กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2637)

เถรี 14-05-2011 18:23

"ในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ พอได้โลหะธาตุบางอย่างที่แปลกพิสดารออกไป จะเป็นวัตถุล้างอาถรรพ์ได้ อย่างสมัยก่อนที่เขาเล่นคาถาอาคมต่าง ๆ จะมีคาถาบทหนึ่งที่ชื่อว่าโองการมหาทมื่น ถือว่าเป็นคาถาที่ค่อนข้างจะครอบจักรวาล

ท่านระบุเลยว่า คงในน้ำ คงบนบก คงกลางวัน คงกลางคืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งยืน คงทั้งนั่ง คงต่อธนูธน้า มีดพร้าปืนไฟ คงต่อหอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง พอไปเจอโลหะผสมจึงกันไม่ได้ เพราะไม่มีระบุไว้ (หัวเราะ) เห็นหรือยังว่ากันขนาดไหนก็ยังมีคนแหกคอกไปเล่นเข้าจนได้

ของพวกเรานี้ ถ้าหากว่ารุ่นเก่า ๆ ที่เรียนวรรณคดีมาจะเห็นเรื่องไกรทอง ใช้หอกสัตตโลหะฆ่าพญาชาละวันได้ อย่างอื่นทำอะไรชาละวันไม่ได้ ของบางอย่างที่อยู่นอกตำราจะล้างอาถรรพ์ได้ พวกที่เล่นคาถาหนังเหนียวจะกลัวของอยู่ ๒-๓ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือ กระสุนดินธรรมดา ที่ยิงด้วยคันกระสุนที่เป็นคันธนู เพราะว่าคันกระสุนนี้จะแรงกว่าหนังสติ๊กประมาณ ๗-๘ เท่า ยิงกระบอกไม้ไผ่แตกได้

ปฐวีธาตุเป็นแม่ธาตุที่ช่วยในการอยู่ยงคงกระพัน ในเมื่อยิงด้วยปฐวีธาตุแล้วจะไปเหลืออะไร"

เถรี 14-05-2011 18:27

"อีกอย่างหนึ่งที่เขากลัวคือหลาวไม้ไผ่ เพราะเขาเชื่อว่าในอดีตชาติพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม้ไผ่ก็เลยกลายเป็นไม้เคล็ดล้างอาถรรพ์ เพราะว่าไม่มีอานุภาพอะไรเหนือกว่านั้น มีพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าในอดีตถึงปัจจุบันถึง ๕ พระองค์ด้วยกัน

อีกวิธีหนึ่งที่เขาใช้คือ หอกสวนทวาร ในเมื่อรอบตัวไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ต้องหาช่องเข้าให้ได้ อย่างแสนตรีเพชรกล้าในเรื่องขุนช้างขุนแผน โดนฟันโดนแทงที่ตัวเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้า สุดท้ายเขาจับเอาหอกสวนทวาร ตายจนได้

แต่สายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ในเรื่องของการอยู่ยงคงกระพัน ท่านบอกไว้เลยว่า นอกข้อจะไม่กันให้ คือนอกข้อมือออกมาและนอกข้อเท้าลงไป เคยถามหลวงพ่อเหมือนกันว่าทำไมไม่กันให้ครบทั้งตัว ? ท่านบอกว่า "ถ้าไม่มีจุดอ่อนไว้บ้าง พวกแกจะเป็นโจรกันหมด" คือลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่มาสายพุทธภูมิ กำลังใจเกินมนุษย์อยู่แล้ว ถ้ายิ่งหนังเหนียวชนิดที่ไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวก็ไปรังแกชาวบ้านเขา"

เถรี 14-05-2011 18:29

"อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดของเรื่องนอกข้อไม่เหนียว โดนทีไรเข้าทุกที เคยโดนหมากัดฝ่ามือ แหลกหมดเลยนะ แต่ว่าข้างบนเลยข้อขึ้นไปเป็นแค่รอยขูด ๆ เท่านั้น ท่านกันให้แค่ข้อมือจริง ๆ

หมาวัดท่าซุงก็แสนรู้ ครั้งแรกอาตมาเดินไปเข้ากรรมฐานที่ตึกธัมมวิโมกข์ บ้านลุงเพชร กลีบบัว เขามีหมา ๒ ตัวดุมาก แล้วทางขึ้นตึกธัมมวิโมกข์จะเฉียดผ่านบ้านลุงเพชรไป อาตมาเดินขึ้นบันไดไป ๓ ก้าวแล้ว หมาของลุงเพชรย่องมากัดน่องกระชากตกบันไดเลย ปวดแทบตาย ให้กัดเข้าเสียยังดีกว่า กัดไม่เข้าแต่กระชากเต็ม ๆ ลองนึกดูว่าจะเจ็บแค่ไหน ?

กัดน่องไม่เข้าใช่ไหม ? ครั้งต่อไปเลยงับเอ็นร้อยหวายแทน เป็นรูโบ๋เลย ฉลาดขนาดนั้น อย่างกับรู้ว่าหลวงพ่อบอกว่านอกข้อกันไม่ได้ สุดยอดหมาจริง ๆ"

เถรี 15-05-2011 07:37

ถาม : เพื่อนเขาต้องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืนต้องสูงเท่าไรคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินว่าพระชำระหนี้สงฆ์มีพระยืนนะ แต่พระยืนนี่ปกติก็ต้อง ๒ เท่าของพระนั่ง

ถาม : ถ้าพระนั่งสี่ศอก พระยืนก็ต้องแปดศอก ?
ตอบ : อย่างน้อยก็คงจะต้อง ๘ ศอก แต่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืน จึงไม่ยืนยันจ้ะ
จะไปยากอะไร ถ้าอยากสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ในลักษณะยืน เราก็สร้างพระยืนสักองค์ แล้วที่เหลือก็ไปร่วมสร้างชำระหนี้สงฆ์กับใครก็ได้

ถาม : ถือว่าเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นชำระหนี้สงฆ์ แต่เราไปสร้างร่วมกับคนอื่นเขา อย่างไรก็ได้ชำระหนี้สงฆ์อยู่ดี

เถรี 15-05-2011 07:39

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระเจ้าจักรพรรดิราชในสมัยโบราณ บอกกัลบก (ช่างตัดผม) ว่า ถ้าสังเกตเห็นว่าผมของพระองค์หงอกแล้วให้เตือนด้วย

พอช่างตัดผมตัดไป ๆ เห็นผมหงอกโผล่มา ๒-๓ เส้น ก็ทูลบอกพระเจ้าจักรพรรดิราช ปรากฏว่าพระองค์ท่านสละราชสมบัติออกบวชเลย ท่านบอกว่า ท่านทำงานเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ตอนนี้แก่แล้ว ขอทำเพื่อตัวเองบ้าง

ต้องบอกว่า ท่านเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจริง ๆ เพราะว่าท่านตั้งใจเลยว่าถ้าหัวหงอกเมื่อไร ก็บวชเมื่อนั้น ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ท่านบรรลุธรรมได้ มีการตัดสินใจล่วงหน้าเด็ดขาด ถึงเวลาเมื่อไรก็ทิ้งเลย ถ้ายังละล้าละลังห่วงหน้าพะวงหลัง แสดงว่ากำลังใจยังเด็ดขาดไม่พอ ในเมื่อเด็ดไม่ขาดก็ไปไม่ได้สักที หรือว่าเด็ดแล้วยืด เหมือนเด็ดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย"

เถรี 15-05-2011 07:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทำปาณาติบาตน้อย อายุจะยืน ร่างกายแข็งแรง

พระพากุลเถระ อายุยืนที่สุดที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก คือ ๑๕๐ ปี แต่ท่านเบื่อก็เลยเข้ากรรมฐานไปเลย อยู่มา ๑๕๐ ปี ไม่ป่วยสักที นอกจากความหิวที่ถือว่าเป็นโรคแล้ว ไม่เคยป่วยเป็นโรคอื่นเลย"

เถรี 15-05-2011 07:43

ถาม : ท่านเคยเทศน์ว่า กิเลสเอาความดีมาหลอกเรา แล้วเราจะคิดต่อว่าอย่างไร ?
ตอบ : ไม่เห็นต้องคิดต่อเลย ก็แค่รู้เท่าทัน แล้วก็พยายามทำตรงข้ามกับที่กิเลสต้องการ เขาหลอกให้เราทำความดีช้า เราก็เร่งทำให้เร็วขึ้น

เถรี 15-05-2011 07:45

ถาม : เมื่อวานภาวนาไปแล้วไปถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมเราไม่มีเพศ ก็เลยนึกว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชาย มีเสียงบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี แล้วเราก็สบาย สิบชั่วโมงผ่านไปเรารู้ว่าโลภ โกรธ หลงอยู่ครบอยู่
ตอบ : ยังดีที่รักษาได้ตั้งสิบชั่วโมง ถ้าเราสามารถประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ได้ ก็จะอยู่กับเรานานไปเรื่อย ๆ ยิ่งอยู่ได้นานเท่าไร จิตใจที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง จะทำให้ความผ่องใสเกิดมากขึ้น มีปัญญารู้เห็นว่าจะหลบหลีกสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรและก็ทำสิ่งที่ดี

อารมณ์ของการทรงฌาน จะเป็นฌานใดฌานหนึ่งขึ้นไปก็ตาม เป็นคุณสมบัติของพรหม พรหมเป็นบุคคลที่ไม่มีเพศแล้ว

เถรี 15-05-2011 17:11

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้เขากำลังเห่อเลือดจระเข้กันอยู่ ใครเคยไปดูจระเข้ในฟาร์มบ้างไหม ? บ่อสกปรกสุด ๆ เลย สารพัดเชื้อโรค บางทีจระเข้กัดกันเป็นแผล แล้วก็แช่น้ำเน่าแต่ไม่เป็นอะไรสักตัว แถมยังแผลหายเร็วอีกต่างหาก

เขาไปทำวิจัย พบว่าเลือดจระเข้สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดีมาก ช่วงนี้เขาก็เลยเอาเลือดจระเข้ไปทำเป็นยาให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ บอกว่าทุกคนที่ได้รับยาไปในฐานะคนไข้ตัวอย่าง มีอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด ความซวยของจระเข้กำลังจะมาเยือน..!

อาตมาลองกินเนื้อจระเข้มา ๒-๓ ครั้งแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่อร่อย เหลืออย่างเดียวคือปิ้ง แต่ทีนี้ร้านเขาไม่ทำให้ ส่วนใหญ่เขาก็ทำผัดเผ็ด ต้มยำ คิดว่าเนื้อจระเข้ต้องปิ้งถึงจะอร่อย อย่างพวกแย้ต้องปิ้งถึงจะอร่อย แต่เนื้อจระเข้เขาไม่มีเวลาปิ้งให้เรา

เนื้อจระเข้มีฮอร์โมนสูงมาก ถ้าจะกินต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง"

เถรี 15-05-2011 17:21

"สมัยก่อนบ้านอาตมาทำสวน พวกมดส้ม มดแดงที่เขาแหย่รังเอาไข่ไปกินจะเยอะมากเป็นพิเศษ เขาสอนต่อ ๆ กันมาว่า เอาเนื้อจระเข้ไปแขวนให้มดกิน อาทิตย์เดียวมดจะงอกปีก แล้วก็บินไปหมด แสดงว่าเนื้อจระเข้มีฮอร์โมนเยอะมาก ขนาดว่ากระตุ้นให้มดงอกปีกเตรียมผสมพันธุ์ได้ พอมดมีปีกก็จะบินไปหมด

ดังนั้น..ใครอยากลองกินเนื้อจระเข้ ก็ลองดูว่าคึกไหม ? อาจจะคึกแต่มดก็ได้ เพราะว่าของบางอย่างเหมาะกับสัตว์บางชนิด เหมาะกับคนบางคน

อาตมากินเนื้อสัตว์มาแล้วแทบทุกชนิด เนื้อบางอย่างกินแล้วจำแม่นเลย เพราะกลิ่นและรสไม่เหมือนใคร อย่างเนื้อค้างคาว ต่อให้ปิดตากินลงไป ก็รู้ว่าเนื้อค้างคาว แต่เนื้อคนยังไม่เคยลอง

ในธรรมบทมีพระเจ้าโปริสาทกินเนื้อคน ท่านเองไม่ได้ตั้งใจกินนะ แต่เป็นความไม่รอบคอบของพวกที่เตรียมเครื่องเสวย ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาหยุดฆ่าสัตว์กัน ทำให้หาเนื้อไม่ได้ พอหาเนื้อไม่ได้ก็เลยไปที่ป่าช้า เจอศพคนตายใหม่ ๆ ก็เชือดเนื้อมาทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน

ปรากฏว่ารสชาติเป็นที่ถูกใจ พระเจ้าโปริสาทบอกให้พรุ่งนี้เอาอย่างนี้อีก พวกพ่อครัวก็เลยซวย พอหาศพสด ๆ ไม่ได้ ก็ต้องไปตกลงกับเพชฌฆาต ถ้าหากว่ามีศพประหารให้รีบส่งมาเลย พอบางวันไม่มี ก็ต้องไปกราบทูลความจริงให้ทราบ พระเจ้าโปริสาทบอกว่าเอานักโทษในเรือนจำไปประหารวันละคน และพระองค์ก็กินนักโทษจนหมดเรือนจำ

เมื่อติดใจรสชาติเนื้อคน ก็ต้องจับชาวบ้านมา พระพุทธเจ้าที่เป็นสุตโสมมาณพในชาตินั้น ก็ต้องไปอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าโปริสาทจึงได้สติคืนมา"

เถรี 15-05-2011 17:31

"เนื้อคนรสชาติไม่น่าจะเอาอ่าว เพราะว่าอาตมาเผาศพมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน กลิ่นเหม็นเขียวแปลก ๆ กลิ่นไม่ได้น่าชวนกิน พอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเนื้อคน แต่ถ้ากลิ่นไม่ชวนกิน รสชาติดี ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มลงไปได้

อีกรายหนึ่งเป็นสมัยพุทธกาล ตอนนั้นพระท่านป่วย โยมเขาปวารณาไว้ว่า ถ้าต้องการอะไรขอให้บอก พระท่านบอกโยมว่าต้องการน้ำต้มเนื้อ ก็คือซุป ปรากฏว่าเป็นวันเดียวกับที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ โยมเลยปาดเนื้อขาอ่อนตัวเองต้มซุปถวายพระ พอพระฉันเข้าไปก็หายป่วย พอหายป่วยออกบิณฑบาต เห็นว่าโยมออกมาใส่บาตรไม่ได้ ก็เลยถาม โยมก็ต้องสารภาพว่า เอาเนื้อขาตัวเองต้มซุปให้พระ ทำให้บาดเจ็บออกมาใส่บาตรไม่ได้

พอพระท่านกลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยมโยมคนนั้น ด้วยพุทธานุภาพทำให้เนื้อปิดสนิทกลับหายดีตามเดิม จึงออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าถึงได้มีบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีประเภทเชือดอีกคนละชิ้นสองชิ้น แล้วจะยุ่ง

ท่านห้ามเอาไว้ ๑๐ อย่าง มี เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อหมี เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อราชสีห์"

เถรี 15-05-2011 17:40

ถาม : เนื้อสัตว์ที่ท่านบัญญัติเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเวลาเรากินเนื้อสัตว์ลงไป กลิ่นตัวเราจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น พอเข้าไปในเขตของเขา เราจะเป็นสัตว์แปลกหน้า เขาจะไล่ทำร้ายเอา เพื่อไล่เราให้พ้นเขตของเขา เพราะสัตว์เขาหวงถิ่นหากิน อยู่ ๆ ถ้าโดนสิงโตควบเข้าใส่จะทำอย่างไร ก็เผ่นกันไม่ทัน

มีคนเขาสงสัยว่าอินเดียไม่ได้มีสิงโต แต่ทำไมพระธรรมบทกล่าวถึงราชสีห์เยอะแยะไปหมด ไม่มีนี่ไม่ได้หมายความว่าสมัยโบราณไม่มีนะ อย่างบ้านเราตอนนี้ก็ไม่มีเนื้อสมัน แล้วทำไมเราถึงรู้ว่าเนื้อสมันมี

ถ้าเทคนิคในการสกัดดีเอ็นเอก้าวหน้ากว่านี้ เราอาจเห็นสมันมาเดินปุเลง ๆ ก็ได้ ตอนนี้ที่เขากำลังทดสอบอยู่ก็คือ สกัดดีเอ็นเอของช้างแมมมอธ ตั้งใจว่าจะฝากเอาไว้ในท้องของช้างปกติ แม่ช้างคงรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนแม่กระจิบที่เลี้ยงลูกนกกาเหว่า

เคยเห็นไหม ? นกกระจิบตัวเล็กนิดเดียว ลูกนกกาเหว่าตัวใหญ่เบ้อเร่อ ใหญ่กว่าแม่นก ๑๐ กว่าเท่า แม่คาบหนอนมาป้อนลูก ลูกนกแทบจะอมแม่นกเข้าไปได้ทั้งตัว

นกกาเหว่ามี ๒ สี ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีน้ำตาลลาย ๆ ตัวที่ส่งเสียงร้องคือนกกาเหว่าตัวผู้ โบราณเรียกว่าร้องลาตะวัน หรือร้องรับตะวัน ความจริงเขาร้องประกาศเขตแดนให้รู้ว่าอยู่บริเวณนั้น พวกเดียวกันได้ยินจะได้ไม่ล่วงล้ำเข้าไป ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ตีเอา


:4672615:ข้อมูลเพิ่มเติมโดยคุณปิยทัศน์ครับ


"อันที่จริงอินเดียมีสิงโตที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แม้แต่เวลานี้ก็ยังมีอยู่ แต่มีจำนวนน้อยมาก เรียกว่า "สิงโตเอเซีย (Asiatic Lion)" หรือ "สิงโตอินเดีย (Indian Lion)" และเหลืออยู่เฉพาะใน Gir Forest ทางด้านตะวันตกของอินเดียเท่านั้นครับ

รายละเอียดต่าง ๆ ดูได้ตามลิงก์ครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Asiatic_Lion

เรื่องนี้คนทั่วไปมักจะไม่ทราบครับ แต่ผมสนใจเรื่องสัตว์ป่ามานานแล้ว ได้เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสิงโตเอเซียมาหลายครั้งจึงทราบครับ

นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

ปิยทัศน์

เถรี 16-05-2011 17:49

ถาม : การพิจารณาขันธ์ ๕ ของ.....(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วง่ายและเหมือนกันหมด ก็คือเริ่มจากการเข้าสมาธิเต็มที่ที่ตัวเองทำได้ แล้วก็พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าระดับของการพิจารณาหยาบละเอียดต่างกัน เห็นละเอียดมากเท่าไร ยอมรับมากเท่าไร ก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงมากขึ้นเท่านั้น

ถาม : แล้วต้องถอยออกมาพิจารณาขันธ์ ๕ ที่ฌานสี่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงฌาน ๔ แค่ฌาน ๑ ก็พอ มัวรอให้เข้าฌาน ๔ ได้ บางทีทั้งชีวิตก็ไม่ต้องพิจารณาเลย

ถาม : การที่กราบพระบนพระนิพพาน ........
ตอบ : ถ้ามัวแต่สนใจอยู่ตรงนั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น สนใจแค่ว่าไปได้ไหม ? บางอย่างรู้ไปก็ฟุ้งซ่านเพราะคิดว่ากูดีแล้ว

เถรี 16-05-2011 17:56

ถาม : เมืองเปียนฮวนในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือด ?
ตอบ : เปียนฮวนเป็นเมืองสมมติ อยู่ที่มุมมองของคน เหมือนกับ ๓ จังหวัดภาคใต้ ที่มีสารพัดผู้คน ขณะเดียวกันบรรดากิจการต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยจะถูกต้องตามกฎหมายก็เฟื่องฟู อยู่ที่ว่าใครจะสามารถฉวยโอกาสได้มากกว่ากัน

เหตุการณ์ ๓ จังหวัดภาคใต้ที่รุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยาเสพติดด้วย มีของเถื่อนหนีภาษีด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมืองระหว่างเชื้อชาติเท่านั้น มีการสวมรอยกันไปสวมรอยกันมา คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือชาวบ้านตาดำ ๆ

เมืองเปียนฮวนสมัยก่อนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ อย่างสมัยก่อน ถ้าพม่าจะตีอยุธยาให้ได้ต้องยึดพิษณุโลกให้ได้ก่อน ถ้ายึดพิษณุโลกไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ตีอยุธยา เพราะถ้ายกทัพเข้ามาตีอยุธยา พิษณุโลกก็จะกระหนาบหลัง เมืองเปียนฮวนจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นที่หมายปองของทุกคน

เถรี 16-05-2011 18:00

เราลองนึกถึงสามก๊ก เล่าปี่เดินทางไปเชิญขงเบ้งถึง ๓ วาระ พอวาระที่ ๓ ขงเบ้งกางแผนที่ให้ดู แล้วเอามือจิ้มลงไปที่เมืองเสฉวนเท่านั้น ดินแดนอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพรั่งพร้อม ตั้งรับง่าย เข้าตียาก ถ้าท่านสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตนี้ได้ก็เท่ากับท่านแบ่งแผ่นดินออกแล้วเป็น ๑ ใน ๓ นี่..เห็นความสำคัญของเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หรือยัง ?

เมืองเปียนฮวนก็อยู่ในลักษณะนั้น อยู่กึ่งอนารยะกับอารยะ คือกึ่งกลางระหว่างดินแดนเถื่อนและความเจริญ อยู่ตรงกลางพอดี สินค้าทางด้านเจริญก็ต้องมาพักที่นี่ก่อน แล้วถึงจะกระจายออกทางด้านบน สินค้าจากด้านบนก็ต้องมาผ่านตรงนี้ก่อนแล้วถึงกระจายออกด้านล่าง นอกจากนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะมีแม่น้ำไหลผ่าน การเดินเรือทำให้สามารถยกทัพได้ง่ายและเงียบเชียบ ไม่มีร่องรอย ไม่เหมือนกับการเดินทัพทางบก

จากทางด้านบนสามารถที่จะล่องเรือบุกทะลวงไปยังจงหยวนที่ด้านล่างได้เลย กลายเป็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพาณิชย์หรือการศึกสงคราม ถือเป็นชัยภูมิที่สำคัญที่สุด ดังนั้นไม่ว่าใครก็ต้องยึดเมืองนี้ให้ได้ก่อน

เถรี 16-05-2011 18:06

ถาม : ธาตุลมกำเริบเกิดขึ้นเองหรือคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเกิดจากสภาพร่างกายของเราเอง ถ้าธาตุไม่เสมอ ตัวใดตัวหนึ่งพร่อง ตัวอื่นก็จะกำเริบหรือที่หมอเรียกว่ามากขึ้น เรื่องของธาตุไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตามห้ามขาด

ถ้าธาตุลมขาดไป ไม่มีตัวไหนควบคุมธาตุไฟ ธาตุไฟก็ดับ เพราะเรารู้โดยธรรมชาติว่าไฟต้องมีลมถึงจะติดได้ พอธาตุไฟดับ ไม่มีใครควบคุมธาตุน้ำได้ ธาตุน้ำก็ขยายตัวดันธาตุดินให้พองขึ้น ในที่สุดก็แตก

โบราณเขาถึงได้เก่ง เขามียาคุมธาตุรักษาตามอาการ โดยเฉพาะยาครอบจักรวาล ยาแก้ลมร้อยแปดจำพวก ใครร่างกายไม่ปกติ ลองไปหากินดูบ้าง จะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

สมัยเด็ก ๆ สงสัยว่าทำไมคนแก่ต้องกินยาลมด้วย ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว เพราะตัวเองก็เริ่มกิน มียาลมยี่ห้อหนึ่ง สมัยก่อนลองชิมแล้วรสชาติดุเดือดมากเลย คือ ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ ในความรู้สึกของอาตมาว่าแรงมาก ๆ เลย แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าทีละครึ่งตลับ..!

เถรี 16-05-2011 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศศรีลังกา พระสมัคร ส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้ มีกระทรวงพระพุทธศาสนาเป็นของตัวเอง ถ้าบ้านเราให้พระลงสมัคร ส.ส.ได้คงสนุก เชื่อว่ามีหลายรายที่จะชนะแบบถล่มทลายเลย

ถามพระสงฆ์ศรีลังกาว่า ทำไมคุณไปเล่นการเมือง ? ท่านบอกว่าทำตามพระพุทธเจ้าสั่ง ตอนแรกที่พระพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ออกไปประกาศพระศาสนา ตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย ดูก่อน.. ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

เขาบอกว่า การเล่นการเมืองเป็นการทำประโยชน์เพื่อคนหมู่มาก ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งเลย เล่นอ้างบาลีทำเอาอาตมาเถียงไม่ได้ แต่ของอย่างนี้อยู่ที่คนตีความ ท่านเล่นตีความว่าเล่นการเมืองได้"

เถรี 16-05-2011 18:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของแม่ชีทศพร จะโทษแม่ชีทศพรก็ไม่ถนัด เพราะว่าทุกครั้งที่แม่ชีทำบุญจะอธิษฐานว่า ขอผลบุญนี้ ช่วยให้ข้าพเจ้าสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล

เมื่อเป็นดังนั้น ก็แปลว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่มี เนื่องจากตั้งใจไปเกิดใหม่ ในเมื่อความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้มาถึง อะไรก็ตามที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า อย่างเช่นการรักศีลยิ่งชีวิตก็จะไม่มี ต่อให้มี ถ้าหากว่าจำเป็นก็จะผ่อนผัน แต่ทีนี้ความจำเป็นของท่านมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้"

เถรี 16-05-2011 18:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะดูครอบครัวตัวอย่าง ต้องดูครอบครัว พ.อ. นพ.นพพร กลั่นสุภา ก่อนออกจากบ้าน คุณหมอเตือนใจจะมากราบสามีก่อน จริง ๆ มารยาทโบราณเขาทำอย่างนั้น

อย่างที่เมื่อเช้าคุณมุกดาบอกว่า พ่อสอนว่าสามีเป็นพระคนที่ ๒ ในบ้าน คุณมุกดายังถามพ่อว่า แล้วจะต้องกราบเท้าสามีก่อนนอนไหม ? โบราณเขากราบเท้าสามีก่อนนอนอย่างนั้นจริง ๆ

บ้านคุณหมอนพพรนั้นคุยกับลูกเหมือนลูกเป็นผู้ใหญ่ เวลาลูกมาปรึกษาพ่อ พ่อก็ว่า คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ? ต้องการจะทำแบบไหน ? พ่อใช้สรรพนามกับลูกว่าคุณ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ? แล้วลูกก็บรรยายมา จากนั้นท่านก็ว่า พ่อว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ คุณมีอะไรจะแย้งไหม ? ทำให้เด็กกล้าแสดงออก เพราะว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส ให้เกียรติเหมือนกับว่าเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน เสมอกัน"

เถรี 16-05-2011 18:23

"เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ผู้อื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เราให้เกียรติเขา เขาก็ให้เกียรติเรา ไม่ต้องไปดุไปว่า เพราะว่าพูดคุยกันแล้ว ตกลงกันแล้ว

สมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก พี่สาวจะดูแลอาตมามากกว่าแม่ พี่ ๒ คน จะมีอยู่คนหนึ่งน้อง ๆ รักและแห่ไปอยู่ด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งถ้าไม่จำเป็นน้อง ๆ จะไม่เดินผ่านเลย แสดงว่าจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพี่น้องกัน

คนหนึ่งใช้พระเดชจนเคย อีกคนหนึ่งใช้พระคุณ คนที่ใช้พระเดชก็ต้องทำใจว่าน้อง ๆ ไม่มาหาแน่ ส่วนคนใช้พระคุณจะบอกเลยว่า ถ้าดื้อมากเดี๋ยวจะส่งไปหาพี่อีกคน"

เถรี 16-05-2011 22:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดที่มีวัดมากที่สุดในประเทศไทยคือ อุบลราชธานี เหลือเชื่อไหม ? ขนาดโดนแบ่งแล้วแบ่งอีกนะ อุบลราชธานีแยกไปเป็นยโสธร แยกไปเป็นอำนาจเจริญ ขนาดนั้นยังมีวัดมากที่สุดในประเทศไทย

ตอนแรกอาตมาคิดว่าเป็นอยุธยา เพราะอยุธยานี่มีวัดแทบจะทุกสี่แยกเลย ไป ๆ มา ๆ เป็นวัดร้างเสียเยอะ วัดที่มีพระจำพรรษาก็เลยน้อย

พอแยกบึงกาฬออกจากหนองคายก็ช่วยได้เยอะเลย เพราะเท่ากับว่าหั่นครึ่งจังหวัด หนองคายเป็นจังหวัดยาว ๆ ประจวบคีรีขันธ์ก็ยาว แต่เนื้อที่ไม่มาก พะเยาก็แยกออกมาจากเชียงราย อีกจังหวัดหนึ่งที่น่าแยกมากเลยก็คือ นครราชสีมาเพราะว่าใหญ่มากเหมือนกัน

กาญจนบุรีอยากจะแยกมานานแล้ว แต่ทองผาภูมิมีประชากรไม่พอ เขาเตรียมการมานานแล้ว ทั้งเรือนจำจังหวัด ศาลจังหวัด ขนส่งจังหวัดมีแล้ว แต่ประชากรในทะเบียนบ้านมีน้อยเกิน ที่เห็นมากมายมหาศาลไปหมดนั่นเป็นคนต่างด้าว

ทางการเขาไม่สามารถที่จะให้สิทธิ์ตามกฎหมายต่างด้าวได้ เพราะตามกฎหมายต่างด้าว ถ้าคุณเข้ามาแจ้งลงทะเบียนต่างด้าวไว้ เสียภาษีครบ ๑๐ ปีแล้วจะได้สัญชาติไทย ถ้าทำอย่างนี้เขามากันหมดประเทศแน่

สมัยมาอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ พอถึงช่วงปีใหม่ สงกรานต์ พวกข้าราชการที่ต้องการหาเงินกินเหล้า ก็จับคนมอญ จับคนพม่าไปเรียกค่าไถ่ เดี๋ยวทหาร เดี๋ยวตำรวจ เดี๋ยว ตชด. เดี๋ยวผู้ใหญ่บ้าน จับไปเรียกทีละ ๓ พันบาท ๕ พันบาท

อาตมาเคยถามเขาว่า อยู่ลำบากขนาดนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน ? เขาบอกว่า อยู่ประเทศไทยลำบากอย่างไรก็ยังดี ยังมีเงินเหลือ อยู่ประเทศเขา ถ้าทหารเอาจะไม่เหลืออะไรเลย ฟังแล้วอนาถใจว่ามนุษย์เราทำกันได้ขนาดนี้"

เถรี 17-05-2011 16:54

พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าใครไปงานวัดท่าขนุน แถวโรงทาน จะเห็นฝรั่งแก่ ๆ คนหนึ่งมาทำกับข้าวออกโรงทาน ฝรั่งคนนี้ชื่อ เดวิด คันนิ่งแฮม เขาอยู่เมืองไทยจนกลายเป็นคนไทยไปเลย พูดไทยไม่ได้นะ แต่ฟังออกบ้าง

ตอนแรก ๆ ป้าอุ๋ย (ภรรยา) สอนให้ใส่บาตรตอนเช้า ๆ ฝรั่งทำอะไรเขาทำจริง ลุงเดฟก็ตื่นมาหุงข้าวใส่บาตร ใส่ไปใส่มาป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนสบาย ปล่อยให้ลุงเดฟใส่บาตรอยู่คนเดียว

จนกระทั่งมาวันหนึ่งลุงเดฟโวยวายกับป้าอุ๋ยว่า “นี่ตกลงศาสนาของใครกันแน่ ของเธอหรือของฉัน..!?” ฝรั่งเขาทำจริง ลุกขึ้นมาใส่บาตรทุกวัน ใส่ไปใส่มาเมียขี้เกียจใส่บาตรเสียเอง"

เถรี 17-05-2011 16:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ปัจจุบันนี้อาตมาจะให้โยมไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร ท่านเจ้าคุณโสภณ (พระเทพคุณาภรณ์) รองเจ้าคณะภาค ๑๓ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ท่านให้คนดูแลดี บางวันไปท่านอยู่ ก็กุลีกุจอลงมาบัญชาการเองเลย ท่านเป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลมาก

ก่อนหน้านั้นท่านเป็นพระมหาโสภณ ป.ธ.๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร พอดีทางคณะสงฆ์ต้องการเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ซึ่งไม่มีใครกล้ารับอาสา เพราะวัดเทวราชกุญชรช่วงนั้นเหมือนสลัมชัด ๆ คนเข้าไปสร้างบ้านสร้างเรือนจนดูรกไปหมด พระมหาโสภณท่านก็รับอาสาไป ท่านทำอยู่แค่ ๓ ปี ดังระเบิดเลย เพราะท่านรื้อทิ้งเสียเกลี้ยง เริ่มต้นบูรณะของเก่า ดัดแปลงขึ้นมาใหม่จนใหญ่โตดูดี"

เถรี 17-05-2011 17:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากถามญาติโยมทั้งหลายว่า สมัยก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำไร่ทำนาอยู่ตลอดปี แต่ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะไปวัด อย่างเช่น พอไถหว่านดำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรอประมาณ ๔-๖ เดือน แล้วแต่ว่าเป็นข้าวหนักหรือข้าวเบา ช่วงนั้นก็จะเป็นฤดูงานบุญ เพราะคนว่างงานแล้ว

หลังจากเกี่ยวข้าว นวดเสร็จเรียบร้อย ก็ยังว่างอีกตั้ง ๓-๔ เดือน รอจนกว่าฝนใหม่มา ถึงจะได้ไถหว่านกันอีกครั้ง สมัยนี้เครื่องมือเครื่องไม้สะดวกขึ้น รถไถก็มี รถหว่านก็มี รถเกี่ยวก็มี รถดำนาก็มี แต่ทำไมคนจึงไม่มีเวลาเหลือเลย ? เคยคิดกันบ้างไหม ? หรือว่าอาตมาฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว ?

สมัยอาตมาเด็ก ๆ เวลาจะทำบุญ เขาต้องเดินกันข้ามทุ่งเพื่อไปส่งข่าวอีกหมู่บ้านหนึ่ง อีกตำบลหนึ่ง กว่าญาติพี่น้องจะรู้กันครบก็ใช้เวลาหลายวัน สมัยนี้ยกมือถือครั้งเดียวรู้ได้ทั่วโลกเลย แต่สมัยก่อนนั่นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะไปส่งข่าวได้ครบ บางทีต้องไปค้างบ้านเขาด้วยถึงค่อยกลับบ้าน หรือไม่ก็ขี่เกวียนกลับมา

สมัยนี้ถ้าไม่ยกหูโทรศัพท์ ก็บึ่งรถทีเดียวถึง แล้วทำไมคนจึงไม่มีเวลา ? สมัยก่อนเวลาเขาว่าง ไม่มีอะไรทำก็ตีไก่ กัดปลา ทำน้ำตาลเมา หมักสาโท ทำกระแช่กินกัน ถึงเวลาตำรวจหรือสรรพสามิตมาไล่จับก็วิ่งหนีกันอุตลุด..!"

เถรี 17-05-2011 17:07

"สมัยก่อนกิจกรรมบันเทิงไม่ค่อยมี คนก็เลยมีเวลา สมัยนี้เดินห้างครั้งหนึ่งก็ ๔-๕ ชั่วโมงเข้าไปแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาเหลือ ? เดินห้างบางทีก็เพลินไม่รู้ตัว..ใช่ไหม ? เพราะเขาเปิดไฟสว่างอยู่ตลอดเวลา พอโผล่มาข้างนอกปรากฏว่ามืดตื๋อเลย..ค่ำไปตั้งนานแล้ว

ฉะนั้น..พอกิจกรรมต่าง ๆ เยอะขึ้น ก็เลยแย่งเวลาเราไปหมด อย่างพวกเราก็ต้องเข้าอินเตอร์เน็ตวันหนึ่ง ๑-๒ ชั่วโมง เด็กบางคนเข้าอินเตอร์เน็ตกันข้ามวันข้ามคืน ฉะนั้น..จะเอาเวลาที่ไหนไปสังสรรค์กับคนอื่นเขาได้ โดยเฉพาะโหลดเกมมาเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ

สรุปได้ว่าทุกอย่างมีความสะดวกขึ้น คล่องตัวขึ้น แทนที่เวลาจะเหลือ กลับแย่งเวลาไปจนหมด เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาทำมีมากขึ้น เมื่อกระแสโลกแรงขึ้น ดึงเราไปง่ายขึ้น การปฏิบัติเพื่อสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งเพื่อต้านกระแสก็ยากขึ้น ต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ ถ้าหากว่าใครไปมืออ่อนหย่อนให้หน่อย มีหวังถูกกิเลสตีตายเลย..!"

เถรี 18-05-2011 19:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการทำบุญ พระพุทธเจ้าตรัสอยู่แล้วว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง ทำให้เร็ว ทำให้ไว แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งในบารมีของเรา ยิ่งบารมีสูงมากเท่าไร ก็ยิ่่งทำบุญได้ง่ายมากเท่านั้น การที่เราทำบุญง่าย ถึงเวลาจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ ก็จะได้รับง่าย ๆ"

เถรี 18-05-2011 20:04

วันอาทิตย์ คุณหมอนพพรได้มาแจ้งงานบุญประดับเพชรพระอุณาโลมสมเด็จองค์ปฐม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อุณาโลมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นโบราณาจารย์ท่านจะถือว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าได้เลย ดังนั้น..ถ้าเขาเขียนอุณาโลมตัวหนึ่งก็เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในทางโยคศาสตร์เขาถือเป็นกุณฑาลินี คือแหล่งพลังงานที่สามารถเปล่งพลังสูงสุดได้ เป็นจักระที่สำคัญที่สุด

ในส่วนของยอดมงกุฎเราก็น่าจะรู้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสามารถค้นพบเพชรยอดมงกุฎ คืออริยสัจ ๔ ต่อท้ายของพราหมณ์ที่เขาไปถึงสมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น..เพชรยอดมงกุฎในพุทธศาสนาของเราคืออริยสัจ ๔

ครอบครัวของคุณหมอนพพรกับคุณหมอเตือนใจ ทุ่มเทชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา บุญเล็กบุญใหญ่แค่ไหน ถ้ามาถึงตรงหน้าไม่เคยปฏิเสธ มีแต่จะนำเขาทำ ถ้าหากบุญใหญ่ที่เรารู้สึกว่าเกินกำลัง ถ้ามีผู้นำแบบคุณหมอทั้งสองท่านเราก็สบาย เจอบุญแบบนี้ให้วิ่งใส่เลย"

เถรี 18-05-2011 20:15



พระอาจารย์กล่าวถึงท่านแม่ทั้งสามว่า "ตอนนี้ท่านเข้าพระนิพพานกันหมดแล้ว ท่านที่ขอให้ท่านแม่ช่วย ถ้าสำเร็จแล้วให้ถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านแม่ด้วย

เวลาปกติเราสวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศลถวายท่านเป็นประจำ จะเป็นสิ่งที่ท่านชอบใจ แต่ถ้าต้องการบนให้ท่านช่วยเรื่องอะไรเป็นการเฉพาะ ให้บนถวายผ้าไตร ขอยืนยันว่าผ้าไตรครบชุดนะจ๊ะ ไม่ใช่ชิ้นเดียว ถวายอุทิศให้ท่านแม่ทั้ง ๓ พระองค์พร้อมกัน

โดยปกติแล้ว เราเรียกท่านแม่ว่า ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะเรียกนามในสมัยพระเจ้าศรีทรงธรรมปิฎก (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ)

ท่านจะเรียกท่านแม่ใหญ่ว่า ท่านแม่ศรีระจิตร (มิ่งขวัญของดวงใจ) ท่านแม่กลาง ท่านเรียกว่า ท่านแม่จิตรตี (มีดวงจิตอันยินดี) ท่านแม่เล็ก ท่านเรียกว่า ท่านแม่ประภาศรี (ผู้มีมิ่งขวัญอันสว่างรุ่งเรือง)

แต่ถ้าอยู่ข้างบน ท่านแม่ใหญ่ชื่อ ท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาคย์ ท่านแม่กลางชื่อ ท่านแม่จิตราวดีศรีโสภาคย์ ท่านแม่เล็กชื่อ ท่านแม่ประภาวดีศรีโสภาคย์ อย่าไปปะปนกับชื่อท่านย่านะจ๊ะ เดี๋ยวจะโดนท่านย่าดึงหูเอาว่าขนาดชื่อข้าก็ยังลืม

ท่านย่าชื่อ รัตนาวดีศรีโสภาคย์ แต่กรุณาอย่าเรียกชื่อเพราะเราไม่ใช่ผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กเรียกท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก หรือว่าเรียกท่านย่าก็พอแล้ว"

เถรี 18-05-2011 20:20

ถาม : พังครานี ?
ตอบ : ท่านย่านั่นแหละ คือท่านย่าพังครานี คำว่า พังครานี คือพระราชินีแห่งพิงคนคร พวกเราพอฟังคำว่า "พังคะ" รู้สึกไม่เข้าท่า ฟังแล้วเหมือนกับมีอะไรพัง บางคนก็เลยไปเรียกท่านว่า "อินทิรานี" ก็คือพระราชินีของพระอินทร์

คราวนี้ขอให้รู้ว่า คำว่าอินทิรานีนั้นเราเรียกกันเอง ถ้านามของท่านในสมัยเชียงแสน ก็คือท่านย่าพังครานี ท่านปู่ก็คือท่านปู่พังคราช (พระราชาแห่งพิงคนคร)

เรื่องของอดีตถ้าไม่แม่นอย่าไปมั่ว เพราะถ้าข้อมูลผิดก็จะผิดไปเรื่อย ๆ แล้วคนรุ่นหลังก็จะจำผิด พากันผิดไปอีกยาวเลย

พวกเราทุกคนต้องเกิดเป็นลูกท่านแม่ใดท่านแม่หนึ่งมาอย่างน้อยก็หลายชาติ ไม่ใช่ชาติสองชาติ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดเป็นลูกของแม่ใหญ่กันทั้งนั้น แต่ก็แปลก..เกิดเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่ไปกินข้าวบ้านแม่กลางบ้าง บ้านแม่เล็กบ้าง มีหลายแม่นี่สบาย ไปบ้านไหนก็มีให้กิน

เถรี 19-05-2011 18:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วจำได้ไหมว่าอาตมาติดค้างเรื่องอะไรไว้ ? เรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระองค์ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า แผ่นดินไหวนั้นมีสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน

ประการที่ ๑ คือลมกำเริบ คำว่าลมกำเริบนี่เป็นภาษาโบราณ ถ้าเอาอย่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ ภายใต้โลกของเรานั้นมีแม็กม่า คือหินหลอมเหลว ซึ่งจะเดือดคลั่ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ความร้อนที่เดือดนี้พอมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะระบายได้ ก็จะทำให้เกิดแรงดันที่สามารถจะดันเอาพื้นโลกซึ่งไม่ได้ติดเป็นชิ้นเดียว แต่ว่าแยกเป็นชิ้น ๆ ให้เคลื่อนที่ไปได้

พอเคลื่อนที่ครั้งหนึ่งก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง แล้วแต่ว่าการเคลื่อนที่นั้นหนักเบาเท่าไร ซึ่งสมัยปัจจุบันนี้เขาสามารถคิดมาตรวัดเป็นริกเตอร์สเกลได้แล้ว สูงสุดในมนุษยชาติที่วัดได้ก็คือล่าสุดนี้ ๙ ริกเตอร์สเกล สร้างความวิบัติให้กับทางประเทศญี่ปุ่นอย่างแสนสาหัส จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีกลับมาได้"

เถรี 19-05-2011 18:24

"ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล คือบรรดาท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อใดก็ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอุปคุตเถระ

พระอุปคุตเถระได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มาป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ในชมพูทวีป ไม่ให้งานล่มเพราะการกลั่นแกล้งของพญามาร พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นรูปร่างพระอุปคุตแล้วไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าจะต้องมีหุ่นแบบอาร์โนลด์ ชวาสเซเนกเกอร์ ต้องล่ำสันสูงใหญ่หน่อย ถึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน

ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชคิดผิด เห็นว่าพระอุปคุตเถระเป็นหลวงตาผอม ๆ จนกระทั่งบางคนเรียกว่า "กีสนาคอุปคุต" กีสะ แปลว่าผอม อย่างนางกีสาโคตมี ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลโคตมะที่ผอมกะหร่อง เหตุที่พระอุปคุตเถระผอมไปหน่อย ก็เพราะว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจะได้ฉันข้าว"

เถรี 19-05-2011 18:32

"พระเจ้าอโศกมหาราชทดสอบด้วยการปล่อยช้างตกมันให้ไปไล่เหยียบท่าน แต่ปรากฏว่าแค่พระอุปคุตเถระหันไปมอง ช้างก็ยืนแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ได้

พอทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการลอง เพื่อทดสอบดูว่าท่านมีฤทธิ์จริงหรือไม่ พระอุปคุตเถระก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดสมกับเป็นพระมหากษัตริย์จริง ๆ กล่าวว่า แล้วโยมจะเชื่อได้อย่างไร ? เพราะอาจจะบังเอิญเกิดแผ่นดินไหวตอนนั้นพอดี

พระอุปคุตเถระบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมหาบพิตรจงเอาน้ำมา ๑ ขัน อาตมภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว โดยให้น้ำในขันนั้นสั่นสะเทือนเพียงครึ่งขันเท่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชก็อยากทดสอบ ท่านตักน้ำมา ๑ ขันวางไว้ พระอุปคุตเถระก็บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว สะเทือนไปถึงน้ำรองปฐพี ก็คือสะเทือนถึงด้านล่างใต้โลก ปกติแผ่นดินเราหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แต่น้ำในขันสะเทือนเพียงซีกเดียวจริง ๆ

พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับว่าแผ่นดินไหวนั้นเกิดจากการบันดาลของพระอุปคุตเถระจริง ๆ แล้วพระอุปคุตเถระก็สามารถที่จะป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์นั้นให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทรมานจนพญามารยอมกลับใจเป็นสัมมาทิฏฐิได้ นี่เป็นสาเหตุที่ ๒ ของแผ่นดินไหว ก็คือผู้มีฤทธิ์ได้บันดาลให้เป็นไป"

เถรี 19-05-2011 18:39

"ประการที่ ๓ นั้น ท่านบอกว่าเกิดจากพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์พระพุทธมารดา
ประการที่ ๔ พระโพธิสัตว์ประสูติ

ประการที่ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้วนะ ถ้าตรัสรู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
ประการที่ ๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ท่านใช้คำว่า ธมฺมจกฺกปฺปวตฺนํ ยังธรรมจักรให้เป็นไป

ประการที่ ๗ ท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร
ประการที่ ๘ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน

พระอานนท์พอได้ยินใจหายแวบเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงร่างกายของพระองค์ว่าจะไปไม่รอดแล้ว ไปไม่ไหวแล้วมาตลอดทาง พระอานนท์ก็ไม่ได้เฉลียวใจทูลอาราธนาไว้ พอได้ยินดังนั้นทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้วแน่นอน ก็รีบกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ท่านดำรงพระวรกายอยู่ต่อไปให้ได้ถึง ๑ กัป

พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะว่าพระองค์ท่านรับอาราธนาพญามารไปแล้วว่าอีก ๓ เดือนถัดจากนี้จะปรินิพพานที่สาลวโนทยานของกรุงกุสินารา"

เถรี 20-05-2011 19:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนถามว่า การที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานตรงกัน ก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ เหมือนกัน พระองค์ท่านเลือกไว้ก่อนหรือเปล่า ? ต้องบอกว่าเรื่องของบุญที่ทำมา จะเป็นตัวจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวอยู่แล้ว

ในเมื่อเกิดมาเป็นอัจฉริยมนุษย์ระดับพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีสิ่งอัศจรรย์บางอย่างไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ก็เลยทำให้วันเกิด วันจบการศึกษา และวันตายเป็นวันเดียวกัน ต่างกันที่ปีเท่านั้น

ทำอย่างไรที่พวกเราจะเลือกวันตายได้ และที่สำคัญที่สุด เลือกว่าตายแล้วจะไปไหนได้ ? ถ้าเลือกได้นี่ประกันความเสี่ยงได้เลย นักปราชญ์ทั้งโลกบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกกิจการงานที่ทำไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องของทางโลก อย่างพวกเราอย่างน้อยก็เลือกได้ ๒ อย่าง คือเลือกเกิดได้กับเลือกตายได้ ถ้าทำให้จริง เลือกได้แน่นอน..!"

เถรี 20-05-2011 19:40

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อประมาณวันที่ ๒๔ เมษายน กำลังทำวัตรเย็นอยู่ ท่านคอม (พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ท้องเสียจึงไปเข้าห้องน้ำ เหมือนกับท่านโดนบังคับให้ท้องเสีย พอท่านออกจากห้องน้ำมา เจอวัยรุ่น ๒ คนกำลังใช้เลื่อย เลื่อยกุญแจห้องท่านอยู่พอดี ท่านร้อง "เฮ้ย..!" ขึ้นมา พวกนั้นโยนเครื่องมือทิ้ง เผ่นแน่บ..!

เราจะเห็นได้สองประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ ถ้าไม่ได้สร้างกรรมอทินนาทานไว้ อย่างไรก็จะไม่สูญเสียทรัพย์สิน ร้อยวันพันปีท่านไม่เคยท้องเสีย มาท้องเสียเอาวันจะโดนขโมย ออกจากส้วมมาก็เจอพอดีเลย

ประการที่สองคือ คนทุกคนมีปัญญา แม้แต่คนที่กำลังจะสร้างเวรสร้างกรรม เขาก็รู้จักเลือกว่าเวลานี้พระทำวัตร จะไม่มีใครมายุ่ง แบบเดียวกับสมัยอยู่ที่วัดท่าซุง หลังจากที่อาตมาไปอาละวาดจนกระทั่งไม่มีใครมาหาปลาตอนกลางคืน เขาก็มาหาปลาตอนพระบิณฑบาต มาตอนพระฉัน พอเสียงกลองเพลดัง เขาก็ลงข่าย กว่าพระจะฉันเสร็จครึ่งชั่วโมง เขากวาดปลาไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

อาตมาไปแอบซุ่มรออยู่ เผื่อว่าพวกนั้นจะมาอีก ในที่สุดก็สรุปได้ว่า จังหวะที่เขาจะมาก็คือช่วงทำวัตรค่ำ ตอนทำวัตรเช้าเขาไม่มา เดาว่ามี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือเขาตื่นไม่ทัน สาเหตุที่สองคือกลัวผี..!

วัดท่าขนุนเป็นวัดเปิด เพราะทางเข้าทั้ง ๒ ฝั่งเป็นทางที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิลงทุนทำให้ เขาขออย่างเดียวว่าให้เปิดเป็นทางสาธารณะ ถ้าไม่เปิดเป็นทางสาธารณะ เขาไม่สามารถที่จะเบิกงบประมาณมาช่วยเราได้ ในเมื่อเป็นวัดเปิด รั้วรอบขอบชิดก็ไม่มี เพราะทุกด้านเป็นถนน ขโมยก็เข้าออกได้สบาย ยกเว้นทางด้านทิศใต้ที่เป็นลำห้วยจะเข้ายากหน่อย"

เถรี 20-05-2011 20:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "กล้วยจัดว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านทรงอนุญาตน้ำปานะทั้งกล้วยมีเมล็ดและกล้วยไม่มีเมล็ด บาลีเขาว่า โจจะปานะ (น้ำกล้วยมีเมล็ด) โมจะปานะ (น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด)

สมัยนี้จะไปทำน้ำปานะจากกล้วยคงไม่มีใครมีความอดทนพอ สมัยก่อนเขาจะขยำกล้วยจนเละ เสร็จแล้วเอาห่อผ้าแขวนไว้ ให้น้ำหยดลงมา เราคงไม่มีความอดทนพอที่จะไปรออย่างนั้น สมัยนี้เขาปั่นแล้วใส่น้ำแข็งแต่พระไม่มีสิทธิ์ฉัน เพราะท่านห้ามฉันเนื้อ ฉันได้แต่น้ำ หรือไม่เราก็ปั่นเสร็จแล้วค่อยกรองเอาแต่น้ำ

พอเทคโนโลยีดีขึ้น ความประณีต ความอดทนของคนก็น้อยลง ตอนเด็ก ๆ พอถึงเวลาจะแกงอะไร อาตมาจะโดนบังคับให้ตำน้ำพริก ด้วยความที่อยากจะไปเล่น ก็รีบ ๆ ตำ ผู้ใหญ่เขาดูแล้วบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ ให้ตำใหม่" ตอนนั้นอาตมาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ไม่ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าพริกแกงหยาบเป็นบ้าเลย ต้องตำให้ละเอียดจริง ๆ จึงจะถึงรสถึงกลิ่น สมัยนี้โยนเข้าเครื่องปั่นได้ก็เอาแล้ว"

เถรี 20-05-2011 20:24

พระอาจารย์เล่าว่า "ระยะหลังนี้เล่นสนุกกับพระมาก พระครูน้อยท่านหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็กดมือท่านเอาไว้ "เดี๋ยว..อย่าเพิ่งฉัน ไส้ขนมสีอะไร ?" พระครูน้อยก็เหวอ "สีขาวมังครับ ?" คือดูแล้วว่าไม่น่าจะมีไส้

"ไม่ต้องแทงกั๊ก ฟันธงมาเลย" ท่านก็อึกอัก พออาตมาบอกว่าสีเขียว ท่านก็แกะดู ก็บอกว่า "ไม่จริ๊ง..ไม่จริง" ไม่จริงอะไรก็เห็นอยู่ (หัวเราะ) บางวันไม่มีอะไรก็เล่นสนุก ๆ กันในวงข้าว

วัดท่าขนุนของเราจะให้พระเวียนกันขึ้น ยะถาฯ..สัพพีฯ..คราวนี้พระใหม่ท่านเพิ่งบวชก็เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง แต่ท่านแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะขึ้นบทไหน พระอาจารย์ก็รับได้ทันทุกที จึงบอกกับท่านว่า "ก่อนคุณจะขึ้น ผมก็รู้แล้วว่าคุณจะขึ้นบทไหน ผมเลยตั้งท่ารับทัน" เล่นเอาลูกศิษย์หายโง่ไปเลย"

เถรี 20-05-2011 20:28

"ตอนที่ไปรับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ใหม่ ๆ มีผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะเริ่มเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เอาลูกพลับมาถวาย ๓ ลูก แล้วก็มาถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติทิพพจักขุญาณ เรื่องอภิญญา โดยตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นไปได้ไหม

อาตมาบอกเขาว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน อธิบายไปก็เสียเวลา หยิบลูกพลับมา ๑ ลูก คุณบอกได้ไหมว่ามีกี่เมล็ด ? เขาบอกว่าบอกไม่ได้ แต่อาตมาบอกได้ว่ามี ๓ เมล็ด เขาบอกว่าไม่ใช่ ลูกนี้มี ๖ กลีบ น่าจะมี ๖ เมล็ด

อาตมาจึงให้เขาผ่าดู เขาก็ควั่นกลาง ดึงออกมา ปรากฏว่ามี ๓ เมล็ดจริง ๆ ถามเขาว่า เชื่อหรือยังว่า..เรื่องพวกนี้สามารถที่จะทำได้ แต่คุณต้องขยันฝึกซ้อมหน่อย อะไรก็ตามที่เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แต่อะไรก็ตามที่คนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ด้วย..!"

เถรี 20-05-2011 20:39

"ยิ่งคนรุ่นใหม่มากเท่าไร ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาจะยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น ทุกอย่างก้าวไปหาความเสื่อมเป็นปกติ โดยเฉพาะการปฏิบัติ

จากที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ศาสนาของเรา พันปีแรก จะมากไปด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ พันปีที่สอง จะมากไปด้วยพระอภิญญา ๖ พันปีที่สาม คือช่วงตอนนี้ จะมากไปด้วยพระวิชชาสาม พันปีที่สี่ จะมากไปด้วยพระสุกขวิปัสสโก พอพันปีที่ห้า มากไปด้วยพระอนาคามี คำว่ามากก็คือ มีประเภทอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพอ

พวกเราจะเห็นว่าอยู่ในลักษณะที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ถ้าไม่มีความพากเพียรพยายามจริง ๆ จะเอาดีได้ยาก อย่างที่เล่าว่าเคยคุยกับมารเขา มารเขาบอกว่า ที่ท่านสอนไปไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบไปอีกตั้งกี่ชั้นแล้วก็ไม่รู้

ความสะดวกสบายทางโลกมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ บางอย่างพอเกิดขึ้น ก็ฆ่าเทคโนโลยีเก่า ๆ ตายหมดเลย พอมีซีดีมา เทปก็ตายสนิท ตอนนี้มีเอ็มพีสามมา คาดว่าเดี๋ยวอีกไม่นานซีดีก็ตาย

ปัจจุบันนี้ไอโฟนมา คงจะฆ่าทิ้งไปอีกหลายอย่างเลย เพราะเป็นได้ทั้งโทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป เครื่องนำทาง เครื่องแปลภาษา ไฟฉาย คิดดูก็แล้วกันว่าฆ่าทิ้งไปกี่อย่าง โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือนี่ตายแน่เลย เพราะว่าไอโฟนสามารถกำหนดวันเดือนปีได้ครบ ตั้งเวลาล่วงหน้าได้เป็นปี ถึงเวลานัดหมายก็ปลุกเตือนได้อีกต่างหาก"

เถรี 22-05-2011 10:14

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ มีเรื่องผีบุญ เขาลือว่าผู้มีบุญจะมาเกิด ใครเป็นคนอีสานต้องได้ยินเรื่องนี้แน่นอน ที่เขาให้ไปเก็บก้อนหินใส่ไหไว้ พอเวลาผู้มีบุญมาเกิด หินจะกลายเป็นทองคำ ใครอยู่อีสานโดนมาแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บเอาไว้สักไห เผื่อกลายเป็นทองคำจริงก็สบาย

ฉะนั้น..เรื่องของข่าวลือเป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่เอาเหตุผล เชื่อก็คือเชื่อ นักการเมืองเขาถึงได้พยายามฉวยโอกาสบนความเชื่อของชาวบ้าน ถ้าเขาเชื่อว่าคุณเป็นคนดี ต่อให้คุณทำผิดอยู่เต็ม ๆ เขาก็ยังเห็นว่าคุณเป็นคนดี"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว