กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3237)

เถรี 17-03-2012 11:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "สุนัขมีจมูกที่ไวกว่าเรา ๔๐ เท่า แต่สมัยนี้เสื่อมสภาพหมดแล้ว สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยู่บ้านต่างจังหวัด เอากระดูกขาไก่ยกขึ้นให้สุนัขดู แล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้า สุนัขวิ่งตามเข้าไปไม่ถึงนาทีก็เอากระดูกออกมากิน ส่วนสุนัขสมัยนี้โยนขนมเลยหัวไปหน่อยเดียวก็หาไม่เจอแล้ว"

ถาม : เป็นเพราะอะไรคะ ?
ตอบ : เพราะอยู่สบายกินสบายจึงเสื่อมสมรรถภาพ ถ้าปล่อยให้เข้าป่าอด ๆ อยาก ๆ บ้างแล้วจะเก่ง เพราะการอยู่ในป่าถ้าไม่กินเขา ก็จะโดนเขากิน การฝึกที่โหดระดับนั้น คนที่อยู่รอดได้จึงต้องเป็นเป็นที่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติธรรมของเรา เปอร์เซ็นต์ที่รอดไปนิพพานได้มีนิดเดียว แต่ก็มี..! มีช่วงหนึ่งที่อาตมาต้องรบกับพระยามาร ฟาดกันชนิดฟ้าถล่มดินทลาย เขายกพหลพลโยธามามากจนนับไม่ได้ เขาบอกว่าที่ปล่อยให้พระพุทธเจ้ารอดไปได้เพราะเป็นเพื่อนกัน ถ้าเขาไม่ปล่อยไม่มีทางรอดมือเขาไปได้แน่นอน แล้วอาตมาเป็นใครถึงจะไปคิดสู้กับเขา ?

ตอนที่พระยามารมาอยู่ต่อหน้า พลังของเขาที่แผ่ออกมา ความรู้สึกของอาตมาเหมือนกับว่าใจจะขาดรอน ๆ เหมือนลูกไก่อยู่ต่อหน้าพญางู มีอนุสติสุดท้ายอยู่นิดเดียวเท่านั้นว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี ท่านไปนิพพานกันจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้ามารเก่งจริงทำไมขวางท่านไม่อยู่ เพราะฉะนั้น..มารไม่เก่งจริงหรอก ดีแต่เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเท่านั้น แล้วก็มาเจอเด็กก็สู้อีกด้วย..!

เถรี 17-03-2012 11:57

อาตมาบอกกับมารไปว่า "ถ้าโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า กูจะยอมไหว้มึง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ตอนนี้เอ็งมาข้าสู้..!" แต่สู้กับเขา..ขอโทษเถอะ ประตูชนะแทบจะไม่มีเลย จะแผ่เมตตาให้ กำลังเราก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า ระดับพระพุทธเจ้าเขายังไม่รับเลย แล้วจะไปใช้กำลังอภิญญาสมาบัติอะไรก็ไม่ไหว เพราะเขาถนัดกว่าเราเยอะเลย

เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ เรื่องพวกนี้เขาชำนาญคล่องตัวกว่าจนนับไม่ได้ เลยอยู่ในลักษณะที่สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ตื๊อกันจนวินาทีสุดท้าย มีปัญญาตีก็ตีไป เราอึดให้ได้ก็แล้วกัน ท้ายที่สุดหลังจากฟาดกันอยู่เป็นอาทิตย์ เขาก็รามือถอยไปเอง เพราะหมดวาระแล้ว และอาตมาไม่ยอมแพ้สักที

เรื่องพวกนี้ปกติไม่น่าเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ว่าใครสักคนหนึ่งที่ถ้ามีวาสนาบารมีทางด้านนี้ ก็คือสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ถ้าเขามาข่มขู่ในลักษณะนี้ให้รู้ไว้ว่า เขาทำเราให้ตายไม่ได้..ในเมื่อเขาทำเราให้ตายไม่ได้ก็ไม่ต้องไปกลัวเขา เขาจะกลั่นแกล้ง จะทุบตี จะฆ่าฟัน หวดเราจมดินลงไปเป็นกิโลเมตรก็ช่างเถอะ ตื๊อสู้เขาอย่างเดียว เพราะถ้าเขาทำเราตายเท่ากับผิดกฎ เขาได้แต่ข่มขู่ให้เราเลิกปฏิบัติความดีเท่านั้น

นี่อาตมาเปิดเผยความลับมากไปเดี๋ยวก็โดนอีก ในเมื่อทำเราให้ตายไม่ได้ ไม่ตายซะอย่าง ไม่ต้องกลัวหรอก เจ็บแค่ไหนก็ทนได้ สมัยก่อนเขาบอกว่า "ศรีทนได้" ถ้าใครมีวาสนามาทางนี้ ตื๊อไปเลย ยื้อเข้าไว้ เดี๋ยวเขาเบื่อหน่ายหรือหมดวาระเขาก็เลิกไปเอง

เถรี 18-03-2012 09:01

เนื่องจากไมโครโฟนถ่านหมด ต้องเปลี่ยนใหม่ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นความจริงแท้ ใครก็เถียงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระองค์ท่านตรัสว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ใช้ไมโครโฟนอยู่ ๆ ถ่านก็หมดอีกแล้ว

ถ้าหากว่าใครมองเห็นความเสื่อมตรงนี้ ก็เป็นปัญญา ถึงแม้เป็นแค่ปัญญาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเห็นคุณของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงว่า โอหนอ..พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐจนถึงปานนี้ สิ่งที่ละเอียด เห็นได้ยากอย่างธรรมะ พระองค์ทรงเห็นแจ้ง แล้วนำมาสั่งสอนเราให้เห็นตามไปด้วย สิ่งที่พระท่านสอนคือพระธรรม ซึ่งป้องกันเราไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ชั่ว นำเราไปสู่ความพ้นทุกข์

ผู้ที่นำพระธรรมมาสั่งสอนเรา ก็คือ พระอริยสงฆเจ้า ท่านปฏิบัติตามพระธรรมนั้น จนกระทั่งเสวยวิมุตติรสแห่งพระนิพพานแล้ว จึงนำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาสอนเรา เมื่อพิจารณาดังนี้ก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่กราบพระติดอยู่ที่พระพุทธรูป กราบพระธรรมติดที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ติดที่ลูกชาวบ้าน แบบนั้นก็แย่กันพอดี

กราบพระรัตนตรัยต้องเข้าถึงคุณจริง ๆ การเข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องมีปัญญา แต่เป็นปัญญาเบื้องต้นไม่ได้มากมายอะไร เพียงแต่ว่าต้องมองให้เห็นเท่านั้น"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : มีคนเขาพูดคล้อง ๆ กันว่า กราบพระพุทธรูปติดที่ทองคำ กราบพระธรรมติดที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ติดที่ลูกหลานชาวบ้าน เหมือนกับพรรคการเมืองบางพรรค ที่ติดอยู่กับอดีตผู้นำคนเดียว เขาจะสมานสามัคคีอย่างไรไม่รู้ แต่กูจะต่อต้านอดีตนายกฯ คนนี้อย่างเดียว

ถาม : เขาทำบุญอะไรมา ถึงมีอำนาจมาก
ตอบ : พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าทำให้มีเดชมีอำนาจมาก เกิดมาเมื่อไรก็เป็นผู้นำเขา แต่ว่าผู้นำบางท่าน บูชาพระพุทธแล้วลืมบูชาพระธรรม จึงขาดปัญญา ธัมมะปูชา มหาปัญญะวันโต ในเมื่อขาดการบูชาพระธรรม จึงทำให้มีปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง

เถรี 18-03-2012 09:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถ ทรงครองราชย์ ๖๐ ปีแล้ว ส่วนในหลวงของเราครองราชย์ ๖๖ ปีแล้ว ถ้าถึง ๗๕ ปีนี่ไม่ทราบว่าจะไหวหรือไม่ จะได้มีการฉลองวัชราภิเษกบ้าง

วันนี้อาตมาไปสนามหลวงมา เห็นเขาสร้างพระเมรุมาศถวายสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทำได้สมพระเกียรติ แล้วในหลวงก็พระราชทานยศสูงสุดให้เลย โปรดเกล้าให้ยกฉัตรขาว ๗ ชั้นประดับยอดพระเมรุ ก็คือ สัปตฎลเศวตฉัตร เป็นรองแค่ในหลวงเท่านั้น

ส่วนเครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราชเป็นฉัตร ๓ ชั้น ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์จะมีการเพิ่มหรือไม่ ? อย่างสมเด็จพระสังฆราชรุ่นเก่า ๆ ที่เป็นหม่อมเจ้าหรือพระองค์เจ้า อย่างสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านเป็นพระองค์เจ้าก็เลยได้รับ มหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

พระมารดาท่านมีโอรสธิดา ๕ องค์ มีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระองค์เจ้าบรรจบปัญจมา พระองค์ท่านก็คือพระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ

มีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์โดนถอดยศลงเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ ที่โดนถอดยศเพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอยู่ในศีลกินในธรรม นิมนต์พระเข้าไปเทศน์โปรดอยู่เรื่อย ๆ พระองค์ท่านไม่ทราบว่าพระภิกษุกับพระองค์หญิงเล็งกันอยู่ พอพระองค์หญิงเห็นพระภิกษุเข้าไป หน้าตาไม่คุ้นก็ให้ความสนใจ ต้องบอกว่ามีเวรมีกรรมด้วย ท้ายที่สุดก็ลักลอบเข้าหากันจนตั้งครรภ์ พอความทราบถึงพระเนตรพระกรรณก็โดนถอดยศจากพระองค์เจ้าลงไปเป็นสามัญชน"

เถรี 18-03-2012 15:53

พระอาจารย์เล่าว่า "ศัพท์ทหารบางอย่างก็ไม่เหมือนกับศัพท์ชาวบ้าน ถ้าได้ยินก็จะรู้เลยว่าเคยเป็นทหารมาหรือเปล่า ? อย่างเช่นคำว่า "จำหน่าย" อย่างของพวกเราจำหน่ายก็คือขาย แต่การจำหน่ายของทหารก็คือตัดออกจากบัญชี เช่น จำหน่ายได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ของการฝึกโดยผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด แปลว่าในการฝึกทหาร ๑๐๐ คน ตายได้ ๕ คน เป็นแค่การฝึกนะ แต่ก็มีคนตายจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น

รุ่นอาตมารอด ไม่มีคนตาย แต่รุ่นน้องตาย รุ่นจ่าตุ๋ย (จ.ส.อ.ศุภชัย เลิศมงคล) ที่เฝ้าวัด คอยดูแลหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นก็ตาย ตายกันแทบทุกรุ่น มีรุ่นน้องถัดไป ๒ รุ่นที่ตายน่าเกลียดมาก เพราะไปสะดุดแฟร์ แฟร์ก็คือพลุส่องสว่าง เดินสะดุดแล้วล้มทับ พลุจึงระเบิดใส่ตัวไหม้ไปทั้งแถบ เลยติดเชื้อตาย แสดงให้เห็นได้ชัด ๆ เลย ว่าเขาต้องเคยไปเผาใครมาก่อน

ส่วนรุ่นน้องรุ่นติดกัน ตายเพราะโดนเอ็ม. ๖๐ ถ้าอยากรู้ว่าเอ็ม. ๖๐ หน้าตาเป็นอย่างไร ให้นึกถึงปืนที่คุณแรมโบ้ถือ ที่มีกระสุนเป็นสาย ๆ นั่นแหละ โดนเข้าตรงที่หัวไหล่ ขาดสะพายแล่งเหมือนกับขวานจาม แสดงว่าเมื่อก่อนต้องเคยออกรบ ไปฟันเขาขาดสะพายแล่งมาเหมือนกัน

พลทหารสมพงษ์ พินิจมนตรี นี่ไม่น่าตาย ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ ระหว่างที่กำลังคลานรอดวิถีกระสุน ทหารเขายิงด้วยกระสุนจริง ๆ ระเบิดก็ระเบิดจริง แต่ถ้าทำตามขั้นตอนการฝึกจะไม่มีอันตราย คราวนี้ตอนที่ครูฝึกเขากดระเบิดที่ฝังไว้ งูตกใจพรวดออกจากรูมาตรงหน้าที่พลทหารสมพงษ์อยู่พอดี เขาก็ผวาลุกขึ้น ตกใจกลัวงูจนลืมลูกปืน ก็เลยโดนเอ็ม. ๖๐ เข้าไป นัดเดียวขาดสะพายแล่งตายคาที่เลย"

ถาม : ครอบครัวได้เงินช่วยหรือไม่ ?
ตอบ : ครอบครัวได้เงินช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ คนละ ๒ บาท จริง ๆ แล้วจะไม่ให้เลยก็ได้ เพราะกฎกระทรวงเขากำหนดชัดแล้วว่าจำหน่ายในการฝึกได้ร้อยละ ๕ โดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด

ถาม : แล้วถ้าเกิดเขาไล่ความผิด ?
ตอบ : ต้องสอบสวนก่อนว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเปล่า ? ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยขึ้นมาก็ยกคำฟ้อง

เถรี 18-03-2012 16:12

รุ่นของจ่าตุ๋ย ตอนฝึกจู่โจมต้องโหนเชือกลงจากหน้าผาแล้วทิ้งตัวลงน้ำ เขาดันลงผิดจังหวะ ปกติเวลาโหนเชือกตัวจะแกว่งขึ้นหน้าถอยหลัง จังหวะที่แกว่งสุดหลังกำลังจะขึ้นหน้าเขาให้ปล่อยมือ แล้วเท้าจะลงล่างพอดี ๆ

แต่เขาดันแกว่งผิด แกว่งขึ้นหน้าสุดกำลังจะกลับหลัง แล้วเขาไปปล่อย ตัวก็ฟาดลงตรง ๆ กับพื้นน้ำที่สูงเกือบ ๔๐ เมตร สูงขนาดนั้นน้ำก็คือดินดี ๆ นี่เอง ตายคาที่เหมือนกัน งมศพขึ้นมาข้าวเต็มปากเต็มจมูกไปหมดเลย เพราะกระแทกกับพื้นน้ำแล้วขย้อนจากกระเพาะออกมา

ครูฝึกเขามักจะด่า "อย่าทำมึน..!" มึนคือทำไม่รู้ไม่ชี้ให้ผ่านไป สิ่งที่ครูฝึกบอกมาทั้งหมดนั้น ถ้าคุณจำได้คุณจะเอาชีวิตรอดได้ พวกที่ทำมึนไปวัน ๆ รอให้การฝึกพ้น ๆ ไปนั่น ตายมาเยอะแล้ว

การฝึกของทหารช่วยสร้างความอดทน คล้าย ๆ กับพระธุดงค์เหมือนกัน เพราะบางทีทหารจะมีปัญหาในการฝึกที่ทำให้ต้องอด ๓ วัน ๕ วัน เช่น ตลอดระยะ ๗๒ ชั่วโมง จะต้องไปตามปัญหาที่ครูฝึกกำหนด จากจุดนี้ไปจุดนั้นเพื่อไปรับคำสั่ง บางทีคำสั่งก็เป็นเศษกระดาษเขียนแปะบนพื้นเฉย ๆ ว่าต้องไปต่อที่ไหน แล้วก็มีข้าศึกสมมุติคอยตามตีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน

บางคนเขาถึงบอกว่าเป็นหลักสูตรฝึกคนให้เป็นควาย แล้วอาตมาก็เห็นจริง ๆ ว่าร่ายกายไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้เลย พอไปถึงชั่วโมงท้าย ๆ อาตมาเดินอยู่บนถนน เห็นว่าทางเลี้ยวโค้ง สมองอาตมาก็สั่งให้เลี้ยว แต่ตีนไม่เลี้ยวตาม เดินตกถนนไปเลย เพราะว่าประสาทชาไปหมด สั่งงานไม่ได้แล้ว

พอเวลาอดมาก ๆ เข้า เจออะไรก็จะกิน แต่เหมือนกับครูฝึกเขาแกล้ง เขาให้ปัญหาที่ต้องเดินผ่านสวน มีสวนมะม่วง มะละกอยั้วเยี้ยไปหมดเลย แต่อย่าไปกินเข้าเชียวนะ...เขาปรับตกทั้งรุ่นมาแล้ว ครูฝึกไปเดินนับไว้หมดแล้วว่าแต่ละต้นมีกี่ลูก ถ้าเดินผ่านไร่สับปะรด แล้วหายไปสักลูกเดียว โดนปรับตกทั้งรุ่น..!

แต่อาตมากินพุงกางไปเลย ไม่หายสักลูกเดียว เพราะทหารทุกคนจะต้องพกช้อนติดตัว ของใครของมัน แล้วห้ามกระทบกันจนมีเสียงด้วย ก็แค่ใช้ช้อนเสียบ คว้านเนื้อสับปะรดจากข้างล่างมากิน แล้วเอาเปลือกแปะไว้เหมือนเดิม ครูฝึกเขาไม่สังเกตหรอก เขาแค่เดินนับว่ามีลูกอยู่ครบหรือเปล่า ? แต่ถ้าสังเกตจะรู้สึกว่ากลิ่นสับปะรดแรงขึ้น

เถรี 18-03-2012 16:20

แต่ที่น่าชื่นชมมากที่สุดคือเด็ก ๆ เด็กแถววัดเขาสมอระบัง จังหวัดเพชรบุรี เด็กพวกนี้เก่งมากเลย ครูฝึกเคี่ยวแค่ไหนก็ตาม เด็กก็ยังแอบเอาอาหารไปขายให้พวกเราได้ สุดยอดจริง ๆ ต้องบอกว่าทุกครั้งที่มีการฝึก เด็กพวกนั้นก็ได้รับการฝึกด้วย เด็กจึงเก่งกว่าครูฝึกอีก

มีเด็กอยู่รายหนึ่งเอาน้ำอัดลมเข้าไป ๖ ขวด ห่อผ้าห่อกระดาษพันอย่างดี ใส่ย่ามพระด้วยนะ สะพายเข้าไป ไม่มีเสียงสักกริ๊กเดียว เล็ดลอดผ่านด่านครูฝึกเข้าไปได้ บางคนเอาข้าวผัดเข้าไป เอาก๋วยเตี๋ยวเข้าไปขาย พวกนี้เขาได้บทเรียนว่าต้องทำอาหารที่มีกลิ่นน้อย ๆ ถ้ากลิ่นแรงเดี๋ยวครูฝึกจับได้

เวลาไปขาย บางทีทหารก็ไม่มีเงินหรอก ใครมีสร้อยก็ถอดสร้อยให้ มีแหวนก็ถอดแหวนให้ มีนาฬิกาก็ถอดนาฬิกาให้ อะไรก็ได้ ขอให้ได้กินก็พอ เพราะอดมาหลายวันแล้ว พวกเด็ก ๆ ไม่รังเกียจหรอก เขารับทั้งนั้นแหละ ขากลับเก็บขยะให้ด้วย เขากระซิบว่าถ้าไม่อยากเดือดร้อนทั้งเขาและเรา อย่าทิ้งขยะแม้แต่ชิ้นเดียว อาหารที่เขาทำมาจะไม่มีก้าง ไม่มีกระดูกทั้งนั้น เพราะกลัวว่าเราจะเผลอทิ้งไว้ แล้วถูกครูฝึกจับได้ นั่นเขาเซียนขนาดนั้นเลยนะ

ถ้าเราเพลีย ๆ หลับอยู่ แล้วมีมือยื่นมาสะกิด ถามได้เลยว่ามีอะไรบ้าง เดี๋ยวเขาก็ยื่นมาให้ดู มีเพื่อนชื่อโสภณอยากได้น้ำอัดลมเย็น ๆ เพื่อน ๆ พอได้ยินต้องเอามืออุดหู "มึงอย่าพูดได้ไหม ? กูพลอยอยากไปด้วย"..(หัวเราะ).. ไม่รู้ว่ารุ่นต่อไปจะได้หรือเปล่า ? แต่รุ่นของอาตมาอดไปก่อน เพราะเด็กเขาไม่ได้แช่เย็นมาให้"

เถรี 19-03-2012 10:13

ถาม : พวกผีทั่วไป ถ้าอุทิศกุศลให้เขา จะรับได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเขามาขอได้ก็รับได้

ถาม : ถ้าผมเห็นเขามา ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าเขาจะยอมรับไหม ? บางตัวเขาไม่ได้ตั้งใจมาเอาบุญเอากุศลกับเรา เขามาตามจองล้างจองผลาญเราก็มี แต่อุทิศบุญให้เขาดีกว่าไม่ให้ ส่วนให้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็ช่างเขาเถอะ เราได้ให้ไปแล้ว

ถาม : อย่างเช่น พวกที่มาขอข้าวเรากิน เราต้องตักให้เขาต่างหากไหมครับ ?
ตอบ : ลองถามเขาดูว่ามีบุญมีกุศลให้ทำไมไม่เอา จะเอาแค่ข้าวหรืออย่างไร ?

เถรี 19-03-2012 11:10

ถาม : ถ้าอัญเชิญท้าวมหาราช กับอากาศเทวดา ไปอยู่ในกุฏิของภูมิเทวดาได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ถ้าหากตั้งศาลจะเสาเดียวหรือสี่เสาก็แล้วแต่ ถ้าตั้งถูกทิศแล้วไม่เป็นไร เพราะท่านมีวิมานของตนเองอยู่แล้ว ไม่ได้เข้าไปเบียดกันในศาลที่เราตั้งให้หรอก

ถาม : ได้แค่ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ?
ตอบ : ทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ถ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือไม่ได้ค่อยเอาทิศเหนือ ถ้าทิศเหนือไม่ได้แล้วค่อยเอาทิศตะวันออก

เทวดาก็เหมือนกับมนุษย์ แต่ละท่านจริตนิสัยไม่เหมือนกัน บางท่านค่อนข้างจะถือตัว ถ้าเราเป็นเด็กกะโปโลไปเชิญท่าน บางทีท่านก็ไม่แยแสเหมือนกัน ก็ต้องอ้างท้าวมหาราช เหมือนกับเรามีนามบัตร ผบ.เหล่าทัพมา ถึงคุณจะเป็นผู้บังคับกองร้อยก็จริง แต่ผมถือนามบัตรของเจ้านายใหญ่มา จะรับผมหรือไม่ครับ ? ..(หัวเราะ)..

เถรี 19-03-2012 11:13

ถาม : ตะกรุดกำลังพระแม่ธรณีนี้จารอักขระอะไรหรือครับ ?
ตอบ : จารคำว่า "ปะ ฐะ วี วิ สุน ทะ รี"

ถาม : แต่ต้องแยกแผ่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แยกแผ่น..แผ่นละ ๑ ตัว หลวงปู่เนป่องมรณภาพตอนอายุ ๙๗ ปี แสดงว่าถ่ายทอดให้อาตมาไม่กี่ปีท่านก็ไป

เถรี 19-03-2012 11:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นด้วยคำว่า "ศรี" ให้รู้เลยว่าท่านจบประโยค ๙ ยกเว้นพระศรีสุธรรมมุนี เพราะพระศรีสุธรรมมุนีจบแค่ประโยค ๘"

ถาม : ทำไมยกเว้นล่ะครับ ?
ตอบ : เป็นตำแหน่งโบราณ ท่านเป็นประโยค ๘ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดฯ ให้เป็นเจ้าคุณศรีฯ ก็เลยกลายเป็นตำแหน่งเดียวที่คนไม่รู้จะนึกว่าจบประโยค ๙

ถ้าขึ้นด้วย "ศรี" หรือ "เมธี" นี่ ปกติต้องเป็นประโยค ๙

เถรี 19-03-2012 14:12

มีโยมพาลูกมาทำบุญ พระอาจารย์บอกว่า "ปล่อยให้ลูกเขาไปกลิ้งคลุกดินคลุกทรายเสียบ้าง เขาจะได้แข็งแรง ไม่ต้องไปดูแลอะไรมากหรอก มอมเป็นหมาเราอาบน้ำให้ก็จบแล้ว มัวแต่ไปดูแลกันทุกฝีก้าว เด็กจะไม่มีภูมิต้านทานอะไรเลย เป็นอะไรขึ้นมาจะไม่รอดหรอก..!"

เถรี 19-03-2012 14:21

ถาม : สงสัยในเรื่องของดวงดาว ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ..เกี่ยวกับการกำเนิดโลกพระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและภารทวาชะอยู่ในอัคคัญสูตร ส่วนเรื่องของจักรวาลอื่น ๆ ทรงตรัสถึงฤๅษีที่มีฤทธิ์ เหาะไปจนกระทั่งสิ้นชีวิตยังไม่สุดเขตของจักรวาล แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดมานับเม็ดฝนเขาว่าเป็นพระสารีบุตร ท่านมีปัญญามากขนาดนับเม็ดฝนได้

เถรี 19-03-2012 15:58

พระอาจารย์เล่าถึงการฝึกทหารต่ออีกว่า "พอเข้าวัดเขาสมอระบังได้ก็ต้องไปนอนในป่าช้า ไปค้นแผนที่จากศพ ครูฝึกจะเอาแผนที่ไปยัดไว้ในโลงศพที่เน่าเละ ๆ เลย พวกเราต้องไปค้นหาแผนที่เพื่อดูว่าต้องเดินทางต่อไปที่ไหน

จ่ามนูญ วะลัยศรีบอกว่า "ไอ้ห่..รุ่นกูค้นจนผีแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ก็ยังหาไม่เจอ หมดสภาพเหม็นหึ่งไปทั้งตัว นอนหงายก่ายหน้าผาก ไอ้ฉิ..หาย..มันเอาไปเสียบอยู่ที่คบไม้..!" ถ้าไม่หมดสภาพนอนหงายก่ายหน้าผาก ก็ไม่เห็นหรอกว่าครูฝึกขาเสียบปัญหาไว้ที่คบไม้เห็นเด่น ๆ เลย

เขาจะบอกพิกัดให้ทีละจุด ๆ ให้พวกเราตามล่าไป ดูว่าเราใช้แผนที่เข็มทิศเป็นหรือไม่ จนสุดท้ายไปเจอส้วมหลุมเก่า ๆ ครูฝึกแสบมากเลย อุตส่าห์ตามล่ากันแทบตาย สุดท้ายให้ตามล่าส้วมหลุมเก่า ๆ เป็นส้วมซึมสักหน่อยก็ไม่ได้

เป็นทหารเขาโกรธกันไม่นานหรอก รักกันจะตายไป เขามีสารพัดวิธีที่ทำให้รักกัน อย่างอาตมากับเพื่อนชกกันกองร้อยแทบถล่ม ตึงตังโครมคราม อัดกันเละ สิบเวรวิ่งมาถึง เป่านกหวีด..ปรี๊ด "เฮ้ย..หยุด..! พวกมึงไปเขียน กร. มาเลยนะ" ก็คือติดคุกแน่ อาตมาถามว่า "เขียนทำไมครับ ?" แล้วหันไปกอดคอเพื่อน "พวกผมเล่นกัน" สิบเวรหันไปถามเพื่อนว่า "จริงหรือวะ ?" เพื่อนชื่อศุภชัย บานเย็นบอกว่า "จริงครับ" เขาก็มองหน้า "รุ่นมึงเล่นกันรุนแรงดีนะ" ..(หัวเราะ)..

ถ้าไม่ยืนยันอย่างนั้น นอกจากติดคุกแล้ว เขาจะล่ามให้ติดกัน ถึงเวลากินก็ต้องกินด้วยกัน ถ่ายก็ต้องถ่ายด้วยกัน เราไม่ปวดท้องก็ต้องเข้าส้วมไปกับเขา ถึงเวลาอาหารวางตรงหน้า ต้องผลัดกันถ่มน้ำลายใส่ เขาก็ถ่มน้ำลายใส่จานเรา เราก็ถ่มน้ำลายใส่จานเขา แล้วก็คลุกกินกันไป จนกว่าจะบอกว่ารักกันถึงจะปล่อย เขาทำจนเรารักกันทุกคนแหละ ถ้าเป็นสมัยนี้ถ่มน้ำลายใส่แบบนั้น คงได้ติดโรคเอดส์ตายกันบ้าง" ..(หัวเราะ)..

เถรี 19-03-2012 16:00

"ถึงเวลาเขาเข้าส้วม เราถึงไม่ปวดก็ต้องเข้ากับเขาด้วย เพราะมือถูกล่ามติดกัน บางทีก็ด่าหรือชกกันในส้วมต่อ "ไอ้ห่..ช้าฉิบหา..!" ถ้าโดนลงโทษขัดส้วม รู้ชะตากรรมเลยว่ามือถลอกแน่นอน เขาไม่มีเครื่องมืออะไรทั้งสิ้น นอกจากมือเปล่า ๆ กับน้ำ ต้องลูบให้ลื่น..!

ชีวิตทหารกับชีวิตนักบวชเหมือนกัน ก็คือต้องอดทนกับสิ่งกระทบต่าง ๆ ถ้าหากเราฟังโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา ประโยคแรกพระองค์เอ่ยเลยว่า ความอดทนเป็นสุดยอดเครื่องประดับของนักปราชญ์ อยากเป็นผู้รู้ อยากเป็นคนเก่ง ความอดทนจะต้องมาก่อน ถ้าทนได้ในทุกสถานการณ์ต่อไปถึงจะสบาย"

เถรี 20-03-2012 09:59

พระอาจารย์เล่าว่า "มีเหตุการณ์ในชีวิตหลายครั้งที่ทำให้อาตมาเชื่อว่าอาถรรพ์ป่านั้นมีจริง ทั้งตอนที่เป็นทหารและตอนที่เป็นพระ

ตอนที่เป็นทหาร วันนั้นเดินตามปัญหา เป้าหมายคือเขาช้างร้อง ช้างร้องคือคร่ำครวญว่าขึ้นไม่ไหว แต่นี่เขาจะให้ทหารไปขึ้น เชื่อไหมว่าเดินตั้งแต่ตอน ๑ ทุ่ม จนถึงตี ๕ แล้วยังหาเขาช้างร้องไม่เจอ จึงตัดสินใจว่าโดนซ่อมทั้งหน่วยก็เอาวะ..นอนดีกว่า ว่าแล้วก็นอนสุมหัวกันระเกะระกะ ตื่นเช้าขึ้นมาปรากฏว่านอนอยู่ตีนเขาเขาช้างร้อง แต่ทำไมเมื่อคืนไม่มีใครเห็นภูเขาเลย เดินอยู่ที่ตีนเขากันได้ทั้งคืน

ส่วนตอนที่เป็นพระ มีหลายวาระด้วยกันที่เจอลักษณะนั้น ตอนนั้นจะข้ามจากห้วยขาแข้งไปอุ้มผาง เพื่อออกไปเปิงเคลิ่ง จะได้ข้ามไปพระธาตุมอละอิต จากห้วยขาแข้งจะมียอดเขายอดหนึ่งที่เป็นรูปกรวยอยู่ เป็นเป้าหมายว่าขึ้นไปตรงนั้นจะเป็นอุ้มผาง เชื่อไหมว่าเล็งอย่างดีแล้ว แต่เดินกี่ที ๆ เขาลูกนั้นก็หายไปทุกทีเลย พอย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ก็เห็นอยู่ตรงนั้นแหละ จนกระทั่งท้ายสุดต้องตัดสินใจว่าไม่ไปแล้ว..กลับดีกว่า ถ้าเขาให้เราไป เดิน ๓ วันต้องไปถึงแล้ว แต่นี่ ๓ วันไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่แค่ตรงแถวนั้นแหละ เดินจนไม่มีที่ให้เดินแล้ว เดินจนทับรอยตัวเอง

ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ตอนพาท่านมหาเค ท่านยุ้ย ท่านกอล์ฟ ไปที่บ้านตะเพินคี่ พาเขาไปดูถ้ำงูใหญ่ ใหญ่ขนาดท่านชาติชายไปนอนอยู่บนหลังงูได้เพราะคิดว่าเป็นแท่นหิน อาตมาเจอตอนดึกกะว่างูตัวนั้นใหญ่ประมาณกระติกน้ำ ปรากฏว่าคนที่เคยเห็นตัวจริงเขาบอกว่า "ใหญ่กว่านั้นครับอาจารย์ ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!"

ถามว่า "คุณเจอมาแล้วใช่ไหม ?" เขาบอกว่า "ผมเจอกลางวันแสก ๆ เลยครับ งูใหญ่ตัวนั้นนอนหลับขวางทางอยู่" พระรูปนั้นชื่อจันทิมา ท่านเป็นพระมอญ เดินธุดงค์อยู่เส้นนั้นเหมือนกัน ถามว่า "แล้วคุณทำอย่างไร ?" "ผมเดินตามเกล็ดไปเรื่อยครับ ไกลน่าดูเลยกว่าจะข้ามไปได้"

อาตมาก็แปลกใจที่ได้ยินเขาบอกว่าเดินตามเกล็ด จึงถามว่า "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" ท่านตอบว่า "ถ้าเดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ ถ้าเดินตามเกล็ดไปจะเจอหาง" ถามต่อว่า "แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามไปเลย ?" เขาบอกว่า "โอ้โห..งูตัวใหญ่จนผมไม่แน่ใจว่าจะก้าวข้ามได้ ถ้าเกิดไปสะดุดเข้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดหรือเปล่า ?"

เถรี 20-03-2012 10:10

"พอพาพวกท่านมหาเคเข้าไปในถ้ำนั้น ท่านชาติชายก็ชี้ให้ดูว่างูเคยนอนอยู่ตรงนี้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็จะกลับออกมา เพราะกลัวว่างูย้ายที่นอนไปรอพวกเราอยู่ข้างใน กลับหลังหันมาปากถ้ำหายไปไหนไม่รู้ กลายเป็นหินตัน ๆ หมดเลย..! ต่อหน้าต่อตาเลยนะ ทุกคนก็งงว่าเราหลงทิศได้ขนาดนี้เลยหรือ ? แล้วพวกเราเข้ามาทางไหน ? เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราเข้าปากถ้ำไปไม่ลึก อย่างไรก็ต้องมองเห็นทางออก

ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องตะเกียกตะกายลึกเข้าไปเรื่อยเพื่อหาทางออก ท้ายสุดไปเจอซอกแตก ความกว้างประมาณตัวคน เดินมุดไปมุดมา อ้อมไปโผล่ถ้ำที่อาตมาเคยไปพักแล้วโดนงูมารัด ถึงได้รู้ว่างูใหญ่นอนที่ถ้ำนั้น พอเวลาหากินออกมาทางถ้ำนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่างูมาจากทางไหน อาจจะเป็นเจตนาดีของท่านก็ได้ อยากให้พวกเรารู้เลยปิดทางออกซะ ให้ตะเกียกตะกายมาหาทางออกอีกทางหนึ่งแทน เพราะฉะนั้น..เรื่องเหล่านี้ถึงได้เชื่อที่โบราณว่าป่ามีอาถรรพ์นั้นมี จริง ๆ ถ้าเราตั้งสติไม่ได้นี่ก็ปางตายเลยนะ

อาตมาเคยเดินออกมาจากบึงลับแลตอนตี ๒ ขอบอกว่าอย่าเลียนแบบเป็นอันขาด เดินป่ากลางคืนอันตรายมาก เพราะสัตว์ป่าหากินเวลากลางคืน ด้วยความที่มั่นใจตัวเองมาก ก็เดินออกมาตอนตี ๒ ตัวคนเดียวด้วย เดินออกมาตั้งนาน แปลกใจว่าทำไมไม่ถึงถนนสักที ปกติอาตมาเดินประมาณ ๔๕ นาทีก็ถึง นี่เดินมา ๒ ชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?

ป่าช่วงนั้นเป็นดงไผ่ซึ่งหลงง่ายที่สุด เพราะหาจุดจำยาก มองไปทางไหนเหมือนกันหมด แล้วแต่ละช่องก็โล่งน่าเดินทั้งนั้น เดินเปะปะไปเปะปะมา ไปเจอไม้ยืนต้นเข้าต้นหนึ่ง เอาละ..ได้ที่แล้ว เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีคาถาเทวดาชี้ทางอยู่ ให้พิงต้นไม้แล้วภาวนาคาถา เทวดาจะบอกทางให้ อาตมาก็พิงต้นว่าคาถา เสียงเทวดาท่านบอกว่า "เดินไปข้างหน้าอีก ๓ ก้าว" อาตมาก็เดินไปข้างหน้า ๓ ก้าว เชื่อไหมว่าทางเบ้อเริ่มอยู่ตรงนั้นเอง ปล่อยให้หลงอยู่ได้เป็นชั่วโมง ๆ หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?"

เถรี 20-03-2012 10:28

พระอาจารย์เล่าว่า "พวกชนกลุ่มน้อยอย่างกะเหรี่ยง มอญ ทวาย เขาจะขี้กลัวกว่าเรา อย่างท่านโมเช่เขาเก่ง แค่ตวาดทีเดียวควายทั้งฝูง ๒๐ - ๓๐ ตัวยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาหมดเลย แต่ท่านจะหนีท่าเดียว พอเห็นอาตมาไม่หนีก็ถึงได้แสดงฝีมือออกมาให้เห็น พูดง่าย ๆ ก็คือ "หนีไว้ก่อนพ่อสอนไว้"

นี่ท่านโมเช่หายไป ๒ ปี เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ามไปสร้างเจดีย์ที่พม่าเสร็จไปอีกหนึ่งหลัง บอกแล้วว่าถ้าท่านขาดเงินเมื่อไรก็จะมาหา น่ารักมาก แล้วรู้ด้วยว่าถ้ามาแล้วอาตมาจะมีให้ ตรงนี้ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ เพราะท่านไปไหนจะถามเทวดาก่อน "ไปตอนนี้ อาจางมีเงินหรือเปล่า ?" เทวดาก็ระยำ..มาแอบดูบัญชีของอาตมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ?

ท่านเป็นคนเก่งที่ไม่ยอมสู้ใคร ไม่แสดงฝีมือโดยไม่จำเป็น มีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคนรู้จักสังเกตก็คือ แกเป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านต่อทุกสังคม พาขึ้นเครื่องบินแกก็ขึ้น คุณแดงของเราพาท่านโมเช่ไปไหนรู้ไหม ? ไปวัดท่าซุง คนเป็นแสน ๆ คน ท่านโมเช่แต่งตัวเป็นฤๅษี นุ่งเสื้อเก่า ๆ ผ้าเก่า ๆ สะพายย่าม ส่วนคุณแดงตอนนั้นใส่เสื้อกล้ามนุ่งกางเกงแม้ว สองสหายก็เดินทั่ววัด ไม่ได้สนใจใครหรอก เดินจนทั่ววัดแล้วก็มายืนบ่น "อาจาง..วัดท่าซุงคงเยอะจัง" เขาไม่เคยเห็นงานวัดที่มีคนเป็นแสน ๆ คนขนาดนั้น

ได้เห็นอย่างนั้นถึงรู้ว่าสภาพจิตใจจริง ๆ ของท่านโมเช่มั่นคงมาก ไม่รู้สึกประหม่ากับคนมากขนาดนั้น แล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกด้วย เห็นเป็นธรรมดาหมดเลย"

เถรี 20-03-2012 10:31

ถาม : มีคนมายืมเงิน แต่เราไม่รู้ว่าเขาเอาไปทำแท้งค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เราไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร ถ้าเราบอกว่าช่วยยืมเงินฉันไปทำแท้งที ถ้าอย่างนั้นละก็ผิดเต็ม ๆ

เถรี 20-03-2012 10:35

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บอกแล้วว่า ถ้ากิเลสกินเราเวลากลางวันไม่ได้ก็จะไปกินเราเวลากลางคืน เพราะฉะนั้น..หลับกับตื่นความรู้สึกต้องเท่ากัน จำไว้ว่า..ถ้ากิเลสกินเราตอนตื่นไม่ได้ ก็จะไปกินเราตอนหลับ

นักปฏิบัติถึงต้องปฏิบัติให้ถึงระดับหลับและตื่นมีความรู้สึกเท่ากัน รู้ทันกิเลสเท่ากัน ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาตลอด บางคนตอนกลางวันมดสักตัวยังไม่กล้าเหยียบ พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..!

เถรี 20-03-2012 11:09

ถาม : ที่ท่านเล่าว่างานพุทธาภิเษกที่ชลบุรี ท่านออกมาก่อน ท่านอื่นใช้กำลังตัวเอง แล้วงานที่เขาวงละครับ ?
ตอบ : อ๋อ..ที่นั่นท่านพี่ทั้งหมดประเภทรอผมอยู่คนเดียว (หัวเราะ)

ถาม : เขารู้จริง ?
ตอบ : รู้จริง..ผมยอมรับท่านเป็นพี่ผมได้จริง ๆ บางคนก็นั่งรอ ถ้าเล็กบอกอย่างไรพี่ก็ไปแค่นั้น โคตรสบายเลย ถึงเวลาก็นั่งรอ รอผมให้สัญญาณ พอให้สัญญาณท่านก็เลิก..เต็มแล้ว

ผมโดนมาตั้งแต่สมัยเป็นพระใหม่เลย ถึงเวลาออกงานออกการ ให้เจิมให้อะไรก็ "เล็ก..ไปทำหน่อย" จนกระทั่งบางทีผมก็เบื่อเต็มที กี่งาน ๆ ก็ใช้แต่ผม ทำไมพี่ไม่ทำบ้างละ ? พี่เขาบอกว่า "ไม่ได้หัดไว้..เป็นแล้วมันเหนื่อยว่ะ" เพิ่งจะมารู้ว่าพอสิ้นหลวงพ่อแล้ว ไม่เป็นก็ต้องเป็นให้ได้ คราวนี้ก็วิ่งหาความรู้กันทั่วประเทศจนตีนพลิก

จนป่านนี้ผมยังไม่รู้ว่าสมุดบันทึกของผมไปอยู่กับใคร ทั้งหมดที่บันทึกไว้เกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับจากหลวงพ่อมา เขาขอไปลอกต่อกันเรื่อย ๆ ตอนนี้หาคืนไม่ได้เลย ไม่รู้ไปอยู่กับใคร ถ้าหากว่าเจอสมุดบันทึกไดอารี่ปกดำ ๆ หน้าปกมีสติ๊กเกอร์รูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ตัดเป็นแฉกเหมือนดอกทานตะวัน ถ้าเห็นยึดมาได้เลยนะ บอกท่านว่าจะเอาไปคืนพระอาจารย์"

เถรี 20-03-2012 16:46

ถาม : การตอบปัญหาของบางคน เราต้องปรับกำลังใจลงมาเท่าเขา ?
ตอบ : ต้องปรับลงมาเท่าเขา แต่เราจะเหนื่อยมาก เป็นเรื่องที่คนกำลังใจสูงจะเบื่อมากเลย เพราะต้องเสียเวลาไปปรับลง และทำให้ตัวเองไม่มั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง จะเข้าได้ง่าย

เถรี 20-03-2012 16:53

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อาตมาก็เป็นเหมือนกัน ถึงเวลาจะไอ เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม ถ้าไม่ไอหัวใจจะวาย ลักษณะเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจสะดุดเป็นระยะ แต่หมอเขาหาสาเหตุไม่เจอ ต้องบอกว่าโรคเวรโรคกรรม นั่ง ๆ อยู่พอหัวใจเต้นผิดจังหวะก็จะไออัตโนมัติเลย เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม

สร้างเวรสร้างกรรมไว้มาก ถึงเวลาเขาก็มาทวงเป็นปกติ โรคพวกนี้กรรมบัง หมอเขาเลยหาสาเหตุไม่เจอ

ถาม : หมอเขาบอกว่าเกิดจากความเครียด เป็นกรดไหลย้อน
ตอบ: เดี๋ยวนี้หมอเป็นอย่างนั้นไปหมด อะไรก็กรดไหลย้อนไว้ก่อน บอกว่าไม่ต้องกังวลหรอก นึกถึงพระไว้ ถ้าตายตอนนั้นก็ไปเลยเท่านั้นเอง

เถรี 20-03-2012 16:54

ถาม : พระโสดาบันรู้ว่าต้องตาย แล้วยังกลัวตายไหมครับ ?
ตอบ : ยังกลัวอยู่ แต่กลัวแบบมีสติมากกว่าเรา เพราะรู้ว่าปกติของร่างกายนี้จะต้องตายแน่ ๆ

เถรี 21-03-2012 08:07

ถาม : เวลานอน จะหลับก็ไม่หลับ แต่ก็นอนไปอย่างนั้น ?
ตอบ : ดีจ้ะ..แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรไปใส่ใจตรงนั้น ให้เราภาวนาไปเรื่อย ๆ จะหลับหรือไม่หลับก็ช่าง เผลอหน่อยเดียวก็จะตัดหลับเลย ถ้าไม่เผลอ ไปตั้งใจดูว่าจะหลับเมื่อไร ก็จะอยู่แบบนั้นไปเรื่อย

ให้สังเกตว่าเราไม่ได้ง่วง เพราะนอนมาพอแล้ว ไม่ได้ง่วง ไม่ได้เพลีย การไม่หลับแบบนั้นเป็นลักษณะของปีติหรือไม่ก็สติสมบูรณ์ ให้สังเกตดูเอง..ถ้าเราภาวนาก่อนนอน ส่วนใหญ่จะเป็นปีติค้ำอยู่ สว่างโพลงอยู่ แต่ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์จะรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็รู้

เถรี 21-03-2012 08:25

ถาม : ขอยกลูกให้เป็นลูกของท่านครับ ?
ตอบ : เลิกรับไปนานแล้วจ้ะ เดี๋ยวเด็กจะซนเป็นลิงหนักกว่าเก่าอีก ไม่เป็นไร..พามาบ่อย ๆ แล้วกัน พวกนี้ถ้ายกเป็นลูกพระ เวลาดื้อแล้วเราไปตีเขา จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้จนกว่าจะขอขมาพระก่อน เพราะฉะนั้น..อย่ายกให้พระเลยจะดีที่สุด

เป็นเรื่องแปลก ลองดูได้เลย คนไหนยกเป็นลูกพระแล้วไปตีดูสิ จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้ หมอก็รักษาไม่หาย จนกว่าจะขอขมาพระถึงจะหาย เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยกลูกให้เป็นลูกพระเลย เดี๋ยวจะตีไม่ได้

เถรี 21-03-2012 08:38

พระอาจารย์เล่าว่า "มีหนังสือขอความร่วมมือจากกระทรวงวัฒนธรรม ขอวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด นำไปจำหน่ายเพื่อหารายได้เข้าสภากาชาดไทย อาตมาก็เลยบอกว่าวัตถุมงคลของอาตมายังไม่ใช่หรอก เพราะว่ายังไม่มีชื่อเสียง แต่แหม..เขารู้ได้อย่างไร เล่นจิกมาตรงตัวเลย

ต่อไปจะมีพวกที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้น ก็คือพวกที่มาขอความช่วยเหลือแบบไม่ดูเวล่ำเวลา ไปนึกถึงครูบาเทืองสมัยรุ่ง ๆ ท่านต้องติดป้ายไว้เลย “ใครมาขอ ครูบาให้ทั้งนั้นแต่ไม่จ่าย ใครมานิมนต์ ครูบารับทั้งนั้นแต่ไม่ไป” ติดป้ายไว้อย่างนั้นเลย เพราะท่านโดนแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนกระทั่งท่านเข็ด ต้องติดป้ายไว้ให้เห็น ๆ

เมื่อเช้าอาตมาไปนิมนต์หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายนุ้ยมาสวดมนต์ฉันเพลวันที่ ๒๙ นี้ ไปเจอลูกศิษย์ท่านกำลังตื๊อจะเอากุมารทอง ท่านมีกุมารทองอยู่ ๒ ตัว เป็นกุมารรุ่นหนึ่งของหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านเอง

ลูกศิษย์เข้าไปเห็นกุมารทองหายไปตัวหนึ่ง เขาคร่ำครวญหวนโหยจะขาดใจตาย บอกว่า “หายไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..ตัวนี้ผมเอาแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหายอีก" ประเภทนี้ถ้ามาคร่ำครวญใกล้ ๆ อาตมารับรองว่าได้ทันที..! วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้ โดยเฉพาะรุ่น ๑ ก็เหมือนกับของแทนตัว ยังจะไปตื๊อจะเอาให้ได้"

เถรี 21-03-2012 09:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคมนี้ ใครจะเอาอาหารมาเลี้ยงโรงทานที่นี่คิดให้ดี ๆ นะ คนอาจจะเยอะกว่าที่คิด ถ้าเราตั้งใจมากินจะปลอดภัยกว่า แนะนำถูกหรือเปล่านี่ ? ..(หัวเราะ).. ถ้าคิดจะเลี้ยงโรงทานแจ้งมาล่วงหน้าก่อนก็ดีนะจ๊ะ เขาจะได้เตรียมโต๊ะไว้ให้

ปกติอยากจะทำบุญให้ตรงวัน คือ ๓๑ มีนาคม แต่วันนั้นอาตมาติดงานอยู่ที่วัดพระธาตุดอยกวางคำ ก็เลยต้องมาทำบุญวันที่ ๒๙ แทน"

เถรี 21-03-2012 10:07

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของภาษา มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง น่าจะมีพื้นฐานของนิรุกติปฏิสัมภิทา พูดได้ ๒๐๐ กว่าภาษา โดยเฉพาะภาษาเผ่าพื้นเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแอฟริกัน เขาพูดได้ทั้งนั้นเลย"

เถรี 21-03-2012 10:21

ขณะที่โยมถวายสังฆทาน พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมประเคนพระเลยธงไปหน่อย วางเลยขึ้นมาบนกองหนังสือเลย คำว่า "เลยธง" เป็นศัพท์เก่า สมัยนี้เราเรียกว่า "ออฟไซด์" พวกทำอะไรเลยธง ก็คือ พวกเกิน ไม่มีขาด

มีคำศัพท์หลายคำที่ไม่ติดตลาด คนยังนิยมใช้คำเดิมของเขา เช่น “คอมพิวเตอร์” เขาบัญญัติว่า “สมองกล” จนป่านนี้ก็ไม่มีใครใช้กัน เขาก็เรียกทับศัพท์ว่าคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้เปลี่ยนใหม่เป็น “คณิตกรณ์” ฟังแล้วบ้าไปเลย แสดงว่าทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคิดเลขอย่างเดียว ตอนนี้ราชบัณฑิตฯ บัญญัติยังเป็นคณิตกรณ์อยู่นะ

คำว่า "สอบไล่" สมัยนี้เรียกว่า "สอบไฟนอล" ความจริงคำว่าสอบไล่มาจาก “ไล่ระดับความรู้” เขาเรียกย่อลงมาเหลือแค่สอบไล่"

เถรี 21-03-2012 11:14

ถาม : เปิดร้านอยู่ที่เยอรมัน แต่กิจการไม่ค่อยดี
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ

ถาม : เครื่องบวงสรวง เราต้องทำไหม?
ตอบ : จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาว่าขอให้กิจการเราเจริญรุ่งเรือง แล้วจะถวายสังฆทานให้เขาเป็นประจำ จะถวายปีละครั้งหรือเดือนละครั้งอยู่ที่เรา ถ้าทำเองไม่ได้ก็โทรมาบอกทางนี้ให้ทำแทน บอกเทวดาว่าเอา "หมาก" เยอะ ๆ

ถาม : หมาก ?
ตอบ : เงินมาร์ก สกุลเงินของเยอรมัน บอกเทวดาว่าเอาหมากเยอะ ๆ อาตมาพูดศัพท์แสลงโยมเลยไม่เข้าใจ

สมัยนี้คำที่หายไปอีกคำหนึ่งก็คือ แจกหมากแจกแว่น สมัยก่อนเวลาตีกัน ต่อยจนปากแตกตาเขียว เขาเรียกว่าแจกหมากแจกแว่น ต่อยกันปากแตกเลือดแดงเหมือนคนกินหมาก เจอกำปั้นเข้าไปเบ้าตาเขียวเป็นเบ้าขนมครกอย่างกับใส่แว่น

เถรี 21-03-2012 11:27

ประเทศเยอรมันมีวัดสาขาของวัดท่าซุงอยู่ด้วยนะ ท่านพระครูประสิทธิ์สรการหรือหลวงพี่อาจินต์ ธมฺมจิตฺโต รักษาการณ์เจ้าอาวาสอยู่

หลวงพี่อาจินต์ท่านได้ตำแหน่งพระครูฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ วัดสระเกศ เป็นพระครูคู่สวด มหาปิงเรียนถามท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิว่า “ตำแหน่งพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร ใหญ่กว่าตั้งเยอะทำไมไม่ให้ ไปให้พระคู่สวด” เจ้าคุณพรหมสิทธิท่านบอกว่า “ตำแหน่งพระคู่สวดชื่อเหมือนกับพระครูสัญญาบัตร คนได้ยินจะให้ความเกรงใจมากกว่า” ถ้าเป็นพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร เขาฟังดูก็รู้ว่าเป็นพระครูฐานานุกรม

แบบเดียวกับท่านเจ้าคุณพิพัฒน์ศึกษากร ก่อนนั้นท่านเป็นพระครูพินิจสุนทร อาตมาก็นึกว่าท่านเป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ไหนได้ท่านเป็นพระครูฐานานุกรม เป็นพระครูคู่สวด

สมัยก่อนพระครูคู่สวดมีนิตยภัตให้ สมัยนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? สมัยนี้ถ้าเป็นพระครูปลัดของรองสมเด็จพระราชาคณะขึ้นไปมีนิตยภัต “นิตยภัต” ก็คือค่าอาหารที่จ่ายให้ประจำ เมื่อก่อนเขาจะขีดกากบาทแล้วก็ลงตัวเลข ลงผิดช่องนี่จ่ายหนักเลย เพราะจะมี ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ เด็กรุ่นหลังไปดูไม่รู้หรอกว่าขีดอะไร ถ้าลงผิดช่องแทนที่จะเป็น ๔ ตำลึง กลายเป็น ๔ ชั่ง นี่จ่ายกันตายเลย..!

เถรี 21-03-2012 11:52

มีคุณป้ากำลังเล่นกับสุนัขอยู่ พระอาจารย์ท่านว่า "ท่านี้คือยอมแพ้ ท่านอนหงายเปิดพุงคือไม่มีอะไรป้องกันส่วนอันตรายของตัวเอง แปลว่ายอมแล้วจ้ะ

แต่ถ้าเป็นมวยไทยรุ่นเก่า ล้มแล้วหงายเขาซ้ำนะ เขาถือว่ายังป้องกันตัวได้ ถ้าล้มแล้วไม่อยากโดนซ้ำให้รีบพลิกคว่ำ เพราะว่าคนที่ล้มนอนหงาย เขาสามารถใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวส้นเท้าแล้วเท้าอีกข้างหนึ่งถีบใส่หัวเข่า คู่ต่อสู้อาจจะบาดเจ็บถึงพิการเอาง่าย ๆ เลย"

เถรี 21-03-2012 13:03

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ เวลาเล่นประทัดกัน ถึงเวลาจุดจะไปเก็บเอานัดที่ไม่ระเบิดมา เพราะว่าไส้ประทัดบางอันเขาใส่ดินปืนไม่ต่อเนื่องกัน เวลาจุดเท่ากับไหม้กระดาษเปล่า ๆ เด็ก ๆ ก็เก็บมาจุดเล่นกัน จุดเฉย ๆ ไม่สนุก ก็ใช้วิธีกอบดินขึ้นมาเอาประทัดเสียบไว้ เอากะลาครอบแล้วจุด เวลาระเบิดแล้วกะลาจะลอยสูงดี

มีพวกวิตถารกว่านั้นอีก เอายัดใส่ปากคางคกแล้วก็จุด..! คางคกไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อยู่ ๆ ก็โดนจนไส้ไหลลิ้นห้อย เวลาเด็ก ๆ เล่นจะนึกถึงแต่ความสนุกอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่น ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า การทำอะไรพิลึกพิลั่น บางทีก็ทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว

กว่าจะรู้บุญรู้บาปก็ต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาระยะหนึ่ง แต่เด็กสมัยก่อนรู้บุญรู้บาปง่ายเพราะอยู่ใกล้วัด สมัยหลังพอเขาแยกโรงเรียนกับวัดออกจากกันก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วยิ่งโดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไปก็ยิ่งบรรลัยใหญ่ สมัยที่โดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไป เพราะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการท่านเป็นคริสต์..!"

เถรี 22-03-2012 08:27

ถาม : คิดอย่างไรกับการเช่าพระเพื่อเก็งกำไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา ทำไปได้เลย

ถาม : การเช่าพระที่แท้จริง ควรเช่าเพื่ออะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือติดตัวไว้เป็นอนุสติ แต่มีส่วนหนึ่งที่เขาตั้งใจทำกำไรโดยตรง แต่ก็ว่ากันไม่ได้ เพราะถ้าคนไม่ต้องการ เขาก็ไม่มาซื้อ ต้องเรียกว่าสมยอมด้วยกัน คือถ้าราคาไม่เกินความสามารถ เขาก็ซื้ออยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าให้ทำด้วยความเคารพ ไม่ใช่ไปวางเกะกะเกลื่อนกลาดหมด อย่างสมัยนี้เขาบังคับแถวท่าพระจันทร์ ถ้าหากว่าไม่วางพระบนโต๊ะก็ห้ามตั้งขาย สมัยก่อนเขาวางบนทางเท้าเลย สมัยนี้ถูกบังคับก็เลยดีขึ้นมาหน่อย

ถาม : ถ้าคนที่เช่าพระเพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดมีไว้เพื่อเป็นอนุสติเลย ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาทำมาหากินตามปกติไป ไม่ได้ไปปล้น ไปจี้ ไปโกงใคร แต่อย่างน้อยก็ให้ปฏิบัติด้วยความเคารพ มีสมัยหนึ่งเขาเอาพระไปเล่นประเภทกำถั่วทายกัน จะออกคู่ ออกคี่ เล่นได้เสียกันอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นมีหวังลงนรกหมด ถ้าจะทำก็ให้ทำด้วยความเคารพ

มีบางร้านเขาทำดีมาก ก่อนที่จะเอาพระออกมาให้ลูกค้าดู เขาล้างมือให้สะอาด แล้วก็ปูผ้าขาวแล้วค่อยหยิบพระออกมาวางให้ลูกค้าดู เขาทำขนาดนั้นแสดงว่าเคารพพระจริง ๆ

ถาม : อย่างในสมัยอดีต ที่เขาไปตกพระตามกรุล่ะครับ ?
ตอบ : อันนั้นติดหนี้สงฆ์แน่นอน ถ้าตกพระก็มีกรุเดียว คือกรุบางขุนพรหม

เถรี 22-03-2012 11:31

มีเด็กมาขอวัตถุมงคลเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเด็ก ๆ เราควรทำให้เขารู้สึกว่ามาวัดหรือมาหาพระแล้วได้อะไรไปบ้าง โดยเฉพาะในวันเกิดของเขา

เด็กรุ่นหลังนี้วันเกิดเป็นเรื่องสำคัญ บางคนเป็นเด็กอนุบาลอยู่ ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลยก็จัดงานวันเกิดแล้ว บางทีเด็ก ๆ เขามาจัดงานวันเกิดให้อาตมา เขาปักเทียนแบบที่เป่าแล้วติดใหม่ ช่วยกันจุดกลั่นแกล้งหลวงตา อาตมาเป่าพรวดเดียวเทียนดับเกลี้ยง เด็ก ๆ บอกว่าหลวงตาใช้ไสยศาสตร์ แล้วสงสัยว่าอาตมาเป่าดับได้อย่างไร เพราะตัวเขาเองเป่าเท่าไรก็ไม่ดับ พอดับแล้วก็ติดใหม่

คนสมัยก่อนจะจัดงานวันเกิดก็ต่อเมื่ออายุครบ ๖๐ ปี เพราะว่าการสาธารณสุขต่าง ๆ ช่วงนั้นยังไม่เจริญ คนมักจะตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อีกอย่างหนึ่งเขานิยมแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ฉะนั้น..คนสมัยก่อนพออายุ ๓๐ ปีนี่ดูแก่มากเลย อายุ ๖๐ ปีก็คือคุณปู่ คุณตา คุณทวดแล้ว จึงมีการจัดงานวันเกิดแล้วก็จัดงานทำบุญ

คนจีนเขาเรียกวันเกิดว่า "แซยิด" จริง ๆ เขานิยมจัดแซยิดตอนอายุ ๖๐ ปี พอจัดงาน ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อไปก็อยู่ในลักษณะแบ่งเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือจัดทุก ๑๐ ปี เช่นว่า ๗๐, ๘๐, ๙๐ อีกอย่างหนึ่งก็จัดทุก ๑๒ ปี ก็เป็น ๗๒, ๘๔, ๙๖ เป็นต้น"

เถรี 22-03-2012 11:38

"ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนโบราณเขารอบคอบ คนที่จะจัดงานบุญฉลองอายุใหญ่ ๆ โต ๆ ได้ ส่วนใหญ่เป็นท่านที่มียศมีอำนาจ คราวนี้คนที่มียศมีอำนาจส่วนใหญ่ก็มีบริวารมาก เวลาจัดงานบริวารก็ต้องมา บางทีบริวารอยู่หัวเมืองไกล ๆ ต้องพายเรือ ต้องขี่เกวียน ต้องเดินเท้ามา ทำให้เขาลำบาก ฉะนั้น..การจัดงานทุกปีจึงเป็นการรบกวนบริวารตัวเองมากจนเกินไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นจัด ๑๐ ปีครั้งหนึ่ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งหนึ่ง

สมัยนี้รถราม้าช้างไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกัน เดินทางสะดวก ผู้ใหญ่ท่านจะจัดงานวัดเกิดทุกปีก็ไม่มีใครว่าอะไร ไปให้ท่านเห็นหน้าเสียหน่อย “ไม่ไปก็ไม่ว่า..แต่ผมจำแม่นนะ” อะไรอย่างนี้ มีการขู่อีกด้วย

เพราะฉะนั้น..งานวันเกิดก็เลยกลายเป็นงานที่ค่อนข้างเกร่อเป็นสาธารณะ ไม่เหมือนโบราณที่โอกาสจัดงานวันเกิดคนหนึ่งมีแค่ไม่กี่ครั้ง สมัยนี้เด็ก ๆ ปักเทียน ๒ เล่มก็เป่าเค้กกันแล้ว ต่อไปถ้าจะให้อาตมาเป่าเค้ก ขอให้เปลี่ยนเป็นขนมครกนะจ๊ะ ถ้าไม่ใช่ขนมครกจะเป็นขนมชั้นก็ได้

อาตมาฉันเค้กได้อย่างเดียวก็คือเค้กผลไม้ ต้องใส่ผลไม้เยอะ ๆ ด้วยนะ เวลาอาตมาสั่งเค้กผลไม้พิเศษ จะเป็นเค้ก ๑ ปอนด์ ใส่ผลไม้ไป ๓ ปอนด์ เค้กเป็นอาหารฝรั่ง เด็กรุ่นหลัง ๆ กินอาหารตามแบบฝรั่งโดยที่ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศ บ้านเขาอากาศหนาวก็ต้องกินนมกินเนย กินไอศกรีม เพื่อที่จะเอาพลังงานไปสู้ความหนาว บ้านเราอากาศร้อน กินเข้าไปร่างกายก็เก็บหมด จึงกลายเป็นโรคอ้วนกันมาก

วันเกิดอาตมาไม่ค่อยได้นึกถึงหรอก บางคนมาบอกว่าวันนี้วันเกิดอาจารย์ อาตมาถึงนึกได้ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย ที่ให้ความสำคัญคือวันตาย กำลังรออยู่ ถึงคิวเมื่อไรก็..ไปละนะ"

เถรี 22-03-2012 12:15

ถาม : ตะกรุดโสฬสมหามงคล เวลาเลี่ยมให้เอาห่วงตรงหัวท้ายออกด้วยหรือเปล่าคะ?
ตอบ : อยู่ที่เราสิจ๊ะ เอาออกก็ได้ไม่มีใครเขาว่า เขาทำมาไว้สำหรับแขวน เราจะไม่แขวนก็เอาออกไป เอาห่วงไปหล่อพระก็ได้ เก็บไว้เป็นชนวน ต่อไปนาน ๆ ถ้าไม่มีชนวนก็มาเอาไปนิดหนึ่ง ตอนหลวงพ่อยังอยู่ไม่เท่าไรหรอก ตอนหลวงพ่อมรณภาพเมื่อไรกลายเป็นของวิเศษทุกอย่างแหละ แย่งกันจะเป็นจะตาย

ถาม : ตะกรุดโสฬสไม่ได้บังคับใช่ไหมครับ ว่าต้องเป็นทอง นาก เงิน ?
ตอบ : ตะกรุดโสฬสของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านใช้ทองคำ เขียนแล้วไม่ได้ม้วนด้วยนะ ท่านสอดเอาไว้ใต้หมอนนอนหนุนทุกวัน

หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ต้องบอกว่าท่านแหวกฟ้ามาปรากฏ เพราะ ๗๐ กว่าปีที่ตำแหน่งพระสังฆราชเป็นฝ่ายธรรมยุติมาตลอด มีอยู่ ๑๑ ปีที่ว่างเว้นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่ไม่ทรงแต่งตั้งเนื่องจากรอสมเด็จพระสังฆราชกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งตอนนั้นยังอาวุโสไม่พอ รอให้อาวุโสได้ก่อนแล้วถึงทรงตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ความเด็ดขาดของสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนตั้งใจจะให้พระทั้งประเทศห่มผ้าแบบธรรมยุติทั้งหมด แต่หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ เองท่านห่มมังกรแบบมหานิกาย ท่านบอกว่าห่มอย่างนี้มาตลอด ถ้าจะให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะลงโทษก็ยินดีรับโทษ เล่นเอาท่านที่ออกคำสั่งไปไม่เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านยังเป็นสมเด็จพระวันรัตอยู่

เพราะท่านเด็ดขาดแบบนี้แหละ จึงได้แหวกวงธรรมยุติขึ้นมาเป็นพระสังฆราชองค์แรกของมหานิกายในรอบ ๘๐ ปี

เถรี 22-03-2012 12:19

พระอาจารย์ท่านบอกว่า "เรียนหนังสืออย่าไปกลัว ถ้ากลัวแล้วเรียนไม่สนุกหรอก ต้องเรียนเพราะอยากรู้ อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้อาจารย์จะสอนอะไรเรา อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้เราจะเถียงอาจารย์ได้ไหม ถ้าแบบนี้จะสนุกมากเลย เถียงให้มีศิลปะด้วยนะ ถ้าเถียงไม่มีศิลปะเดี๋ยวอาจารย์โกรธ เราก็หมดอนาคตอีก

อาตมาเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมงแหละ แต่เถียงในลักษณะที่ว่า “อาจารย์ครับ เป็นไปได้ไหมครับว่า..” หรือไม่ก็ “ท่านอาจารย์ครับ อาจารย์คิดว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหมครับ” เป็นลูกศิษย์ที่นั่งเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมง แต่เถียงแล้วอาจารย์โกรธไม่ได้ เพราะไม่มีความคิดของอาตมาเลย ที่เถียงกันมีแต่ความคิดอาจารย์ จนกระทั่งอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยท่านบอกว่า “ถ้าพระคุณเจ้าทักท้วงนี่ผมต้องพิจารณาทันทีเลยว่า ผมพลาดแล้วแน่นอน”

เถรี 22-03-2012 16:02

ถาม : คนเราเวลากฎแห่งกรรมเล่นงาน ทำไมถึงรวม ๆ เล่นมาทีเดียวเลย ?
ตอบ : เราไปปิดกั้นเขาไว้ด้วยกุศลมานาน อกุศลเหมือนกับแขก ไปไหนไม่ได้ก็ยืนรออยู่หน้าบ้าน ยิ่งรอนานก็ยิ่งมาก เราเปิดประตูเมื่อไรอกุศลก็พรวดเข้ามาพร้อม ๆ กัน

ถาม : แสดงว่าไม่ได้ดึงไว้ แต่อกุศลรออยู่แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รออยู่แล้ว ทางรอดก็คือต่อกุศลของเราไว้อย่าให้ขาด ขาดช่วงเมื่อไหร่โดนแน่..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:33


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว