กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3194)

เถรี 18-02-2012 14:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้บวชเนกขัมมะ ๒ วัน คือ วันที่ ๒๕-๒๖ กุมภาพันธ์ อาตมาคงอยู่กับพวกเราได้วันหนึ่งพอดี รุ่งขึ้นหลวงตาวัชรชัยนิมนต์ไปพุทธาภิเษก อาตมาบอกว่าติดงานไปไม่ได้ ท่านก็อ้อนวอน เห็นหลวงตาพูดเหมือนกับว่า ถ้าอาตมาไม่ไปสักคนงานจะล่มอย่างนั้นแหละ ท่านโทรมานิมนต์เอง ฎีกาส่งตามมาทีหลัง

ส่วนใหญ่งานของพี่ ๆ น้อง ๆ ถ้าปลีกตัวไปได้จะพยายามไป เพราะโอกาสที่จะไปอยู่กันพร้อม ๆ หน้านั้นหายาก"

เถรี 18-02-2012 16:49

ถาม : เมื่อครู่ผมไปหาหมอมา หมอบอกให้ผมกลั้นหายใจ แล้วอัลตร้าซาวด์ คิดว่าลมหายใจหายไปก็เหมือนกับตาย จึงจับภาพพระ ช่วงแรก ๆ ก็เฉย นึกภาพพระตามไป แต่พอลมหายใจจะหมด เกิดความรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ควรจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : จิตใจยังไม่มั่นคงพอ ต่อไปซ้อมเกาะภาพพระให้ชิน ไม่มีลมหายใจเข้าออกก็ให้นึกถึงภาพพระไว้ ถ้าต้องรอให้มีลมหายใจแล้วค่อยนึกได้ ถึงเวลาไม่หายใจแล้วจะยุ่ง..! คราวนี้เราก็ได้เห็นจริง ๆ แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เรารักยิ่งกว่าตัวเอง

เถรี 18-02-2012 16:51

ถาม : พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อชินเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เนื้อนวโลหะใส่ส่วนผสมโลหะมากชนิดกว่า เนื้อชินมีส่วนผสมแค่ตะกั่ว สังกะสี และเงินเท่านั้นเอง ชอบแบบไหนก็เลือกเอาแบบนั้น อยากเสียสตางค์มากก็เลือกแบบที่แพงหน่อย

เถรี 19-02-2012 08:17

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก อารมณ์เบื่อที่เกิดขึ้น ถ้าเบื่อแบบมีปัญญา ก็จะรู้ว่าเบื่อเพราะร่างกายนี้มีสภาพทุกข์อยู่ตลอดเวลา เบื่อโลกนี้ที่มีแต่ความทุกข์เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าปัญญาไม่ถึง ก็เกิดเบื่อขึ้นมาเฉย ๆ แต่จะบอกว่าปัญญาไม่ถึงก็ไม่ใช่ ก็เพราะปัญญาถึง ถึงได้รู้สึกเบื่อ แต่ว่าละเอียดไม่พอที่จะแยกแยะว่าเบื่อเพราะอะไร

ความเบื่อของนิพพิทาญาณ หลายต่อหลายคนพบแล้วไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ขอให้รู้ไว้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถ้าตราบใดที่เรายังไม่เบื่อ เราก็ยังอยากที่จะเกิดอยู่ ถ้าเบื่อเมื่อไรความอยากเกิดก็จะลดน้อยถอยลง จิตเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด ความปรารถนาในการเกิดไม่มี ความปรารถนาในร่างกายตนเองไม่มี ความปรารถนาในร่างกายผู้อื่นไม่มี ความปรารถนาในโลกนี้ไม่มี ความปรารถนาที่จะเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมไม่มี ก็จะแสวงหาทางเพื่อไปสู่นิพพาน

ถ้าหากว่ามีสมาธิคุมอยู่กำลังใจจะนิ่ง ความละเอียดของจิตมีมาก ก็จะรู้ว่าเบื่อมาจากสาเหตุอะไร แต่ถ้าหากยังไม่ถึงตรงจุดนี้ ก็มีแต่อารมณ์เบื่อขึ้นมาเฉย ๆ เบื่อจนบางทีอยากจะเดินหนีไปเฉย ๆ ไปไหนก็ได้ ไปให้ไกล ๆ

อาตมาเองเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณกลางห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว สุดยอดจริง ๆ เกิดที่ไหนไม่เกิด ตอนนั้นห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเปิดใหม่ ๆ สาวเขาอยากจะไปช็อปปิ้ง อาตมาก็เลยไปเป็นเพื่อน พอเขาซื้อของก็ต้องช่วยเขาหอบหิ้ว สัก ๔ - ๕ ถุงก็พะรุงพะรังไปหมด อยู่ ๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า "นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเหลวไหลอย่างนี้..!"

พอความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมา ก็ให้เบื่อและสลดใจกับทุกอย่างไปหมด เบื่อจนชนิดที่ว่าอยากมุดดินหนีหายไปเดี๋ยวนั้นเลย ต้องบอกว่าความรู้สึกของผู้หญิงไวมาก ๆ เขาหยุดกึก หันขวับมาถามว่า "พี่เป็นอะไร ?" อาตมาบอกว่า "เป็นอะไรก็ไม่รู้ ? แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหายเลย..!" เขาบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ"

แบบเดียวกับพระครูแสง เขาไปเกิดขุททกาปีติบนรถเมล์ ลูกผู้ชายตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว แต่ไปนั่งน้ำตาไหลอยู่บนรถ ใคร ๆ เห็นก็คงคิดว่าไปอกหักรักคุดมา เขาอายก็เลยต้องลงรถไปเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นเขาขึ้นรถเมล์แล้วไปเห็นว่า ชีวิตคนทุกข์ขนาดนี้เชียวหรือ ? แย่งกันกิน แย่งกันทำงาน แย่งกันขึ้นรถเมล์ เบียดกันไปอัดกันมาอยู่ทั้งวัน ลำบากลำบนแทบตายชัก ไปถึงที่ทำงานก็ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร คิดแค่นั้นน้ำตาร่วงเลย

เถรี 19-02-2012 08:22

ถาม : คำขอบรรพชา ?
ตอบ :ใช้แบบเอสาหัง ภัณเต ถ้าบวชหมู่ใช้เอเต มะยัง ภัณเต แต่ที่นั่นก็ใช้เอสาหังทั้งหมด ยกเว้นตอนท้ายเขาใช้ สังฆัม ภัณเต อุปะสัมปะทัง ยาจะมะ แปลก..เพราะบวชเดี่ยวมาตั้งแต่ต้น แล้วก็ไปรวมกันตอนท้ายเอาเฉย ๆ

ด้วยความเคยชินของอาตมา บางทีพอบอกไปแล้ว พระอุปัชฌาย์ก็นั่งงง ๆ ว่าสวดแบบนี้ได้ด้วย ? จึงบอกว่าได้ครับ เป็น เอเต มะยัง ภัณเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามะ (ไม่ใช่มิ) ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยามะ มะยัง ภัณเต ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง ละเภยยามะ อุปะสัมปะทังฯ

เรื่องนี้เกิดจากตอนแรกที่อาตมาบวช เข้าใจว่าวัดท่าซุงเป็นมหานิกายก็ท่องคำขอบวชแบบอุกาสะไป ท่องจนคล่องแล้ว ปรากฏว่าพอไปถึงเขาบอกว่าวัดเราเป็นมหานิกายแปลง ให้ท่องแบบเอสาหัง อาตมาก็ใช้เวลา ๒ วัน ท่องเอสาหัง ภัณเต จนได้ พอท่องได้ พระพี่เลี้ยงท่านก็บอกว่า "เฮ้ย..ของเราบวชหมู่ ให้ใช้ เอเต มะยัง ภัณเต" เจริญมาก..ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าจะบวชอย่างไร บอกมาก็แล้วกัน เพราะอาตมาท่องได้หมดทุกอย่างแล้ว

เถรี 19-02-2012 08:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ใบพระขรรค์โสฬสหล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือประกอบด้ามและฝัก ตอนช่วงนี้งานที่ยุ่งที่สุดก็คือพวกลายโลหะรัดด้ามและฝัก เพราะว่าต้องหล่อแยกต่างหาก แล้วต้องเอามาชุบทองก่อน ค่อยประกอบกันเข้าไป

ลวดลายจะมีหุ้มช่วงบนตรงฝักและตรงปลายด้ามที่จะขันเกลียว ที่ฝักก็จะมีช่วงปลายข้างบน ทำงานทั้งทีทำให้ดีเข้าไว้ แพงเท่าไรไม่ว่า เพราะไม่ได้ตั้งใจเอากำไรมาก สร้างผลงานฝากไว้ในแผ่นดิน คิดว่าอีกกี่ชาติก็คงไม่มีใครสร้างใหญ่ขนาดเท่าของจริงแบบนี้

ตอนแรกที่ทำมา แค่เฉพาะใบมีดอาตมาคนเดียวที่ถือมือเดียวได้ เพราะน้ำหนัก ๓ กิโลครึ่ง..! จึงบอกช่างว่าเกลาออกให้เหลือบางกว่านี้หน่อย เดี๋ยวคนอื่นต้องแบกแล้วจะลำบาก เฉพาะใบก็ ๓ กิโลครึ่ง ประกอบเข้าไปคงไม่หนี ๕ กิโลกรัม ข้าวสารถุงหนึ่งเต็ม ๆ เลย

วันก่อนต้องส่งรถไปรับด้ามพระขรรค์มาโดยเฉพาะ ช่างทำแล้วไม่กล้าเอามาส่งเพราะเป็นไม้พะยูง กลัวตำรวจจับ อาตมาบอกเขาว่าถ้าทำเสร็จแล้วเขาไม่ว่าอะไร "ไม่เอา...อาจารย์มารับเองเถอะ" อาตมาบอกว่า "ถ้าเป็นท่อน ๆ เป็นแผ่น ๆ เขาเอาคุณแน่ แต่ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์หรืออะไรเรียบร้อยแล้วเขาไม่ว่าหรอก" "ไม่ได้..อาจารย์มารับเองเถอะ"

เขาเองก็พูดง่าย ๆ ว่าไม่อยากมีปัญหา ถ้าเกิดตำรวจเฮี้ยนจับขึ้นมาจริง ๆ เขาต้องมาชดใช้ให้ยุ่งไปหมด ไม้หวงห้ามถ้าไม่ได้ตีตราจากป่าไม้อย่างถูกต้อง ก็ผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ

เขามีโครงการปลูกไม้หวงห้าม สนับสนุนให้เกษตรกรปลูก พอปลูกแล้วก็ไปแจ้งขึ้นทะเบียนไว้ที่อำเภอ ทางอำเภอจะส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจว่าเป็นพื้นที่เท่าไร มีไม้กี่ต้น เมื่อไม้ได้ขนาดที่ต้องการจะตัด ก็ไปแจ้งทางอำเภอขออนุญาตตัด ถ้าอย่างนั้นตัดได้ เขาจะส่งเจ้าหน้าที่มาตีตราให้ ทางด้านทองผาภูมิมีญาติโยมจำนวนมากเลยที่เข้าโครงการนี้ ปลูกไม้สักทองไว้ ปัจจุบันนี้ถ้าหากทำไม้หน้า ๖ หน้า ๘ ได้สบายเลย แต่ว่าหลายแห่งบอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน ถ้าถึงรุ่นลูกรุ่นหลานนี่น่าจะแพงกว่าทองอีก เพราะว่าอาตมาทำมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองที่วัด สร้างด้วยไม้ตอนนี้ยังแพงกว่าคอนกรีตหลายเท่าเลย"

เถรี 19-02-2012 08:37

ถาม : แต่ก่อนนี้ ไม่ต้องไกลมาก แค่รุ่นคุณยาย คุณแม่ ของพวกนี้เช่นเพชรลูก ก็ยังมาทำกระดุม พลอยก็เอามาเล่นหมากเก็บเป็นปกติ
จึงสงสัยว่า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอย่างนั้นแล้ว กลับเป็นของมีค่าไป ต่างจากต่างดาวที่ยังเกลื่อนกลาดอยู่ เพราะอะไร?
ตอบ : ดาวบางดวงเขามีแก้วมณีเกลื่อนกลาดไปหมดแต่ไม่มีราคา เหมือนกับกรวดเหมือนทรายบ้านเรา ลองแก้วมณีบ้านเขาหลุดมาถึงบ้านเราสักเม็ดสิ..รวยกันไม่รู้เรื่อง..!

อาตมาเคยเห็นคนโบราณเขาทำเพชรซีก จะว่าไปก็ไม่ได้งามเหมือนเพชรของสมัยนี้ แต่ก็เป็นเพชร อาจเป็นเพราะว่าฝีมือเจียระไนของเขา ยังไม่ได้ศึกษาว่าทำอย่างไรให้แสงทำมุมตกกระทบเหมือนอย่างสมัยนี้ สมัยก่อนเขาเรียกง่าย ๆ ว่าเพชรลูกกับเพชรซีก เพชรลูกเป็นก้อนเลย ถ้าเพชรซีกก็มาเป็นซีก"

ถาม : บนโลกนี้ที่ไม่เห็นเพชรพลอยขนาดนั้น เพราะคนไม่มีบุญเท่าเขา หรือเพราะยังไม่มีเจ้าของมาเอา?
ตอบ : อาตมาไปนั่งไปนอนหกคะเมนตีลังกาบนก้อนมรกตขนาดใหญ่เท่าเตียงมาแล้ว ปลื้มใจมากว่าชีวิตนี้เราเคยนอนเตียงขนาดนี้มาแล้ว ลักษณะอย่างนั้นถ้าสามารถเอารถยกเข้าไปได้ สามารถยกมาแกะพระองค์ใหญ่ ๆ ได้เลย

ชีวิตเกิดมาก็ไม่ได้นึกว่าจะได้มีโอกาสเห็นสมบัติมากมายมหาศาลขนาดนั้น เห็นไปเห็นมาก็เลยเกิดความนิ่งนอนใจว่า ถ้าอยากรวยเมื่อไรก็แค่สึกแล้วไปขนมาเท่านั้นเอง ตอนนี้ความอยากรวยยังไม่พอ ไม่รู้ว่าตอนที่จะไปขนนี่เขาจะให้ไหม ? แต่ตอนเป็นพระนี่แหม..อยากให้นัก..!

เถรี 19-02-2012 08:40

ถาม : กรรมอะไรทำให้เราโดนหลอกอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : เคยไปหลอกคนอื่นเขามา

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เกิดใหม่..! เรื่องของพระท่านตรงไปตรงมา

จริง ๆ ไม่มีอะไร ก็แค่คิดดี ทำดี พูดดี มั่นคงอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอสักระยะหนึ่ง เดี๋ยวความดีเหล่านี้ก็จะส่งผลให้เอง เพราะว่าปัจจุบันของเราก็คือผลของกรรมดีกรรมชั่วในอดีต แต่จากวินาทีนี้ไปถึงวินาทีหน้า วินาทีนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว

ถ้าหากว่าเราทำความดีได้ต่อเนื่องยาวนานพอ ต่อไปความดีเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ก็จะถอยห่างไป แต่อย่าให้ความดีขาดช่วงนะ เพราะความชั่วเขาไม่ได้ไปไหน ยังรออยู่ ถ้าตราบใดที่กรรมยังไม่ได้ให้ผล กรรมทั้งหลายก็ยังตามอยู่เป็นปกติ ให้ผลเมื่อไรก็อยู่ที่ว่าให้หมดแล้วหรือยัง ? ถ้ายังไม่หมดก็ตามไปชาติอื่นอีก ถ้าหมดก็กลายเป็นอโหสิกรรมกันไป

ถาม : อย่างนั้นผมก็ต้องอดทนหรือครับ ?
ตอบ : แน่นอน ขันติ..ขันติ..ขันติ ท่องไว้ เอาให้ได้อย่างท่านขันติวาทีดาบส โดนตัดแขนตัดขาอย่างไรท่านก็ยังยืนยันว่าขันติเป็นหลักธรรมที่ดีที่สุด

เถรี 19-02-2012 08:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกอาหารเสริม เช่น นมแคลเซียมสูง ถ้าไม่ใช่หมอสั่งก็ไม่ต้องไปกินหรอก กินอาหารตามปกติของเราก็พอแล้ว จะให้กระดูกแข็งแรง ก็เพิ่มพวกปลาเล็กปลาน้อย จะได้กินทั้งกระดูกลงไปด้วย และออกกำลังกายบ้าง รับแสงแดดบ้าง กระดูกจะแข็งแรงเอง

ถ้าประเภทไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กินนมจะให้กระดูกแข็งแรง ระวังไว้..จะกลายเป็นโรคกระดูกงอกทับเส้นประสาท เพราะว่าร่างกายของผู้ใหญ่กระดูกส่วนต่าง ๆ เจริญเติบโตเพิ่มไม่ได้แล้ว ส่วนที่ยังงอกอยู่ก็คือเล็บ ถ้ากินแคลเซียมมากเกินไป ก็จะตกผลึกอยู่ตามข้อ กลายเป็นคนนิ้วบวมเป็นก้อน ๆ ไม่นิ้วมือก็นิ้วเท้า บางคนถ้ามากเกินไปขาก็คดผิดรูปไปเลย เพราะกระดูกมาในส่วนที่ไม่ควรจะมา

ถ้าหมอสั่งก็กินแค่หมอสั่ง ไม่ใช่คิดว่าอะไรที่มาก ๆ ไว้แล้วจะดี อย่าเพิ่งไปเชื่อแรงโฆษณา พระพุทธเจ้าตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งหมายถึงในทุกเรื่อง อะไรที่พอดีถึงจะเกิดประโยชน์ มากเกินไปก็เป็นโทษทั้งนั้น"

เถรี 19-02-2012 08:46

ถาม : ผมจะไปบวชธุดงค์ครับ นอกจากการถือศีลแปดแล้ว ควรมีอะไรที่ผมต้องทำบ้าง ?
ตอบ : แผ่เมตตาทุกวัน แล้วก็อธิษฐานขอพระหรือเทวดาท่านว่า สิ่งใดที่สมควรรู้เห็นก็ขอให้ได้รู้เห็นด้วย ไม่อย่างนั้นถ้ามีอะไรดี ๆ ขึ้นมา เราต้องวิ่งหาเอง

ถาม : อย่างการธุดงค์ต้องกินมื้อเดียวหรือเปล่าครับ หรือว่าตามอารมณ์ ?
ตอบ : ที่นั่นเขาบังคับอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?

ถาม : บังคับ
ตอบ : ต้องมื้อเดียวอยู่แล้ว คุณไม่ต้องไปกินเผื่อนะ ขอยืนยันว่ากินให้อิ่มพอดีแล้วจะไม่มีปัญหา แต่ถ้ากินเผื่อ ตอนเย็นจะหิวไส้ขาดเลย เพราะตอนกินเผื่อร่างกายจะรู้สึกว่าได้อาหารเยอะ มื้อต่อไปร่างกายคิดว่าจะได้เยอะ เลยเตรียมน้ำย่อยไว้เพียบ กลายเป็นว่ามื้อต่อไปหิวปางตายเลย วันแรกวันที่สองอาจจะรู้สึกหิวหน่อย วันที่สามไปก็อยู่ตัวแล้ว

เถรี 19-02-2012 08:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นใหม่ ๆ สมัยนี้เขาเรียนอะไรก็ไม่รู้ เรียนแล้วก็ไม่ได้จำไว้ สมัยก่อนเด็ก ๆ อาตมาต้องเรียน อันนกกาอาศัยซึ่งปีกหาง ไปสู่ทางที่ประสงค์จำนงหมาย รู้หลบหลีกปีกป้องประคองกาย อันตรายมิได้ใกล้ให้อาวรณ์ฯ... เขาเปรียบเทียบเหมือนกับวิชาความรู้ ที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายอย่างปลอดภัยได้

ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากตาย มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการฯ สมัยก่อนเขาเรียนกันเป็นเล่ม ๆ ต้องการให้ชินกับความงามของภาษา แต่สมัยนี้ตัดตอนมาเรียนแค่บางส่วน

พวกเราเองยังแยกไม่ออกเลยว่า ในบทกลอนต่าง ๆ นั้น "บัดนั้น" กับ "เมื่อนั้น" ต่างกันตรงไหน ? ถ้าหากว่า "เมื่อนั้น" จะเป็นตัวละครที่เป็นพระราชา เจ้านายใหญ่ ส่วน "บัดนั้น" เป็นข้ารับใช้ดี ๆ นี่เอง

เมื่อนั้น...พระตรีภูวนาถนาถา รู้เลยว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาเอง"

เถรี 19-02-2012 08:57

ถาม : เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ บางทีเขาต้องการบุญต่างประเภทกันไป ?
ตอบ : เท่าที่พบมา ถ้าท่านมีบุญส่วนไหนแล้ว ท่านก็มักจะต้องการบุญส่วนอื่น แต่คุณอย่าไปสรุปโดยใช้คำว่าเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จำไว้เลยว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ความเป็นมิจฉาทิฐิก็ยังมีอยู่ ถ้าคุณไปสรุปอย่างนั้นเดี๋ยวโดนท่านเหยียบแบน..!

เถรี 19-02-2012 09:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กรุ่นใหม่ ๆ แล้วกลัวแทนพวกเขา เพราะโลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน บรรยากาศเปลี่ยนแปลงแปรปรวนง่าย การเข้าใจวิถีการดำรงชีพตามธรรมชาติแทบจะไม่มี ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นมาเด็กรุ่นหลังจะเอาตัวรอดได้ยาก แค่ไฟฟ้าดับก็ทำอะไรไม่เป็น เคยปรารภกับพระที่วัดว่า อยากให้ไฟฟ้าดับที่วัดสักอาทิตย์หนึ่ง ดูซิว่าพวกคุณจะตายกันไหม ?

สมัยแรก ๆ ที่พาโยมไปบึงลับแล ไปกัน ๒๗ คน ไปถึงอาตมาก็ถามว่ามีใครหุงข้าวเป็นบ้าง ? มีคนยกมือขึ้นหลายคนน่าชื่นใจมาก แล้วก็มีเสียงถามว่าเสียบปลั๊กตรงไหน ? อาตมาก็หลงดีใจ ท้ายสุดพระต้องไปหุงข้าวให้พวกเขากิน..!

คนที่เคยลำบากมาก่อน ต่อไปพอเกิดอะไรขึ้นก็ยังพอเอาตัวรอดได้ หรือว่ารู้ว่าควรจะเอาตัวรอดอย่างไร แต่คนที่ไม่เคยลำบากเลย อย่างเด็กรุ่นหลัง ๆ เคยชินกับที่ต้องการอะไรก็กดปุ่มเอา แม้กระทั่งปัจจุบันการซื้อข้าวของอะไรก็เป็นตลาดเสมือน ถึงเวลาชอบใจอันไหนก็กดปุ่ม เดี๋ยวเขาก็ส่งมาให้ที่บ้าน แค่แจ้งหมายเลขบัตรเครดิตเท่านั้น

ต่อไปกาลข้างหน้า การทำงานก็คงอยู่ในลักษณะว่าจะไม่ได้เห็นเงินที่แท้จริง มีแต่เพียงตัวเลขในบัญชี แล้วก็โอนกันไปโอนกันมา ถึงเวลารับค่าแรงก็โอนเข้าบัญชี สมัยนี้ยังเอาบัตรไปกดออกมา แต่ต่อไปข้างหน้าถ้าความสะดวกมีมากขึ้น ไม่ต้องไปกดแล้ว จะซื้ออะไรก็โอนข้ามไปเลย"

เถรี 19-02-2012 09:49

"เชื่อไหมว่าแอฟริกาที่เราว่าล้าหลังสุด ๆ ใช้บริการธนาคารผ่านอินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก เพราะว่าบ้านเขาระยะทางไกลจากเมืองมาก การเดินทางก็ลำบาก เดินไปกลางทางอาจจะโดนสิงโตเอาไปกินก็ได้ เขาเลยใช้วิธีโอนเงินซื้อขายทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ตกัน

ดังนั้น..พวกแอฟริกาชนเผ่าพื้นเมือง ที่เราเห็นเขาเป็นต้นตระกูลของนิโกร ปัจจุบันนี้เขาเก่งกว่าเราเยอะ เราจะไปหาประเภทนิเชาไม่ได้แล้ว สมัยคุณนิเชามาโฆษณากระเบื้อง ๕ ห่วง เขาขอค่าแสดงเป็นวัวฝูงหนึ่ง งานระดับนั้นค่าแรงวัวฝูงหนึ่งนี่ถูกสุด ๆ เลย สมัยนี้คงต้องโอนตัวเลขเข้าธนาคารให้เขาแล้ว

บ้านเขาเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนั้น ก็เลยมาดูว่า เดี๋ยวนี้เรื่องของลมฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปหมด ถ้ากำลังใจของคนไม่มั่นคง การเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศจะทำให้จิตใจแปรปรวนไปด้วย จะกลายเป็นคุ้มดีคุ้มร้าย แล้วตอนนั้นจิตแพทย์ก็ลำบาก ลำบากตรงที่ว่าถึงเวลาจิตแพทย์ก็จะเป็นไปเองด้วย (หัวเราะ)"

เถรี 19-02-2012 09:56

"คนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่ง สมรรถภาพก็เสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ขนาดคนจีนเขามีภาษิตว่า ครอบครัวร่ำรวยรุ่งเรืองเท่าไรก็ไม่เกิน ๓ ชั่วคน สมมติว่ารุ่นเราทำให้เจริญขึ้นมาได้ เราก็ไม่อยากให้ลูกต้องลำบากอย่างเรา ลูกก็จะสบาย ไม่รู้จักความลำบาก พอรุ่นหลานเกิดมาบนกองเงินกองทองแล้ว ลำบากอย่างไรก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะรักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ให้ได้ ก็จะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของเขา รู้จักใช้ไม่รู้จักหา รุ่นถัดไปก็เรียบร้อยแล้ว คนจีนเขาถึงบอกไว้ว่า ร่ำรวยรุ่งเรืองขนาดไหนก็ไปได้ไม่เกิน ๓ รุ่น ต้องระวังให้ดี ถ้าอยากจะให้ครอบครัวมั่นคง อยากให้วงศ์ตระกูลรุ่งเรืองไปนาน ๆ ต้องปล่อยให้ลูกหลานลำบากบ้าง"

เถรี 19-02-2012 16:16

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อาตมาเลิกใช้น้ำมันมา ๒ ปีกว่าแล้วนะ หันมาใช้แก๊สแทน ตอนแรกได้รับคำแนะนำว่าวิ่งให้ได้ ๑ หมื่นกิโลเมตรก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนแก๊ส ปรากฏว่าพอเติมน้ำมันถังแรกเจอไป ๒,๙๐๐ บาท ต้องเปลี่ยนเลย..! พอเติมแก๊สเหลือแค่ ๕๐๐ บาทเท่านั้น

ตอนนี้แก๊สทั้ง NGV หรือจริง ๆ ก็คือ CNG กับ LPG ต่างกำลังทยอยขึ้นราคา LPG ที่ใช้เติมรถอยู่ เขาจะขึ้นเดือนละ ๗๕ สตางค์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ ๙ บาท ส่วน NGV ก็ขึ้นในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้ไปจดจำว่าขึ้นแบบไหน

จะว่าไปแล้วเรื่องของน้ำมันและแก๊สบ้านเราต้องบอกว่าโดนผูกขาด และบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปตท. แกล้งทำเป็นโง่ เพราะว่าการเซ็นซื้อน้ำมันแต่ละครั้ง กว่าจะส่งมาทีก็ ๓ - ๖ เดือน สมมติว่าเราเซ็นซื้อน้ำมันตอนบาร์เรลละ ๘๐ เหรียญ แต่ปัจจุบันน้ำมันชุดนั้นยังส่งมาไม่ถึง ราคาน้ำมันในตลาดโลกเกิดขึ้นราคาไปเป็น ๘๕ เหรียญ บ้านเราก็ปรับขึ้นตามราคาใหม่ทันที...ซึ่งไม่ใช่ ถ้าจะให้ถูกต้อง เราต้องรอให้ชุดราคา ๘๐ เหรียญนั่นขายหมดแล้วซื้อใหม่ ถึงค่อยปรับราคาใหม่ได้ แต่บ้านเราแกล้งโง่แบบนี้ทุกครั้ง

พอน้ำมันในท้องตลาดขึ้นเมื่อไรก็ขึ้นราคาทันที แต่ถ้าลงเมื่อไร จะยื้อเอาไว้ให้นานที่สุดไม่ยอมลด ขึ้นไปแล้ว ๒ - ๓ บาท ลดให้ที ๓๐ - ๔๐ สตางค์ เพราะฉะนั้น..จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาแจกรางวัลประจำปีกันทีละ ๖ - ๘ เดือน

ส่วนที่ควรจะสนับสนุนที่สุดคือ NGV เพราะว่าบ้านเราผลิตได้เอง แต่เนื่องจากว่าเป็นการผูกขาดอยู่เจ้าเดียว จึงกำหนดราคาตามใจชอบ เมื่อกำหนดราคาตามใจชอบ มีกำไรมากอยู่แล้ว แต่พอความต้องการในท้องตลาดมากขึ้น แทนที่จะเฉลี่ยราคาลดลงมา เพราะความต้องการมากขึ้น ขายได้มากขึ้น กำไรก็มากขึ้น ควรที่จะเฉลี่ยลดให้ก็ไม่ลด แต่ไปขึ้นราคา ซึ่งเป็นวิธีทำกำไรที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย

บ้านเราพวกอัตราค่าน้ำมันและเชื้อเพลิงต่าง ๆ ก็บิดเบือนมาโดยตลอด โดยเฉพาะในส่วนที่เอาเงินกองทุนน้ำมันไปอุดหนุน เพื่อให้คงราคาเดิมเอาไว้ ทำให้คนไม่ตระหนักถึงความหายากและแพงขึ้นของเชื้อเพลิง ยังคงใช้ล้างผลาญกันเป็นปกติ ไปนึกถึงตอนน้ำมันขึ้นพรวด ๆ จาก ๑๑ บาทกว่า ไปถึง ๒๔ บาท รถบนถนนหายไปครึ่งหนึ่ง ที่ยังอยู่บนถนนก็ขับ ๖๐ - ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนช่วงนั้นอาตมามีความสุขเป็นบ้าเลย เพราะรถวัดยังคงเหยียบ ๑๒๐ เท่าเดิม..!

เถรี 19-02-2012 16:21

แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งก็เริ่มตายด้าน รถออกมาเต็มถนนเหมือนเดิม รถรุ่นใหม่ออกมาเมื่อไรมีป้ายแดงวิ่งบนถนนทันที นี่เป็นนิสัยของคนไทย เรียกว่าไม่รู้จักเข็ด..! โดยเฉพาะอัตราการสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศติดระดับล้านล้านบาทแล้ว อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงถึงขนาดเป็นล้านล้านบาทนี่ ประชากรเขาต้องมีมากกว่าเราหลายเท่าตัว แต่บ้านเราประชากรแค่ ๖๐ กว่าล้านคน มีอัตราการใช้เงินเพื่อซื้อหาเชื้อเพลิงจากต่างประเทศถึงระดับล้านล้านบาทนี่น่ากลัวมาก

ดังนั้น..ถ้าญาติโยมถามว่าที่รัฐบาลขึ้นราคาทั้งแก๊สและน้ำมัน มีความเห็นว่าอย่างไร ? อาตมาบอกว่าสมควรและน่าจะขึ้นให้มากกว่านี้ เพราะว่ารอบบ้านของเราน้ำมันแพงทั้งนั้นเลย ยกเว้นพม่าที่ผลิตน้ำมันได้เอง แต่ถึงพม่าผลิตได้เองก็ขายแพง เขาจะมีราคาควบคุมเฉพาะอยู่ในสถานบริการน้ำมัน

ตอนช่วงที่อาตมาไปพม่านั้น น้ำมันในสถานบริการของรัฐบาลแกลอนละ ๑๘๐ จั๊ต รถคันไหนเข้าไปเขาก็ลงปันส่วนให้ ๑๐ แกลลอน ได้วันละแค่นั้น แต่จ่ายจริง ๆ ก็ ๓ - ๕ แกลลอน แล้วแต่รถใหญ่หรือรถเล็ก แล้วที่เหลือล่ะ ? ที่เหลือก็เอาไปจำหน่ายที่สถานบริการเถื่อนใกล้ ๆ กันนั้นแหละ ถ้าไปแถวสถานบริการเถื่อนเจอราคาอย่างต่ำ ๆ ก็ ๓๕๐ จั๊ต แพงขึ้นไปเป็นเท่าตัว ถ้าใครต้องการมากกว่าส่วนที่ได้ ก็ต้องไปยอมเสียเงินให้สถานบริการเถื่อน

ดังนั้น..น้ำมันของพม่าแม้ว่าผลิตได้เอง แต่ก็ยังต้องใช้ของแพงอยู่ดี ความร่ำรวยก็ไปอยู่ที่บรรดาผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ต่างคนต่างกอบโกยใส่กระเป๋าตัวเองและพวกพ้อง จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นวิสัยของปุถุชนทั่วไป ที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้อง หาคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ยาก ต่อให้มีจิตสำนึกต้องการจะทำเพื่อส่วนรวม แต่พอไปอยู่ร่วมกับคนอื่นนาน ๆ เข้า สิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อชีวิต และท้ายสุดก็จะลืมความตั้งใจของตัวเอง กลายเป็นทำเพื่อตัวเองและพวกพ้องเหมือนกับคนอื่นเขา

จะว่าไปแล้วบ้านเราก็ยังไม่เลวร้ายเกินไป ถ้าเปรียบกับบางประเทศรอบ ๆ ด้านของเรา แต่ว่าในเรื่องของความเจริญนั้นเราจะไม่ทันใครแล้ว อย่าลืมว่ารอบบ้านของเรา มาเลเซียและสิงค์โปร์ ปัจจุบันนี้เป็นประเทศที่พัฒนาไปแล้ว ลาวกับเขมรมีโทรศัพท์ "3G" แล้ว พม่ากำลังเปิดประเทศ นักลงทุนต่างชาติดาหน้ากันเข้าไปเพราะค่าแรงถูกและคนขยันขันแข็ง เผลอ ๆ ลาวกับเขมรจะแซงบ้านเราไปอีก

บ้านเราสิ่งที่สมควรที่สุดคือความสามัคคีกัน โดยเฉพาะรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทำอย่างไรถึงจะช่วยกันสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ไม่ใช่ว่าปัดแข้งปัดขากันอยู่ตลอด บ้านเราเป็นเมืองพุทธแท้ ๆ แต่ว่าแทบจะไม่ได้ใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตเลย ก่อนหน้านี้เขาบอกว่า "การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" ปัจจุบันนี้ถึงขนาด "ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ" กันไปเยอะแล้ว มาสรุปมารวมตรงที่ว่าเด็กรุ่นใหม่น่ากลัวมากว่าจะอยู่กันได้อย่างไร ?

เถรี 19-02-2012 16:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ที่โยมว่าอยากตาย จริง ๆ อยากตายได้แต่ให้อยู่ไปก่อน ถ้าตราบใดที่บุญกรรมยังรักษาอยู่ อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ยังไม่ปราศจากเสีย อย่างไรต้องกัดฟันทนอยู่ต่อไป

ไออุ่นที่ว่านี่เขาแปลจากบาลี ถ้าเรียกให้ชัด ๆ ก็คือปราณ ถ้าคำว่าปราณยังไม่ชัดก็ต้องใช้ว่าพลังชีวิต ถ้าอายุขัยยังไม่หมด พลังชีวิตเหลือเฟือ วิญญาณคือประสาทความรู้สึกยังสมบูรณ์ ก็อยู่ไปเถอะ นานเท่าไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งชำรุดก็อยู่ยากขึ้น ชำรุดมาก ๆ ซ่อมไม่ไหวก็ตายไป

ปีนี้อาตมารู้ตัวว่าแก่นะ เพราะว่าหน้าหนาวเริ่มปวดข้อ ถ้าหากว่าหนาวแล้วเริ่มปวดข้อก็แปลว่าเริ่มหมดสภาพแล้ว สรุปว่าพระกาฬส่งจดหมายเตือนมาเป็นระยะ ๆ สายตาสั้นลง ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว เตือนมาตลอดเวลา แต่พวกเราฟังคำเตือนนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง

นึกถึงพระเจ้าจักรพรรดิในอดีต พระองค์ท่านตรัสกับกัลบก (ช่างตัดผม) ว่า ถ้าเห็นผมขาวให้เตือนด้วย ช่างตัดผมก็ตัดผมไปเรื่อย พอเห็นผมขาวเส้นหนึ่งก็กราบทูลให้พระเจ้าจักรพรรดิทราบ ท่านสละราชสมบัติออกบวชเลย บอกว่าแก่แล้ว เรื่องการปกครองประเทศชาติบ้านเมือง ควรจะให้เป็นหน้าที่ของลูกหลานจัดการไป คนแก่ควรจะเร่งรีบปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขในอนาคตของตนเองบ้าง นี่ถ้าบ้านเรามีค่านิยมแบบนั้น พระเต็มวัดแน่นอน"

เถรี 19-02-2012 16:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "เอเชียเรามี ๓ ฤดูคือ ฤดูร้อนหรือคิมหันตฤดู ฤดูฝนหรือวสันตฤดู ฤดูหนาวหรือเหมันตฤดู

ส่วนทางซีกโลกตะวันตก เขามีฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูใบไม้ผลิด้วย ใบไม้ร่วงนี่มาก่อนหนาว ส่วนใบไม้ผลินี่มาก่อนฝน ถ้าหากพวกเราไม่เคยชินก็จะงง นึกอย่างง่าย ๆ ก่อนฤดูหนาวจะเห็นว่าใบไม้เปลี่ยนสีแล้วก็ร่วงหมดจึงหนาว พอพ้นจากฤดูหนาวไป ต้นไม้ก็เริ่มแตกดอกออกใบ บางทีเขาเรียกว่า bloom season แล้วฝนก็จะมา

ทางด้านตำราของพราหมณ์แบ่งฤดูกาลออกเป็น ๔ ส่วน เขาจะมีครีษมายันคือฤดูร้อน เหมายันคือฤดูหนาว วสันต์วิษุวัตคือกึ่งกลางระหว่างร้อนกับฝน ศารทวิษุวัตคือกึ่งกลางระหว่างฝนกับหนาว เขาแยกได้ (หัวเราะ)"

เถรี 19-02-2012 16:40

ถาม : ทำไมจึงสันนิษฐานว่าอุทัยเทวีเป็นเปรต?
ตอบ : เปรตจัดเป็นโอปปาติกะ บรรดาโอปปาติกะเกิดแล้วโตเลย จะไม่ผ่านการเป็นเด็กมาก่อน

แต่มีโอปปาติกะอยู่ประเภทหนึ่งคืออชคราทิเปรต เป็นเปรตที่อยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉาน อย่างที่คนจีนเขาว่าชะมดหรือสุนัขจิ้งจอกแปลงเป็นคน เป็นต้น

เถรี 20-02-2012 08:11

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พออาตมาเรียนจบประดับประกาศนียบัตร อาตมาได้เป็นตัวแทนของภาค ๑๔ ซึ่งมี ๔ จังหวัด ก็คือ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร ขึ้นไปอภิปรายร่วมกับนักศึกษาของห้องเรียนภาคอื่น

อาจารย์ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่า การที่เขาจัดหลักสูตรมา มีประโยชน์ไหม ? อาตมาจึงสับเสียเละ..บอกว่า "ไม่เห็นประโยชน์ตรงไหนเลย เรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรา ถ้าสอนให้เขาละชั่วกลัวบาป รักศีลของตัวเอง ทุกอย่างก็จบแล้ว การที่ไปเอาวิชาการสมัยใหม่เข้าไปมาก ๆ ขออภัยเถอะ..ผมไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง ท่านกำลังบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ กำลังล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว..!" ตอกเขาเละเป็นโจ๊กไปเลย

จนกระทั่งท้ายสุด ผู้อำนวยการหลักสูตรยกมือขอขึ้นมาชี้แจง อาตมาจึงบอกไปว่า "สิ่งที่เรียนไปนั้น จริง ๆ แล้วมีประโยชน์ เพราะว่าสามารถนำไปต่อความรู้ชั้นสูงขึ้นไปได้ แต่ว่าเราต้องไม่ลืมสถานภาพของตัวเองว่าเป็นนักบวชอยู่ หน้าที่ของนักบวชคืออะไรเราต้องทำให้สมบูรณ์ เรื่องทางโลกถ้าเรารู้ก็สามารถที่จะคุยกับญาติโยมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น การเผยแผ่ธรรมก็จะสะดวกขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน..เรื่องของทางธรรมเป็นหน้าที่โดยตรงของนักบวช เราจะทิ้งไม่ได้ และต้องยึดไว้เป็นหลักเลย"

ท้ายสุดอาจารย์เขาสรุปว่า "อยากพูดแบบท่านนั่นแหละครับ แต่ผมพูดไม่ถูก ว่าที่ตั้งใจให้เรียนก็เพื่ออย่างนี้" อาจารย์เขาไปพูดในเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่"

เถรี 20-02-2012 08:15

2 Attachment(s)
ถาม : (ถามเรื่องการรักษาฝี)
ตอบ : ให้เอาใบลำโพงหรือที่อีสานเขาเรียกมะเขือบ้า จำนวน ๗ ใบ โขลกกับข้าวสุกก้อนเท่ากำปั้น โขลกรวมกันให้ละเอียดแล้วพอกที่ฝี ยานี้จะดูดหนองออกมาหมด โดยเฉพาะฝีคัณฑสูตร ที่เขาเรียกมะเขือบ้าคือถ้ากินเม็ดเข้าไปแล้วจะบ้า ลูกมันจะมีหนามคล้ายทุเรียน แต่ต้นเป็นต้นมะเขือ


หมายเหตุ : ลำโพงไทย ลำโพงขาว หรือ มะเขือบ้า ไม่ใช่ดอกทรัมเป็ตหรือลำโพงฝรั่งที่ปัจจุบันนี้มีเกลื่อนไปหมด

เถรี 20-02-2012 10:12

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่อาตมาอ่านหนังสือร้อยปีของหลวงปู่เหรียญ ระยะนี้จะมีหนังสือเกี่ยวกับหลวงตามหาบัว หลวงปู่จันทร์ศรี หลวงปู่เหรียญ ออกมาติด ๆ กัน ทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่า พระธรรมยุติท่านอยู่ในลักษณะส่งเสริมยกย่องความดีกันเอง ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือมีมุทิตาพรหมวิหาร

เมื่อท่านส่งเสริมยกย่องความดีกัน ก็ทำให้ญาติโยมเห็นการปฏิบัติว่าอะไรถูก อะไรควร เกิดความชื่นชมยินดี แล้วจะนับถือความเลื่อมใสยิ่งขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติมาสามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะหลักการของพระป่าสายธรรมยุติ จะไม่มีการหวงลูกศิษย์ไว้วัดเดียว จะแนะนำว่าครูบาอาจารย์หรือสหธรรมิกวัดนั้นวัดนี้มีความดีอย่างไร ให้ญาติโยมไปช่วยทำบุญอุดหนุนค้ำจุนวัดนั้น ๆ ด้วย

ท้ายสุดใช้คำว่า "ถึงกันหมด" พอท่านถึงกันหมด ก็กลายเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งมาก ถ้าว่าไปจริง ๆ แล้วพระธรรมยุติสายพระป่า เมื่อเทียบกับมหานิกายแล้วมีจำนวนน้อยนิดมาก แต่ว่ามีบทบาทในการชี้นำสังคมค่อนข้างสูง เพราะว่าท่านส่งเสริมกันเอง ยกย่องกันเอง เชิดชูความดีของกันและกัน ไม่มีการอิจฉาริษยา มีแต่มุทิตาจิต ใครที่ยืนหยัดเป็นหลักได้แล้วก็ไปเยี่ยมเยือน นำเอาญาติโยมไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนสหธรรมิก หรือลูกศิษย์ของตนในวัดอื่น ๆ ด้วย

ลักษณะอย่างนั้นจะทำให้ทุกวัดมีความเจริญเสมอหน้ากัน ถ้าหากว่าวัดไหนมีครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือมาก เมื่อท่านมรณภาพก็มีการสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิไว้เป็นที่ระลึก เป็นที่เคารพ แล้วก็ออกหนังสือในลักษณะที่เชิดชูเกียรติของอาจารย์ ทำออกมาแต่ละเล่มสวยงามมาก ๆ ดูแล้วน่าชื่นชม"

เถรี 20-02-2012 10:17

"พระมหานิกายของเรายังขาดตรงจุดนี้อยู่มาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้ความเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ค่อยมี ญาติโยมบางท่านไปทำบุญวัดอื่น พอกลับมาเล่าให้ฟัง ปรากฏว่าโดนทางวัดเดิมด่าส่งไปเลยก็มี

ทำให้เห็นว่าในเรื่องของการปฏิบัติของมหานิกายนั้น ว่ากันตามตรงก็คือ ยังสู้เขาไม่ได้ ถึงแม้จะสู้เขาไม่ได้ แต่ของเราก็มีจำนวนที่มากกว่าและมีหลวงปู่หลวงพ่อที่มีความรู้ความสามารถอยู่มาก ยังเป็นที่พึ่งของความส่วนใหญ่ได้ แต่ถ้ามีการส่งเสริมเชิดชูช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ศาสนาพุทธของเราก็จะมีความเจริญมากกว่านี้

ไม่อย่างนั้นบางวัดแทบจะโดนปล่อยเกาะเลย บรรดาพระภิกษุสามเณรในอาวาสบางทีก็เหลือสภาพพระเณรน้อยเต็มที ถ้าจะแก้ไขก็ต้องแก้ไขทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ผู้ใหญ่ข้างบนดำเนินการเป็นตัวอย่าง แล้วก็ยึดถือเป็นแนวนโยบาย ถ้าหากว่ายึดถือเป็นนโยบายในสายการปกครอง คนที่ไม่ทำตามจะกลัวว่าไม่มีโอกาสโต ก็ต้องทำจนได้

เพราะฉะนั้น..บางอย่างอาจจะต้องใช้วิธีบังคับเอาตามนโยบายการปกครอง แต่ก็ต้องรอพระผู้ใหญ่ที่ท่านกล้าจะแหวกธรรมเนียมปัจจุบันนี้ให้มีความต่างออกไป แต่ให้เป็นไปตามหลักธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปฏิบัติในสาราณียธรรม เมตตาต่อกันด้วยกาย เมตตาต่อกันด้วยวาจา เมตตาต่อกันด้วยใจ แบ่งปันลาภผลให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น

ถ้าหากว่าสามารถทำได้ ศาสนาอื่นจะล้มศาสนาของเรายาก แต่ถ้ายังปล่อยให้ต่างคนต่างทำ หรือว่าทำเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ อยู่ ก็จะเป็นอะไรที่เหมือนกับไม้ รวมกันแล้วเป็นมัดเล็กอยู่ ก็ยังมีโอกาสโดนหักทิ้งได้ แต่ถ้ารวมเป็นมัดใหญ่ได้ ต่อให้เขาออกแรงเท่าไรก็หักไม่ลง"

เถรี 20-02-2012 10:20

"พอไปอ่าน ๆ หนังสือของท่านแล้ว นอกจากชื่นชมในความเสียสละของคณะศิษย์ที่ช่วยกันค้นคว้า ช่วยกันพิมพ์ ช่วยกันแจกจ่าย เพื่อส่งเสริมเชิดชูความดีของครูบาอาจารย์แล้ว ก็ยังมองเห็นความสามัคคีในหมู่คณะของท่านทั้งหลายว่าเหนียวแน่นมาก ๆ

เรื่องพวกนี้ปัจจุบันอาตมาพยายามทำอยู่ แต่ก็ได้แค่กำลังเฉพาะตัว อยู่ในลักษณะว่าเป็นวงแคบ ๆ ก่อน ถ้าต่างคนต่างค้ำจุนกันจนยืนหยัดได้แล้ว เดี๋ยววงก็ขยายกว้างออกไปเอง หรือถ้าไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปกว่านี้ได้ ในสมัยที่เราอยู่ก็ทำเป็นตัวอย่างให้เขาก็แล้วกัน นาน ๆ ไปพอมีคนเห็นดีด้วย เดี๋ยวเขาก็ทำตามกันเอง"

เถรี 20-02-2012 10:27

"รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ว่า ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา เพราะฉะนั้น..การอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีคุณความดีเป็นที่เคารพนับถือของคนหมู่มากแล้ว ทำให้เกิดความอยากที่จะเดินตามรอยของท่านทั้งหลายเหล่านั้น

ความจริงหนังสือเหล่านี้ควรจะสนับสนุนให้มีให้มาก ๆ เข้าไว้ แต่บางทีระบบต่าง ๆ ตลอดจนการค้ากลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นไปเสีย อาตมาเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๑ สมัยก่อนเขาย่อว่า ม.ศ. สมัยนี้เหลือแค่ ม. ตอนนั้นได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงตามหาบัวเขียนขึ้นมาครั้งแรก อ่านรวดเดียวไม่ยอมกินข้าว ต้องอ่านให้จบก่อน อ่านเสร็จแล้วปฏิญาณตนเลยว่า ถ้าอาตมาจะบวชต้องมีครูบาอาจารย์อย่างนี้

พอดีที่บ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นสายธรรมยุติอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีวัตรการปฏิบัติที่ค่อนข้างเคร่งครัด คนเห็นก็เกิดความเลื่อมใสได้ง่าย เวลามีงานท่านก็ไปช่วยเหลือกัน พออาตมาเรียนจบ ม.ศ.๓ ในสมัยนั้น เข้ากรุงเทพฯ มาทำงาน ปรากฏว่าโยมแม่เคารพนับถือในตัวหลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย ๑๐๑ อาตมาก็ตามโยมแม่ไปวัด ที่วัดธรรมมงคลจะมีงานสวดลักขี ก็คือสวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปะฏิปันโนฯ ๑ แสนจบทุกปี"

เถรี 20-02-2012 10:35

"คำว่า ลักขี หรือ ลักขัง ภาษาบาลีแปลว่าหนึ่งแสน จะใช้คำว่า สะตะสะหัสสา ก็ได้ แต่ว่าศัพท์บาลีตัวนี้จะมีศัพท์เฉพาะต่างหาก คือลักขัง เพราะฉะนั้น..ในทำเนียบสมณศักดิ์จะมีพระครูปราการลักษาภิบาล ลักษา ล.ลิงเลย แต่คนที่ไม่เข้าใจชื่อนี้จะพยายามพิมพ์เป็นปราการรักษาให้ได้ เพราะปราการก็คือกำแพง รักษาตามความหมายของเขาคือดูแล ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน ปราการลักษาเขาบอกตรง ๆ เลยว่ากำแพงแสน เพราะปราการคือกำแพง ลักษาหรือลักขาก็คือแสน

เมื่อมีพิธีสวดลักขีและบวชชีพราหมณ์หมื่นรูป โยมแม่ก็ไปบวชเป็นประจำ ปีละ ๑๐ วัน อาตมาตามไปดูแลแม่ จริง ๆ ไม่ได้ไปดูแลอะไรหรอก ตามไปเป็นเพื่อน ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่นวิ่งง่ายใช้สะดวก หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นท่านมารวมกันอยู่ บางทีเป็นร้อยรูป อย่างน้อยก็ ๕๐-๖๐ รูป ท่านก็เรียกใช้งาน

สมัยนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีชื่อเสียงคับบ้านคับเมือง อย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่อ่อน หลวงปู่บัว พอท่านเรียกใช้ไปเรียกใช้มา เกิดความสนิทชิดใกล้ไปเรื่อย ๆ อาตมาก็ถามนั่นถามนี่ ศึกษาการปฏิบัติของท่าน ชอบใจอยู่..แต่แปลก ๆ อย่างไรไม่รู้ แปลกตรงที่ว่าอาตมาไม่คุ้นชินกับระบบของท่าน ก็คือ ระบบของท่านเหมือนกับว่าชี้ให้ดูว่าข้าวสารอยู่ในถัง ผักอยู่ในสวน ไปหุงเอา ไปเก็บมาผัดมาต้มมาแกงเอา เป็นในลักษณะที่บอกว่าให้ไปทำเอา ให้ไปภาวนา ไม่ได้สอนอะไรมากมาย

อาตมาก็..เฮ้อ..ทำแบบไหนล่ะ ? ภาวนาก็ได้ แต่ทำแบบไหนล่ะ ? ต้องมางมโข่งกันเอง ทั้ง ๆ ที่เคารพเลื่อมใสท่านสุดจิตสุดใจ แต่ว่าแนวการปฏิบัติจะว่าไปก็ยังขัด ๆ กับความรู้สึกของตัวเองอยู่"

เถรี 20-02-2012 14:19

"ปี ๒๕๑๘ โยมพ่อเสียชีวิตลง พี่ชายเอาคู่มือการปฏิบัติกรรมฐานเล่มแรกที่หลวงพ่อฤๅษีท่านเขียนมาให้ บอกว่า "เอาไปอ่านดู ถ้าทำได้ก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าพ่อตาย" พออ่านแล้วรู้สึกทึ่งมาก ทำไมหลวงพ่อท่านเขียนอะไรง่ายอย่างนี้ แต่ละขั้นตอนทำได้เลย ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำเอา

แม้ว่าจะยังไม่ได้ทิ้งสายพระป่า แต่แนวการปฏิบัติใส่มาทางนี้เต็ม ๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะทำตามแต่ละขั้นตอนก็เป็นไปตามที่ท่านเขียนทั้งหมด เมื่อเป็นดังนั้น ก็เกิดความโน้มเอียงว่าครูบาอาจารย์แบบนี้แหละที่เราต้องการ

ปี ๒๕๒๐ เดือนมกราคม เพิ่งจะปีใหม่ได้ไม่กี่วัน หลวงปู่ฝั้นก็มรณภาพ ต่อจากนั้นอีกไม่กี่เดือนทางวัดท่าซุงมีงานยกช่อฟ้า ปิดทองฝังลูกนิมิตพระอุโบสถ ในหลวงเสด็จพอดี จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต เปลี่ยนจากสายวัดป่าเลี้ยวมาเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงเต็ม ๆ เลย ตั้งแต่นั้นมาสายวัดป่าก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตไป พอถึงเวลาก็ยังคงไปเป็นเพื่อนแม่อยู่ ไปร่วมสวดมนต์ไหว้พระตามเขา แต่แนวการภาวนาทำตามวัดท่าซุงเต็ม ๆ

ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็คือ แต่ละคนมีความชอบในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าแยกแยะเป็นแนวใหญ่ ๆ ไว้ ๔ แนว สุกขวิปัสสโก เป็นแนวที่ยากที่สุด ต้องอาศัยศรัทธาเป็นอย่างมาก ความเพียรเป็นอย่างมาก ความอดทนเป็นอย่างมาก เหมือนกับเป็นสายที่ปิดตาเดิน ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย พากเพียรปฏิบัติไปอย่างเดียว จนเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองทำมาถูกและมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย

สายที่ ๒ เป็นเตวิชโช มีความรู้ ๓ ประการ ได้แก่ การระลึกชาติได้ เห็นความทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน แล้วตายแล้วไปไหน ก็จะเห็นว่าทำดีทำชั่วแล้วจะส่งผลอย่างไร รู้วิธีทำกิเลสให้สิ้นไป ตรงนี้สำคัญที่สุด ในเมื่อเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด มั่นใจว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วแน่ ก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น

สายนี้จะมีทิพจักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องอาศัยบารมีพระเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นการรู้เห็นจะไม่ชัดเจน"

เถรี 20-02-2012 14:24

"สายที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอภิญญา ๖ สายนี้ค่อนข้างที่จะโลดโผนหน่อย มีทิพโสต ทิพจักษุ และอาสวักขยญาณ คือการทำกิเลสให้สิ้นไปเหมือนกัน สายนี้ต้องเล่นกสิณ โดยเฉพาะกสิณ ๑๐ เป็นหลัก ก็จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ เดินน้ำ ดำดิน แต่น่าเสียดายที่มีส่วนหนึ่งมัวแต่เพลิดเพลินอยู่ เลยทำให้เสียประโยชน์ ไม่เข้าถึงธรรมที่แท้จริง

พอไปสายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ คือปฏิสัมภิทาญาณหรือปฏิสัมภิทัปปัตโต นอกจากมีความสามารถครอบคลุม ๓ สายที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษอีก ๔ อย่าง คือธรรมปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด อะไรเกิดขึ้นอย่างไร อรรถปฏิสัมภิทา รู้ผลทั้งหมด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดมาจากอะไร สืบสาวไปได้หมด

นิรุกติปฏิสัมภิทา เข้าใจภาษาทั้งหมด ทั้งภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาของโลกทิพย์ และปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปัญญาเฉียบคม ว่องไวเป็นพิเศษ อธิบายของยากให้ง่าย อธิบายของสั้นให้ยาว อธิบายของยาวให้สั้น ย่อได้ ขยายได้ มีปฏิภาณแจ่มใส ใครก็ต้อนไม่จน สายนี้อาศัยกสิณเป็นหลักแล้วก็บวกอรูปฌาน ๔

ถ้าจะกล่าวต่อไป ก็แยกออกในลักษณะว่าใครชอบกรรมฐานหมวดไหน มีกสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความชอบเฉพาะตัว ว่ากันคร่าว ๆ ก็ปาไป ๔๐ อย่างแล้ว

แต่ความจริงแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าหากว่าผู้ใดตั้งใจฟังพิจารณาในเนื้อความสามารถเข้าถึงธรรมได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งชาดกที่เราเห็นเป็นเหมือนนิทาน บุคคลที่มีปัญญาก็จะเห็นว่าแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จบ ส่วนตัวเราจะพ้นไปได้อย่างไร ? ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดมาอีก กำลังใจตัดขาดลงได้ก็กลายเป็นพระอริยเจ้าไป"

เถรี 20-02-2012 14:32

"เท่าที่อ่านพระไตรปิฎกมา มีสามัญญผลสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์แล้วไม่มีบุคคลได้มรรคผล เพราะว่าเทศน์โปรดพระเจ้าอชาตศัตรูที่จิตใจวุ่นวาย เครียดที่ตัวเองทำปิตุฆาต คือฆ่าพ่อ แย่งชิงพระราชสมบัติ พระพุทธเจ้าได้สร้างความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นแก่พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยปวารณาอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา จนกระทั่งเป็นผู้สนับสนุนการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

ถ้าจะเอาเรื่องของมรรคผล สามัญญผลสูตรเป็นพระสูตรที่เทศน์แล้วไม่มีผู้ได้มรรคผล แต่ว่าทำให้เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ส่วนพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์แล้วได้มีผู้ได้มรรคผลมากที่สุด ก็น่าจะเป็นพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เทศน์แล้วพรหมเทวดาบรรลุมรรคผล ๘๐ โกฏิ ถ้าเอาตัวเลขตามหลักบาลีคือ ๘๐๐ ล้าน เพราะ ๑๐ ล้านเท่ากับ ๑ โกฏิ

สมัยก่อนเขาถือว่าพระอภิธรรมเป็นคำสอนที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น..จึงมีการสวดสาธยายพระอภิธรรมในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานแต่งงาน ในงานมงคลอื่น ๆ แต่พอมาระยะหลังเอาพระอภิธรรมไปสวดในงานอวมงคล ก็คืองานศพ ทำให้เกิดพวกจิตอ่อน กลัวว่าถ้าเอามาสวดสาธยายในงานมงคลแล้วจะทำให้ไม่ดี จึงต้องมีการเปลี่ยนมาสวดสาธยาย ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานในงานมงคล แล้วก็ไปสวดสาธยายพระอภิธรรมในงานอวมงคลหรืองานศพแทน จากของดีแต่เพราะความเชื่อของคนทำให้กลายเป็นของไม่ดีไปได้"

เถรี 20-02-2012 14:35

"แม้กระทั่งในเรื่องความเชื่อของพระที่บิณฑบาต ถ้าไปบิณฑบาต ๔ รูปเขาถือว่าไปสวดศพ บางบ้านไล่เลย หารู้ไม่ว่า ๔ รูปครบสังฆทานพอดี ทิ้งบุญใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างที่วัดท่าขนุนก็จะกำชับเหมือนกัน ถ้าหากว่าสายไหนไปบิณฑบาตน้อย ให้พยายามไป ๕ รูปไว้ เกิน ๔ เอาไว้ก่อน มากเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าลง ๔ พอดีให้ตัดหางแถวไปสายอื่น ให้เหลือ ๓ ไว้ โยมเสียประโยชน์ก็ช่าง ดีกว่าพระอดข้าว..!

เขาถือจริง ๆ บางบ้านไล่เลย "นิมนต์ข้างหน้าเจ้าค่ะ" เรียบร้อยเลย.. ถ้าเจอบ้านที่ไม่ถือก็แล้วไป"

เถรี 20-02-2012 16:45

ถาม : เวลามีคนคิดถึงท่าน ท่านจะรู้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ระยะหลังนี้ขี้เกียจรู้แล้วจ้ะ รู้แล้วเบื่อ..ส่วนใหญ่ก็เอะอะโวยวายจะให้ช่วยอย่างเดียว ระยะหลังที่ต้องปิดสวิทซ์อยู่เรื่อย เพราะว่าแต่ละคนคิดถึงแล้วมีแต่เรื่องจะให้อาตมาเดือดร้อนทั้งนั้น

เถรี 21-02-2012 08:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดินฟ้าอากาศค่อนข้างจะวิปริต ถ้าไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากจะต้องรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายแล้ว กำลังใจก็ต้องออกด้วย

ถ้าสามารถปฏิบัติภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวสักระดับปฐมฌานละเอียด โรคภัยไข้เจ็บทั่ว ๆ ไป ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากโรคที่มาจากกฎของกรรมจริง ๆ ประเภทตามทวงไม่เลิก เข้าใจว่าไม่ใช่กรรมหนักจริง ๆ การปฏิบัติสมาธิภาวนาสามารถช่วยรักษาโรคส่วนใหญ่ได้"

เถรี 21-02-2012 08:49

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของอาหารการกินนั้น ญาติโยมมักจะเอามาถวายอาตมา แล้วก็ไปถวายถึงกุฏิที่พัก ซึ่งจะถูกลืมอยู่จนหมดอายุไปเสมอ ๆ อาตมาเป็นคนไม่มีวาสนาในเรื่องกิน เมื่อก่อนบ้านมีฐานะยากจน กับข้าวบนโต๊ะมีมากที่สุดแค่ ๓ อย่าง เพราะฉะนั้น..ถ้าเห็นกับข้าวเยอะ ๆ ไม่ได้หรอก เห็นแล้วคอหอยตัน อิ่มไปเลย

วันก่อนไปงานฉลองกุฏิของพระครูวิริยกาญจนาภรณ์หรือหลวงพ่อชาลี งานนั้นท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี เป็นประธาน ตอนฉันเพลก็นั่งฉันวงเดียวกับท่าน บนโต๊ะมีแกงหยวกกล้วยอยู่ ๑ ถ้วย ท่านอาจารย์ชาลีก็คว้ามาตักเข้าปาก "ขอกินระลึกความหลังหน่อยเถอะ สมัยก่อนที่บ้านจน แม่ก็แกงแต่หยวกกล้วยอย่างนี้แหละ"

ท่านเจ้าคุณโสภณฯก็คว้ามาตักบ้าง แล้วก็ส่งต่อมาที่อาตมา "อาจารย์เล็กว่าบ้างสิ" อาตมาก็ตัก ท่านบอกว่า "อือม์..บางทีของกินบางอย่างก็ทำให้ระลึกชาติได้เหมือนกัน" ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านไปเรียนปริญญาโทที่อินเดีย จบกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ โยมแม่มาเยี่ยมที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) เอาแย้มาให้เกือบ ๓๐ ตัว แย้ตัวเป็น ๆ เลย..!

ท่านก็คิดว่า "ตายละวา...จะทำอย่างไรดี ?" แม่ก็อุตส่าห์อยู่ค้างคืนด้วย ท่านจึงแอบ ๆ เอาแย้ไปปล่อย พอ ๒ - ๓ วันผ่านไปแม่ก็มาดู เห็นกรงว่างไปแล้ว คิดว่าลูกพระชอบ ก็ไปเอามาใหม่อีก ท่านว่าจะทำอย่างไรดี ? ถ้าบอกแม่ว่าไม่กินแล้ว เดี๋ยวจะโดนด่าว่าจบนอกมาก็เลยหัวสูง แต่ถ้าบอกว่าพระกินของอย่างนี้ไม่ได้เพราะยังเป็น ๆ อยู่ เดี๋ยวแม่ก็จะไปทุบมาให้อีก

ท่านจึงตัดสินใจยอมทำลายน้ำใจแม่ บอกว่า "แม่..ของอย่างนี้ลูกไม่กินแล้วนะ" บางอย่างเหมือนกับตลกแต่หัวเราะไม่ออก ด้วยความรักของแม่ รู้ว่าลูกเคยชอบอะไรก็ไปหาอย่างนั้นมา แล้วแย้จับง่าย ๆ เสียที่ไหนเล่า ใครที่ไม่เคยเป็นเด็กล่าแย้มาก่อนไม่รู้หรอก เจ้าพวกนี้ถ้าวิ่งเรามองแทบไม่ทัน ไวสุดยอดเลย แย้เป็นสัตว์ที่ประหลาดมาก จะวิ่งเลยรูไปช่วงตัวหนึ่งก่อน แล้วหักเลี้ยว ๑๘๐ องศาเข้ารู ศัตรูจะถลำเลยไปทุกที เพราะฉะนั้น..ใครไปเยี่ยมลูกพระก็อย่าเอาแย้เป็น ๆ ไปแบบนั้นนะ อย่างไรก็ปิ้งไปให้เสร็จสรรพก่อน..!"

เถรี 21-02-2012 10:21

ถาม : เรื่องการฝึกลมปราณ
ตอบ : เวลาเราหายใจจะมีพลังขุมหนึ่งวิ่งจากจุดศูนย์ที่สะดือขึ้นมาที่คอหอย แต่เราอย่าให้พลังนั้นขึ้นมา ใช้วิธีกดกำลังนั้นลง พอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว เราต้องทำอาการเหมือนกับการกลั้นปัสสาวะ กำลังขุมนั้นจะวิ่งผ่านสะพานดินไปที่กระดูกสันหลัง วิ่งแนบแนวกระดูกสันหลังเป็น ๒ สาย ถึงท้ายทอย ไปที่ศีรษะ แล้วลงมาทางด้านหน้า ผ่านตา ๒ ข้าง ลงมา แล้วก็รวมกันไปที่คอหอยกลับลงไปที่จุดศูนย์อีกครั้งหนึ่ง พอช่วงหายใจใหม่เราก็ดันลงไปอีก ทำอาการเหมือนเดิม ให้หมุนรอบไปเรื่อย ๆ

ถาม : ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนละจังหวะกัน บางคนถ้าหากว่าทำได้นี่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถหมุนวนได้ ๒๐ - ๓๐ รอบ อย่าไปเร่ง เราค่อย ๆ ทำไป ชั่วลมหายใจทำได้ครึ่งรอบอะไรเราก็เอาแค่นั้น แต่ให้ซ้อมไว้บ่อย ๆ

จากสะดือพอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้วทำอาการเหมือนเรากลั้นปัสสาวะ จะทำให้กำลังวิ่งผ่านไปที่กระดูกก้นกบด้านหลัง แล้วจะผ่านสันหลังขึ้นมาวิ่งเป็นเส้นคู่ขึ้นมา พอผ่านโหนกแก้มลงมาก็จะเริ่มรวมเป็นสายเดียว กลับลงทางด้านหน้าสู่จุดศูนย์เหมือนเดิม พอเลิกทำ ให้หายใจลึก ๆ ดึงพลังกลับไปรวมที่จุดศูนย์ทุกครั้ง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราปรับเข้าตัวเราได้หรือเปล่า ถ้าปรับเข้ากับตัวเราได้แล้ว เราหมั่นทบทวนฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเอง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ใช้การภาวนาแทน ถ้าเราภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว ถึงระดับรู้ลมหายใจด้วยตัวเองไม่ต้องไปบังคับ โรคพวกนี้จะหายหมด จริง ๆ แล้วกำลังไม่สูงมาก ประมาณปฐมฌานละเอียด เพียงแต่ว่าตอนที่เราภาวนา ให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเฉย ๆ จะเป็นฌานหรือไม่ เป็นสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ใจทรงตัวถึงขนาดนั้น จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ รู้คำภาวนาโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราแค่เอาสติประคองไว้ ถ้าทำอย่างนั้นได้โรคเครียดทุกอย่างจะหายหมด

เถรี 21-02-2012 10:33

ถาม : ขอยารักษาโรคไอเรื้อรังครับ
ตอบ : เอาตำราจีนไหม ? อร่อยดี..มีไข่ ๑ ฟอง เคาะใส่ภาชนะอะไรก็ได้ที่ใส่ไมโครเวฟได้ และน้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือตำละเอียดแล้วโรยลงไป แล้วก็ใบชา ๑ หยิบมือโรยลงไป นึ่งสุกแล้วกินให้หมด แค่นี้แหละ..อร่อยดีด้วย ถึงไม่หายก็อร่อย

ถาม : ไปปล่อยปลามาแล้วไม่หายครับ
ตอบ : โรคต้องรักษา ไม่ใช่ไปปล่อยปลาแล้วโรคหาย ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลก็เจ๊งสิจ๊ะ

ถาม : ขอทวนอีกรอบครับ
ตอบ : ไข่ ๑ ฟอง น้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือ ใบชา ๑ หยิบมือ ถามอีกทีเจอเตะ..! เข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าถึงได้อยากให้อาตมาไปนักหนา เพราะท่านบอกคาถายาวคาถาสั้นขนาดไหนอาตมาจำได้หมด ขณะที่คนอื่นย้ำแล้วย้ำอีกไม่จำสักที

ท่านบอกคนที่ไปหาท่านคนหนึ่งว่า “มึงกำลังมีเคราะห์ร้าย ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ไปถวายพระในวันพฤหัสบดี แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร” แค่นี้เขาจำไม่ได้ ถามท่าน ๓ - ๔ ครั้ง จนกระทั่งท่านง้างตีนรอแล้ว..!

ส่วนอาตมา หลวงปู่บอกว่า “เออ..ไอ้หนูมานี่ลูก มึงเอาคาถานี้ไปใช้นะ อะระหังพันเกสา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทธโธ พระธรรมเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ” แล้วท่านก็เขกหัวเปรี้ยงสนั่นเลย

ปกติถ้าคนตั้งใจจำโดนเขกกบาลขนาดนั้นจะลืมหมด อาตมาก็ทวนให้ท่านฟังอีกที ท่านบอก “เออ..ใช้ได้” ความจำต่างกันได้ขนาดนั้น อาตมาเองก็สงสัยว่า ทำไมไปทีไรได้ทุกที คงเป็นเพราะท่านบอกแล้วอาตมาจำได้ ท่านเลยให้อยู่เรื่อย ๆ วิธีประสิทธิ์ประสาทของท่านนี่ไม่ไหว เขกทีกะโหลกบวม มือหนักเป็นบ้าเลย

แต่เวลาที่กรรมบัง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็โดน บอกแล้วว่า “อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก” อยู่ ๆ อาตมาก็ไปเจอหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าขาหัก ท่านกำลังเสกน้ำมันมะพร้าว เสกเอง ทาเอง นวดเอง ๗ - ๘ เดือนจึงเดินได้ตามปกติ กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ไปโดนอะไรมาครับ ?” ท่านบอกว่า “เฮ้อ..โง่ไปหน่อย เวลากรรมบังนี่มันโง่ทุกคนเลยว่ะ”

ถามว่าเป็นอย่างไรครับ ? ท่านตอบว่า “เขานิมนต์ไปงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต ข้าเดินไปถึงเห็นเขาปูเสื่อไว้ ข้าก็นึกว่าเขาปูให้ข้านั่ง เดินเข้าไปผลุบเดียวหล่นไปในหลุมเลย” เขาปิดหลุมลูกนิมิตไว้ ท่านตกไปขาหักเลย แต่ท่านก็เก่งนะ เสกน้ำมันนวดเองทาเองอยู่หลายเดือนจึงเดินได้ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นท่านก็อายุได้ ๘๐ กว่าแล้ว

สมัยนั้นถ้าพระวัดท่าซุงจะสึก มีฤกษ์แล้วแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ ก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอให้หลวงปู่ท่านสึก เพราะฉะนั้น..พระวัดท่าซุงไม่กลัวหรอกเรื่องไม่มีที่สึก หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ก็ไปวัดปากคลองมะขามเฒ่าแทน

เถรี 21-02-2012 10:36

ถาม : ขอสอบถามเรื่องฤกษ์เปิดสำนักงานค่ะ
ตอบ : ไปดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ดีกว่า เปิดงานใหม่ให้เว้นวันศุกร์ จะเปิดวันไหนก็เปิดไป แต่ว่าวันศุกร์ให้เว้นไว้ ถ้าหากว่าดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้ก็จะดี

ถึงเวลาก็อัญเชิญพระพุทธรูปเข้าไป จุดธูปเทียนบูชาพระ ขอบารมีพระตลอดจนเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ให้ช่วยสงเคราะห์การงานให้เจริญรุ่งเรือง หลังจากนั้นเราจะทำบุญอะไรอุทิศให้ท่านก็ว่าไป

ถาม : ต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระที่นั่นด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีได้ก็ดี แต่ถ้าหากว่ายุ่งมาก ๆ ก็ใช้วิธีไปถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไปเลย

เถรี 21-02-2012 10:43

ถาม : ช่วงที่ผ่านมาหนูมีความสุขมากเลยค่ะ สุขจนออกอาการกระโดดโลดเต้น แล้วก็อยู่นานด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความจริงต้องดูย้อนกลับไปว่า เราคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นตัวต้นเหตุให้เราเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราดูย้อนหลังไปไม่เป็น เราก็จะไม่รู้ว่ามาจากไหน พอความสุขหมดไปเราก็ไม่รู้ว่าจะสร้างใหม่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..กลับไปทบทวนดูว่าตั้งแต่ก่อนช่วงที่จะเป็น เราคิด พูด ทำ อย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน

ความจริงรักษาให้ดีจ้ะ จะกระโดดโลดเต้นอย่างไรไม่มีใครเขาว่าหรอก ไปแบ่งความสุขให้คนอื่นเขาเยอะ ๆ หน่อย มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่อาตมาฝึกพรหมวิหาร ๔ พอกำลังทรงตัวนี่เดินยิ้มคนเดียว..จริง ๆ นะ..ยิ้มกับถนนก็เอา เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง ไม่มีอะไรยิ้มก็ยิ้มกับข้างฝา เพราะฉะนั้น..ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราต้องไปดูให้เจอว่าเกิดจากอะไร ถึงเวลาก็ทำเหตุนั้นบ่อย ๆ ก็จะได้อย่างนี้อีก

ถาม : ท่านบอกหนูหน่อยไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : บอกไม่ได้จ้ะ ต้องย้อนไปดูเอง คิด พูด ทำ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน พอหาเจอแล้วก็ทำแบบนั้นอีก ก็จะได้อีก ถ้ามีความสุขเยอะเอามาแบ่งให้อาตมาบ้าง อาตมาจะได้เอาไปไล่แจกชาวบ้าน

ถาม : แต่จะสุขเป็นช่วง ๆ ค่ะ มีอารมณ์ทุกข์อยู่บ้าง เช่น เวลาร่างกายหิวข้าวแบบนี้
ตอบ : เรื่องปกติ ถ้าเราเอาความสุขนั้นขึ้นมา ก็จะบังสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหลายไปได้ชั่วคราว

เถรี 21-02-2012 10:51

ถาม : ที่ช่วงนั้นหนูมีความสุขมากเป็นเพราะหนูไม่รับอารมณ์ทางโลกเข้ามาเลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าได้อย่างนั้นจะเป็นอารมณ์ที่ดีมาก ให้ทำอย่างนั้นไว้บ่อย ๆ เพียงแต่ว่าให้เราดูเรื่องของระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมของแต่ละสถานที่ด้วย เพราะว่าบางอย่างเราไม่สนใจก็จริง แต่อาจจะไปผิดระเบียบเขา ไม่ถูกต้องตามประเพณีของเขา เดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าเอา แต่ถ้าหากว่าเรื่องทั่ว ๆ ไปไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก โยนทิ้งให้หมด เราไม่ได้แบกไว้เราก็จะเบา มีความสุขไปเอง

ถาม : มีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ สุขเหมือนสวรรค์เลยค่ะ
ตอบ: ความจริงสุขเกินนั้นอีก (หัวเราะ) ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ให้เข้าถึงจริง ๆ ได้ ต่อไปอะไร ๆ ก็ไม่อยากได้แล้ว เพราะเราเห็นแล้วว่าความสุขจริง ๆ เป็นอย่างไร

คนที่โดนไฟรัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลงไปได้ด้วยอำนาจของสมาธิที่กดไว้ก็ดี หรือด้วยปัญญาปล่อยวางลงได้ก็ดี มีความสุขไหนแบบไหนอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้หรอก คนที่โดนไฟเผา อยู่ ๆ ไฟเลิกเผา อธิบายว่าเป็นความสุขได้ก็เก่งเกินมนุษย์มนาแล้ว แต่เรารู้ว่าเรามีความสุข

เมื่อครู่อาตมาสรุปผิดหรือเปล่าไม่รู้ ที่บอกว่า “ไม่มาหาหลวงพ่อหลายปี เลยมีความสุข” (หัวเราะ)

เถรี 21-02-2012 11:00

ถาม : หนูหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพี้ยนไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เป็นการเพี้ยนที่ดี ขอให้เพี้ยนไปได้นาน ๆ

ถาม : ช่วงนั้นหนูยอมรับตรง ๆ เลยค่ะ ว่าหนูไม่ได้สวดมนต์ ไม่ได้นั่งสมาธิ แต่ว่าตรงกันข้ามกับช่วงความทุกข์ที่เจอ หนูสวดมนต์ไปร้องไห้ไป นั่งสมาธิภาวนาเต็มที่เลย แต่ว่าตอนนี้มีความสุขนี้ ไม่ได้ทำความดีอะไรเลย
ตอบ : คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมเทวดา นางฟ้า พรหม เขาถึงหลุดพ้นไม่ได้ ? เพราะว่าเวลาสุขแล้วก็เพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ลืมทำความดี ในเมื่อเรามีบทเรียนแล้ว เห็นด้วยตัวเองแล้ว ต่อไปก็พยายามทำความดีให้สม่ำเสมอ ให้รู้ว่าความสุขที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่ใช่ของที่เที่ยงแท้ มาได้ก็ไปได้ ความสุขที่แท้จริงเป็นความสุขจากการหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเท่านั้น

ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานของเราต่อไป ซ้อมไว้ทุกวันจ้ะ เพราะว่าถ้าเราประมาทเผลอเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสตีตาย ถึอว่าซ้อมเพื่อเพิ่มความสุขแล้วกัน


ถาม : เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาหนูมีแฟนหรือเปล่า ?
ตอบ : มีส่วนเยอะเลยจ้ะ ระวังเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ความสุขนั้นเป็นปีติจากสิ่งภายนอก ไม่ยั่งยืน พอปัจจัยเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นความสุขส่วนนี้ก็หายไป ต้องระมัดระวัง พยายามสร้างความสุขที่แท้จริงที่ถาวรให้เกิดขึ้นในใจของเรา อย่างไรก็ขอให้รักกันไปนาน ๆ นะจ๊ะ

มีคนเขาบอกว่าอย่าเปลี่ยนจากแฟนมาเป็นสามี แล้วความสุขจะอยู่ได้นาน เพราะถ้ายังเป็นแฟนอยู่เขาจะเอาใจเราไปเรื่อย แต่งงานไปเมื่อไรเขาก็เลิกเอาใจแล้ว ตอนรักกันนี่ต่างคนต่างนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง เพราะกลัวคนอื่นเขาจะไม่รัก ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่เห็นจุดบกพร่อง พอแต่งงานแล้วอยู่กันไปนาน ๆ มีความเคยชิน เขาก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอสิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลา ข้อบกพร่องก็จะเกิดขึ้น ถึงตอนนี้เราก็ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากขึ้น

เรื่องของการแต่งงานจะทำให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้กลับไปประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้อย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์เข้ามาจะตั้งหลักรับไม่ทัน


ถาม : หนูก็กลัวว่าจะหายไปค่ะ
ตอบ : วิธีป้องกัน ก็คือ อย่าทิ้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ทิ้งเมื่อไรเดี๋ยวไม่มีอะไรเป็นหลักยึด ตั้งหน้าตั้งตาทำกุศลเข้าไว้ ช่วงกุศลส่งทำให้เรามีความสุข ก็ต้องรีบกอบโกยความดีให้มากที่สุด ถึงเวลาตอนทุกข์จะได้มีกำลังไปต่อสู้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว