กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3131)

เถรี 17-01-2012 10:35

บางอย่างเขาเถียงกันมาตั้งแต่เทวดา พรหม ลงมาถึงมนุษย์ เป็นพัน ๆ ปีก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ อย่างเช่นมงคลสูตร จนพระพุทธเจ้าต้องมาตัดสินให้

ในเรื่องหลักของการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เอื้อต่อความหลุดพ้นท่านเรียกว่า ธรรมที่เนิ่นช้า คือทำให้เราช้าลง เสียเวลาเปล่า ๆ มัวแต่ไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เกิดกิเลสมาก็ยิ่งร้อยรัดทำให้เราติดหนักเข้าไปอีก

บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในสมัยก่อน มีอยู่ ๖๒ สำนัก แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง อย่างเช่น ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฏบุตร เป็นต้น

ตอนแรกอาตมาก็ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้สอนคนให้หลงผิดชัด ๆ แล้วทำไมคนถึงได้เชื่อขนาดนั้น ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้วถึงได้รู้

๑๘ สำนักแรกเขาจัดอยู่ในพวกปุพพันตกัปปิกทิฐิ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติย้อนหลังได้ตั้งแต่ ๑ แสนชาติ ๑ กัป ๑๐ กัป ๒๐ กัป ๓๐ กัป ๔๐ กัป ท่านก็เลยยืนยันว่าเรื่องของการเกิดการตายนั้นมี คนที่เก่งถึงขนาดระลึกชาติได้ ความสามารถเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กแล้ว คนจึงให้ความเคารพนับถือท่านมาก

อีก ๔๔ สำนักเป็นพวกอปรันตกัปปิกทิฐิ เป็นพวกเห็นอนาคต ถึงได้บัญญัติทิฐิของท่านขึ้นมา บางคนก็บอกว่าตายแล้วไม่สูญ บางคนก็บอกว่าตายแล้วสูญ บางคนก็บอกว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง แล้วแต่ว่าเขาเห็นไปถึงรูปพรหมหรืออรูปพรหม บางคนก็เคยเกิดทั้งรูปพรหมอรูปพรหมก็เหมาว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง ยุ่งไปหมด ดังนั้น..สมัยก่อนจริง ๆ แล้วคนเขามีความสามารถ ในเมื่อเขามีความสามารถถึงได้มีคนตามเชื่อศรัทธากันจนขนาดนั้น

เถรี 17-01-2012 10:42

แม้กระทั่งศาสนาเชนที่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของศาสนาพุทธ ศาสดามหาวีระก็เป็นต้นบัญญัติของศีล ๕ มาก่อน เป็นต้นบัญญัติของการฟังธรรมวันพระ เป็นต้นบัญญัติของการจำพรรษาในฤดูฝน เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วคนสมัยนั้นเขาเก่ง เพียงแต่ว่าเขาหาเพชรยอดมงกุฏคืออริยสัจไม่เจอ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าศึกษาตามพวกเขาจนถึงสมาบัติ ๘ เลยนะ ท่านเหล่านั้นเก่งขนาดไหนล่ะ ? พวกเราได้สักเสี้ยวหนึ่งไหม ?

ถ้าไม่ได้ปัญญาขนาดพระพุทธเจ้าก็จะไม่เห็นว่านั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เขาเองเห็นว่าการที่ได้ไปอยู่กับปรมาตมัน ก็คือพระผู้เป็นใหญ่ ถือว่าเป็นที่สุดของเขาแล้ว เป็นโมกษะคือความหลุดพ้นแล้ว แต่พระพุทธเจ้าท่านมั่นใจว่าไม่พ้น

แม้กระทั่งท้าวพกพรหมที่จุติแล้วเป็นพรหม จุติแล้วเป็นพรหมไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพราะท่านสร้างบุญไว้เยอะ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปที่อื่นสักที ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นอมตะแล้ว แต่ความจริง แล้วเกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ตลอด แต่ตนเองไม่ได้สังเกตว่านี่เป็นการตายแล้วเกิดใหม่

จนกระทั่งพอแข่งกัน พระพุทธเจ้าท่านแสดงอายตนะนิพพาน คือความละเอียดที่เหนือกว่าพรหม ยืนอยู่ตรงหน้าแต่ท้าวพกพรหมมองไม่เห็น ท่านถึงจะยอมรับ ส่วนท้าวพกพรหมไม่ว่าจะไปหลบไปซ่อนอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพ้นสายพระเนตรได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิฐิของท่านได้

ดังนั้น..ถกเถียงไปก็เสียเวลาเปล่า สมัยก่อนเขาเถียงกันไม่รู้จบ จนกระทั่งปัจจุบันนี้แม้กระทั่งสายวัชรยานก็มีตรรกวิภาษณ์ คือการถกเถียงในเรื่องของหัวข้อธรรมต่าง ๆ ในลักษณะเอาชนะกัน ตั้งหัวข้อธรรมขึ้นมา แล้วก็หาเหตุหาผลมาว่าของใครเหนือกว่า

โดยเฉพาะทางด้านทิเบต บางทีเราจะเห็นพวกนักท่องเที่ยวเขาถ่ายภาพมาให้ มีอาการเหมือนจะลงไม้ลงมือกัน เถียงกันดังลั่นเลย เราก็นึกว่าเขาตีกัน ไม่ใช่หรอก..เขากำลังโต้วาที ถามว่าดีไหม ? ก็ดี..เพื่อให้เกิดความแตกฉานในธรรม แต่เป็นการแตกฉานในจินตมยปัญญา ขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือสภาพจิตไม่ได้เห็นธรรมที่แท้จริง

เถรี 17-01-2012 11:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ถ้าถึงปีใหม่จะอัญเชิญมาที่บ้านวิริยบารมีครั้งหนึ่ง ส่วนที่วัดอาตมาจะอัญเชิญออกมาให้บูชา ๓ ครั้ง คือ มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา นอกนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหรอก

แรก ๆ อาตมาเอาไว้ที่สำนักงาน นานเข้าแล้วทองคำมากขึ้น ๆ ทีนี้พวกเด็ก ๆ เขาเข้าไปทำความสะอาดให้บ่อย อาตมาเองไว้ใจเขา แต่พวกเขาไม่ไว้ใจตัวเอง บอกว่า "หลวงพ่อเก็บไปเถอะ" (หัวเราะ) เรื่องของกิเลส ถ้าไม่มีโอกาสบางทีความโลภก็ไม่เกิด

สมัยอาตมาอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสอนให้ล็อกห้องทุกครั้งที่ออกมา ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเราไม่เปิดโอกาส คนเขาไม่เกิดความอยากได้ ก็จะไม่ขโมย ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้เขา เขาเห็นของที่ชอบใจก็จะเกิดการขโมย หยิบของเอาไปโดยไม่ได้บอกกล่าว"

เถรี 17-01-2012 12:01

ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)....แล้วจะป้องกันอย่างไรครับ?
ตอบ : ไม่ต้องป้องกัน ถ้าหากว่าวาระกรรมมาถึง อยู่ในมุ้งก็ตายได้ เรื่องนี้เหลือเชื่อจริง ๆ ตอนอาตมาเด็ก ๆ มีอาเจ็กข้างบ้านคนหนึ่งเป็นหมอดู ใคร ๆ ก็บอกว่าแม่นจริง ๆ แล้วอาเจ็กดูให้เพื่อน บอกว่าพรุ่งนี้เอ็งจะตายก่อนเที่ยง เพื่อนก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมออกไปไหน ดูซิว่าจะตายหรือเปล่า ?

เช้าขึ้นมาเมียหุงข้าวให้กิน แล้วก็ไปนอนเขลงอยู่ในมุ้ง พอเวลาใกล้เพล แม่ไก่ออกไข่แล้วก็บินขึ้นไปกระต๊ากอยู่บนขื่อ บนขื่อเขาวางแหลนเอาไว้ แม่ไก่เหยียบปลายแหลนกระดก พุ่งเสียบกลางอกพอดี ตายคามุ้งเลย ขนาดนอนอยู่ในมุ้งยังตาย

จะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมจะหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้น แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือ เขาทายแม่นขนาดนั้น บอกเวลาได้เลยนะ ก่อนเที่ยงตายแน่..!

ถาม : เป็นเรื่องของทิพจักขุญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นทางโหรศาสตร์ก็เกิดจากความชำนาญ แต่อาเจ็กดูจากลักษณะโหงวเฮ้ง ก็ถือเป็นโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง เพราะว่าโหงวเฮ้งเกิดจากบุญจากกรรมของคน แล้วแสดงออกซึ่งทางใบหน้าและร่างกาย แต่เป็นเรื่องของทิพจักขุญานหรือเปล่าก็ต้องไปถามแกอีกที แต่ตอนนี้ก็ไม่มีให้ถามแล้ว ตายไปตั้งนานแล้ว

อาตมาเคยไปขอเรียนวิชาแล้วแกก็ไม่ยอมสอน เพราะบางอย่างที่อาตมาต้องการเรียน เป็นประเภทใช้ขู่กรรโชกคนอื่นได้ ประเภทดูโหงวเฮ้งแล้วรู้ว่าเขามีความลับอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มีความลับนั้นเครียด..กังวล เลยแสดงออกทางใบหน้า

เถรี 17-01-2012 12:28

จะว่าไปแล้ว ผู้มีความสามารถก็มีอยู่ในทุกชาติทุกภาษา แต่ว่าตำราโหงวเฮ้งของจีน เท่าที่อาตมาทดลองใช้ดู จะแม่นสำหรับชาวเอเชีย ใช้กับชาวยุโรปจะไม่ค่อยแม่น อาจจะเป็นเพราะอยู่คนละซีกโลกกัน ลักษณะโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน จึงทำให้ดูไม่แม่น แต่ถ้าเป็นคนเอเชียก็ตรงตามตำรา

อย่างพระโหราธิบดีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชลุกขึ้นล้างพระพักตร์ตอนเช้า พอดีหนูตกจากขื่อลงมา พระองค์ก็เอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ ให้มหาดเล็กวิ่งไปตามพระโหราธิบดีมา แล้วก็ถามว่าในขันนี้คืออะไร ?

พระโหราธิบดีก็ถามวันเวลาที่พระองค์ครอบขันลงไป ลงตัวเลขขีดเขียนเสร็จเรียบร้อยทูลว่า "สัตว์ ๔ เท้าพระเจ้าข้า" "เออ..แม่นดีท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?" พระโหราธิบดีบอกว่า "มี ๕ ตัวพระเจ้าข้า" พระองค์ท่านตรัสว่า "ครั้งนี้ท่าจะเหลวแล้วนะท่านอาจารย์ เพราะมีแค่ตัวเดียว"

พระโหราธิบดีกราบทูลว่า "ถ้าไม่ใช่ ๕ ตัว ยินดีถวายหัวพระเจ้าข้า" เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ พอเปิดขันขึ้นมา มี ๕ ตัวพอดี เพราะว่าหนูที่ตกลงมานั้นเป็นแม่หนู ตอนโดนขันครอบอยู่ก็คลอดลูกมา ๔ ตัว กลายเป็น ๕ ตัวพอดี เขาแม่นขนาดนั้น แสดงว่าความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เรียกว่า สมกับที่เป็นปุโรหิตาจารย์ประจำพระองค์

เถรี 17-01-2012 13:59

แบบเดียวกับประเทศจีนสมัยพระเจ้าโจวเจาอ๋อง แห่งราชวงศ์โจว อยู่ ๆ ก็มีแสงสว่าง ๕ สี พุ่งมาทางทิศตะวันตก น้ำขึ้นในช่วงน้ำลง แหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำเต็มเปี่ยมขอบทุกแห่ง และเกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าโจวเจาอ๋องจึงเรียกปุโรหิตมาถาม ปุโรหิตบอกว่า ทางทิศตะวันตกมีบุคคลผู้เป็นสุดยอดอัจฉริยบุรุษได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าโจวเจาอ๋องถามว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นไหม ? ปุโรหิตบอกว่าอีก ๘๐ ปีข้างหน้าอัจฉริยบุรุษผู้นี้จะสิ้นชีวิต แต่ถัดจากนั้นแล้วอีก ๙๒๐ ปีข้างหน้า สิ่งที่ท่านบรรลุธรรมจะมาถึงบ้านเรา รวมแล้ว ๑,๐๐๐ ปีพอดี

คราวนี้ประเทศจีนเขาขยันบันทึก เขาก็บันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ เวลาผ่านไปอีก ๘๐ ปีให้หลัง ยุคของกษัตริย์โจวมู่อ๋อง อยู่ ๆ ก็มีรัศมีสีรุ้งสาดมาถึง แผ่นดินไหวและพายุพัดจัด จึงเรียกปุโรหิตาจารย์มาถาม ท่านบอกว่ากายหยาบของอัจฉริยบุรุษท่านหนึ่งกำลังแตกดับ ระยะเวลาตรงกับที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเลย ตรงนี้มีบันทึกเอาไว้ พวกบรรดาปุโรหิต ราชครูก็ศึกษากันต่อ ๆ มา

จนกระทั่งมาถึงยุคของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ เวลาผ่านไปครบ ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านฝันเห็นชายผู้มีร่างกายเป็นทองคำใหญ่โตมโหฬารมาก มีรัศมีสีทองสว่างรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เดินเข้ามาหา พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ถามปุโรหิตาจารย์ว่า นิมิตนี้หมายถึงอะไร ? ปุโรหิตบอกว่า ธรรมะของอัจฉริยะบุรุษที่มีบันทึกเมื่อพันปีก่อน ได้เวลาที่จะมาถึงเมืองจีนแล้ว สืบเนื่องกันมากี่รุ่นแล้ว ตั้ง ๑,๐๐๐ ปี..!

แสดงว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมีอยู่ในทุกยุคสมัย เพียงแต่ว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาในจุดที่เป็นประวัติศาสตร์หรือเปล่า ? ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็จะมีการบันทึก พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ก็ส่งราชทูตไป พอดีเจอคณะของพระกาศยปมาตังคะกับพระธรรมรักษิตะ กำลังนำเอาพระพุทธรูปและคัมภีร์พระธรรมเดินทางเข้ามาสู่เมืองจีน ก็เลยรับตัวมา

ด้วยความที่คนจีนขยันจดบันทึก เขาจึงสามารถสืบประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี เพราะเขาบันทึกกันมาตั้งแต่อดีต ส่วนของเราพวกคลังสมองส่วนนี้ยังไม่ค่อยมี ใช้วิธีมุขปาฐะ จำแล้วก็บอกเล่าต่อ ๆ กันมา

เถรี 17-01-2012 14:02

ถาม : ใช่พระถังซำจั๋งหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระถังซำจั๋งนั่นมาสมัยพระถังไท่จงฮ่องเต้แล้ว

สมัยพระถังซำจั๋งบ้านเมืองเกิดสงครามกันมาหลายยุคหลายสมัย หลักธรรมกระพร่องกระแพร่งไปหมด ใครฉวยตรงส่วนไหนได้ก็ไปทางด้านนั้น เมื่อพระธรรมไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การศึกษาก็ไม่ทั่วถึง พระถังซำจั๋งจึงทูลขออนุญาตไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย เพื่อที่จะเอาหลักธรรมที่สมบูรณ์กลับคืนมา ก็หมายความว่าพระพุทธศาสนายุคนั้นเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั่งเสื่อมแล้ว เสร็จแล้วก็รุ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพระถังซำจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา

เถรี 17-01-2012 16:14

ถาม : ทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีภรรยาได้ ?
ตอบ :เราไม่เข้าใจสภาพบ้านเมืองเขาและไม่ได้คุยกับเขา เราจึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกมีเมีย พออาตมาไปคุยกับพระญี่ปุ่นแล้วจึงเข้าใจสภาพสังคมยุคนั้น

ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นพอเจริญรุ่งเรืองมาระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ยุคเจ้าผู้ครองนครหรือที่เขาเรียกว่าไดเมียว มีพวกบรรดาโชกุนต่าง ๆ เป็นเหมือนกษัตริย์ ในยุคนั้นบรรดาเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ก็รบทัพจับศึกกันตลอดเวลา บ้านเมืองไม่สงบ พระจะออกไปเผยแผ่ธรรมก็ไม่ได้ พอเดินทางไปเผยแผ่ธรรมก็โดนจับโดนฆ่า เพราะเขาหาว่าเป็นจารบุรุษปลอมตัวมา

ท่านก็เลยมีแนวคิดว่า ถ้าเราไม่สามารถเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ได้ ก็ต้องปักหลักอยู่กับที่ การปักหลักอยู่กับที่ในสภาพบ้านเมืองอย่างนี้ก็ไม่มีคนเข้ามาหาหลักธรรม จึงเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า ถ้าตัวเองมีครอบครัวอย่างน้อยก็สามารถที่จะสอนภรรยาตัวเองได้ ถ้ามีลูกจะได้สอนลูกตัวเองได้ ถ้าพ่อแม่ตัวเองหรือพ่อตาแม่ยายฟังด้วยก็จะได้เพิ่มขึ้นอีก ก็เลยเปลี่ยนมามีครอบครัวแทน เพื่อที่จะเผยแผ่และรักษาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไว้

เถรี 17-01-2012 16:25

ในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเราเห็นพระญี่ปุ่นบางทีก็คิดว่าเป็นคนธรรมดา เพราะเขามีแค่แถบแสดงสัญลักษณ์อยู่ที่คอเสื้อเท่านั้นเอง ยกเว้นว่ามีพิธีทางศาสนาเต็มรูปแบบจึงจะเอาชุดมาใส่

ทำให้นึกถึงอันตรธานปริวรรต ปฐมสมโพธิกถา ตรงจุดที่ว่าลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญไปของเพศพระภิกษุ ที่ว่าพอนานไปเพศของพระภิกษุจะเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู หรือว่าผ้าเหลืองพันข้อมือ เพื่อแสดงเพศภาวะว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น สามารถทำมาหากินได้อย่างฆราวาส

พระของญี่ปุ่นน่าจะถึงยุคนั้นแล้ว มาเร็วเหลือเกิน เพราะว่าตอนนี้เครื่องหมายของเขาเหลือหน่อยเดียวตรงแถบที่คอเสื้อเท่านั้น แต่ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประหลาดที่สุด หลาย ๆ ศาสนาเขาอยู่รวมกันได้ คนญี่ปุ่นเกิดมาก็ไปทำพิธีรับแบบศาสนาชินโต แต่งงานก็แต่งแบบศาสนาคริสต์ พอตายก็ทำศพแบบศาสนาพุทธ ก็แปลว่าศาสนาอะไรถ้าเข้าไปข้างในนั้นก็โดนกลืนหมด

เถรี 17-01-2012 16:32

ไม่รู้ว่ารุ่นน้องปีนี้เขาจะได้ไปดูงานกันที่ไหน อาจารย์ท่านอยากให้ไปประเทศศรีลังกา เพราะว่าพระสงฆ์ในศรีลังกามีบทบาทมากเป็นพิเศษ เล่นการเมืองได้ เป็นส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้

จริง ๆ แล้วเรื่องของทางโลกต้องให้คนที่เขามีกิเลสไปตีกัน ไม่ใช่เรื่องของพระที่จะไปยุ่งกับเขา จำไว้ว่าถ้าทำผิดหน้าที่พระเมื่อไร ความเคารพเลื่อมใสของคนจะน้อยลง ไม่เห็นหรือว่านักการเมืองจะดีแค่ไหนก็ตาม พอเข้าไปก็โดนเขาถลกหนังทุกราย จนเขาบอกว่า "ถ้าคุณไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ให้ไปสมัครเล่นการเมือง เดี๋ยวก็มีคนขุดคุ้ยประวัติให้เอง"

เถรี 18-01-2012 10:03

ถาม : ทำไมคนพม่าถึงนิยมสร้างเจดีย์คะ ? สร้างด้วยจิตที่เป็นกุศล หรือว่าสร้างแข่งดีกัน ?
ตอบ : ดูแล้วน่าจะมี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ คำว่าเจดีย์ มาจากภาษาบาลีว่า เจติยะ คือ เครื่องยังความระลึกถึง โดยเฉพาะนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ เมื่อสร้างเจดีย์แล้วก็จะสร้างพระประธานด้วย บางทีก็จารึกพระธรรมบรรจุไว้ด้วย ก็เท่ากับว่าเป็นทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ ถ้าพระสงฆ์นำสร้างก็ได้สังฆานุสติอีกด้วย ทำแล้วจึงได้บุญมากเป็นพิเศษ

ประการที่สองคือ เราจะเห็นความใจกว้างของผู้นำสมัยนั้นว่า ท่านไม่หวงอำนาจ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมกันสร้างบุญ ใครมีความสามารถเท่าไรทำไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วในสมัยนั้น การที่เราไปสร้างแข่งดีแบบนั้น ท่านอาจจะถือว่าตั้งใจจะเป็นขบถ คิดการใหญ่ เพราะว่าเจดีย์มหึมาแต่ละหลัง ถ้าไม่ใช้กำลังคนมากก็สร้างไม่ได้หรอก เมื่อมีกำลังคนมาก อาจจะคิดขบถก็ได้

อย่างที่พระเจดีย์โลกนันดา มีสระน้ำใหญ่อยู่ อาตมาพิจารณาอยู่ตั้งนานว่า เขาต้องการน้ำใช้ขนาดนั้นเชียวหรือ ? กลายเป็นว่าไม่ใช่หรอก เขาขุดดินมาปั้นอิฐจนกลายเป็นสระน้ำขนาดมหึมาไปเองต่างหาก

ที่พุกามที่มีสภาพเป็นกึ่ง ๆ ทะเลทรายก็เพราะเรื่องการสร้างเจดีย์นี่แหละ ขุดดินมาปั้นอิฐจนหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์หมดไป แถมยังตัดต้นไม้มาเผาอิฐอีก แล้วจะเหลืออะไรล่ะ ? จะปลูกต้นไม้ใหม่ก็ไม่ขึ้น เพราะหน้าดินที่เป็นปุ๋ยไม่มี สรุปแล้วกลายเป็นสภาพกึ่งทะเลทรายไปทั้งเมือง ไปพม่าแล้วถ้ารู้จักดู รู้จักมอง รู้จักคิด เราจะเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก

เถรี 18-01-2012 10:17

อาตมาไปประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อก่อนนับถือพระพุทธศาสนา แผ่นดินพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังโดนอิสลามเบียดจนไม่เหลือ เหลือเชื่อจริง ๆ

เรื่องของศาสนาสำคัญตรงผู้นำประเทศ ผู้นำประเทศถือศาสนาอะไร ก็มักจะบีบบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนานั้นตามไปด้วย อย่างที่นั่นระเด่นปาทาแย่งชิงราชสมบัติไปได้ แล้วไม่นับถือศาสนาพุทธแบบพี่ชาย ไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาว่าชายาของท่านเป็นอิสลาม ก็เลยยุสามีให้ถืออิสลามไปด้วย ในเมื่อผู้นำถืออิสลามแล้วขึ้นปกครองประเทศ ก็เลยบังคับชาวบ้านให้ถืออิสลามตามกันไปหมด

แบบเดียวกับพุทธศาสนาในอินเดียที่เจริญมากไม่ได้ เพราะผู้ปกครองเป็นพราหมณ์หรือฮินดู ที่ประเทศอินเดียถึงคุณนับถือศาสนาพุทธก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะว่าตอนช่วง ๒,๕๐๐ ปีพุทธชยันตี ดร.เอมเบ็ดการ์นำพวกวรรณะศูทรห้าแสนคนปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ฟังดูแล้วเป็นจำนวนมากมโหฬาร แต่ที่ไหนได้ ไปเปรียบกับประชากรยุคนั้น ๙ ร้อยล้านคน สมัยนี้พันกว่าล้านคนแล้ว เท่ากับน้ำหยดเดียวในทะเลทราย

เนื่องจากความถือชั้นวรรณะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของอินเดียแล้ว พอวรรณะต่ำถือศาสนาพุทธ พวกวรรณะสูงก็เลยไม่นับถือด้วย เพราะไม่อยากจะไปปนกับวรรณะต่ำให้เสนียดกาลกิณีมาติดตัวเอง ศาสนาพุทธก็เลยกลายเป็นศาสนาของชนชั้นต่ำไป ชนชั้นสูงก็ถือพราหมณ์ฮินดูหรือถือคริสต์

เถรี 18-01-2012 10:23

เมื่อเป็นดังนั้นในอินเดียศาสนาพุทธจึงเจริญยาก ถ้าเรามาคิดดู จริง ๆ แล้วสิ่งที่ ดร.เอมเบ็ดการ์ทำ น่าจะดีกับศาสนาพุทธในระยะยาว เพราะว่าพวกวรรณะต่ำมีมากเป็นพิเศษ พอโดนเขาข่มเหงรังแก เกิดความทุกข์มาก ๆ เข้า ก็จะหันมายึดศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง แม้ว่าจะช้าหน่อย แต่ว่าท้ายสุดประชากรโลกที่เป็นพุทธศาสนิกชนน่าจะมากขึ้น

ปัจจุบันนี้ต่อให้เขานับถือศาสนาพุทธ เวลานิมนต์พระเข้าไปในบ้าน เข้าไปเราจะไม่เห็นอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพุทธ พอเขาเห็นพระมาถึงจึงปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน แล้วก็เปิดตู้นิมนต์พระพุทธรูปขึ้นมา ไม่อย่างนั้นต้องเก็บซ่อนเอาไว้

ตอนนี้บางรัฐมีการรณรงค์ให้ชาวพุทธทำป้ายบ้านเลขที่ให้มีรูปธรรมจักรหรือรูปพระพุทธเจ้าติดไว้ด้วย ให้รู้ ๆ กันไปเลย แล้วก็มีกลุ่มคนที่เปลี่ยนนามสกุลให้รู้ว่าถือพุทธ อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นศากยบุตร เป็นต้น

แสดงว่าพอเทคโนโลยีของอินเดียเปิดกว้าง สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกช่องทาง ความกล้าคิดกล้าทำของคนก็มีมากขึ้น ประกาศตัวเองเป็นพุทธไม่พอ ติดบ้านเลขที่มีธรรมจักรไปเลย

ถาม : ที่ศรีลังกามีธงศาสนาพุทธเป็นสี ๆ แต่ทำไมของไทยเราเป็นภาพธรรมจักร ?
ตอบ : เพราะไทยเราถือว่าธรรมจักรกัปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนา อย่างของเขาไม่เรียกว่าธงธรรมจักร เขาเรียกว่า ธงฉัพพรรณรังสี คือรัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าลังกาหรือพม่าจะใช้แบบนี้ ถ้าเห็นธงธรรมจักรให้รู้ว่าเป็นไทย ของเราแหกคอกไม่เหมือนเขา

เถรี 18-01-2012 11:04

ถาม : อนันตริยกรรมที่ว่ายุให้สงฆ์แตกกัน คนที่ยุต้องเป็นพระเท่านั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ฆราวาสก็ทำได้ ขอให้ยุให้พระแตกกันได้ก็ใช้ได้แล้ว

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็เกิดลักษณะที่คล้ายคลึงกับสังฆเภทขึ้นมา แต่ไม่ใช่สังฆเภท คือพวกเดียรถีย์เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินนับถือศาสนาพุทธ ให้การอุปถัมภ์นักบวชในพุทธศาสนามาก จึงปลอมบวชเข้ามา โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์เข้ามาเอง โดยไม่ได้ศึกษาหลักธรรมอะไร ส่วนใหญ่ก็เอาลัทธิเดิม ๆ ของตัวมาสั่งสอนชาวบ้านที่นับถือเลื่อมใส ทำให้ศาสนาพุทธสับสนปนเปมาก

เมื่อต้องไปลงอุโบสถ บรรดาพระที่ท่านบวชมาถูกต้อง ท่านก็ไม่ต้องการที่จะลงอุโบสถด้วย ก็คือไม่ลงโบสถ์ร่วมกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่ากับเป็นฆราวาส เป็นอนุปสัมบันเข้าไปอยู่ในเขตสีมาแล้ว การทำสังฆกรรมก็ไม่มีผล

พอเรื่องไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านก็ใช้ให้อำมาตย์ไปบอกให้สงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน โดยที่พระองค์ท่านไม่มีความเข้าใจว่า ผู้ที่อยู่ในแวดวงสังฆกรรมนั้นต้องมีศีลเสมอกัน เมื่ออำมาตย์ไปถึงก็ไม่เข้าใจคำสั่งเจ้านาย ใช้วิธีบังคับพระให้ลงสังฆกรรม พระที่รักศีลท่านก็ไม่ยอมลงสังฆกรรม

อำมาตย์เห็นว่าขัดคำสั่งก็ชักดาบตัดหัวเลย ศพที่ ๑ ผ่านไป หันมาชี้รูปที่ ๒ ท่านจะลงหรือไม่ลง ? พอไม่ลงก็ฟันหัวขาดไปอีกคน คราวนี้พระติสสะเถระท่านเห็น เกรงว่าจะลงนรกไปมากกว่านี้ ท่านก็เลยมานั่งอาสนะที่ ๓ พอท่านมานั่งเท่านั้น อำมาตย์เห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะท่านเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน

อำมาตย์จึงกลับไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทราบ พระเจ้าอโศกพอได้ยินก็พระทัยหายวาบ บอกว่าให้ไปขอให้พระสงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน แต่อำมาตย์ดันทำเกินเหตุ ก็เลยไปกราบขอขมาพระ ปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า โยมจะแก้ไขอย่างไรถึงจะลดกรรมนี้ได้ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่ามีวิธีเดียว คือจัดสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า ท่านจะจัดการทางด้านคณะสงฆ์เอง ว่าจะจัดผู้ใดเข้าทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ส่วนทางบ้านเมืองพระเจ้าอโศกมหาราชต้องเป็นผู้จัดการ และให้การอุปถัมภ์พระที่ทำสังคายนาด้วย พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตกลง

เถรี 18-01-2012 11:11

ก่อนที่จะทำสังคายนาก็มีการชำระพระศาสนา ประกาศให้นักบวชทั้งหมดมารวมกัน ใครเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาให้ออกมาข้างหน้า พอออกมาแล้วก็กวาดต้อนเข้าไปข้างใน ปิดประตูวัง ถามว่าใครปลอมบวชมา ? ถ้าหากว่ายอมสละผ้ากาสาวพัสตร์ออกแต่โดยดีจะไม่เอาโทษ เปิดประตูให้ออกได้ ก็มีพวกรู้ตัวรีบเผ่นกันเยอะ แต่ก็มีพวกหน้าด้านอยู่ เพราะเห็นว่าลาภผลมาก เพราะพระเจ้าแผ่นดินอุปถัมภ์ทุกวัน จึงไม่ยอมไป

พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร ? ท่านทูลว่า ให้ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศานาจริงต้องตอบได้ สรุปว่าครั้งนั้นโดนประหารไปประมาณ ๒-๓ หมื่นคน..! ขนาดไปก่อนหน้านั้นเป็นครึ่ง ๆ แล้วนะ

เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชออกรบครั้งหนึ่ง ท่านจัดการไป ๒-๓ แสนศพ เสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งสลดใจว่าต้องฆ่าเขามากขนาดนี้ พอดีไปเจอนิโครธสามเณรแนะนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้ พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา เปลี่ยนจากยุทธวิชัยมาเป็นธรรมยุทธแทน จะไม่ชนะด้วยการรบแต่เอาชนะด้วยธรรม

พระองค์จึงให้การคุ้มครองอุปถัมภ์ค้ำชูแก่ประเทศเล็กกว่า อ่อนแอกว่า พอพระองค์ท่านมีแสนยานุภาพมากและให้การปกป้องคุ้มครองลักษณะนั้น เมืองอื่นเห็นว่าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกัน ก็ยอมมาเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี นั่นฝีมือสามเณรตัวนิดเดียวแนะนำให้

เถรี 18-01-2012 11:16

พระองค์ท่านเห็นประโยชน์ จึงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธเป็นการใหญ่ งานนั้นก็เลยมีการสังคายนาพระธรรมวินัยอยู่ ๙ เดือน พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ รวบรวมพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๐ รูป ทำการสังคายนาอยู่ ๙ เดือน แล้วก็ทูลให้คำแนะนำว่า ควรที่จะส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ในแคว้นต่าง ๆ เพื่อที่พระธรรมวินัยจะได้กว้างไกลออกไป

ตรงจุดนี้เป็นจุดที่บอกว่าพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเห็นอนาคตชัดเจนเลยว่า ต่อไปศาสนาพุทธจะอยู่ในอินเดียไม่ได้ ถ้าไม่เร่งส่งออกไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวพุทธศาสนาจะสูญหมด จึงส่งออกไป ๙ สาย สายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิ

พอสายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิก็ตียาวลงไปถึงทวารวดี ศรีวิชัย ตอนนี้ศรีวิชัยกลายเป็นอาณาจักรของอิสลามไปแล้ว ยังโชคดีที่อิสลามเก่า ๆ ถือหลักศาสนาเคร่งครัด เขาถือว่าการเหยียบย่างเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นจะทำให้ตกนรก บุโรพุทโธก็เลยเหลืออยู่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้โดนระเบิดเกลี้ยงไปแล้ว

เห็นศรัทธาของศาสนิกของเขาแล้วเสียดายมาก ถ้าเลี้ยวมาถูกทางคงจะบรรลุกันนับไม่ถ้วนเลย เขาศรัทธาขนาดยอมมอบกายถวายชีวิตให้ศาสนาได้ขนาดนั้น

ถาม : แล้วเขาจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์บ้างไหม ?
ตอบ : อาตมาเจอเหมือนกัน แต่เจอในลักษณะที่เหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่ง แล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ ถือว่าหายากสุด ๆ ส่วนใหญ่ที่ไปก็คือไปสวรรค์ได้เพราะโมทนาบุญของคนอื่น ไม่ใช่ว่าทำเอง

เถรี 18-01-2012 11:18

ขอประกาศให้ทราบว่า ข้อความใดที่เกี่ยวข้องหรือพาดพิงถึงศาสนาอื่นในเว็บนี้ ไม่อนุญาตให้นำออกไปโพสต์นอกเว็บเพื่อเกิดการทุ่มเถียงใด ๆ ค่ะ

และขอความร่วมมือจากทุกท่านด้วย หากได้เคยนำข้อความจากเว็บนี้ไปโพสต์ แล้วเป็นเหตุให้เถียงทะเลาะกัน รบกวนช่วยลบออกไป เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องราว พาดพิงมาถึงพระอาจารย์ค่ะ


เถรี 18-01-2012 15:51

ถาม : ความมั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อกฎแห่งกรรม กับความไม่ประมาท แยกกันตรงไหน ?
ตอบ : แยกกันตรงความประมาท ถ้าไม่ประมาทเราก็ทำทุกอย่างเพื่อความมั่นคงในพระรัตนตรัยและความเชื่อในกฎของกรรม

เถรี 18-01-2012 16:01

ถาม : สงสัยในอสัญญีสัตตาพรหม จิตไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มีทุกอย่าง แต่สภาพจิตอยู่ในฌาน ๔ เต็มระดับก็เลยไม่รับรู้อาการภายนอก นิ่งอยู่แต่ข้างในไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าหากว่าเราดูในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พอถึงเวลาบรรดาพรหมเทวดาต่าง ๆ แซ่ซ้องสาธุการที่มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วในโลก แต่จะไม่มีอสัญญีสัตตาพรหมเพราะท่านไม่รับรู้ ถ้าหากว่าเข้าสมาธิระดับนั้นแม้แต่ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน

ถาม : ส่วนใหญ่ท่านมีพื้นฐานจาก...(ไม่ได้ยิน)..หรือกสิณครับ ?
ตอบ : จะมีพื้นฐานจากอะไรก็ตามขอให้ถึงฌาน ๔ ก็แล้วกัน
คราวนี้ท่านเองยังไม่ใช่ฌาน ๔ ละเอียด ยังเป็นฌาน ๔ หยาบอยู่ ถ้าฌาน ๔ ละเอียดกับฌานใช้งานก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง ฌาน ๔ ละเอียดก็จะเป็นเวหัปผลาพรหม

ถาม : คนที่ได้ฌานสี่หยาบ..(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : ถ้าไม่มีพัฒนาการแล้วตายช่วงนั้น ถ้าเราได้แล้วพยายามพัฒนาตัวเองจนเป็นฌาน ๔ ละเอียดก็จะก้าวข้ามตรงจุดนั้นไป

ถาม : ไม่ใช่ว่าได้ฌานสี่แล้วปรารถนาไม่ขอมีนาม ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน

ถาม : ....(ไม่ได้ยิน).....เขาบอกว่าจิตดับไปเลย
ตอบ : ทำให้ถึงจะได้คำตอบที่ชัดที่สุด สภาพจิตที่สนใจจดจ่ออยู่เฉพาะที่ ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้เรื่องอื่น

หลักการปฏิบัติต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เอามาคุยกันเท่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องทำให้ถึง จึงจะหมดสงสัย ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ถาม ๆ อยู่ร่ำไป

เถรี 18-01-2012 16:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อให้มีของใหม่อยู่ แต่ถ้าของเก่ายังอยู่อาตมาก็ไม่ใช้ของใหม่ ตอนไปเรียนเพื่อนพระด้วยกันเขาบอกว่า "เดี๋ยวผมถวายจีวรใหม่ให้ชุดหนึ่ง" เขาเห็นว่าจีวรเก่า อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องหรอก ผมมีเยอะกว่าคุณอีก" (หัวเราะ)

บริขารต่าง ๆ ปัจจุบันเป็นของหาง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องหาผ้ามาซัก มาเย็บ มาย้อม เพื่อทำเป็นจีวร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหาง่ายแล้วจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัดมัธยัสถ์เหมือนเดิม ถ้าขืนไปฟุ่มเฟือยก็ผิดหลักโภชเนมัตตัญญุตา เราจะสรุปว่าโภชเนมัตตัญญุตารู้ประมาณในการกินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ประมาณในการอุปโภคและบริโภค คือทั้งกินและใช้"

เถรี 18-01-2012 16:23

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เส้นเลือดแตกยังไม่น่ากลัว เส้นเลือดเปราะน่ากลัวกว่า บางคนโดนนิดโดนหน่อยก็ช้ำเลือดใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอาหารการกินแทบทั้งนั้น ใครที่กินพวกไขมันอิ่มตัวมากก็อาการหนักกว่าเขาหน่อย

โดยเฉพาะสมัยนี้อาหารตะวันตกเข้ามาเยอะ บ้านเขาต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเพื่อสู้กับความหนาว บ้านเราเป็นเมืองร้อนแต่ไปกินอาหารของคนเมืองหนาว ก็เกิดผล ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรก คืออ้วนง่ายเพราะกินแล้วไม่ได้ไปใช้ เก็บหมด อย่างที่สองคือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มีมากขึ้น ถึงเวลาก็มีไขมันในเลือด มีเส้นเลือดอุดตัน

และโรคน่าเกลียดน่าชังที่เพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คือ ไขมันพอกตับ ทำเป็นไก่ไปได้ มีไขมันพอกตับ..!

เถรี 19-01-2012 10:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีปัญหาที่วัดหนองบ้านเก่า เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่าจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สึก ท่านสึกแบบพระที่เป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือสึกอย่างเดียว เงินทองไม่ได้เอาไป ก็เลยมีปัญหาตรงที่ว่า บรรดากรรมการวัดอยากได้เงินก้อนนั้น (จำนวนเกือบ ๒ ล้านบาท)

ตอนแรกหลวงพ่อสมคิดก็มาขอพระครูบ่าวไปเป็นเจ้าอาวาส พระครูบ่าวได้ยินก็เครียด ความดันขึ้นเลย เพราะเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทก็จะแย่อยู่แล้ว ไป ๆ มา ๆ ทางกรรมการเขาก็ผลักดันพระในวัดที่เพิ่งจะ ๔ พรรษาขึ้นไปรักษาการณ์เจ้าอาวาส เพื่อจะได้ควบคุมได้

หลวงพ่อสมคิดเห็นท่าไม่ดีก็เลยใช้อำนาจทางกฎหมาย ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลปกครองเขตนั้นอยู่ จึงอายัดบัญชีเงินไว้ พวกกรรมการวัดก็มาคุ้ยแคะแกะเกา สารพัดที่จะเกลี้ยกล่อมทุกอย่าง หลวงพ่อสมคิดไม่เอาด้วยอย่างเดียว ท้ายสุดพวกกรรมการวัดก็เลยหันไปบีบว่าที่เจ้าอาวาสให้เป็นคนไปเบิก อ้างว่าจะทำนั่นทำนี่ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างเจ้าอาวาสเก่าเขาทำไว้หมดแล้ว ถ้าปิดทองฝังลูกนิมิตก็แสดงว่าโบสถ์เสร็จแล้ว ของยากที่สุดก็เสร็จแล้ว ที่เหลือยังต้องไปทำอะไรอีก ?

ว่าที่เจ้าอาวาสทนกรรมการวัดไม่ไหว จึงหนีออกจากวัดไป หลวงพ่อสมคิดก็เลยโทรศัพท์มาปรึกษากับอาตมา ว่าจะขอตัวพระครูบ่าวอีกครั้งหนึ่ง อาตมาได้ยินแล้วก็ขำ ครั้งแรกพระครูบ่าวก็ความดันขึ้นแล้ว นั่นแค่คาดว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาสนะ ถ้าต้องเป็นเจ้าอาวาสแน่ ๆ ดีไม่ดีเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกตายไปเลย..!

อาตมาก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน พระครูบ่าวดูท่าจะไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี มีพระครูหน่อยอีกรูปหนึ่ง แต่ว่าท่านติดเรียนอยู่ หากจะไปบริหารอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ในระยะแรก ตอนนี้มีตัวสำรองอยู่ก็คือหลวงพี่ใหม่"

เถรี 19-01-2012 10:30

"หลวงพี่ใหม่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทรงเมตตาวนารามที่ชลบุรี ท่านเบื่อสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับชาวบ้านก็เลยลาออก ไป ๆ มา ๆ ท่านก็มาอยู่แถวนั้น และสนิทกับมหาโรจน์ จึงบอกว่าให้ติดต่อมหาโรจน์ให้บอกหลวงพี่ใหม่ที อาจารย์เล็กขอร้องให้มาเป็นเจ้าอาวาสทีเถอะ อย่างไรถ้าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ทางนี้ผมค่อยส่งพระครูหน่อยไปให้ ก็เลยตกลงกันตามนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยกันไปถึงไหนแล้ว ?

คนลาออกจากเจ้าอาวาสด้วยความเบื่อหน่าย แล้วให้ไปเป็นเจ้าอาวาสอีกก็คงจะยากนะ ได้แต่หวังว่าเขาคงจะเกรงใจอาตมาแล้วกัดฟันรับเอาไว้

คราวนี้โยมเห็นหรือยังว่า ปัญหาใหญ่จริง ๆ ในวัดนี่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพระ แต่เกิดจากฆราวาสที่มาทำตัวเป็นเจ้านายพระ และฆราวาสที่เขาเข้ามา ตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีอยู่ตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร เพราะกฎหมายระบุชัดไว้ว่า เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่กฎหมายคณะสงฆ์ก็ระบุไว้ชัดว่า ไวยาวัจกรมีหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ตามที่เจ้าอาวาสสั่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้ามาเพื่อเป็นพ่อเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย..!

สมัยตอนอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีที่วัดท่าซุง ท่านถึงได้สั่งไว้ว่า “ถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหนก็ตาม เวลาตั้งกรรมการวัด ให้ตั้งพระด้วยกันให้หมดเรื่องไปเลย อย่าไปตั้งฆราวาส” แต่อาตมาเป็นคนชอบมีเรื่อง มีแล้วเกิดความมันในชีวิต อยู่เฉย ๆ แล้วเซ็งตายเลย เพราะฉะนั้น..พอเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านอาจารย์สมพงษ์ ก็ไปเลาะหาชื่อกรรมการเก่า แล้วตั้งคืนไปทุกคน ถึงเวลาประชุมกรรมการ อาตมาก็ชี้แจงบัญชีเงินทุกบาททุกสตางค์ทุกกองทุนให้เขาดู มีแต่ตัวเลขติดลบ เขาเห็นแบบนั้นก็หมดอยากไปเอง

ปีนี้ก็เพิ่งจะชี้แจงบัญชีไป ติดลบแค่ ๖ ล้านกว่าบาทเท่านั้น เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะทำให้กรรมการวัดไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าอาวาสก็คือ สร้างหนี้ให้เยอะ ๆ ไว้ พอเขาเห็นว่าหาประโยชน์ไม่ได้เขาก็จะไปเอง"

เถรี 19-01-2012 10:37

"กรรมการวัดไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย นอกจากเจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยงานวัดให้สำเร็จเรียบร้อยโดยง่าย แต่ว่าส่วนใหญ่มาแล้วจะมาเป็นพ่อเป็นแม่เจ้าอาวาสกันทุกที ส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ด้วยว่ากฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าเจ้าอาวาสพ้นหน้าที่ ไวยาวัจกรและกรรมการก็พ้นหน้าที่ไปด้วย จนกว่าเจ้าอาวาสคนใหม่จะแต่งตั้งขึ้นมา ถ้าไม่เอาคนเก่าก็ซวยไปเลย

ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมานี่กรรมการวัดท่าขนุนสบายที่สุด ถึงเวลาประชุม กรรมการวัดไม่ต้องออกความเห็น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฟังอย่างเดียว...จบแล้วกลับบ้านได้ ไม่มีการบอกบุญ ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการแจกซองให้ไปทำทั้งนั้น ถ้าแจกซองเมื่อไรก็รั่วไหลเมื่อนั้น เขาคืนมาครบทุกซอง แต่ในซองเงินครบไหม ? กติกาวัดถ้าไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรนี่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย เราก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องไปทุจริต

ไวยาวัจกรที่อาตมาแต่งตั้งก็สบายมาก ไม่ต้องมีอะไรเลย นอกจากถึงปีก็เซ็นรับรองบัญชีที่อาตมาทำเองนั่นแหละ เขาเห็นตัวเลขเขาก็เซ็งแล้ว ติดลบแดงโร่ได้ทุกปี มิน่า..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก็แปลว่าถลุงให้หมดเกลี้ยงภายในปีนี้แหละ ถ้ามีเงินเหลือให้หางานใหญ่กว่าเงินทำเอาไว้เสมอ จะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา สมมติว่าเหลือเงินสัก ๑ ล้านบาท ก็หางานสัก ๓-๕ ล้านบาททำไปเลย

คราวนี้จากการที่อาตมาส่งพระที่วัดไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่น ส่วนใหญ่ไปแล้วดี ดังนั้น..ถึงเวลาเขาขาดเจ้าอาวาสที่ไหนเขาจะมาขอที่วัดท่าขนุน แม้กระทั่งบางรูปที่ลาออกจากเจ้าอาวาสกลับมาอยู่ที่วัดท่าขนุน อย่างพระครูน้อย ลาออกจากเจ้าอาวาสที่วัดคลิตี้มา ถึงเวลามีงาน คนคลิตี้เขาก็เอารถมาแห่กลับไป คุณไม่เป็นเจ้าอาวาสก็ไม่เป็นไร แต่ตอนวันงานคุณมาก็แล้วกัน เขารักของเขา

ชาวบ้านเขาบอกว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกจนถึงรูปปัจจุบัน ที่เขาเห็นมีพระครูน้อยคนเดียวที่ไปแล้วทำตามแบบของวัดท่าขนุน มีสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ดูแลรักษาทำความสะอาดวัด คนอื่นเขาปล่อยวัดรกเป็นป่า อย่างดีก็ถูกุฏิตัวเองหลังเดียว บางทีกุฏิตัวเองก็ไม่ถู ใช้ชาวบ้านถูซะอีก

เจ้าอาวาสรูปก่อน ชาวบ้านเขาไม่ต้องการ เพราะว่าไปแล้ว ถึงเวลาชาวบ้านมานิมนต์ จะขอเก็บค่ามัดจำก่อน ๕๐๐ บาท งานใหญ่งานเล็กไม่รู้ ? จ่ายมาก่อน ๕๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นไม่ไป..!"

เถรี 19-01-2012 10:45

"เขาไปลักษณะเหมือนกับโดนเจ้าคณะตำบลหลอกใช้ คือรู้ว่าความประพฤติไม่ดี แต่ถ้าตัวเองหาเจ้าอาวาสไม่ได้ก็อาจจะบกพร่อง โดนพิจารณา เขาก็เลยทำตราตั้งโดยไม่มีลายเซ็น ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นตราตั้งที่ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะไม่มีลายเซ็นเจ้าคณะตำบล โดยที่เขาบอกว่าบริหารงานให้ดีแล้วเขาจะเซ็นให้ เข้าใจแหกตามากเลย..!

พอชาวบ้านเขาไม่เอา เขาก็มาขอพระจากอาตมาไป อาตมาจึงส่งพระครูน้อยไป ทางด้านนั้นก็ไม่ยอม..ประท้วง “ผมจะรวมชาวบ้านมาขับไล่” อาตมาบอกว่า “ดี..รีบไปรวมมา” พอชาวบ้านมากันครบ อาตมาก็ประกาศบอกผู้ใหญ่บ้านว่า “เอ้าโยม..ลงคะแนนมา จะเอาเจ้าอาวาสใหม่หรือจะเอาเจ้าอาวาสเก่า” ปรากฏว่าทุกคนเอาเจ้าอาวาสใหม่ เจ้าอาวาสเก่าจึงเฉาไปเลย

อาตมาบอกว่า "คุณไม่ได้มีอำนาจอะไรตามกฎหมายเลย เพราะตราตั้งก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง การรายงานขึ้นไปเพื่อให้ทางคณะสงฆ์รับรองให้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มี แต่เจ้าอาวาสใหม่ตราตั้งอยู่นี่ ผมเพิ่งจะเซ็นตั้งเมื่อครู่นี้เอง"

คราวนี้พอพระครูน้อยท่านอยู่ไปนาน ๆ แล้วเหนื่อย การเป็นเจ้าอาวาสนี่เหนื่อยมาก ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง โบราณท่านใช้คำว่าสมภาร (สม+ภาระ เสมอด้วยงาน) พูดง่าย ๆ ก็คือไปแบกภาระทุกอย่างในวัด ท่านก็เลยลาออก

หลังจากพระครูน้อยออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชาวบ้านยังไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอาวาสใหม่เลย ทุกคนรู้ว่ามีการแต่งตั้ง แต่เจ้าอาวาสใหม่ไม่เข้าไป เพราะทางไกลและลำบากเขาก็ไม่ไป แต่งตั้งตัวเองเอาไว้เพื่อเอาอาวุโสและกินเงินเดือนเฉย ๆ เงินเดือนเจ้าอาวาสก็แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

ก่อนหน้านี้หลายสิบปี เงินเดือนเจ้าอาวาส ๕๐๐ บาท เพิ่งจะมาขึ้นเงินเดือนเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนสมัยนั้นเจ้าคุณสามัญอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนที่ท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ เงินเดือน ๔๔๐ บาท เจ้าอาวาสได้ ๕๐๐ บาท สมเด็จพระสังฆราชเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาปรับในยุคหลังนี่เองไม่กี่ปี

มาช่วงรัฐบาลคุณทักษิณจะปรับเงินเดือนให้เจ้าอาวาส ๓,๓๐๐ บาท โดยเอาฐานแนวคิดจากการส่งคนไปนั่งกินข้าวในตลาด สรุปว่าคนหนึ่งถ้ากินแล้วอิ่มพอดี มื้อละ ๕๕ บาท พระฉัน ๒ มื้อ ๑๑๐ บาท คูณ ๓๐ ได้ ๓,๓๐๐ บาทพอดี แต่ไม่สำเร็จ เสนอเรื่องไปแล้วโดนตีหงายท้องกลับมา เขาให้แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ยังดี..งอกเพิ่มมา ๑,๐๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ ๕๐๐ บาทเท่าเดิม"

เถรี 19-01-2012 10:49

"ส่วนอาตมา ตั้งแต่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มา เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไปปีละ ๕,๐๐๐ บาท เข้ากองทุนวัดช่วยวัด ๒,๕๐๐ บาท เข้ากองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ ๒,๕๐๐ บาท จะหักเดือนมกราคมกับเดือนเมษายน ก็แปลว่าทำงาน ๑ ปีได้เงินเดือน ๑๐ เดือน ขนาดได้ทุกเดือนยังไม่พอยาขี้ฟันเลย..!

ส่วนใหญ่ที่คนอื่นเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกัน เพราะว่าเขาหวังผลประโยชน์เวลากฐินหรือผ้าป่า แต่พระสายของหลวงพ่อเรานี่ถ้าเงินมาต้องเหนื่อย เพราะไปทำให้เขาหมด พอทำแล้วไม่เสร็จก็ต้องไปหาเพิ่มให้เขาอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าอาวาสกัน

เถรี 19-01-2012 10:53

"ช่วงที่อาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี อาทิตย์หนึ่งก็จะเข้าตลาดครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะไปซื้อพวกกับข้าวและข้าวของต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ ไปถึงก็เห็นเขาขายชมพู่เพชร ก็ไปสั่งเขา ๕ กิโลกรัม บอกให้เขาเลือกให้ด้วย เจ้าของร้านบอกว่าเลือกไม่เป็นจ้ะ อาจารย์เลือกเป็นไหม ?

อาตมาบอกว่า ถ้าอาตมาเลือกเองโยมน้ำตาเล็ดแน่ คราวหน้าขายไม่ได้หรอก เขาถามว่าทำไม เพราะอาตมาเลือกมีแต่ลูกหวาน ๆ จะเหลือแต่ลูกจืด ๆ เขาก็ทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อ ก็เลยจัดการเลือกเอง"

ปรากฏว่าตัวขี้สงสัยก็คือท่านกอล์ฟ สงสัยทุกเรื่อง บอกว่าขอเปลี่ยนลูกหนึ่งได้ไหม ? ท่านเอาชมพู่ลูกที่อาตมาเลือกออก แล้วก็เอาที่ไม่ได้เลือกมาลูกหนึ่ง แล้วจำไว้ว่าลูกไหน พอถึงเวลาซื้อมาแล้วเสร็จสรรพ ท่านกอล์ฟก็ฉวยลูกที่เลือกกับที่ไม่ได้เลือกไปกัดอย่างละคำ แล้วท่านก็ยอมรับว่า ลูกชมพู่ที่อาตมาเลือกหวาน ส่วนที่ท่านเปลี่ยนมารสชาติเปรี้ยวจืด ๆ

ท่านถามว่าทำไมอาตมาถึงรู้ ก็เพราะอาตมาเกือบจะโตมากับต้นชมพู่ สมัยเด็ก ๆ ปีนต้นเก็บกินอยู่ทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ลูกไหนอร่อยหรือไม่อร่อย ?

ชมพู่ถ้าจะให้หวาน ก่อนออกตลาดสักอาทิตย์หนึ่งให้ตัดน้ำเสีย อย่ารดน้ำ ถ้ารดน้ำแล้วต้นจะดูดน้ำขึ้นไปมาก รสชาติจะจืด แต่คราวนี้เจ้าของเขาไม่รู้ ไปเร่งน้ำเยอะ ๆ น้ำหนักจะได้ดี ปรากฏว่ารสชาติไม่เอาอ่าวเลย"

เถรี 20-01-2012 12:20

พระอาจารย์กล่าวถึงเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ สภาพจิตยังผ่องใสอยู่ จึงรับรู้อะไรได้ไว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ไม่รักเขาจริง เห็นเขาเป็นภาระ บางทีเขาก็เบื่อ ไม่ยอมรับ ดังนั้น..พี่เลี้ยงต้องปรับตัวเยอะ ๆ ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องกัดฟันรักเขาให้ได้

เพราะสภาพจิตของเขายังผ่องใสอยู่ ยังไม่เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นี่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทับถมมายาวนานเท่าอายุ ในเมื่อใจเขายังใสอยู่ก็รับอะไรได้เร็ว เหมือนกับหมาที่วัด อาตมาด่าหมา เขาแลบลิ้นเลียหน้าแผล็บ ๆ เพราะรู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก แต่เวลาเราด่าพระด่าเณรนี่นั่งหัวหดกันหมด แสดงว่าหมารู้ดีกว่า..!

มีอยู่ระยะหนึ่งตอนนั้นอาตมาราว ๆ สัก ๕-๖ พรรษา เจอเด็กแล้วรักทุกคนเลย คิดแล้วใจหาย นี่ถ้าเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีลูกแน่ ๆ ช่วงอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นลูกใครก็น่ารักไปหมด"

เถรี 20-01-2012 12:34



พระอาจารย์กล่าวถึงผ้าไตรว่า "เดี๋ยวนี้ผ้าไตรพัฒนาไปเยอะ ปัจจุบันนี้ที่เขานิยมกันเป็นผ้ามัสลิน ถ้าเป็นผ้าฝ้าย ๑๐๐ % คนเห็นแล้วไม่ค่อยชอบ เพราะฝ้าย ๑๐๐ % ทอแล้วเนื้อจะเป็นขน แต่ว่าห่มสบาย แล้วก็มีผ้าโทเรซึ่งจะผสมโพลีเอสเตอร์ ๓๐ % มีผ้าไตรแพร ผ้าไตรแพรนี่จะลื่นมาก สวยอย่างเดียว แต่ห่มไม่ติด รัดอกดีแค่ไหนเดี๋ยวก็ลื่นหล่น

มีผ้าไตรไหม แบ่งเป็นไหมญี่ปุ่นกับไหมโคราช ไหมญี่ปุ่นว่าราคาแพงแล้ว ไหมโคราชยังแพงกว่าอีก ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่บ้านเรานิยมใช้กัน ถ้าเป็นตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ตามบทบาลีที่ว่า โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺคํ

โขมํ ผ้าเปลือกไม้ กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย โกเสยฺยํ ผ้าไหม กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์ สาณํ ผ้าป่าน ภงฺคํ ผ้าแกมกัน เป็นผ้าเนื้อผสม อย่างฝ้ายผสมโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น

แสดงว่า การทอผ้าในสมัยโบราณก็ก้าวหน้า เพราะว่าสามารถใช้หลายอย่างผสมกันทอขึ้นมาได้ บางทีถึงขนาดใช้เส้นเงินเส้นทองมาผสมเป็นเนื้อผ้า ทอออกมาแล้วหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยกไม่ไหว

ถ้าหากว่าใครที่สะสมผ้าโบราณหรือศึกษาเรื่องนี้มา เขาดูก็รู้เลยว่าผืนนี้ผสมอะไรบ้าง ไปขอซื้อจากคุณย่าคุณยาย แต่แกมักจะไม่ค่อยขาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้เป็นผ้าประจำตระกูล ไว้รับขวัญ มีอบพวกบุหงาด้วย เปิดลังออกมาก็หอมตลบไปหมด"

เถรี 20-01-2012 12:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีมีมติว่าให้ผู้หญิงลาบวชได้ ๓ เดือนโดยไม่ถือว่าขาดราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานหรือลูกจ้างประจำของหน่วยงานรัฐที่เป็นสตรี

แต่ที่ทองผาภูมิ พออาตมาประกาศว่าลามาบวชที่วัดได้ เพราะว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาต้องประกาศก่อนว่าวัดไหนพร้อม ปรากฏว่าพวกข้าราชการที่ทองผาภูมิลาไม่ได้ หัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่บอกว่าไม่มีคำสั่งมา

จริง ๆ แล้วเมื่อเป็นมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ไม่ต้องมีคำสั่ง เพราะเขาถือว่าเป็นกฎหมายอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องฟ้องให้ลือลั่นไปสักรายหนึ่ง จะได้เข็ดไปตาม ๆ กัน อาตมาเองแจ้ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด บอกว่าช่วยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดหน่อยว่า มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ช่วยให้ทางจังหวัดมีคำสั่งลงไปทุกหน่วยงาน จะได้รู้เรื่องกันไป ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเขาก็เสียสิทธิ์ไปโดยใช่เหตุ"

เถรี 20-01-2012 13:00

ถาม : ตอนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ จัดงานเป่ายันต์ที่ศาลาไหนครับ ?
ตอบ : ครั้งแรกที่ศาลาพระพินิจอักษร เป่ายันต์ได้ครั้งเดียว เพราะว่าต้องเป่ากัน ๔-๕ รอบ แล้วก็ย้ายไปที่ศาลา ๒ ไร่ ไปที่ ศาลา ๔ ไร่ แล้วก็ไปที่ศาลา ๑๒ ไร่ ๓ ครั้งหลังนี่ใช้ศาลา ๑๒ ไร่

ถาม : แล้วท่านพักที่ตึกไหนครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ตึกกลางน้ำ แล้วก็มาย้ายไปหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร

ถาม : หลังวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่เขาเรียกว่าเล้าเป็ดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เล้าเป็ดเป็นกุฏิแรกของท่านที่ริมน้ำ เป็นกุฏิเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงน

เถรี 20-01-2012 13:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันอาทิตย์ช่วงเช้า ๆ คนจะน้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะตื่นสาย เห็นเป็นวันหยุด แต่อาตมานี่ไม่ว่าจะวันหยุดหรือไม่หยุดก็ตื่นสายไม่ได้ เป็นตายอย่างไรก็จะตื่นให้ได้ ๐๑.๓๐ น.-๒.๐๐ น. ก็ตื่น เพราะเป็นความเคยชิน

ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวคนจีนเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ามืด พอมาฝึกกรรมฐานก็ต้องรีบตื่นเพื่อที่จะได้มีเวลาพอฝึก ก็เลยกลายเป็นความเคยชินที่ตื่นสายกับใครเขาไม่เป็น เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องตื่นขึ้นมาทำกรรมฐานให้ได้

สมัยที่หนักที่สุดก็คือตอนเรียนทหาร ช่วงฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน ช่วงนั้นเป็นเดือน ๆ ต้องตื่นตี ๕ กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็มีเสียงเป่านกหวีดเรียกให้ตื่นไปฝึก จนตี ๒ ตี ๓ แล้วค่อยนอน ตี ๕ ตื่นใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาฝึกกรรมฐานได้

เพราะรู้ว่าถ้าเราไม่ฝึกตอนนี้ เวลาอื่นก็ไม่แน่นอน แม้ว่าสมัยนั้นจะสามารถวิ่งไปภาวนาไปได้ แต่กำลังใจไม่นิ่งเหมือนตอนที่นั่งภาวนา เป็นสมาธิแน่นไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมาธิแน่นจะทำให้วิ่งไม่ออก อาตมาวิ่งภาวนาได้ก็จริง แต่สมาธิยังไม่ใช่ระดับฌานใช้งาน เป็นได้แค่อุปจารสมาธิ จึงต้องมานั่งฝึกให้สมาธิทรงตัว แต่ก็ดีตรงที่ทำให้มีกำลัง แม้ว่าจะนอนน้อยแต่ก็ยังไปได้เรื่อย

ขนาดนั้นก็ยังเคยยืนหลับ ทหารเขาฝึกท่าอาวุธ เวลาครูฝึกสั่งเรียบอาวุธ อาตมาก็ลดปืนลงจากบ่าตามขั้นตอน แต่พอจังหวะเข้าร่องไหล่ดันตัดหลับเฉยเลย

โดนครูฝึกตะโกนกรอกหูว่า “เฮ้ย..อย่าเหม่อสิวะ!” ถึงได้สะดุ้งเฮือกขึ้นมา แสดงว่าเวลาร่างกายเพลียมาก ๆ จะตัดหลับเอง ยืน ๆ อยู่ก็หลับได้ ถึงได้รู้ว่าหลับในเป็นอย่างไร หลับใน..เพราะข้างในไม่รับรู้..หลับไปแล้ว"

เถรี 20-01-2012 13:14

"มีคนมาน้อย ๆ ประมาณ ๑๐-๒๐ คนกำลังดี ถ้าคนเยอะ ๆ แล้วคนนั้นเรื่องหนึ่งคนนี้เรื่องหนึ่งแล้ว ทำให้ปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน ถ้าอาตมาไม่ลดกำลังใจลงไปให้เท่าเขา หรือไม่เพิ่มกำลังใจขึ้นไปให้เท่าเขา ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น ถ้าลดเพิ่มเท่ากันก็สามารถตอบปัญหาได้ เพราะจะเข้าใจว่าอารมณ์ของเขาตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร

ตรงจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ว่า ถ้าหากไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ แล้วมานั่งอยู่ในสถานะผู้ตอบคำถามเดี๋ยวจะยุ่ง เจอคนถามคำถามงี่เง่ามาก ๆ เข้า จะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก ถ้าหากว่าโกรธขึ้นมาก็ยุ่งเลย"

เถรี 20-01-2012 13:39

ถาม : ตอนท่านออกป่า ท่านสมาทานธุดงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยสมาทาน เดี๋ยวเทวดาเหยียบเอา เพราะอาตมาไม่เคร่ง แต่ก็ไปได้นานกว่าพวกที่สมาทานอีก

ถาม : ที่ว่าไม่เคร่งนี่คือในส่วนของอภิสมาจารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ในส่วนของการฉัน เพราะว่าอาตมาเองฉัน ๒ มื้อ ส่วนหลวงตาโมเช่ท่านเกรงใจ ท่านจึงไม่ฉัน ๓ มื้อ แต่ฉัน ๒ มื้อตาม ทั้งที่ท่านเป็นตาฤๅษี

ถาม : ท่านฉันพวกผักอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงก็ถือในลักษณะของกินเจอยู่แล้ว ไปป่ากันเป็นเดือน ออกมานี่ไม่รู้ว่าผอมหัวโตกันขนาดไหน กินแต่ผักแต่หญ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งเดินอยู่ ๒-๓ วัน มีแต่ป่าชะอมไปตลอดทาง

ด้วยความที่อาตมาเป็นเด็กชาวบ้านมาก่อน ก็คิดว่าชะอมเป็นพืชยืนต้น แต่จริง ๆ แล้วชะอมเป็นไม้เลื้อย อยู่ในป่าต้นใหญ่ขนาดขาอ่อน เลื้อยเต็มภูเขาเลย แต่ตามบ้านที่เห็นเป็นไม้ยืนต้นเพราะโตไม่พอให้เลื้อย โดนเด็ดยอดอยู่เรื่อย

ตอนช่วงนั้นอาตมาเดินจากทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง ๓ วันอยู่แต่ในดงชะอมไม่ได้ไปไหนเลย อะไรจะขึ้นได้เป็นดง ๆ ขนาดนั้น แบบเดียวกับผักหวานป่า ผักหวานป่านี่ถ้ามีต้นแม่อยู่บนยอดเขา เนินเขานั้นทั้งลูกจะเป็นผักหวานป่าหมด เพราะเวลาเม็ดตกก็ขึ้นไปเรื่อย

ตอนนั้นกินชะอมจนหน้าจะเป็นหนามอยู่แล้ว พอวันที่ ๓ คงจะทำหน้าเบื่อโลกเต็มที หลวงตาโมเช่ท่านก็บอกว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนผักแล้ว" พรุ่งนี้จะพ้นเนินเขานั้นแล้ว อะไรก็พอกินได้ แต่ผักชะอมฉุนจะตาย ต้องทนกินอยู่ตั้ง ๓ วัน

แต่ไปกับท่านโมเช่นั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง เจออะไรที่กินได้ท่านจะเก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ท่านบอกใบนั่นกินได้ หน่อนี่กินได้ ดอกนั่นกินได้ บางทีหุงข้าวแล้วอาตมานั่งเฝ้าหม้อข้าวอยู่ ท่านก็เดินหายเข้าป่าไป พักหนึ่งได้ผักมาเป็นหอบเลย ท่านบอกว่าอย่างนี้ต้องต้ม อย่างนี้ต้องเผา แต่ก็แปลก..ผักบางประเภทเวลาเคี้ยวใบสด ๆ เข้าไปแล้วโดนยางกัดปาก เพราะเป็นกรด แต่พอเผาแล้วกลับอร่อย

อาตมาเองอยากรู้ว่ากินวิธีอื่นได้หรือเปล่า ? ก็เลยลองจนท่านโมเช่โกรธ ท่านบอกว่าลูกผักหวานกินไม่ได้ กินแล้วตาย อาตมาลองชิมดู..อร่อยนี่หว่า..!

พอแกะออกหน้าตาเหมือนเม็ดบัว แต่กรอบเหมือนแห้ว กินไปเป็นหอบ ๆ เลย กินเสร็จก็เดินยิ้มย่องผ่องใส แต่ปากคอชาไปหมด แสดงว่าเป็นพิษจริง ๆ ท่านโมเช่เดินไปบ่นไป “มาด้วยกันไม่เชื่อกัน แล้วจะไปด้วยกันทำไม ?” เขาไม่เคยเห็น คนอื่นที่บอกว่ากินแล้วตายยังตั้งหน้าตั้งตากิน..!

เถรี 20-01-2012 13:52

อยู่ในป่าอย่าไปคิดว่ามีผักผลไม้เกลื่อนกลาด ความจริงไม่ใช่หรอก..บางทีไปเจอมะพูด กินเข้าไปท้องร่วงแทบตาย จะไปถือตามที่พระธุดงค์ท่านสอนต่อ ๆ กันมาว่า “ลิงกินได้ คนก็กินได้” อาตมาเกือบตายมาแล้ว ลิงกินทุกวันจึงมีภูมิต้านทาน แต่อาตมากินไปครั้งแรกนี่ถ่ายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเลย ขนาดฉันน้ำร้อนลงไปยังออกมาใส ๆ เลย พูดง่าย ๆ ว่าลำไส้ตั้งแต่ต้นยันปลายไม่มีอะไรเหลือค้างอยู่แม้แต่นิดเดียว..!


หลักสูตรที่บอกว่าลิงกันได้คนก็กินได้ อาตมาไม่เชื่อเด็ดขาดเพราะเจอมาเอง บางทีก็ไปเจอผลไม้ที่หน้าตาน่ากิน แต่ดันไปเจอที่เขาเรียกว่าต้นแสลงใจ ตอนไปเจอก็แปลกใจว่ามีลูกสุกเหลืองเต็มต้นไปหมด แต่ทำไมไม่มีอะไรมากินเลย ความจริงแล้วแสลงใจเป็นพิษแรงขนาดช้างล้ม ช้างเดินผ่านด่านตรงนั้นจนราบเป็นทาง แต่ทำไมไม่กินต้นนี้บ้างเลย

พอจะเก็บสักหน่อยท่านโมเช่บอกว่า “กิงไม่ได้อาจาง ช้างยังตายเลย..!” บางวันไปเจอของน่ากินเข้า ท่านโมเช่ก็ไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยกินมาก่อน ท่านก็ไปหาผักตำลึงหรือผักบุ้ง หรือรางจืดมาเป็นหอบเลย แล้วก็เริ่มชิมก่อน บอกว่าถ้าหากว่าแกเริ่มชักขึ้นมา ให้อาตมาเอาตำลึงหรือรางจืดที่เตรียมไว้นั่นแหละ มาตำแล้วกรอกปาก ตอนอยู่ในป่าลองกินกันด้วยวิธีนี้แหละ จะได้รู้ว่าอะไรกินได้บ้าง

ถึงได้รู้ว่าคนโบราณเขารู้ได้อย่างไรว่า อะไรที่กินได้หรือไม่ได้ เขาก็ลองกันด้วยวิธีนี้แหละ ส่วนที่พลาดก็ตายไปเลย..!


แล้วที่รู้อย่างหนึ่งก็คือเห็ดหูหนูเคี่ยวไม่ได้ พอสุกแล้วต้องกินเลย อาตมาล้างจนสะอาดแล้วให้ท่านโมเช่ต้ม พรุ่งนี้จะได้กิน พอตอนเช้าอาตมาตื่นก่อนก็มาต้มต่อ ปรากฏว่าพอเดือดแล้วเสียงเหมือนเวลาต้มข้าวต้ม ลองเอาช้อนตักขึ้นมากลายเป็นกาวไปแล้ว เห็ดหูหนูต้มมาก ๆ ละลายเป็นแป้งเปียกไปเลย อยู่ในป่าเวลาเจอเห็ดหูหนูทีหนึ่งก็เก็บกันเป็นย่าม ๆ เพราะว่าเวลาเห็ดชนิดนี้ขึ้น จะขึ้นเต็มทั้งขอนไม้ แล้วขอนไม้ในป่าโตเป็นโอบ เจอกันทีก็เก็บแทบไม่ไหว ต้องเลือกเอาที่ขึ้นใหม่ ๆ ดอกใหญ่ ๆ เท่านั้น

เถรี 21-01-2012 09:58

ถาม : เข้าป่าเคยอดนานที่สุดกี่วันครับ ?
ตอบ : ไปจริง ๆ ยังไม่เคยอด เพียงแต่ว่าต้องจำกัดอาหาร บางทีเหลือบะหมี่สำเร็จรูปคนละ ๒-๓ ซอง ระยะทางยังอีกตั้ง ๗-๘ วัน ก็ต้องจำกัดอาหาร หาผักมาเยอะ ๆ ถ้าเดินไปตามลำห้วยก็สบาย มีผักกูด ผักหนาม พอให้อาศัย ถ้านอกเส้นทางขึ้นมาก็แล้วแต่ดวง ถ้าไปเจอต้นไม้ที่รู้จักก็สบาย กินได้แน่ ถ้าไม่รู้จักก็ใช้วิธีที่ว่านั่นแหละ คนหนึ่งชิมที่เหลือก็นั่งลุ้น จะรอดหรือไม่รอดหว่า ?

ถาม : เคยอดน้ำบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เคยอดมาก ๆ ก็ตอนเข้าห้วยขาแข้ง เดินไปเจอลำห้วยหวั่นกุ๊ ห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ปกติเป็นลำห้วยสายมหึมาเลย แต่ปีนั้นแล้งจัด น้ำไหลริน ๆ เหมือนจะขาดใจ ต้องเอาฝากระติกน้ำเล็ก ๆ ไปรองทีละฝา

บางทีเดินไป ๗ วัน ๘ วัน พ้นจากบ้านคนไปแล้วอยู่กลางป่า ยังหาแหล่งน้ำไม่ได้ ไปเจอแอ่งเล็ก ๆ อยู่แอ่งเดียว ช้างก็ลุยซะเละเลย ช้างกินเสร็จก็ขี้เยี่ยวลงไปเรียบร้อย เราจะทำอย่างไรได้ก็ต้องเอามากิน ใช้วิธีเอาผ้าอาบคลุมบาตรไว้ แล้วก็ตักน้ำเทใส่ผ้าอาบให้กรองไปในตัว กรองได้แต่พวกเศษใบไม้ใบหญ้ากับดินโคลน ส่วนกลิ่นกรองไม่ได้ ยังมีกลิ่นขี้ช้างเยี่ยวช้าง เอามาต้มแล้วกลิ่นก็ยังอยู่ แต่ก็ต้องกิน ไม่กินก็ไม่รู้จะไปหากินจากที่ไหน

เถรี 21-01-2012 11:03

ถาม : ตี้จู้เอี๊ยโดนน้ำท่วมไป ถ้าจะตั้งใหม่ ต้องมีพิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องมีพิธีมากหรอก จุดธูปบอกท่านว่าขอโยนของเก่าทิ้ง แล้วเอาของใหม่มาตั้งได้เลย

ถาม : ตั้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งครั้งแรกต้องทำเต็มพิธี แต่ถ้าแค่เปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกท่านเฉย ๆ ก็ได้

เถรี 21-01-2012 11:08

ถาม : ทำสมาธิไปถึงช่วงลมหายใจหายไป เข้าสู่อารมณ์นี้ตลอด แต่ทะลุผ่านจุดนี้ไม่ได้สักที ?
ตอบ : ก็เพราะเราไปนึกถึงลมหายใจที่หายไป แล้วตะกายไปหายใจใหม่ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าตายเป็นตาย แล้วเราก็ตามดูไปเฉย ๆ ส่วนใหญ่พวกเราพอลมหายใจหายไป ความกลัวตายจะทำให้ตะกายกลับมาหายใจใหม่ เพราะฉะนั้น..ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย

มีมากต่อมากด้วยกันที่เป็นแบบนี้ ระยะแรกอาตมาก็เป็นแบบนี้ พอไม่หายใจก็ตกใจ รีบกลับมาหาลมหายใจ กลายเป็นขึ้นบันไดไปแล้ว แต่ต้องย้อนกลับมาอยู่ที่ก้าวแรกทุกที

ถาม : แล้วถ้าทะลุผ่านจุดนี้ไป จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ร่างกายเหมือนกับว่าค่อย ๆ แข็งขึ้นมา จนเหมือนกับกลายเป็นหินไปเลย บางทีก็เย็นจากปลายเท้าขึ้นมา บางทีก็เริ่มเย็นจากปาก รวบเข้ามา ๆ ทั้งหมดที่รวบเข้ามาจะมาสว่างโพลงอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งข้างใน สว่างกว่าพระอาทิตย์หลายเท่าเลย ตอนนั้นฟ้าถล่มดินทลายเราก็ไม่รู้เรื่อง

ถาม : การที่มีอารมณ์แบบนี้บ่อย ๆ เป็นการซ้อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ามาสายพุทธภูมิเก่าก็จะเป็นแบบนี้แหละ เข้าหลุด ๆ จนกระทั่งเราชำนาญไปเอง สามารถบอกเขาได้ทุกขั้นตอน คนอื่นเป็นแค่สักครั้งสองครั้งก็จบแล้ว ส่วนเราต้องย้ำแล้วย้ำอีก ต้องสามารถบอกเขาได้ทุกตารางมิลลิเมตร ไม่ใช่ตารางนิ้ว

สาวกภูมิทั่วไป เดินขึ้นบันไดมา มีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย พุทธภูมินี่นอกจากต้องรู้ว่ามีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร สร้างจากวัสดุอะไร ใช้วิธีไหนสร้างต้องรู้จนหมด

เถรี 21-01-2012 15:35

มีพระที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่มาปรึกษาเรื่องการบูรณะปรับปรุงวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบ..ผมยืนยัน เพราะรีบไปก็ไม่มีประโยชน์ การรีบทำแล้วจะมีผล ๒ อย่าง อย่างแรกเขาเห็นศักยภาพของเราแล้วจะยอมรับ แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นอย่างที่ ๒ คืออิจฉา แล้วจะหาทางเตะสกัดเรา..!

ยังดีว่าคุณมีเจ้านายอย่างหลวงพ่อสมคิดนะ ถ้าเป็นเจ้านายคนอื่น เขากลัวว่าเราจะไปเบียดตำแหน่งของเขา คราวนี้เขาจะสกัดเราฉิบหายวายป่วงหมด ผมโดนมาตั้งแต่ยกแรก ๆ เลย จนเป็นประสบการณ์แนะนำพวกคุณได้เลยว่า ให้ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ"

เถรี 21-01-2012 15:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาฝนเลื่อนลงไปที่ปักษ์ใต้ ส่วนที่เห็นชัด ๆ ว่ารุนแรงขึ้นก็คือคลื่นชายฝั่ง จากปกติที่ไม่หนักหนามากมาย เดี๋ยวนี้มีลักษณะที่เป็นพายุคลื่นที่รุนแรงมาก

ต่อไปถ้าบ้านเรือนของใครอยู่ติดชายน้ำมากก็ต้องสร้างกำแพงกันคลื่นด้วย มนุษย์ต่างดาวเขาสร้างกำแพงกันคลื่นแบบน่ารักมาก ทำเหมือนกับเราปักเสา แต่เขาปักเสาเป็น ๓ ชั้น เป็นแท่งคอนกรีตใหญ่ขึ้นไปเหมือนกับเสา ปักแล้วก็เว้นช่อง..ปักแล้วก็เว้นช่อง ส่วนแถวที่ ๒ ก็สลับฟันปลา แถวที่ ๓ ก็สลับฟันปลา

พอคลื่นมากระทบ เสาช่องที่ ๑ กับเสาช่องที่ ๒ จะทำให้คลื่นลดกำลังไปเกือบหมดแล้ว มาถึงช่องที่ ๓ ก็หมดกำลังพอดี ไม่มีอันตรายอะไร จริง ๆ แล้ว เราน่าจะเลียนแบบต่างดาวเขาบ้างนะ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:07


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว