กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2996)

เถรี 25-11-2011 13:23

"ยังมีมีดหน้าลูกไก่ มีดหน้าลูกไก่นี่เหมือนทรงอีโต้ คล้าย ๆ หัวลูกไก่ แล้วก็มีมีดซุย มีดปาดตาล มีดปาดตาลก็ลักษณะทรงมีดหมอ โคนใบจะเล็กแล้วก็ไปกว้างตรงช่วงปลาย บางคนเขาเรียกท้องปลิง คือมีลักษณะเหมือนท้องปลิง เอาไว้ปาดงวงตาลสำหรับทำน้ำตาล ต้องไปโยกงวงตาลให้ช้ำก่อน แล้วก็ปาด พอถึงเวลาน้ำตาลก็จะไหลออกมา




ส่วนมีดซุยเป็นมีดที่มีลักษณะของด้ามคล้าย ๆ ปืน ด้ามจะโค้งลง เวลาจับก็ลักษณะเหมือนจับด้ามปืน




นอกจากนี้ยังมีเสือซ่อนเล็บ จะเป็นมีด ๒ เล่มที่สวมเข้าหากัน เวลาเราถืออยู่ก็เหมือนไม้ท่อนสั้น ๆ พอชักออกมากลายเป็นมีดคู่"
http://upic.me/i/ui/nccm1.jpg
เสือซ่อนเล็บ

เถรี 25-11-2011 13:42

1 Attachment(s)
"สมัยก่อนอาตมาจะแจกปืนให้ลูกสาว สมัยนี้ได้แต่แจกมีด อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีอะไรไว้ป้องกันตัว อาตมาบอกไว้ว่าถ้าฉุกเฉินนี่จิ้มไว้ก่อนเลย เดี๋ยวหลวงพ่อไปประกันตัวให้ อย่ามัวแต่กลัวอยู่ พวกคนชั่วกลัวใครซะที่ไหน มักตั้งใจก่อคดีอยู่แล้ว

http://i498.photobucket.com/albums/r...h/420J2-17.jpg
มีดพับทรงมีดขว้าง ด้ามเขากวาง (มีดบ้านจ่าตุ่ม)


อย่างโมโม่ที่เพิ่งกลับจากอังกฤษมา โดนแย่งโทรศัพท์ เขาเล่าว่าโดนคนร้ายล็อกคออยู่ข้างหลัง แล้วบังคับเอาโทรศัพท์ ก็เลยต้องให้ไป ถ้าเป็นอาตมานี่ผู้ร้ายลงไปกองกับพื้นแล้ว โดนล็อกคออยู่ก็แค่เบี่ยงตัวนิดเดียว แล้วฟาดท่อนแขนกลับหลังจะผ่าหมากพอดี ผู้ร้ายก็นึกว่าเราดิ้นตามปกติ แต่ไม่ได้ดิ้นหรอก ตั้งใจจะให้ผู้ร้ายดิ้นแทน..!

ถ้าหากคนที่เป็นในวิชาการต่อสู้จะไม่มีอะไรอันตรายเลย โดยเฉพาะคนไหนเอามีดมาจ่อคออาตมานี่เท่ากับหาเรื่อง ลองนึกดูว่า คนเอามีดมาจ่อคอนี่ดูน่ากลัวมาก แต่ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เป็นอาตมาจะต่อยสวนเลย เพราะถ้าเขาจะแทงเราได้ เขาต้องชักมีดกลับก่อน

คนที่ใช้มีดเป็นเขาจะไม่ยื่นไปสุดแขน เขาจะกำมีดอยู่ระดับเอวหรือระดับอก ถ้าพวกนั้นน่ากลัวแน่ แสดงว่าเขาใช้มีดเป็น ถ้าประเภทยื่นมาจี้คอหอย เราก็ยิ้มหวานแล้วก็ชกเปรี้ยงเลย ไม่ต้องกลัวหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะระยะแทงไม่มี สุดแขนไปแล้ว

พวกที่เอาปืนมาจ่ออยู่ในรัศมีมือ รัศมีตีนเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อน ถ้าคนที่เขาใช้ปืนเป็น เขาไม่มาอยู่ในรัศมีมือรัศมีตีนหรอก"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1322203256
มีดด้ามมุกเล่มแรกของจ่าตุ่ม เป็นหอยมุกทั้งชิ้นมาทำด้าม ไม่มีรอยประกบ

เด็กเมื่อวานซืน 25-11-2011 13:57

ขออนุญาตเพิ่มเติมรูปนะครับ

http://i117.photobucket.com/albums/o...of100_0166.jpg

เล่มบนกับเล่มกลาง เป็นดาบหน้าลูกไก่ฝีมือช่างไทยสมัยอยุธยา

http://i117.photobucket.com/albums/o...i/100_0158.jpg

ส่วนเล่มนี้ จะเป็นดาบหน้าลูกไก่ที่เป็นฝีมือของช่างไทยเชื้อสายลาวที่อพยพเข้ามาอยู่อยุธยา ปัจจุบันเราจะรู้จักกันในนามของ บ้านอรัญญิก

เด็กวังวน 25-11-2011 13:57


มีดพร้าของทางใต้จะเป็นแบบนี้ครับ

เถรี 27-11-2011 10:31

1 Attachment(s)
"เราเป็นผู้หญิงเรี่ยวแรงเราน้อย เราจึงต้องรู้จุดอ่อนของผู้ชายไว้บ้าง อย่างกำปั้นซัดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยเลย ผู้ชายโดนเข้าไปก็ชักเหมือนกัน ไปต่อยที่อื่นไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็ทิ่มลูกตาไปเลย ถ้าต่อยทีเดียวแล้วยังไม่สะใจ ก็เตะผ่าหมากซ้ำเข้าไปอีก กระทืบไปร้องไป “ว้าย..ช่วยหนูด้วย ๆ” กว่าคนจะมาช่วยคนร้ายก็น่วม..!

"คุณปูเป้" หรือที่เขาเรียกกันว่า "เซียนเป้" ตั้งแต่ย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์มา ไม่เห็นยายเป้โผล่มาเลย ช่วงที่ยายเป้ได้มีดจ่าตุ่มไปใหม่ ๆ เขาเอาไปจี้แท็กซี่ แถมได้ออก จ.ส.๑๐๐ ด้วย..! เขาขึ้นรถ แล้วไปเจอกระเป๋าเงินตกอยู่ในรถแท็กซี่ ในกระเป๋าน่าจะมีเงินเยอะเพราะใบอ้วนเลย ยายเป้บอกแท็กซี่ให้เลี้ยวไปสถานีตำรวจ แต่แท็กซี่ไม่ยอมไป คาดว่าคงอยากจะได้เอาไว้เอง ยายเป้เลยชักมีดจี้ “จะไปดี ๆ หรือไม่ไป..!” สรุปว่ายายเป้ได้ออก จ.ส. ๑๐๐ เป็นพลเมืองดี เก็บกระเป๋าในรถแท็กซี่ได้แล้วเอาไปคืน หารู้ไม่ว่าเอาไปคืนด้วยวิธีไหน

วันนั้นแม่เจ้าประคุณก็พกอีเหยี่ยวไปด้วย เป็นมีดพกที่ด้ามเป็นรูปนกเหยี่ยว ใบมีดยาว ๗ นิ้ว ใบมีดขนาดนั้นน่ากลัวมาก โดยเฉพาะมีดบ้านจ่าตุ่ม คมพอ ๆ กับมีดโกนทุกเล่ม พวกเราไม่ต้องไปสร้างวีรกรรมอย่างนั้นนะ ถ้าแท็กซี่ไม่ยอมไปเราก็ลงรถแล้วหาคันใหม่ไปโรงพักก็ได้"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1322376819
มีดพกศิลป์ ด้ามรูปนกเหยี่ยว ฝีมือบ้านจ่าตุ่ม

เถรี 27-11-2011 10:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีปักเป้ามีพิษมาก พวกยาสั่งจะเอาดีปักเป้าเป็นส่วนประกอบด้วย มีดีนกยูง ดีหนู ดีงูเห่า ดีปักเป้าทะเล ฯลฯ (หัวเราะ) บอกต่อไม่ได้เดี๋ยวเอาไปทำยาสั่งกัน

พอทำยาสั่งเสร็จแล้ว เราต้องการจะสั่งว่าให้ตายด้วยของอะไร ก็เอาของชนิดนั้นผสมลงไปด้วย ถ้าเขากินของอย่างอื่นร่างกายก็เป็นปกติ แต่ถ้าเขาไปกินของที่ผสมเข้าไปเมื่อไรจะเป็นพิษทันที แล้วจะตายแบบหาสาเหตุไม่เจอ แต่ดูง่าย..เพราะว่าเล็บจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม

ถ้ารู้ตัวว่าโดนยาสั่งให้ใช้รากฟักข้าว รากตำลึง และรากรางจืด ทั้งหมด ๓ อย่าง โขลกรวมกันใส่เหล้ากรอกปากไป จะแก้ได้ แต่ถ้าไม่มีอยู่ใกล้มือมีสิทธิ์ตายก่อน คนโบราณเขาจะจับถอนผมแล้วเอามาแตะกับเล็บ ถ้าผมดูดเล็บติดก็แสดงว่ายังแก้ได้ ถ้าหากว่าผมไม่ดูดแสดงว่าพลังชีวิตหมดแล้ว โอกาสตายมีเกินร้อย

สมัยก่อนทางด้านภาคตะวันออกยาสั่งจะแรงมาก เพราะว่ามาจากฝั่งเขมร จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ตัดสินพระทัยทำหมุดสัมฤทธิ์เป็นหลักเขต เอาไปตอกไว้น่าจะที่แถวชลบุรี พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ท่าน ห้ามไม่ให้ยาสั่งผ่านเขตนี้ ถ้าผ่านเข้ามาเมื่อไรขอให้เสื่อมฤทธิ์ ท่านตั้งใจช่วยเหลือประชาชน หากว่าใครไปสืบหาได้ว่าพระองค์ท่านตอกหลักนี้ไว้ตรงไหนช่วยมาบอกที อาตมาจะได้ไปดู

รู้สึกว่าหลักนั้นทำด้วยสัมฤทธิ์ คือโลหะ ๓ อย่างผสมกัน บวกกับการอธิษฐานจิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพระมหาโพธิสัตว์ กำลังของความดีท่านสูง การอธิษฐานของท่านก็เลยกลายเป็นอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น"

เถรี 27-11-2011 11:21

"เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ท่านสร้างสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนเลย พระองค์ท่านผสมเอง พิมพ์เอง อธิษฐานแล้วก็แจก ตอนนี้ในท้องตลาดองค์หนึ่งราคาเป็นล้าน

อาตมาได้มาองค์หนึ่ง แต่เจ้าของเขาไม่ยอมให้หนังสือรับรองที่ทางสำนักพระราชวังออกให้ เขาขอเก็บหนังสือรับรองไว้เป็นเกียรติประวัติของตระกูล ส่วนพระยอมถวายให้ แล้วก็ให้เหรียญรัชกาลที่ ๕ เหรียญใหญ่มาหนึ่งเหรียญ เลี่ยมทองมาเลย เขาบอกว่าในตลาดมีแต่ของปลอมทั้งนั้น เอาของที่ตกทอดมาตามตระกูลของเขาดีกว่า แท้แน่นอน

ช่วงนั้นอาตมาตั้งใจจะเอาไว้ทำน้ำมนต์ มีทั้งพระพุทธรูป พระกริ่งวัดสุทัศฯ แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เหรียญรัชกาลที่ ๕ และเหรียญรัชกาลที่ ๙ เพราะถ้าเราอาศัยบารมีของพระอย่างเดียว บางอย่างพระท่านก็ต้องยอมรับกฎของกรรม แต่บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อสงเคราะห์คนอื่น ถึงตนเองต้องยอมรับกรรมแทนท่านก็ยอม ก็เลยต้องอาศัยกำลังของพระโพธิสัตว์ท่านด้วย

http://statics.atcloud.com/files/com...1_original.jpg
สมเด็จจิตรลดา ด้านหลังปิดทอง

ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

เถรี 27-11-2011 11:30

"เหรียญพระมหาชนก ตอนนั้นอาตมาไม่มีปัญญาที่จะบูชาเหรียญทองคำ ก็เลยได้แต่เหรียญเงินใหญ่มา ขนาดนั้นราคายังตั้ง ๕,๐๐๐ บาท มาพร้อมกับหนังสือฝีมือวาดของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์กับคณะ มีอาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ เป็นต้น มาช่วยกันวาดภาพพระมหาชนก

เหรียญมหาชนก..ในหลวงท่านบอกใบ้ให้ว่า ปัจจุบันพระองค์ท่านกำลังสร้างวิริยบารมี โดยการพากเพียรช่วยเหลือชาวบ้าน อาตมาจะแต่งกลอนเฉลิมพระเกียรติถวาย ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา พอเริ่มได้บรรทัดเดียวก็แต่งต่อไม่ได้เลย...ต้องจบ จบเพราะสงสารพระองค์ท่าน ไปต่อไม่ได้

เมื่อเลือกกำเนิด.........พ่อเลือกเกิดเพื่อคนไทย
พระชนม์ ๗ รอบผ่านไป........พ่อยังเหนื่อยยากตรากตรำ..ฯลฯ


แต่งต่อไม่ได้เลย อยู่มาจนป่านนี้พระองค์ท่านยังสบายไม่ได้"

http://www.pramool.com/classified/attach/L05552-0.jpg
เหรียญมหาชนก

เถรี 27-11-2011 18:18

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนยังเป็นฆราวาสอยู่ อาตมาเอากฐินไปทอดที่วัดใหม่ศรีสุพรรณ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้เงินกฐินสามหมื่นกว่าบาท แต่ทางเขาต้อนรับคณะกฐินของเราอย่างต่ำก็สามหมื่นบาท ตกลงแล้วเขาจะเหลืออะไร ?

เงินสามหมื่นกว่าบาทช่วงนั้นถือว่ายังเยอะอยู่ เพราะว่าตอนนั้นทองคำบาทละสองพัน เขาต้อนรับคณะของอาตมาด้วยการเลี้ยงขันโตก มีฟ้อนเล็บ มีลอยโคม มีภาพยนตร์

คนเหนือมีอัธยาศัยดีมาก ๆ พอคณะของเราไปถึงเขาก็ลงขันโตกทันที มีสาวจากคุ้มต่าง ๆ ใกล้บ้านมาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง จะมานั่งประกบกันเลย ที่ขำที่สุดก็คือสาว ๆ แห่กันมาลงโตกของอาตมา ๓-๔ คน โตกข้าง ๆ นี่ว่างเลย ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะอายุ ๒๒-๒๓ ปี ส่วนโตกอื่นอายุเกิน ๖๐ ปีแล้ว อีกอย่างก็คือตอนนั้นอาตมายังเป็นทหารอยู่ด้วย ยังเป็นคนในเครื่องแบบอยู่

เพราะว่าคนเหนือมีอัธยาศัยดีมากนี่แหละ จึงดึงให้คนย้อนกลับไปเที่ยวอีก เป็นแบบเดียวกับสาราณียธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนว่าให้ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา ๑ เมตตาต่อกันด้วยวาจา ๑ เมตตาต่อกันด้วยใจ ๑ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้ผู้อื่น ๑ ประพฤติศีลเสมอกัน ๑ มีความเห็นร่วมกัน ๑

พูดง่าย ๆ ก็คือ คิดก็ให้คิดถึงเขาในด้านดี ๆ พูดก็ให้พูดถึงเขาในด้านดี ๆ ทำกับเขาในด้านดี ๆ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้แก่คนอื่น นี่คือสาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังความระลึกถึงกัน"

เถรี 27-11-2011 18:26

"ครั้งนั้นได้เพื่อนมาเยอะเลย เพราะตอนไปเที่ยวต่อนั้น รถไปเสียที่เวียงป่าเป้าตอนกำลังจะขึ้นเชียงราย ตรงจุดที่รถเสียนี่ไม่ว่าจะขึ้นเชียงรายหรือลงเชียงใหม่ก็ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรเท่ากัน จึงตัดสินใจว่าลงเชียงใหม่ดีกว่า เพราะมั่นใจว่าได้วัสดุมาซ่อมรถแน่ ต้องค้างกลางทางอยู่วันหนึ่งกับอีกหนึ่งคืน

อาตมาในฐานะทหารเตรียมพร้อมเสมอ จึงพกเสบียงไป คนอื่นไม่พกอะไรไปเลย อาตมามีขนมปังแถวหนึ่ง แยมขวดใหญ่และน้ำดื่ม ตอนที่ผ่านเชียงใหม่ก็ซื้อข้าวหลามไปอีกมัดใหญ่ คนอื่นช่วยกันกินกระจายเลย..! เพราะจุดที่รถเสียต้องเดินไป ๓๐๐ เมตรจึงเจอเพิงขายก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ มีอยู่เพิงเดียว แล้วคนลงจากรถไปตั้ง ๗๐-๘๐ คน

แม่ค้าขายหมดทุกอย่างที่ขวางหน้า ลูกตัวเองต้องนั่งร้องไห้เพราะไม่มีอะไรกิน ท้ายสุดอาตมาก็เอาหมูปิ้งให้ป้าสายกิน ป้าสายเป็นอิสลามนะ..! อาตมาบอกว่า “ป้ากินเถอะ ดีกว่าเป็นลม” ป้าเขาก็ไม่รู้ไม่ชี้กินไป เขาบอกว่าถ้าไม่บอกว่าเป็นหมูก็กินได้..!

เถรี 27-11-2011 18:33

"ในขณะที่ตัวเองมีของอยู่แค่นั้นแล้วยังแบ่งให้คนอื่นเขาได้ ก็เลยได้น้ำใจตอบแทนมา มีแต่คนถามหา อาตมานี่ถ้าเข้าไปแถวโรงหนังอุดมสุขกินฟรีได้ทุกร้านเลย เพราะครั้งนั้นแม่ค้าแถวหน้าโรงหนังอุดมสุขไปกันเยอะ เขาเรียกว่า วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ เราให้เขา ๆ ก็ให้เราตอบ

หลายรายก็ยังคบหาสมาคมกัน จนกระทั่งบวชถึงได้เลิกติดต่อกันไป เพราะอาตมาไม่ได้มีนิสัยโทรหาโยม ถ้าไม่มีธุระอย่าหวังจะได้เห็นเบอร์โทรโผล่ไปเลย บางคนเขารู้จักใครเขาก็โทรไปตลอด ดีตรงที่ว่าได้ต่อสายสัมพันธ์ไว้ แต่ไม่ใช่นิสัยอาตมา นิสัยของอาตมานี่ถ้าโทรไปเมื่อไร แปลว่าคุณกำลังจะเดือดร้อนแล้ว..!

ถึงขนาดพระผู้ใหญ่ท่านยังเคยออกปาก “ไอ้คุณนี่ก็ดีนะ..ถ้ามาเมื่อไรก็แสดงว่ามีเรื่อง ปกติดีไม่เคยโผล่หัวมาเลย ส่วนไอ้พวกไร้สาระมาเฝ้าเช้า เฝ้ากลางวัน เฝ้าเย็น ไม่ยอมไปสักที ผมรำคาญจะตาย..!” นี่พระผู้ใหญ่ท่านออกปากเองเลย ท่านบอกว่า “ไม่มาหาผมแปลว่าคุณมีงาน ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมดีใจเสียอีกที่คุณทำงานเพื่อพระศาสนา”

ในเรื่องของการเสียสละให้ปันต่อผู้อื่น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ปฏิปทาสาธารณประโยชน์" อย่างในปัจจุบันที่เห็นชัด ๆ ก็เรื่องน้ำท่วม ในหลวงท่านว่า ถ้าใช้คำว่า "เสียสละ" จะให้ได้ยาก เพราะรู้สึกว่าเราต้องเสีย ให้ตัดคำว่า "เสีย" ออก เหลือแค่ "สละ" ก็จะให้ง่ายกว่า แต่ถ้าเอา ส.เสือ ออก เหลือแต่ "ละ" คราวนี้ให้ได้ทุกอย่างเลย จะเห็นว่าตัวหนังสือคำเดียวในหลวงท่านยังสามารถแยกแยะได้ถึงขนาดนี้"

เถรี 28-11-2011 18:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปแจกของที่ศาลายา เจอพวกที่ทำงานตรงเป็นไม้บรรทัด ปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็นเลย คือเขาไปแจกเฉพาะจุด แต่ละจุดรายงานว่ามากี่คนเขาก็ให้แค่นั้น แล้วคนที่เขาต้องพายเรือออกมาปากซอยตั้งครึ่งค่อนซอย เพื่อมาหาอาหาร เขาขอข้าวกล่องดันไม่ให้ บอกเขาไปว่าไม่มี เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะแจก ต้องบอกว่าปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็น

มียามที่ ม.มหิดลศาลายา เขาขอข้าว ๓ กล่อง บอกไปว่า “จ่ายไปแล้ว ๓๕ กล่อง อยู่ข้างใน เข้าไปเอาแล้วกัน” กว่าที่เขาจะลุยน้ำเข้าไปเอาข้าวกล้องข้างในได้ ต้องลำบากแค่ไหน? ในมหาวิทยาลัยกว้างตั้งเท่าไร แล้วยามเขาก็ต้องเฝ้าอยู่ที่ประตู เขาจะลุยเข้าไปอย่างไร ? เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา

พวกตรงเป็นไม้บรรทัด ถ้าเป็นทหารตายหมด..! เวลาทหารออกรบต้องปรับตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไปตามตำราอย่างเดียวก็ไปเป็นปุ๋ยอยู่ที่ชายแดน..! การตรงไปตรงมานั้นดี แต่ว่าต้องเหมาะสมกับกาละเทศะด้วย ขนาดกฎหมายเขายังมีนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์เลย"

เถรี 28-11-2011 19:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นโรคเก๊าท์ วิธีรักษาที่ง่ายที่สุดคือดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคนี้เกิดจากผลึกของกรดยูริค ที่มีลักษณะแหลม ๆ เหมือนเข็ม พอไปอยู่ในข้อในเข่าเยอะ ๆ เข้า ก็จะทิ่มเนื้อจึงทำให้เจ็บ ปวด บวม

ให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อจะไปละลายกรดพวกนี้ออกมา ใครที่กินพวกไก่ พวกอาหารทะเลเข้าไป พอหลังอาหารสักชั่วโมงก็เริ่มดื่มน้ำชั่วโมงละแก้ว สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำอุ่นเพราะถ้าไปดื่มน้ำเย็นเดี๋ยวจะจับไข้เสียก่อน"

เถรี 28-11-2011 19:29

ถาม : บางทีช่วงทำวัตรจะรู้สึกว่าเหมือนมีกำลังส่งมา แล้วทำให้รู้สึกว่าอยากในสิ่งที่ไม่เคยอยากมาก่อน เช่น อยากฉันชา อยากเคี้ยวหมาก สงสัยว่าทำไมช่วงหลังเป็นบ่อยคะ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้ ต้องบอกไปว่าอายุยังน้อย ยังแก่ไม่พอ ให้หาสัญลักษณ์อื่นมาแทน

ระวังไว้...เผลอเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง อย่างอาตมาปฏิเสธเด็ดขาด หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา ท่านถามว่าแล้วไม้เท้าจะเอาไหม ? ตอนนั้นตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ เงียบดีกว่า

ถาม : การเป็นร่างทรงมีข้อเสียอะไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีข้อเสียอะไรหรอก แต่เสียเวลาการปฏิบัติของตัวเอง ถ้าเราต่อรองเป็นก็ดี แต่คราวนี้สิ่งที่ทำกลายเป็นว่า เขาเอาร่างของเราไปสร้างบารมี ส่วนที่เสียง่ายก็คือถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ถึงเวลาแล้วชื่อเสียงลาภยศมา จะกลายเป็นว่าคิดว่ากูเก่ง แล้วจะไปหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พอความหลงในลาภ อยากเด่น อยากดัง อยากมีบริวารมาก ๆ เกิดขึ้น ท่านก็ไม่สงเคราะห์อีก

คราวนี้พอคนมาหาก็เริ่มมั่ว ถ้ามั่วถูกก็ดีไป ถ้ามั่วผิดก็เสียหาย เรื่องพวกนี้ต้องระวัง บอกท่านไปว่ายังแก่ไม่พอ ขออีก ๕๐ ปีข้างหน้าแล้วค่อยมา บางอย่างมีกรรมเนื่องกัน ท่านเองท่านก็คงใจร้อน รอเกิดใหม่ก็ช้า จึงอาศัยคนที่เนื่องกันมา หรือไม่ท่านก็คงประเภทกลัวเกินกว่าที่จะมาเกิด "มากูก็ลำบาก ไม่มาดีกว่า อาศัยคนอื่นแบบนี้แหละ”

เถรี 28-11-2011 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าเป็นเล่มเก่า ๆ จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาตัดออก เพราะว่าท่านกล่าวถึงคณะปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ทำให้คนไปตำหนิว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระการเมือง จึงทำให้หายไป ๔ หน้า

อาตมาอ่านหนังสือรุ่นเก่า บางทีก็จะบอกว่าอยู่หน้าไหนในหนังสือเล่มใหม่ที่พวกเราอ่าน ก็ต้องลบหน้าที่เขาตัดออก เพราะว่าหนังสือรุ่นใหม่จะหายไป ๔ หน้า"

เถรี 28-11-2011 19:50

ถาม : คนสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพวันศุกร์ใช่ไหมครับ?
ตอบ : เขาห้ามเผาวันศุกร์ สมัยก่อนถ้าวันเผาตรงกับวันศุกร์เขาจะเลื่อนวัน ส่วนใหญ่เขาจะเลื่อนเป็นวันพฤหัสบดี เขาจะไม่เอาวันเสาร์ เพราะถ้าไปเจอคนที่ตายวันอังคารแล้วเผาวันเสาร์ เขาว่าผีจะเฮี้ยน

ถาม : แล้ววันพระเล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพระท่านไม่ติดลงโบสถ์ก็พอได้ แต่ต้องเป็นวันพระเล็ก ถ้าวันพระใหญ่เวลาเผามักจะเป็นเวลาพระลงโบสถ์พอดี คนโบราณเขาจะเว้นวันพระกับเว้นวันศุกร์ ที่เว้นวันศุกร์ เพราะเป็น "วันสุข" ไม่ใช่ "วันเศร้า" ส่วนที่เว้นวันพระนั้น ความจริงไม่ใช่อะไรหรอก เดี๋ยวพระท่านจะทำกิจของสงฆ์ไม่ได้

เถรี 29-11-2011 08:22

เวลาไปพม่าบางทีก็ทำใจไม่ถูกเหมือนกัน เพราะบางทีกะเวลากลับเอาไว้พอดี แต่ดันไม่ได้กลับ เพราะเขาบอกว่า “วันนี้วันจม ไม่วิ่งรถ” แล้วเป็นอย่างนี้ทั้งท่ารถ อาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร วันไม่ดีเขาไม่วิ่งกัน

ตั้งแต่ไปพม่ามาไม่เคยเจออุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่พม่าขับรถพิลึกพิลั่นมาก ถนนที่นั่นแคบ เวลารถจะวิ่งสวนกันต้องลงข้างทางคนละล้อ อาตมาเผลอชักแขนหลบทุกที แต่เขากะจังหวะได้ โดยเฉพาะรถวิ่งกลางคืน พอห่างกันสัก ๑๐๐-๒๐๐ เมตรเขาจะสาดไฟสูงใส่กัน ๓-๕ ครั้ง พอวิ่งเข้ามาใกล้สัก ๕๐ เมตร จึงค่อยดับไฟหน้าพร้อม ๆ กัน ถ้าเป็นบ้านเราก็ชนกันเละ..! แล้วพอรถวิ่งมาเกือบจะสวนกัน ต่างคนต่างก็สาดไฟสูงใส่กันอีก แล้วจะไปมองอะไรเห็น ?

ถ้าจะด่าคนขับนี่ไม่ต้องไปด่าหรอก เพราะเขาทำอย่างนั้นกันทั้งประเทศ ถามว่าทำไมทำอย่างนั้น ? เขามองว่าเวลาหลบกันจะได้เห็นชัด ๆ จะไปเห็นชัดกับแมวอะไร จากที่วิ่งมามืด ๆ แล้วไปสาดไฟสูงใส่อย่างกะทันหัน ถ้าเป็นอาตมาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะตาพร่าไปหมด

เถรี 29-11-2011 08:31

ถาม : น้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชรกับน้ำมนต์รักษาโรค ท่านอธิษฐานเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน...น้ำมนต์รักษาโรค อธิษฐานรักษาโรคทั้งคนและสัตว์ ส่วนน้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชร อธิษฐานให้ทำลายสิ่งที่ไม่ดีได้

ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์ไหนที่รับหน้าที่นี้โดยเฉพาะครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งนั้น..อาตมาเจอหน้าใครก็ขอให้ช่วย ต้องบอกว่าทุกท่านรับหน้าที่นี้โดยเฉพาะ..!

เถรี 29-11-2011 09:44

ถาม : เวลาโยมฝึกมโนยิทธิ พอขึ้นไปบนพระนิพพาน จับภาพพระแล้วจะเห็นเป็นรูปวิมานแทน อย่างนี้ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ทำอย่างไรก็ได้ ให้รู้ว่าตรงหน้าเรานี้คือพระนิพพาน จะเป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นภาพวิมานของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือจะเป็นภาพพระนิพพานทั้งหมดเลยก็ได้

ถาม : ........(ไม่ได้ยิน) โยมสงสัยจริง ๆ
ตอบ : อย่างไรก็ได้ เพราะว่าอย่างแรกคือเราเกาะแค่นั้นเอง การเกาะทำให้เป้าหมายชัดเจน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้วจะต้องปล่อย ไม่ได้เกาะ

ถ้าถามว่าถูกไหม ? ถ้าอาตมาตอบว่าไม่ถูกโยมก็แย่สิ เพราะช่วงแรกในการปฏิบัติต้องเกาะกันทุกคน เหมือนการขึ้นที่สูงเราก็เกาะราวบันได แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วโยมได้เกาะราวบันไดอีกหรือเปล่าจ๊ะ ? ถึงตอนนั้นปล่อยหมดแล้ว

ฉะนั้น...ที่ถามว่าตอนแรกถูกไหม ? ไม่ถูกสักรายหรอก แต่ต้องเกาะเพื่อที่กำลังใจจะได้มั่นคง และเป็นนิมิตหมายที่ชัดเจน หลังจากเต็มที่แล้วก็จะปล่อยเอง ขอให้เกาะอยู่ในด้านดีก็พอ อย่าไปขี้สงสัยมาก ขี้สงสัยมักจะไม่ค่อยได้อะไรหรอก ต้องทำแบบโง่ ๆ ถึงจะได้ดี

เถรี 29-11-2011 09:59

ถาม : ทำไมกายทิพย์ต้องมีการคิด อย่างเทวดาทำไมจึงต้องคิด ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงต้องไม่คิด ? เขาก็เป็นชีวิตรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่มีการนึกคิดปรุงแต่ง ก็ไปนิพพานหมดแล้วสิจ๊ะ ?

อย่าถามอะไรที่เกินกว่าความรู้ของตัวเอง อาตมาอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เราปฏิบัติเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านออกจากจิต ให้จิตมีสภาพนิ่ง สงบ เพื่อที่ปัญญาจะได้เกิด มองเห็นทางออกจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน คิดไปได้ทุกเรื่อง ประเภทนั้นเขาเรียกว่าฉลาดเสียเปล่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ไปฉลาดในเรื่องที่ไม่ควรจะฉลาด แต่เรื่องที่ควรจะฉลาดกลับโง่..!

เถรี 29-11-2011 11:01

ถาม : บางทีเราเจริญกรรมฐาน รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ พอเดินไปถึงห้องน้ำอาการหายไป เป็นอยู่อย่างนี้ ๒ ครั้ง ก็เลยอาราธนายันต์เกราะเพชร แล้วอาการก็หายไป สงสัยว่าระหว่างที่เรากำลังเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจเราก็ทรงตัวอยู่ แต่ทำไมเรื่องแบบนี้เข้ามาได้?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมาร ไม่ใช่ไสยศาสตร์ มารเขาเล่นทุกทางแหละ ขนาดคนเข้าสมาบัติ ๘ ยังแกล้งเลย


ถาม : เข้ามาในระหว่างสมาบัติ ๘ หรือครับ?
ตอบ : บางทีมารเขาต้องการให้ติดอยู่แค่นี้ ติดอยู่แค่อรูปพรหม เขาเรียกว่า อภิสังขารมาร ตายไปตอนนั้นนี่คุณไม่มีทางจะหลุดพ้นไปนิพพานได้เลย ไปเป็นอรูปพรหม ๘๔,๐๐๐ มหากัป พอหมดอายุขัยแล้วอาจจะลงนรกไปเลยก็ได้ เพราะบุญเก่าหมด ถือว่าเป็นความแสบของมาร

ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น มารยังสามารถครอบงำได้ทุกคน แต่ครอบงำพระอริยเจ้าได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของเศษกรรมที่ทำให้ขันธมารอาละวาดได้ หรือไม่ก็ดึงให้ติดอยู่ในความสุขในระดับของพระอริยเจ้าเบื้องต้น ไม่ให้ก้าวล่วงไปมากกว่านั้น

เถรี 30-11-2011 09:19

ถาม : ทหารสมัยก่อนที่ถือดาบกับทหารสมัยนี้ที่ถือปืน ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ความกล้าหาญของทหารสมัยนี้หายไป อย่างครั้งแรกที่ฝึกการเข้าตี ผู้กองเขาบอกว่า “ทหาร..ติดดาบ..ตามข้าพเจ้ามา” แต่ผู้กองอยู่ข้างหลัง พวกเราก็เลยยืนงงกันหมด เขาก็ด่าว่า “บุกไปข้างหน้าสิโว้ย..!” พวกเราจะไปกันอย่างไร ก็เขาบอกตามข้าพเจ้ามาแล้วดันไปอยู่ข้างหลัง ?

อาตมาถึงได้เข้าใจว่ารูปแบบธรรมเนียมเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าสมัยขุนรองปลัดชูพวกนี้ตายหมด ความกล้าต่างกันมาก สมัยก่อนถืออาวุธขาววับวิ่งเข้าใส่กัน ถ้าทหารหนังไม่เหนียว ฝีมือไม่ดีนี่ตาย ๑๐๐ %

ถาม : กว่าจะฝึกผ่าน กว่าจะเก่งได้ ไม่บาดเจ็บกันหรือครับ ?
ตอบ : ตอนแรกเขาฝึกโดยใช้ดาบหวายก่อน กว่าจะถึงขั้นใช้ดาบเหล็กต้องอาจารย์ไว้ใจแล้ว แรก ๆ ถ้าเป็นดาบก็ยังเป็นดาบเหล็กไม่มีคมก่อน แล้วถึงจะใช้ดาบของจริง

ถาม : แล้วจะเหมาะมือหรือครับ ? เพราะน้ำหนักต่างกันมากเลย
ตอบ : ถ้าฝึกกระบวนท่าคนเดียวก็ใช้ของจริงเลย แต่ถ้าซ้อมคู่ก็ใช้ดาบหวาย ดาบไม้ หรือไม่ก็ดาบเหล็กไร้คม เคยอ่านนิยายจีนเรื่องหนึ่ง จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว พระเอกตกหลุมส้วมแล้วไปเจอสุดยอดตำราฝีมือของสำนักซ่อนอยู่ในนั้น สุดยอดฝีมือของสำนักท่านนั้นก็มีนิสัยเดียวกับพระเอก คือไม่ค่อยยอมรับกฎเกณฑ์อะไร พระเอกเข้าส้วมแล้วฝึกแทงแมลงวัน แทงไปแทงมาเผลอตกหลุมส้วม พอตกลงไปก็เจอก้อนหินใหญ่มีหนังสือสลักว่า "..เจ้าตกลงมาใช่ไหม ? แสดงว่าเจ้านิสัยเดียวกับเรา ให้ตามไปทางนี้.."

ตำราสุดยอดฝีมือไปอยู่ก้นหลุมส้วม ใครที่ไหนจะตามลงไปฝึก ถ้าไม่ใช่พวกบ้าเกินเหตุ พระเอกฝึกทุกวัน ทุกเวลา ฝึกจนกระทั่งมีฝีมือเหนือกว่าที่อาจารย์สอนให้ แต่ก็ไม่กล้าใช้ เพราะว่าไปยึดติดกับตำรา ที่อาจารย์บอกว่าต้องใช้ท่าอย่างนี้ไปรับท่าอย่างนั้นเท่านั้น แต่ตอนแทงแมลงวันไม่ต้องใช้ท่าพวกนั้น เพราะใช้แล้วแทงไม่ถูก ท้ายสุดก็ไปเจอปรมาจารย์นิสัยเดียวกัน ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์อะไร แหกคอกอย่างเดียว เลยกลายเป็นคนเก่ง แต่ก็ถูกเขาหลอกใช้จนได้ เพราะซื่อจนเกินไป

เถรี 30-11-2011 09:40

ถาม : ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยานี่ไม่ค่อยตกทอดมาถึงเรานะครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้บันทึกของต่างประเทศอย่างพม่า เราก็ไม่รู้ว่าเรามียอดนักรบท่านหนึ่งชื่อมหาเทพ จารึกเขาใช้คำว่า มหาเทวะ ก็คือมหาเทพนั่นแหละ ตอนเจดีย์ไจ๊ตาลานถล่มลงมาเขาเลยเจอแผ่นจารึกนี้

ตอนกรุงศรีอยุธยาแตกท่านมหาเทพป้องกันเจ้านาย หนีทหารพม่าเป็นวันเป็นคืน ปะทะกันไปตลอดทาง ไม่มีใครเข้าใกล้ขบวนได้เพราะท่านมหาเทพรั้งท้ายอยู่ ไล่ไปไล่มาไปเจอวัด ก็ให้เจ้านายกับครอบครัวหนีเข้าประตูวัด ตัวเองยืนขวางประตู ทหารพม่าก็ได้แต่ยืนล้อมอยู่ไกล ๆ เพราะใครเข้าใกล้ก็ตาย..!

ทหารพม่ารออยู่ครึ่งค่อนวัน ก็แปลกใจว่าทำไมทหารไทยถึงยืนนิ่งไม่กระดิกเลย ยั่วยุอย่างไรก็ไม่กระดิก ท้ายสุดก็มีคนขยับเข้าไปจนถึงรัศมีแล้วก็ยังไม่กระดิก ก็เลยตั้งใจดูถึงได้รู้ว่าทหารไทยไม่หายใจไปตั้งนานแล้ว เพราะเหนื่อยที่ต้องรบกับคนหลายร้อยพันมาเป็นวันเป็นคืน หมดแรงตายไปตั้งนานแล้ว

คราวนี้พอระยะเวลานานพอ เขามั่นใจว่าเจ้านายกับเพื่อนพ้องหนีรอดแน่แล้ว กำลังใจจึงคลายตัวออกมาก็เลยตายในท่ายืนนั่นแหละ พม่าเขาก็บันทึกไว้เป็นการสรรเสริญว่า ถ้าทหารไทยทุกคนเป็นอย่างนี้ พม่าตีเมืองไทยไม่ได้หรอก

ถาม : กำลังใจอย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ดูท่าว่าจะไปเกิดแถว ๆ จาตุมหาราช เตรียมลงมาใหม่

ถาม : ท่านน่าจะไปพาพวกเขาลงมาได้แล้วครับ เดี๋ยวไม่ทันใช้
ตอบ : ทิดตู่...วันนี้คุณมีข้อผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ได้ออกไปแจกของผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพราะฉะนั้น..ต้องไถ่โทษโดยการไปเชิญเขาลงมาเกิด..! ฟังดูเหมือนประวัติพระนาคเสนอย่างไรไม่รู้ ?..(หัวเราะ)..

ถาม : มีเจ้านายท่านใดได้บันทึกไว้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้เขียนไว้ เขารู้แต่ว่าฝ่ายที่หนีไปมีครอบครัวของเจ้านายที่ต้องปกป้องสุดชีวิต ทหารพม่าไม่ได้มากินมานอนบ้านเรานี่ จึงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร เขียนได้ขนาดนั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

เถรี 30-11-2011 10:01

ถาม : ทำไมสมัยอยุธยาเขาต้องแย่งชิงแผ่นดินกันเยอะขนาดนั้นเล่าครับ ?
ตอบ : เขายังมีแนวความคิดว่า ถ้าเป็นพระมหากษัตริย์ต้องแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจด้วยการตีบ้านตีเมืองอื่น การตีบ้านตีเมืองอื่นได้ทั้งสมบัติ ได้ทั้งทรัพยากร ได้ทั้งผู้คน ได้ทั้งช้างม้าวัวควาย ซึ่งก็คืองบประมาณสำหรับหล่อเลี้ยงประเทศตัวเองนั่นแหละ เพราะว่าผู้คนกวาดต้อนมา ก็เอามาเป็นทาสทำไร่ทำนา ยุคนั้นสังคมเป็นอย่างนั้น ค่านิยมเป็นอย่างนั้น

ถาม : จริง ๆ แล้วก็โจรดี ๆ เลยนะครับ
ตอบ : ก็เรียกว่าโจรนั่นแหละ แต่โจรที่ลักษณะตรงไปตรงมา จะปล้นก็คือปล้น จะเอาก็คือเอา ไปลุยกันซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมแอบยักยอกกันทีเป็นพัน ๆ ล้าน..!

ถาม : ทำไมสมัยอยุธยาบรรดาราชวงศ์ถึงได้เยอะอย่างนั้นเล่าครับ ?
ตอบ : สมัยอยุธยายาวนานถึง ๔๑๗ ปี เพราะฉะนั้น..จะว่าราชวงศ์เยอะก็ไม่ใช่หรอก เพิ่งจะมาเยอะช่วงท้าย ๆ นี่เอง ที่เขาเข่นฆ่าแย่งชิงแผ่นดินกัน ตอนต้น ๆ ก็ไม่มีปัญหา


ถาม : สมเด็จพระนารายณ์โดนปลงพระชนม์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : โดนปลงพระชนม์ สมเด็จพระนารายณ์ท่านไม่ได้แสดงฝีมือเลย แต่ลูกน้องเก่งถึงได้เป็นมหาราช ต้องบอกว่าเจ้านายคุมนโยบายและใช้คนเป็น ติดต่อทำการค้ากับต่างประเทศ สร้างความร่ำรวยมหาศาลเข้าท้องพระคลัง กล้าใช้แม้กระทั่งคนต่างชาติที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า อย่างเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เป็นชาวกรีซ ออกญาเสนาภิมุขก็เป็นชาวญี่ปุ่น

พอวิทยาการสมัยใหม่ของต่างประเทศเข้ามา ขนาดพระราชวังที่ลพบุรียังมีหอดูดาว แล้ววิชาการเหล่านี้มาได้ดีในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านศึกษาคำนวณเส้นทางการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆได้ ท่านคำนวณวันเกิดสุริยุปราคาได้แม่นยำจนกระทั่งชาวยุโรปต้องทึ่ง

ถาม : เป็นตำราเดียวกันเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยานั่นแหละ


ถาม : ทำไมก่อนหน้านั้นไม่มีใครทำได้เลยครับ ?
ตอบ : มี..เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดเผยออกมา ส่วนใหญ่เขาก็แค่สืบทอดในวงศ์ตระกูล ถึงเวลาก็รับหน้าที่เป็นปุโรหิตาจารย์ รับหน้าที่โหราจารย์ สำหรับรัชกาลที่ ๔ ท่านโดดเด่นออกมาเพราะว่าต่างชาติเข้ามาร่วมรับรู้ด้วย

ลองไปดูจดหมายเหตุที่พระองค์ท่านติดต่อกับต่างชาติดูสิ พระองค์ท่านเขียนภาษาอังกฤษคล่องมาก พระองค์ท่านบวชอยู่ ๒๐ กว่าพรรษา สึกมาตอนอายุ ๔๗ ครองราชย์แล้วยังมีลูกอีก ๗๗ คน..!

เถรี 30-11-2011 10:32

ถาม : ปัจจุบันนี้ที่เขาทำนายสุริยุปราคา ก็ตำราเดิมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาพัฒนาขึ้นมา ที่พัฒนาขึ้นมาเพราะเขามีกล้องดูดาวที่ส่งไปในอวกาศ ทำให้เห็นเส้นทางโคจรชัดเจนกว่า ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องมาเล็งมารอว่า อีกนานเท่าไรจึงจะมา

ถาม : ทำไมหลังสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชบ้านเมืองถึงได้แย่ลงเล่าครับ ?
ตอบ : จะบอกว่าแย่ลงก็ไม่ใช่ เพราะเขามัวแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่ เวลาแย่งชิงราชสมบัติแล้วจะต้องฆ่าคนของฝ่ายตรงข้ามให้หมด คนของฝ่ายตรงข้ามก็มีแต่บรรดาหัวกะทิ พอพวกหัวกะทิตายหมด ก็เหลือแต่หางกะทิแบบรัฐบาลสมัยนี้แหละ..!

ถาม : ไม่เห็นต้องฆ่าเลยนะครับ น่าจะเก็บเอาไว้ใช้
ตอบ : กำลังใจไม่กว้างพอ ลองนึกถึงเจงกีสข่านสิ พอเจงกีสข่านจับเจอเปได้ จึงถามว่าจะยอมรับใช้เราไหม ? พอเขายอมรับใช้ ก็ความไว้วางใจ ให้คุมกองทัพออกรบเลย ตอนหลังกลายเป็น ๑ ใน ๓ นายพลที่คุมอำนาจใหญ่ที่สุด มีกำลังพลหลายแสน เขาไว้ใจขนาดนั้น เวลาเจงกีสข่านยกไปตีเผ่าไหนได้ กำลังคนของเผ่านั้นก็เอามาเข้ากองทัพใช้งานหมด

เถรี 30-11-2011 16:26

ถาม : คนที่เขารู้ว่าการดื่มเหล้าไม่ดี แต่เขายังเลิกไม่ได้ เขาดื่มเหล้าอยู่ที่บ้าน ไม่รบกวนใคร ไม่วุ่นวายกับใคร ผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดอยู่ดี เพราะว่าเบียดเบียนทั้งตัวเองและครอบครัว ต่อให้คุณกินเหล้าในบ้าน ถามหน่อยสิว่าลูกเมียจะยิ้มได้ไหม ? เขาก็ทุกข์ใจอยู่ทุกวัน

เถรี 30-11-2011 16:30

ถาม : ได้พระธาตุมาแล้วเอามาไว้ในบ้าน จากนั้นน้องชายก็เกิดอาละวาดขึ้นมา ไม่ทราบว่าเกิดจากที่นำพระธาตุเข้าบ้านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเอาเรื่องดี ๆ ไปปนกับเรื่องระยำ..! ไปสรุปว่าเอาพระธาตุเข้าบ้านแล้วน้องชายอาละวาด แล้วก็ว่าพระธาตุเป็นเหตุ ถ้าไม่มั่นใจก็อัญเชิญไปไว้ที่เดิม ของอย่างนี้พิสูจน์ได้ แต่อัญเชิญไปไว้ที่เดิมแล้วน้องยังเหมือนเดิมก็แสดงว่าน้องชั่วเอง..!

เถรี 01-12-2011 09:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้นะ...สำหรับเด็กแล้วทุกเรื่องของเขาเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาของเด็กเป็นเรื่องใหญ่ทุกเรื่อง พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ่านประสบการณ์มามาก ความตายด้านในชีวิตมีเยอะ เราจะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ของพวกเรา แต่เด็กเพิ่งจะเคยเจอก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ของเขา"

ถาม : ถ้าตามใจเด็กมากไปจะไม่ดีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตามใจมากไปก็ไม่ดี ต้องชี้ผิดชี้ถูกก่อนแล้วค่อยตีเข้ากรอบ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สั่งให้ทำอย่างเดียว เหตุผลไม่มี มีเด็กคนหนึ่งเขาทำผิดแล้วพ่อตีเขา เด็กก็ถามพ่อตีหนูทำไม ? อีกฝ่ายหนึ่งก็คิดว่าเด็กหัวหมอ ความจริงเขาถามเพราะต้องการรู้จริง ๆ ว่าตีเขาเพราะอะไร ก็แค่บอกเด็กก่อนว่า อย่างนี้ผิด ถ้าทำผิดแบบนี้อีกจะโดนตี อย่างนั้นเวลาผิดแล้วเราตีเขาเด็กจะรับได้

แต่ถ้าตีแบบไร้เหตุผลไปเรื่อย ๆ ต่อไปเด็กจะดื้อ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ตีเขาทำไม แบบเดียวกับหมากัดรองเท้านั่นแหละ ถ้าหมาวิ่งหนีไปจากตรงนั้นสัก ๓ ก้าว แล้วเราไปตีหมา คราวนี้เราจะผิด เพราะหมาจะไม่รู้ว่าทำผิดอะไร ต้องตีตอนหมากัดรองเท้าเลย ถ้าอย่างนั้นหมาจะรู้ว่าต่อไปจะกัดรองเท้าไม่ได้

ถาม : ตอนตีลูก ร้องไห้กันทั้งบ้านเลยครับ แต่ลูกไม่ร้อง
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจแย่มาก ถ้าไปทำอย่างนั้นเด็กจะดื้อ เพราะเด็กรู้ว่าผู้ใหญ่ไม่เอาจริง

เถรี 01-12-2011 09:38

ถาม : จะมีคนเอาประวัติศาสตร์ชาติไทยมาแต่งเป็นเรื่องสนุก ๆ บ้างไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาตั้งใจจะแต่งแต่มาบวชเสียก่อน พอบอกให้คุณลลิตาไปแต่งแทน เขาบอกว่าเขาจินตนาการไม่ถึง ทั้ง ๆ ที่อาตมาอธิบายโครงสร้างของเรื่องให้แล้ว อาตมาจะแต่งจอมทัพมหาราช ๓ ภาค ภาคที่ ๑ พระเจ้าพรหมมหาราช ภาคที่ ๒ พระนเรศวรมหาราช ภาคที่ ๓ พระเจ้าตากสินมหาราช

อธิบายโครงสร้างทั้งหมดให้แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาจินตนาการไม่ถึง เขาบอกให้อาตมาแต่งเสร็จแล้วใช้ชื่อเขาลงหนังสือก็ได้ อาตมาก็ว่า "แล้วทำไมต้องใช้ชื่อคุณ ในเมื่อชื่ออาตมาก็ขายได้" สมัยนั้นอาตมาเขียนก็ได้หน้าละ ๗๕ บาทแล้ว

ถาม : เคยเขียนหนังสือด้วยหรือครับ ?
ตอบ : เขียนหากินมาเยอะแล้ว เพียงแต่ไม่ยอมบอกว่าเขียนเรื่องอะไรใช้นามปากกาว่าอะไรเท่านั้นแหละ..กลัวดัง

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าหนังสือในตลาดตอนนี้ก็ต้องมีหนังสือที่ท่านแต่งอยู่ด้วยสิครับ ?
ตอบ : ก็คงจะพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องเป็นตลาดหนังสือเก่านะ เพราะว่านานแล้ว หลังจากอาตมาที่ไปเป็นทหาร จบสิ้นการฝึก ๖ เดือนออกมาแล้วมาเขียนต่อจากของเดิม

ของเดิมเรื่องสุดท้ายเขียนไว้ ๒ บท พอมาเขียนบทที่ ๓ แล้วก็เริ่มอ่านทวนใหม่ตั้งแต่บทที่ ๑ บทที่ ๒ เพื่อให้เนื้อหาเชื่อมกัน ปรากฏว่าบทที่ ๓ สำนวนการเขียนเป็นคนละคนกันเลย เพราะว่าช่วงประสบการณ์ชีวิต ๖ เดือนที่เป็นทหารอยู่ แนวความคิดเปลี่ยนไป ก็เลยยกโครงเรื่องให้คนอื่นเขาไปเขียนแทน แล้วเรื่องนั้นก็ดันได้รางวัลดีเด่นของอะไรก็ไม่รู้..!

ถาม : นามปากกาอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าจะบอกก็บอกไปนานแล้ว ตอนนั้นเขียนเรื่องแรกก็ได้ลงเลย เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะอยากอ่านเรื่องอย่างนั้นแล้วไม่มีใครเขียน ถึงขนาดว่าถ้าไม่เกรงใจคงแต่งเรื่องกำลังภายในไปแล้ว เพราะอ่านจนเซ็ง โครงเรื่องมีแต่ซ้ำ ๆ กัน

ถาม : ใช้หลักการอะไรเขียนล่ะครับ ? เพราะท่านไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนี้ครับ
ตอบ : ไม่ได้เรียน บอกแล้วว่าใช้คำว่าจินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ อย่างจอมทัพมหาราช ภาค ๑ คุณลองนึกถึงภาพท้องฟ้ามืดมิด มีแต่หมู่ดาวระยิบระยับ อยู่ ๆ ก็มีดาวตกดวงใหญ่พุ่งลงมา แล้วก็มีท่านผู้เฒ่ายืนมองอยู่ไกล ๆ พร้อมกับรำพึงรำพันว่า “ในที่สุดผู้มีบุญก็มาเกิดจนได้”

พอผู้เฒ่ารำพึงรำพันเสร็จก็มีเสียงเด็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลังว่า “ตา ๆ หมายถึงอะไรหรือ ?แล้วคุณตาก็เล่าย้อนหลังไป ว่าต้องมาลำบากยากเข็ญขนาดไหนกับการกดขี่ข่มเหงของพวกขอมดำ ตอนนี้ผู้มีบุญเขามาเกิดแล้ว เอ็งต้องเร่งศึกษาวิชาการต่าง ๆ เพื่อไว้คอยรับใช้ท่าน..พอโตเป็นหนุ่ม ไอ้หนูนี่ก็จะไปเป็นทหารเอกคู่พระทัย เป็นต้น

คราวนี้ที่อาตมาเขียนไม่ได้ เพราะความเป็นพระบังคับอยู่ ถ้ามีฉากรัก ๆ ใคร่ ๆ ดูจะไม่เหมาะ

เถรี 01-12-2011 12:14

ถาม : ช่วงหลัง ๆ เวลาทำกรรมฐานแล้วสติหลุดหายไปครับ ตอนสมาทานพระกรรมฐานก็แจ่มใสดี พอเริ่มเราก็ขึ้นไปพระจุฬามณี พออุทิศส่วนกุศลก็ อ้าว..ครึ่งชั่วโมงกว่า กลายเป็นประโยคต่อกันเลย
ตอบ : แสดงว่าสมาธิทรงตัวอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ แล้วสติตามไม่ทันก็เลยขาดไป

ถาม : มีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จี้ติด ๆ ไว้เลย ห่างไม่ได้ ห่างเมื่อไรก็หายอีก สังเกตดูว่าตอนที่สติหายคือตอนที่ลมหายใจเริ่มเบาลงไป ถ้าลมหายใจเริ่มเบาแล้ว ให้เอาสติจ่อติดไปเลย

ถาม : เพื่อนบางคนเวลาเขานอน ปลุกอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตัวเลยครับ เขาไม่ได้ฝึกสมาธิ
ตอบ : สมาธิลึก

ถาม : ถ้าอย่างนั้นถือว่าเข้าสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : ก็ถือว่าเป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิที่ไม่มีอานิสงส์ เป็นลักษณะของกัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าเข้าไม่ถึงจุดนั้นก็ไม่ได้พักผ่อน ทำโดยไม่มีเจตนาที่จะละกิเลส อานิสงส์เลยไม่มี

เถรี 01-12-2011 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม และเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านรู้จริง

กรรม คือ การกระทำของเรา ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
ผลของกรรม คือ ทำดีได้ดีตอบ ทำชั่วได้ชั่วตอบ การส่งผลของกรรม คือ อดีตทำอย่างไร ปัจจุบันรับอย่างนั้น จริง ๆ แล้ว ๓ ข้อนี้ต่อเนื่องกัน แล้วท้ายสุดก็คือเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านรู้จริง สิ่งที่ท่านสอนมาก็จะต้องถูกต้องตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น..จากการที่ท่านบอกว่า ถ้าบุคคลในอดีตเคยสร้างกรรมอทินนาทานไว้ ปัจจุบันกรรมนั้นก็จะส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายด้วยอำนาจของดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น"

ถาม : ถ้าอดีตเราเคยทำกรรมอทินนาทานมา แล้วชาตินี้เราไปช่วยคนที่เขารับผลของกรรม จะช่วยเบากรรมลงบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ชาติหน้าจะได้มีคนมาช่วยเราบ้าง

ถาม : แสดงว่าผลของบุญกับบาปนี่แยกกันให้ผลชัดเจนเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ถึงเวลาถ้ากระแสบุญส่งผลก็รับความดีไป ถึงเวลาถ้ากระแสบาปส่งผลก็รับความชั่วไป แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำดีตลอดและไม่ได้ทำชั่วตลอด สลับไปสลับมา ชีวิตจึงขึ้น ๆ ลง ๆ

เถรี 01-12-2011 16:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้เลยว่า...ถ้ารถตกน้ำให้รีบคุมสติไว้ก่อน อย่ารีบเปิดประตูหรือเปิดกระจก เพราะว่าถ้าน้ำยังไม่ทันเข้ารถจะลอยได้อยู่พักหนึ่ง ให้ค่อย ๆ หมุนกระจกลง หรือถ้าเป็นแบบติดตายก็ทุบกระจกแล้วมุดออกมา ถ้ารีบไปเปิดประตู น้ำทะลักเข้ามา แรงดันน้ำจะทำให้ตัวเราออกไปไม่ได้ แล้วจะจมฮวบลงไปทีเดียว ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตกันเพราะอย่างนี้

แต่ถ้าเรือจม ออกมาได้แล้วให้รีบตะกายไปให้ห่างจากเรือ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เพราะเวลาเรือจมลงจะเกิดแรงดูดเราตามลงไปด้วย"

เถรี 02-12-2011 09:26

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ถ้ามีเรือหางยาววิ่งมาแล้วลากเรือพายมาด้วย พอผ่านหน้าวัดอาตมาให้ทหารยิงทุกลำเลย ถ้าทหารไม่กล้ายิงอาตมาจะแย่งปืนมายิงเอง เพราะพวกระยำนั้นมาตีอวนเอาปลาหน้าวัด..!

ถ้าหากว่าใช้เฉพาะเรือหางยาวอย่างเดียวจะลากอวนไม่ได้เพราะอวนจะไปพันหางเรือ เขาก็เลยโยงเรือธรรมดามาด้วย ใช้อวนผูกตรงท้ายเรือแล้วลากไป แต่เอาปลาไปขายในอุทัยธานีไม่ได้เพราะเขารู้ว่าเป็นปลาวัด ต้องเอาไปขายถึงนครสวรรค์โน่น...

ถ้าหากว่าเด็ดขาดเสียทุกอย่างก็จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ ที่ขำที่สุดก็คือพอกลายเป็นเขตหวงห้ามแล้ว พวกเรือหางยาววิ่งเสียงดังมาแต่ไกล พอถึงหน้าโบสถ์วัดยางก็ดับเครื่อง ใช้พายเอา เขารู้ว่าวิ่งผ่านหน้าวัดโดนยิงแน่นอน อาตมาไม่ปล่อยเอาไว้หรอก..! เอ็งจะเคยขโมยปลาหรือไม่ก็ตาม แต่กลางคืนเรือเครื่องห้ามวิ่ง..!

เขาเห็นว่าอาตมายิงทีไรโดนทุกที จนเขาไปลือกันว่าอาตมาใช้คาถากระสุนคด เวรกรรม...เรือลำมหึมาขนาดนั้น สมัยอาตมายิงปืนนี่ยิงดับเทียน ยิงตัดเส้นลวดมาแล้ว เรือลำขนาดนั้นทำไมจะยิงไม่ถูก"

เถรี 02-12-2011 09:34

"พออาตมาออกจากวัดมา ๘ เดือน พวกหาปลาเริงร่าหน้าบานกัน หลวงพี่ละอองท่านส่งข่าวมาบอกว่า ตอนนี้พวกนั้นเว้นให้ตรงหน้าวัดหน่อยเดียว เขตอื่นที่อาตมาเคยประกาศไว้เขาหาปลากันกระจายเลย

พอวัดมีงานประจำปี อาตมากลับวัด แล้วไปเดินเลาะตรวจดูชายน้ำตามความเคยชิน คนที่เป็นขาประจำหาปลาเดินหาบของมาจะขายหน้าวัด พอเจอหน้าอาตมาถึงกับเข่าอ่อน หาบร่วงลงไปกองกับพื้น ยกมือไหว้แล้วว่า “หลวงพี่มาแล้วหรือครับ ?” อาตมาก็ว่า “เออ..บอกพวกมึงด้วย คืนนี้เจอกัน..!” ปรากฏว่าคืนนั้นเงียบฉี่ ไม่มีเรือสักลำ แสดงว่ากิตติศัพท์ความโหดของอาตมายังขายได้

ส่วนหลวงพี่ละอองท่านปวดหัวมากเลย เพราะห้ามเท่าไรพวกเขาก็ไม่สนใจ พอไปไล่เขาก็ยิงเอา แต่พอมาเจอคนที่เคยเอาจริงด้วยก็เป็นอย่างที่เห็น อาตมาถึงได้สรุปว่า “คนทั่วไปไม่กลัวความดีหรอก กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า” ตัวนี้แหละที่ไม่ดี ไม่ดีตรงที่ว่าถึงเวลาตัวสักกายทิฐิจะมา ตัวมานะจะมา"

เถรี 02-12-2011 09:40

"ตอนไปอยู่เกาะพระฤๅษีปีแรก สร้างศาลาหลังใหญ่มีห้องกระจกอยู่ ช่างที่รับงานห้องกระจกรับเงินไป ๓๐,๐๐๐ บาทแล้วก็หายไปไม่มาทำงาน โทรไปตามกี่ครั้งได้แต่ครับ ๆ แต่ไม่มาสักที

เช้าวันนั้นนั่งกรรมฐานอยู่ ตัวมานะก็โผล่ขึ้นมา “มึงไม่รู้จักกู..คนอย่างกูไม่รังแกมึงก็นับเป็นบุญของมึงแล้ว..!” ตอนนั้นคิดว่ากินข้าวเช้าเสร็จ จะนั่งรถไปกระทืบมันให้ถึงร้านเสียที ให้รู้ว่าใครเป็นใคร ปรากฏว่าคิดไม่ทันจะจบ "พระ" ท่านก็มา

ท่านมาแล้วก็บอกว่า“จิตที่ประกอบไปด้วยบุญ เมื่อปฏิสนธิแล้วก็ตั้งหน้าสร้างสมบุญบารมีต่อไป…จิตที่ประกอบไปด้วยบาป เมื่อปฏิสนธิแล้วย่อมทำแต่ความชั่วด้วยแรงบาปที่ย้อมจิตอยู่…เราก้าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะตั้งหน้าก้าวต่อไป หรือจะถอยหลังกลับไป จ่อมจมอยู่กับความชั่วนั้นอีก…?”

พอได้ยินแล้วความคิดที่ไปกระทืบมันนี้หายเกลี้ยงเลย รู้ว่าท่านด่า แต่ท่านด่าไพเราะมาก ไม่มีคำหยาบสักคำ จำไว้นะทุกคน... เราก้าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะตั้งหน้าก้าวต่อไป หรือจะถอยหลังกลับไป จ่อมจมอยู่กับความชั่วนั้นอีก…?

อาตมาได้ยินแล้วซึมเลย ความตั้งใจจะไปกระทืบให้ระบือลือลั่นนี่หายเลย ทุกวันนี้ที่เห็นนั่งปั้นหน้ายิ้มอยู่ ไม่ได้ถอดเขี้ยวถอดเล็บนะ เพียงแต่เก็บเอาไว้ ยังไม่ได้แยกเขี้ยวกางเล็บ วันไหนถ้าตัวมานะโผล่ขึ้นมาละก็ “มึงไม่รู้จักกูซะแล้ว” มานะเต็ม ๆ เลย

เถรี 02-12-2011 09:47

:4672615:เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว