![]() |
ถาม : อยู่ดี ๆ พี่เขยก็ความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตก หมอยังบอกว่ามีโอกาส ควรจะทำบุญอะไร เพื่อที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำบุญ แต่ให้หาดีหมีให้ได้ หาแถวร้านขายยาจีนเยาวราชน่าจะมี แต่ราคาแพง เอาเหล้าขาวมาประมาณครึ่งแก้ว ขูดดีหมีลงไป จะเป็นเศษ ๆ ผง ๆ ขูดใส่จนกระทั่งเหล้าเป็นสีชา แล้วให้กินเข้าไป จะละลายลิ่มเลือดได้หมด หลังจากนั้นก็เป็นฝีมือหมอรักษาแล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่อยู่ เพราะถ้าไม่ละลายลิ่มเลือดหมดก็จะเป็นอัมพาตเลย แต่ดีหมีแพงมากจ้ะ อาตมาเคยซื้อเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ลูกหนึ่ง ๗,๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว เหล้าขาวนะจ๊ะประมาณครึ่งแก้ว เราก็ขูด ๆ ดีหมีให้เป็นผง พอลงไปแล้วจะละลายกลายเป็นสีเหมือนกับน้ำชา อย่าให้เข้มมาก เพราะถ้าเข้มมากเดี๋ยวเลือดจะไม่ยอมหยุด เอาแค่ละลายลิ่มเลือดได้ ถาม : ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ วันแล้วครับ ? ตอบ : ยังทันอยู่ เป็นแค่ไม่กี่วัน มีอยู่รายหนึ่ง คุณปรีชา บ้านอยู่ยะลา อยู่ ๆ ก็ล้มตึงไปเฉย ๆ ญาติเขาโทรมา อาตมาถามว่า มีดีหมีไหม ? พอดีบ้านเขาเป็นคนจีนก็เลยมี จึงบอกให้ทำอย่างที่ว่า ให้บีบจมูกกรอกปากไปเลย เพราะเขาหมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าหาย แต่แขนข้างซ้ายใช้งานไม่ได้เป็นปี เขาเป็นคนถนัดซ้าย พยายามทำกายภาพอย่างไรก็ไม่หาย พอไปหาหมอสมัยใหม่เอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า ตอนที่เขาเพิ่งล้มใหม่ ๆ คนไปช่วยยกจนไหล่หลุด โดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เป็นอัมพฤกษ์ พอไปให้หมอรักษา หมอบอกว่า ไหล่หลุดมาตั้งครึ่งค่อนปี พังผืดขึ้นหมดแล้ว ก็ต้องเจ็บตัวไปให้หมอผ่าตัดใหม่ นั่นถือว่าซวยจริง ๆ |
ถาม : คนที่จำอะไรไม่ค่อยได้ เรียนรู้เข้าใจยาก ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นแบบเดียวกับพระจูฬปันถกเถระ ในอดีตชาติพระจูฬปันถกเถระเป็นคนเก่ง ท่องปาฏิโมกข์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เพื่อนของท่านท่องไม่ได้สักที พระจูฬปันถกเถระจึงไปหัวเราะเยาะเพื่อนว่าโง่ พอมาเกิดชาติใหม่ พระจูฬปันถกเถระท่องกลอนสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแค่สี่ประโยค ใช้เวลาสามเดือนยังท่องไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อย่าไปดูถูกใครว่าโง่ เดี๋ยวกรรมตามทันเราจะแย่กว่าเขาอีก |
ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน ท่านให้พรหลายคาถา แต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : จริง ๆ มีสิบกว่ายี่สิบบท นึกบทไหนได้ก็ให้ไปเรื่อย ถาม : เกี่ยวกับคนไหมคะ ? ตอบ : เกี่ยวนิดหน่อยจ้ะ ถาม : ดูจากอะไรเจ้าคะ ? ตอบ : ความต้องการของเขาเป็นหลัก รองลงไปก็บุญที่เขาทำมา ถ้าของเก่าเขามี ควรจะได้อะไรก็ว่าอย่างนั้นไป |
ถาม : หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดูลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ สงสัยว่าคำบริกรรมสำคัญไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคำภาวนาเป็นเครื่องช่วยโยงใจให้เป็นสมาธิจ้ะ ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวแล้ว เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม ใจนึกจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของเราพอแล้ว ดังนั้น..ตอนนี้คำภาวนาไม่ต้องไปใส่ใจ เอาให้ใจเราเป็นสมาธิเพราะคำภาวนานั้นก่อน พอสมาธิทรงตัว คราวนี้จะใช้บทอะไรก็ได้แล้ว เหมือนกับหาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน พอมีเงินแล้วเราจะซื้ออะไรก็ได้ ถาม : คำภาวนาอะไรก็ได้หรือคะ ? ตอบ : ถ้าคำภาวนายาวไป บางทีอาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้ใช้พุทโธของเราไปก่อน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเป็นสมาธิ ต่อไปจะใช้สมาธิในการทำอะไร แค่คิดก็เป็นแล้วจ้ะ ต้องขยันทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ ถ้าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ เดี๋ยวกิเลสตีเราตายเสียก่อน |
ถาม : อาสวักขยญาณ เป็นตั้งแต่ผู้ที่จะบรรลุอรหัตผลเท่านั้นหรือ ?
ตอบ : ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป อาสวักขยญาณ แปลว่า ญาณอันทำให้กิเลสสิ้นไปได้ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปสามารถทำให้กิเลสหมดไปบางส่วน เขาเรียกว่าเป็นอาสวักขยญาณ ถาม : จะต้องผ่านฌานอะไรเป็นอย่างน้อย ? ตอบ : ปฐมฌานเป็นอย่างน้อย เพราะกำลังปฐมฌานขึ้นไป เพียงพอที่จะตัดกิเลสเบื้องต้นในสังโยชน์ได้แล้ว |
ถาม : ปฐมฌานเป็นพื้นฐานขั้นแรกก็พอแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าใช้คำพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว จะทำให้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปด้วย ถาม : ขอประทานอภัยครับ ตอบ : คุณใช้คำว่าปฐมฌานก็พอ แล้วเขาจะไปทำถึงฌานสี่ทำซากอะไร..! อย่างน้อยต้องถึงปฐมฌานจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอตัดกิเลส ถาม : คำว่าน้อมไปเพื่อความสิ้นอาสวะ เขาทำกันอย่างไรครับ ? ตอบ : ไล่ไปตามสังโยชน์ ตัดไปทีละข้อ ๆ อาสวกิเลสหยาบที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ ถ้าเราทรงปฐมฌานได้ นิวรณ์ ๕ ก็กินเราไม่ได้ หลังจากนั้นก็เป็นในส่วนของกรรมกิเลสก็คือในส่วนที่เราละเมิดแล้วผิดศีล หลังจากนั้นก็จะเป็นสังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏฏะ ไล่ไปทีละระดับ เรารู้จักศีลอย่างเดียวว่าห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ แต่ตัวที่ทำแล้วผิดศีล เขาเรียกว่ากรรมกิเลส (การกระทำที่เกิดจากกิเลส) ฆ่าสัตว์ก็เพราะโทสะกิเลสบังคับไว้ ลักทรัพย์เพราะโลภะกิเลสบังคับไว้ ฯลฯ เขาจึงเรียกว่ากรรมกิเลส ถัดจากนิวรณ์ก็ต้องแก้ไขกรรมกิเลส จากนั้นก็อาศัยกำลังของศีลซึ่งเกิดจากการที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ไม่ให้เกิดกรรมกิเลส ทำให้เกิดสมาธิ ก้าวขึ้นไปสู่การตัดสังโยชน์เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสังโยชน์ออกเป็นสองส่วน เขาเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) กับ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) สังโยชน์เบื้องต่ำ ก็คือ สังโยชน์ข้อที่ ๑-๕ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ข้อที่ ๖-๑๐ แค่สังโยชน์ข้อ ๑-๕ ก็แทบปางตายแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ ๔ กับ ๕ |
ถาม : เขาบอกว่า ต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์หรืออรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน ถาม : ถ้าเราทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง เราจะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ? ตอบ : ได้..ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์ ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น..? ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทัน ต้านกิเลสได้ทัน ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ? ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อยได้ ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ |
ถาม : จักรวาลในวิทยาศาสตร์และในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์รู้ไม่เท่าพระพุทธศาสนา จักรวาลทางวิทยาศาสตร์ก็คือหมู่ดาวหมู่หนึ่ง ที่มีดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จักรวาลของพระพุทธศาสนาก็ลักษณะเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าจักรวาลไหนมีมนุษย์อยู่บ้าง และพระองค์ท่านหรือพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเขาเป็นประจำ แต่ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ แค่ดาวพฤหัสกว่าเขาจะส่งยานเข้าไปในบริเวณที่สามารถสำรวจได้ใกล้เคียง ก็ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทั้งหมดแสนโกฏิจักรวาล ไม่น่าเชื่อว่าเยอะขนาดนั้น สุดชายขอบจักรวาลจึงเริ่มเป็นเขตของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงฤๅษีองค์หนึ่ง ท่านอยากจะรู้ว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เท่าไร ท่านจึงใช้อำนาจอภิญญาเริ่มเหาะจากโลกมนุษย์ไปเรื่อย ๆ มุ่งตรงไปอย่างเดียว ปรากฏว่าท่านหมดอายุของความเป็นมนุษย์เสียก่อน ยังเหาะไม่พ้นเขตจักรวาลเลย นั่นขนาดไปด้วยอำนาจอภิญญานะ ท่านก็เล่าให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เรื่องพวกนี้สงสัยไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะท่านตายฟรีมาแล้ว..! ถาม : ตายแล้วไปเป็นพรหมหรือครับ ? ตอบ : เป็นพรหม เพราะตายด้วยกำลังของอภิญญา จำไม่ผิดน่าจะอยู่ในเทวตาสังยุต ของสังยุตตนิกาย ลองไปหาอ่านดู |
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบาย การเร่งรัดบารมี
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ การทำให้มากเข้าไว้ ไม่ได้หมายถึงทุ่มเทที่เวลา แต่จริง ๆ คือ รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องกันได้ ความที่จิตเคยชินกับความสงบ สมาธิทรงตัวได้ง่าย ปัญญาเกิด ก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะก้าวหน้า ถาม : ขี้เกียจนี่เป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เป็นกิเลสหยาบมากเลย เป็นส่วนหนึ่งของถีนมิทธะนิวรณ์ ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเดียว แต่ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติด้วย ถ้าตราบใดที่จิตยังทรงฌานไม่ได้ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่างน้อยให้ทรงปฐมฌานได้จึงจะพ้น |
ถาม : ท่านสอนปฏิบัติสายไหนหรือคะ ?
ตอบ : สอนแบบกลาง ๆ ทั่วไป จะเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกควบกับการภาวนา แล้วก็อธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพบเห็น หรือว่าสิ่งที่นักปฏิบัติจะต้องพบเจอ แล้วควรที่จะแก้ไขอย่างไร จริง ๆ แล้วที่อาตมาเรียนมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะไปดูนรก สวรรค์ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่คนเอาไปใช้ผิด ในเมื่อไปใช้ผิดก็เลยไม่สอน สอนธรรมะกลาง ๆ ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วจะติดนาน อาตมาเองก็เคยไปหลงติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนนั้นให้ดูเรื่องนั้น คนนี้ให้ดูเรื่องนี้ พอถูกต้องแม่นยำก็ชม แล้วเราก็ตัวลอย กลายเป็นคนรับใช้เขาโดยที่ไม่ตั้งใจ ใครต้องการรู้เรื่องอะไรก็มาถาม จนกระทั่งต้องเลิกไปเอง เพราะเวลาคนมาหา เขาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง |
ถาม : คนที่เขาเป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือน้ำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้ม ให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงานแล้ว ให้ทำงานใหม่ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อมาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด ถาม : อย่างนี้คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ? ตอบ : ทำได้จ้ะ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน ถาม : แล้วล้างลำไส้ละคะ ? ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ? ตอบ : จ้ะ ใช้ใบชุมเห็ด อย่าให้เกินสองก้านนะจ๊ะ ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวัน ไม่ได้ไปทำงานกันพอดี |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรก็ตามที่เป็นงานที่สมควรทำ เป็นงานของพระ เป็นงานของพระศาสนา ถึงเวลาจะไปได้เอง ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย
บางคนเขาเห็นว่าอาตมารวย อาตมาก็นั่งหัวเราะ บางวันมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึง ๔๐ บาท เขาเห็นแต่ตอนที่เราจ่ายเท่านั้น ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ โทรมาหา "อาจารย์เล็ก..ผมยืมเงินจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างสักสี่แสนก่อนสิ ผมติดร้านค้ามาเป็นปี ยังไม่มีจ่ายเลย" "ท่านอาจารย์ยืมผิดที่แล้ว ผมมีเสียที่ไหน.." "อาจารย์เล็กรวยจะตายไป.." "ที่คุณเห็นว่าผมรวย เพราะผมจ่ายหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่คนที่ไม่เคยจ่ายให้เห็นเลย คุณไปยืมเถอะ มีเงินทุกคนแหละ" อาตมาได้มาเท่าไรก็ใช้หมด พอใช้หมดเขาจะเห็นว่าเรารวย เพราะมีใช้อยู่ตลอด วัดนั้นให้ช่วยสร้างอย่างนั้นก็สร้างให้ วัดนี้ให้สร้างอย่างนี้ก็สร้างให้ ไหนจะวัดของตัวเองอีก เขาจึงเห็นว่าเรารวย ความจริงแล้วได้มาเท่าไรก็ใช้หมด" |
ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์จ้ะ แต่ต้องสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณ ๓ จบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้งวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง..! วิชานี้สืบสายมาจากตำราพระร่วง มาดังสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และมากระหึ่มอีกทีสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน ถ้าเราไม่เคยไปรับเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก..ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงวัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ..ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริง ๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างนั้น |
ถาม : เวลาจับภาพพระ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : นานแค่ไหนที่คุณว่าเหนื่อย ? ถาม : สักพักหนึ่ง ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณทำถูกวิธีหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนที่คุณจะจับภาพพระ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด ถ้าสมาธิทรงตัว ลมจะละเอียด ถ้าลมหยาบยังค้างอยู่ บางทีจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วยังเป็นอีก เขาเรียกว่าขันธมารมาขวาง ถ้าเราเกิดอาการเหนื่อยแล้วท้อใจหรือกลัวตาย เลิกปฏิบัติไป เราก็เสียผลเอง ต้องตัดสินใจว่าตายเป็นตาย แล้วลุยเข้าไปเลย..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บัวบ้านเรามีแค่ ๓ ตระกูล ก็คือ ตระกูลบัวหลวง ตระกูลบัวสาย และตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน
ตระกูลบัวหลวง สีขาวคือปุณฑริกา สีแดงคือปัทมา ตระกูลบัวสาย สีขาวจะเป็นโกมุทหรือกมุท สีแดงจะเป็นสัตบุษย์หรือสัตบรรณ ตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน สีเหลือง คือ จงกลนี สีน้ำเงินคือนิโลตบลหรือนิลุบล ถาม : แล้วสีบานเย็น ? ตอบ : เป็นบัวต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว สีบานเย็นน่าจะจัดอยู่ในพวกนิลุบล ที่โบราณเขาเรียกว่าบัวเขียว สีม่วง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน โบราณจะเรียกว่าสีเขียวทั้งหมด |
ถาม : การเดินจงกรม เราควรจะใช้ในลักษณะพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเราควรจะใช้ในการจับภาพมโนมยิทธิแล้วเดินครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ที่ความถนัดของเรา ทำอย่างไรก็ได้ ให้นิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ถ้าเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย สติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดไม่ได้ ถ้าจับภาพแบบมโนมยิทธิ ถ้าใจเกาะมั่นคง กิเลสก็กินไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องการแค่ความสะอาดของจิต ท้ายสุดก็ให้มีปัญญาตัดกิเลส รู้อยู่เสมอว่าเราเดินอยู่บนกองทุกข์ กำลังก้าวไปหาความตายอยู่ทุกก้าว ถ้าเราตายแล้วเราจะไปไหน ? ถาม : แต่พอยิ่งเดิน ยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ ช่วงท้ายเหมือนกับผมจะระเบิด เกิดความรู้สึกว่า อยากพบคน อยากคุยกับคนไปหมด ตอบ : นั่นกิเลสชวนแล้ว พอเราบังคับอยู่ในกรอบ กิเลสก็จะดิ้น เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นสายพองหนอยุบหนอ เขาบอกว่าสภาวธรรมกำลังเกิด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นโทสะแทน ถาม : ใช่ครับ คิดว่าเมื่อไรจะจบสักที ส่วนที่เราต้องทำต่อก็คือเราควรจะพิจารณาใน..? ตอบ : เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ เปลี่ยนไปนั่งบ้าง หางานหาการทำบ้าง จะกวาดบ้านถูบ้านก็ได้ แต่ต้องเอาสติอยู่กับปัจจุบัน |
ถาม : ธรรมะของผู้ครองเรือนเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ธรรมะของผู้ครองเรือน บาลีเรียก ฆราวาสธรรม ประกอบไปด้วย สัจจะ มีความจริงใจต่อกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่นอกใจกัน ทมะ คือ มีความข่มกลั้น เกิดการกระทบกระทั่งกันขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ ขันติ ทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิต ในการทำมาหากิน ท้ายสุด จาคะ ต้องมีความเสียสละ สละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองของเรา ถาม : ถ้าปฏิบัติมโนมยิทธิ เราจะครองเรือนได้ไหม ? มโนมยิทธิจะเสื่อมไหมครับ ? ตอบ : เขาไม่ได้ห้าม อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมจะไปเสื่อมอะไร ยกเว้นว่าไม่สนใจเท่านั้นเอง ถาม : หมายถึงเวลาที่เราครองเรือนครับ ? ตอบ : ก็ครองไปสิ ไม่ได้ห้ามหรอก ถาม : แบ่งเวลาเป็นช่วงได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้ อย่าลืมว่า แม้แต่พระโสดาบันท่านก็ยังมีคู่ มีลูกมีหลาน เราเองยังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าทรงกำลังใจระดับโสดาบันได้เมื่อไร เราก็ใช้มโนมยิทธิไปนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว ถาม : ถ้าเราภาวนาสัมปะจิตฉามิ และเราจับภาพพระไปด้วย เราจะมีอานิสงส์เหมือนกับจับภาพพระไหมครับ ? ตอบ : ไม่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นจริง ๆ จะได้มากกว่า คาถาสัมปะจิตฉามิถ้าทำขึ้นจริง ๆ เราสามารถใช้อภิญญาได้เหมือนกับฝึกกสิณ ๑๐ มา พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เราจะไปแต่ใจ เราก็ไปทั้งตัวเลย |
ถาม : เวลาเราทำงานต้องมีเรื่องที่พูดเลี่ยงออกไป แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จัดเป็นการละเมิดศีลข้อมุสาหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลยังด่างยังพร้อยอยู่ แต่เราไม่ได้โกหกทั้งวัน ระยะเวลาที่เหลือเราก็รักษาศีลของเราให้ดี ถาม : ถ้าคิดแล้วไม่ทำผิด..? ตอบ : การคิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว ถาม : อยากได้ของคนอื่น เกิดกรรมแล้วใช่ไหมครับ ? ตอบ : มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจคิด ตายตอนนั้นก็ลงนรกเลย ขาดทุนมาก ถาม : ศีลข้อสาม รวมคนในปกครองด้วยหรือไม่ ? ตอบ : ทุกประเภท ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ยินยอม กระทั่งท้ายสุดแม้กระทั่งกฎหมายไม่ได้ยินยอม ถือว่าผิดทั้งนั้น ถาม : แม้ตัวเขาจะยินยอมก็ผิดในธรรม ? ตอบ : ผิด..เพราะเขาหมายเอาถึงคนที่ยังมีผู้ปกครองอยู่ |
ถาม : ในแง่ของกามราคะที่เกิดขึ้น ด้านความคิดมีความกำหนัด ไม่ว่าจะเกิดจากการเห็น การมอง ก็เป็นมโนกรรมอยู่ตลอดเวลาสิครับ ?
ตอบ : เป็นอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเราสร้างกรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงได้บอกว่า เราต้องชำระจิตของเราให้ผ่องใสให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกามวิตก (การระลึกตรึกถึง) กามราคานุสัย (กามที่นอนเนื่องอยู่ภายในใจ) ตราบใดที่ยังไม่มีคนไปสะกิดให้รู้ตัว ก็ยังมีอยู่ แต่พอสะกิดเข้าจึงรู้ว่ายังมีอยู่เต็ม ๆ ถาม : บางทีนั่งสมาธิแล้วคิดถึงเรื่องกาม ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เขาตั้งใจจะกวนเราอยู่แล้ว เขามาชวนว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า |
ถาม : ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมภาวนา จะช่วยคนอื่นได้ไหม ?
ตอบ : สำหรับเรา..ถ้าปฏิบัติจนกำลังใจมั่นคง ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากำลังของเราน้อยเกินไป ก็อาจจะช่วยคนอื่นไม่ได้ ถ้าตัวเราเอาตัวเองรอดได้ ก็เท่ากับไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น ดังนั้น..เราปฏิบัติของเราให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระแก่พรหม เทวดาเท่าไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม |
ถาม : ตอนนี้ผมภาวนาสัมปะจิตฉามิวันละชั่วโมง ภาวนามาประมาณเดือนกว่า ๆ ตอนนั่งปวดท้องมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเพราะอะไร เขาแค่ทดสอบกำลังใจว่าจะเอาจริงหรือเปล่า ? อย่าลืมว่าคาถาสัมปะจิตฉามิเป็นคาถาอภิญญา คนที่จะฝึกอภิญญากำลังใจต้องเข้มแข็ง มั่นคง สม่ำเสมอ และสำคัญที่สุดก็คือต้องไม่กลัวตาย เราต้องคิดว่า สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไรช่าง เราทำความดีอยู่ แม้ต้องสิ้นชีวิตลงไปเพื่อแลกกับความดีนี้เราก็ยอม ถาม : บางทีปวดจนกระทั่งอารมณ์จิตไม่สบาย ตอบ : ปล่อยให้ตายลงไปเลย ถ้าตัดใจขนาดนั้นได้ถึงจะได้ดี เขาเรียกว่าขันธมาร แค่มาแหย่เล่นเท่านั้น วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง อาตมาต้องแวะเข้าส้วมเกือบทุกปั๊มที่เจอ เพราะปวดท้องบิดไปบิดมาเหมือนจะถ่าย แต่พอเข้าไปห้องน้ำกลับไม่ยอมถ่าย พอวิ่งออกมาก็ปวดใหม่ แวะอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ วันนั้นก็เลยมีโอกาสสำรวจห้องน้ำไปตลอดทาง พอไปถึงพระพุทธฉายก็เดินขึ้นไปไหว้พระพุทธฉาย ปรากฏว่ามาเช้าเกินไป ศาลายังไม่เปิด ก็เลยไปปิดทองพระข้างนอก มีพระนอน พระศรีอาริยเมตไตรย พ่อปู่ฤๅษี ปิดทองเสร็จอาการปวดท้องหายเอาดื้อ ๆ เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไรเลย จึงมานั่งหัวเราะ ดีเหมือนกัน อุตส่าห์ไม่สนใจไปตลอดทาง เขาเห็นว่าขวางเราไม่ได้แน่ ก็เลิกไปเอง ปิดทองพระเสร็จ เดินลงเขามา หายปวดไปเฉย ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ หลังจากเสร็จงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ใครยังไม่กลับ จะถวายสังฆทานต่อก็เชิญนะจ๊ะ อาตมาจะนั่งรับต่อเลย เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวที่จะแจกพระกับหนังสือ
พระที่จะแจก ก็คือ พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อชุบทองพ่นทราย เข้าพิธีเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่านมา หนังสือที่จะแจก คือปกิณกธรรม เล่ม ๑ ได้คัดเอาเนื้อหาของการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีบางส่วน การอบรมธรรมที่ปรียนันท์ธรรมสถาน การปฐมนิเทศมโนมยิทธิของพนักงานบริษัททริปเปิ้ลเอ การเทศน์ช่วงกรรมฐานของบ้านอนุสาวรีย์ และเทศน์สอนนาคอีกบทหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจให้อ่านเนื้อหา ตั้งใจให้ดูรูป เพราะคัดเอารูปพระพุทธรูปใส่ไว้อย่างชนิดไม่เกรงใจตัวเอง ทำให้จำเป็นต้องพิมพ์สี ซึ่งหนังสือที่พิมพ์สีจะแพงกว่าปกติหลายเท่า" |
1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวถึงพระสายหลวงปู่มั่นให้ฟังว่า "หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล คนจะรู้จักท่านน้อย แต่หลวงปู่ทองรัตน์ท่านเป็นพระที่สุดยอดมาก ท่านเดินบิณฑบาตผ่านบ้านโยมหลังหนึ่งเป็นปี ๆ โยมไม่เคยทำบุญเลย หลวงปู่เดินแหวกรั้วเข้าไป บอกว่า "โยมใส่บาตรหน่อยสิ" โยมบอกว่า "โยมยังไม่ได้นึ่งข้าวเลย" หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร รอได้..!"
พอโยมเจอพระตื๊ออย่างนี้เข้าก็ต้องไปนึ่งข้าว พอใส่บาตรเสร็จท่านก็ให้พร เดินยิ้มกลับวัด หลวงปู่ท่านทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เขาได้บุญ เมื่อไปถึงวัดท่านหยิบข้าวก้อนนั้นส่งให้เณร เพราะถือว่าได้โดยไม่บริสุทธิ์ สำหรับพระแล้ว สัมมาอาชีวะคือการได้มาโดยศรัทธา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับศรัทธาเขา แล้วก็มีพระตั้งใจจะจับผิดท่าน เพราะเห็นจริยาพิลึกพิลั่นไม่เหมือนชาวบ้านของท่าน พระรูปนี้ไปอยู่ที่วัดหลวงปู่สามเดือน ระหว่างที่อยู่ในวัด ไม่เห็นหลวงปู่ผิดวินัยแม้แต่นิดเดียว เขาจับผิดไม่ได้ ก็พยายามที่จะใช้วาจากระทุ้งให้หลวงปู่ท่านโกรธ หลวงปู่ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะผมไม่ได้นั่งทับอาวุธเหมือนคุณ" ทำเอาพระรูปนั้นสะดุ้ง เพราะใต้อาสนะท่านซุกมีดเอาไว้ ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป หลวงปู่เป็นพระที่รุ่มร่ามและขี้โมโห แต่ความจริงนั่นเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกให้คนอื่นเขาเห็น แต่พอเป็นเวลาที่อยู่ส่วนตัว ท่านระมัดระวังทุกสิกขาบท และเรื่องรู้ใจคนอื่น ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้" |
ถาม : หลวงปู่ทองรัตน์ท่านอยู่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ท่านเป็นพระธุดงค์ อยู่ไม่เป็นที่ ท่านธุดงค์ไปเรื่อย ๆ บางทีก็อยู่สงเคราะห์เขา ๒-๓ ปี แล้วก็ไปต่อ อาตมาก็ไม่ทันหลวงปู่ทองรัตน์หรอก หลวงปู่รูปอื่นท่านเล่าให้ฟัง สมัยก่อนอาตมามีโอกาสวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ เพราะโยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์ท่านสร้างพระเจดีย์ จากผืนนาเปล่า ๆ พวกเราช่วยกันสร้างเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ และพระเจดีย์หลังนั้น คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบ ปกติเรารู้จักว่าเขาเป็นจิตรกร ไม่นึกว่าเขาจะเป็นสถาปนิกด้วย ออกแบบลายสวยมาก ปีหนึ่ง ๆ ช่วงเดือนมกราคม จะมีการรวมลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ไปทำพิธีสวดลักขี ก็คือ สวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ หนึ่งแสนจบ คำว่า "ลักขี" หรือ "ลักขัง" ก็คือ หนึ่งแสน จะมีการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลต่าง ๆ ทุกครั้งโยมแม่จะไปบวชชี ๑๐ วัน อาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่จริง ๆ ก็คือไปให้หลวงปู่ หลวงพ่อท่านเรียกใช้ เพราะเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน รู้ว่าจะต้องล้างบาตร เช็ดบาตร เอาบาตรไปตั้ง ไปปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันรอไว้ตามลำดับพรรษาของท่านเลย |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1297660935 หลวงปู่กินรี จนฺทิโย วัดป่ากันตสีลาวาส "หลวงปู่กินรี จนฺทิโย ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ช่วงแรก ๆ หลวงพ่อชาไปอยู่กับหลวงปู่กินรี หลวงปู่กินรีก็สอนให้หลวงพ่อชาฉันอาหารช้า ๆ ฉันไปและพิจารณาไปด้วย ส่วนหลวงปู่กินรีเองท่านฟาดเต็มที่ พักเดียวก็เสร็จ หลวงพ่อชาข้องใจมาก มีอยู่วันหนึ่งก็กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนผมอย่างนี้ แล้วหลวงพ่อทำอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่า สอนอย่างไรต้องทำอย่างนั้น" (หลวงพ่อชาเรียกหลวงปู่ว่า หลวงพ่อ) หลวงปู่กินรีท่านบอกว่า "คนหัดขับรถใหม่ ๆ ต้องขับช้า ๆ จึงจะปลอดภัย แต่ถ้าขับรถเก่งแล้ว ขับเร็ว ๆ ก็ปลอดภัยเหมือนกัน" บางครั้งหลวงปู่ท่านก็นั่งเย็บจีวร ย้อมผ้า ถักขาบาตร เหลาก้านกลด หลวงพ่อชาก็สงสัย เพราะไม่เห็นหลวงปู่นั่งกรรมฐาน เอาแต่ทำนั่นทำนี่อยู่ทั้งวัน อดทนไม่ได้ก็ไปถามอีก หลวงปู่กินรีบอกว่า "งานทุกอย่าง ถ้าใส่สติอยู่เฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันธรรม เป็นยิ่งกว่ากรรมฐานอีก เพราะสติที่อยู่กับปัจจุบัน จะไม่ปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ต่อให้คุณเดินจงกรมให้ตาย แต่ถ้าไปคิดรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ก็ไม่เกิดประโยชน์" หลวงปู่ท่านทำงานของท่านไปเรื่อย ท่านไม่ได้ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ท่านถนัดทำงานไปพร้อมกับกำหนดปัจจุบันธรรมไปด้วย เราจะเห็นว่า พระสายหลวงปู่มั่นมีลีลาหลากหลายกันมาก แล้วแต่ว่าเราได้มีโอกาสกราบองค์ไหน" |
ถาม : พระที่ทันหลวงปู่มั่น ที่เราน่าจะไปกราบ มีองค์ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ท่านยังอยู่หรือเปล่า ? หลวงปู่ทองบัว วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อยู่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ส่วนอีกรูปหนึ่งก็ หลวงปู่วิริยังค์ นี่ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นสามเณร ส่วนหลวงตามหาบัวทันตอนเป็นพระ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ สายนั้นต้องยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติกันจริง ๆ ปฏิบัติกันอย่างทุ่มเทชนิดเอาชีวิตเข้าแลก บางทีก็ผ่อนอาหาร ลดกันวันละคำ ๆ จนกระทั่งไม่ฉันเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน มีบางท่านในชีวิตได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียวเท่านั้น หลวงปู่มั่นท่านเดินทางไปรักษาตัวที่อุบลราชธานี ท่านนั่งรถไฟไป พอพระเณรได้ข่าวก็ไปยืนรับตามสถานีรถไฟ รถไฟวิ่งผ่านก็ยกมือไหว้ หลวงปู่มั่นก็โบกมือทางหน้าต่าง "เอ้อ..ไปปฏิบัติเอาเน้อ" ทั้งชีวิตได้คำสอนนี้ประโยคเดียว พอมาปัจจุบันท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นหลักชัยให้แก่ชนหมู่มากได้ด้วย ถ้าเป็นเราทั้งชีวิตได้ประโยคเดียว ก็คงลงแดงตายไปแล้ว แสดงว่าพวกเรายังไม่เอาจริง |
1 Attachment(s)
"หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร บางทีเรียกกันว่า หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล (สันโค้ง) ก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่องค์นี้เป็นหนึ่งในหลวงปู่ไม่กี่องค์ ที่สมัยหลวงพ่อท่านล่าพระอาจารย์ พาลูกศิษย์ไปกราบ เขาลือว่าท่านเป็น เจ้าของ"รอยยิ้มพระอรหันต์" ท่านยิ้มทีคนเห็นร้องไห้โฮเลย เพราะปีติเกิด" |
ถาม : กรณีที่เราสงสัยในคุณธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คุณมีสิทธิ์ที่จะสงสัย นี่เป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ในเมื่อเป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ก็แปลว่า กิเลสใหญ่ยังคาใจเราอยู่ ถ้าตราบใดที่ยังสงสัย เราก็จะไม่มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ ในเมื่อไม่ทุ่มเทมอบกายถวายชีวิต โอกาสที่จะได้ดีก็มีน้อย ในธรรมบท พระท่านไปฝากตัวกับอาจารย์เพื่อเรียนกรรมฐาน พระอาจารย์ถามว่า มีความตั้งใจแค่ไหน ? ท่านบอกว่า ถ้าอาจารย์สั่งท่านให้เอาตัวเองฝนกับหินตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ ให้สึกหมดทีละน้อย ๆ จนกระทั่งสิ้นชีวิตไป ท่านก็ยอมทำ ต้องได้ขนาดนั้น หรือไม่ก็คณะของพระพาหิยะเถระ ที่ท่านทำบันไดปีนขึ้นไปบนยอดเขา แล้วถีบบันไดทิ้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหาะได้ ก็ให้ตายอยู่ข้างบนไปเลย แต่นั่นท่านมั่นใจนะว่าท่านเป็นอรหันต์แล้วท่านจะเหาะได้ เกิดมีใครเป็นสุกขวิปัสสโกก็เป็นเรื่องเลย (หัวเราะ) นึกถึงฮุ่ยเข่อโจวซือ ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่สองของจีน ถัดจากท่านตั๊กม้อ ท่านไปตามตื๊อขอให้ท่านตั๊กม้อสอนวิชาให้ ท่านตั๊กม้อถามว่า มีความตั้งใจจริงแค่ไหน ? ท่านก็เลยชักมีดฟันแขนตัวเองข้างหนึ่งถวายให้เลย ลีลานี้ไม่ต้องห่วง พุทธภูมิเก่าแน่ ๆ สามารถตัดแขนถวายเพื่อบูชาธรรมได้ พวกเราเองลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นเรา เราตัดใจทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ? เรามีความจริงจังสักเท่าไร ? เปรียบเทียบโบราณาจารย์กับปัจจุบันของเรา สายหลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมจนกระทั่งทางเดินจงกรมสึกลึกถึงเข่า เราเองเดินสึกไปสักกี่หุน ? การที่ท่านได้ธรรม บรรลุธรรม จนกลายเป็นหลักชัยของคนหมู่มากได้ เพราะท่านทุ่มเทอย่างจริงจัง ทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก ถาม : ต้องขอขมาพระรัตนตรัยเฉพาะข้อนี้โดยเฉพาะไหมครับ ? ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้ารู้สึกว่าเป็นโทษก็ขอขมา แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเร่งรัดปฏิบัติ ไม่ใช่ขอขมาเสร็จก็ปล่อยเอ้อระเหยลอยชายต่อไป เวลาฟังครูบาอาจารย์ ฟังให้เหมือนกับว่า ท่านสั่งให้เราทำ อย่าไปฟังว่าท่านกำลังสอนเรา ถ้าฟังว่าท่านกำลังสอนเรา บางทีเราก็ไม่คิดที่จะทำ แต่ถ้าเราฟังว่าท่านสั่งให้เราทำ เราจะต้องลงมือทำทันที เพราะฉะนั้น..การฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ ให้ฟังในลักษณะที่ท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็เร่งลงมือตั้งหน้าตั้งตาทำ ถ้ามัวแต่ไปฟังว่าท่านสอนเรา สอนดีเหลือเกิน มัวแต่ไปชื่นชมกับคำสอนท่าน ไม่ได้ปฏิบัติอีกต่างหาก คงได้เกิดใหม่กันอีกหลายรอบ..! |
ถาม : จับลมหายใจอย่างเดียว กับบริกรรมพุทโธไปด้วย อย่างไหนจะได้ผลเร็วกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัด การจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าจิตใจมั่นคงจริง ๆ ก็สามารถที่จะได้ฌานได้สมาบัติ การจับอานาปานสติพร้อมพุทโธเป็นการเพิ่มงานขึ้นมา เพื่อให้จิตมีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเผลอ พลาดจากลมหายใจหรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งไป ดังนั้น..ขึ้นอยู่กับความถนัดของตัวเราเอง ถ้าจิตใจไม่ยุ่งยากมากความ ถึงเวลาแค่ตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ทรงสมาธิได้ ก็ใช้อานาปานสติอย่างเดียว แต่ถ้ารู้สึกว่างานน้อยเกินไป จิตใจฟุ้งซ่านมาก ก็เพิ่มงานให้จิต ถาม : ข้อวิจิกิจฉาในสังโยชน์ จะมีกับพระอริยเจ้าทุกขั้นไหมครับ ? ตอบ : วิจิกิจฉาจะมีแต่ปุถุชนเท่านั้น ตั้งแต่โคตรภูญาณของพระโสดาบันจะไม่มีความสงสัยเหลืออยู่ เพราะจิตสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ ในเมื่อจิตสัมผัสพระนิพพานได้ จะเกิดความมั่นใจอย่างแน่นแฟ้นว่าการปฏิบัตินี้มีผลแน่ เพราะฉะนั้น..ตัวสังโยชน์วิจิกิจฉา จะมีได้เฉพาะบุคคลที่ยังเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบัน ก้าวเท้าเข้าไปก้าวเดียวก็พอแล้ว มั่นใจว่าก้าวไปถึง และถ้าถึงตรงนั้นก็ทำกันชนิดตายไปข้างหนึ่ง เพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำนี้ดีอย่างไร ? มีค่ามหาศาลแค่ไหน ? ต่อให้แลกทั้งชีวิตก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม ตอนที่อาตมาปฏิบัติอยู่มีความรู้สึกว่า ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานไปสัก ๑๒๐ ปี แล้วเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว..! |
ถาม : ในกรณีที่สงสัยคุณธรรมของครูบาอาจารย์ กับวิจิกิจฉา คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นวิจิกิจฉาได้เหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระสงฆ์ ก็คือส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย คุณจะไปสงสัยทำเกลืออะไร..! ท่านสอนอะไรมาเราก็ลงมือทำ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นแล้วค่อยว่ากัน ไม่ใช่ท่านสอนมาแล้วเราก็ไปนั่งสงสัยว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ? มีข้าววางไว้ตรงหน้า แทนที่จะรีบกินกลับไปนั่งสงสัย คนทำอาหารเขามีฝีมือหรือเปล่า ? แบบนี้มีหวังอดจนไส้กิ่ว..! ถาม : ในกรณีที่สงสัยครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเราโดยตรงเล่าครับ ? ตอบ : เรียกว่าหาเรื่อง..! ไม่ใช่หน้าที่อะไรที่เราจะไปสงสัยท่าน คำสอนท่านเราก็ไม่ได้รับมาอีกต่างหาก กลายเป็นว่าหาเรื่องลำบากให้แก่ตัวเอง แทนที่งานจะน้อยลงก็มากขึ้น การยึดการเกาะก็มากขึ้น กิเลสก็มากขึ้น ท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ยกมือไหว้แล้วกล่าวว่า "แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เถิด" |
ถาม : ในกรณีที่เจริญพรหมวิหาร ๔ จะวัดดูว่าทรงตัวหรือไม่ทรงตัว นอกจากดูจากนิวรณ์แล้ว ดูจากจุดไหนอีกได้บ้างครับ ?
ตอบ : เวลาเจอกับของจริง เราสามารถที่จะเมตตาสงเคราะห์เขาได้หรือไม่ ? ถาม : ช่วยขยายความให้ฟังหน่อยครับ ตอบ : อย่างเราเห็นคน คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน คนหนึ่งสวยงาม คนหนึ่งอัปลักษณ์ คนหนึ่งพูดดี คนหนึ่งพูดไม่ดี เราสามารถที่จะสงเคราะห์ทั้งสองคนเหมือนกันได้หรือเปล่า ? ยังมีการเลือกที่รักมักที่ชังหรือเปล่า ? ยังเกิดโทสะสำหรับบางคนหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็เมตตาได้เป็นบางคนหรือเปล่า ? ถาม : อย่างอุเบกขาบารมี เมตตาบารมีจำเป็นต้องเต็มก่อนหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ทุกอย่างต้องมีอุเบกขาต่อท้าย ไม่อย่างนั้นคุณจะเดือดร้อนเอง เมตตาเกินประมาณ ถ้าเจอคนไม่รู้จักพอเราก็หน้ามืด..! ถาม : พรหมวิหาร ๔ จะนำมาควบคุมในศีลอย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าเรารักและเราเมตตาเขา เราจะฆ่าเขาได้ไหมเล่า ? ถ้ารักและเมตตาเขา เราจะขโมยของเขาไหม ? ทุกข้อก็เหมือนกันนั่นแหละ ถาม : ศีลแปด เรื่องอะพรัหมจะริยาละครับ ? ตอบ : เห็นเขาเหมือนกับญาติพี่น้องของเราเอง เหมือนกับบุคคลที่เรารัก ก็ไม่ไปล่วงละเมิดเขา ถาม : ถ้าเรารักเขา เอ็นดูเขา แตะเนื้อต้องตัวกอดเขา ถือว่าเป็นการละเมิดไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเป็นข้ออะพรัหมจะริยา ถือว่าละเมิด แต่ถ้าเป็นข้อกาเมฯ ถือว่ายังไม่ละเมิด |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส ช่วงที่เข้าวัด บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงเขาตามกันไปเยอะ ตรงจุดนี้อยากจะบอกว่า ผู้ชายที่เข้าวัดไม่ใช่ว่าจะดี ที่อาตมาเข้าวัดเพราะรู้ว่าไม่ดี จึงพยายามเข้าไปแก้ไขตัวเอง แต่เขากลับเห็นว่าเราดี จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอันตราย..!
ดังนั้น..พวกเราที่ปฏิบัติธรรมกันในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เพศตรงข้ามเห็นว่าเราดี แล้วก็หมายมั่นปั้นมือว่า เราคือบุคคลในฝันร้ายของเขา..! ถ้าถึงตอนนี้ก็ตัวใครตัวมัน รักษาตัวกันเองนะ เพราะเรื่องของครอบครัว มีแต่นำภาระมาให้ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง นอกจากความทุกข์ส่วนตัวแล้ว ยังมีความทุกข์ของคู่ครอง ความทุกข์ของลูกหลานอีก กลายเป็นเพิ่มความทุกข์ใส่ตนโดยใช่เหตุ ยังโชคดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วคิดจะหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นคาดว่ามนุษยชาติ คงจะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันไม่นาน..!" |
ถาม : ก่อนบวช ท่านเห็นทุกข์เห็นโทษของการมีครอบครัวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นเลย..! อยากมีครอบครัว เป็นลักษณะปกติของคนหนุ่มสาว พอถึงวาระแรงผลักดันทางเพศก็ดึงไปหาคู่โดยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ แต่มีสาเหตุใหญ่ว่า อาตมาเองดันไปรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องบวช ก็เลยไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ถ้าต้องรับผิดชอบชีวิตของใคร ก็รับผิดชอบไปทั้งชีวิต จะไม่มีการทิ้งไปกลางคัน ซึ่งจะทำให้ตัวเองบวชไม่ได้ สาเหตุที่สอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้บวช ก็ไปกันไม่รอด จึงต้องตัดใจ ทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นั่งน้ำลายยืด อยากกินจังเลย แต่ถ้ากินไปมีปัญหา ก็พยายามอดใจ ตรงนั้นถือว่าเป็นศีลจริง ๆ เพราะมีโอกาสแล้วไม่ล่วงละเมิด ถ้ายังไม่มีโอกาสให้ล่วงละเมิดแล้วสามารถทรงศีลได้ นี่ยังไม่แน่ว่าจะเป็นศีล แต่ถ้ามีโอกาสล่วงละเมิดแล้วละเว้นได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นศีลที่แท้จริง |
ถ้าเราเป็นผู้ชาย แล้วตนเองไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ก็รีบ ๆ บอกให้ฝ่ายหญิงเขารู้ตัวโดยเร็ว ไม่ใช่ให้เขาตั้งความหวังอยู่กับเราจนแก่เกินแกงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราไม่ยุติธรรมกับเขา ปล่อยเขารอไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา เราก็บอกว่าไม่แต่ง ทีนี้เขาก็แก่เกินแกงแล้ว หมาไม่แลแล้ว..! กลายเป็นว่าเขาเสียโอกาสไปเพราะเรา
ดังนั้น..ถ้าหากว่าคิดว่าไม่แต่ง ก็ต้องบอกให้เขารู้ชัดตั้งแต่แรก อย่างอาตมาบอกทุกคนไว้ชัดเลยว่า จะให้อยู่ในฐานะ ในตำแหน่งอะไรก็ได้ จะให้เป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นลูก เป็นหลาน เป็นได้ทั้งนั้น ยกเว้นให้เป็นผัว ไม่เป็น..! ในเมื่อบอกชัดอย่างนี้ เขาจะได้ไม่เสียเวลามาตั้งความหวังกับเรา ถาม : แสดงว่าท่านตั้งใจที่จะบวช ตอบ : ไม่ได้ตั้งใจ แต่รู้ว่าตนเองจะได้บวช เราอยากบวชซะที่ไหนเล่า ? ถ้าตอนนั้นแหกปากตะโกนกลางถนนได้ ก็จะตะโกนไปแล้วว่า "อยากมีเมีย..!" เสียดายยังกล้าไม่พอ ไม่ได้คิดอยากจะบวชเลย ขอยืนยัน พระพุทธเจ้าท่านว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไร ก็ไม่เกินไปกว่าเพศตรงข้าม สุนทรภู่ก็ว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร ใจจริงไม่ได้คิดอยากจะบวช แต่พอหลวงพ่อท่านเอ่ยปากขึ้นมา และด้วยความที่เคยเกรงกันมาไม่รู้กี่ชาติกี่ภพแล้ว ก็ต้องรับปากท่านว่าจะบวช ขนาดนั้นอาตมาก็ยังอุตส่าห์กราบเรียนถามท่านว่าจะให้บวชกี่วัน ? เกรงว่าบวชนานเกินไปสาว ๆ จะหายหมด..! ตอนนั้นแค่ถามว่าจะให้บวชเอากี่วัน ? หลวงพ่อก็หัวเราะบอกว่า "บวชแก้บน ใครเขาจะเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็ตั้งใจว่า ๗ วันสึกแน่นอน แต่ปรากฏว่า ไปเจอทีเด็ดของหลวงปู่ขนมจีนเข้า เลยอยู่มาได้เรื่อย ๆ |
ตอนนั้นข้องใจจริง ๆ เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ เป็นไปได้อย่างไร ? คนตายมา ๒ พันกว่าปี มานั่งเป็นรูปเป็นร่าง ให้จับให้ต้องได้อยู่ตรงหน้า แถมท่านยังท้าอีกว่า "ถ้าไม่แน่ใจก็คลำดูได้นะ" อยู่ ๆ มาสั่งมาสอนเราได้นี่ ก็เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเป็นไปได้อย่างไร ? ก็เลยเพลินกับการบวช
โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน ลีลาท่านสุดยอดมาก ท่านเอาอารมณ์พระอรหันต์มาให้เลย กลายเป็นว่า เอาอาหารระดับสุดยอดฝีมือมาให้ชิมเสียแล้ว คราวนี้จะกินอะไรก็หมดรสชาติ มีอยู่ทางเดียว ก็คือ ต้องตะกายทำอาหารชนิดนี้ให้ได้ สรุปว่าตะเกียกตะกายมา ๒๐ กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังชิมไม่ลง..! นึกถึงความประพฤติสมัยนั้น ก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากว่าบารมีพร่อง คงไม่ได้บวชแน่ โดยเฉพาะตัวสัจจบารมี ตั้งใจไว้กับตัวเองว่าไม่ ก็ต้องไม่จริง ๆ มีโอกาสเป็นร้อยเป็นพันก็ต้องไม่ สมัยนั้นมีอาชีพไปเป็นลูกชายเขาหลายบ้าน เพราะส่วนใหญ่คนที่รู้จัก ก็มักจะมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย พอเวลาไปเจอกันที่บ้านสายลม หรือที่วัดท่าซุง ท่านเกิดชอบใจอัธยาศัยก็ชวนไปเที่ยวบ้าน บ้านนั้นก็ลูกสาว ๒ คน บ้านนี้ก็ลูกสาว ๓ คน ไม่มีลูกชายเลย อาตมาก็เลยมีอาชีพเป็นลูกชายเขา พอไปค้างบ้านเขา เขาก็จับนอนห้องเดียวกับลูกสาว กลายเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นอนน้ำลายยืด อยากจะกินก็กินไม่ได้ ถึงเวลามีงาน เขาชวนไป ก็ไปเป็นเพื่อนเขา หรือไม่ก็บอกว่าไม่ว่าง ช่วยพาน้องเขาไปหน่อย ถ้าหากว่าเอานิสัยของนายเสือมาใช้ สงสัยว่าคงจะมีเมียเกินร้อยไปแล้ว..! |
เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า เอาตัวรอดมาได้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของบารมีจริง ๆ ในเรื่องของสัจจบารมี ตั้งใจไว้แล้วว่าในเมื่อต้องบวช ก็อย่าไปยุ่งกับชีวิตของใครเลย อย่าไปเป็นตัวถ่วงเขาเลย ถึงได้ต้องชี้แจงกันให้ชัด ๆ ไปเลย ว่าเป็นได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นอยู่ตำแหน่งเดียวขอเว้นไว้
ดังนั้น..ในเรื่องของบารมี ๑๐ ถ้าบารมีใดบารมีหนึ่งเกิดขึ้น บารมีอีก ๙ อย่างที่เหลือก็จะมาครบ อย่างในเรื่องสัจจบารมี การที่จะมีสัจจบารมีได้ต้องมีปัญญาบารมี เราถึงจะรู้ว่าสัจจบารมีเป็นของดี ในเมื่อมีสัจจบารมีมั่นคง เราก็จะไม่ละเมิดในศีลบารมี บุคคลที่ไม่ละเมิดในศีลบารมี อย่างน้อย ๆ จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี และโดยเฉพาะเราตั้งใจที่จะงดเว้นเรื่องคู่ ก็เป็นเนกขัมมะบารมีอยู่แล้ว ลองไล่ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า เมื่อบารมีตัวใดตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา อีก ๙ ตัวก็ตามมาด้วยทั้งหมด ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการปฏิบัติในด้านของบารมี คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราต้องบวช ในเมื่อรู้ว่าจะต้องบวช ถ้าหากว่ามีคู่ ก็อาจจะบวชไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องไปรับผิดชอบชีวิตเขา สถานการณ์ก็เหมือนกับถึงวาระ เหตุการณ์ช่วยต้อนให้เข้าวัดเอง ปกติหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ชวนใครบวช อยู่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ องค์ บวชให้ท่านได้ไหม ? ครูบาอาจารย์ที่เรามอบกายถวายชีวิตให้ อยู่ ๆ ถามอย่างนั้น แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไร ? |
ถาม : ถ้าพ่อแม่ไม่ให้บวชตอนนั้น ท่านจะได้บวชหรือเปล่า ?
ตอบ : ได้บวชแน่นอน เพราะแม่อยากให้บวชตั้งแต่เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีแล้ว ท่านเร่งมาทุกปี ต้องถือว่าท่านอนุญาตตั้งแต่แรกแล้ว อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ บิดามารดาของเธออนุญาตแล้วหรือ ? ตอบได้เต็ม ๆ เลยว่า อามะ ภันเต อนุญาตแล้วครับ ถาม : ถ้าหากว่าเคยอนุญาตในการบวชครั้งก่อน แต่ปัจจุบันอาจจะไม่อยากให้บวช? ตอบ : ถ้าหากท่านยังไม่ได้ถอนคำพูด ถือว่ายังมีผลอยู่ แต่ตอนอาตมาบวชก็ไม่ได้บอกใครนะ ไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง พอเจอหน้าก็กราบท่าน กราบเรียนว่า "ที่หลวงพ่อจะให้บวช ผมตกลงครับว่าจะบวช แล้วหลวงพ่อจะให้ไปวัดวันไหนครับ ?" ท่านถามว่า "พร้อมหรือเปล่าล่ะ? ถ้าพร้อมก็ไปวันนี้เลย" ตอบท่านไปทันทีว่า "พร้อมครับ" แล้วก็กระโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย ปกติเวลาอาตมาไปวัดจะไม่เกิน ๔ วัน ถ้าวัดมีงานก็จะไปก่อนวันงาน ๒ วันไปช่วยเตรียมงาน หลังจากนั้นช่วยเก็บงาน เต็มที่แค่ ๔ วัน ก็ต้องกลับ ปรากฏว่าพอถึงวันที่ ๖ โยมแม่หอบเครื่องบวชไปพร้อมทุกอย่างเลย ไม่ว่า บาตร จีวร หมอน มุ้ง กระโถน ฯลฯ ต้องบอกว่า รู้ใจลูกไม่มีเกินแม่ พอแม่ไปถึงก็ถามคำเดียวว่า "จะบวชจริงหรือ ?" บอกว่า "จริงครับ" ท่านก็หอบเอาบริขารไปถวายหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายด้วย" หลวงพ่อบอกว่า "ให้โยมตั้งใจใหม่ ตั้งใจว่างานนี้เขาบวชกี่องค์ ดิฉันขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด อย่าเอาแค่ลูกชายคนเดียว" แม่เลยต้องตั้งใจใหม่ ตกลงว่าบวชพระทั้งหมด ได้อานิสงส์บวชพระไปเกือบ ๓ โหล..! พออาตมาบวชไปแล้ว บรรดาท่านสุภาพสตรีที่ยังมีความหวังอยู่ เขาก็ตามว่าเมื่อไรจะสึกเสียที กำลังใจตอนนั้นยังตัดรอนไม่ขาด บอกเขาไปว่า "ขออยู่สักพรรษาก่อน" พอออกพรรษา เขาก็ถามอีกแล้ว "เมื่อไหร่จะสึก ?" ก็บอกว่า "ขอรับกฐินก่อน" ผลัดไปเรื่อย ผลัดไปผลัดมารู้สึกว่าไม่ไหว ประเภทกินยารักษาโรคแบบนี้ไม่หายแน่ ต้องผ่าตัด ว่าแล้วก็หั่นฉับ..! สาเหตุที่ต้องเด็ดขาด เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน เขาตามตื๊อบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเผลอไปรับปากเขาเข้า ตอนนั้นมีเพื่อนดีด้วย แต่ละท่านช่วยกันลุ้นสุดชีวิต พอผู้หญิงมา เพื่อนก็จะรีบบอก "เฮ้ย ๆ รถมาแล้ว หลบ ๆ" ท่านช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้ |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุโบสถศีลว่า
"ศีลอุโบสถมีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน ๑) ปกติอุโบสถ คือ รักษาศีล ๘ หนึ่งวันกับหนึ่งคืน ภาษาบาลีใช้ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง ๒) ปฏิชาครอุโบสถ รักษาศีล ๘ ก่อนวันพระ ๓ วัน + วันพระ ๑ วัน + หลังวันพระอีก ๓ วัน รวมเป็น ๗ วัน ๗ คืน ๓) ปาฏิหาริยอุโบสถ เป็นการรักษาศีล ๘ โดยไม่จำกัดเวลา สำหรับพวกเราจำนวนหนึ่งสามารถทำอย่างนี้ได้แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ถามว่าทำไมต้องให้ศีลอุโบสถ แล้วจึงมาให้ศีล ๘ พวกเรา รับทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้หรือ? รับพร้อมกันไม่ได้ เพราะท่านที่ตั้งใจถือศีลอุโบสถ เขาตั้งใจถือแค่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่งเท่านั้น ส่วนพวกเราที่บวชเนกขัมมะถวายในหลวง ๓ วัน ทำให้ต้องแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน กลายเป็นว่ารับศีล ๘ เหมือนกัน แต่การยึดถือไม่เหมือนกัน" ถาม : อานิสงส์มีความต่างกันไหมครับ ? ตอบ : ทำมากก็ได้มาก |
สมัยเป็นฆราวาส ก่อนที่จะถือศีล ๘ อย่างจริงจัง อาตมาจะรักษาศีล ๘ ถวายในหลวงช่วงวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นระยะเวลา ๓ วัน เพิ่งจะมาถือศีล ๘ อย่างเป็นหลักเป็นฐานก่อนบวชแค่ประมาณ ๒ ปีเท่านั้น เป็นการลดความอ้วนได้เด็ดขาด แค่ ๑ เดือนเท่านั้น น้ำหนักอาตมาหายไป ๙ กิโลครึ่ง ไม่น่าเชื่อจากน้ำหนัก ๖๓.๕ กิโลกรัม เหลือแค่ ๕๔ กิโลกรัม หลังจากบวชแล้วผ่านไป ๒๐ ปี ได้น้ำหนักคืนมา ๒ กิโลกรัม..!
ในเรื่องฉันอาหารในยามวิกาล สำหรับพระแล้ว ถ้าหลังปฐมยาม (หลัง ๓ ทุ่มไปแล้ว) นอกจากน้ำเปล่ากับไม้สีฟันแล้ว สิ่งอื่นห้ามล่วงทวารปากเข้าไป บาลีใช้คำว่า "มุขะ ทวารัง" ก็คือ ห้ามผ่านปากเข้าไป ถ้าเข้าไปปรับอาบัติว่าฉันอาหารในยามวิกาล ถือว่าศีลขาด ต้องรอจนกว่าจะได้อรุณ รอแสงเงินแสงทอง แต่จริง ๆ แล้วควรเป็น "แสงทองแสงเงิน" เพราะฟ้าจะเหลืองขึ้นมาก่อน (สีทอง) หลังจากที่ฟ้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว นั่นแหละคือแสงเงิน เพราะฉะนั้น..แสงทองจะมาก่อนแสงเงิน ถ้าแสงเงินมา แปลว่าสว่างแล้ว ที่โบราณบอกว่า แบมือออกเห็นลายมือตนเองแล้ว หรือไม่ก็ มองยอดไม้แล้วสามารถที่จะแยกแยะใบอ่อนใบแก่ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงถือว่าได้อรุณ เริ่มเป็นวันใหม่ จึงเริ่มฉันอาหารได้ |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มีเทวดามากล่าวบทคาถาต่าง ๆ เหมือนกับเป็นโคลงเป็นกลอน ถ้าบทไหนถูกต้อง พระพุทธเจ้าก็จะประทานสาธุการให้ ถ้าบทไหนที่ยังไม่ตรงกับความจริง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสแก้ไข
มีเทวดาท่านหนึ่ง กล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "ผู้มีบุตรย่อมปลื้มใจเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมปลื้มใจเพราะโค" พระพุทธเจ้าไม่ได้ค้านแม้แต่คำเดียว แต่พระองค์ท่านเปลี่ยนใหม่ว่า "ผู้มีบุตรย่อมได้รับความทุกข์เพราะบุตร ผู้มีโคย่อมได้รับความทุกข์เพราะโค" ถาม : ทำไมถึงบอกว่าการมีบุตรเป็นทุกข์ ในขณะที่พ่อแม่เขาเห็นลูก เขาก็มีความชื่นใจ เขาจะทุกข์ได้อย่างไร ? ตอบ : ชื่นใจมากเลย แต่ไม่เหนื่อยเพราะเลี้ยงลูกใช่ไหม ? ต้องอดตาหลับขับตานอนเลี้ยงดู เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคอยเฝ้ารักษา มีฝรั่งคนหนึ่งเขาบอกว่า ใครก็ตามที่คิดจะแต่งงานให้เตรียมตัวดังนี้ ข้อแรก ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ตื่นขึ้นมาแล้วเอาหมอนไปชุบน้ำให้เปียก ๆ อุ้มหมอนใบนั้นเดินไปเดินมาสัก ๒ ชั่วโมง ถ้าทำอย่างนี้ทุกคืน ๆ ต่อเนื่องได้เป็นเดือน ก็แปลว่าพอที่จะแต่งงานได้ ข้อที่สอง เอาแตงโมลูกหนึ่งแขวนไว้บนเพดาน เอาช้อนคว้านแตงโมนั้นให้เป็นรูเท่ากับช้อนพอดี จับแตงโมใบนั้นแกว่ง แล้วพยายามตักข้าวยัดเข้าไปในรูแตงโมให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ คุณก็สามารถที่จะแต่งงานได้ ข้อที่สาม ให้เดินเข้าไปในคลีนิก ควักเงินสดและบัตรเครดิตทั้งหมดยื่นให้หมอ แล้วบอกว่า "เอาไปทั้งหมดเลย รักษาลูกผมให้หายก็แล้วกัน" ถ้าสามารถพูดแบบนี้ได้ ก็สามารถที่จะแต่งงานได้ ข้อที่สี่ ให้เข้าไปในรถ เอาไอศกรีมยัดเข้าไปในช่องซีดี เอาถั่วสาดไปทั่วรถ เอาน้ำหวานเทราดลงไปบนเบาะหลัง ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ก็สามารถที่จะแต่งงานได้ ฯลฯ เขาบอกมาแต่ละข้อ ฟังแล้วเห็นภาพพจน์เลย แค่อุ้มหมอนเปียก ๆ เดินคืนละ ๒ ชั่วโมง ก็แย่แล้ว เวลาที่เด็กฉี่รดแล้วแหกปากร้อง พ่อแม่จะทำอย่างไรให้เด็กเงียบ ก็ต้องอุ้มเดินไปเดินมาให้เงียบ ถึงจะได้นอน อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะขู่ใครนะ ฝรั่งเขาว่าไว้อย่างนี้ อาตมาจึงเอามาเล่าต่อ แถมยังเล่าไม่ครบทุกข้อด้วย..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:53 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.