![]() |
๘๑. ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้ เพราะหากเขาไม่เห็นตามเรา ธรรมนั้นจะเสีย ต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน เช่น มองเห็นทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยทุกข์ แต่อารมณ์ใจมันไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นสุดยอดของพระธรรม (ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) ที่พระองค์ต้องการให้เรารู้เราเห็นก็ตรงนี้แหละ เท่ากับผู้ใดมองเห็นทุกข์ได้ทั้งหมดตามความเป็นจริง แต่จิตอยู่ในสังขารุเบกขาญาณ ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ (ของพระราชพรหมยานมหาเถระ) |
๘๒. ศีล เป็นฐานของพระธรรมทั้งหมด อานาปานุสติ เป็นฐานของความสงบแห่งจิต สองฐานนี้เป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา |
๘๓. การประกอบกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นการเมตตา กรุณาตนเองและผู้อื่น (พรหมวิหาร ๔ สองข้อแรก จะทรงตัวด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ นี่เอง) หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน |
๘๔. จงเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ายึดติดในตัวบุคคล เวลา สถานที่ และวัตถุภายนอก ซึ่งล้วนไม่เที่ยง |
๘๕. ทุกข์ เป็นธรรมที่ต้องกำหนดรู้ จึงจักรู้ สมุทัย เป็นธรรมที่ต้องละ นิโรธ เป็นธรรมที่ต้องทำให้แจ้ง มรรค เป็นธรรมที่ต้องเจริญให้มาก ทำให้มากตลอดเวลา |
๘๖. จงอย่าประมาทในการสร้างความดี ยังมีชีวิตอยู่ จงอย่าทิ้งการทำบุญทำทาน แม้พระอรหันต์จบกิจแล้ว แต่ชีวิตยังอยู่ ท่านก็ไม่เว้นการทำบุญทำทาน เพราะมีผลเป็นจาคานุสติและอุปสมานุสติด้วย ท่านทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว เพราะท่านไม่ประมาทในความดี จงเอาอย่างท่าน |
๘๗. หากศีลไม่มั่นคง สมาธิยังไม่ตั้งมั่น ปัญญายังจู๋อยู่ ห้ามคิดว่าไม่ติดในบุญ ในทาน ในความดี เพราะจิตยังติดบาปอยู่ อกุศลอยู่ แล้วยังจิตไม่เกาะติดบุญด้วย จิตจึงมีแต่บาปอกุศล จิตเป็นคนโง่อย่างแท้จริง พระอรหันต์ ท่านยังไม่ทิ้งการทำบุญทำทาน เพราะท่านไม่ประมาทในกรรมทั้งมวล |
๘๘. อยากฉลาดต้องมีคุณธรรมประจำจิต ยอมรับกฎของกรรม ยอมรับกฎของความเป็นจริงในสัทธรรม ๕ ยอมรับกฎของไตรลักษณ์ ทำใจให้เป็นกลางให้ได้ และเป็นคนไม่ประมาท ทบทวนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่เสมอ |
๘๙. กรรมใดที่เป็นอกุศล ทำจิตให้เศร้าหมอง ขอจงพยายามละให้ออกจากจิต |
๙๐. พิจารณาภาระที่มีต่อขันธ์ ๕ เข้าไว้ ดูความไม่เที่ยงของมันเข้าไว้ จักทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายนี้อย่างจริงจังเสียที |
๙๑. จงอย่าไปจองเวรกับใคร รีบตัดกรรมเสียให้ได้ ไม่ต้องสนใจกรรมของผู้อื่นให้เสียเวลา หันมาสนใจมรรคผลที่จักปฏิบัติตัดกิเลสส่วนตนดีกว่า |
๙๒. การทำงานให้แก่พระพุทธศาสนาเพื่อความหลุดพ้น จักต้องมีมารเข้ามาขัดขวางผลบุญเป็นธรรมดา จงแผ่เมตตา ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ครบ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ออกไป แล้วจิตจักเยือกเย็น ไม่ผูกโกรธ จงอย่าประมาท ระวังเข้าไว้ แต่จงอย่าระแวง จิตจักมีกังวล |
๙๓. อารมณ์กระทบนั่นแหละเป็นของดี เพราะจักได้ทราบกระแสของจิตตนเอง ว่ากระทบแล้วหวั่นไหวตามไปหรือไม่ สอบได้หรือสอบตก |
๙๔. คนหลงร่างกายเพราะไม่รู้จักสันตติของร่างกาย การมีร่างกายทำให้ต้องมีกิจการงานทำไปไม่มีวันสิ้นสุด ทุกอย่างมันเป็นสันตติ |
๙๕. วัดอารมณ์ของการปลดปล่อยร่างกายอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ คือการปฏิบัติพระกรรมฐาน |
๙๖. การปฏิบัติไม่ต้องเลือกเวลา ไม่ต้องเลือกสถานที่ จิตอยู่ที่ไหนไม่ทิ้งอารมณ์ที่นั่น นี่แหละ คือพระกรรมฐาน |
๙๗. การกำหนดรู้อารมณ์ของจิตอยู่เสมอ ๆ นี่แหละ คือการปฏิบัติพระกรรมฐาน |
๙๘. การรู้อารมณ์คนอื่น.. พ้นทุกข์ไม่ได้ การรู้อารมณ์ตนเอง.. พ้นทุกข์ได้ |
๙๙. อารมณ์จิตนี่แหละ คือตัวรู้สึกถึงความสุขหรือความทุกข์ ไม่ใช่ร่างกาย |
๑๐๐. ความฟุ้งซ่านเกิด ก็จงหมั่นระงับด้วยมรณานุสติ และความไม่ประมาทในความตายไว้เสมอ |
๑๐๑. จงมองหาชั่วหาเลวที่เรา.. แล้วรีบแก้ไข อย่าไปหาชั่วหาเลวที่ผู้อื่น.. ซึ่งแก้ไขไม่ได้ |
๑๐๒. ธรรมใดที่ยังมาไม่ถึง ก็จงละปล่อยวาง มาสงสัยศึกษาในธรรมปัจจุบัน หาเหตุหาผลที่ทำให้เกิดอารมณ์จริตต่าง ๆ ให้พบ แล้วแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยกรรมฐานแก้จริต ๖ |
๑๐๓ เรื่องที่ควรสนใจที่สุดในพระพุทธศาสนา คือความดับทุกข์อย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร |
๑๐๔. พระธรรมมีพุทธบัญญัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ บท ล้วนเป็นทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น นอกเหนือจากนี้ มิใช่คำสอนของตถาคต และจงจำหลักไว้ … ทุกอย่างในไตรภพไม่มีอะไรเที่ยง ยึดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น |
๑๐๕. ใครไปหาธรรมภายนอก นอกจิตของตนเอง ถือว่ายังไม่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะ ๘๔,๐๐๐ บท ล้วนเป็นอุบายทางธรรม เพื่อให้รู้ความจริงที่กายและจิตของตนเองทั้งสิ้น |
๑๐๖. ฝึกจิตให้หมั่นดูกายไว้เสมอ เพราะจิตถูกกิเลสมารมันหลอกมานานจนชิน จงใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการเกิดมีร่างกาย |
๑๐๗. อย่าฝืนธรรม อย่าฝืนโลก แล้วจิตจักเป็นสุข โดยการยอมรับนับถือกฎของกรรม กฎของธรรมดาของขันธ์ ๕ ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมดาทั้งสิ้น |
๑๐๘. อย่าให้อารมณ์มันหลอกเรา คนอื่นหลอกเรา ไม่ร้ายแรงเท่ากับอารมณ์จิตของเรา.. หลอกเราเอง |
๑๐๙. บุคคลผู้ยังเกาะติดร่างกาย ต่างก็เป็นผู้น่าสงสาร เพราะมีอารมณ์หลง.. วนอยู่ในความทุกข์ |
๑๑๐. อย่าติดอดีต และอนาคตธรรม จิตจักไม่เป็นสุข พยายามอยู่ในธรรมปัจจุบันให้มาก |
๑๑๑. อย่ามองใครว่าผิดหรือถูก อย่ามองใครว่าชั่วหรือดี จงมองให้ทะลุถึงกฎของกรรมทั้ง ๓ กรรมใดใครก่อ.. ผลแห่งกรรมนั้นย่อมตกอยู่แก่บุคคลนั้น |
๑๑๒. โลกทั้งโลก ไม่มีอะไรสุข มีแต่ทุกข์ นี่คืออริยสัจ |
๑๑๓. หากอยากเป็นคนฉลาด ก็จงอย่าทิ้งอริยสัจ หรือกฎของกรรม |
๑๑๔. ตำหนิกรรมเข้าเมื่อใด อุปาทานจักเกิดขึ้นเมื่อนั้น อคติ ๔ เกิด.. เป็นการไม่เคารพกฎของกรรม ไม่เคารพอริยสัจ |
๑๑๕. เมื่อเข้าใจกฎของกรรม ก็จักเมตตา-กรุณา รักและสงสารจิตของเราที่โง่มานาน ที่ชอบทำร้ายจิตตนเอง |
๑๑๖. อย่าเข้าใกล้ หรือข้องแวะกับความชั่วความเลวของใคร ซึ่งไม่ต่างกับเอาใบตองไปห่อสุนัขเน่า ขึ้นชื่อว่าสุนัขเน่า ใคร ๆ เขาก็ไม่อยากเข้าใกล้ |
๑๑๗. อารมณ์ฟุ้งซ่านคือ อารมณ์ลิงติดตัง ยิ่งดิ้น ยิ่งรัดตัวเอง ยิ่งเพิ่มทุกข์ให้ตนเอง |
๑๑๘. พระจะสงเคราะห์เราได้ ต่อเมื่อเราระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านได้ก่อน ด้วยอานาปาฯ , คำภาวนา , จิตจับภาพพระ |
๑๑๙. ใช้ทุกข์ให้เป็นประโยชน์ จักได้เข้าถึงอริยสัจกันจริง ๆ คนโง่เท่านั้น ที่เห็นทุกข์แล้วกอดทุกข์ คนฉลาดตามกำหนดรู้ทุกข์ เพื่อเข้าถึงอริยสัจ แล้วปล่อยวางทุกข์.. ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ |
๑๒๐. ในทุกข์ตัวเดียวกันนี้แหละ จักพ้นทุกข์ก็ได้ จักจมทุกข์ก็ได้ คนไม่รู้จักตัณหา ก็พ้นตัณหาไม่ได้ คนไม่รู้จักทุกข์ ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:44 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.