กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2603)

เถรี 21-04-2011 11:00

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นอาตมาต้องเขียนพินัยกรรมเตรียมตัวตายไว้เลย เพราะว่าโดนหนักมาก ประเภทล้มทั้งยืน ตั้งใจจะไปกราบพระบนพระนิพพาน แต่ใจไม่ไป ไปหล่นอยู่กลางวงที่เขากำลังเล่นงานอาตมาอยู่พอดี มีทั้งห่มเหลือง ห่มขาว ทั้งนุ่งลาย เยอะแยะไปหมด สุมหัวกันเล่นงาน

อาตมาก็คิดว่าให้อภัย ๆ พยายามบอกตัวเองว่าให้อภัย แต่ตีนดันไปก่อน กวาดตูมเดียวกระจายทั้งวงเลย..! แสดงว่าสันดานตัวเองไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ขนาดบอกว่าให้อภัย ตีนยังไปก่อนเลย แล้วก็หายป่วยเดี๋ยวนั้นเลยนะ เพราะว่าพอพิธีเขาพังก็หายเป็นปกติ

แต่นั่นเป็นการทำให้เขารู้ว่า อาตมายังไม่เป็นอะไร เขาก็เลยต้องไปหาคนที่เก่งกว่ามาจัดการต่อ อาตมาเริงร่าอยู่ได้แค่ ๒ วัน วันที่ ๓ ก็ร่วงอีก รบกับพวกนี้แล้วน่าเบื่อ เพราะเขาเล่นไม่เลิก เขาสู้ไม่ได้ก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ แล้วถ้าไม่มีคนที่เก่งกว่า เขาก็ใช้วิธีรุมสกรัม บางทีรวมหัวกัน ๑๐-๒๐ คน ช่วยกัน

เรื่องพวกนี้จะมีปกติ ให้ถือเป็นข้อทดสอบอย่างหนึ่งในชีวิต ว่าเราสามารถที่จะปล่อยวางได้แค่ไหน ? อย่างปัจจุบันนี้ ใครอยากทำอะไรก็ทำไป มีแรงให้ทำไป เดี๋ยวเขาเหนื่อยก็เลิกเอง อาตมาไม่ตอบไม่โต้อะไรทั้งนั้น

บางคนถามว่าทำไมไม่ตอบโต้ ? เพราะทันทีที่เราตอบโต้ เขาจะรู้ว่าเรายังไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ แสดงว่ายังปกติดีอยู่ เขาก็เล่นไม่เลิก ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนกับเราตายไปแล้ว พอเขาคิดว่าเราตาย เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง

ถาม : ยันต์เกราะเพชรไม่ป้องกันหรือคะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรป้องกันไม่ให้ตายเพราะไสยศาสตร์ แต่ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากไสยศาสตร์

หลวงพ่อท่านบอกว่า เหมือนกับเขาก่อไฟกองใหญ่ไว้ เราก่อผนังกั้น เปลวไฟทำอันตรายเราไม่ได้ แต่ความร้อนก็มาถึง เพราะฉะนั้น..อย่าหวังพึ่งยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว ต้องมีความสามารถส่วนตัวบ้าง แต่เชื่อเถอะ กระจิ๊บกระจ๊อยอย่างพวกเรา เขาไม่เสียเวลาไปทำหรอก ถ้าเขาจะเล่นงาน ก็จะเล่นหัวหน้าเลย

เถรี 21-04-2011 15:50

ถาม : เวลาภาวนาแล้วเดินเร็ว ๆ หรือวิ่ง หนูเลือกจับลมหายใจกับเท้าไปด้วยพร้อมกัน ก็สอดคล้องกัน ทีนี้ตอนเริ่มวิ่งเร็ว ๆ ลมหายใจเริ่มไม่สม่ำเสมอค่ะ แล้วก็ไปกับเท้าไม่ได้ด้วย มั่วไปหมด
ตอบ : ให้กำหนดรู้เฉย ๆ เพราะว่าถ้าเรารู้ลมด้วย เท้าจะไม่ไป ฌานที่เกิดทำให้จิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน ให้กำหนดรู้การเคลื่อนไหวอย่างเดียว ฉะนั้น..ต้องทิ้งลมก่อน เอาสติสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหวแทน เป็นการกำหนดอิริยาบถในสติปัฏฐาน ๔

ถาม : การเคลื่อนไหวนี่เป็นลักษณะที่เราแยกจิตออกมา แล้วก็มองว่าร่างกายทำงานอย่างนี้ ๆ ไป
ตอบ : จะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าขั้นตอนสูงเกินไป เพราะถ้ารู้ลักษณะนั้น จิตกับประสาทก็จะไปคนละส่วนกัน เราแค่เอาสติกำหนดรู้ไปก่อนว่า ตอนนี้เท้าขวาไป ตอนนี้เท้าซ้ายไป คือให้จิตอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าฟุ้งซ่านก็มาอยู่กับลมหายใจใหม่

ถาม : ถ้ามีสมาธิต้องไม่เหนื่อยใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีสมาธิไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อย เหนื่อยเหมือนคนทั่วไป แต่เหนื่อยช้ากว่า เราอาจจะวิ่งไปได้ ๓ กิโลเมตร แต่เพื่อนเราวิ่งแค่ ๓๐๐ เมตรก็เหนื่อยลิ้นห้อยแล้ว

ถาม : เวลาที่ภาวนาแล้วหลุดออกไป และตอนตายหลุดออกไป หนูสงสัยว่าเหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนตายเราไปแบบมีอนาคต ก็คือ สิ่งที่เราสั่งสมมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ไปตามแรงบุญแรงกรรมที่เราสั่งสมมา

แต่ตอนที่เราหลุดออกไป ต้องบอกว่าไร้อนาคต เพราะเราไม่ได้ตั้งเจตนา หลุดออกไปโดยที่เราเองไม่ทันจะตั้งใจว่าไปอย่างนั้น

ถาม : หลัง ๆ หนูมีความรู้สึกถึงความตายขึ้นมา ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องไประลึกถึงว่าจะตาย ตอนหลังเป็นมาเอง ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าเราอาจจะตายได้เสมอ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาดีขึ้น ผลมาจากสมาธิที่ดีขึ้น ถ้าสมาธิทรงตัวปัญญาก็จะเกิด

ถาม : หนูจะแนะนำหรือชักชวนเด็กให้ภาวนาตลอดได้อย่างไร ?
ตอบ : ทำให้เขาดู แต่เด็กความจำเขาสั้น เราอย่าไปหวังมาก เอาแค่เขาภาวนาจับลมหายใจเป็นคู่ ๆ สัก ๕ คู่ ๑๐ คู่ แล้วก็ปล่อยให้ไปเล่นได้

ถาม : แต่ว่าให้ทำบ่อย ๆ ?
ตอบ : ให้ทำบ่อย ๆ อย่าไปตั้งความหวังมาก เดี๋ยวลูกไปบวชชีหมด..!

เถรี 21-04-2011 15:52

ถาม : ขออธิษฐานว่า ชาติใดได้เกิดมาเจอพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่ง ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ฝึกกรรมฐานอย่างจริงจังด้วยค่ะ
ตอบ : ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วย ?

ถาม : เพราะกลัวว่าจิตเราตอนนี้ยังไม่พร้อม
ตอบ : จำไว้ว่าคนทุกคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสอยากจะปฏิบัติตาม มีต้นทุนพอแล้วทั้งนั้น สำคัญตรงที่ว่า ทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

แปลว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะไปพระนิพพาน เพียงแต่คุณจะใช้สิทธิ์นั้นไหม ? ถ้าไม่ใช้ก็ดีใจด้วย คงได้ท่องเที่ยวไปอีกนาน..!

เถรี 21-04-2011 23:18

ถาม : เราได้มโนมยิทธิแล้ว เราจับภาพพระขึ้นไปบนพระนิพพาน ทีนี้เวลาเรามานั่งสมาธิก่อนสวดมนต์ ผมไม่ได้ใช้มโนมยิทธิขึ้นไป แต่ผมจำอารมณ์นั้นได้ จำภาพนั้นได้ ใช้ได้หรือยังครับ ?
ตอบ : คำถามของคุณ ต้นกับปลายสับสนกัน ถ้าหากคนได้มโนมยิทธิคล่องตัวจริง ๆ แค่คิดก็ไปถึงแล้ว เพราะฉะนั้น..คุณไม่ได้เจตนาจะไป แต่ใจไปอยู่ตรงนั้นแล้ว และควรที่จะทำเช่นนั้น

เราต้องเอากำลังใจเกาะพระนิพพานให้นานที่สุด ให้มากที่สุดในแต่ละวัน เพื่อให้สภาพจิตของเราเคยชินกับสภาพความปราศจากกิเลส แล้วจดจำอารมณ์นั้นมาเพื่อที่จะปฏิบัติ ถ้าหากเวลาไหนที่กิเลสกิน ให้รู้ว่าตอนนี้ใจเศร้าหมอง รีบส่งกำลังใจขึ้นไปใหม่ เพื่อทำกำลังใจให้สะอาดขึ้น ถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ กิเลสจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตามเวลา


ถาม : คือจำอารมณ์นั้นได้ ผมก็ขึ้นไปได้เลย ?
ตอบ : ไปได้เลย ถ้าไม่ไปถือว่าฉลาดน้อย..!

ถาม : ยันต์เกราะเพชรเขาห้ามผิดศีลข้อสองกับข้อห้า อย่างผมโหลดพวกโปรแกรมมาใช้อยู่ทุกวันนี้ ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีลิขสิทธิ์ถือว่าขโมย ถ้าไม่มีลิขสิทธิ์ก็ไม่ใช่ขโมย

ถาม : ถ้ามีคนเขาแฮกมา แล้วเราก็เอาของเขาต่อ ?
ตอบ : เขาขโมยมาแล้วเราก็ขมายต่อ ก็พอ ๆ กันนั่นแหละ อย่างที่นิทานเขาว่า ฝังทรัพย์สมบัติไว้กลัวขโมยจะรู้ ก็เลยปักป้ายไว้ว่า "ไม่ได้ฝังสมบัติไว้ตรงนี้"

ขโมยเห็นเข้าก็คิดว่าโง่มากเลย บอกอย่างนี้เขาก็รู้หมด ว่าแล้วก็ขุดไป แล้วปักป้ายเขียนว่า "นาย...ไม่ได้ขโมยไป" สรุปว่าแย่พอกัน

เถรี 21-04-2011 23:33

ถาม : มีไฟล์อย่างหนึ่งในอินเตอร์เน็ตที่เขาปล่อยให้โหลดกัน บางทีเขาได้ไฟล์มา อาจจะเป็นไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ไฟล์เกมส์ก็ตาม เจ้าของลิขสิทธิ์เขาอาจจะทำวิธีป้องกันของเขาไว้ ไม่ให้คัดลอกได้ แต่คนที่เขาไปซื้อแผ่นมา เขาก็จะทำลายวิธีป้องกันเหล่านั้น ให้สามารถโหลดแจกกันได้ ถ้าเราไปโหลดต่อผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : มีส่วนผิดแน่นอน เรารู้ว่าของนั้นมีเจ้าของ แล้วเจ้าของเขาหวง เราตั้งหน้าตั้งตาทำให้ได้มา อย่างนั้นผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่คนอื่นทำให้ เราก็ไปฉวยประโยชน์ของเขามา ผิดไม่ครบร้อยหรอก แต่ผิดแน่..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่อยากผิดก็อย่าคิดฟุ้งซ่าน คิดเสียว่าคนซื้อเขาให้โหลดต่อ เขาให้เราโหลดต่อจากเขาโดยเสน่หา

เถรี 22-04-2011 08:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเข้าไปไหว้พระแก้วมรกต ขอให้สังเกตว่า จะมีสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนเส้นเชือกหุ้มกำมะหยี่แดง โยงไปที่มุมโบสถ์ด้านหลัง ขอให้รู้ว่านั่นเป็นเครื่องมือแบบโบราณ ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายองค์พระ ท่านเตรียมเอาไว้เผื่อเวลาไฟไหม้

ถ้าการยกย้าย เคลื่อนย้าย โดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อนจะลำบากมาก เพราะว่าพระแก้วมรกตไม่ได้องค์เล็ก ๆ พระแก้วมรกตหน้าตัก ๑๖ นิ้ว แปลว่า หน้าตักกว้างเกือบฟุตครึ่ง และมรกตก็คือหิน หินที่หน้าตักกว้างเกือบฟุตครึ่ง คนทั่วไปยกไม่ไหวหรอก เขาก็เลยเตรียมเครื่องมือเหมือนกับรอกโบราณเอาไว้ พอถึงเวลาถ้าไฟไหม้ก็เลื่อนขึ้น ชักรอก ย้ายไปทางด้านหลัง แล้วหย่อนลงมา จะได้อุ้มหนีไฟได้

ฉะนั้น..โบราณเขาเตรียมการไว้พร้อม เข้าไปหัดสังเกตด้วยว่ามีอะไรไว้บ้าง ข้างในนอกจากพระแก้วมรกตแล้วยังมีพระสัมพุทธพรรณี มีพระแก้ววังหน้า มีพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระสำคัญหลายต่อหลายองค์ พวกเราเข้าไปมักจะมองแต่พระแก้วองค์เดียว ไม่เห็นองค์อื่นเลย"

เถรี 22-04-2011 08:18

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตก่อนหน้านั้นเป็นเพื่อนกัน เป็นพ่อค้าเหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อค้าที่เป็นอดีตของพระเทวทัตเข้าไปเจอครอบครัวเศรษฐีตกยาก ถามว่า "คุณยายมีข้าวของอะไรมาแลกกับเครื่องประดับบ้างไหม ?" หลานสาวคุณยายอยากได้เครื่องประดับ คุณยายดูทั้งบ้านแล้วมีถาดเก่า ๆ อยู่ใบเดียว จึงบอกว่า "มีถาดใบนี้ใบเดียว พอจะแลกได้ไหม ?"

พอพระเทวทัตลองขีดดูก็ทราบว่าเป็นถาดเนื้อทองคำ ด้วยความที่ตัวเองโลภมาก อยากได้กำไรมาก ไม่ยอมเสียเงิน จึงบอกว่าถาดใบนี้ไม่ได้มีราคาอะไร ทำเป็นไม่สนใจ ไม่แลกด้วย ตั้งใจว่าจะกดราคาภายหลังให้หนำใจ แล้วก็ไปดูบ้านอื่นต่อ

เมื่อพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพ่อค้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก็ถามในลักษณะเดียวกัน ยายก็บอกว่าไม่มีอะไรจะแลกนอกจากถาดเก่า ๆ ใบเดียว เมื่อครู่พ่อค้าคนก่อนเขาก็บอกแล้วว่าไม่มีราคา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้เอามาดู

พอพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพ่อค้าดู เห็นรอยขูดก็รู้แล้วว่าเป็นทองคำแท้ แสดงว่ายายซื่อจริง ๆ นอนกอดถาดทองคำมานานแต่ไม่รู้จัก ก็เลยบอกยายว่า "นี่เป็นถาดทองคำแท้ ราคาตั้งแสนกหาปณะ" ยายได้ยินแทบจะเป็นลม พระพุทธเจ้าก็เลยกลับไปรวบรวมสินค้าข้าวของทั้งหมด ตลอดจนเงินทองได้ประมาณแสนกหาปณะ เอามาแลกถาดทองคำไป"

เถรี 22-04-2011 08:19

"หลังจากพระเทวทัตไปบ้านอื่นเสร็จ ก็กลับมาบ้านของยาย เห็นบ้านนี้เริงร่าก็สังหรณ์ใจรีบเข้าไปถามถึงถาด ทำเป็นว่าสงสารจึงยอมให้แลกกับเครื่องประดับสักเล็กน้อย ยายบอกว่าให้พ่อค้าอีกท่านหนึ่งแลกไปแล้ว เพราะเขาบอกว่าเป็นถาดทองคำ พระเทวทัตได้ยินก็แทบจะเป็นลมด้วยความเสียดาย ไล่ตามไปที่ริมทะเล

ตอนนั้นพระโพธิสัตว์ออกเรือไปแล้ว ด้วยความโกรธท่านก็เลยกอบทรายขึ้นมาแล้วอธิษฐานว่า จะขอจองล้างจองผลาญไปเท่าจำนวนเม็ดทรายในมือ ก็เลยเริ่มตำนานพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้าตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา

อาตมาเห็นโยมเอาถาดใส่ของมา จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ อยากจะบอกว่า ถ้าสังเกตหน่อยเดียวก็จะรู้ เพราะในขนาดที่เท่ากัน ทองคำจะมีน้ำหนักมากกว่าอย่างอื่น"

เถรี 22-04-2011 08:23

ถาม : ถ้าส่งจิตขึ้นไปอยู่กับพระ ไม่ต้องรู้ลมตลอดสายใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก

ถาม : หนูทำแล้วเหนื่อยมากเลย เด้งขึ้นเด้งลง
ตอบ : การรู้ลมทำให้เราถอยกลับ การส่งจิตขึ้นไปข้างบนเป็นฌานสี่ แต่เราก็ดันลดลงมาปฐมฌานบ้าง ต่ำกว่าบ้าง ไปแบกช้างแบบนั้นก็เหนื่อยแย่..!

เถรี 22-04-2011 08:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่มีภาระอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นแม่อีกแล้ว กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตได้แต่ละคน เหนื่อยสุด ๆ

ลูกยังเล็กอยู่ก็อาจจะเหนื่อยกาย แต่มาเหนื่อยใจตอนลูกเริ่มโต ทำอย่างไรที่ลูกจะเป็นคนดีได้อย่างเขา เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่า ไม่ว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ จะจริตนิสัยและอาชีพเป็นอย่างไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่ตั้งความปรารถนาอยากให้ลูกเป็นคนดี ต่อให้พ่อเป็นโจร ก็อยากให้ลูกเป็นคนดี

เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก บาลีถึงได้บอกว่า พรหฺมมาติ มาตา ปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร เพราะว่ามีเมตตากรุณาต่อลูกอยู่เสมอ"

เถรี 22-04-2011 08:31

ถาม : โต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน ควรหันไปด้านไหน?
ตอบ : ถ้าตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งพระควรหันไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือเท่านั้น ถ้าหันไปทิศอื่น ต่อให้ทำมาหากินเก่ง มีเงินคล่องตัวขนาดไหน ก็มีอันต้องใช้จนหมด

ถ้าต้องการในเรื่องของลาภผลก็หันไปทิศตะวันออก ถ้าต้องการในเรื่องของยศของตำแหน่ง ก็ให้หันไปทางทิศเหนือ

ถาม : ลำดับของพระที่เราจะเรียง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าไว้บนสุด ลำดับถัดลงมาก็เป็นพระสงฆ์ หลังจากนั้นก็เป็นบรรดาเทวรูปหรือเจ้าแม่กวนอิม

ถาม : เจ้าแม่กวนอิมเอาไว้ด้วยกันได้ไหม ?
ตอบ : ได้..แต่ให้ต่ำกว่าพระ เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะหาว่าวางผู้หญิงไว้สูงกว่าพระ

ถาม : เจ้าแม่กวนอิมเป็นผู้หญิงหรือคะ มีคนบอกว่าเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : รูปท่านเป็นผู้หญิง ในเมื่อรูปท่านเป็นผู้หญิง เราต้องยอมรับว่าคนทางโลกเขานิยมให้ผู้หญิงอยู่ต่ำกว่าพร

เถรี 22-04-2011 08:38

ถาม : ดิฉันควรจะปล่อยสัตว์อะไรดีคะ ปล่อยไม่ถูก ?
ตอบ : ปล่อยอะไรก็ได้ โดยเฉพาะสัตว์ที่เขาขายเอาไว้ฆ่า อย่างสัตว์ที่เราเข้าไปในตลาด ถ้าเราไม่ซื้อมาก็ต้องตายแน่ ๆ

ถาม : อะไรก็ได้ ?
ตอบ : จ้ะ อย่างอาตมาก็ปล่อยปลาทุกเดือน นี่เพิ่งให้เขาไปปล่อยมา ปล่อยที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร เขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่

ถ้าปล่อยปลาให้ฉลาดนิดหนึ่ง ก็คือ อย่าเทปลาพรวดพราดลงไป ปลาเขายังไม่ชินกับน้ำใหม่ ให้เอาน้ำใหม่ค่อย ๆ รินลงไปในถุงในถังสักครึ่งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยไปสักพัก แล้วค่อยเทปลาลงน้ำไป ถ้าเทปลาลงไปทีเดียว บางตัวจะช็อก เพราะยังไม่ชินกับน้ำใหม่

ถาม : เฉพาะปลาอย่างเดียว ?
ตอบ : จ้ะ ส่วนเต่าปล่อยไว้บนบก อย่าปล่อยเต่าลงน้ำเพราะเต่าบางประเภทเป็นเต่าบก ว่ายน้ำไม่เป็น โยนลงน้ำไปจะจมน้ำตาย

ถาม : ดูไม่ออก
ตอบ : ถ้าดูไม่ออก ก็ปล่อยบนบกก่อน ถ้าเป็นเต่าน้ำก็จะเดินลงน้ำเอง และถ้าใครเลี้ยงเต่าอย่าให้กินแต่ผักบุ้งนะ เต่าเป็นสัตว์กินเนื้อ ปกติก็กินพวกปลา กุ้ง ปู ถ้าหากไม่มีอะไร ก็จะกินซากสัตว์ที่ตาย แต่ทีนี้โบราณดันไปแต่งเพลง "เต่ากินผักบุ้ง" ตั้งแต่นั้นมาคนก็เอาผักบุ้งเลี้ยงเต่า เต่าก็โดนทรมาน ไม่ได้กินอาหารอย่างที่ต้องการสักที

เรื่องการปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะโดนฆ่า ถ้าเราปล่อยให้เขารอดไป ก็เป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมของเราด้วย ถ้าช่วงนั้นอุปฆาตกรรมเข้ามา อาจจะทำให้เราต้องถึงแก่ชีวิต ก็จะเป็นการต่ออายุเรา ควรจะทำให้บ่อย ๆ สักเดือนละครั้ง ไม่ต้องปล่อยมากหรอก สักตัวสองตัวก็พอ แต่ถ้าทำอย่างอาตมา ไปครั้งหนึ่งก็เหมาหมดทั้งตลาด

เถรี 22-04-2011 08:42

พระอาจารย์กล่าวหลังจากที่อดีตนางแบบชื่อดัง อุ้มลูกมาถวายสังฆทานว่า "พวกดารา นางแบบ หรือนักร้องบางคน ถ้าเข้าวัดก็จะรู้สึกว่าตนเองแปลกแยก เพราะไม่มีคนมารุมล้อมเหมือนตอนที่เขาอยู่ข้างนอก สมัยก่อนตอนที่คุณจารุณีกำลังดังสุด ๆ ไปวัดท่าซุง นั่งอยู่กับเพื่อนสามสี่คน ไม่มีใครสนใจ มีแต่คนวิ่งไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ

ตอนช่วงนั้นเขาดังสุด ๆ เลยนะ ชนิดหนังเรื่องไหนต้องมีเขา ถ้าไม่มีสายหนังจะไม่ซื้อ บางทีก็เป็นที่น่าเป็นห่วง เพราะบางคนเขาเคยชินกับการที่มีคนรุมล้อม พอเข้าวัดแล้วไม่มีใครสนใจ เขาก็ไม่อยากจะไปวัดอีก"

เถรี 22-04-2011 08:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ท่านเคยให้พรไว้ว่า บุคคลใดก็ตามถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น..ให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระโสดาบันไว้

สุดยอดองครักษ์อย่างท่านท้าวจตุมหาราช ถ้าไม่ใช่คนสำคัญสุด ๆ ท่านไม่เสียเวลาไปมองหรอก ลูกน้องของท่านมีเป็นล้าน ๆ องค์"

เถรี 22-04-2011 12:22

ถาม : ผมนั่งทำสมาธิ สักพักก็หลับ รู้ตัวว่าหลับ แต่ไม่ภาวนา ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้ายังมีสติรู้อยู่ ถึงปล่อยไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขาดสติ มีอยู่สองอย่างด้วยกัน ก็คือ หลับจริง ๆ หรือถ้าไม่ได้หลับจริง ๆ ก็แปลว่าจิตเริ่มเป็นปฐมฌานหยาบ จิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน จิตตามไม่ทันก็จะเหมือนกับตัดหลับ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ต้องสนใจ ให้คุณสนใจว่ามีสติรู้ทันหรือเปล่า ? ถ้ามีสติรู้อยู่ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีสติรู้อยู่ก็แก้ไขใหม่ เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจให้แนบแน่นมากขึ้น

เถรี 22-04-2011 12:40

ถาม : มาขอพร จะแต่งงานครับ
ตอบ : พระไม่เคยแต่ง จะให้พรอย่างไรนี่ ?

ขอให้ครองคู่อยู่กันไป อย่างที่โบราณเขาว่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ความจริงก็คืออยู่กันจนแก่เฒ่า คนที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างนั้น จะต้องปรับตัวเข้าหากัน เพราะฉะนั้น..พรดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน ก็ดีไปไม่ได้หรอก

การแต่งงานเป็นเรื่องของคนคู่ คือ สองคนไม่ใช่คนเดียว อย่างน้อย ๆ ต้องลงให้อีกฝ่ายอย่างละครึ่งหนึ่ง จากที่เคยยืนยันความคิดตัวเอง ก็ต้องคล้อยตามความคิดเขาบ้าง พอฝ่ายหนึ่งเป็นไฟ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นน้ำ ถ้าทำอย่างนี้ก็จะอยู่ได้นาน แต่ถ้าต่างคนต่างเป็นไฟ ต่างคนต่างไม่ยอมลงให้กัน ชีวิตคู่อยู่ไม่ได้หรอก พังแน่นอน

ถ้าเอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ก็คือ ต้องมีสมชีวิธรรม ก็คือ มีธรรมที่ดำรงชีวิตแล้วเสมอกัน คือ มีสมสัทธามีศรัทธาเสมอกัน มีสมสีลา มีศีลเสมอกัน มีสมจาคา มีทานเสมอกัน มีสมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน ท่านบอกว่าจะอยู่กันได้นาน ถ้าคนหนึ่งให้ทาน อีกคนหนึ่งด่าว่าสิ้นเปลือง ก็อยู่กันได้ไม่นาน

ฉะนั้น..ปรับตัวเข้าหากัน ต่างคนต่างฟังอีกคนหนึ่งบ้าง ถ้ามีทิฐิมานะไปไม่รอดหรอก จำไว้ว่า..ถ้ามีครอบครัวสิ่งแรกที่ต้องทำได้คือความอดทน มีสัจจะจริงใจต่อกัน ไม่นอกใจกัน พูดอย่างไรทำอย่างนั้น มีทมะ ความข่มกลั้น ไม่ว่าจะโกรธขนาดไหนต้องอดกลั้นเอาไว้ มีขันติอดทนต่อความเหนื่อยยาก ในการทำงาน ในการดูแลครอบครัว มีจาคะเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่ออีกคนหนึ่ง ฟังดูไม่น่าจะยากนะ หรือว่ากติกาเยอะขนาดนี้ไม่แต่งดีกว่า..!

เถรี 22-04-2011 12:48

ถาม : ไปปฏิบัติธรรมที่อินเดียมาครับ พอเรามองเห็นคนที่เดินจงกรม มองแบบคนระเบิดกันเป็นชิ้น ๆ เลยครับ ตัวเราเองที่เป็นคนมองก็ระเบิดเป็นชิ้น ๆ ใจเราสะดุ้งกลัว แต่ตอนหลังมาเห็นว่าตรงที่สะดุ้งกลัวนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นอวิชชา และความสงสัยที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราครับ ความเชื่อว่าตรงนี้ถูกหรือผิด โดยที่มีตัวเราเป็นคนตัดสินใจ อันนี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอเห็นอย่างนี้ได้ โลกก็เปิด เบา เพราะความคิดว่าตนเองถูกตอนนี้หรือต่อไปนี่ไม่ต้องไปสนใจเลย เพราะเป็นธรรมดาของโลก

ตอบ : มีผู้รู้บอกไว้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือการที่คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เพราะทันทีที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว เราจะไม่เปิดรับความรู้เพิ่มขึ้น ดังนั้น..ในเรื่องของหลักธรรม ท้ายสุดก็จะลงที่เดียวกัน

ลักษณะที่เราเห็นว่าระเบิดไป ความจริง คือ เห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา เขาก็ไม่ใช่เขา เราก็ไม่ใช่เรา แต่อาการที่เป็นอย่างนั้น ทำให้ความที่ยังเคยกลัวตายอยู่ ก็คืออวิชชาที่ยังรู้ไม่ครบ คือไม่รู้ว่าตายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้หวาดกลัวเป็นปกติ

ถาม : เหมือนกับว่าผลของการทำสมาธิภาวนา ได้นั่นได้นี่มา จริง ๆ แล้ว เป็นเหมือนกับสิ่งที่รู้และวางลงไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เอามาเป็นสาระว่า ฉันเป็นอย่างนั้นฉันเป็นอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากสมาธิภาวนาเท่านั้น

ตอบ : พอผ่านขั้นนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่รอขั้นที่สูงกว่านั้น ยกเว้นว่าเราจะทวนขึ้นทวนลงเพื่อความคล่องตัวของเรา

ถาม : ความรู้ภายในภายนอก บางทีเราอยากจะรู้เรื่องนี้ สงสัยเรื่องนี้ บางทีก็เป็นอารมณ์ภายนอกของคนอื่นก็ได้ บางทีก็เป็นอารมณ์ภายในเราก็ได้ แต่ทั้งอารมณ์ภายนอกอารมณ์ภายใน ก็เป็นเพียงเป็นสิ่งที่ถูกรู้ และจะทำให้ทุกอย่างเบา พอเบาแล้วเราก็จะเข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง แต่ว่าความเข้าใจเรา เรายังไม่เอามาเป็นอาหาร ไม่ได้เอามาเป็นเจ้าของ เพราะความเข้าใจนั้นก็ยังเป็นตัวหลอกเราได้อีก จึงเห็นเป็นธรรมดา พอมาเห็นตรงนี้เรารู้สึกว่าเบา จะให้เบาก็ได้ จะให้หนักก็ได้ จะรักก็ได้ จะเกลียดก็ได้ แต่ว่ามีความรู้ชัดเจน มีความเข้าใจกระจ่าง

ตอบ : พอมาตรงจุดนี้แล้ว จะมีตัวหนึ่งคือปัญญารู้เห็น ปัญญารู้เห็นว่า สิ่งนี้ถ้าเรานึกคิดต่อไปจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แล้วเราก็จะเว้นในเรื่องที่เป็นโทษ และรับในส่วนที่เป็นประโยชน์

ไม่ต้องถึงกับเรียนอภิธรรมหรอก แค่ฟังเขาสวดอภิธรรม "อัชฌัตตา ธัมมา พหิทธา ธัมมา" อารมณ์ที่อยู่ภายใน อารมณ์ที่อยู่ภายนอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดแล้ว แต่คนที่ยังทำไม่ถึง ก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร แยกไม่ออก แต่ถ้าเราทำถึงก็จะแยกออก แต่ท้ายสุดก็จะเห็นว่า ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ เพราะรู้ก็สักแต่ว่ารู้ แต่ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายเข้า ความรู้นั้นก็ยังกลับมาหลอกตัวเราอีกชั้นหนึ่ง

เถรี 22-04-2011 12:58

ถาม : พอไปปฏิบัติธรรม ทำความดีต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าในจิตใต้สำนึกยังมีตะกอน มีเครื่องที่ยังค้างคาอยู่ และการที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเห็นทางมากขึ้นครับ แต่ก็ยังเห็นว่าใต้สำนึกบางอย่าง เรายังคงเข้าไปเล่นตามบทบาทที่เราเคยได้ทำเอาไว้ จะเล่นได้แต่ขอให้รู้ทันก็แล้วกัน เหมือนตัวเรามีของคู่มาให้เราเห็นอยู่ ธรรมะที่เราจะไปล้างจิตใต้สำนึกของเรา ที่ซ่อนอยู่ข้างใน สังเกตว่าถ้าผมปฏิบัติธรรมดา ไม่ได้มีหลักความเพียรทำต่อเนื่อง การที่จะเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น เป็นไปได้ยากเหมือนกัน

ตอบ : ยากเพราะถึงเวลากิเลสก็กลบไว้หมด ส่วนที่เราว่ามานั้นเป็นอนุสัยกิเลส เป็นส่วนที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนกับตะกอนใต้น้ำ อย่างเช่น กามราคานุสัย อนุสัยในด้านของกามราคะ อวิชชานุสัย คือ อนุสัยในส่วนของอวิชชา คือความที่เรารู้ไม่ครบ รู้ไม่หมด

ในเมื่อเราเห็นหน้ากิเลสชัดเจน เราก็เลือกได้ เราเลือกว่าจะให้นิ่ง หรือจะให้ขุ่น ถ้ายังไม่สามารถเก็บกวาดให้สะอาดได้ ก็พยายามให้นิ่งให้มากที่สุด เพื่อความผ่องใสของเรา จะได้อยู่ดีมีสุข ไม่อย่างนั้นถ้าก่อกวนขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย ด้วยความที่จิตละเอียดมาก อารมณ์กระทบก็จะหนัก เหมือนกับว่ายังถูกแผดเผา ยังเร่าร้อนอยู่

ถาม : ผมพูดถึงของเล่นบ้างก็แล้วกันนะครับ ผมไปภาวนาที่กวางเจามา เวลาเราสวดมนต์ในใจ เราสามารถสวดให้เบาก็ได้ ให้ดังก็ได้ใช่ไหมครับ ? ให้กังวานออกไปไม่มีประมาณก็ได้
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา ลักษณะเหมือนกับใช้เสียงปกตินี่แหละ แต่เป็นเสียงในใจ

ถาม : แล้วเวลาเรากำหนดร่างกายออกไปไหว้พระ เรากำหนดร่างเดียวก็ได้ หลายร่างก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ขึ้นอยู่กับกำลังใจเราไปแหย่ไว้ตรงนั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : แต่ในนิมิตร่างเล็กที่เรามองเห็นองค์พระ ก็จะมองเห็นองค์พระในลักษณะที่แตกต่างจากตาเนื้อของเรา
ตอบ : ต่างมาก เพราะสิ่งที่เราเห็นตอนนั้นเป็นจริง คือ เป็นบุญเป็นบารมีของพระองค์ท่านจริง ๆ ถ้าใช้ตาเนื้อจะเห็นแค่เปลือก

เถรี 22-04-2011 13:03

ถาม : ร่างเล็ก ๆ ที่เราทำมาหลายร่าง เราสามารถไปทำงานหลาย ๆ ที่โดยแตกต่างกันได้ใช่ไหม ?
ตอบ : ได้ สามารถรับรู้คนละเรื่องคนละราวพร้อม ๆ กันได้

ถาม : แต่ว่าเวลาที่จิตรู้ เกิดจากขณะเดียวใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องฝึกซ้อมให้ชำนาญนิดหนึ่ง ถ้าไม่ชำนาญแล้วแต่ละร่างจะรู้ได้ไม่เท่ากัน ถ้าหากชำนาญแล้วการรู้เห็นจะชัดเจนเหมือนกัน

ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ฝึกกับท่านใหม่ ๆ ท่านให้แยกจิตออกไปกราบพระเป็นพันพร้อม ๆ กัน แต่ว่าส่วนใหญ่รับรายละเอียดได้น้อย เพราะว่ากำลังยังไม่พอ

ถาม : ผมเพิ่งมาแยกออกเป็นหลายร่างได้เมื่อวานซืนนี้เอง
ตอบ : คุณทำเอง ทำได้ถือว่าเก่ง ขนาดพวกอาตมามีครูสอนยังทำไม่ค่อยจะได้เลย

ถาม : ผมไปอินเดียคราวนี้เหมือนผมไปค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร และเราควรจะทำชีวิตของเราให้เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่ดี ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องมีอะไร ไปตามน้ำ บางทีก็ต้องตรวจสอบตนเอง ป้องกันตนเอง เพราะว่าภายนอกวุ่นวายมาก ทีนี้การตรวจสอบตัวเอง ป้องกันตัวเองต้องทำอย่างไรครับ ?

ตอบ : อันดับแรก เราเอาศีลเป็นกรอบ ไปแค่กรอบของศีล เราจะไม่ไหลตามเขาไปเกินกว่านั้น อันดับที่สอง ตัวสมาธิที่จะรั้ง หยุดยั้งเราไว้ตอนที่จะไปละเมิดสิ่งต่าง ๆ ฉะนั้น..เรื่องสมาธิของคุณตอนนี้ไม่ต้องห่วงแล้ว ก็เหลือแต่สติที่เอาไว้คอยควบคุมไว้ อย่าเผลอให้ไปละเมิดศีล เราไปแค่กรอบเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเราก็พอที่จะรักษาตนเองให้อยู่ในสังคมนี้ได้ แต่คนอื่นมักจะว่าบ้า..!

เถรี 22-04-2011 13:10

ถาม : ผมสังเกตว่า ไม่ว่าจะสร้างอะไรเยอะแยะในโลก แต่ถึงที่สุดแล้ว การให้ธรรมะเป็นทานเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ให้แล้วก็วางไป ก็จะเบา ถ้าเกิดมีโอกาสสร้าง ก็สร้างเท่านั้นเอง
ตอบ : ถ้ามีโอกาสเราก็ทำ แต่ทำแล้วไม่ยึดติดในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะรู้ว่าบุญดีเราจึงทำ รู้ว่ากรรมไม่ดีเราก็ละ ท้ายสุดก็ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว

ถาม : พอเราทำอะไรสำเร็จได้เป็นพิเศษ ตัวเราภายในเหมือนกับแข็งแรงขึ้น แต่เราก็มีความรู้ที่จะตามไปเรื่อย ๆ แต่ความรู้ที่จะตามไปเรื่อยของผม ก็ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ มีผิดมีพลาดบ้างตามเพศฆราวาส แต่ตัวเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ตอบ : ลักษณะนี้เรียกว่า สั่งสมบุญบารมี ยิ่งทำมากขึ้นความดีก็ยิ่งมากขึ้น สิ่งที่เราสั่งสมไว้มีมากขึ้น เราก็แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันความชั่วก็พยายามที่จะบั่นทอนเราให้แข็งแกร่งน้อยลง พูดง่าย ๆ ว่าในการต่อสู้ ถ้าเราแข็งแกร่งกว่าก็มีโอกาสชนะในการต่อสู้นั้น

ทางด้านฝ่ายอวิชชาของมารก็พยายามที่จะมากั้นมาขวางเรา ส่วนเราทางด้านนี้รู้ในวิชชา เป็นญาณเครื่องรู้ที่จะช่วยเราให้พ้นทุกข์ เราก็พยายามที่จะทำของเรา ท้ายสุดถ้าเขาดีกว่า เราตามไม่ทันก็สอบตก

ถาม : ด้วยความที่มีสิ่งที่ค้านอยู่ในใต้สำนึก วิธีที่จะไปค้านกับกิเลสให้หมดสิ้นไป ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่ที่ผมถามเผื่อว่าครูบาอาจารย์จะแนะนำมากขึ้น เพราะเราเองยังผิดพลาดอยู่หลายอย่าง เพราะเรายังไม่ตรงทางร้อยเปอร์เซ็นต์

ตอบ : เมื่อครู่ได้กล่าวไปทีหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้บอกให้ชัด ก็คือ พอเราเห็นแล้ว พิจารณารู้ว่าอย่างไหนเป็นคุณ อย่างไหนเป็นโทษ เราเลือกทำแต่ในด้านที่เป็นคุณ ละในด้านที่เป็นโทษ พอทำไปนาน ๆ กำลังสั่งสมได้ถึงระดับที่ต้องการ ก็จะปล่อยวางทั้งด้านคุณและด้านโทษ ดีก็ไม่เกาะชั่วก็ไม่เกาะ ถึงตอนนั้นจะผ่ากลางหลุดไปเอง

ถาม : การที่เราฝึกตาให้กระจ่าง มองทะลุทุกอย่างแม้กระทั่งความยินดียินร้าย ทะลุแม้กระทั่งความเป็นอัตตาตัวเรา ในขณะที่ทำพิจารณาอย่างนี้ เฉพาะมองให้ทะลุด้วยอำนาจสมาธิ ให้ถึงใจ ก็ถึงธรรมได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ : ได้แน่นอน ในส่วนที่เป็นเจโตวิมุตติ

เถรี 22-04-2011 13:16

ถาม : เวลาสวดมนต์เสียงดัง เสียงเบา เสียงค่อย เอาไว้ทำอะไรครับ ? นี่เป็นความรู้ที่ผมเพิ่งรู้มาไม่นานนี้เอง
ตอบ : เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ตามสากลจักรวาลต่าง ๆ ถ้าเราส่งไปไกลเท่าไร คุณประโยชน์ก็มากเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงไปโปรดนั้น มีถึง "แสนโลกธาตุ"

พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เอาแค่ดาวหลาย ๆ ดวงได้ก็พอแล้ว ที่ไหนก็ตามที่มีมนุษย์และสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์อยู่ ขอให้เขายินดีและโมทนาในส่วนบุญที่เราได้ทำในครั้งนี้ เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย และตั้งใจสวดมนต์เป็นพุทธบูชาไป หวังว่าเขาจะได้รับประโยชน์ในส่วนที่เราได้รับนั้น

ถาม : เวลาเรานึกในใจให้เสียงดัง ญาณของเราที่จะไปรู้ข้างนอกว่าบางคนเขารับได้ บางคนรับไม่ได้ ตัวนี้ให้เราปล่อยวางไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปล่อยเลย ทำหน้าที่ของเราคือสวดมนต์ไปอย่างเดียว ถ้าเราทำหลายอย่างกำลังจะลดลง เพราะว่าต้องแบ่งออกไปทำงานหลายอย่าง

ถาม : มีข้อแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี ทำต่อไปเถอะ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งทำจะยิ่งรู้ แต่อย่าไปยึดมั่นในสิ่งที่รู้ ให้ระวังอยู่เสมอว่า สิ่งที่เรารู้นั้นช่วยในการตัดกิเลสหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส รู้แล้วก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เอาเรื่องที่สามารถตัดกิเลสได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาเรารู้กว้างออกไปเรื่อย ๆ แต่หาจุดหมายไม่เจอ

พอญาณเครื่องรู้เกิด จะรู้ทุกเรื่องแหละ คิดอะไรเข้าใจแจ่มแจ้งตลอด แต่ให้ระวังว่า สิ่งที่รู้นั้นเป็นเรื่องที่ช่วยในการตัดกิเลสไหม ? ถ้าไม่ใช่ก็ต้องวาง

ถาม : คนที่ไปยอมรับ ไปรับรองความรู้ก็ไม่ใช่ตัวเรา น่าอัศจรรย์ตรงนี้ครับ พอรู้บ่อย ๆ กลายเป็นโลกทั้งนั้นที่รับทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าข้างในไม่รับ เรารู้ เข้าใจ แต่ไม่เข้าไปข้องแวะอะไรเลย
ตอบ : ทำอย่างไรที่จะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสไม่ให้ข้องแวะกับสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็คือการที่เราอยู่ในโลกแต่เราก็ไม่ติดกับโลก

ถาม : เป็นความบริสุทธิ์ที่อยู่คู่กับความสกปรกได้ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ดอกบัวเกิดในโคลนตม ชูช่อขึ้นเหนือน้ำขึ้นมา แต่ดอกบัวก็ไม่ได้แปดเปื้อนโคลนตมนั้น เปรียบกับสภาพจิตของเราที่เริ่มผ่องใส พ้นจากความสกปรกได้ แต่ก็อาศัยพื้นฐานจากความสกปรกขึ้นมา

พอมีคนที่ทำถึงมาคุยด้วย ค่อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเฉา..!

เถรี 22-04-2011 13:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทางด้านอีสานนั้น มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ดูอย่างที่สำนักสงฆ์ศรีชัยผาผึ้ง วัดไกลจากทางเข้า ๘ - ๙ กิโลเมตร ญาติโยมเขายังเดินไปใส่บาตรกันทุกวัน เขาจะเดินตั้งแต่เช้า กว่าจะไปถึงก็ ๙ โมงครึ่ง

ถึงได้บอกว่ากำลังใจของญาติโยมทางอีสาน ในเรื่องของบุญเขามหาศาลมาก เรื่องบุญเรื่องกุศลพร้อมทุ่มเทให้ ถึงแม้ปัจจัยจะมีน้อยก็ตาม ถ้าต้องการแรงงานเท่าไรเท่ากัน ไปช่วยกันยกหมู่บ้าน เห็นศรัทธาเขาแล้วชื่นใจ

ตอนนั้นไปอยู่ที่หนึ่ง อยู่กลางทุ่ง คุณเอ (ประพันธ์ สุรประภา) เขาพาไป เวลาลมพัดมาอย่างกับอยู่ข้างกองไฟ ร้อนวาบขนาดนั้นเขาก็อยู่กันได้ แต่เราไม่เคยชิน น้ำกินขุ่นขนาดต้องกรองแล้วกรองอีก เขาก็ยังอุตส่าห์อยู่กันได้

ไปสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมให้เขาองค์หนึ่ง โยมแห่กันมาบวชชีพราหมณ์ฉลองกันยกหมู่บ้าน เขาถามว่า "ฉันอาหารอย่างนี้ได้ไหม ?" อาตมาบอกว่า "อะไรที่มนุษย์กินลง ยกมาได้เลย"

เถรี 22-04-2011 13:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "รุ่นครูบาอาจารย์ก็มีแต่ล่วงลับไป แต่รุ่นของพวกเราก็โตไม่ทัน เหมือนกับขาดช่วงลง ญาติโยมขาดที่พึ่ง อย่างพระที่วัดท่าขนุนจะเอาเป็นชิ้นเป็นอันได้ก็ยังน้อย คนไหนพอเป็นหลักได้ เขาก็มาขอไปเป็นเจ้าอาวาสหมด พอเริ่มเป็นเจ้าอาวาสทีนี้ก็บรรลัยแล้ว เวลาที่จะปฏิบัติไม่มีแล้ว งานหลวงงานราษฎร์เทเข้ามา เวลาที่จะปฏิบัติเฉพาะตัวก็น้อยลง

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เตือนว่า "พวกแกที่ยังไม่มีงานประจำ ให้เร่งสร้างกำลังใจให้มากเข้าไว้ พอถึงเวลาจำเป็นต้องมีงานประจำแล้ว จะได้มีกำลังไปสู้งานได้" ไม่อย่างนั้นรัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวอยู่ พอไปทำงานแล้วเดี๋ยวตีกันแหลก..!"

เถรี 22-04-2011 13:53

ถาม : ...การสร้างวัดเล็ก ๆ น่าจะเป็นส่วนสถาปัตย์แบบที่เขาชอบ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีส่วนของสถาปัตย์ แต่ขณะเดียวกัน ความนิยมของชาวบ้านเขาด้วย พระที่ท่านสร้างวัดเล็ก ๆ จริง ๆ แล้วท่านมีศิลปะในการดำรงชีพเลยนะ เพราะว่าตนเองต้องมักน้อยสันโดษ แนะนำชาวบ้านเขาให้พออยู่พอกิน ครั้นไปสร้างวัดมหึมาเท่ากับว่าทำค้านกับสิ่งที่ตัวเองทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สรรเสริญเวลาที่จะต้องสร้างอะไรใหญ่ ๆ โต ๆ

ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น คนไหลไปอยู่กับงานมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาไปอยู่กับวัด สิ่งที่เคยสร้างเคยทำให้ ก็ต้องมอบปัจจัยให้พระไปสร้างไปทำกันเอง บทบาทของการที่ญาติโยมจะสร้างวัด ซ่อมวัด ก็เลยเป็นพระต้องสร้างเองซ่อมเองมาจนถึงปัจจุบันนี้

เถรี 22-04-2011 16:43

ถาม : คนที่มีโทสะมาก ๆ เราจะต้องแก้อย่างไรครับ ? อยู่ใกล้แล้วไฟพลอยติดเราไปด้วย
ตอบ : เราเดือดร้อนไปด้วย..ใช่ไหม ?

ถาม : ไฟติดลามมาถึงครับ
ตอบ : ถ้าเขาเป็นนักปฏิบัติยังพอช่วยได้ เราก็แนะนำการปฏิบัติให้กับเขา อย่างเช่น แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ หรือแก้ด้วยวรรณกสิณ ๔ แต่ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัตินี่ยุ่งเลย มีทางเดียวก็คือไปห่าง ๆ..!

ถาม : ไปห่าง ๆ ?
ตอบ : อย่าไปอยู่ใกล้เขา

ถาม : บางทีผมไม่มีสิทธิ์
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเราก็ใส่เกราะเลย ตั้งกำลังใจให้สูงสุดเข้าไว้ อย่างน้อย ๆ เราจะได้ไม่หลุด แต่ตอนหลังพอมานั่งกรรมฐานแล้วจะเสีย จะฟุ้งไปนึกถึงตอนนั้นแล้วมาโกรธเอาทีหลัง แต่ว่าก็ยังดี เราไม่ได้โกรธตรงนั้น ยังรักษาตัวรักษาใจเอาไว้ได้

เรื่องของโทสะนั้นมีโทษมหาศาล ความโกรธทำให้เครียดมาก แก่เร็ว คนขี้โกรธ คนมักโกรธ หมอเขาทำวิจัยพบว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปเป็นสิบ ๆ เท่า..!

ถาม : พวกซึมเศร้าใช่โกรธไหม ?
ตอบ : เป็นส่วนหนึ่งของโทสะ แต่เป็นส่วนของโทสะที่ไปในทางน้อยใจคนอื่น ก็คือไม่พอใจ ไม่พอใจก็คือส่วนหนึ่งของโทสะ ถ้าพอใจเป็นส่วนของราคะ เมื่อไม่พอใจก็ไปนั่งซึมอยู่คนเดียว ท้ายสุดก็ไม่พอใจตัวเอง น้อยใจตัวเอง

วันนี้มีดาราท่านหนึ่งอุ้มลูกมา คนเคยเป็นดาราเป็นนางแบบแล้วต้องมานั่งเลี้ยงลูก เขาอาจจะคิดว่า เราไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ถ้าเขาคิดมาก ๆ เดี๋ยวก็ซึมเศร้า..!

เถรี 22-04-2011 16:53

ถาม : การพิจารณาวิปัสสนาในการดูรูปนาม อย่าง "ฆนะ" ที่เขาทำกันอยู่... ?
ตอบ : ดูตามนั้นได้ แต่ขณะเดียวกัน เราจะต้องมีสำนึกอยู่เสมอว่า รู้ขนาดไหนก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องรู้อยู่เสมอว่า รูปนามนี้สักแต่เป็นฆนะ (ก้อน,แท่ง ) ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าความรู้สึกตรงนี้ยังไม่เกิด ก็สักแต่ว่าเห็น ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้าเห็นแล้วมั่นใจว่าไม่ใช่เราจริง ๆ ก็จะถอนจิตออกมาจากตรงที่เรายึดในรูปนามได้

เถรี 22-04-2011 17:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "พูดถึงแผ่นดินไหว มีใครรู้บ้างว่า แผ่นดินไหวเพราะสาเหตุอะไร ?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงเรื่องแผ่นดินไหวเอาไว้ อยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก พญามารมาอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปรินิพพานได้แล้ว เพราะว่าครั้งแรกที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พญามารก็ออกมาขวางหน้า บอกว่าอีก ๗ วัน สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราชจะมาถึงท่านแล้ว จะออกบวชไปทำอะไร ?

เจ้าชายสิทธัตถะตรัสว่า เพื่อความพ้นทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่าว่าแต่สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิเลย ต่อให้เป็นทิพยสมบัติขององค์อมรินทร์ ท่านก็ไม่พึงปรารถนา พญามารเห็นว่าห้ามไม่ได้ก็หลีกไป

พอวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พญามารยกพหลพลโยธามาอย่างกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย จะขู่ให้พระองค์เลิกปฏิบัติ ก็ไม่สำเร็จอีก พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พญามารก็มาทูลอาราธนาให้เข้าพระนิพพาน "ในเมื่อท่านตรัสรู้ตามที่ประสงค์แล้ว ก็ควรจะปรินิพพานได้"

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามพญามารว่า ทำไมตอนนั้นถึงตั้งใจไปขวางพระพุทธเจ้าขนาดนั้น ? พญามารในตอนนี้ไม่ใช่พญามารแล้ว ท่านบอกว่า ตอนนั้นกลัวเพราะว่ารู้ว่าเพื่อนกัน ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะมีความมุ่งมั่นมาก เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว เดี๋ยวจะเทศน์โปรดคนไปหมด ไม่เหลือบริวารไว้ให้ตัวท่านเองบ้าง แล้วท่านสรุปว่าตอนนั้นคิดโง่ไปหน่อย"

เถรี 22-04-2011 17:08

"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ ดูก่อน..มารผู้เป็นบาป เธอจงอย่าขวนขวายเลย ถ้าหากตถาคตประกาศศาสนาแล้ว บริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถปฏิบัติธรรมได้คล่องแคล่วชำนาญ สามารถแก้ไขปรัปวาท คือคำที่บุคคลกล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้ มีความเชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ตถาคตย่อมเข้าสู่พระนิพพานเอง"

นี่พระพุทธองค์ท่านตั้งความหวังไว้ขนาดนั้น ไหวไหม ? ถึงขนาดว่าถ้าคนอื่นกล่าวตู่พระพุทธศาสนา เราจะต้องแก้ต่างได้ทุกข้อหา ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาแน่

พอมาพรรษาสุดท้าย พญามารถึงได้มาทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้ก่อนแล้ว พยายามแสดงนิมิตโอภาสถึง ๑๖ ครั้งต่อพระอานนท์ โดยทรงเปรียบเทียบไปต่าง ๆ นานา อย่างเช่นว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สมมติว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็ใกล้จะหัก ไม้ก็ผุ ตัวเกวียนก็คลอนแคลน แทบไม่สามารถที่จะใช้งานไหวแล้ว ควรจะซ่อมดีหรือควรจะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ?"

ต้องบอกว่าด้วยกรรมบันดาล ทำให้พระอานนท์ทูลตอบว่า ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงรับอาราธนาพญามารว่า ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพานที่สาลวโนทยาน แห่งเมืองกุสินารา

ทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีก ๓ เดือนจะปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว พระอานนท์ท่านมีความดีว่า ถ้าสงสัยท่านจะถาม อยู่ ๆ แผ่นดินไหวโครมครืนขึ้นมาเฉย ๆ ก็เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แผ่นดินไหวด้วยเหตุใด ?

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวมีทั้งหมด ๘ ประการ ประการหนึ่งได้กล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารถึงได้เกิดแผ่นดินไหว พอพระอานนท์ได้ยินอย่างนั้นก็เฉลียวใจวูบเลย รีบกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นขออาราธนาให้อยู่ตลอดกัปเถิด พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะเราได้รับอาราธนาจากพญามารไว้แล้ว"

เถรี 22-04-2011 17:09

:4672615: เก็บตกปฐมฤกษ์บ้านวิริยบารมี (เดือนเมษายน ๒๕๕๔) หมดแล้วค่ะ :4672615:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว