![]() |
ถาม : เหล็กพวกนี้หล่อร้อนแล้วตี หรือใช้เทคโนโลยี ?
ตอบ : ส่วนใหญ่สมัยก่อนเป็นเหล็กร้อน อย่างเหล็กดามัสกัส เขาเผาแล้วก็ตีทบไปเรื่อย ๆ เป็นร้อย ๆ ชั้น ต้องมีความอดทนสูงจริง ๆ บางทีทั้งชีวิตสร้างดาบดี ๆ ได้แค่เล่มเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้ซามูไรของท่านมูซาชิยังอยู่หรือเปล่า ? ตอนวาระสุดท้ายปรมาจารย์มูซาชิใช้ไม้พายเล่มเดียวสู้กับซามูไรนางแอ่นเหิน ท่านพายเรือไปตามที่นัด ก่อนจะถึงที่หมายท่านมูซาชิเอาพายมาตัดด้ามแล้วก็เหลาเป็นอาวุธ ส่วนอีกฝ่ายเขาถือว่าความเร็วของเขาสุดยอดแล้ว สามารถใช้ซามูไรฟันนกนางแอ่นที่บินอยู่กลางอากาศได้ เขาถึงกล้าไปท้าดวลกับท่านมูซาชิ พอถึงวันนัด คนดูก็ไปรอกัน แต่เงียบ.. สองคนไม่โผล่มาสักที เพราะต่างคนต่างปฏิบัติการทางจิตวิทยาต่อกัน ท่านมูซาชิไปลอยเรืออยู่ใกล้ ๆ นอนอยู่ในเรือ อีกฝ่ายหนึ่งก็รอ จนเวลากระชั้นชิดเต็มทีแล้วถึงเดินทาง พอสู้กันปรากฏว่าท่านมูซาชิชนะ อีกฝ่ายถามว่า กลั่นแกล้งขนาดนั้นแล้วทำไมท่านมูซาชิไม่ร้อนรนเลย ท่านมูซาชิบอกว่า ท่านแกล้งเราก็เท่ากับว่าท่านแกล้งตัวเอง เพราะท่านเองก็ต้องรอเหมือนกัน จบเลย.. แกล้งให้คนอื่นรอ ตัวเองก็ต้องรอ เครียดพอกัน เขาเรียกว่าใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความสบายนิ่งเฉยแทนการตรากตรำ ลองไปดูประวัติท่านมูซาชิหรือไม่ก็ซานชิโร่ ซานชิโร่พอถอดเสื้อออก คนเขาเห็นแผลที่หลัง ก็พากันดูถูกซานชิโร่ คิดว่าเป็นซามูไรที่ขี้ขลาดเพราะหันหลังให้ศัตรู ก็เลยโดนฟัน แต่ความจริงไม่ใช่ เขาป้องกันคนอื่นโดยเอาตัวเองไปขวาง จึงโดนฟันที่หลัง คนที่ประมาณการซานชิโร่ผิดนี่ตายทุกราย..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านเป็นนักเทศน์ เขาจะมีการเทศน์ประลองปฏิภาณไหวพริบกัน อย่างเช่นเมื่อก่อนเขาทอดกฐินกันทางน้ำ จะมีการแห่กฐินกันเสียงดังอีโล้งโช้งเช้งทางลำน้ำ ใครได้ยินเสียงอยากจะทำบุญกฐินก็มาดัก โบกผ้าขาวม้าไปมา แล้วทำบุญด้วยข้าวสารอาหารแห้งบ้าง หรือเงินบ้าง
มีโยมคนหนึ่งเป็นชาวประมงน้ำจืด กำลังหาปลาอยู่ ปรากฏว่าปลากะโห้ติดเบ็ด ปกติปลากะโห้จะมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ กิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ ปลากะโห้ก็ลากเบ็ดไป เรือก็วิ่งตามปลาที่ลากไปทั้งลำ โยมเขาก็เอาสองมือยื้อเบ็ดไว้ ผ้าขาวม้าก็ลื่นหลุด ไม่มีเวลาผูกจะมัดผ้าขาวม้าให้ดี ผ้าขาวม้าจึงสะบัดลมพั่บ ๆ ไปเหมือนธง แกลลอนหรือกระป๋องน้ำที่เตรียมเอาไว้วิดน้ำในเรือ พอโดนเรือลากก็กลิ้งกระทบซ้ายขวา ดังโคล้งเคล้ง ๆ ไปตลอดทาง ผ่านบ้านคุณยายคนหนึ่ง คุณยายเห็นก็นึกว่าขบวนกฐิน จึงยกมือขึ้นสาธุ..! นักเทศน์ถามว่า คุณยายท่านนั้นได้บุญหรือได้บาป ? คือเขากำลังทำบาปแล้วไปโมทนา จะได้บุญหรือบาปกันแน่ ? นักเทศน์สมัยก่อนเขาเล่นกันอย่างนี้เลยนะ ถ้าไม่แม่นประเด็นจริง ๆ ตายคาธรรมาสน์แน่นอน..! สรุปว่าโยมที่ตั้งใจโมทนาได้บุญกฐินไปเต็ม ๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาตกปลา คิดว่าเป็นขบวนเรือกฐิน เป็นการตั้งใจโมทนาความดี ไม่ใช่โมทนาความชั่ว" |
ถาม : ช่วงนี้รู้สึกเบื่อเรื่องโลก ๆ ค่ะ รู้สึกทุกข์ใจมาก ถ้าหากว่านั่งสมาธิธรรมดายังไม่หาย เลยนั่งสมาธิแบบปล่อยให้ว่าง ๆ คิดว่าอะไรก็ไม่มี จนจิตดิ่งไปเรื่อย ๆ จนจิตไปเกาะนิพพาน พอเกาะไปรู้สึกว่าดับ ๆ นิ่ง ๆ และเราก็รู้ตัว รู้สึกว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้ ทรงอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดี แต่ถ้ามีคนมาคุยด้วย เหมือนกับต้องปล่อยมือที่เกาะออกมามือหนึ่ง เพื่อมาคุยกับเขาพักหนึ่ง บางทีก็เหนี่ยวกลับเข้ามาได้ บางทีก็เหนี่ยวเข้าไปไม่ได้ค่ะ
ตอบ : ซ้อมให้คล่องตัวจ้ะ แต่วิธีที่เราทำนี้อันตรายอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเราเคลื่อน รัก โลภ โกรธ หลง จะตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..ใช้วิธีพิจารณาจะดีกว่า ต่อให้ไม่ชำนาญอย่างไรก็ต้องทำให้ได้จ้ะ เพราะการพิจารณา ถ้าตัดได้ก็จะตัดไปเลย สิ่งที่เราทำอยู่คือกดกิเลสไว้ชั่วคราว ถ้าระยะเวลาไม่นานพอ กิเลสก็ยังเจริญงอกงามเป็นปกติ จะพาเราทุกข์ทีหลัง ถ้าต้องการที่จะหนีกิเลสในลักษณะนั้น จะต้องซ้อมเข้าออกให้ชำนาญจริง ๆ |
ถาม : เรื่องดวงชะตา ถ้าคนที่มีดาวพุธเป็นมรณะก็คือเป็นคนปากเสีย แต่ถ้าดวงการงานตกมรณะ นี่แปลว่า จะได้ทำงานเกี่ยวกับความตาย หรืออยู่ใกล้เมรุหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาแปลว่า ทำงานอยู่ที่ไหนหัวหน้าหรือเจ้านายตายหมด..! เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ชอบพรรคไหนให้ไปสมัครพรรคนั้น..! (หัวเราะ) |
ถาม : เวลาภาวนาแล้วตกภวังค์ สะดุ้งทุกที เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด..จริง ๆ แล้วกำลังสมาธิตอนนั้นกำลังจะเป็นปฐมฌานหยาบอยู่แล้ว แต่สติขาด ตามไม่ทัน พอรู้ตัวจะรู้สึกเหมือนจะตกจากที่สูง สะดุ้งเฮือก ให้เราเอาความรู้สึกทั้งหมดจ่อติด ๆ กับลมหายใจไปเลย แล้วจะไม่เป็นอย่างนั้น |
ถาม : เวลาหนูมาทำบุญ เขาไม่ค่อยอยากให้หนูมา หนูจะวางกำลังใจอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ถ้าเราจะทำ อะไรก็ขวางไม่ได้ ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด ก็จะไปทำบุญให้ได้ เป็นตายก็จะไปทำบุญ..! ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ทดสอบบารมีจ้ะ |
ถาม : หนูเอาพระขรรค์พกติดตัวไว้ มีคนบอกว่าไม่ควรพกพระขรรค์ติดตัวไว้ ควรจะบูชาไว้บนหิ้ง แต่จริง ๆ แล้วหนูพกได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ ถาม : อย่างในห้องนอน มีผู้ใหญ่บางท่านบอกว่า ห้ามเอาพระไว้ในห้องนอน ? ตอบ : เขากลัวเราจะไปทำไม่ดีไม่งาม เช่น เผลอนอนหันเท้าไปทางพระ ควรเอาไว้ทางหัวนอนได้จ้ะ ก่อนนอนจะกราบพระก่อน |
พระอาจารย์เล่าว่า "หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผู้เขียนคือ ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ลูกสาวของคุณลอร่าที่ชื่อโรส เขียนเรื่องนี้ต่อจากแม่ โดยใช้ชื่อตอนว่า "ไม่ระย่อมรสุม"
ที่โรสเขียนจริง ๆ ก็คือเนื้อหาในสี่ปีแรกและตามทางสู่เหย้าที่ลอร่าวางพล็อตเรื่องคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะสิ้นชีวิตเสียก่อน อย่าคิดว่าคุณลอร่าอายุสั้นนะ คุณยายลอร่าเสียชีวิตตอนอายุ ๙๐ กว่าปี คุณยายเขียนหนังสือชุดนี้ไว้ ๘ เล่ม มี บ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านเล็กในทุ่งกว้าง เด็กชายชาวนา บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน ฤดูหนาวอันแสนนาน เมืองเล็กในทุ่งกว้าง ปีทองอันแสนสุข ส่วนสี่ปีแรกกับตามทางสู่เหย้าเหมือนบันทึกย่อ ยังไม่ได้ขยายความ ตอนหลังเขาพิมพ์ออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ว่าโรสที่เป็นลูกสาวนั้นเอาพล็อตเรื่องนี้มาจินตนาการแต่งเติมเพิ่มเข้าไป แล้วก็ดึงเอาเรื่องที่แม่เล่ามาใส่ กลายเป็นตอนไม่ระย่อมรสุม ใครที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิต ลองไปอ่านดูบ้าง จะได้รู้ว่าที่เราว่าลำบากนั้นยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเขาเลย ครอบครัวอิงกัลส์มีลูก ๔ คน คือ แมรี่ ลอร่า แครี่ และเกรซ เขาบรรยายว่าแมรี่พี่สาวคนโตสวยเหมือนนางฟ้า ส่วนลอร่าไม่สวย ที่พี่สาวสวยเพราะว่าผมของพี่สาวเป็นสีทองอร่าม ส่วนลอร่าผมเป็นสีน้ำตาล พระเอกในเรื่องเป็นลูกชาวนา แต่งงานกับลอร่าก็อพยพไปหาที่ทำกินใหม่ ลำบากยากแค้นเพราะว่ากำลังเพาะปลูกดี ๆ อยู่ก็มีอันเป็นไป อย่างเช่นว่าพรุ่งนี้จะเกี่ยวข้าวได้แล้ว พายุหิมะก็ถล่มเสียคืนนั้น กำลังจะได้ผลิตผลแล้วต้องมาสูญเสียไปในพริบตา โหดร้ายเกินไปไหมนั่น ? หรือกำลังปลูกข้าวงามอร่ามเลย คิดว่าปีนี้รวยแน่ เป็นหนี้อยู่ก็ไม่ต้องกลัว คาดว่าได้ใช้หนี้หมดแน่ แต่ที่ไหนได้อยู่ ๆ เมฆมาฟ้ามืดไปหมด แล้วก็เหมือนมีอะไรตกลงมา ไม่ใช่เมฆแต่เป็นตั๊กแตน กินผลผลิตเกลี้ยงเลย กินจนราบไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็วางไข่ เจาะดินเสียจนพรุนเป็นรูเล็ก ๆ ไปหมด ปีถัดไปตั๊กแตนที่ออกจากไข่ก็ยิ่งหนักไปกว่าเดิมอีก เพราะว่าตั๊กแตนเพิ่งเกิดยิ่งกินหนักกว่าพ่อแม่ สรุปว่า ๒ ปีไม่มีอะไรเหลือเลย เราแค่น้ำท่วมนิดเดียวเท่านั้น ลองไปอ่านไม่ระย่อมรสุมดู จะรู้ว่ามรสุมชีวิตของคนอื่นนั้นดุเดือดขนาดไหน" |
ถาม : หนูรู้สึกว่าเล่มแรก ๆ สนุกกว่าเล่มหลัง ๆ ค่ะ
ตอบ : ความจริงเนื้อหาสนุกใกล้เคียงกัน แต่ว่าเล่มแรกมีสิ่งที่บรรยายมาก ในเมื่อมีสิ่งที่บรรยายมาก ใส่รายละเอียดมากก็น่าติดตาม โดยเฉพาะบรรยากาศของท้องทุ่งป่าเขา การทำมาหากินของคนในสมัยนั้น ที่หันไปทางไหนก็ยังเป็นที่ดินว่างเปล่า ไม่มีคนจับจอง ในชีวิตอาตมา ถ้าบอกว่าตอนที่ยากลำบากก็ยังไม่หนักอย่างที่เขาบรรยายมา รุ่นพ่อรุ่นแม่เวลาเกิดทุพภิกขภัยขึ้นมา ถึงขนาดต้องกินขุยไผ่เป็นเดือน ๆ ก็มีมาแล้ว ต้องกินกลอยก็มีมาแล้ว คนที่กินกลอยเป็นประจำ นาน ๆ เข้ายังเป็นโรคประหลาด คือจะพุงป่องแต่ผอมลีบ แต่ถ้าทำกลอยไม่เป็นก็จะเมาหัวทิ่ม อาเจียนเป็นถังเลย |
"ตอนอาตมายังเด็ก ๆ ต้องบอกว่าการทำมาหากินพึ่งเทวดาอย่างเดียว ถ้าฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลก็มีโอกาสเกิดทุพภิกขภัยได้
ทุพภิกขภัย ก็คือ ความอดอยาก ตอนเด็ก ๆ ที่ลำบาก เช่น เวลาหุงข้าวจะไม่ใช่ข้าวอย่างเดียว จะต้องปนด้วยมันเทศบ้าง ปนด้วยข้าวโพดบ้าง เพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดข้าวขาวไม่มี ต้องกินข้าวกล้อง เป็นข้าวกล้องประเภทที่ชาวบ้านตำเอง สีเอง กลืนไม่ค่อยลงหรอก ฝืดคอมากเลย เพราะบางทีมีเปลือกข้าว (แกลบ) ติดมาด้วย ถัดจากนั้นเมื่อกินจนไม่มีข้าวกล้องแล้ว ก็ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน ลองคิดดูว่าข้าวโพดแห้ง ๆ ต่อให้ต้มขนาดไหนก็ยังแห้งแข็งอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องกินเข้าไป กินในลักษณะกันตายไปก่อน ช่วงนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คือ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็อย่าหวังว่าจะมีของใหม่ จำได้ว่าต้องเอากระสอบข้าวมาห่มแทนผ้าห่ม คันอย่าบอกใครเลย แต่ก็ดีตรงที่ว่า ถ้าชีวิตของเราผ่านความลำบากมาแล้ว ก็จะไม่มีอะไรลำบากสำหรับเราอีก ต่อไปถ้าลำบากไม่ถึงขนาดนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา ที่เขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ ที่สบายเพราะว่าที่ลำบากที่สุดเราผ่านไปแล้ว ที่เหลือก็สบายทั้งนั้นแหละ.." |
รุ่นพวกเราแม้น้ำมันจะแพง เราก็ยังมีข้าวกิน ทองจะแพงก็ช่างหัวมัน เราไม่ได้กินทองนี่..! แต่ให้นึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกไว้ด้วยนะ ท่านบอกว่าใครมีที่มีทางให้เก็บไว้บ้าง ปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้ ระยะหลังอาตมาเห็นเขาทำพวกไร่ปาล์มน้ำมัน ไร่ยางพารากันมาก ถ้าหากว่าเดือดร้อนขึ้นมาเรากินของพวกนี้ไม่ได้ ถ้าทำระบบเกษตรแบบผสมผสาน มีกินแน่เพราะว่าทุกอย่างกินได้หมด ถ้ากินไม่ได้ก็ใช้เป็นสมุนไพรใบยา
ส่วนบุคคลที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวต้องลงทุนมาก ถ้าพลาดทีเดียวก็อาจจะล้มละลายไปเลย ตอนนี้ยางพาราก็ไม่ใช่ว่าจะราคาดีเหมือนก่อน ใครที่ทำอะไรแล้วได้ดี นอกจากบุญเก่าหนุนเสริมแล้วสายตายังต้องยาวไกล ที่ทองผาภูมิ บุคคลแรกที่นำยางพารามาปลูกคือผู้ใหญ่เกลี้ยง ใคร ๆ ก็ว่า "ไอ้เกลี้ยงบ้า..ปลูกของกินไม่ได้.." พอผ่านไป ๑๐ ปี ถึงยุครัฐบาลทักษิณพอดี ยางขึ้นจากกิโลกรัมละ ๑๒ บาท เป็นกิโลกรัมละเกือบ ๑๐๐ บาท ผู้ใหญ่เกลี้ยงกลายเป็นคหบดีแทบจะเลี่ยมทองตัวเองได้เลย เพราะผู้ใหญ่ปลูกเอาไว้หลายร้อยไร่ แล้วแกก็ขยายไร่ของแกไปเรื่อย แกไม่สนใจว่าใครจะว่าบ้า ตอนนี้ผู้ใหญ่เกลี้ยงเป็นเจ้าพ่อรับซื้อยางทั้งหมด เพราะแกเป็นคนวิ่งขายวิ่งส่ง จนกระทั่งรู้เส้นรู้สาย รู้หนทางดี แต่แกก็ยังไม่เลิกทำอาชีพนี้ แกปลูกสวนยางไว้ไม่รู้กี่พันไร่ เอาพวกมอญพวกพม่าเข้าไปอยู่เป็นจุด ๆ แต่ละจุดอยู่กันเป็นหมู่บ้านเพื่อให้ดูแลยางในบริเวณนั้น ถึงเวลาก็วิ่งเข้าไปส่งเสบียง พวกนั้นก็มีหน้าที่ตัดยาง รีดยาง ตากแห้งเก็บสะสมไว้ ถึงเวลาเจ้านายก็เอารถไปทยอยขนออกมา ส่วนคนที่ทำรุ่นหลัง เจอตอนที่ยางพาราราคาตกพอดี ก็ไม่คุ้มแล้ว ผู้ใหญ่เกลี้ยงเขาลงทุนตอนยางราคาไม่เท่าไร ตอนนี้เขาเก็บอย่างเดียวเลย ก็แปลว่าโกยเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ในขณะที่คนอื่นเพิ่งจะเริ่มต้น ที่ดินราคาก็แพง พอเขารู้ว่าที่จะซื้อที่ไปทำสวนยาง ที่ก็ขึ้นราคาไปหลายหมื่น ต้นกล้ายางก็ขึ้นราคาจากต้นละ ๑ บาท ๒ บาท ก็กลายเป็น ๖ บาท ๑๐ บาท เพราะฉะนั้น..เรื่องของเกษตรเชิงเดี่ยว ถ้าจะทำก็ต้องทำเป็นคนแรก ๆ พอ ๆ กับการขายตรงเลย การขายตรงคนแรกจะรวย เราจะเห็นว่าสินค้าขายตรงทุกอย่างดีหมดเลย แต่ดังในตลาดไม่นานก็ซา หายเงียบไป เดี๋ยวของใหม่มาอีกแล้ว แล้วมาทีไรพระอย่างอาตมาก็ต้องเป็นหนูลองยาทุกที เขาจะต้องเอามาถวายพระก่อน ยังดีที่เขาไม่เอาพระเป็นพรีเซ็นเตอร์..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "บุคคลที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ อย่างไรเสียก็ต้องบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่ท่านให้ดี จะให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องอะไรบ้างบอกไปให้ชัดเจน สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอกับเจ้าที่ไว้ว่า ถ้างานกฐินยังไม่เสร็จ ขอน้ำอย่าได้ท่วมวัด ไม่เช่นนั้นชาวบ้านจะเดือดร้อนเพราะมาทำบุญไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ตอนปีพ.ศ. ๒๕๒๖ อาตมาก็ไปช่วยงานหลวงพ่ออยู่ เป็นงานกฐินนี่แหละ พอถึงเวลางานกฐินเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานอนแผ่ เพราะตอนนั้นศาลา ๒ ไร่ ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จดี หลวงพ่อท่านพยายามช่วยโยมโดยการปูเสื่อ แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าพื้นปูนเพิ่งจะเทเสร็จใหม่ ๆ แล้วช่างเอาฝุ่นปูนซัดเพื่อให้แห้งเร็ว ทำให้มีฝุ่นปูนทั้งศาลา พอปูเสื่อไป เสื่อก็ดูดเอาฝุ่นปูนขึ้นมาหมด กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็นอนแผ่หมดแรง อาตมาไปนอนอยู่ที่ศาลาธรรมสถิตย์ สักพักได้ยินเสียงหลวงพ่อเอาไม้เท้าฟาดประตูปัง ๆ ตะโกนว่า "เฮ้ย ๆ ลุกเร็ว รีบเก็บเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน" อาตมาก็อะไรหว่า ? ยังงัวเงียอยู่ แต่หลวงพ่อสั่งก็รีบม้วนเสื่อที่นอนอยู่ แล้วคว้าเป้ขึ้นไหล่ พอหันออกมา น้ำมาถึงข้อเท้าแล้ว..! ตอนช่วงเช้าที่มีงานกฐิน อาตมาก็เห็นว่าน้ำล้นผ่านถนนแล้วนะ แต่ไม่เข้าประตูวัดเพราะว่าท่านตกลงกับเทวดาไว้อย่างนั้น ว่าก่อนกฐินอย่างไรก็ห้ามท่วม ญาติโยมทำบุญเสร็จสรรพแล้วค่อยท่วม เห็นคาตาเลยว่าทั้งที่น้ำไหลข้ามถนนหน้าวัดซึ่งสูงกว่าประตูวัดมาก แต่ไม่เข้าวัด..! ขณะเดียวกัน พอกฐินเสร็จ คนพ้นวัด เพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ ไม่ทันจะชำระสะสางส่วนอื่นเลย หลวงพ่อบอกให้ม้วนเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน พอคว้าเป้ขึ้นไหล่ได้ ก็เห็นว่าน้ำมาครึ่งแข้งแล้ว..! อาตมาติดนิสัยทหารมา นิสัยทหารนี่อยู่ที่ไหนต้องเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เพราะว่าถ้าข้าศึกโจมตีกะทันหันจะได้เผ่นทัน ข้าวของจะได้ไม่ลืม ก็เลยเก็บของเข้ากระเป๋าเดียวอยู่ตลอด" |
"ตอนไปอยู่วัดหนองบัวที่พม่า ตื่นเช้าขึ้นมาก็เก็บของลงย่ามเรียบร้อยทุกวัน ครูบาน้อยเห็นเข้าก็สงสัย ถามว่า “อาจารย์ทำไมต้องเก็บด้วย เดี๋ยวก็ต้องเอาออกมาอีก ?” ก็ตอบไปว่า “หลวงพ่อสอนไว้ ” ว่าต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะเดินทาง ไม่อย่างนั้นไปกับหลวงพ่อเฉพาะย่ามมาเยอะแล้ว..!
ที่ขำที่สุดคือหลวงพี่ฐิติ งานรองของหลวงพี่ฐิติก็คือเข้าครัว พี่เขาชอบทำกับข้าว ถ้าวันไหนมีเมนูขาหมูนี่เชิญพี่ฐิติเข้าครัวเลย ฝีมือสุดยอด วันนั้นหลวงพ่อท่านจะไปจันทบุรี เวรที่จะไปกับหลวงพ่อถ้าจำไม่ผิดก็จะมีหลวงพี่วิรัช หลวงพี่บัญชา หลวงพี่ฐิติแล้วก็ท่านน้อย (อภิชัย) ทั้งหมด ๔ รูป เขาจะจัดเป็นเวรผลัดกันไปที่ละ ๔ รูป ปกติหลวงพ่อท่านจะออกตอน ๗ โมงทุกครั้ง ตอนนั้น ๐๖.๔๕ น.แล้ว หลวงพี่ฐิติยังนั่งโซ้ยข้าวต้มกับพวกเราเลย อาตมาก็บอกว่า “พี่..ไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันป๋า” ท่านก็บอกว่า "ทันอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านนัดไว้ ๗ โมง" สรุปว่าครั้งนั้นมีท่านน้อยไปทันคนเดียว หลวงพี่บัญชากับหลวงพี่วิรัชก็ตกรถด้วย เพราะเชื่อหลวงพี่ฐิติ สำหรับหลวงพ่อถ้าท่านลงมาแล้วขึ้นรถ แปลว่าออกเลย เพราะฉะนั้น..เรื่องเวลามีแต่ก่อน ไม่มีหลัง อาตมาก็ชักจะติดนิสัยนี้ วันก่อนที่วัดถ้ำป่าอาชาทองเกือบจะทิ้งหลวงพี่นิลไปแล้ว ไปด้วยกันแท้ ๆ อาตมาลุกแล้ว ลงไปลาพระผู้ใหญ่แล้ว ลาครูบาเหนือชัยแล้ว เดินลงมาถึงรถมีแต่โยมตามมา หลวงพี่นิลยังไม่มา เลยบอกให้คนวิ่งไปตามหน่อย ท่านคงไม่รู้ว่าอาตมาลงมาแล้ว โยมที่เดินทางไปด้วยกันนี่เขาจะคอยเล็งอยู่เสมอ ถ้าเขาเห็นอาตมาขยับ เขาก็วิ่งตามเลย เพราะรู้ว่าไม่มีการรีรอ โยมรุ่นเก่า ๆ โดนทิ้งมาเยอะแล้ว ไกลขนาดเชียงใหม่ลำพูนก็ทิ้ง ให้นั่งรถกลับเองสักครั้งสองครั้งเดี๋ยวก็เข็ดไปเอง แล้วก็ยังมีหน้ากลับมาหัวเราะคิกคัก ๆ กันอีกว่าใครโดนทิ้งบ้าง นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังสนุกมากเลยที่โดนทิ้ง..!" |
ถาม : พระโสดาบันต้องมีปฐมฌานเป็นปกติเลยหรือครับ ?
ตอบ : ต้องได้เป็นปกติเลย ถ้าไม่ได้กำลังก็จะไม่พอตัดกิเลส ตอนอาตมาฝึกกรรมฐานใหม่ ๆ เฉพาะปฐมฌานฝึกอยู่ ๓ ปี เพราะเป้าหมายอยู่ที่พระโสดาบัน ถาม : ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว คำว่าคิดไม่ดีต่อพระรัตนตรัยจะไม่มีเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : อะไรก็ตามที่จะล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยจะด้วยกาย วาจา ใจ จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด ถาม : นิดเดียวก็ไม่มีเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้านิดเดียวยังมีก็แสดงว่ายังไม่บริสุทธิ์จริงสิวะ..! มีเป้าหมายก็ตะเกียกตะกายไปให้ถึง ไม่ใช่มาเสียเวลานั่งถาม..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีวัดดังอยู่วัดหนึ่ง มีแม่ชีที่สวยสุดยอด รูปร่างก็ดี หน้าตาก็ดี มนุษยสัมพันธ์ก็ดี เวลาแขกไปใครมา แม่ชีจะต้องพาเที่ยวในวัด โดยเฉพาะปีนหน้าผาขึ้นข้างบน อาตมามองดูแล้วคิดว่า ถ้ามีแม่ชีแบบนี้ พระเดือดร้อนแน่ และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ผ่านไปปีกว่าปรากฏว่าพระในวัดสึก พาไปด้วยกัน
ผู้หญิงบางคนเขามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ สะดุดตาผู้ชาย พวกจริตกริยาต่าง ๆ คล้าย ๆ กับว่ายั่วหน่อย ๆ แต่เป็นธรรมชาติของเขาเอง บางคนหูตานี่ไปหมดเลย คนประเภทนี้ถ้ามาอยู่วัดอาตมาก็คงถอนใจเฮือก หนักใจแทนพระรูปอื่นว่าจะรอดไหม ?" ถาม : เกิดจากอะไรครับ? ตอบ : การสั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพ กลายเป็นจริตกริยาติดตัว ถาม : เคยถามพี่ผู้หญิงคนหนึ่งว่าทำไมไม่บวชที่วัดท่าขนุน พี่เขาบอกว่ากลัวทำพระที่วัดปั่นป่วน ต้องรอให้ตัวเองอ้วนเผละกว่านี้ก่อน ตอบ : คงต้องรอให้เหี่ยวกว่านี้ก่อน เรื่องพวกนี้สำคัญตรงที่เราไปคิด.. ถ้าไม่คิดก็จบ คนเราถ้าสติสมาธิไม่ดีพอ หยุดไม่ทัน คือสติตัวยั้งคิดไม่มี สมาธิตัวหยุดตัวรั้งก็ไม่มี หรือถ้ามีก็มีไม่พอ ก็จะโดนกิเลสดึงให้ไปยาวเลย ยิ่งปรุงแต่งก็ยิ่งสนุกสนานกันยกใหญ่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเย็น ๆ พอขึ้นที่พักก็หมดสภาพ ร่างกายไม่ไหว โดยเฉพาะรู้สึกปวดหลังมาก เวลาไข้มาเลเรียขึ้นนี่จะปวดหลัง ก็ได้แต่นั่งเหี่ยว จะรอดวันนี้ไหมหนอ ? ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นยืดเข้าไว้
ลักษณะอย่างนี้แหละที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านป่วยแล้วคนดูไม่ออก อาตมานี่ยังมีทีท่าให้คนเขาเห็นบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ไม่มีเลย ดูไม่ออกว่าท่านป่วยหรือไม่ป่วย จนกว่าจะเลิกงานนั่นแหละ เวลาท่านป่วยหนัก ๆ อาตมารับท่านลงจากตึกมาขึ้นรถ เพื่อที่จะไปรับญาติโยมที่ตึกรับแขก แรก ๆ ก็จับแขนท่านลักษณะช่วยประคอง ท่านก็สะบัดออก แต่พอเห็นว่าท่านไม่ไหวจริง ๆ อาตมาก็ต้องทำ พอถึงเวลาจับพอท่านตั้งท่าจะสะบัด อาตมาก็ล็อกแขนท่านไว้เลย ถ้าอาตมาตั้งใจล็อกนี่หลุดยาก..! แล้วก็พาท่านเดินขึ้นรถ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า “ถ้ามันเป็นระเบียบบังคับก็เอา” ไม่อย่างนั้นใหม่ ๆ นี่ทำไม่ได้หรอก ท่านสะบัดมือออกทุกที ถึงได้เข้าใจว่า "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" นั้นเป็นอย่างไร? คนที่เคยเกิดเป็นผู้นำมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงเวลาจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ พอใช้ประโยคนี้ หลวงลุงสุนทร บอกว่า "หลวงพี่..พระมีทิฐิได้หรือ ?" อาตมาตอบว่า"มีสิ..ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิบรรลุมรรคผลไม่ได้หรอก" เถียงหน้าด้าน ๆ เลย..! ขัตติยมานะตัวนี้แหละทำให้พระมหาอุปราช รู้ว่าสู้พระนเรศวรไม่ได้ก็ต้องสู้ ต่อหน้าคนตั้งเท่าไรที่ล้วนแต่เป็นลูกเจ้าเมือง ว่าที่เจ้าที่เจ้าเมืองทั้งนั้น ถ้าหากว่าไปแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าเขา ต่อไปตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ เมืองบริวารเหล่านั้นจะมีใครเชื่อถือ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ว่า ถ้าให้คนรุมพระนเรศวรนี่ชนะแน่ แต่ก็ไม่เอา ยอมสู้แบบเดี่ยว ๆ ดีกว่า เรื่องการศึกการสงคราม ถ้าเป็นภาพยนตร์มาอาตมาจะดูไม่ได้เลย พอดูแล้วจะมีภาพซ้อนขึ้นมา มีอยู่เที่ยวหนึ่งตอนนั้นตามหลวงพ่อไปวัดศรีรัตนารามที่ลพบุรี คุณปรีชา พึ่งแสงเอาหนังเรื่องสงคราม ๙ ทัพมาเปิด ถ้าจำไม่ผิดคุณสมบัติ เมทนี รับบทเป็นรัชกาลที่ ๑ อาตมาดูไม่รู้เรื่องเลย มองดูนี่ภาพซ้อนเกิดขึ้นเต็มไปหมด ท้ายสุดก็เลยหลับตาดูของตัวเองดีกว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำจนชินมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็จะโผล่ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ" |
ถาม : วันก่อนหนูกินข้าวก่อนนอน แล้วทีนี้กรดไหลย้อนขึ้นมา พอตื่นเช้ามามีความรู้สึกว่าร่างกายเราเองเป็นแค่ท่อ ๆ หนึ่ง แล้วก็มีเศษอาหารอยู่ข้างใน ทีนี้ก็เห็นว่าเราไม่อยากจะมีมันต่อ แต่จากนั้นก็ไม่ค่อยได้พิจารณาต่อค่ะ ต้องคิดต่ออย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ความจริงเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเรายังต้องการร่างกายนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าไม่ต้องการแล้วเราจะไปไหน ? เราก็เกาะเป้าหมายสุดท้ายของเราไว้เท่านั้นเอง ในเมื่อเราเห็นว่าไม่ใช่ของเรา เราไม่เอาแล้ว ที่หมายสุดท้ายของเราคือที่ไหนเราก็เกาะที่นั่นเอาไว้ ถาม : วันก่อนมีปัญหากับผู้ใหญ่ รู้สึกโมโหมาก พอหลังจากนั้นมา เราเริ่มเห็นว่าอารมณ์นั้นน่ารังเกียจมาก รู้สึกเจ็บใจตัวเองว่าทำไมต้องไปโกรธด้วย ตอบ : นี่โกรธ ๒ ชั้นเลย โกรธเขาด้วย ท้ายสุดโกรธตัวเองด้วย แสดงว่ากิเลสสุดยอดมาก หลอกให้เราเสียสองต่อ ถาม : เราจะคลายจากตรงนั้นให้ไวที่สุดได้อย่างไรคะ ? ตอบ : อันดับแรก ถ้ากำลังไม่พอ ให้หลบออกจากเหตุการณ์นั้นก่อน เพื่อที่จะไม่ต้องมาคิดปรุงแต่งให้กำเริบขึ้นมาใหม่ แล้วหลังจากนั้นเราก็มาพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปกติธรรมดาที่อยู่ในโลก โดยเฉพาะถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู คำว่า "กูถูก" ก็จะมีอยู่ แล้วก็จะไปค้านกับความคิดของคนอื่นเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับโทสะก็จะเกิด กิเลสหลอกเราได้ยอกย้อนกันหลายชั้น เมื่อเราพิจารณาเห็นแล้ว ก็มาตัดตรงตัวกูของกูให้ได้ ถ้าหมดเมื่อไรก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้แบบนั้นอีก |
ถาม : บางทีมีอารมณ์เบื่อ ท้อแท้ เบื่อที่จะดูแลขันธ์ ๕ นี้อีก เราไม่อยากจะมีอีก จากนั้นหนูมากลับมาที่อานาปานสติก็ไม่ไหว
ตอบ : แสดงว่าใช้ผิด แทนที่จะเป็นนิพพิทาญาณ กลายเป็นเบื่อทิ้งไปเฉย ๆ เพราะฉะนั้น..จะต้องเห็นให้ได้ว่าการเกิดมามีความน่าเบื่อเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก การที่เราตายชาตินี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว การไปพระนิพพานคือจบการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายทั้งปวงลงแต่เพียงแค่นี้ การเวียนว่ายตายเกิดที่จะมีขึ้นนับชาติไม่ถ้วน ถ้าจบลงแค่ชาตินี้ ระยะเวลาก็สั้นนิดเดียว เหมือนกับการหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นแค่นั้นเอง ระยะเวลาสั้นนิดเดียวแค่นี้ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ด้วยดีไม่ได้ พอพิจารณาอย่างนี้จะเห็นว่าทน ๆ อยู่ไป อยู่ก็ได้ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายเราก็ไปนิพพาน จะได้จบ แต่ถ้าคิดไม่เป็นแล้วก็จะหมอง ตายตอนนั้นขาดทุนยับเยิน อะไรไม่ดีมีเท่าไรนี่เขาทวงหมดทีเดียวเลย..! |
ถาม : ผมมีอาการแบบมึน ๆ เบลอ ๆ อยู่ตลอด จำอะไรไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : เคยใช้ยาอะไรอยู่หรือเปล่า ? ถาม : ไม่มีครับ ตอบ : ถ้าไม่เกี่ยวกับยา การฝึกกรรมฐานจะช่วยได้ดีที่สุด เพราะว่าพอสติสมาธิทรงตัวอาการแบบนี้ก็จะหมดไป ถ้าเป็นเพราะยานี่อาตมาก็เคย มีอยู่บางช่วงที่ต้องใช้ยาบางตัวเป็นประจำ พอถึงเวลาจะเบลอ ต้องตั้งสติอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นแล้วไม่รู้จะไปเดินตกหลุมตกร่องเอาตอนไหน แต่นั่นเป็นเพราะอำนาจของยา สำหรับโยมนี่อาจจะเป็นการบกพร่องของระบบประสาทร่างกาย ถ้าหากว่าฝึกกรรมฐาน พอสติสมาธิทรงตัวทุกอย่างจะแก้ได้ เอาแค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ ไม่ต้องมากหรอก กลับบ้านไปดูลมหายใจตัวเองเป็นหลัก เรื่องอย่างนี้ง่ายมากเลย อารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไรจะบังคับร่างกายนี้เอง ถาม : ไม่ใช่ผลพวงมาจากการปฏิบัติใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่..การปฏิบัติมีแต่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นแสดงว่าทำผิดวิธี |
ถาม : เรื่องกรรมบถ ถ้าเราพูดเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ?
ตอบ : ไม่ควรทำ..ถ้าจะทำให้ทำอย่างมีสติ อะไรที่จะก่อให้เกิดวจีกรรมเราก็หยุด ต่อให้เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็ไม่ควรพูด เพราะพูดไปแล้วคนอื่นเสียหาย ถาม : เราก็ไม่ได้พูดอะไร ตอบ : แค่คิดก็แย่พอแล้ว เพราะว่าเป็นมโนกรรม แต่ถ้าออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม เราจะพาคนอื่นเดือดร้อนด้วย |
ถาม : น้ำท่วมวัดท่าซุงคราวนี้หนักกว่าตอนปี พ.ศ ๒๕๔๙ ไหมครับ?
ตอบ : เท่าที่อาตมารู้ก็น่าจะหนักกว่า แต่ถ้าในอดีตที่ผ่านมามีหนักกว่านี้อีก ทางน้ำหน้าวัดเปลี่ยนไปเลย ก่อนหน้านั้นพื้นที่วัดท่าซุงเก่าจะอยู่เลยกึ่งกลางแม่น้ำสะแกกรังไปอีก ลองคิดดูว่าถ้าน้ำท่วมคราวนั้นไม่หนักจริง ๆ ทางน้ำจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้นหรือ ? อันนี้ถือว่าพูดย้อนหลังในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น ผิดถูกอย่างไรก็ไม่มีใครยืนยัน |
ถาม : ที่บ้านเลี้ยงปลากัดไว้ครับ แล้วต้องให้ลูกน้ำเพราะให้อาหารเม็ดแล้วปลาไม่ยอมกิน แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ ๑ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดเต็ม ๆ..! สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็เคยหนีโรงเรียนไปช้อนปลากัด แต่ว่าหลังจากที่เพื่อนโดนงูเห่ากัดตายก็เลิกเล่นปลากัด เพื่อนเขาไปช้อนปลากัดใต้กอสวะ งูเห่าอยู่บนกอสวะ เพื่อนมัวแต่ช้อนปลาอยู่ ไม่ทันเห็นงูเห่าจึงโดนกัดตาย เด็กบ้านนอกสมัยก่อน ถ้าชนไก่ กัดปลา ยิงนก ตกปลาไม่เป็นนี่ ไม่ใช่เด็กบ้านนอกหรอก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ จะดีกับพระก็ต่อเมื่อพระมีจิตสำนึกในความเป็นพระมากพอ ถ้ามีจิตสำนึกไม่พอเดี๋ยวก็จะไปโหลดหนังโป๊มาดูกัน อย่าลืมว่าสมมุติสงฆ์ที่เป็นพระในสายตาของพวกเรา ก็คือลูกของชาวบ้านที่มี รัก โลภ โกรธ หลงเท่ากับเรานั่นแหละ เพียงแต่ว่าท่านเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตเข้าไป ถ้าหากว่าขาดหิริโอตัปปะ ขาดความละอายชั่วกลัวบาป ก็จะไปทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเหล่านั้น"
|
ถาม : ถ้าตามประทีปครบแสนดวง จะมีอานิสงส์ได้ทิพจักขุญาณในชาติปัจจุบันหรือไม่คะ ?
ตอบ : สิ่งนี้เป็นอปราปรเวทนียกรรม แปลว่ากรรมที่ให้ผลในชาติที่สองที่สามไป ไม่ใช่ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาในชาตินี้ สำหรับอุปปัชชเวทยนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า ถาม : เราอธิษฐานขอในชาตินี้ไม่ได้หรือคะ ? ตอบ : อธิษฐานได้จ้ะ อย่างน้อยก็ได้อธิษฐาน ต้นไม้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาห้าปีสิบปีจึงจะมีลูก เราจะให้มีลูกวันนี้ก็ลองดู เผื่อว่าจะทำได้..! |
ถาม : ตอนที่สภาวะจิตนิ่ง เห็นว่าทุกอย่างเป็นภาพนิ่งที่เคลื่อนไหวติดต่อกันในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับปัจจุบันเป็นอดีตไปในทันที ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เพราะว่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยเฉพาะสภาพร่างกายของเรา แต่คราวนี้ "สันตติ" คือความสืบเนื่อง เป็นสิ่งที่ปิดบังอนิจจังเอาไว้ เราเห็นว่าร่างกายโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงแล้วกำลังพังไปเรื่อย ๆ ต่างหาก เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิด สันตติก็เลยปิดบังอนิจจัง ทำให้คนที่ปัญญาไม่ถึงมองไม่เห็น ถาม : ถ้าเราเห็นอย่างนั้นแล้วเราควรทำอย่างไรต่อคะ ? ตอบ : ใจเรายอมรับหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับอย่างแท้จริง เห็นว่าไม่มีอะไรเลยอย่างนี้ เราอยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร ไปนิพพานดีกว่า ถาม : แล้วถ้าหนูสรุปให้กับตัวเองว่า แม้แต่เวลาปัจจุบันก็ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นของสมมติ ? ตอบ : ก็แค่นั้นเอง เป็นเพียงสภาพจิตที่เป็นไปโดยกรรม อย่าเพิ่งรีบบรรลุนะ..เดี๋ยวคนอื่นจะอิจฉา คนเราแข่งกันทำความดี แข่งกันลดความชั่ว โลกจึงจะเจริญ แต่ถ้าหากว่าแข่งกันดีอย่างเดียว ก็เจริญยาก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยู่วัดแล้วแรงกระทบมีเยอะ ไม่ว่าวัดไหนก็มี..ขอยืนยัน ใครที่คิดว่าแน่ เข้าวัดไปหงายท้องมาเยอะแล้ว เพราะว่ากำลังใจของผู้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในระดับแรก ๆ ยังเก็บกดกิเลส ยังไม่สามารถที่จะตัดได้อย่างแท้จริง พอเก็บไปนาน ๆ กระทบซ้ายกระทบขวาเข้า ไม่รู้ว่าจะไประเบิดใส่ใคร ก็ระเบิดใส่กันเอง ยิ่งวัดไหนเป็นสำนักปฏิบัติมีคนมาก ๆ แล้วจะมีสารพัดเรื่องเลย
เราเองถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมชาติของคนที่เก็บกดกิเลสใหม่ ๆ ว่าเป็นอย่างไร เราก็จะไปนั่งคร่ำครวญว่าทำไมอยู่วัดแล้วเป็นอย่างนี้ ยุ่งไปหมด เพราะเราไปตั้งความหวังว่าเขาจะดี ที่เขาเข้าวัดก็เพื่อที่จะไปพัฒนาตัวเองให้ดี ที่เราโดนมานั้นเขาดีขึ้นมาตั้งเยอะแล้ว ถ้าหากว่าเมื่อก่อนที่เขายังไม่ทำตัวให้ดีขึ้นมา เราอาจจะโดนหนักกว่านี้อีก..! อาตมาจึงสรุปให้กับตัวเองได้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วว่า “วางก่อน สบายก่อน” ถ้าใครอยากแบกก็ปล่อยให้แบกไป แต่ให้วางในลักษณะผู้มีปัญญาจริง ๆ นะ อย่าไปวางใส่หัวคนอื่น..! อยู่ในวัดต้องไปเป็นหน้ากระดาน เวลาทหารเข้าตีข้าศึกต้องไปเป็นหน้ากระดาน เพราะว่าถ้าล้ำหน้าอาจจะโดนเพื่อนข้างหลังยิงเสียเอง ทำตัวเด่นเมื่อไรเดี๋ยวจะซวย อาจจะโดนแอบแทงข้างหลังเมื่อไรก็ได้ ให้ทำตัวกลมกลืนกับเขา แล้วแอบปฏิบัติของเราเอง" |
ถาม : รู้จักพี่คนหนึ่งมานานแล้ว เขาค้าขายพวกวัตถุไสยศาสตร์ มีอยู่วันหนึ่งหนูสวดมนต์นั่งสมาธิตอนเช้าแล้วกำลังใจไม่รวมตัว รู้สึกแปลก ๆ จึงพยายามอาราธนาพระเข้ามาไว้ในกาย ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นออกไป แล้ววันนั้นก็ไปเจอคนที่หนูรู้อยู่ว่าเขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของไสยศาสตร์ เขาก็เข้ามาทำประมาณทีเล่นทีจริงว่า “นี่ฉันป้ายเสน่ห์เธอนะ” แล้วก็เอาบางอย่างมาป้ายแขน หนูก็รู้สึกว่าเขาตั้งใจทำจริง ๆ ตอนโดนรู้สึกเย็น ๆ แบบโดนยาหม่อง มีวิชาอะไรอย่างนี้ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ถ้าเขาจะทำเราเขาก็ต้องนึกถึงเราก่อน กำลังก็ส่งมาถึง เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขาเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง ถาม : ลักษณะแบบนั้นถ้าเราภาวนาไปเรื่อย ๆ พวกนี้จะทำอันตรายเราได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้..ถ้ากำลังใจเราทรงตัวไสยศาสตร์ขนาดไหนก็เข้าไม่ได้ จะได้ก็ตอนที่เราเผลอ เพราะฉะนั้น..พวกนี้เขาจะชอบทำให้เราตกใจ ถ้ากำลังใจเคลื่อนนี่เสร็จเขาเลย ลองสังเกตพวกสะกดจิต เขาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเราจิตนิ่งอยู่กับที่เขาก็จะสะกดเราไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าเราไปคิดตามนี่เสร็จเลย ลักษณะเดียวกับไสยศาสตร์ เขาจะทำให้เราเสียสมาธิ คลายออกจากจุดที่เรายึดมั่น แล้วเขาก็จะครอบงำเราได้ |
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งโดนน้ำมันพราย ลักษณะที่ป้ายตัวแบบนี้แหละ แต่โยมผู้หญิงท่านนั้นดวงดีสุด ๆ เลย คือเขาเข้ามาถึงแล้วจับข้อมือถามว่า “น้อง..เวลาเท่าไรแล้ว?” แต่จริง ๆ แล้วเขาป้ายน้ำมันพราย โยมผู้หญิงเขาก้มลงดู ปรากฏว่าโยมเขาแขวนพระรอดอยู่ พระแปะลงบนรอยป้ายพอดี แล้วมีควันขึ้นกลิ่นเหมือนผีตาย เขารู้ตัวทันทีเลยว่าโดน อันนี้ต้องบอกว่าคนดีพระคุ้มจริง ๆ วันนั้นถ้าเขาไม่ห้อยพระนอกเสื้อก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านจะแนะนำไว้ว่าเพื่อความปลอดภัยให้ปลุกยันต์ทุกวัน ดังนั้น..เรื่องของวัตถุมงคลให้อาราธนาเอาไว้ทุกวัน ถ้าหากว่ากลัวพลาดก็อาราธนาเช้าเย็นไปเลย คาถาอาราธนาของสายหลวงพ่อวัดท่าซุงหลัก ๆ ก็ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ นี้เถิด อันนี้หลัก ๆ แต่วัตถุมงคลบางชนิดมีคาถากำกับต่างหากเราก็ว่าต่อไป ถ้าหากว่าเราปลุกอย่างนี้ไว้ทุกวันก็ปลอดภัยค่อนข้างแน่ แต่อย่าเผลอนะ บางทีเราเผลอถอดออกตอนอาบน้ำ สมัยอาตมาเป็นฆราวาสใส่สร้อยสเตนเลส จะใส่อาบน้ำไปเลย สมัยหลวงปู่ปานท่านยังเคยโดนเลย ท่านเอาพระใส่กระเป๋าอังสะไว้ ตอนนั้นเป็นช่วงของวาระกรรมเปิดพอดี ท่านถอดอังสะแขวนไว้ข้างฝาเพื่อที่จะสรงน้ำ โดนเข้าตอนนั้นหงายท้องเลย องค์ปรมาจารย์ยังโดน แล้วเราจะรอดไหม ? จึงต้องระมัดระวัง อาราธนาพระเอาไว้ทุกวัน อาตมาเองรับยันต์เกราะเพชรใหม่ ๆ มองวันไหนก็เห็นยันต์เกราะเพชรสว่างใสอยู่ในท้อง ไปไหนก็ไปตัวเปล่า ลุยกระจาย จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบอกไม่ให้ประมาท พกพระเอาไว้บ้าง หลวงพ่อท่านเมตตาบอกว่า "ถ้าแกไม่เผลอ กำลังใจทรงตัวอยู่ก็รอด แต่ถ้าวันไหนเผลอแกจะโดน ยันต์เกราะเพชรไม่ได้กันไสยศาสตร์ไม่ให้ทำอันตรายอย่างสิ้นเชิง ถ้าวาระกรรมหนักมา จะกันไม่ให้ตายจากไสยศาสตร์เท่านั้น ต้องโดนบ้างเหมือนกัน" ท่านเปรียบว่าเหมือนกับคนเขาก่อกองไฟใหญ่เอาไว้ มีวัสดุมากั้นระหว่างเรากับกองไฟ วัสดุนั้นคือยันต์เกราะเพชร ถ้ากองไฟนั้นใหญ่มาก ความร้อนก็ยังผ่านวัสดุมาถึงเราได้ แต่ว่าเปลวไฟไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ ดังนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือภาวนาไว้ทั้งวัน..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเคยดูวีดีโอคลิปเรื่องของน้องกัน (ทรงเสถียร ท้าวทัญ)บ้าง ที่เขาป่วยไม่สามารถเดินไปไหนได้ แม่ต้องอุ้มไปวัด น้องกันมักจะนอนฟังเสียงธรรมะ แกบอกว่าที่อยากให้แม่พามาวัดเพื่อจะได้พบพระรัตนตรัย มาวัดแล้วได้ไหว้พระพุทธรูป ได้ฟังพระเทศน์ ได้เห็นพระสงฆ์ ครบพระรัตนตรัยพอดี นั่นเด็กพูดนะ..พูดจารู้เรื่องเป็นผู้ใหญ่มาก
คนถามว่าอิจฉาน้องกี้ไหม ? เพราะว่าน้องวิ่งเล่นได้ ไปเล่นกับเพื่อน ๆ ได้ น้องกันตอบว่าแรก ๆ ก็เป็น แต่พอฟังธรรมแล้วเข้าใจว่าคนเราสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน เราทำกรรมหนักมาก็ต้องรับกรรมอย่างนี้ไป ถ้าเกิดใหม่ก็ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้อีก เขาถามว่าเกิดใหม่อยากเป็นอะไร น้องเขาตอบว่าเกิดใหม่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งเป้าไว้สูงมากเลย..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราอ้วนสิ่งที่จะเสียเร็วที่สุดคือหัวเข่า เพราะฉะนั้น..ใครไม่อยากใช้ไม้เท้าตั้งแต่สาว ๆ ให้รีบลดน้ำหนัก รู้ไหมว่ามียาลดความอ้วนราคาแค่ไม่กี่สตางค์เอง ก็คือไปซื้อพลาสเตอร์มาปิดปาก ถ้ายังไม่ถึงมื้ออย่างไรก็ไม่กิน รับรองไม่กี่วันก็เห็นผล
ถ้าจะลดความอ้วนนี่อาหารมื้อเช้าสำคัญที่สุด จะต้องกินให้เต็มที่ มื้อกลางวันลดลงครึ่งหนึ่ง มื้อเย็นไม่กินเลยก็ได้ ตอนอาตมาถือศีล ๘ ใหม่ ๆ เดือนเดียวน้ำหนักหายไป ๙ กิโลกรัมครึ่ง นั่นลดแค่มื้อเย็นนะ ส่วนใหญ่พวกเราไปกินหนักมื้อเย็น มื้อเช้าเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงกลางวัน มื้อกลางวันเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงเย็น มื้อเย็นเรากินแล้วร่างกายเก็บไว้ ไม่ได้ใช้ ทำให้บางคนทำอย่างไรก็อ้วน เพราะไปกินหนักที่มื้อเย็น ส่วนบางคนสงสัยว่ากินแต่นมทำไมถึงอ้วน เพราะนมมีพวกไขมันเยอะ เนยที่เป็นไขมันเข้มข้นก็ทำมาจากนม" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อยู่ในท่าเดียวเป็นชั่วโมง จะรู้สึกเมื่อย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อแก้อาการทุกขเวทนา เรียกว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์
เมื่อครู่นี้ที่บอกไปว่า สันตติปิดบังอนิจจัง เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิดต่อเนื่องไปเรื่อย การต่อเนื่องเขาเรียกว่าสันตติ การเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทำให้คนไม่เห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง ส่วนอิริยาบถปิดบังความทุกข์ คือเราเมื่อย เราก็ขยับเดิน ยืน นั่ง นอน แต่ถ้าอยู่ท่าเดียวตลอดก็ไม่ไหว สมัยอาตมาเป็นทหาร มีครูฝึกคนหนึ่ง คือ จ.ส.อ.สัจจะ ฤทธิ์ขจร เป็นครูฝึกที่ไม่แตะต้องตัวทหารเลย ครูบอกว่า "กูเป็นสุภาพบุรุษ กูไม่ทำร้ายร่างกายพวกมึงหรอก.." แต่จ่าสัจจะเวลาสั่งลงโทษทหาร แค่สั่งว่า “มึงไปกอดเสาไฟอยู่ตรงนั้น จนกว่ากูจะบอกให้เลิก” ลองคิดดู ไปยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ ชั่วโมงหนึ่งแทบจะตายเสียให้ได้ เพราะฉะนั้น..จ่าสัจจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่ทหารกลัวฉิบหายเลย คราวนี้เห็นหรือยังว่า ถ้าไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถนี่เราจะทุกข์ขนาดไหน ยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ เท่านั้น พอเลิกระบมไปทั้งตัวเลย ฆนะปิดบังอนัตตา ฆนะ คือความจับกันเป็นแท่ง เป็นก้อน ฆนะปิดบังจึงไม่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาจากส่วนเล็ก ๆ ทั้งหมด เหมือนกับกำแพง เราเห็นว่าเป็นกำแพง แต่ถ้าเราถอดออกมาจริง ๆ ก็เป็นอิฐทีละก้อน ๆ มาประกอบกัน ถ้าถอดเป็นอิฐทีละก้อนก็จะเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของกำแพง แต่คราวนี้พอรวมกันเข้าไปเป็นก้อน เป็นแท่ง เป็นแผ่น เป็นผืน ก็เลยปิดบังสภาพอนัตตาไว้ได้ คือบังความไม่มีตัวตน เหมือนกับร่างกายของเราที่ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เป็นอาการ ๓๒ ปิดบังทำให้เราเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา แต่ถ้าเราแยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็หมดเลย ถ้าเราเห็นว่าสาวคนนี้สวยจังเลย หนุ่มคนนี้หล่อจังเลย ลองถอดออกมาเป็นชิ้น ๆ ดูสิว่าสวยตรงไหน ? หล่อตรงไหน ? ถอดเอาจมูกออกมาวาง เอาตาออกมาวาง เอาหูออกมาวาง แต่ละอย่างก็ยังเหมือนเดิม แต่ทำไมพอถอดเป็นชิ้น ๆ แล้วกลับดูไม่ได้เลย พอประกอบกันเข้าไป กลับปิดบังอนัตตาไปแล้ว กลายเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญามากพอสมควรถึงจะถอดประกอบออกมาได้ อย่างที่สมัยก่อนอาตมาสอนพวกเราให้ถอดเป็นชิ้น ๆ ระยะหลังที่ไม่สอนเพราะปล่อยให้ใช้ความพยายามกันเองบ้าง สอนมาเยอะแล้ว ลองปล่อยให้ไปหากินเองบ้าง" |
ถาม : คนศาสนาอื่นที่เขามาฝึกมโนยิทธิ แล้วต้องจับภาพพระ จะถือว่าเขาผิดหลักศาสนาของเขาไหมครับ ?
ตอบ : คนศาสนาอื่นมาฝึกมโนยิทธิแล้วใช้การจับภาพพระถือว่าผิดหลักศาสนาของเขา แต่ถูกวิธีของเรา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอีกไหม ? ถ้าคิดว่าผิดหลักศาสนาของเขาก็ผิดตั้งแต่เขามาฝึกแล้ว |
ถาม : เงินที่เราหยอดกระปุกทำบุญทุกวัน เราตั้งเจตนาทำบุญชำระหนี้สงฆ์ ทีนี้เงินเป็นเหรียญเยอะ แล้วเราแลกเป็นธนบัตร แบบนี้ไม่เกิดโทษกับเราใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกิดโทษ สะดวกดีด้วย พระท่านก็ไม่ต้องแบกหนักมาก ถาม : แล้วตั้งเจตนาเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหากว่าเราตายไปก่อนยังมีอานิสงส์ไหมครับ ? ตอบ : มีอานิสงส์ตั้งแต่ตั้งเจตนาแล้ว ถาม : แล้วถ้าคนอื่นเขาเอาไปเล่าครับ ? ตอบ : เขาก็ติดหนี้สงฆ์ ความซวยเป็นของเขา เพราะฉะนั้น..เราก็เขียนติดป้ายไว้ว่าชำระหนี้สงฆ์ จะได้ช่วยเตือนสติเขาหน่อย ถาม : ถ้าเป็นเงินเหรียญที่คนอื่นเขาทำบุญชำระหนี้สงฆ์มา เขาตั้งเจตนาชำระหนี้สงฆ์ด้วย เห็นว่าเหรียญเยอะ เราแลกเป็นธนบัตรมาทำบุญแทนได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้..แลกเป็นธนบัตรมาก็ใช้ได้ ถือว่าทำบุญแบบคนฉลาด อานิสงส์นี้ต่อไปเวลาได้อะไรก็จะได้แบบสบาย ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะจารวัตถุมงคลแจกพวกที่ไปนราธิวาส จะได้รู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่า ? ปกติแล้ววัตถุมงคลทางสายหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามเหนียว หลวงพ่อท่านบอกว่า ลูกศิษย์ท่านส่วนใหญ่มาทางสายพุทธภูมิ พวกนี้มาแรงเป็นปกติ ถ้าหากว่าเหนียวเดี๋ยวจะไม่มีใครเอาอยู่ ท่านก็เลยห้ามทำวัตถุมงคลที่เหนียว ถ้าจะทำวัตถุมงคลที่เหนียว ให้เว้นข้อมือกับข้อเท้าไว้ เพื่อให้มีจุดอ่อน
แต่จริง ๆ แล้ววัตถุมงคลที่เหนียวจะเสกง่ายกว่า วัตถุมงคลที่เสกยากก็คือทางด้านเมตตา ทางด้านลาภ อาตมานี่เล่นของยากมาตลอด แต่คนเขาคิดว่าง่าย วัตถุมงคลทางด้านเมตตามหานิยม ต้องออกจากใจคนเสกจริง ๆ ถ้าคนเสกไม่มีเมตตาจริง ๆ ทำขึ้นไม่เต็มที่หรอก ส่วนวัตถุมงคลทางด้านลาภผลนั้น คนเสกต้องมีพื้นฐานของทานบารมีมาแต่อดีต ไม่อย่างนั้นเท่ากับตัดของตัวเองให้เขาหมด เดี๋ยวตัวเองได้จนตายชัก..! แต่อาตมาชอบพวกแคล้วคลาดมากกว่า โดยเฉพาะพวกแคล้วคลาดปืน แคล้วคลาดระเบิด เสียงดัง ๆ อร่อยหูดี ถึงเวลาพวกเราก็เฮพร้อม ๆ กันบอกว่า “เอาอีก ๆ” พวกวางระเบิดคงยืนเกาหัวว่า ไอ้พวกนี้บ้าหรือเปล่า ? สมัยก่อนทหารออกรบ ๑ กองร้อย พระไปอย่างน้อยประมาณ ๑ กองพล มากกว่าประมาณ ๑๐ เท่า พวกเราลงใต้ไปกัน ๘๐ คน พระน่าจะไปประมาณ ๘๐๐ องค์ นี่ถือว่าเกินโควตามากแล้ว สมัยที่ท่านพ่อขุนแผนตีเชียงใหม่ ไปกันแค่ ๓๗ คนเอง มีขุนแผน มีพลายงาม และเพื่อนนักโทษอีก ๓๕ คน ตีเชียงใหม่ซะเละเป็นโจ๊กเลย" |
ถาม : เมื่อวานตอนกลับบ้านไปของขึ้น มีคนโทรมาถามเรื่องการปฏิบัติ พอสักพักก็ตัวสั่น เหมือนกับว่ามีกำลังส่งมา หลังจากนั้นแล้วคนนั้นก็โทรมา คนนี้ก็โทรมา หนูก็สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้นค่ะ
ตอบ : บอกท่านว่าไม่ต้องเข้า แค่ช่วยเฉย ๆ ก็พอ ถ้าหากว่าขืนเข้าเดี๋ยวหนูจะอาละวาดด่าไม่หยุด..! ถาม : เป็นอย่างนี้บางครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ตอบ : บางคนอาจจะเนื่องกับท่านมา ท่านก็ส่งกำลังมาช่วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตอบคำถามไม่ถูกใจคนถาม แต่ขอโทษเถอะ..ถ้าตอบคำถามถูกใจเดี๋ยวเขาก็มากวนเราเรื่อย ถาม : บางทีเรารู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ แต่ก็พลิกไปใช้อีกคำพูดหนึ่งให้เหมาะกับคน ๆ นี้ ตอบ : ระวังไว้..เดี๋ยวจะเดือดร้อนขึ้นมา คนเราถ้าเขาหมายมั่นปั้นมือว่าคุณคือที่พึ่งแล้ว เขาจะเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย ถ้าตอนนั้นเรามีวัตถุมงคลกี่ชิ้นฉวยขึ้นมาเลย ถือโอกาสปลุกไปในตัว อยากส่งกำลังมาดีนัก ดูดให้หมด..! ถาม : ค้างอยู่นานหลายชั่วโมงเลยค่ะ ตอบ : ก็ดีอยู่นะ..ตอนนั้นกิเลสกินเราไม่ได้ แต่ว่าทำให้หัวใจเราเต้นผิดจังหวะ เราจะเหนื่อย อาตมาถึงได้ไม่เอาเลย ถ้าจะมาก็มาปกติ อย่าทำให้ผิดปกติเดี๋ยวตูตายเร็ว ไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เหนื่อยเลยไม่เอา |
ถาม : ถ้าท่านส่งกำลังมาอีก แล้วเราไม่ต้องการรับ เราจะปฏิเสธอย่างไร ?
ตอบ : ก็ไม่รับแค่นั้นเอง เอาแค่เฉพาะการใช้งานของพระศาสนา นอกเหนือจากนั้นไม่เอา ไม่อย่างนั้นนาน ๆ ไปจะกลายเป็นร่างทรง ถาม : บางทีเป็นนานแล้วหนูเหนื่อย ตอบ : ที่วัดท่าขนุนห้ามทรง ถ้าไปทรงสั่นแหง็ก ๆ ที่นั่น จะรู้ว่าเจ้าอาวาสมือหนักแค่ไหน ผัวะเดียวร่วงมาเยอะแล้ว..! ถาม : ถ้าปฏิเสธแล้วเขายังไม่ไป ? ตอบ : บอกท่านว่าถ้าอยากจะใช้อย่ามาแรง ถ้ามาแรงแล้วทางวัดเขาไม่รับ นี่เราดันจะมาขลังเอาตอนนี้ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มารับตะกรุดมหาสะท้อนว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนนี่ห้ามเด็กใช้นะจ๊ะ ถ้าเราเผลอไปตีเด็กแล้วเราจะโดนซะเอง ตะกรุดมหาสะท้อนไม่ได้คืนเท่าเดียวนะจ๊ะ คืนหลายเท่า..! แล้วอีกอย่างก็คืออย่าเผลอเข้าไปในที่ ๆ คนหรือสัตว์ที่จะคลอด เพราะว่าจะทำให้เขาคลอดไม่ออก
ช่วงที่ผ่านมาหมาวัดกำลังจะคลอด แล้วดันไปติดใจหลังกุฏิของพระรูปหนึ่งในวัด ก็คือท่านคอม(พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ก็เลยไปทำรังเตรียมจะคลอด ปรากฏว่าร้องครางอยู่เป็นวันเลย คลอดไม่ได้สักที จนท่านคอมนึกได้ว่าหัวนอนท่านเก็บไว้ตะกรุดมหาสะท้อน ๗-๘ ดอก และหมาก็อยู่ตรงนั้นพอดี ท่านคิดว่าต้องเป็นสาเหตุนี้แน่ จึงรีบคว้าตะกรุดแล้วออกมาข้างนอก พอแม่หมายืนขึ้น ลูกก็หล่นออกมา ๕ ตัว เพราะอั้นมาเป็นวัน..! ท่านคอมบอกว่าใจหายวาบเลย ถ้าหากว่ารู้ช้านี่แม่หมาอาจจะตาย ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เข้าไป แต่แม่หมาเข้ามาเอง เพราะฉะนั้น..ตะกรุดมหาสะท้อนถ้าใช้ผิดก็อันตรายมาก แล้วอาตมาก็เขลาไปหน่อย สร้างพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านดันใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าพกพระรุ่นนั้นไว้ก็อาจจะคลอดไม่ได้ไปด้วย ไม่ได้เจตนา คิดแต่ว่าจะใส่ชนวนสำคัญเลยลืมไป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้นั่งทำงานอยู่ข้างบน ก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่มีชาวตะวันตกหลายรายบอกว่า การทำความดีตามหลักพระศาสนาก็เพื่อความสุข แต่ทำไมพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ ? แสดงว่าฝรั่งเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้น จริง ๆ แล้วก็คือความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้น
ความจริงแล้วเรื่องของทุกข์ไม่มีใครอยากได้ ก็เลยพลอยผลักไสปฏิเสธไปด้วย แต่ว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการย้อนทวนกระแส ความสุขทำให้คนหลงยึดติดได้ง่าย เพราะเห็นว่าสุขจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี หารู้ไม่ว่ามีโทษยิ่งกว่าความทุกข์อีก โดยเฉพาะบุคคลถ้าหวังความหลุดพ้น ไม่ว่าจะติดสุขหรือว่าติดทุกข์ก็ไปไม่รอดทั้งคู่ ในเรื่องของความทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นของที่มีค่ามหาศาล พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราคำนวณว่าแต่ละชาติใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนเงินเท่าไร บวกลบคูณหารออกแล้วรับรองว่าจะได้ตัวเลขมหัศจรรย์ที่อ่านออกมาไม่ได้ เพราะมหาศาลจริง ๆ ทั้งหมดที่พระองค์ท่านเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ ก็เพื่อตรัสรู้ในเรื่องของความทุกข์นี่เอง เพื่อการรู้เห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง รู้ว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วสามารถที่จะออกจากทุกข์อย่างไร ในเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าความทุกข์นั้นมีค่ามหาศาลที่ประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ เงินทองตลอดชีวิตที่เราทำมาได้ก็ไม่พอซื้อ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าพอทุกข์อยู่ตรงหน้าแล้วพวกเราดันเผ่นหนีกัน แล้วเมื่อไรเราจะรู้เสียทีว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้ก็จะไม่เบื่อ ไม่เข็ด ไม่กลัว ก็ต้องทนอยู่กับทุกข์ต่อไป แต่หากว่ารู้แล้ว ถ้าเรามี สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ก็จะเกิดอาการเบื่อ อาการเข็ด อาการกลัว แล้วก็เร่งหาทางพ้นจากความทุกข์ ดังนั้น..ที่ฝรั่งเขาความถามว่าหลักการของพระศาสนาต่าง ๆ เขาปฏิบัติเพื่อความสุข แต่ทำไมศาสนาพุทธพูดถึงแต่ทุกข์ทั้งนั้น ก็เพราะว่าความสุขที่ฝรั่งว่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นโลกียสุข เป็นความสุขที่เนื่องด้วยโลกียะ ไม่ใช่ความสุขที่เป็นโลกุตระ คือหลุดพ้นออกจากกองทุกข์ทั้งปวง ความสุขของโลกียะนั้นไม่ยั่งยืน พอขาดตัวกระตุ้น ขาดตัวหนุนเสริม ความสุขนั้นก็หายไป แต่ความสุขที่เป็นโลกุตรสุขนั้น เมื่อเข้าถึงแล้วคงตัวอยู่ไม่ไปไหน สิ่งที่เราวิ่งหากันอยู่ทุกวันคือความสุขในการหลุดพ้น แต่จะเข้าถึงความสุขในการหลุดพ้นได้เราต้องย้อนทวนความทุกข์ไปก่อน ก้าวทะลุกำแพงทุกข์เมื่อไรก็แปลว่าพบความสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง" |
"อาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา อะไรที่ยากลำบากนี่จะวิ่งใส่เลย ถือเป็นความมันในชีวิต คิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา คิดว่าเราสร้างบารมีมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าทำอะไรง่าย ๆ แล้วเสียศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น..อะไรที่ยากเท่าไรก็มันเท่านั้น ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ต้องอึดพอ ถ้าหน้าไม่ด้านพอเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว..!
มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเรากระโดดเข้าหาความทุกข์ เราก็จะไม่ต้องโดนบังคับให้ทุกข์ ตรงนี้เคยพูดหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่คาดว่าญาติโยมทั้งหลายจะลืมไป บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เข็ดกลัว แล้วหาทางหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์นั้น ถ้าตราบใดที่ไม่เห็นความทุกข์อย่างชัดแจ้ง ก็จะหลุดพ้นไม่ได้ แล้วพวกเราก็อธิษฐานกัน ขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ไม่ดูความทุกข์สักทีแล้วเมื่อไรจะถึงพระนิพพาน พวกเราส่วนใหญ่ลงมาก่อนเวลา ในเมื่อลงมาก่อนเวลา ก็ต้องไปขออนุญาตเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ให้ท่านช่วยรับรองให้ เทวดาที่ท่านรับรองให้ก็ต้องเป็นเจ้านายใหญ่ ก็คือท่านปู่พระอินทร์แล้วก็รวมท่านย่าไปด้วย ท่านย่าเคยบอกว่า ถ้าใครไม่ยอมพิจารณาให้เห็นทุกข์แล้วอยากจะไปนิพพาน ก็จะต้องโดนบังคับให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ใครที่รู้สึกว่าชีวิตกูลำบากฉิบหายเลย ถ้าอยากจะสบายขึ้นให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัดเจน ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบังคับ ลองนึกดูว่าถ้าเราเลี้ยงวัว วัวตัวไหนที่น่ารัก เดินอยู่ในทาง จะไปโดนตีโดนเฆี่ยนได้อย่างไร ? ส่วนประเภทที่แวะเกะกะข้างทางไม่พอ แล้วยังไปกินข้าวชาวบ้านเขาอีก ก็ต้องโดนไม้ คราวนี้พอเจ็บพอลำบากขึ้นมาก็โวยวาย หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ยอมเดินไปดี ๆ เอง" |
"ฉะนั้น..รีบกลับไปพิจารณาเห็นทุกข์ให้ชัด จะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้ทุกข์ วิธีบังคับให้ทุกข์ที่อาตมาเห็นมาส่วนใหญ่จะเป็นโรคมะเร็ง เจ็บปวดสาหัสดีนักแล อยากหายจากโรคมะเร็งให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัด แต่อาตมาไม่ยืนยันว่าจะหายจากโรคมะเร็ง เพียงแต่บอกให้รู้ว่าถ้าตั้งใจไปพระนิพพานต้องเห็นทุกข์จนเบื่อร่างกายนี้ก่อน
อาตมาวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาวิ่งรถ ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร ออกตีสามกลับมาถึงที่นี่เที่ยงคืน แล้วต้องมารับสังฆทานต่อ ยอมเหนื่อยเพราะรู้ว่า แค่นี้ตัวเองยังรับได้ พอทนได้กับความเหนื่อยแค่นี้ แต่ถ้าให้เขามาเองนี่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหนักเบาเท่าไร เพราะฉะนั้น..วิ่งใส่งานดีกว่า ดีกว่าให้ความทุกข์เข้ามาบังคับเราเอง สรุปแล้วเมื่อครู่ขึ้นไปนั่งทำงาน เลยคิดอะไรได้ตั้งเยอะแยะ" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:06 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.