![]() |
ถาม : อย่างเราไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านไปเอง ?
ตอบ : จิตจะปรุงแต่งเองเป็นปกติ เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ดังนั้นเราถึงต้องใช้สมาธิมาช่วย ถ้าเราอยู่กับสมาธิเฉพาะหน้า จิตจะไม่คิดเรื่องอื่น ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ แต่ถ้าหากเราหลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าตรงนี้เมื่อไร ถ้าไม่ไปอดีต ก็จะไปอนาคต แล้วจะสร้างทุกข์ให้เราในทันที ส่วนใหญ่ก็จะไปโหยหาอาลัยกับอดีต แล้วก็จะไปฟุ้งซ่านกับอนาคต ซึ่งทุกข์ตั้งแต่คิดแล้ว อย่าว่าแต่ทำเลย ถาม : บางทีเราไม่ได้ไปคิดอดีต เราแค่มอง แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอดีต ตอบ : ถ้าหากว่าจิตเราละเอียดพอ เราจะรู้ว่ามาจากอดีตหรือฟุ้งไปในอนาคต ขอให้เรารู้ว่าเราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว ถ้าหลุดไปจากตรงนี้เมื่อไรก็เริ่มเสร็จกิเลสแล้ว ถาม : แล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากอดีตหรืออนาคตได้อย่างไร ? ตอบ : ค่อย ๆ ปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง พอสมาธิดีขึ้น ปัญญาเกิด ก็จะรู้ทันได้ เราจะเห็นช่องทางมากขึ้น แล้วก็จะประคับประคองตัวเราให้รอดได้ แต่ที่ยังไม่รอดเพราะสมาธิไม่ทรงตัว ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้คือ ทำสมาธิเสร็จแล้วเราทิ้งเลย ก็เลยกลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลงเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านกันใหญ่ ทำอย่างไรเวลาเราปฏิบัติพอกำลังใจนิ่ง รัก โลภ โกรธ หลงสงบลงได้ชั่วคราว แล้วเราจะรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ยิ่งทำนานขึ้น ๆ สภาพจิตยิ่งผ่องใส ปัญญาจะยิ่งเกิด ก็จะเห็นช่องทางที่เราจะแก้ไข พลิกแพลง เอาตัวรอดจากตรงนั้นได้ จนกว่าสภาพจิตจะมีกำลังเพียงพอที่สามารถจะหยุดปรุงแต่งได้ |
อย่างพระอาจารย์ทูล วัดป่าบ้านค้อ ท่านบอกว่าทำอย่างไรที่จะหยุดกระแสได้ พอหยุดกระแสได้ คราวนี้ทำอย่างไรจะตัดกระแสขาด แล้วคราวนี้ทำอย่างไรจะข้ามกระแสพ้น
ในลักษณะเดียวกัน พอมีสมาธิหยุดยั้งได้ ปัญญาก็จะเกิด เราจะหาช่องทางได้ว่าทำไมตรงนี้จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา เราก็จะเห็นว่า ตาที่เห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด จะเกิด ๒ อารมณ์คือชอบกับไม่ชอบ ชอบก็เป็นโลภะกับราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะกับโมหะ กินใจเราทั้งคู่ ทำอย่างไรที่เราจะไม่ให้ทั้งสองอย่างนี้เกิด ก็คือหยุดอยู่กับตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ไม่ไปคิดต่อ ไม่ไปปรุงต่อ ในเมื่อเราสามารถทำถึงตรงนี้ได้แล้ว สามารถที่จะหยุดโดยอัตโนมัติได้ทุกครั้ง ก็แสดงว่ากำลังเราพอ ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด...ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด ถ้าอย่างนี้เราถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังไม่พอ อย่าว่าแต่เห็นช่องทางเลย หยุดก็ยังหยุดไม่ได้ เอาตัวไม่รอด ดังนั้น..ต้องเร่งการปฏิบัติให้มากขึ้นไปอีก |
ถาม : ท่านบอกว่า ทำศีล สมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด เป็นการเกิดขึ้นเองเลยด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราต้องช่วยด้วย ไม่ใช่ไปรอให้เกิดเองอย่างเดียว พอถึงเวลาก็ซักซ้อมคิดให้เห็นความเป็นจริง ว่าสภาพจิตของเราไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร แรก ๆ จะเป็นแค่ความจำ คือ สัญญา แต่พอซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ถ้าศีล สมาธิเพียงพอ ปัญญาจริง ๆ ก็จะเกิด จากที่แค่จำได้ ก็จะกลายเป็นทำได้ จากสัญญาคือจำได้ จะกลายเป็นปัญญาคือทำได้จริง ๆ ถาม : ส่วนหนึ่งที่บอกว่า ถ้ากำลังถึง ปัญญาก็จะถึง จะทำอย่างไรให้ปัญญาถึงขึ้นมา คือการซักซ้อมบ่อย ๆ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : จำเป็นต้องมีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ จนกว่าจะยอมรับอย่างแท้จริง ซ้ำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ ต้องบอกว่า ทำให้มากเข้าไว้แล้วจะดีเอง |
ถาม : อย่างเวลาเรานั่งภาวนา เหมือนเราดูลมหายใจ เราดูความคิด เราไม่รู้ว่าเราคิดอะไร เหมือนกับหายไป ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นสติตามไม่ทัน สมาธิเริ่มทรงตัวขึ้นแต่สติตามไม่ทัน ถาม : แล้ววูบกลับมา ? ตอบ : ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ติด ๆ เลย ลมเข้าไปเราไปด้วย ลมออกมาเรามาด้วย กอดคอไปตลอดทางเลย ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเกิดอาการอย่างที่ว่ามา เราจะสังเกตว่าเรามารู้ตัวอีกที อ้าว..หายไปไหน แล้วเราก็มาเริ่มต้นภาวนาใหม่ คือสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว แต่ว่าสติตามไม่ทัน ฉะนั้น..ตามดูตามจี้ติด ๆ ไว้ ถ้าสามารถเกาะติดลมหายใจได้ก็สบาย ถาม : สตินี่ส่วนสติ สมาธิส่วนสมาธิหรือครับ ? หรือแยกกันครับ ? ตอบ : สองอย่างเอื้อกันอยู่ แต่ว่าจำเป็นต้องไปด้วยกัน แยกกันเมื่อไรก็เจ๊ง บอกแล้วว่าของเราสติตามสมาธิไม่ทัน เพราะว่าแยกกันไปแล้ว ถ้าหากว่าตีคู่กันไป ทันกัน เราก็จะรู้อยู่ ถาม : การฝึกสติมาก ๆ จะก่อให้เกิดสมาธิใช่ไหมครับ ? ตอบ : การฝึกสมาธิ สติจะได้ด้วย เมื่อสติทรงตัวก็จะไปควบคุมสมาธิที่ทรงตัวไปด้วย เหมือนกับด้ายของเชือกที่อยู่เส้นเดียวกัน พอถึงเวลาตีเกลียวก็เป็นเชือก ไม่อย่างนั้นต่างคนต่างอยู่ |
ถาม : อย่างที่เขาบอกว่า ปฏิบัติตามรูปแบบการเดินจงกรม หรือนั่งตามแบบทั่วไป อย่างไหนสำคัญ ?
ตอบ : สำคัญที่ทำอย่างไรให้สติเราระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบที่บังคับให้สติ สมาธิเกิดเท่านั้น ไม่ว่าจะเดินจงกรม จะภาวนาแบบไหนก็ตาม ในเมื่อเกิดสมาธิแล้วเราจะเอามาใช้งานจริงได้อย่างไร นั่นจึงสำคัญที่สุด เพราะว่าเราจะไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ทุกวัน ๆ ตลอดเวลา ทำอย่างไรที่อันดับแรก เราตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อนที่จะไม่ให้หัวร้างข้างแตก แล้วหลังจากนั้นค่อยทำอย่างไรถึงจะหลบเลี่ยงจากสภาวะนั้น ๆ ไม่ให้โดนอีก แล้วท้ายที่สุด ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสภาวะนั้นอีกเลย ถาม : เวลาเรานั่ง การนั่งเราไม่ค่อยชอบ แต่ทุกอิริยาบถเราทำตลอดเวลา ตอบ : ถ้าทำทุกอิริยาบถได้จะดีกว่า ถาม : ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบการนั่ง ตอบ : ไม่จำเป็น ไม่ว่าคุณจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อะไรก็แล้วแต่ ให้สติควบคุมอยู่ตลอด อย่าหลุดไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง อย่าให้นิวรณ์ ก็คือความรักระหว่างเพศ ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย อย่าให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา ให้จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้านี้ตลอดไป ถ้าใครทำได้ งานทุกอย่างจะดีมาก เพราะมีสติจดจ่ออยู่ตรงหน้า งานก็คืองานอย่างเดียว จดจ่ออยู่ตรงนี้เลย รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้าไม่ได้ ถาม : ถ้าเกิดขึ้นมา แวบขึ้นมา เราตัดให้เร็ว ? ตอบ : ถ้ารู้ตัวก็รีบผลักออกไปให้เร็วที่สุด |
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จะมีการเรอตลอดเวลา จะทำให้อาการสมาธิขาดไป เราจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : อาการอย่างนั้น ภาษาพระเรียกขันธมาร คือร่างกายรบกวนเพื่อให้เราเสียสมาธิ ถาม : จะแก้อย่างไร ? ตอบ : เรารู้ตัวว่าจะเรอก็เอาสติกดอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย อย่าให้สมาธิเคลื่อน แล้วค่อยเรอ ให้รู้ตัวไว้ก่อน ถาม : ให้เรารู้ตัวว่าเราเรอออกมา ? ตอบ : จะได้ไม่หลุดไปไหน จะได้รู้ตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วพอเรารู้เท่าทัน เขาแกล้งไม่ได้..เดี๋ยวก็เลิกไปเอง |
ถาม : เวลาอุทิศส่วนกุศลถวายในหลวงจะถึงหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราตั้งใจ สิ่งแรกที่ได้คือตัวเราเอง สิ่งไหนที่ทำแล้วให้ตัวเองเจริญ ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราพึงกระทำ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่าไปคิดถึงตรงนั้น เพราะว่าถ้ามัวแต่ไปลังเลอยู่ เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คุณแดง (มงคล จอมผา) เป็นบุคคลในตำนาน ลงหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์อยู่บ่อย ๆ บางทีอาตมาไม่เจอหน้าเขา ถามแม่ทองดีว่า "แม่ ๆ ไอ้แดงล่ะ? ได้โทรมาบ้างหรือเปล่า?" แม่เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ?
“ไม่โทรมาแปลว่าสบายดี ถ้าโทรมาเมื่อไรแม่ต้องเดือดร้อนควักเงินทุกทีเลย” แม่เขาทำใจได้เลยนะ เขารู้นิสัยลูกเขา ถ้าไม่โทรมาแปลว่าสบายดี โทรมาเมื่อไรแม่เตรียมจ่ายได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องเป็นแม่ที่ไม่หวังให้ลูกโทรมา" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพี่ประทีป (พระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี) เป็นพระรูปเดียวในวัดที่ไปขอลาสึก แต่หลวงพ่อไม่อนุญาต ปกติใครลาสึกไม่ว่าจะขนาดไหน หลวงพ่อให้สึกหมด ขนาดหลวงพี่ชัยศรีที่ใคร ๆ คิดว่าจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อได้ยังให้สึก แต่หลวงพี่ประทีปหลวงพ่อไม่ให้สึก
ที่ขำที่สุดก็คือ พอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่ประทีป อาตมา ท่านสมนึก ๓ คนเฝ้าศพหลวงพ่ออยู่ทุกคืน คอยเปลี่ยนผ้าครอง คอยเช็ดตัวถวายหลวงพ่อ ปรากฏว่าพอทำบุญครบ ๑๐๐ วันเสร็จ หลวงพี่ประทีปก็คิดจะสึก รุ่งเช้าท่านเดินหัวปูดมาเลย อาตมาถามว่าไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่า "เมื่อคืนโดนป๋าตีกบาลมา..!" ถามว่าโดนตอนไหน "ตอนเข้ามุ้ง" พี่เขาคิดว่างานเสร็จก็จะสึกแล้ว ปรากฏว่าก้มหัวเข้ามุ้ง เสียงเปรี้ยง..! ดาวขึ้นว่อนเลย สรุปแล้วตอนตายท่านตีเจ็บกว่าตอนเป็นอีก หัวปูดเป็นลอนเลยนะ" |
"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๖ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะปฏิบัติตนแบบอารยชน ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษามาจากตะวันตก พูดภาษาชาวบ้านก็คือจะมีผัวเดียวเมียเดียว แต่งงานกับใครก็ให้มีการจดทะเบียนสมรส เพื่อให้มีการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่พระองค์ท่านเมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ไม่มีทั้งพระโอรสทั้งพระธิดา ก็ต้องทรงหย่า แล้วก็อภิเษกสมรสใหม่ จนกระทั่งมาถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ถึงได้มีพระประสูติกาล แต่ว่าเป็นพระราชธิดา ช่วงนั้นพระองค์ท่านรอคอยว่าจะมีผู้สืบราชสมบัติหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่พระอาการประชวรหนักมากแล้ว พอเจ้าพระยารามราฆพแจ้งว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติกาลแล้ว แต่ไม่ได้เสียงประโคม พระองค์ท่านก็ทราบทันทีว่าเป็นพระราชธิดา เพราะถ้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอจะมีการประโคมแตรสังข์ ฆ้อง กลอง มโหระทึก ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณี พระองค์รับสั่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ลูกผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน” แล้วก็หมดพระสติ หลังจากนั้นไม่นานก็เสด็จสวรรคต พระมเหสีในรัชกาลที่ ๖ ที่ได้รับการสถาปนาก็มีสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา, สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ส่วนพระนางเธอลักษมีลาวัณ ไม่ได้รับการสถาปนา ต้องเรียกว่าเลื่อนพระยศให้ แต่ไม่ถึงระดับสมเด็จพระนางเจ้า สรุปแล้วว่าพระองค์ท่านถึงจะมีพระมเหสีหลายองค์ แต่ว่าทรงจดทะเบียนสมรสครั้งละ ๑ องค์เท่านั้น พอเห็นว่าไม่มีพระโอรสพระธิดาจริง ๆ ถึงได้ทรงหย่า แล้วก็ทรงจดทะเบียนสมรสกับพระองค์ใหม่ พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่างให้ไพร่ฟ้าประชากรทั้งหมดในเรื่องของการมีผัวเดียวเมียเดียว ในเมื่อพระองค์ท่านทำตัวเป็นตัวอย่างแล้ว ใครที่คิดจะมีหลาย ๆ คนก็ต้องคิดให้ดีว่าเลี้ยงไหวหรือเปล่า?" |
"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นลูกพี่ลูกน้องของในหลวง ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่อาวุโสสูงสุด
พระองค์ท่านเสด็จทรงงาน ระยะหลังแม้กระทั่งประทับนั่งรถเข็นก็ยังไป พระบรมวงศานุวงศ์ของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติจนกระทั่งวาระสุดท้ายแทบทั้งนั้น ในเมื่อพระองค์มีพระยศสูงมาก โดยเฉพาะเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ก็ต้องมีการพระราชทานเพลิงโดยสร้างพระเมรุมาศ อยากจะบอกว่าพวกเราเกิดมาในวาระที่เหมาะสมก็ใช่ ที่ไม่เอาไหนเลยก็ใช่ เพราะว่าในช่วงชีวิตของอาตมา งานใหญ่ ๆ ซึ่งไม่น่ามีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น อย่างงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เมื่อปี ๒๕๑๔ ก็คืองานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ครบ ๒๕ ปี งานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีเมื่อปี ๒๕๒๕ งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ปี ๒๕๒๘ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๐ งานฉลองรัชมังคลาภิเษกปี ๒๕๓๑ งานฉลองสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๕ งานถวายพระเพลิงสมเด็จย่า ปี ๒๕๓๙ แล้วก็มางานฉลองกาญจนาภิเษก ในหลวงทรงครองราชย์ ๕๐ ปี ปี ๒๕๓๙ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ ปี ๒๕๔๒ งานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ ๖๐ ปี ปี ๒๕๔๙ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ปี ๒๕๕๐ งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ปี ๒๕๕๑ มาปีนี้ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ปีหน้าจะมีงานใหญ่ ๒ งาน คืองานฉลองสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา กับงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา แล้วยังต้องมีงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีอีกด้วย" |
"จากที่กล่าวมา เรามีโอกาสได้เห็นงานฉลองต่าง ๆ ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะมีการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติงาม ๆ จะได้เห็นแนวความคิดของบุคคลว่า เขาจะทำซุ้มเฉลิมพระเกียรติออกไปในแนวไหน
ได้เห็นพระเมรุมาศตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระเมรุมาศของสมเด็จย่า พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แล้วที่จะได้เห็น คือ พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็แปลว่า ในชั่วชีวิตของคนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น หรือได้เห็นน้อยมาก แต่พวกเราเห็นกันจนเบื่อไปเอง กระบวนเรือพระราชพิธีที่มีโอกาสได้เห็นน้อยมาก ก็มารื้อฟื้นขึ้นมาในรัชสมัยของในหลวงองค์ปัจจุบัน พระราชพิธีพระราชทานเลี้ยงกษัตริย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ทั่วโลก จะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสได้เห็น ถ้าไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้ แต่จะว่าไปแล้วบรรดาพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานรื่นเริงก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะได้รู้ได้เห็น เก็บเอาความงดงามอลังการของราชประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของชาวบ้าน เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้ แต่ว่าในส่วนของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ดี พระราชทานเพลิงก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้น้อยเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่นี่ขนาดเห็นน้อย ๆ แล้ว ชั่วชีวิตของอาตมาเห็นมาเสียเยอะแล้ว" |
ถาม : ทำงานที่ใหม่จะดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : เรื่องของงาน เราจะต้องได้ที่ทำงานใหม่แน่ ๆ ก่อน จึงค่อยออกจากที่เดิม งานไม่ว่าที่ไหนปัญหาก็คล้าย ๆ กัน ก็คือปัญหาเรื่องงาน ปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันเพราะกิเลสคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราไปที่ไหนก็เจอปัญหา แต่ว่าที่เก่าดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เรารู้แล้วว่าจะหลบหลีกอย่างไร ถ้าเป็นที่ใหม่เราก็ต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ |
ถาม : อย่างเราตั้งใจสวดคาถาเงินล้านวันละกี่จบ แต่บางครั้งเวลาสวดอาจจะง่วง มีขาดมีเกินในบางวัน ?
ตอบ : เกินดีกว่าขาด ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจก็ให้สวดเกินเข้าไว้ |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนไปประเทศพม่า อาตมาไปเจอพระแกะจากหยกสีม่วงอ่อน เขาคิดราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่กล้าซื้อ แกะสวยมาก หยกเขาไม่มีตำหนิ ใสปิ๊งเลย ต่อเท่าไรก็ไม่ลด ไม่เคยเห็นหยกสีม่วงที่สวยสมบูรณ์อย่างนั้นมาก่อน"
ถาม : หยกสีม่วงดีอย่างไรคะ ? ตอบ : ต้องบอกว่าหยกสีม่วงพลังงานจะเหมาะกับตัวเรา ในด้านปกป้องคุ้มครองถือว่าเป็นสีที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่าราคาแพงเหลือใจ คนพม่าขายของไม่เป็น ขนาดสอนเขาแล้วนะ บอกเขาว่าคุณลดราคาให้ต่ำลงหน่อยแล้วจะขายได้มากขึ้น เท่ากับว่าได้กำไรมากขึ้นเอง แต่เขาก็ไม่ทำ เขายืนราคาตายตัวทั้งชาติ แม้แต่จั๊ตเดียวก็ไม่ลด ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เจอในลักษณะนั้นทั้งหมด แต่ก็ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน ถ้าเราให้คนพม่าที่เรารู้จักไปซื้อ จะได้อีกราคาหนึ่ง ในระยะหลังจะใช้วิธีจ้างโชเฟอร์ไปซื้อ ผมอยากได้พระองค์นั้นคุณไปจัดการให้ที เดี๋ยวผมจะให้รางวัลคุณเท่าไรก็ว่าไป เพราะเราไปจะเจอราคานักท่องเที่ยวซึ่งต่างกัน ๓-๔ เท่า ใช้เขาไปซื้ออย่างไรก็ถูกกว่า บอกเลยว่าให้ไปซื้ออะไรแล้วจะให้ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ จั๊ต |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่ พอยิ่งอายุมาก จิตใจจะยิ่งยึดเกาะลูกเป็นที่พึ่ง ถ้าลูกทำอะไรเป็นที่ถูกใจพ่อแม่ก็จะยิ่งปลื้มใจ เพราะฉะนั้น..ทำดีกับพ่อแม่ให้มาก ๆ เข้าไว้ กุศลนี้มักจะส่งผลให้เราในชาติปัจจุบันนี้แหละ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำดำกินแล้วอ้วน แถมยังกระเพาะพังด้วย เขาทดลองว่าเอาน้ำดำมาหนึ่งลิตรครึ่ง ใส่ตะปู ๓ นิ้วลงไป ปิดฝาแล้วเขย่า ๆ ตั้งไว้หนึ่งอาทิตย์ เทออกมาดูตะปูเหลือบางนิดเดียว กัดเหล็กขนาดนั้นแล้วกระเพาะเราจะเหลือหรือ ?
ส่วนกาแฟทำให้เป็นโรคหัวใจในอนาคต เพราะว่าไปเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น พอถึงเวลาอัตราการเต้นของหัวใจก็ลดลงมาสู่อัตราปกติ แล้วก็โดนเร่งใหม่ แล้วก็ลดลงมาอีก ทำให้การเต้นหัวใจผิดปกติไปด้วย จะกลายเป็นโรคหัวใจเมื่อตอนอายุมากขึ้น เพราะฉะนั้น..คนที่ดื่มกาแฟก็เตรียมเงินไว้ผ่าตัดหัวใจด้วย เพราะต้องได้ผ่าแน่ ๆ..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนใต้จะผิวดำกว่าคนภาคเหนือ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อุตุนิยาม
มีนิยาม ๕ อย่าง ที่ทำให้บุคคลต่างกัน อุตุนิยาม คือสภาพดินฟ้าอากาศ คนในเขตร้อนอย่างแอฟริกาตัวดำปี๋เลย ถ้าอยู่ในเขตหนาวอย่างยุโรปก็ผิวขาว ถ้าอยู่ในเส้นศูนย์สูตรอย่างพวกเราก็ผิวเหลือง อันนี้คืออุตุนิยาม พีชนิยาม คือเกิดจากดีเอ็นเอ (พีชะ คือ พืชพันธุ์) เกิดจากสายเลือด ทำให้เราต่างกันไป จิตนิยาม เกิดจากสภาพจิตใจของตนที่อบรมบ่มเพาะมา คนที่มีสภาพจิตใจอ่อนโยน ประกอบด้วยเมตตาเกิดมาก็สวยงามดูดี คนที่จิตใจประกอบด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็ดูไม่ได้ กรรมนิยาม เกิดจากการกระทำของตน กรรมดีกรรมชั่วที่สร้างมาส่งผลให้ต่างกันไป ธรรมนิยาม อันนี้ต้องบอกว่าธรรมะจัดสรร ถ้าหากว่าธรรมนิยามบางส่วนที่จะอธิบายนอกเหนือจากพระไตรปิฎก ก็ต้องบอกว่าเป็นการผ่าเหล่าตามกฎของเมนเดล ที่มีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑ แต่การผ่าเหล่านี้ก็เพราะสิ่งที่เขาสร้างสมมานั่นแหละ บางทีก็ผ่าเหล่าจนกลายเป็นอัจฉริยมนุษย์สุดประเสริฐอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก็มี เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของนิยาม ๕ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด จำแนกบุคคลและสัตว์ให้แตกต่างกันไป คนภาคเหนือของเราผิวขาว ภาคกลางก็คล้ำหน่อย ภาคใต้ก็ผิวดำเลย ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ แม้กระทั่งสัตว์ก็เหมือนกัน เสือดาวอยู่แถวภาคเหนือ ภาคกลาง พอลงภาคใต้กลายเป็นเสือดำ วัวแดงอยู่แถวภาคกลาง พอลงไปปักษ์ใต้จะเป็นสีออกตาลโตนด คือออกเข้ม ๆ เหมือนวัวดำ เพราะฉะนั้น..เราต้องยอมรับว่าต่างกัน เรื่องผิวดำ ถ้าไปถามน้องกรวดฯ ก็บอกว่า ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ เขาปลื้มใจในความดำของเขาเอง เขาตากแดดอย่างไรก็ไม่ดำไปกว่านั้น ส่วนเราตากแดดหน่อยเดียวก็เกรียมเลย" |
ถาม : สิ่งที่รู้ จะทำอย่างไรถึงรู้ว่าจริง ?
ตอบ : เชื่อไม่ได้สักครั้งเดียว แต่ให้รับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นตามนั้นจริงแล้วค่อยเชื่อ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณที่เรียกง่าย ๆ ว่าตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น
ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่ง ก็คือ อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว และเตโชกสิณ กสิณไฟ แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคตเขาก็ไปดูในอ่างน้ำ อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็นทิพจักขุญาณด้วย เพราะฉะนั้น..ใครทำอาโปกสิณจะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ... แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึกมโนมยิทธิจะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อตีตังสญาณ รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตังสญาณ รู้ปัจจุบัน เรียกว่า ปัจจุปันนังสญาณ รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไรและจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ" |
"ทั้งหมดเกิดจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว แค่เปลี่ยนวิธีใช้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าต้องการ ก็ลองใช้ ๒ อย่าง อย่างแรกลองฝึกมโนมยิทธิดู ที่วัดท่าซุงมีสอนทุกวัน บ้านสายลมทุกเสาร์ - อาทิตย์ต้นเดือนก็มีสอน
ถ้าฝึกเองก็ใช้กสิณ เพ่งสีขาว เพ่งแสงสว่าง หรือลูกแก้วก็ได้ หรือไม่ก็เพ่งไฟ พออารมณ์ใจทรงตัว ภาพกสิณจะติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เราก็เอาสติช่วยประคับประคองไว้ จนภาพกสิณนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ก็ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ ให้เล็กดู ถ้าใหญ่ได้เล็กได้ มาได้ไปได้ ก็อธิษฐานขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ได้ ใช้ความพยายามหน่อยจ้ะ ไม่กี่ชาติก็ได้แล้ว..! การฝึกปฏิบัติเป็นการสั่งสมบารมี ไม่สำเร็จรูปเหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อไปซื้อเอา เพราะฉะนั้น..ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป ต้องการอะไรตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำ ให้ลืมความต้องการนั้นเสีย เรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียว ถึงเวลาผลจะเกิดเอง เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยของเราไป ดูแลกำจัดวัชพืช กำจัดหนอนแมลงไป ถึงเวลาต้นไม้ก็ออกดอกออกผลเอง ไม่ใช่เราไปเร่ง ดึงยอดให้โตเร็ว ๆ หน่อย แบบนั้นเดี๋ยวก็ตายคามือ..!" |
พระอาจารย์เล่าว่า "จากรูปแบบที่เคยยึดถือมา การสร้างพระจะต้องมีหลังคา แต่พอรับคำสั่งให้สร้างพระแบบไม่มีหลังคา ก็เลยงง ๆ เพราะไม่คุ้นจริง ๆ ท่านสั่งให้สร้างหน้าวัด ให้ชาวบ้านเห็นแล้วเกิดอนุสติ อยากเข้าวัดมาไหว้พระ ถ้าสร้างในตัวอาคารจะไม่เด่นพอ
อาตมาจะสร้างสัก ๒๑ ศอก ต่อไปจะกลายเป็นจุดรวมศรัทธาคน หลวงพ่อภปร.ที่ทองผาภูมิหน้าตัก ๑๘ ศอก องค์ที่สร้างใหญ่กว่านั้น ๓ ศอกหรือเมตรครึ่ง ตัวอาคาร ๓๐x๓๐ เมตร ทำเป็นห้องประชุมได้เลย ฐานจะมี ๒ ระดับ ระดับแรก ๓๐ เมตร ระดับที่สอง ๒๐ เมตร ข้างล่างจะกลายเป็นห้องประชุมใหญ่เท่ากับได้พื้นที่ ๙๐๐ ตารางเมตร ใครมีเงินเหลือสัก ๓ ล้าน จะเป็นเจ้าภาพสร้างพระใหญ่ก็ได้นะ ๓ ล้านคงได้แค่โครงสร้าง หรืออาจจะได้ประมาณฐานเท่านั้น" |
"ศาลาของหลวงพี่วิรัช คนไปงานเป็นหมื่นก็บรรจุได้สบาย เพราะว่าพี่เขาสร้างคร่อมอาคารพระชำระหนี้สงฆ์ทั้ง ๔ ด้าน และพระประธานใหญ่
หลวงพี่วิรัชทำบวงสรวงตอนสิบโมงเกือบครึ่ง อาตมาบอกว่า "พี่ทำบวงสรวงสายขนาดนี้ เทวดาที่ไหนจะเหลือเล่า ? ไม่มีใครอำนวยความสะดวกให้ ฝนถึงได้ตกกระหน่ำเปียกอย่างนี้" หลวงพี่วิรัชบอกว่า อยากจะให้ทำงานต่อเนื่อง พอบวงสรวงเสร็จก็หล่อพระต่อเลย จึงกำหนดบวงสรวงเวลาสาย อาตมาก็บอกว่า "ถ้าเกินเก้าโมงครึ่ง ก็ไม่ต้องรอแล้ว เทวดาท่านไปเทวสภากันหมด" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องหลวงพ่อประทีปให้ฟังว่า "หลวงพี่ประทีปบวชจากวัดสุขุมาราม ต่อมาหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งมาอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง
หลวงพี่ประทีปเป็นพระนอกที่เป็นยิ่งกว่าเนื้อแท้ ท่านบวชปี ๒๕๑๘ พรรษามากกว่าอาตมา ๑๑ พรรษา เป็นพระที่ทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะงานก่อสร้าง การซ่อมแซมต่าง ๆ ตอนที่หลวงพ่อท่านเร่งงานห้องกรรมฐานที่ศาลา ๒๕ ไร่ ท่านก็ระดมพระเณรไปช่วยทาสี อาตมาก็คิดว่าทาสีนั้นช้า น่าจะใช้สีพ่นได้ ก็ไปปรึกษากับหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ก็บอกว่า "ใช่..ถ้ามีถังพ่นขนาด ๒๐ ลิตร เราสามารถเอาสีทั้งถังใส่ลงไป ปิดฝาพ่นได้เลย" อาตมาจึงบอกว่า "พี่ไปเสนอป๋าสิ.." พระในวัดที่บวชแล้วเรียกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าป๋า มีอยู่ ๓ คน ก็คือหลวงพี่ประทีป พระปลัดน้อย และอาตมา" |
"พอหลวงพี่ประทีปนำเรื่องไปเสนอ หลวงพ่อท่านบอกว่า "ซื้อมาต้องใช้เป็นนะ" หลวงพี่ท่านก็ "ครับ ๆ" พอถึงเวลาซื้อมาปรากฏว่ามีหลวงพี่ประทีปพ่นสีเป็นอยู่คนเดียว อาตมาก็เลยต้องไปช่วย
ปกติช่วงนั้นอาตมาจะหวงเวลามาก ตอนนั้นงานอย่างอื่นโดนกรรมการสงฆ์ตัดออกหมดทุกอย่าง ยกเว้นอยู่เวรยาม พอออกเวรเสร็จอาตมาก็หลบเข้าที่พัก ภาวนาของเรา พูดง่าย ๆ ว่านอกจากหน้าที่ประจำก็ไม่เอางานอื่นเลย พอมาทำงานพ่นสีนี้ จับกาพ่นขึ้นมา หลวงพี่ประทีปหันมาเห็นเข้าก็ถีบพลั่ก..! "เป็นงานนี่หว่า ?" คนทำมาหากินกับสีมา ๘ ปี อย่างไรก็ต้องเป็น การทำสีรถยนต์ยากที่สุด ดังนั้นการพ่นสีจึงเป็นงานง่ายสำหรับอาตมา หลวงพี่ท่านเห็นท่าจับกาพ่นก็รู้แล้วว่าเป็นงานมาก่อน "ครับ..ผมเคยทำสีรถมา ๘ ปี" "แล้วทำไมไม่มาช่วยกูบ้าง..?" โธ่..ก็พี่เคยเรียกผมให้ช่วยหรือเปล่า ? ถ้าผมเข้าไปขอช่วยแล้วพี่ว่าผมเสือก แล้วผมจะทำอย่างไร ?" |
"ในช่วง ๑๐๐ วันของหลวงพ่อวัดท่าซุง เราจะทำการเปลี่ยนจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย ๆ พอเปลี่ยนจีวร หลวงพี่ประทีปก็จะเก็บจีวรทั้งหมด ท่านจึงมีจีวรหลวงพ่อมากที่สุด
ปรากฏว่า พอปี ๒๕๓๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ หลวงพี่ประทีปบ่นว่า "ไอ้ห่_คนมาช่วยกู กูจะขอบใจมันดีหรือจะด่ามันดีวะ..?" อาตมาก็ถามว่าทำไม ? พี่เขาบอกว่า "มันเห็นจีวรป๋าเปื้อนโคลน มันเอาไปทิ้งหมดเลย" คนไม่รู้ว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพี่ประทีป ก็เลยเอาไปทิ้งหมด..! อาตมาอยากได้ของอย่างหนึ่งของหลวงพี่ประทีป นอกนั้นไม่อยากได้เลย คือมีดหมอหลวงพ่อเดิมขนาด ๙ นิ้ว ด้ามงาช้างยาวเป็นศอกเลย พี่เขาดูแลอย่างดี เช็ดถูเป็นประจำ มีสนิมขุมกินเนื้อนิดหน่อย ส่วนอื่นก็ยังขาวอยู่เลย แต่ถ้าพระมรณภาพลง เจ้าอาวาสจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอย่างน้อย ๓ รูป ช่วยกันจัดการแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สิน ว่าอะไรเหมาะจะให้ใคร ในปัจจุบันนี้หลายต่อหลายวัดด้วยกันมอบสิทธิ์ขาดให้เจ้าอาวาสจัดการ แล้วแต่ท่านเห็นสมควร" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "โยมที่โทรมาเมื่อครู่นี้ รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุง รู้จักกันเพราะเขาเล่นวิทยุสมัครเล่น ช่วงที่อาตมาอยู่วัดท่าซุงต้องเข้าเวรตอนกลางคืน บางทีนั่งทั้งคืนแล้วเบื่อก็เข้าช่องวีอาร์ ฟังเขาพูดวิทยุกัน บางทีก็แหย่เขาไปบ้าง ไม่รู้ว่าถูกใจเขาหรืออย่างไร เขาขอ ว.๑๕ ก็คือขอเจอหน้าหน่อย
อาตมาก็เลยถามว่าบ้านอยู่ไหน ? เขาบอกว่าอยู่มโนรมย์ จึงบอกให้เขาข้ามฝั่งมา วิ่งมา ๔ กิโลเมตร จะเจอรั้วเหลืองใหญ่ ๆ บ้านหลังมหึมา พอเขามาถึงก็เจอว่าเป็นพระ เขางงมาก บ้านนี้เขามี ๒ ครอบครัว สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้เล็ก พี่แต่งกับพี่ น้องแต่งกับน้อง ลูก ๆ เขาเพิ่งจะเรียนมัธยม แต่แม่เขาใจยิ่งกว่าฝรั่งอีก ลูกสองบ้านนี้เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ คนเล็กสุดเรียนอยู่ ม. ๒ แม่เขาบอกลูกว่า "จะเที่ยวไหนก็เที่ยวเถอะ อย่าให้ท้องก็พอ..!" เด็กก็เลยเที่ยวหัวหกก้นขวิด กลับบ้านดึกดื่นทุกคืน พอถึงเวลาจะกลับบ้าน เขาก็จะวิทยุคุยกัน "อยู่ที่ไหน ? จะกลับแล้วนะ.." อาตมาก็แหย่ไปว่า "อ้าว..ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ยังไม่ทันจะสว่างเลย.." เขาสงสัยว่า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วอาตมารู้ทุกที ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เมื่อสงสัยจึงบุกไปที่วัด พอเขาถามว่ารู้เรื่องได้อย่างไร อาตมาก็บอกว่า เวลาเขาพูดวิทยุ พอกดคีย์ เสียงข้าง ๆ วิทยุเข้ามาด้วย ก็เลยได้ยิน หาเรื่องแก้ตัวไปเรื่อย อาตมาจึงแนะนำเขาว่า เรื่องอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนทำได้ แต่ต้องฝึกสมาธิเบื้องต้นให้ได้ก่อน ถ้าจิตของเราสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งสามารถสะท้อนเงาของทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง ๆ ให้เห็นได้ชัด เขาก็ลองทำดู ปรากฏว่าเทอมนั้นผลการเรียนดีขึ้นผิดหูผิดตาทั้ง ๓-๔ คน แม่เขาที่อยู่ข้างวัด แต่ไม่เคยเข้าวัดก็เลยเริ่มเข้าวัด มาทำบุญ อาตมาเห็นลูกคนกลางของเขากลมเป็นลูกชิ้นเลย จึงขอลูกคนนี้กับแม่ของเขา แม่ก็เลยยกให้อีก ๒ คน คราวนี้พี่สาวเขารู้ก็เลยยกให้อีก ๓ สรุปแล้วขอ ๑ ได้มา ๖ ตอนนี้แต่งงานไปหมดแล้ว เจ้าตัวเล็กสุดที่ตอนนั้นอยู่ ม. ๒ ตอนนี้มีลูกสองคนแล้ว" |
"เขาเป็นตัวแทนบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตสาขาชัยนาท ทำสถิติยอดเงินประกันสูงสุดของภาคเหนือทุกปี อยู่ในลักษณะที่ลูกค้าวิ่งไปหาเขาเอง เขาไม่ต้องหาลูกค้า เพราะว่าเขาดูแลลูกค้าดีมาก
อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งลูกค้าจะต้องเห็นหน้าเขาครั้งหนึ่ง จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องเขาก็ไปถึงบ้านตลอด ถามสารทุกข์สุขดิบ วันเกิดปีใหม่ก็ส่งกระเช้าไปให้ ลูกค้าเกิดเรื่องอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหนเขาทำเคลมให้หมด เขาไปทะเลาะกับสำนักงานใหญ่จนสำนักงานใหญ่ระอา เขาบอกว่าเป็นสิทธิของลูกค้า จะสามร้อยบาท ห้าร้อยบาท ก็เบิกให้หมด ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเบิกได้ คุณมีหน้าที่คุณก็จ่ายมา บางทีแม้กระทั่งลูกค้าก็ไม่อยากได้ แต่เขาบอกว่าเซ็นมาเถอะเขาจะเคลมให้ ในเมื่อเขาดูแลดี ลูกค้ารู้ก็วิ่งมาหาเอง พอเยอะเข้า ๆ ตัวเองทำไม่ไหว จึงให้สามีออกจากโรงเรียนที่สอนอยู่ มาช่วยทำประกัน แล้วก็เอาลูกออกจากงานมาช่วยทำ ไป ๆ มา ๆ ทั้งตระกูลก็มาช่วยกันทำ ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า การทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าทุ่มเทอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเมื่อฉันทะเกิดแล้ว วิริยะตามมา พากเพียรทำไป จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเขาก็วิ่งหาลูกค้าอยู่ตลอด พูดง่าย ๆ ว่าเดือนหนึ่งลูกค้าเห็นหน้า ๓-๔ ครั้ง ก็เกิดความมั่นใจว่าตัวแทนไม่ทิ้งเขาแน่ ถึงเวลาเรื่องเล็กเรื่องน้อยขนาดไหนเขาก็จัดการเคลมให้หมด ขนาดตัวเองไม่ไปโรงพยาบาลก็ยังไปหาเพื่อนหมอที่คลินิก บอกให้เพื่อนเซ็นรับรองว่าป่วย ในเมื่อเขาทำได้ ลูกค้าก็วิ่งมาชนเอง เขาไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อ เพราะรางวัลพวกนี้ส่วนใหญ่ให้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปจนไม่อยากจะไปแล้ว ฟรีก็จริงแต่เวลาอยากได้อะไรก็ต้องควักกระเป๋าซื้อเอง เรามาดูกำลังใจว่า เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนั้น พวกเราก็ควรทุ่มเทกับการปฏิบัติแบบนั้นบ้าง ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ดีที่สุด ก็ต้องได้ให้มากที่สุด" |
ถาม : ทำพรหมวิหารสี่ให้เป็นฌานได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : แผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มที่แล้ว ก็ให้ภาวนาต่อจ้ะ แค่นั้นเอง อย่างเราแผ่ส่วนแผ่ ภาวนาส่วนภาวนา ไปแยกกัน ให้แผ่เมตตาตามแบบที่เคยสอนไป จนกระทั่งอารมณ์ใจเต็มที่แล้ว เราก็จับลมหายใจภาวนาต่อ ถาม : เราเอาเมตตามาใส่ จะได้หรือคะ ? ตอบ : ถ้าเต็มที่อยู่แล้ว ถึงเวลาเราแค่ภาวนาต่อท้ายเท่านั้นเอง เท่ากับเป็นตัวสมาธิในเมตตา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราส่วนหนึ่งเวลากำลังใจตก จะไม่ค่อยกล้ามาหาพระ ไปรอว่ากำลังใจดีเมื่อไรแล้วค่อยมา ขอบอกว่าถ้าทำอย่างนั้นคิดผิดมาก
ส่วนใหญ่เพราะพวกเรากลัวว่าพระรู้เรื่องไม่ดีของตัวเองแล้วจะว่าเอา อาตมาพูดไม่ผิดหรอก..เพราะรู้จริง ๆ แต่พระไม่ได้มีหน้าที่มาพูดว่าเราทำอะไรไม่ดี พระท่านมีหน้าที่ดูว่าจะช่วยอย่างไรให้เราดี เพราะฉะนั้น..ความลับก็ยังเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลไป พระไม่มีหน้าที่ซ้ำเติมใคร ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามวาระของกรรม คนที่ทำกรรมดีก็ติดอยู่ในกระแสขาวที่ดึงขึ้นไป คนที่ทำความชั่วก็หลงอยู่ในกระแสดำ ที่ไหลลงต่ำไปเรื่อย ๆ พระท่านมีหน้าที่แค่ดูว่าจะเสริมเขาให้ดีอย่างไร ? จะช่วยเขาให้ดีอย่างไร ? ไม่ได้มีหน้าที่ไปดูแล้วก็ไปตำหนิด่าว่าใคร ยกเว้นว่าการด่านั้นทำให้เขาสำนึกแล้วกลับมาดี ท่านจึงทำ ดังนั้น..ไม่ต้องเกรงใจจ้ะ ไม่ใช่รอว่าดีแล้วค่อยมาหาพระ ถ้าดีแล้วจะมาทำไมวะ..?! ถ้ารู้ตัวว่าชั่วให้รีบมาหาพระ เผื่อจะช่วยได้บ้าง ถ้ารอให้ตะเกียกตะกายเองมักจะช้า เสียเวลามากโดยใช่เหตุ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน" |
"อาตมาเป็นคนหน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำผิดเรารู้ว่าผิด พอเข้าไปหาหลวงพ่อ ท่านไม่เคยตำหนิสักครั้งเดียวเลย แต่ถ้าทำผิดแล้วอวดดี โดนท่านด่าจมทะเลทุกครั้งเลย
เพราะฉะนั้น..ถ้าทำผิดแล้วรู้ผิด พอเข้าไปหา ท่านก็จะบอกวิธีแก้ไขให้ แต่ถ้าทำผิดแล้วไม่รู้ผิด ไม่รับผิดแล้วไปหา จะโดนด่าจมดินทุกครั้งเลย จึงทำให้เข้าใจเลยว่า เรื่องของพระจริง ๆ นั้น ท่านไม่ได้มีหน้าที่ดูว่าใครถูกใครผิด เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น กฎแห่งกรรมเขาจัดการเองอยู่แล้ว ท่านมีแต่หน้าที่หนุนเสริมเขาให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาชั่ว จะว่าไปแล้วหน้าที่ของพระดูง่าย แต่ขอโทษเถอะ ยากยิ่งกว่าเข็นเรือเกลืออีก..!" |
ถาม : ถ้าหนูไม่อยากเจอคนที่ไม่อยากเจอในชาตินี้หรือในชาติหน้า ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คนเราไม่ว่าจะสร้างบุญร่วมกันหรือสร้างกรรมร่วมกัน ถึงเวลาต้องเจอกัน ถ้าไม่อยากเจอเขาก็ต้องสร้างความดีให้ถึงที่สุด คือไปนิพพานให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถ้าคนอื่นยังชั่วอยู่ โอกาสเจอก็ยากแล้ว เพราะเราไปจนเขาตามไม่ทันแล้ว ถาม : การตัดกรรมสามารถช่วยได้ไหมคะ ? ตอบ : การตัดกรรมไม่มีในพระพุทธศาสนา ยกเว้นอย่างเดียวคืออโหสิกรรม คือการที่โจทก์และจำเลยมาตกลงกัน ว่าจะเลิกแล้วต่อกัน ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างรับรู้ ออกปากยินดียกโทษให้ ก็เป็นอันว่าจบกันไป |
ถาม : เคยได้ยินเรื่องขวานฟ้าหรือเปล่าคะ ? คืออะไร ? ใช้ทำอะไรคะ ?
ตอบ : ขวานฟ้าเป็นวัตถุอาถรรพ์ชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า ถ้าฟ้าผ่าลงตรงไหน ไปค้นดูมักจะเจอขวานหินเล็ก ๆ ถ้าดูแล้วก็เหมือนขวานของมนุษย์โบราณนั่นแหละ แต่แปลกว่าทำไมถึงจำเพาะมาอยู่ตรงที่ฟ้าผ่า โบราณเขาเชื่อว่าขวานนี้ได้พลังอำนาจจากสายฟ้า ก็เลยเอามาใช้งาน โดยเฉพาะพวกที่เล่นไสยศาสตร์ต่าง ๆ เขาเอาไว้ทำลายอาถรรพ์ สมัยก่อนถ้าหัดมวยไทยโบราณ อย่างมวยคาดเชือก ใช้ด้ายดิบชุบน้ำข้าว ตากไว้จนแข็งโป๊ก อาจารย์เอามาพันมือให้ พอชั้นท้าย ๆ เขาจะเอาขวานฟ้าสอดเอาไว้ แล้วก็พันต่อ เขาเชื่อว่าถ้าฝ่ายตรงข้ามเล่นคาถาอาคมหรือวัตถุอาถรรพ์ มีขวานฟ้าอยู่จะสามารถแก้อาถรรพ์นั้นได้ อาจารย์โมเช่เขาบอกว่า "ที่อาจารย์มีอยู่นี่ เวลาชาวบ้านเขาตากข้าวโพด ก็โยนไว้ตรงนั้นแหละ ไก่จะไม่กล้ามากิน" อาตมาก็สงสัยว่าขวานฟ้ากันไก่ได้ด้วย ? แต่ก็ไม่เคยลอง เพราะไม่เคยตากข้าวโพด เวลาชาวบ้านเก็บข้าวโพดมา จะตากให้แห้งก่อนแล้วค่อยไปสีเอาเม็ด บางทีไก่ก็ฉวยโอกาสกินข้าวโพด พอเอาขวานฟ้าไว้กับกองข้าวโพด ไก่จะไม่กล้ากิน |
เป็นขวานเล็ก ๆ บางทีก็มีขนาด ๒ นิ้ว ๓ นิ้ว เคยเจอเต็มที่ก็ไม่เกิน ๔ นิ้วมือ จะมีหลาย ๆ สี อาตมาคิดว่า ถ้าเอามาบดใส่รวมกับวัตถุมงคล คงเข้าท่ากว่าเยอะเลย
ถาม : ใช้รักษาโรคได้ด้วยหรือคะ ? ตอบ : ในเรื่องของพลังอำนาจ จริง ๆ แล้ววัตถุทุกชนิดมีพลังอยู่แล้ว ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ แกนกลางของสสารเป็นพลังงานทั้งนั้น ในเมื่อมีพลังงานก็ขึ้นอยู่กับคนใช้ ว่าจะใช้ในทางไหน ดังนั้น..จะเอาขวานฟ้าไปรักษาโรคก็ได้ เพียงแต่ว่าต้องควบคุมให้เป็นด้วย |
ถาม : เครื่องสังฆทานของที่นี่ครบถ้วนไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตามสูตรวัดท่าซุงนี่ก็ครบแล้ว แต่ถ้ามีสูตรของคนอื่นมากกว่านี้ต้องไปหาเอง ถาม : ที่ขาดไม่ได้ควรจะมีอะไรบ้างคะ ? ตอบ : ตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาประสบการณ์จากที่ผีมาขอ ผีแทบทั้งหมดที่มาขอจะระบุว่า ขอพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้ว ๑ องค์ ขอผ้าสบง จีวร หรือว่าสังฆาฏิ หรือถ้าได้ผ้าไตรทั้งชุดยิ่งดี ๑ ชุด และอาหารสดหรือแห้งก็ได้ พระพุทธรูปจะทำให้เขามีรัศมีกายสว่างมาก มีศักดานุภาพมาก ผ้าไตรจีวรจะทำให้เขามีเครื่องประดับเป็นทิพย์ อาหารจะเป็นอาหารสดหรือแห้งก็ตามจะทำให้เขาอิ่มทิพย์ เพราะฉะนั้น..เมื่อมีครบเท่านี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว แต่ว่าหลวงปู่มหาอำพันท่านเพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปด้วย เพราะท่านอ่านในพระธรรมบทที่พระโพธิสัตว์ไปปราบยักษ์ ยักษ์นั้นได้พรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ให้ไปอาศัยอยู่ต้นไทรใหญ่นอกเมือง คนหรือสัตว์เข้ามาในร่มเงาของต้นไทรอนุญาตให้จับกินได้ คราวนี้ยักษ์กินคนไปเยอะ พระราชาส่งทหารไปปราบก็โดนกินเสียเรียบ จึงประกาศว่าถ้าใครสามารถปราบยักษ์นี้ได้จะยกสมบัติให้กึ่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ท่านอยู่กับแม่ มีฐานะยากจนมาก เมื่อได้ยินดังนั้นก็อาสาจะไปปราบยักษ์ ท่านใส่รองเท้าและถือร่มไป พอเข้าไปเขตนั้นยักษ์ก็จะมาจับกิน พระโพธิสัตว์กล่าวกับยักษ์ว่า "เจ้าเอาสิทธิ์อะไรมากินข้า ถ้าเจ้าบอกว่าข้าอยู่ใต้ร่มเงาต้นไทรนี้ เจ้ามีสิทธิ์กิน แต่ข้าอยู่ใต้ร่มของตัวเอง ไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาไม้เสียหน่อย และข้ายืนอยู่บนรองเท้า ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นที่ของเจ้าสักหน่อย" หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านตรงนี้แล้วท่านประทับใจมาก ท่านก็จึงใส่รองเท้ากับร่มลงไปด้วย เพราะฉะนั้น..สังฆทานของหลวงปู่มหาอำพันจะมีรองเท้ากับร่มเพิ่มขึ้นมา ถือเคล็ดว่าไปไหนจะได้ปลอดภัย |
ถาม : ได้ยินมาว่าต้องเลือกผู้ที่รับสังฆทาน ?
ตอบ : ถ้าเลือกไม่ใช่สังฆทาน เลือกเนื้อนาบุญจะได้ปาฏิปุคคลิกทาน อานิสงส์ต่ำกว่าเป็นแสนเท่า ถาม : ถ้าผู้รับศีลไม่บริสุทธิ์ละคะ ? ตอบ : ก็เขาเป็นตัวแทนสงฆ์ ไม่ใช่ผู้รับไปใช้เองกินเองคนเดียวเสียเมื่อไร ต้องไปดูอันตรธานปริวัตรในปฐมสมโพธิกถา น่าจะเป็นปริวัตรที่ ๒๙ ท่านกล่าวถึง วาระสุดท้ายของพระศาสนา เพศของพระจะเหลือเพียงผ้าเหลืองห้อยหูหรือผ้าพันข้อมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นนักบวชเท่านั้น ศีล ๒๒๗ ข้อ เหลือเพียงปาราชิก ๔ ข้อเท่านั้นที่ยังไม่ได้ล่วงละเมิด ท่านบอกว่าเพศพระและศีลแม้เหลือเพียงนั้น ถ้าถวายสังฆทานก็ยังมีอานิสงส์เหมือนอย่างกับถวายกับหมู่สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน |
ถาม : มโนมยิทธิดีกว่าการปฏิบัติแบบอื่น ?
ตอบ : ก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน แต่เพียงแต่ว่ามโนมยิทธิมีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ มีคุณอนันต์ก็คือเรารู้จักพระนิพพานได้ เราไปพระนิพพานตรง มีโทษมหันต์ก็คือประเภทรู้แล้วก็ไปอวดคนอื่นเขา กูเก่งกว่า กูดีกว่า กลายเป็นยึดติดมากเข้าไปอีก ถาม : สัพพัญญูวิสัยไม่ใช่จะได้กันง่าย ๆ หมายถึง..? ตอบ : ก็หมายความว่าสัพพัญญูวิสัย วิสัยของผู้ที่รู้แจ้งในทุกเรื่อง มีเพียงพระพุทธเจ้าอยู่องค์เดียวที่จะมีได้ |
ถาม : มักมีเรื่องกระทบกันแล้วเกิดโทสะขึ้นมา..?
ตอบ : แสดงว่าเราวางไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนวางไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าจะวางให้ได้ต้องมีปัญญาประกอบด้วย เราต้องดูว่าสิ่งที่เขาทำให้เราโกรธนั้น เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ไม่น่าจะโกรธ เพราะว่าบุคคลที่แสดงเรื่องจริงกับเราก็เหมือนกับกระจก สะท้อนให้เห็นรูปร่างอันน่าเกลียดน่าชังของเรา ซึ่งคือความจริงแล้วเรารับไม่ได้ แล้วไปโกรธกระจกนั้นถูกไหม ? แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง บุคคลที่ไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ก็แปลว่าเขาคนนั้นปัญญาน้อยมาก คนที่โง่ขนาดนั้นก็ไม่ควรจะไปโกรธเขาหรอก สงสารเขาดีกว่า ถ้าหากว่าเราคิดเป็นก็จะไม่โกรธ แต่ถ้าคิดไม่เป็นก็แบกไปนานเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง สำคัญต้องมีตัวปัญญาด้วย ถ้าปัญญาไม่พอก็จะโดนเขาชักจูงไปนาน แต่ว่าอย่าท้อใจนะ ต้องใช้ความพยายาม แรก ๆ ก็ลักษณะดึงม้าที่หน้าผา ม้าจะตกหน้าผาแล้วต้องรั้งให้อยู่ ถ้าไม่อยู่ตายทั้งคู่แน่ หลังจากนั้นพอรั้งอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่จะให้ม้าไปจากที่นั้นเสีย จะได้ไม่ตกหน้าผาอีก ค่อย ๆ ทำไปจ้ะ ถ้าหากสมาธิดีขึ้น ตัวยับยั้งจะดีขึ้นด้วย แล้วพอสติสมาธิดีถึงที่สุด จะหยุดตรงนั้นได้ แต่จะเก็บไปคิดทีหลังแล้วโกรธอีก เพราะฉะนั้น..ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือใช้ปัญญาพิจารณาแล้วค่อย ๆ ละวาง ค่อย ๆ ทำไปจ้ะ ถ้าได้เร็วเดี๋ยวพระเขาอาย เพราะพระกว่าจะทำได้ยังตั้งนาน |
ถาม : ภาวนาอย่างไรจะให้ลูกในท้องสมบูรณ์ แข็งแรง ?
ตอบ : ไปสวดอังคุลิมาลปริตรก็ได้ ในหนังสือเจ็ดตำนาน ที่ว่ายะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา สั้น ๆ แค่ ๓-๔ บรรทัด ประโยคสุดท้ายบอกว่า โสตถิ คัพภัสสะ แปลว่า ขอให้ครรภ์นี้จงสวัสดี ก็คือ ปลอดภัยทุกอย่าง โบราณเขาใช้เป็นคาถาทำน้ำมนต์ให้คลอดลูกง่าย เราก็ภาวนาแล้วนึกถึงลูก ขอให้แข็งแรง สมบูรณ์ เลี้ยงง่าย โตเร็ว อะไรก็ว่าไป ในหนังสือมนต์พิธีก็มีจ้ะ ภาวนาเยอะ ๆ ลูกออกมาจะได้น่ารัก |
:4672615: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :4672615: |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:47 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.