ต้องเปลืองนาฬิกาปลุกหรอกครับ เดี๋ยวผมปลุกให้" จะระยะเวลามากน้อยเท่าไร อาตมาสามารถนอนได้เท่าที่ต้องการ อย่างเช่นว่าพอฉันเพลแล้วเหลือเวลาอีกหน่อยหนึ่งก่อนปฏิบัติภาคบ่าย อาตมาก็ยังนอนได้ประมาณ ๓๐ - ๔๐ นาที แต่คนอื่นพอนอนแล้วมักจะหลับยาว ไปไม่ทันเวลาเดี๋ยวก็โดนซ่อม

หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางรูปปัจจุบัน ท่านมีนโยบายเน้นเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานมากเป็นพิเศษ หลักสูตรปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาท่านเป็นคนผลักดันขึ้นมาเอง ตอนนี้มีงานที่พวกเราตั้งใจช่วยกันผลักดัน ก็คือจะตั้งกองวิปัสสนาธุระ ที่ใช้คำว่า "พวกเรา" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาเอาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเป็นหัวหอก ก็ถือว่าอาตมาเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง

ในอดีตนั้น..การศึกษาพระปริยัติธรรมจะต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กันไปด้วยเป็นปกติ พอมาถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านแยกหลักสูตรปริยัติกับปฏิบัติออกจากกัน เรียนปริยัติโดยไม่ต้องปฏิบัติ ตั้งแต่นั้นมาฝ่ายวิปัสสนาธุระก็ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีบรรดาท่านที่รักการปฏิบัติโดยส่วนตัว และมักจะทำได้ดี ทำให้มีชื่อเสียงกลบฝ่ายปริยัติไปหมด"

เถรี 23-04-2012 07:42

"มาถึงยุคนี้..หลวงพ่อเจ้าคณะใหญ่หนกลางรูปปัจจุบัน ท่านพยายามผลักดันและต้องการให้มีกองวิปัสสนาธุระ เพื่อจะได้มีงบประมาณสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เพราะว่าการศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น ก็คือศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติ

ด้านปริยัติคือการศึกษาตำรานั้น มีแม่กองธรรมสนามหลวงแล้ว ก็คือศึกษานักธรรมตรี โท เอก มีแม่กองบาลีสนามหลวง ก็คือศึกษาเปรียญธรรมประโยค ๑ - ๙ ก็แปลว่าฝ่ายปริยัติธรรมมีแม่กอง ๒ แม่กอง แต่ว่าฝ่ายปฏิบัติไม่มีเลย จึงอยู่ในลักษณะต้องอาศัยกำลังของเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ช่วยกันผลักดันให้เกิดกองวิปัสสนาธุระ ที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากองธรรมสนามหลวงและกองบาลีสนามหลวงขึ้นมา

คาดว่าถ้าตั้งสำเร็จ แม่กองวิปัสสนาธุระรูปแรกก็น่าจะเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ หนกลาง นี่ถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แม้ว่าการปฏิบัติธรรมทุกวันนี้อยู่ในลักษณะคล้าย ๆ กับเป็นแฟชั่น ก็คือมีคนดัง มีดาราเข้ามาปฏิบัติกันมาก เหมือนอย่างกับว่าถ้าใครไม่ทำก็ตกยุค แต่ว่าพวกเราก็จะฉวยโอกาสนี้ผลักดันให้มีกองวิปัสสนาธุระขึ้นมา เพื่อจะได้เข้มแข็งเหมือนในอดีต แต่ว่าคงไม่ต้องเข้าแข่งขันกันเหมือนสมัยก่อนที่พระปฐมเจดีย์นะ

มีอยู่ยุคหนึ่งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กำหนดให้พระเกจิอาจารย์มาแสดงฝีมือแข่งกัน จะได้มั่นใจว่าการปฏิบัตินั้นมีผลจริง ๆ ท่านเอากบไสไม้มาวางไว้บนท่อนไม้ นิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยในยุคนั้นทั้งหมดมารวมกัน นั่งภาวนาบังคับกบไสไม้ให้ได้ ปรากฏว่าบางท่านที่มีความคล่องตัวก็สบายมาก ทำให้กบไสไม้ไสปรื๊ดกลับไปกลับมาได้ บางท่านกบไสไม้ก็กระโดดเป็นกบจริง ๆ

แต่ว่าหลายท่านที่มีชื่อเสียงทำไม่ได้ เพราะว่าท่านถนัดแค่วิชาการบางอย่าง แต่ไม่ชำนาญในกสิณ ๑๐ ไม่สามารถจะบังคับให้กบไสไม้ให้ไสไปมาได้ นี่เท่ากับว่าเสียเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ท่านเก่งจริง แต่ว่าเก่งคนละด้าน ไม่ได้ฝึกกสิณ ๑๐ มา โดยเฉพาะกสิณลม ก็เรียบร้อย ไปไม่รอด แต่ว่าหลายท่านก็ประเภทดำน้ำไป บังคับให้เคลื่อนปรื๊ด ๆ อย่างคนอื่นไม่ได้ ก็เล่นกระโดดเลย เพราะว่าประเภทใช้พลังจิตบังคับ กระโดดได้ สั่นได้ เต้นได้ ช่วงนั้นเขาไปแข่งขันกันที่พระปฐมเจดีย์ สถานที่กว้างพอ กองเชียร์เข้าไปดูกันได้"

เถรี 23-04-2012 07:43

"สรุปว่าท่านที่ใช้ไสยเวทย์อาคมสู้ท่านที่มาจากสายกรรมฐาน ๔๐ ไม่ได้ เพราะสายที่มาจากสายกรรมฐาน ๔๐ ถึงเวลาท่านสามารถใช้อำนาจกสิณบังคับให้วัตถุเคลื่อนที่ได้ แบบหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เสกปลาตะเพียนโลหะ เทลงกลางแม่น้ำ ให้ว่ายกลับมาเข้ากะละมังได้ นั่นเป็นวาโยกสิณ

ครั้งนั้นทำเอาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเรื่องของคาถาอาคมเสียมวยไปหลายองค์ แต่จะไปว่าท่านไม่เก่งก็ไม่ได้ ถ้ากำหนดตามแบบที่ท่านถนัด ท่านเก่งกว่า แต่ไปเล่นของที่ท่านไม่ถนัด เคยต่อยมวยไทยอยู่ จู่ ๆ ให้ไปชกมวยสากล ท่านก็ไปไม่เป็น"

เถรี 23-04-2012 07:48

พระอาจารย์กล่าวถึงว่า "ในเรื่องของวัดควรจะเป็นการกุศล วัดไหนที่เป็นประเภทเอาเงินไว้ก่อน โยมที่เคยช่วยงานวัดแล้วเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ถอนตัวไปเรื่อย พอถอนตัวออกไปงานของวัดที่เคยมีคนช่วยก็สะดุด

โบราณเขาพูดถูกว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน พอนานไปของแท้หรือของเทียมก็จะปรากฏชัดขึ้นเอง"

เถรี 23-04-2012 07:56

ถาม : ช่วงสงกรานต์ มีก่อพระทรายที่วัดท่าขนุนหรือเปล่า ?
ตอบ : มีอยู่แล้ว วัดท่าขนุนนี่เทศบาลจะเข้ามามีบทบาทด้วย โดยเฉพาะการละเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ อย่างปีที่แล้วปีนเสาน้ำมัน อาตมาให้รางวัลเขาพันหนึ่ง ปีนกันแทบตายก็ปีนไม่ได้ ท้ายสุดต้องยอมให้เขาต่อตัวกันขึ้นไปเอา เพราะคนทำเสาน้ำมันโหดมาก ทาน้ำมันเสร็จยังไม่พอ ยังเทใส่กระบอกไว้อีกต่างหาก พอคนปีนเขย่า ๆ น้ำมันก็ไหลลงมาอีก..(หัวเราะ)..เขากะว่าปีน ๆ ไปแล้วเสาจะแห้ง คนหลัง ๆ จะขึ้นได้ แต่นี่ไม่แห้งสักที

ส่วนเวทีมวยทะเลกลายเป็นสระน้ำเด็กไปเลย ต่อยมวยกันไปต่อยมวยกันมา เด็ก ๆ เล่นด้วย โดดลงไปแช่เลย

เถรี 23-04-2012 08:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ถ้าหุบปากให้เป็น อยู่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวคนก็เห็นความดี เขาก็จะเข้ามาสนับสนุนเอง ส่วนคนที่ไม่เห็นความดี เห็นแต่ประโยชน์นั้นมีไม่กี่คนหรอก สำคัญตรงที่ต้องมีความอดทนพอ ถ้าอดทนไม่พอก็อยู่กับเขาไม่ได้

ตอนอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ๆ เขามาข่มขู่สารพัด ขนาดมาซ้อมยิงปืนกันที่หน้ากุฏิหัวเกาะ อาตมาก็เดินออกไปดู "ถุย..! มึงยิงกันได้แค่นี้เองหรือ ? เอามา..กูจะยิงให้ดู" ยิงใส่ไปชุดเดียว เขาไม่มาอีกเลย แล้วเอาไปลือกันว่าหลวงพ่อวัดเกาะยิงปืนแม่นฉิบหา..เลย..!

ถึงเวลาพวกเขาไปทำไม้ พวกป่าไม้เขามาถามว่า "หลวงพ่อสั่งพวกมันไปทำไม้ข้างบนหรือ ?" อาตมาบอกว่า "เฮ้ย..ไม่ได้ทำ" "แต่เขาบอกว่าไม้ของหลวงพ่อ" ก็เลยชวนพวกป่าไม้ขึ้นไปดู พอไปถึงเห็นเขาตั้งแคมป์ มีคนงานอยู่สิบกว่าคน ไปถึงอาตมาก็ถามว่า "ไม้ของใครวะ ?" เขาบอกว่า "ของหลวงพ่อที่ป่าไม้ครับ" "เออ..กูเองแหละ ช่วยขนขึ้นรถให้ด้วย" กวาดมาซะเรียบเลย เอาไปแจกตามหน่วยป่าไม้ ให้เอาไปทำเรือนเพาะชำ ก็เขาบอกว่าของอาตมา เราก็มีสิทธิ์สิ

หัวหน้าคนงานบอกว่า "ถ้าอาจารย์ไม่อยู่ มันตามยิงหัวผมแน่" "ไม่เป็นไร..ถ้ามึงตายเดี๋ยวกูสวดให้"..(หัวเราะ)..ไป ๆ มา ๆ คนงานแอบมากระซิบ "อาจารย์ไม่กลัวบ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็บอกว่า "จะไปกลัวอะไร ถ้าชกกันกูก็ไม่แพ้มันหรอก ถ้ายิงกันกูชนะแน่..!" จบเลย เล่นกับพวกนี้ต้องทำให้เขาดูว่าเราเหนือกว่า ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมลงให้

เหมือนอย่างลุงพร เมาแล้วชอบซ่าในวัด พอโดนไปเปรี้ยงเดียวลืมโลก ตั้งแต่นั้นมาถึงลุงพรจะเมาแค่ไหน พอได้ยินเสียงเจ้าอาวาสวัดเกาะพระฤๅษี เดินตัวตรงแน่ว ไม่เคยเซให้เห็นเลย..!"

เถรี 23-04-2012 08:07

"ผู้ใหญ่บ้าน (ตอนนี้เป็นกำนันไปแล้ว) มาตะโกนเรียกอาตมาอยู่ที่สะพาน "อาจารย์ครับ" "มีธุระอะไร ?" "มีเรื่องอยากจะคุยด้วย" "ก็เข้ามาสิ" อาตมาเห็นเขาถือขวดอยู่ "เหล้าหรือเปล่า ?" "ไม่ใช่ครับ..น้ำอัดลม" "เออ..น้ำอัดลมข้าไม่ได้ห้าม เข้ามาเถอะ" ช่วงนั้นเขาโดนกันบ่อย ก็เลยกลัว

ก่อนอาตมาไปอยู่ปีหนึ่ง เขารุมตีพระตายไปรูปหนึ่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยสมจิตร เรื่องขัดผลประโยชน์ทำไม้ของเขาแหละ พออาตมาเข้าไปก็เลยกลายเป็นดัง ด้วยความที่วัดอยู่ในป่า ถ้าเวลากลางคืนเปิดไฟ แมลงจะมาเล่นไฟแล้วตายกันเยอะ อาตมาก็ปิดไฟ เขาก็เอาไปลือกันว่า อาจารย์ท่านเตรียมรับมือกับพวกที่จะมา ไปกันใหญ่เลย ดีเหมือนกัน..ทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย

ดู ๆ แล้วคนกับสัตว์เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือจะรังแกแต่คนที่กลัว สัตว์ก็เหมือนกัน ถ้าตัวไหนกลัว ทำตัวอ่อนแอเข้ามา โดนไล่ฟัดเลย พอไปเจอที่ไม่กลัวก็ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี 25-04-2012 08:08

มีโยมวางพระพุทธรูปไว้บนพื้น พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่จำเป็นจนถึงที่สุดขนาดถึงแก่ชีวิตแล้วละก็..อย่าวางพระไว้ต่ำเลย"

เถรี 25-04-2012 08:14

พระอาจารย์กล่าวถึงสำนวนตัดหางปล่อยวัดว่า "สำนวนตัดหางปล่อยวัด เกิดจากการที่คนสมัยก่อน เอาหมาหรือไก่ไปปล่อยวัด แล้วตัดหางเพื่อให้ต่างจากหมาของตัวเองหรือไก่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาก็จะไปหากินปนกัน ไม่รู้ว่าเป็นของใคร

อีกประการหนึ่ง ถ้าหมาโดนตัดหางแล้วมักจะจำว่าใครทำ จำว่าโดนคนนี้ทำอันตรายมา ต่อไปก็จะไม่ไปหาคนนั้นอีก เขาจะได้ปล่อยวัดได้สมใจนึก ส่วนไก่ไทยเราแต่เดิมมักจะเป็นพันธุ์ที่มีเชื้อไก่ป่า บินอย่างกับนก เขาจึงตัดหางเพื่อจะได้ไม่บินไปไกล

สรุปว่าการตัดหางปล่อยวัดมีสองความหมายด้วยกัน ความหมายแรก เพื่อให้มีความต่างจากสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ความหมายที่สอง เพื่อเป็นที่จดจำ เมื่อเป็นอย่างนั้นพอถึงเวลาใครเอาลูกเอาหลานไปไว้วัด เขาก็เลยพูดเล่นกันว่า “โดนตัดหางปล่อยวัด”

เถรี 25-04-2012 08:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมแต่งตัวแล้วนึกถึงซินเดอเรลล่าตอนลอกคราบเป็นเจ้าหญิงแล้ว เด็ก ๆ รุ่นหลังไม่ค่อยได้อ่านนิทานเหล่านี้นะ

ครั้งหนึ่งยังมี.............ดรุณีโสภา
ชื่อซินเดอเรลล่า..........กำพร้าพ่อแม่
อยู่กับแม่เลี้ยง...........ลำเอียงมากแท้
เพราะเธอรักแต่..........ลูกสาวของตน
แม่เลี้ยงนั้นมี.............บุตรีสองสาว
นิสัยก้าวร้าว..............ดุร้ายเหลือล้น ฯลฯ

น่าเสียดาย...อะไรที่ดี ๆ มักจะไม่ค่อยเหลือสำหรับคนรุ่นหลัง เรื่องซินเดอเรลล่าไม่ดีตรงที่ทำให้เด็ก ๆ เพ้อฝัน แล้วก็รอแต่คนช่วยเหลือ แต่ว่าดีในแง่ของความกตัญญู อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ว่าทั้งนี้นิทานทั้งหมดก็ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ ทำให้เด็กคิดเป็น

อาตมาเขียนเรียงความได้คะแนนเต็มมาตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๓ เพราะอ่านนิทานพวกนี้ไว้เยอะ บางทีอาจารย์ท่านตรวจแล้ววงไว้ เขียนกำกับว่า “สำนวนแรงไป” อาตมาเป็นเด็ก นึกอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น แต่อาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ ให้คะแนนเต็มแต่ว่าวิจารณ์มาให้ด้วย"

เถรี 25-04-2012 08:36

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอบรมเด็กหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น บอกเขาว่า “พวกเธออยู่ในวัยวิกฤติ เรามักจะคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พ่อแม่มักจะเห็นเราเป็นเด็ก คราวนี้การจะเป็นผู้ใหญ่นั้นจะต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ? ให้พวกเธอลองพิจารณาดู อันดับแรก ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่เราสามารถที่จะอยู่ได้หรือไม่? ” เงียบไปทั้งศาลา

พอถามเข้าจริง ๆ ว่า ใครมั่นใจว่าถ้าพ่อแม่ตายลงวันนี้ แล้วเราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร มียกมือมา ๓ - ๔ คนจากนักเรียนเป็นร้อย ๆ คน สรุปว่าคนที่บอกว่าไม่ต้องพึ่งใครนั่นแหละ เขาหวังพึ่งอยู่แล้ว คิดว่าถ้าพ่อแม่ตายแล้วจะไปอยู่กับใครได้บ้าง ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ผู้ใหญ่หรอก แล้วอาตมาก็พูดไล่ไปเรื่อย เรื่องความอดทน ความเสียสละ ความรู้กาลเทศะ สรุปว่าหาไม่ได้หรอก ฉะนั้น..จงยอมเป็นเด็กเสียเถอะ ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก

“เวลามีปัญหาเกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นเลยหรือไม่ ?” เงียบ...สรุปแล้วเด็กมักจะคิดผิด แต่พอเตือนสติขึ้นมาแล้วเขาก็นึกได้ว่า ใช่..เขายังเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้จริง ๆ ข้อที่นึกไม่ถึง ก็คือ เขาบอกว่าผู้ใหญ่หลายคนก็เป็นอย่างนี้ แสดงว่าใหญ่แต่อายุ ใหญ่แต่ตัว ถ้าหากว่าขาดคนให้พึ่งพิงก็เอาตัวไม่รอด

แต่จะว่าไปแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การพึ่งพิงคนอื่นเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ต้องยืนหยัดด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ให้คนอื่นพึ่งเป็นเรื่องที่สมควร พึ่งพิงคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าการพึ่งพิงคนอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ถึงเวลาไม่มีเขาเราก็จะเดือดร้อน

ลักษณะเดียวกับการคิดพิจารณาว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้เราพร้อมหรือไม่ ? คล้าย ๆ กัน..เราก็มาดูว่าคนที่รักมีหรือไม่ ? ของที่รักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติมีหรือไม่ ? ทั้งหมดนี้เราทิ้งไปเลยได้หรือไม่ ? มีญาติโยมจำนวนมากไม่กล้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง เพราะกลัวผลกระทบที่จะตามมา ส่วนอาตมาพลิกชีวิตตัวเองเล่น ๓ - ๔ ตลบมาตลอด ก็เลยสนุกกับชีวิตมาก

เรียนหนังสืออยู่ก็วิ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ ทำงานกับพี่น้องอยู่ดี ๆ ไม่ต้องลำบาก ก็แหกคอกไปทำงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมทัลอุตสาหกรรม ทำไปทำมาได้เลื่อนขึ้นไปเป็นหัวหน้าแผนก ก็ลาออกมาหางานทำเอง ทำงานกำลังรุ่งก็วิ่งไปเป็นทหาร ทิ้งทุกอย่างไปเรียน จนกระทั่งกำลังรุ่งสุด ๆ ชนิดรับ ๒ ขั้นทุกปีก็ลาออก มาหางานทำใหม่ ทำไปทำมากำลังรุ่ง ๆ อีกก็มาบวช บวชไปบวชมาอยู่วัดท่าซุงจนเป็นเจ้าพ่อ ใครจะทำอะไรต้องมองหน้าอาตมาก่อน ถ้าไม่พยักหน้าเห็นด้วยเขาก็ไม่กล้าทำ แล้วก็ออกมาตกระกำลำบากใหม่"

เถรี 25-04-2012 08:44

"ถ้าหากว่าเราไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็จะจมอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ เหมือนกับชีวิตตายนิ่งไปเฉย ๆ ในเมื่อตายนิ่งไปเฉย ๆ เดี๋ยวก็จะเป็นน้ำเน่า ไม่มีการขวนขวายดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แล้วจะค่อย ๆ สูญเสียกำลังใจ สูญเสียความตั้งใจ และท้ายสุดเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ก็ได้แต่นั่งถอนใจว่า น่าจะทำเสียตั้งนานแล้ว

เพราะฉะนั้น..ถ้ายังมีแรงอยู่ต้องรีบทำ ถ้ารอให้หมดแรงก็ไม่ไหวแล้ว ได้แต่พึ่งคนอื่น เหมือนกับคนที่จะเข้าวัด ให้รีบเข้าเสียขณะที่ตัวเองยังไปเองได้ อย่ารอให้คนอื่นเขาหามเราเข้าไป เพราะถ้ารอเขาหามเข้าวัด ส่วนใหญ่เขาก็หามไปเผาแล้ว จะหามไปทำบุญใส่บาตรก็ทำอะไรไม่ถนัด เป็นใหญ่เป็นโตขนาดมีเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้ว พอถึงเวลาเขาก็หิ้วไปทั้งเก้าอี้ แล้วก็ไปวางแปะเอาไว้ ไปไหนก็ไม่ได้ ถ้ามีแรงมากหน่อยก็พอเข็นเก้าอี้ไปได้ ถ้าแรงไม่พอก็ทำอะไรไม่ได้อีก

ฉะนั้น..ควรเข้าวัดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่หนุ่มสาว วางพื้นฐานให้กับตัวเอง เหมือนกับสะสมแต้มไปได้มาก ถึงเวลาถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไกล (ตาย) ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะว่าเสบียงอาหาร (บุญกุศล) พร้อมแล้ว แต่คนอื่นที่ไม่ได้เริ่มเลย มาทำตอนแก่ก็แย่แล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดี ? บุญก็ไม่ได้สะสมไว้ บาปก็บานตะเกียงเลย ท้ายสุดก็ต้องมานั่งเครียด จิตใจเศร้าหมอง ตกสู่อบายภูมิอีก เป็นอันว่าเฮงไป"

เถรี 25-04-2012 08:48

ถาม : แนวคิดของการทำงานทางโลก เขาต้องการให้เราทำไปให้เต็มที่ มีบ้าน มีรถยนต์ แต่คราวนี้เรามาทำบุญ ก็คล้าย ๆ กับสวนทางกัน ?
ตอบ : ไม่สวนทางกัน

ถาม : อยู่กับทางโลก ก็ไปทางโลกเลย
ตอบ : ตรงกลางมี หลวงปู่มหาอำพันท่านเคยให้ข้อคิดไว้ว่า “ถ้าเป็นชีวิตฆราวาสเราต้องคิดเสมอว่าเรายังไม่ตาย เราต้องทำหน้าที่การงานของเราให้เต็มที่ แต่ถ้าหากว่าเป็นชีวิตของนักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมให้คิดเสมอว่า ความตายอยู่แค่ศีรษะของเรา เราต้องเร่งปฏิบัติให้เต็มที่เหมือนกัน”

อย่างที่ว่ามาก็คือตรงกลาง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หมายความว่า หน้าที่ของเรามีอะไรเราก็ทุ่มเทของเราไป อย่างชนิดที่ว่าจะทำเอาเหรียญทองหรือว่ารางวัลอะไรของบริษัทไปเลย แต่พอถึงเวลากลับบ้านเราก็ทุ่มให้กับการปฏิบัติของเรา ไม่มีอะไรน่าสับสนหรอกจ้ะ แค่แบ่งเวลาให้เป็นเท่านั้น

เถรี 25-04-2012 09:03

ถาม : ที่เขากล่าวว่า “การคิดเป็นเรื่องของโลก การพิจารณาเป็นเรื่องของธรรม” อันนี้ถูกต้องสมบูรณ์ไหมครับ ?
ตอบ : สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อฟังแล้วนำมาขบคิดจนเข้าใจ สภาพจิตจึงจะยอมรับตามนั้น คราวนี้คุณเห็นแล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?

ที่คุณพูดมาเป็นแค่การเล่นสำนวนเฉย ๆ ถ้าไม่คิดก็เข้าไม่ถึงธรรม แต่ว่าการคิดนั้นจะต้องมีระบบ และขณะเดียวกันก็ต้องมีกำลัง ถ้ากำลังไม่เพียงพอก็ได้แค่คิด สภาพจิตยังไม่สามารถที่จะก้าวข้าม ก็คือไม่สามารถจะยอมรับอย่างแท้จริงได้

คราวนี้เราจะสร้างพลังให้กับการคิดของเราได้ ก็ต้องเอาตัวสมาธิเข้าไปเสริม ตัวสมาธิของเราจะช่วยให้การคิดเป็นระบบ ชัดเจน และถ้าสิ่งนั้นไม่เกินกำลังในตอนนั้น ก็สามารถที่จะยอมรับได้ สรุปว่าไม่ว่าจะคิดหรือพิจารณา ก็เป็นเรื่องของทางโลกและทางธรรมด้วย แยกไม่ได้ เพราะว่าลำดับขั้นตอนนั้นสืบเนื่องกันไป

เถรี 25-04-2012 09:06

ถาม : สัตว์บางชนิดเกิดบนพื้นดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดใต้ดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดในน้ำ พอจะมีปัจจัยอะไรเป็นเครื่องกำหนดไหมครับว่า เพราะกรรมอะไรถึงต้องไปเกิดบนดินบ้าง ใต้ดินบ้าง หรือในน้ำ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการกระทำหรือกรรมที่สั่งสมมา และโดยเฉพาะว่าถ้าเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์อย่างนั้น แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องเคยฆ่าสัตว์อย่างนั้นมา จึงต้องไปชดใช้กรรมในสภาพเดียวกัน สรุปได้ว่าทั้งหมดเกิดจากกรรมที่สั่งสมมา โดยเฉพาะความมืดบอด ไร้ปัญญา เข้าไม่ถึงความดี

จะไปโทษเขาก็ไม่ได้หรอก เพราะกว่าจะก้าวล่วงมาถึงระดับนี้ แต่ละคนเกิดมาแทบจะครบทุกอย่างแล้ว สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่เราเห็น บางทีก็เป็นปู่ย่าตาทวดหรือไม่ก็ลูกหลานของพวกเราเอง ฉะนั้น..จะบี้เขาให้ตายหรือว่าจะกินลงไป ก็ให้ระมัดระวังนิดหนึ่ง ถ้ามีเสียงเอ็ดตะโรขึ้นมาว่า “นี่ปู่เองนะเว้ย” สงสัยคงไม่มีใครกล้ากิน..!

เถรี 25-04-2012 09:14

ถาม : บางวัดจัดงานสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ที่เขาบอกว่าเกิดจากการบันดาลของเทพยดา ขออนุญาตเรียนถามว่า พระบรมสารีริกธาตุบนโลกใบนี้ ที่เกิดจากการบันดาลของเทพยดา มีจริงหรือไม่ครับ ? และมีความแตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นของจริงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยพบ แต่ถ้าในส่วนของพระอรหันตธาตุต่าง ๆ จะมีส่วนที่เรียกว่าพระธาตุเทพนิมิต ที่เทวดาเนรมิตขึ้นมาเพื่อเอาไว้กราบไหว้บูชาของเขาเอง เรียกว่ามีก็ได้ แต่คราวนี้เราจะรู้จริงแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จะว่าไปแล้วทั้งสองอย่างนี้จะมีจริงหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าการบูชาของเรา เราได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือเปล่า ? เราระลึกถึงพระอรหันต์เจ้าของพระธาตุนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราระลึกถึงได้ก็เป็นพุทธานุสติ เป็นสังฆานุสติ ถือว่าทำในด้านที่ถูก ถ้าสักแต่ว่าสมโภชรื่นเริงกันไปเฉย ๆ ประโยชน์ก็น้อย

สรุปว่ามี คล้าย ๆ กับมนุษย์เราสร้างพระพุทธรูปหรือว่าสร้างรูปพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวัตถุมงคล แต่ว่าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยเจอ แต่พระอรหันตธาตุนี่เจอมาแล้ว ในส่วนที่ไม่เคยเจอยังไม่ยืนยันให้ ส่วนที่เคยมาแล้วยืนยันให้ได้ว่ามี

เถรี 25-04-2012 09:25

ถาม : ในยุคปัจจุบันนี้คนมักจะดื่มเหล้า ชอบเสพยาบ้า ทีนี้เวลาเข้าสังคม ถ้าเราไม่เสพยาเสพติดหรือไม่ดื่มเหล้า ก็จะโดนตำหนิติเตียน เพราะพยายามรักษาศีล คำถามผมก็คือว่าในยุคอดีตก็มีสุราอยู่แล้ว การไม่ดื่มเหล้าก็เป็นเรื่องปกติของคนในยุคนั้น ๆ ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ การที่ไม่ดื่มเหล้าไม่เสพยา เป็นเรื่องที่ไม่ปกติของชีวิตคนธรรมดา แล้วการรักษาศีลในยุคปัจจุบัน จะได้อานิสงส์มากกว่าในยุคอดีตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้เท่ากัน เพราะว่าคำว่าศีลแปลตรง ๆ ว่าปกติ คนไม่มีศีลจึงเป็นคนผิดปกติ เพียงแต่ว่าคนในยุคปัจจุบันเป็นมิจฉาทิฐิ ก็คือมีความเห็นผิดว่าการละเมิดศีลนั้นเป็นของดี แล้วก็ทำกันเป็นจำนวนมาก ทำให้คนที่รักษาศีลกลายเป็นคนส่วนน้อยไป เรื่องนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าคนทำความดีมีน้อยกว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราจะมีความอดทนอดกลั้น และจะทำได้จริงหรือเปล่า ?

อย่างอาตมาเองรักษาศีลปฏิบัติธรรมมาแต่เด็ก ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง แม้กระทั่งญาติพี่น้องตัวเองก็บอกว่าบ้า อาตมาก็ต้องอดทนสู้กับคำของเขา จนกระทั่งผ่านระยะเวลาไปยาวนานพอ เขาเห็นว่าเราตั้งใจทำจริงและสิ่งที่ทำมีผลจริง เขาก็ค่อย ๆ คล้อยตามมา ส่วนในระยะเวลาที่ควรจะเสียมากที่สุดคือตอนที่เป็นทหารอยู่ เพราะทหารนี่เรื่องของการกินเหล้าเมายาเป็นเรื่องปกติ ขนาดเขามีคำสุภาษิตว่า “เป็นเมียทหารนับขวด”

แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปเมาหัวทิ่มแบบเดียวกับเขา เพื่อน ๆ ก็กระแนะกระแหนเสียดสีด่าว่าอยู่ทุกวัน ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เป็นสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งไป อาตมาคนเดียวด่าทหารร้อยกว่าคนกลับไปว่า “ถ้าหากว่าจะหากระโปรงมานุ่ง ก็พวกมึงนั่นแหละ..สมควรที่จะไปนุ่งกันเอง ไม่ใช่กู..กูรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี กูห้ามใจตัวเองได้ กูนี่แหละลูกผู้ชายตัวจริง แต่พวกมึงห้ามใจตัวเองไม่ได้สักคน พวกมึงนั่นแหละควรจะไปนุ่งกระโปรงกัน..!”

สรุปว่าชี้แจงให้เขารู้ด้วยว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ปล่อยให้คนส่วนมากชักจูงเราไป อาตมาอยู่ที่ไหนมักจะจูงคนส่วนมาก ไม่เคยให้คนส่วนมากจูงไป ถ้ารักจะทำความดีเลือดบ้าต้องมีมากพอเหมือนกัน โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “พวกแกจะทำความดีก็ต้องบ้า และบ้ากว่าปกติหลายเท่าด้วย ไม่อย่างนั้นแกไปไม่รอด เพราะสังคมเดินสวนทางกับแก แล้วเขาก็บอกว่าแกเดินผิดทาง”

คิดดูว่าเขาเดินลงกันหมด แล้วเราไปตะกายขึ้นเหนื่อยยากอยู่คนเดียว เขาก็ต้องว่าเราผิด เราจะมีความมั่นใจต่อเป้าหมายของเราแค่ไหน ? จึงอยู่ที่สติ สมาธิ และปัญญาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจเราก็ลุยของเราต่อไป แต่ว่าการรักษาศีลปฏิบัติธรรม อานิสงส์ยังคงมีเหมือนเดิมและมีเท่าเดิม เพียงแต่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง

เถรี 25-04-2012 10:11

ถาม : ที่บอกว่า "บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร" แล้วการที่ดูแลบิดามารดาจะได้บุญเหมือนกับที่ดูแลพระอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : ข้อนี้เราว่ากันเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านว่า “พฺรหฺมา จ มาตาปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร” แปลว่าพ่อแม่จะต้องรักลูกเหมือนรักตัวเอง สงสารไม่อยากให้ลูกลำบาก ถ้าหากว่าลูกทำอะไรได้ดีก็พลอยยินดีกับลูกด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะให้อภัยลูกได้ในทุกเรื่อง แต่ที่บอกว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรนั้น เป็นการเปรียบเทียบของนักปราชญ์ในรุ่นหลัง ๆ จึงเป็นคำพูดที่สามารถคัดค้านได้ เพราะว่าไม่ใช่พุทธวจนะที่แท้จริง

การปฏิบัติต่อบิดามารดานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงในส่วนของอนันตริยกรรม ๕ ว่า บุคคลที่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทนั้นจะต้องอนันตริยกรรม ก็คือลงอเวจีมหานรกเหมือน ๆ กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราปฏิบัติต่อท่านแล้ว จะมีอานิสงส์เหมือนกับการปฏิบัติต่อพระอรหันต์โดยตรง

ยกเว้นว่าเรามีความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง ปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราอย่างดีที่สุดตามหน้าที่ของบุตรธิดา และขณะเดียวกันเมื่อได้พบพระอริยเจ้า เราก็ปฏิบัติต่อท่านอย่างถูกต้องตามแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ถ้าหากว่าสามารถทำอย่างนี้ได้ แม้ว่าอานิสงส์ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่และพระอรหันต์จะไม่เท่าเทียมกัน แต่ว่าการปฏิบัติของเรานั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนกัน

เถรี 25-04-2012 10:17

ถาม : มีรุ่นน้องเขาถือศีล ๕ แต่ว่าบางทีเขาไปดื่มสุรา เขาเสียศีลไป ๑ ข้อ แล้วก็บอกว่ายังเหลือศีล ๔ ข้อ อย่างนี้ถือว่าศีลเขาทั้งหมดยังอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าศีลข้อใดขาดก็เสียข้อนั้นข้อเดียว แต่ว่าบุคคลที่ทำให้ศีลขาดข้อหนึ่งได้ ต่อไปจะเป็นข้ออ้างในการละเมิดศีลได้ว่า "ข้อนั้นยังได้เลย" แล้วจะทำให้เขาละเมิดศีลได้ง่ายกว่าคนปกติที่มีความละอายชั่วกลัวบาปอยู่

ถาม : ถ้าเรารู้ว่าเราผิดศีลข้อนี้ เราต้องคอยต่อศีลหรืออาราธนาศีลใหม่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ต่อให้อาราธนาศีลให้ตาย ถ้าไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล เรารู้ว่าศีลต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง แล้วตั้งใจงดเว้นไม่ทำให้ผิด ก็ถือว่าเป็นศีลแล้ว ไม่ต้องไปขอ ไม่ต้องไปอาราธนา

การที่เราขอศีลจากพระ ท่านใช้คำว่า "สมาทาน" คือศึกษาว่าศีลนั้นมีอะไรบ้าง เมื่อรู้แล้วเราก็ตั้งใจงดเว้นไป แต่คราวนี้การสมาทานศีลกลายเป็นรูปแบบแล้ว ดีอยู่อย่างหนึ่งว่าเราได้ทบทวนอยู่บ่อย ๆ กลายเป็นสีลานุสติ เป็นการระลึกถึงศีลไป

เถรี 25-04-2012 14:37

ถาม : สัตว์เดรัจฉานที่เกิดจากคนที่มีความคิดว่า ไปเกิดเป็นหมาดีกว่า ไปเกิดเป็นไก่ของเศรษฐีดีกว่า เพราะว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี อันนี้เป็นผลจากการที่เขารักษาศีลไม่ครบทุกข้อจึงไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าเป็นผู้ที่ให้ทาน ถึงแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีผลจากอานิสงส์ของทาน อันนี้เกิดจากเหตุอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต่อให้เรามีศีลครบถ้วน แต่ถ้ากำลังใจก่อนตายที่เรียกว่าอาสันนกรรม ไปปักมั่นว่าเราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้น ๆ ดีกว่า ก็จะทำให้เราไปเกิดก่อน เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นจนหมดกรรมแล้ว อำนาจของศีลถึงจะส่งผลเป็นอุปัชชเวทนียกรรม ส่งผลในชาติต่อไปได้เกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า

อย่างเช่นโฆสกเทพบุตร ตอนเป็นคนเห็นเศรษฐีเลี้ยงหมาด้วยข้าวมธุปายาส ใจก็ไปเกาะตรงนั้นว่าเราเกิดมาทั้งชาติ ไม่รู้ว่าข้าวมธุปายาสเป็นอย่างไร แต่เป็นหมาแล้วได้กิน ก็อยากจะเกิดเป็นหมาของเศรษฐี กำลังใจไปเกาะตรงจุดนั้นแล้วตายพอดี พอพ้นจากส่วนนั้นได้มีโอกาสไปถวายการรับใช้พระปักเจกพุทธเจ้า อานิสงส์ก็ส่งผลไปเกิดเป็นเทวดา

ดังนั้น..ในเรื่องของศีล ต่อให้รักษาแน่วแน่มั่นคง แต่ถ้าหากว่ามีอาสันนกรรมสอดแทรกเข้ามา ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเฉพาะหน้า อานิสงส์นั้นก็จะส่งผลให้ในชาติต่อไปแทน

เถรี 25-04-2012 14:44

ถาม : เรานั่งสมาธิแล้วก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แต่ว่าไม่มีปีติเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันนี้เป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้เป็นปกติ เพราะว่าเป็นอุปจารสมาธิขั้นต้น ยังไม่ถึงความเป็นปีติ หรือไม่ก็สมาธิก้าวล่วงตัวปีติไปแล้ว เกิดโอภาสที่เป็นอุปกิเลสขึ้นมา อันนั้นก็จะไม่เกิดอาการปีติเพราะว่าก้าวพ้นไปแล้ว

แต่ว่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกรณีแรกหรือในกรณีที่สองก็ตาม อย่าเอาใจไปปักอยู่ตรงนั้น เวลานั่งสมาธิใหม่ให้เราวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเกิดอย่างไรเป็นเรื่องของมัน ไม่อย่างนั้นถ้าเราภาวนาแล้วอยากเห็นแสงสว่างอีก กำลังใจจะฟุ้งซ่าน แล้วภาวนาเท่าไรใจก็จะไม่ทรงตัว

ถาม : เวลาที่เราตั้งใจภาวนาแล้วเราเห็นแสงขึ้นมาเป็นดวงเดียว แต่เวลาที่เราไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ เป็นช่วงที่เรากำลังนั่งเก้าอี้ ก็ปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาแต่เป็นหลายดวง อันนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นอำนาจของสมาธิเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่เรานั่งภาวนาอยู่นั้น ด้วยความที่เราตั้งใจภาวนามากเกิน ก็เหมือนกับยื่นคอเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร ตั้งใจน้อยเกินก็ก้มต่ำเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร กว่าเราจะปรับกำลังใจให้พอดี ให้เห็นแสงเห็นสีได้ก็นาน

แต่ว่าตอนช่วงที่เรานั่งลงนั้น เนื่องจากว่าจากที่ยืนแล้วมานั่ง กำลังใจคลายตัวจากความลำบากมาเป็นความสบาย อาจจะลงมาอยู่ในช่วงที่สมาธิสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้พอดี และเป็นการเห็นที่ชัดเจนกว่า เพราะว่ากำลังใจขยับมาลงร่องเอง การรู้เห็นอาจจะกว้างมากกว่าจึงเห็นอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น

เถรี 25-04-2012 14:59

ถาม : การที่เห็นแสงดวงเดียวกับการที่เห็นแสงหลายดวง หมายความว่าการที่เห็นแสงหลายดวงนี้มีความลึกของสมาธิมากกว่าหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...การที่เราเห็นแสงหลายดวงหรือดวงเดียว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความลึกความกว้างของสมาธิ สมาธิของเรายังคงเท่าเดิมอยู่ในระดับนั้นถึงเห็นได้ เพียงแต่ว่าในสภาพของจิตตอนนั้นความสบายต่างกัน ที่เมื่อครู่ได้กล่าวไว้ว่าความเบาสบายต่างกัน เพราะว่ากำลังจะได้นั่ง กำลังใจสบายแล้ว ขณะที่อีกอันหนึ่งเรานั่งเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น..ก็เหมือนอยู่ในลักษณะที่ว่า กำลังของเราที่มุ่งตรงไปด้วยความเร็วและแรง จะทำให้เราชัดเจนต่อเป้าหมายเดียวข้างหน้า แต่ถ้าหากว่าเราไปช้า ๆ เราก็จะเห็นสิ่งรอบข้างไปด้วย การเห็นก็เลยเห็นได้มากกว่า

เถรี 26-04-2012 08:43

ถาม : ที่เขากล่าวว่าผู้ที่เป็นประธานในการทอดกฐิน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ไปเสวยผลบุญในลำดับรอง ๆ กันต่อไปเรื่อย ๆ ในปัจจุบันมีวัดต่าง ๆ จำนวนมากมาย มีเจ้าภาพกฐินเยอะมาก ถามว่าในอนาคตกาลจะไม่ต้องมีพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นมากมายหรือครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ แต่เกิดขึ้นทีละองค์ เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน คำว่า "ไม่เท่ากัน" ก็คือทั้งสิ่งที่สั่งสมมาเป็นบารมีในอดีต และกำลังใจที่มุ่งมั่นต่อศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันตลอดจนอนาคตไม่เท่ากัน ทำให้กำลังบุญส่งผลให้ช้าเร็วต่างกันไป

พูดง่าย ๆ ก็คือมีคิวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้ากำลังใจของใครเข้มข้นมากขึ้นก็ลัดคิวได้เร็วขึ้น ถ้ากำลังของใครหย่อนยานลง ทำกฐินครั้งนั้นเสร็จแล้วไม่คิดทำอะไรอีกเลย ก็กลายเป็นอยู่ท้ายแถวไป พระเจ้าจักรพรรดิเวลาเกิดขึ้นแต่ละครั้งก็ใช้ปราสาทแก้วมณีหลังเดิม เทวดาขี้เกียจสร้างใหม่ หิ้วหลังเดิมมาวางไว้ให้เลย ขี้เกียจออกแบบใหม่ให้เปลืองวัสดุ..!

เถรี 26-04-2012 08:47

ถาม : ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่เก็บวัตถุมงคลต่าง ๆ เพื่อเก็งกำไรบ้าง เพื่อเอาไว้บูชาบ้าง ถามว่าการทำอย่างเป็นบาปไหมครับ หรือว่าเป็นกุศล ?
ตอบ : ถ้าหากว่าบาปก็คือทำผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าพื้นฐานก็คือเรื่องของศีล ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ลักขโมยใครมา หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าควรจะให้ความเคารพตามปกติด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำเพราะหวังเก็งกำไร ถ้าอย่างนั้นมีสิทธิ์ที่จะเกิดโทษใหญ่เพราะปรามาสพระรัตนตรัย

ถ้าหากว่ากำลังใจเคารพเป็นปกติ ปฏิบัติด้วยความเคารพนบนอบ ในลักษณะว่าถ้าให้คนอื่นบูชาก็คือแบ่งปันกัน ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้ให้ความเคารพ กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยก็เกิดโทษใหญ่โดยไม่รู้ตัว

เถรี 26-04-2012 08:52

ถาม : มีคนเขาบอกว่า ถ้าเราทำบุญให้คนตาย เขาต้องมีบุญเก่าอยู่ด้วย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องมีจ้ะ ถ้าของเก่าไม่ส่งมา จะหลงมาถึงปัจจุบันก็เป็นไปโดยยาก

ถาม : ในสังคหวัตถุ ๔ ปิยวาจาเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เขาสามัคคีกับเราใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา สำคัญทุกตัว ไม่ใช่เฉพาะปิยวาจาอย่างเดียว สักแต่ว่าพูดหวาน ๆ แต่ใช้คนอื่นตลอด เขาก็ไม่อยากสามัคคีกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นเขาด้วย

เถรี 26-04-2012 08:57

ถาม : พระที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย ท่านมีความสามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้..?
ตอบ : กำลังใจยังไม่ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง เพราะติดภาระที่ตนเองผูกพันอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าการที่จะหลุดพ้นไปได้นั้น ต้องไม่มีอะไรเหลือแล้ว คราวนี้ยังมีเส้นสายอยู่ ๑ เส้นที่มัดขาท่านอยู่ คือความปรารถนาที่จะตรัสรู้ในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังสูงกว่าพระอรหันต์ทั่วไปมาก แต่ว่าไม่ได้ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง

อาตมาเคยใช้คำว่า "กำลังใจเทียบเท่าพระอรหันต์" แต่คำว่าเทียบเท่าของท่านนั้นละเอียดกว่าเยอะมาก

เถรี 26-04-2012 09:06

ถาม : ที่เขาบอกว่าอาชีพนักร้องนักแสดง ตายแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีความดีอื่นเลยก็ลงอเวจีหมด เพราะว่าทำให้คนยึดติด อย่างเช่น ยึดติดในรูป ยึดติดในเสียง มีความนิยมยินดีในสิ่งที่ควรจะละ เราต้องละวางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้ โอกาสจะไปถึงพระนิพพานหรือโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้กลับทำให้คนยึดติด

อย่างในสมัยปัจจุบัน เวลาบรรดาดารามา หลายคนก็กรี๊ดกันหูดับตับไหม้ เห็นชัด ๆ เลยว่าทำให้คนหลงยึดในตัวเขาเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นว่า ใครเป็นดารา เป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ ควรที่จะสร้างบุญกุศลให้มาก ๆ ไว้ ถ้าไม่มีบุญกุศลอื่นหนุนเสริม มีหวังลงทุคติหมด

ถาม : การที่เป็นดารานักร้องกับอาชีพทำประมง อันไหนถือว่าเป็นบาปกรรมที่มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : คนที่ทำอาชีพทำประมง ถ้าหากว่าทำอยู่ทุกวันเป็นอาจินณกรรม จะลงอเวจีมหานรกเหมือนกัน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำว่า ใครทำมากทำน้อยกว่ากัน สรุปแล้วก็คือ ลงนรกขุมเดียวกันแต่ระยะเวลาต่างกัน

เถรี 26-04-2012 09:31

ถาม : อย่างนี้คนที่เป็นนักร้องนักแสดง ถ้ามีชื่อเสียงน้อยก็บาปน้อย ถ้ามีชื่อเสียงมากก็บาปมาก ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ต้องใช้คำว่า "มีคนยึดติดน้อยก็สร้างกรรมน้อย มีคนยึดติดมากก็สร้างกรรมมาก" เคยมีดาราชายวัยรุ่นหนึ่ง ที่ไปกระโดดตึกตาย แล้วคนไปงานศพเป็นหมื่น ๆ นั่นคนเขายึดติดมาก อาตมาเห็นแล้วสลดใจว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างกรรมไว้หนักขนาดไหน เขาคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหากว่ากำลังใจของเขาเกาะบุญเกาะกุศลได้ก็แล้วไป ถ้าเกาะไม่ได้ก็สาหัสเลย

ถาม : แล้วเขาด้วยบุญอะไรถึงได้เป็นดาราครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ ถึงได้เกิดเป็นคน และมีความดีอื่นส่งเสริมอีกอย่าง เช่น พรหมวิหาร ๔ ไม่อย่างนั้นจะไม่เกิดมามีรูปร่างหน้าสวยงาม เพียงแต่ว่าการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้ผิดทางไปเอง ต้องบอกว่าเขาทำไปเพราะไม่รู้

เถรี 26-04-2012 09:39

ตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึง คือ พระตาลปุตตคามิณีเถระ ท่านเป็นนักแสดงหรือที่เขาใช้คำว่า "มายากร" ที่มีชื่อเสียงมาก ไปไหนก็มีคนตามดูเป็นจำนวนพัน ๆ คน ท่านไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ ก็หาโอกาสไปกราบ แล้วทูลถามว่า ตามความเชื่อของพวกเขาที่สืบ ๆ กันมาว่า

"บุคคลที่เป็นมายากร เมื่อตายแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างความรื่นเริงแก่ผู้อื่น จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า?" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...มายากร อย่าได้ถามปัญหานี้เลย” ท่านก็ยังถามใหม่ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าเองจึงจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงว่า "บรรดานักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ทำกุศลอื่นเลย จะลงอเวจีมหานรกทั้งหมด"

ในส่วนที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตาลปุตตาคามิณีมาณพนั้น มีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องไห้เสียใจ แล้วก็ทูลถามว่าจะแก้ไขอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้แนะนำว่าให้บวชแล้วปฏิบัติธรรม ท่านก็เลยบวชแล้วปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ กรรมทั้งหมดจึงกลายเป็นอโหสิกรรม ก็คือไม่สามารถที่จะไล่ตามท่านทัน ก็หมดไปโดยปริยาย

แต่คราวนี้คนในปัจจุบัน เวลาเราพูดเรื่องนี้เขาจะมีความเชื่อถือแค่ไหน ? ยิ่งถ้าหากว่าเราไปพูดกับท่านทั้งหลายที่มีผู้คนตามนิยมชมชื่นมาก ๆ เข้า ดีไม่ดีคนพูดจะตายก่อน ต่อให้ตายแล้วไปดีก็เถอะ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพูดต้องดูสถานที่ ดูวาระดูเวลาด้วย ถ้าเขารับไม่ได้เพราะเขามีความเชื่อมั่นของเขาอยู่ ก็ต้องปล่อยให้ทางใครทางมัน แต่ถ้าสามารถแนะนำได้ก็ควรที่จะแนะนำ

เถรี 26-04-2012 09:43

ในปัจจุบันนี้บรรดาดารานักร้องก็นิยมเข้าวัดเข้าวา ทำบุญสุนทานกันเป็นจำนวนมาก อย่างวันก่อนคุณอุดม แต้พานิชก็ไปช่วยเรี่ยไรให้กับทางด้านวัดพระธรรมกายอยู่ แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่าคุณอุดมทำบุญเป็นปกติ ทำเป็นล้าน ๆ บาทเลย แสดงว่าเขาเองก็ยังสร้างบุญกุศลในด้านอื่นเป็นปกติอยู่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นอาการก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร สำหรับท่านที่ไม่เอาเรื่องบุญเรื่องกุศลเลยนี่อาการน่าเป็นห่วง

วัดของอาตมาก็มีดาราไปปฏิบัติธรรมอยู่ ตอนแรกอาตมาก็สังเกตเห็นว่าคนนี้แลดูสวยสง่า ญาติโยมมาบอกทีหลังว่าเป็นดารา เพราะอาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์อะไรมาเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว ไม่รู้จักดารารุ่นใหม่ ดาราคนสุดท้ายที่รู้จักชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ ตอนนี้เล่นบทคุณยายได้สบายแล้ว..!

เถรี 26-04-2012 09:48

ถาม : ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่มีอาชีพเป็นทหาร ต้องเอาปืนไปสู้รบปรบมือกับข้าศึกอริราชศัตรู กับคนที่มาเป็นดาราสร้างความบันเทิงให้กับประชาชน อันไหนน่าจะได้มีโอกาสไปสวรรค์มากกว่ากัน หรือว่าไปนรกน้อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการกระทำและสิ่งที่เขายึดก่อนตาย ทหารออกรบส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เป็นเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัว เป็นการกระทำตามหน้าที่ ในเมื่อไม่มีความโกรธนำหน้า สิ่งที่กระทำไปก็ไม่เจตนาไปเข่นฆ่าเขา แต่เป็นการรักษาผืนแผ่นดิน รักษาราชบังลังก์ และโดยเฉพาะอย่างองค์บุรพมหากษัตริยาธิราชในอดีต พระองค์ท่านตั้งใจที่จะรักษาแผ่นดินนี้ไว้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าตั้งกำลังใจในลักษณะนี้ ส่วนที่เป็นบุญก็มีมากกว่า ส่วนที่เป็นบาปถึงจะมี แต่กำลังก็ไม่ได้มากไปกว่าบุญตรงส่วนนี้

ดังนั้น..ถ้าหากว่าทำดี ทำถูก กำลังใจก่อนตายยึดมั่นในสิ่งที่ถูก โอกาสที่จะไปสุคติก็มีมาก โดยเฉพาะอาตมาเคยเป็นทหารมาก่อน นั่งปลุกพระทุกวันเลย คาถามีกี่บทก็ว่ากันจนมั่นใจจริง ๆ แล้วถึงจะออกไป ลักษณะอย่างนี้กำลังใจเราเกาะความดีอยู่ หรือว่านักรบในอดีตเมื่อถึงเวลา ตั้งใจวางมือไม่รบราฆ่าฟันกับใครแล้ว ก็มีการถวายดาบเป็นราวเทียน เป็นพุทธบูชาไป หรือไม่ก็บวชปฏิบัติธรรมไปเลยก็มี

ในส่วนของดาราก็อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันนี้มีการแนะนำการปฏิบัติโดยดาราออกสื่อต่าง ๆ ก็มีอยู่ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงขึ้นอยู่กับการกระทำ และจิตสุดท้ายของเขา ว่าสามารถยึดเกาะด้านใดได้มากว่า เราไม่สามารถที่จะเอามาชั่งกิโล แล้วเปรียบเทียบว่าใครจะได้ดีได้ชั่วมากกว่ากัน

เถรี 26-04-2012 09:59

ท่านใดที่จะนำเก็บตกฯ เกี่ยวกับเรื่องดารานี้ไปเผยแพร่ต่อ หากเห็นว่าไปโพสต์ยังสถานที่นั้นแล้ว เป็นประเด็นให้คนต้องมาถกเถียงแย้งกัน ตำหนิติเตียนคำสอนนี้หรือตำหนิพระอาจารย์ รบกวนว่าอย่าเสี่ยงเลยค่ะ เท่ากับเราเป็นผู้เปิดโอกาสให้ผู้อื่นสร้างวจีกรรม และมโนกรรม ต่อพระธรรมและพระสงฆ์ แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้เผยแพร่ต่อยังสถานที่นั้นแล้วไม่มีใครแย้ง เกิดเป็นความรู้ที่เป็นกุศล ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ค่ะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว