![]() |
ถาม : ช่วงนี้เวลาทำกรรมฐาน ทำไมอยากกลับไปที่บ้านเก่า ?
ตอบ : อยากกลับก็กลับสิ ใครจะไปว่าอะไร ไปวนดูซะให้สะใจ อย่าลืมว่าเราไปตอนนั้นจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว ในเมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว เราก็ไปสำรวจให้ทุกซอกทุกมุม เพราะสภาพจิตของเราอาจจะมีความผูกพันอยู่กับสถานที่ จึงต้องการจะไป แต่บางทีก็ไม่แน่เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาตั้งใจจะไปกราบพระ แต่พอออกจากร่างแล้วไปตกอยู่ที่หน้าบ้านของใครก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังว่าครอบครัวนั้นเป็นกระสือ จึงไปสอบถาม ไปพูดคุย รับรู้รายละเอียดของเขามา หลังจากนั้นประมาณสองวันก็มีคนมาถามเรื่องนี้ จึงพูดคุยกับเขาได้ ฉะนั้น..บางอย่างอาจจะมีเหตุ ต้องรอจนเกิดแล้วเราถึงจะรู้ว่าเพราะอะไร เราไปลักษณะอย่างนั้นไม่ขาดทุนหรอก อย่างน้อยเราก็ทรงสมาธิอยู่ กิเลสกินไม่ได้ เราก็แค่ไปเที่ยวบ้านเก่าของเรา |
ถาม : ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขา แต่เราไม่อยากไปยุ่งกับเขา ?
ตอบ : ให้ตั้งใจอโหสิกรรมให้กับทุกคน ถาม : ก็คือ อโหสิกรรมให้ฝั่งเราด้วย ฝั่งเขาด้วย ? ตอบ : อโหสิกรรมเฉพาะฝั่งเรา เพราะเขาคงไม่รับรู้ด้วย แต่นี่เป็นการปลดตัวเราออกจากสิ่งนั้นมา เวรกรรมจะไม่สามารถเบียดเบียนเราในชาติต่อ ๆ ไปได้ ส่วนเขาจะจองเวรหรือให้อภัยก็แล้วแต่เขา |
ถาม : สอนให้ลูกภาวนาพุทโธ บอกเขาว่าถ้าจำภาพได้ก็ให้จำไปด้วย ทีนี้ลูกเขาฟังแล้วเข้าใจผิด จำแต่ภาพพระอย่างเดียวค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้ได้สักอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ ถาม : หนูจึงไปเปลี่ยนเขาให้ภาวนาแทน ภาพพระเอาไว้ทีหลัง ตอบ : อย่าลืมว่าภาพพระจำได้ยากกว่า ถาม : หนูนึกว่าคำภาวนาสำคัญกว่า ตอบ : จริง ๆ จะสำคัญก็ต่อเมื่อรู้จักเรื่องของสมาธิอย่างแท้จริง คำภาวนาเป็นเครื่องโยงจิตใจให้เป็นสมาธิที่แน่นขึ้นไป ระหว่างการจำภาพพระกับการจับลมหายใจ การจับภาพพระจะยากกว่ามาก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้หญิงพออายุมากแล้วจะขาดความมั่นใจในตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแล ก็เลยมีจำนวนมากกระโดดลงเหวไปอย่างเต็มใจ เพราะอยากได้คนดูแล ท้ายสุดก็ซวยหนักเข้าไปอีก เพราะต้องไปดูแลเขา
ฉะนั้น..ความรู้สึกที่กลัวว่าจะไม่มีคนดูแลนี่เลิกคิดไปเลย แต่ถ้าคิดว่า เดี๋ยวไม่มีใครเอาไว้ข่มเหงรังแกก็ว่าไปอย่าง ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็พยายามหามาสักคน จะได้ข่มเหงรังแกได้..! จากที่กล่าวมา เรื่องสำคัญก็คือ กำลังใจยังไม่มั่นคง ก็เลยต้องการที่พึ่ง เราจึงต้องเร่งกำลังใจให้มั่นคง ถึงเวลาแล้วเราจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร และจะได้ไม่ต้องไปกระโดดลงเหว" |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอ่านเจอศีลข้อหนึ่ง ในโภชนปฏิสังยุต ของเสขิยวัตร ข้อที่ว่า ภิกษุห้ามฉันเลียบาตร
อาตมาก็สงสัยว่าบาตรจะเลียได้อย่างไร จะมุดเข้าไปในบาตรได้อย่างไร พอไปเจอบาตรพม่าจึงรู้ เพราะบาตรพม่าตื้นนิดเดียว ลักษณะเหมือนกับชามตื้น ๆ จึงได้เลียได้" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องเสียงดังให้ฟังว่า "ท่านโฆสกเทพบุตร เสียงปกติเวลาท่านพูด ได้ยินไปถึง ๑ โยชน์ แต่ถ้าท่านพูดเต็มเสียงได้ยินไปทั่วดาวดึงส์
พวกเรามีใครบ้างไหมที่เสียงดังระดับนี้ ? สมัยก่อนมีพระครูมะลิ วัดเทพศิรินทร์ ท่านขึ้นนะโมเสียงดังจนเด็กร้องไห้ เวลาค่ำตอนสวดศพ พระครูมะลิสวดคนเดียวโดยไม่ต้องใช้ไมค์ได้ยินไปถึง ๓ - ๔ ศาลา เพื่อน ๆ ต้องใช้ไมค์ช่วย แต่พระครูมะลิไม่ต้องใช้ หุ่นของท่านล่ำสันสูงใหญ่ สงสัยชาติก่อนคงจะถวายระฆังเอาไว้เยอะ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็เคยขึ้นนะโมแล้วเด็กตกใจจนร้องไห้ ตอนนั้นหลวงปู่เสียงดังมาก หลวงปู่ปานมาบอกทีหลังว่า วันนั้นไม่ค่อยมีแรง ท้าวมหาราชท่านก็เลยช่วย เรื่องเสียงดังของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็เคยเจอกับตัวเอง ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชใหม่ ๆ ยังไม่ได้พรรษา มีหน้าที่ขึ้นไปช่วยงานบนศาลานวราชบพิตรเพื่อจำหน่ายวัตถุมงคล วันนั้นพอหลวงพ่อลงรับสังฆทาน มีรถทัวร์เข้ามา ๔ คัน ได้คุยกับโยมทีหลังว่าเขามาจากสัมพันธวงศ์ พวกเราก็รู้ว่าสัมพันธวงศ์เป็นดงของคนจีน เวลาคนจีนคุยกันเหมือนกับคนทะเลาะกัน แล้วคนจีนจำนวน ๔ คันรถทัวร์ เบียดกันขึ้นไปบนศาลานวราชบพิตร เวลาคุยกันเสียงจะดังแค่ไหน ?" |
"หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว และมีโยมประมาณ ๕ - ๖ คน ถามปัญหาธรรมะอยู่ตรงหน้า บรรดาอาซ้อ อาซิ้ม อาเจ็ก ขึ้นมาก็ส่งเสียงเกรียวกราว
หลวงพ่อท่านเตือนว่า "โยมเบา ๆ หน่อย ข้างหน้าเขาคุยธรรมะกันอยู่" ปรากฏว่าไม่มีเบาแม้แต่นิดเดียว แถมยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้างหลังประดังกันเข้ามาอีก พออีกสักพักหนึ่ง ท่านก็เตือนอีก "โยมเบา ๆ หน่อย คุยกลบเสียงธรรมะอันตรายนะ" ก็ยังคงเหมือนเดิม มีแต่ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเขาบูชาวัตถุมงคลกัน "โคตรแม่มึง..ถ้าจะคุยกันก็กลับไปคุยที่บ้านโน่น..!" เสียงท่านดังชนิดกระเบื้องหลังคากระพือ ทั้งหมดเงียบสนิทชนิดเข็มตกยังได้ยิน พอตั้งสติได้ คนแรกก็ย่องลงบันได คนที่สองสามสี่ก็ตามกันไปจนหมด สี่คันรถไม่เหลือเลย หลวงพ่อท่านมาบอกทีหลังว่า "จำเป็นต้องดุ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นโทษจะเกิดแก่เขามาก ประเภทนี้มาวัดก็ไม่รู้บุญบาปคุณโทษว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าให้มาได้อีกเลยเป็นดี" เพิ่งจะรู้ว่าเสียงคนดังได้ขนาดนี้ คงจะลักษณะเดียวกันกับท่านท้าวมหาราชท่านช่วย หลวงปู่ปานท่านทำได้ หลวงพ่อท่านทำได้ ถือว่าปกติ แต่พระครูมะลิไม่ต้องมีใครช่วย ท่านก็เสียงดังได้ มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เคยเจอหลวงพ่อท่านส่งเสียงทางลมปราณ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือกำลังภายในจะรู้ เป็นเสียงประเภทที่ได้ยินเฉพาะคนที่ตั้งใจให้ได้ยิน..!" |
"อาตมานั้นสวดมนต์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นนาค พอบวชแล้วเขาจึงให้ออกกิจนิมนต์ ตอนนั้นไปชัยนาท พอโยมเขาถวายปัจจัยไทยธรรมมา อาตมาก็มักจะเอาไปถวายหลวงพ่อ
พอสวดมนต์ฉันเพลเสร็จ อาตมากลับมาถึงวัด ได้เวลาหลวงพ่อรับแขก อาตมาจึงหิ้วถังสังฆทานขึ้นไปบนศาลา ญาติโยมนั่งอยู่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน ตอนที่อาตมาเดินเข้าไป ญาติโยมเขาก็หลีกทางให้ เพราะเราประเภทเดินไปไม่เกรงใจใครเลย เดินไปถึงตรงหน้าหลวงพ่อ คุกเข่าลง ยกถังสังฆทานพร้อมกับซองปัจจัยถวายท่าน เพื่อน ๆ น้อง ๆ ข้างหลังก็ตามมาอีกหลายรูป หลวงพ่อหยิบแก้วน้ำขึ้นมา คนอื่นเห็นหลวงพ่อยกแก้วน้ำอยู่ แต่เราได้ยินเสียงหลวงพ่อลอดใต้แก้วมาว่า "โคตรแม่มึง..เดินดูชาวบ้านเขาบ้าง จะเหยียบเขาคอหักตายอยู่แล้ว..!" เสียงเหมือนฟ้าผ่า แต่อาตมาได้ยินอยู่คนเดียว..! พอลงมาจากศาลา ท่านประสิทธิ์ที่เป็นรุ่นน้องเดินตามหลังมาติด ๆ ถามว่า "หลวงพ่ออวยพรอะไรให้พี่คนเดียว ไม่เห็นให้ผมบ้างเลย" เพิ่งจะรู้ว่าเสียงที่เราได้ยินอย่างกับฟ้าผ่า เราได้ยินเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ได้ยิน ตกกลางคืนก็ไปเล่าเรื่องนี้กันในห้องฉันน้ำปานะ หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "กูเห็นท่ามึงเดินขึ้นไป กูก็รู้แล้วว่ามึงโดนแน่เลย กูแปลกใจว่ามึงรอดมาได้อย่างไร ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ได้รอด ผมโดนเต็ม ๆ เลย แต่ผมได้ยินคนเดียว" ฉะนั้น..เรื่องนี้ยังไม่เห็นคนอื่นทำได้ แต่หลวงพ่อทำได้แน่" |
1 Attachment(s)
มีโยมนำพระพุทธรูปปางประสูติมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงถามโยมว่า "เราเรียกว่าพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ? ตอนประสูติ เจ้าชายชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน พร้อมกับประกาศว่า อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เลิศที่สุดในโลก อะหัง เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก อะหัง เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ทันทีที่เกิดมามีใครกล้าประกาศอย่างนี้บ้างไหม ? เราเรียกรูปนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าจะมาเมื่อท่านพระชนมายุ ๓๕ พรรษา แต่ที่เราเห็นรูป เรานึกถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้นึกถึงความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะฉะนั้น..เรียกว่าพระพุทธเจ้าได้ ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ให้เขาทำภาพพระพุทธเจ้าปางประสูติ และติดเอาไว้ในงานสาธยายพระไตรปิฎก พอโยมเขาเห็น เขาถามว่า "กุมารทองวัดไหน ?" เห็นพระพุทธเจ้าเป็นกุมารทองไปได้..!" |
"กุมารทองในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม แต่ท่านไม่ได้เรียกกุมารทอง ท่านเรียกว่า ตุ๊กตาทอง
บางคนเอาวัตถุอาถรรพ์ อย่างขี้เถ้ากระดูกผี ๗ ป่าช้า มาปั้นเป็นรูปเด็กแล้วให้หลวงปู่ท่านเสก แล้วเขาเกิดสงสัยทีหลังว่าจะมีโทษหรือเปล่า ? หลวงปู่ท่านยืนยันว่า "ข้าอุทิศส่วนกุศลให้ จนเป็นเทวดาไปหมดแล้ว" เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นกุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม มั่นใจได้ว่าไม่มีโทษแน่ มีแต่ก่อประโยชน์ให้อย่างเดียว แต่ถ้าเป็นกุมารทองของเณรแอก็ต้องคิดกันหน่อย" |
ถาม : ปฏิบัติสมาธิแล้วเกิดการชา เหมือนเป็นจุด ๆ ตรงกลางหน้าผาก บางทีก็ไหลมาอยู่ตรงจมูก ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นเป็นกายของเรา พิจารณาไปว่ามันเป็นกาย ถ้ามีอาการเจ็บปวด ก็ตามดูเวทนา ดูที่จิตเหมือนกับว่ามีแสงเหมือนสามเหลี่ยมตรงตัวผม พอจะรีบออกจากสมาธิ มันออกไม่ได้ มันมึนครับ อีกข้อ ที่ปรารถนาอยู่ ถ้ายังโลเลอยู่ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าบารมียังไม่เข้มข้นพอ ตกลงทั้งหมดที่ว่ามามีคำถามนี้คำถามเดียว นอกนั้นเป็นคำบอกเล่าเฉย ๆ ไม่ถามก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาอยากจะบอก ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เขาไม่ให้ใส่ใจ เพราะถ้าใส่ใจสมาธิจะไม่ก้าวหน้า ต้องตัดสินใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ตามที ถึงจะตายลงไปตอนนั้นก็ตาม เรากำลังทำความดีอยู่ เราต้องไปดีแน่ ถ้าตัดใจได้ขณะนั้น ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี พอเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ ภาพและแสงสีต่าง ๆ ก็จะปรากฏ ถ้าเราไปให้ความสนใจ ความก้าวหน้าในสมาธิก็จะไม่มี จะติดอยู่แค่นั้น ถ้าเราไม่สนใจ ภาพนั้นจะยิ่งชัด เหมือนกับตั้งใจจะก่อกวนเรา เราจึงจำเป็นที่จะต้องสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ส่วนข้อสุดท้ายมีใครบอกไหมว่า คุณพูดเร็วฉิบหายเลย..! ถาม : ใช่ครับ มีคนบอก ตอบ : ระวังเอาไว้บ้าง คนแก่เขาจะฟังไม่ทัน |
ถาม : หลังจากนั่งสมาธิ ถ้าเห็นเหมือนแสงเล็ก ๆ ตรงพระพุทธรูป ก็อย่าไปสนใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้กำลังใจทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีลมหายใจอยู่..กำหนดรู้ลม ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่..กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาหายไป หรือลมหายใจหายไปด้วย เรากำหนดรู้อย่างเดียว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าอยากเลิกเป็นอย่างนั้น มีหน้าที่กำหนดรู้ไปเท่านั้นเอง ถ้าหากเราไปดิ้นรนอยากให้เป็นอย่างอื่น หรืออยากให้หายจากอาการอย่างนั้น สมาธิจะถอยออกมา แล้วพอถึงสมาธิระดับนั้นก็จะเป็นอีก ทำให้เราไม่ก้าวหน้า ติดอยู่แค่นั้น |
ถาม : ถ้าเวลาอธิษฐาน มีสิ่งเข้ามาแทรกแล้วเราตามรู้ไป ควรตั้งจิตอธิษฐานใหม่ แผ่เมตตาใหม่ หรือควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่างมัน เราทำกุศลอยู่ อกุศลก็พยายามขัดขวาง จิตของเราตั้งอยู่ในเรื่องไหนให้ตั้งในเรื่องนั้นต่อไป อย่างเช่น อธิษฐานปรารถนาโพธิญาณ อธิษฐานปรารถนานิพพานชาตินี้ หรือเกิดเมื่อไรขอให้รวยก็ว่าไป แล้วความตั้งใจของเราจะมีผลตามนั้น แต่ถ้าหากจิตมั่นคง เหลืออยู่อารมณ์เดียว คำอธิษฐานนั้นจะได้ผลเร็วขึ้น เวลาที่อกุศลกรรมแทรก ไม่ได้หมายความว่าคำอธิษฐานจะไม่มีผล แต่ว่ามีช้าหน่อย ถ้าจิตใจมีคุณภาพ สมาธิทรงตัวตั้งมั่น ไม่เคลื่อนไปไหน คำอธิษฐานจะมีผลเร็วขึ้น โดยเฉพาะเร็วขึ้นอีกหลายชาติ..! |
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกับพระพุทธเจ้าทุกประการ เพียงแต่สร้างบารมีมาน้อยกว่า ขาดแต่สัพพัญญุตญาณเท่านั้น นอกนั้นสามารถรู้เท่าพระพุทธเจ้า เหตุที่ท่านขาดสัพพัญญุตญาณ เพราะท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา สมมติว่าวัดอาตมามีรถโฟร์วีลอยู่หนึ่งคัน อีกวัดหนึ่งไม่มี เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าป่าเข้าดง ก็ลักษณะเดียวกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่จำเป็นต้องมีสัพพัญญุตญาณเพราะท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา |
ถาม : น้องสาวของหนู ชอบนั่งสมาธิแล้วเขาจะเห็นเป็นวิญญาณ เห็นอยู่เรื่อย ๆ จนเขาไม่กล้านั่ง ไม่คิดจะนั่งต่อ
ตอบ : บอกเขาว่าทำต่อไป เริ่มดีแล้ว การที่เรารู้เห็นท่านทั้งหลายเหล่านั้น ให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำในครั้งนี้หรือบุญจากกรรมฐาน ขอให้วิญญาณ ผี หรืออะไรที่เราเห็น ให้โมทนาบุญเราด้วย เราได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แล้วเขาก็จะไปเองจ้ะ ส่วนใหญ่เขามาเพราะลำบาก เขาต้องการการช่วยเหลือ ถาม : แล้วอีกอย่างที่เขาไม่กล้านั่ง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขายืดขยาย หายใจไม่ค่อยออก ตอบ : เป็นอาการของปีติ ในส่วนของผรณาปีติ ไม่มีอะไรน่ากลัว เราอาจจะสงสัยว่าปีติเป็นเรื่องดี แต่ทำไมจึงมีอาการแปลก ๆ โบราณเขาเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับพ่อแม่ ทิ้งลูกให้อยู่บ้าน ส่วนตัวเองไปตลาด ไปไร่ไปนาทั้งวัน พอกลับมาตอนเย็น เด็กก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ เห็นพ่อแม่กลับมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้น บางคนก็ร้องไห้ดีใจ นั่นคือปีติ การปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตที่เริ่มเข้าถึงความสงบ สิ่งที่ในอดีตเราเคยคุ้นเคยมาก่อน เมื่อเข้าถึงจุดนั้น อาการปีติก็เลยเกิดขึ้น แต่คนเราไม่เข้าใจว่าปีติมีหลายอย่าง หลายรูปแบบด้วยกัน ต่อไปจะมีอาการมากกว่านั้นอีก ฉะนั้น..แรก ๆ ปล่อยให้เป็นไปเต็มที่ ไม่ต้องไปกลัว ถ้าขึ้นเต็มทีแล้วก็จะเลิกไปเอง ถาม : เขาบอกว่าหายใจไม่ออก สมควรจะหยุดหรือนั่งต่อ ? ตอบ : ปล่อยต่อไป ให้ตัดสินใจว่าเรากำลังทำความดีอยู่ ถึงตายไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะอย่างไรเราไปดีแน่นอน ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็ก้าวข้ามไปเลย ถ้าตัดใจไม่ได้ ทำเมื่อไรก็จะติดอยู่แค่นั้นแหละ บอกว่าสู้ต่อไปไอ้มดแดง..! |
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "รู้ไหมว่านั่งอยู่ตรงนี้ นั่งด้วยความหวัง ความหวังอันสูงสุดว่าจะมีใครถามปัญหาการปฏิบัติที่ไม่ใช่ระดับพื้น ๆ แบบนี้บ้าง เดี๋ยวจะเหมือนกับครูจบปริญญามา อยากให้ความรู้แก่เด็กมากเลย แต่กี่ครั้ง ๆ ก็ถามแค่ไม่เกิน ป.๕ หรือ ป.๖..!"
|
ถาม : ถ้าตอนที่อารมณ์เราดีสุด ๆ เหมือนกับว่า กำลังทำความดี แล้วฟูมาก ๆ เราควรจะเอาอารมณ์ตอนนั้นไปทำอะไร ?
ตอบ : ตอนนั้นให้ระมัดระวังตัวให้สุดขีดเลยว่า มารจะแทรกได้ เพราะตอนที่เราฟูมาก ๆ จริง ๆ แล้วสมาธิเราตก ขึ้นไม่ถึงฌาน ปีติจึงเกิดได้ เท่ากับเปิดโอกาสให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าได้มาก โดยเฉพาะการยินดีในอารมณ์นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของราคะอยู่แล้ว ช่วงนั้นมารจะแทรกได้ง่าย ถ้าเผลอเมื่อไรก็โดนจูงผิดทาง อย่างเช่นปีติมาก ๆ อาจจะทำบุญจนหมดตัว แล้วทำให้ครอบครัวเดือดร้อน หรือไม่ก็ปีติมาก ๆ ภาวนาไม่เลิก จนร่างกายทนไม่ไหว สติแตกไปอีก..! ต้องระวังตัวสุดขีด..ไม่ใช่อารมณ์ฟูแล้วจะเอาไปทำอะไร แต่ต้องระวังสุดชีวิตเลย ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจะทำอะไรต้องใช้สติสัมปชัญญะให้รอบคอบ พิจารณาแล้วว่าตนเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อนถึงทำ หรือปฏิบัติธรรมไปแล้วก็ให้ตั้งเวลาไปเลย ว่าไม่เกิน ๑ ชั่วโมงเราจะพัก ไม่เกิน ๓ ชั่วโมงเราจะพัก ถ้าหากไม่มีอย่างนั้นแล้ว เดี๋ยวทำข้ามวันข้ามคืนไม่เลิก เพราะใจกำลังฟูอยู่ จะไม่รู้สึกเหนื่อยหรอก แต่ร่างกายจะอ่อนล้าสะสมไปเรื่อย พอถึงระดับที่ร่างกายทนไม่ได้ก็จะพัง..! แต่สำหรับพวกเราคงไม่ต้องเตือนข้อนี้หรอก ขี้เกียจอยู่แล้วนี่..! |
ถาม : แล้วการทรงฌานสี่ทั้งวัน ไม่ตึงเกินไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากทำได้คล่องตัวจริง ๆ จะไม่เป็นไร ยกเว้นคนฝึกใหม่ ๆ จะรู้สึกตึงและเครียด เพราะสภาพจิตที่เคยดิ้นรน โดนกดนิ่งสนิทไป จึงควรซ้อมการเข้า-ออก ขึ้น-ลงฌานต่าง ๆ ให้คล่องไว้ พอคล่องชนิดที่จะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็จะเกิดความเบาขึ้น พอคล่องตัวมากจริง ๆ ต้องการเมื่อไรก็จะมา ต้องการเมื่อไรก็จะเปลี่ยนระดับฌานได้ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นของเบา ไม่ใช่ของหนัก คราวนี้ก็จะไม่ตึง ไม่เครียดแล้ว สามารถทรงได้เป็นเดือน เป็นปี สมัยอาตมาฝึกใหม่ ๆ ก็ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่กับฌาน จนกระทั่งสามารถทรงได้เป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือนต่อเนื่อง คิดว่าเราแน่...ที่ไหนได้..พลาดทีเดียว หายจ้อยไปเลย..! |
ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาหนูพยายามจะทรงฌานสี่ให้ได้ตลอดเวลา แต่พอไปนาน ๆ เรื่อย ๆ ก็เริ่มหนัก พอเริ่มหนักหนูก็ถอยให้เบาลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนักอยู่ดี ก็ถอยให้เบาลงอีก ก็ยังหนักอยู่ดี จนกระทั่งสุดท้ายหนูเลยตัดสินใจว่า ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่เอาแม้กระทั่งอารมณ์ในการปฏิบัติ คราวนี้ปรากฏว่าเบา โล่ง พอเราได้อารมณ์ที่เบาโล่งของเรา เราก็ล็อกตรงนั้นไว้ให้อยู่ลักษณะนั้นตลอด พอหนูคิดว่าอยากจะให้อารมณ์มากกว่านี้ ก็กลายเป็นเครียด หนักไป ก็เลยให้เหลืออารมณ์แค่นี้ หนูควรจะรักษาอารมณ์ลักษณะอย่างนี้ไปตลอดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้ารักษาไปตลอด โอกาสจะพลาดก็มี เพราะว่ายังเบาไป ต้องมีเวลาเฉพาะของเราสักเช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง ที่ตั้งอารมณ์สมาธิให้ทรงฌานเต็มที่ก่อน แล้วค่อยถอยออกมา ถาม : แต่ในขณะที่เห็นว่าเบาลง เราก็เห็นว่าแม้กระทั่งอารมณ์การละ เมื่อก่อนเราจะแต่ละที เราจะต้องรวบรวมกำลังใจในลักษณะที่สูงมาก แต่ตอนนี้คือ ละก็เหมือนไม่ได้ละ จะเบาลง ตอบ : ขอให้ปล่อยได้เท่านั้น จะหนักหรือเบาช่างมัน เคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าทำถูกแล้วจะเบา ถ้าหากยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกจริง ค่อยยังชั่วหน่อย มีคำถามเลย ป.๗ ไปบ้าง..! |
ถาม : เวลาอ่านหนังสือที่หลวงพ่อสอน ท่านบอกให้ทรงอารมณ์แล้วก็ไล่ฌานสี่ ไล่พรหมวิหาร อ่านไปก็นึกตามไป รู้สึกตามไป สุดท้ายก็ไปจับอารมณ์พระนิพพาน อันนี้เป็นกำลังของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง หรือว่าทรงอารมณ์ได้ตามที่หลวงพ่อสอนจริง ?
ตอบ : ตอนนั้นอย่างน้อยจิตของเราไม่มีกิเลส ในเมื่อไม่มีกิเลส การที่เราจะไล่ตามอารมณ์ โดยเฉพาะในอารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าที่หลวงพ่อท่านสอน สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย แต่สำคัญตรงที่ว่า เราเข้าถึงแล้ว เราทรงอยู่ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้เราก็ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง และหมั่นทำบ่อย ๆ หมั่นย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นความเคยชินเฉพาะตัวว่า ทำเมื่อไรต้องให้ได้อารมณ์นี้เลย ถาม : ไม่ต้องไล่ตามขั้นแล้ว ตอบ : ไม่ต้อง แรก ๆ ก็เหมือนตีอวนเอาปลาทั้งทะเล ต่อไปพอเรารู้ว่าปลาตัวไหนดีที่สุด เราก็คว้าเอาปลาตัวนั้นตัวเดียว แรก ๆ จะทำเยอะ แต่พอซักซ้อมจนคล่องตัวแล้วก็จะเหลือเพียงนิดเดียว ถาม : อย่างนี้ถ้าเราตั้งอารมณ์เข้านิพพานอย่างเดียวก็จบเลยสิ ? ตอบ : ถ้าทำได้จริง ๆ ก็จบ ระยะหลัง ๆ อาตมายังขี้เกียจไปกราบท่านปู่ท่านย่าเลย พอไปถึงนิพพานแล้วก็เชิญท่านขึ้นมากราบ ตอนที่ยังไม่หายคัน ก็จะแวะนั่นแวะนี่ เที่ยวไปเรื่อย พอนาน ๆ เข้าก็จะเริ่มเบื่อ เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่เล่นซนอย่างเด็กแล้ว จะเหลือแค่ไม่กี่จุดที่เราจะไป ถาม : แต่ก็ไม่เคยเห็นชัดจริง ๆ เลย อารมณ์พระนิพพานก็ไม่เห็นชัด ตอบ : ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าพระสุกขวิปัสสโกท่านไม่ได้เห็นอะไร แต่ขณะเดียวกันทำไมท่านถึงได้มั่นใจ ก็เพราะท่านเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ |
ถาม : เวลาที่เรานั่งสมาธิได้ดี ๆ มีโอกาสไหมครับที่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่มาริดรอนเรา ?
ตอบ : มีเหมือนกัน หมายความว่า ช่วงนั้นกุศลที่เราเคยสร้างมาต้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถ้ากุศลขาดช่วงเมื่อไร ดีแค่ไหนเขาก็แทรกเข้ามาได้ อย่างพวกเราก็ไม่ค่อยจะต่อเนื่องหรอก ส่วนใหญ่ขาด ๆ เกิน ๆ อาตมาจึงได้บ่นกับพระที่วัดว่า เกิดใหม่ผมจะเลิกทำบุญเลย ถามว่าทำไม ? โยมเขาให้อะไรมาเยอะจนน่ารำคาญ บางวันเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร ๗-๘ ราย ไม่รู้จะฉันลงไปอย่างไร ที่แสบที่สุดก็คือ เวลาให้เงินแล้วเณรวิ่งไปซื้อขนมกิน ทั้ง ๆ ที่ขนมมีจนท่วมวัด แต่กลับไปซื้อขนมในตลาด ขนมที่เขาถวายเต็มไปหมดเณรไม่กินหรอก เพราะไม่ตรงกับกิเลสของเขา ที่อาตมาบอกว่าเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ ก็คงเป็นแค่คำพูดเท่านั้นแหละ ถึงเวลาจริง ๆ คงทำไม่ได้หรอก เพราะทำจนเป็นสันดานไปแล้ว เป็นความเคยชินที่สืบเนื่องมานับชาติไม่ถ้วน ถึงเวลาก็ยังคงเป็นไปตามสภาพนั้น |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนช่วงนั้นอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า ที่เกาะพระฤๅษีมีเณรไปอบรม ๘๗ รูป เขาไม่รู้จะติดต่อกับอาตมาอย่างไร เพราะตอนนั้นอาตมาอยู่ในห้วยขาแข้ง เขาเลยใช้วิธีจุดธูปเรียก..!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศเลยว่า "ใครจุดธูปเรียกกู มันจะต้องเป็นคนไปหาเอง..!" ลองดูได้ อยู่สุดเหนือสุดใต้ยิ่งดี แน่จริงจุดเลย จุดเมื่อไร มึงต้องเดินมาหาตูในป่าเอง..!" ถาม : เขาจุดธูป แล้วท่านได้ยินได้อย่างไร ? ตอบ : ไม่ได้ยิน น่าจะได้กลิ่นมากกว่า (หัวเราะ) คนที่จุดธูปเรียก ชื่ออาจารย์เบ็ญจา มีลูกสาวชื่อเบญจพร ที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ป้าเม้าท์ |
เวลาอาตมาธุดงค์อยู่ในป่าจะมีความสุขมาก จึงสงสัยว่าเกิดจากอะไร ? ประการแรก เป็นเพราะความรู้สึกที่เป็นอิสระหลุดพ้นจากภาระ แค่ภาระทางโลกบางส่วนที่เรารับผิดชอบอยู่ พอเราปล่อยวางลงแค่ชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนั้น แล้วภาระใหญ่คือร่างกาย ถ้าเราวางลงได้จะมีความสุขขนาดไหน ?
ประการที่สอง บรรดาสัตว์ที่อยู่ในป่า เขาคิดอย่างไรเขาก็ทำเช่นนั้น ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนกับคน เวลาพระท่านเลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาถามท่านว่า "คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า เวลาคุณให้การสงเคราะห์สัตว์ด้วยเมตตา ทำไมจิตใจจึงสบายกว่าการที่คุณสงเคราะห์คน ?" ได้บอกกับพระท่านไปว่า "การสงเคราะห์สัตว์ คุณรู้อยู่ว่าเขาตอบแทนอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เลยให้การสงเคราะห์โดยไม่มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ แต่การสงเคราะห์คน ความรู้สึกที่ว่าคนรู้ภาษา ต่อให้เขาไม่ตอบแทนอะไร อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาชมเราว่าดีสักนิดก็ยังดี เลยเป็นการสงเคราะห์ที่คับแคบกว่า ไม่เป็นอัปปมัญญา เพราะว่ายังหวังผลตอบแทนอยู่โดยไม่รู้ตัว" ดังนั้น..จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมการสงเคราะห์สัตว์จึงสบายใจกว่าการสงเคราะห์คน ตอนอยู่ในป่ากับพวกสัตว์ก็เช่นกัน พวกเขาตรงไปตรงมา คิดจะไล่ฟัดเราก็ไล่เลย ไม่มีประเภทแอบแทงข้างหลัง สบายใจกว่ากันเยอะ |
ในป่าลึก ๆ พวกสัตว์ไม่ค่อยเจอคน เขาก็เลยไม่กลัวคน บางทีไปเจอกวางเขาก็ยืนมองเฉย เขาแค่ทำหูผึ่งและยกหางตั้งขึ้นเท่านั้น ถ้ากวางยกหางแสดงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นภาษากายของเขา แต่ถ้าสัตว์ที่อยู่รอบนอก ที่เคยโดนคนล่ามา จะเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก
บางทีเราเดินคนเดียวเงียบ ๆ พวกสัตว์เขาไม่รู้ตัวก็มี ที่บึงลับแล มีลิงอยู่ฝูงหนึ่งประมาณ ๓๐ ตัว เล่นกันโครมครามเกรียวกราว และจะมีลิงที่เป็นยามอยู่ตัวหนึ่งอยู่บนก้อนหิน คอยดูว่ามีอันตรายหรือไม่ ถ้ายามตัวนี้ไม่ร้อง ทั้งกลุ่มก็จะไม่หนี แต่ว่ายามตัวนี้ดันตาถั่ว เราเดินไปจนติดหลังแล้วยังหาหมัดหาเห็บง่วนอยู่เลย แต่ก็ขำตรงที่พอเขาหันมาเห็นเรา เขาตกใจขี้เยี่ยวราด ร้องจ๊ากขึ้นมา พรึ่บเดียวเท่านั้นเอง หายเงียบไม่เหลือลิงสักตัว จึงไม่แปลกใจว่าต่อให้มียามอยู่ ทำไมเสือยังเอาลิงไปกินได้ เพราะบางขณะเขาก็เซ่อเหมือนกัน ขนาดว่าเราเดินไปติดหลังแล้วยังไม่รู้ตัวเลย |
แต่ลิงที่บึงก็น่าสงสาร พอถึงเวลาหน้าหนาวก็หนาวจริง ๆ อาตมาไปอยู่ที่นั่นแล้วก่อไฟ ลิงจะปีนไปตามโขดหินมาขอไออุ่นด้วย พอเขาโดนควันไฟก็ไอค่อกแค่กเหมือนคนไม่มีผิด แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำห้องส้วมต้องเอาย่ามไปด้วย ทิ้งอะไรเอาไว้ลิงค้นกระจายหมด
ตอนที่อยู่ที่นั่น อาตมาเลี้ยงกระแตไว้ ๔ - ๕ ตัว กระรอกกับกระแตนั้นต่างกัน กระรอกหางจะฟู ส่วนกระแตหางจะยาวเรียว พอเวลามีอาหารเหลือเราก็วาง ๆ เรียงไว้ กระแตก็จะวิ่งมาคาบไป แรก ๆ คาบได้เขาก็เผ่น พอนานไป ๆ เห็นว่าเราไม่ทำอะไร เขาก็นั่งกินอยู่ตรงนั้นเลย พวกกระรอกกระแตเวลาจะกินเขาใช้สองมือจับ แล้วก็นั่งแทะ ๆ ดูแล้วน่ารัก เหมือนคนไม่มีผิด นอกจากนี้ยังมีนก เรียกว่านกเอี้ยงถ้ำ ตัวจะลายจุด ๆ ด้วย เรานั่งกรรมฐานเขาก็คิดว่าเป็นตอไม้ มาหากินอยู่ใกล้ ๆ กระโดดซ้ายกระโดดขวาไปเรื่อย พอเลิกกรรมฐานเราลืมตา เขาก็เอียงคอมอง บางทีก็ร้องเหมือนจะถามว่า "เอ็งไม่คิดจะไปหากินอะไรบ้างเลยหรือ นั่งอยู่ได้" ในสายตาของนก เราเลยกลายเป็นขี้เกียจไปเลย ไม่ยอมทำมาหากินสักที ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะบอกว่าปัญญาเขาน้อยก็ใช่ แต่ความกังวลของเขาก็น้อยกว่าเราไปด้วย เขาไม่ห่วงว่ามื้อต่อไปจะมีกินหรือไม่ คิดแค่ปัจจุบันตอนนั้นจริง ๆ มีก็คือกิน ไม่มีก็หาต่อไป หมดวันหาไม่ได้ก็อดเอา พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ แต่คนเราจะต้องห่วง ต้องสะสม ต้องเตรียมการ ความทุกข์ของเราจึงมีมากกว่าสัตว์เยอะเลย |
เวลาอยู่ในป่า ถ้าสภาพจิตไม่ได้รับการฝึกมาดี จะเกิดอาการหลอกตัวเอง บางคนกางกลดอยู่ ช่วงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง น้ำค้างเริ่มลง หยด..แปะ..แปะ ยิ่งเวลาน้ำค้างตกใส่ใบไม้ใหญ่ ๆ ที่อยู่บนพื้น เสียงก็ยิ่งดัง เหมือนกับใครมากระโดดดึ๋ง ๆ เราก็จินตนาการว่าเป็นผีกองกอยขาเดียวกำลังกระโดดอยู่ เลยกลัวขวัญหนีดีฝ่ออยู่คนเดียว
บางทีลมภูเขาพัดมา เสียงผ้าสะบัดดัง "ปั๊บ ๆ ๆ" เหมือนกับเสียงคนเดิน นอกจากนี้มีต้นไม้บางประเภท เรียกไม่ถูกว่าต้นอะไร ก้านใบใหญ่มาก เวลาใบแก่ร่วงลงมา จะหมุนควงเอาก้านลงกระแทกพื้นเสียงดัง "ตึ้ก...ตึ้ก..ตึ้ก" ความรู้สึกของเราก็คิดไปว่า สงสัยผีกระโดดลงจากต้นไม้มา เดี๋ยวจะต้องย่องมาหาเราแน่เลย นอนเหงื่อแตกพลั่ก..! เรื่องพวกนี้เราต้องศึกษาให้ชินเข้าไว้ ถ้าเรารู้เท่าทันก็จะไม่กลัว เพราะในส่วนที่กลัวก็คือกลัวตาย จัดเป็นอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้เหมือนกับความมืด ถ้าหากว่าความมืดมีอยู่ ก็จะปิดบังเราไม่ให้เห็นความจริง พอเราคิดว่าทำไมผีกระโดดบ่อยจัง จึงเปิดกลดออกไปส่องไฟดู ทีนี้เห็นชัดเลยว่าใบไม้กำลังหมุนควงตกลงมาบนพื้น แสงสว่างที่เราส่องออกไปพบต้นตอของปัญหา ก็เหมือนปัญญาของเรา เมื่อปัญญามาถึง อวิชชาหรือความไม่รู้ที่เป็นความมืดก็ถอยไป คราวนี้จะมากี่ "ตึ้ก" ก็เฉย เพราะรู้แล้วว่าเป็นใบไม้ ไม่ใช่ผีอย่างที่เราคิดกลัวไปเอง |
แต่สัตว์บางประเภทก็น่ากลัวสำหรับพวกเรา อย่างพวกงูจงอาง บางทีอาตมานอนอยู่ ได้ยินเสียงเลื้อยมาชัดเจนมาก จึงส่องไฟไปกระทบตา ตางูก็แปลก..จะสีเขียวก็ไม่ใช่ จะสีแดงก็ไม่ใช่
อาตมาต้องเขย่าไฟฉายให้รู้ว่ามีคนอยู่ทางนี้ ให้เขาเบนหัวไปทางอื่น ถ้าส่องไฟนิ่ง ๆ เดี๋ยวงูจะมาถึงตัว ตอนอยู่ที่บึงลับแล บางทีฝนตก พวกสัตว์ที่ออกหากินเปียกฝน ก็วิ่งมาทางเรา เราส่องไฟเข้าไปเห็นตาเขียว ๆ ฟ้า ๆ สว่างโร่เลย วิ่งรี่เข้ามา พอกระทบแสงไฟเขาหยุดทันที เห็นแต่ตาเพราะตัวดำปี๋เลย ปรากฏว่าเป็นเลียงผา จะวิ่งมาหลบฝนในเวิ้งที่เราอยู่ แต่กลายเป็นว่ามีพระอยู่แทนเสียแล้ว ตกลงว่าวันนั้นเขาต้องตากฝนต่อไป สัตว์ทุกชนิดจะกลัวคนโดยธรรมชาติ อาตมาเคยเดินแล้วฝนตก จึงรีบวิ่งเข้าหาภูเขา เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเวิ้งถ้ำหรือชะโงกผาบางส่วนไว้หลบฝนได้ พอเห็นชะโงกผาก็พรวดเข้าไป ไปอยู่กลางฝูงลิง ๓๐ - ๔๐ ตัว พวกลิงตัวใหญ่ ๆ ประเภทนายทหารหรือจ่าฝูงก็ตะคอกใส่เรา จนหูอาตมาจะระเบิด หลังจากนั้นก็ล้อมส่งเสียงขู่ไว้ไม่ให้เรากระดิกตัว เราก็สงสัยว่าจะทำอะไรก็ไม่ทำ ส่งเสียงขู่อยู่ได้ พอเหลือบตาดู ที่ไหนได้ เห็นลิงตัวใหญ่ ๒ - ๓ ตัว ช่วยกันต้อนตัวเมียกับลูกเล็ก ๆ ให้รีบไป เดินตามกันปีนลงหน้าผาไปเป็นทาง พอตัวสุดท้ายพ้นสายตาของเรา พวกตัวใหญ่ ๆ กระโดดทีเดียวหายวับไปเลย ถ้าเจอลักษณะอย่างนั้นเข้าให้ยืนนิ่งไว้ ถ้าขยับโดนกัดแน่..! |
มีพระอยู่รูปหนึ่งไปอาศัยพักที่วัดท่าขนุน ท่านจะเดินทางเข้าทุ่งใหญ่ แล้วก็ลัดไปห้วยขาแข้ง
ท่านมีแผลเป็นใหญ่มากบนศีรษะ เพราะโดนหมีกัด จึงถามว่า "คุณรอดมาได้อย่างไร ?" ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเองก็ไม่รู้ว่ามีหมีนอนอยู่หลังขอนไม้ ท่านปีนข้ามไปเหยียบเข้า หมีลุกขึ้นมาได้ก็รัดท่านเอาไว้ อ้าปากขบหัวเลย ท่านบอกว่า เสียงเขี้ยวทะลุกะโหลกศีรษะดัง "โป๊ะ" ได้ยินชัด ๆ เลย แล้วท่านก็หมดสติไป หมีคิดว่าท่านตายแล้วก็เลยวางทิ้ง ท่านสลบไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมามดแดงเต็มไปหมด มดยกขบวนมากินเลือด เพราะเลือดนองพื้นไปหมด ท่านต้องเอาผ้าอาบพันหัวแล้วโซซัดโซเซออกมาหาหมอ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย ท่านบอกว่า โชคดีที่เขี้ยวหมีฝังไม่ถึงเนื้อสมอง ส่วนที่โดนไม่ใช่ส่วนสำคัญ มิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นอัมพาต ออกไปไหนไม่ได้ ตายอยู่ตรงนั้นเลย..! จุดที่อาตมานับถือน้ำใจท่าน คือ ท่านกำลังจะเข้าป่าไปใหม่ เป็นพวกเราจะกล้าไหม ? โดนเข้าไปขนาดนั้น แสดงว่าท่านเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ ไม่มีทางที่จะกล้าเข้าไปอีก อย่าลืมว่าพระครูหน่อยของเรา ท่านไม่ได้โดนเสือกัดนะ แค่ไปจ๊ะเอ๋มองตากับเสือเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าชวนเท่าไรก็ไม่เข้าป่าอีก ท่านไม่ได้โดนกัดเลยนะ แต่พระท่านนี้โดนกัด แล้วแผลดูน่ากลัวมากด้วย ท่านสามารถเอาชนะความกลัวตาย ซึ่งเป็นเหตุของความกลัวทั้งหมดได้ กลับเข้าไปธุดงค์ใหม่ ต้องนับว่าเป็นสุดยอดกำลังใจ ลองเปรียบเทียบกับพวกเราดู แค่โดนพวกสัตว์ไล่ จะกล้ากลับเข้าไปอีกไหม ? แต่พระก็เอาชีวิตไปทิ้งในป่าได้ทุกปี ยิ่งระยะหลัง พวกพรานยิงสัตว์เจ็บเอาไว้ เวลาสัตว์เจอคน เขาไม่ได้แยกหรอกว่าพระหรือพราน เขาเห็นว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาเท่านั้น จึงมักพุ่งเข้าใส่ก่อนเลย..! |
ในเรื่องการเดินธุดงค์ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกไว้ว่า การธุดงค์นั้นมี ๒ แบบด้วยกัน แบบที่ ๑ คือ เดินไปหาที่สงบซึ่งเหมาะแก่ใจตนเอง แล้วก็ปฏิบัติภาวนาอยู่ที่นั่น แบบที่ ๒ คือ เดินไปแล้วกำหนดภาวนาไปด้วย
แต่อาตมาถนัดแบบที่ ๒ เพราะฉะนั้น..วันหนึ่งก็เลยเดินประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ระยะหลังจึงไม่ค่อยมีคนอยากไปด้วย เพราะท่านเหนื่อย เราเดินไปภาวนาไปก็สบาย ส่วนคนที่เดินแล้วกำหนดภาวนาไม่ได้ก็เหนื่อยลิ้นห้อยไปสิ..! |
การธุดงค์มีแต่ความลำบาก แต่ความลำบากนั้นแล จะเสริมสมรรถนะให้แก่เรา ถ้าเราเคยลำบากขนาดนั้น ต่อไปเจอในส่วนที่ลำบากไม่ถึงอย่างคราวก่อน เราจะรู้สึกว่าสบาย
คนกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่พออยู่กรุงเทพฯ ไปนาน ๆ ความสบายเริ่มเกาะ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพไปเลย เดินไกลหน่อยก็หอบจนลิ้นห้อย ตอนที่ท่านก้องจะออกธุดงค์ครั้งแรก อาตมาให้ท่านก้องซ้อมเดินอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๑ อาทิตย์เต็ม ๆ ถ้าในสายตาคนอื่นคือ "มันบ้า..!" วันแรกที่ให้ไปซ้อมเดิน ท่านก้องเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ในเมื่อเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ก็แปลว่าต้องเดินกลับอีก ๑๖ กิโลเมตร วันนั้นเท้าของท่านก้องพองหมด อาตมาเห็นจึงบอกว่า "รุ่งขึ้นเอ็งคลานแน่ ทำไมทะลึ่งไปเดินอย่างนั้น" เขาถามว่ามีวิธีแก้ไหม ? อาตมาบอกว่า "มี..พรุ่งนี้ไปเดินให้เท่าเดิม อย่างน้อย ๆ ให้ได้ ๓ - ๔ วันติดกัน จะได้อยู่ตัว แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณพัก คุณจะต้องนอนยาวไปอีก ๒ - ๓ วันเป็นอย่างน้อย ถึงจะลุกได้" สรุปว่าเขาบ้าพอ รุ่งขึ้นเขาก็ไปเดินซ้ำมาอีก ๓๒ กิโลเมตร กลับมาถึง..พลาสเตอร์ยากล่องหนึ่ง ๑๐๐ แผ่นของอาตมาเกือบหมดกล่อง..! หลังจากที่ซ้อมไป ๑ อาทิตย์ ก็ส่งท่านก้องไปบ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ให้ไปซ้อมกับท่านโมเช่อีก ๑๐ วัน แล้วอาตมาค่อยตามไปพาท่านเดินป่าทีหลัง ท่านก้องจึงได้เดินทัน ถ้าไม่ซ้อมไว้ก่อนแล้ว เริ่มเดินครั้งแรกเลย รับรองได้ว่าโดนทิ้งไกลลิบ..! |
ถาม : ตอนท่านบวชอยู่วัดท่าซุงกับตอนที่ออกจากวัดท่าซุงแล้ว ตอนไหนเหนื่อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัดท่าซุงเหนื่อยกว่า เพราะตอนที่อาตมาออกมา ทางวัดต้องหาพระไปทำงานแทนอาตมาตั้ง ๕ รูป โปรดนึกเอาเองก็แล้วกันว่า อาตมาหมกงานไว้เยอะขนาดไหน ? ถาม : แล้วตอนที่ท่านลาไปเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันละคะ ? ตอบ : เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ทั้งตอนที่อาตมาเป็นฆราวาสและเป็นพระ เวลาคนอื่นลาเราสามารถทำหน้าที่แทนเขาได้ทุกตำแหน่ง แต่พอเวลาเราลาบ้าง เพื่อนกลับทำแทนเราไม่ได้สักที ทุกครั้งเมื่ออาตมากลับมา ต้องมานั่งทำงานที่ค้างอยู่อยู่ประมาณ ๓ วันเป็นอย่างน้อย หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้แล้วว่า ใครก็ตาม...ถ้าคิดว่าขาดตนเองไปแล้วหน่วยงานจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ประหารหมด..! เพราะไม่มีใครสำคัญขนาดนั้น ขาดเราไปอย่างไรต้องมีคนแทนได้ ถึงแม้ว่าต้องใช้คนแทนมากหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องแทนได้ |
ในวัดท่าซุง ส่วนใหญ่พระที่ไปบวชอยู่ก็หวังปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยจะทำงานกัน คือ ไม่ค่อยรับผิดชอบงานใดที่ผูกมัดตัวเองมาก
จากประสบการณ์ของอาตมา ไม่ว่าจะเป็นพระและฆราวาส ถ้าเขาเคยใช้งานคนไหน ถึงเวลาเขาก็ใช้คนนั้น ฉะนั้น..คนที่เคยรับงานก็รับเพิ่มไปเรื่อย คนที่ไม่รับก็ทำอยู่เท่าเดิม ตอนที่ออกมาแล้วกลับไป หลวงพี่อนันต์ท่านบอกว่า ท่านต้องหาใครมาแทนอาตมาบ้าง เราได้ยินแล้วตกใจ พอเราไม่อยู่เขาหามาตั้ง ๕ คน คนที่ ๑ อยู่เวรหน้าตึกหลวงพ่อ คนที่ ๒ ดูแลโรงครัว คนที่ ๓ ดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ คนที่ ๔ ดูแลเรื่องเลี้ยงปลา อาหารปลา คนที่ ๕ ดูแลเรื่องเวรยาม ก่อนหน้านั้นเราทำคนเดียว แปลกใจอยู่ว่าเราแบ่งภาคไปทำงานทั้งหมดนั้นได้อย่างไร ? |
สรุปว่า ตั้งแต่เราเริ่มคุยมาจนป่านนี้ ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจของเราเกาะความดีเอาไว้ได้ แต่เรามักจะไม่รู้ตัวกัน มีน้อยคนที่ตั้งใจใช้การภาวนาไปเลย
ถ้าเรายังต้องอาศัยเวลาที่กำหนดไว้ แล้วค่อยมาปฏิบัติ จะไม่มีวันพอรับประทาน เพราะการปฏิบัติ เราต้องทำได้ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา เพราะกิเลสไม่ได้เล่นงานเราเป็นเวลา แต่กิเลสเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าอยู่ในอิริยาบถอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การนั่งภาวนา แล้วเราไม่สามารถจะระงับกิเลสได้ แปลว่าเรายังห่างไกลความดีอยู่มาก พวกเราตอนนี้ อาจจะสงสัยว่าทำไมนิวรณ์ ๕ หรือว่ารัก โลภ โกรธ หลง ทำไมกินใจเราไม่ได้ ? ทั้ง ๆ ที่นั่งฟังมาตั้งนาน เราต้องมานั่งวิจัยอารมณ์จิตตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร ? เพราะเราได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดี ไม่ก่อให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ? เพราะกำลังใจของเราคิดตามไปในสิ่งที่ดีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ไปข้องแวะในรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ? ถ้าสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นอย่างไร ต่อไปเราก็ทำเองแบบนั้น ในเมื่อเราทำเองได้แบบนั้น ต่อไปผลดีก็จะเกิดแบบนั้น |
เรื่องพวกนี้ พวกเราอ่อนมาก ขาดการวิเคราะห์วิจัยและแยกแยะสภาพจิตของตน ว่าสภาพจิตเราดีเพราะอะไร ? แล้วสภาพจิตไม่ดีเพราะอะไร ? ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะออก เราก็เว้นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี สภาพจิตก็จะเคยชินกับด้านดี
ดีกับชั่วก็เหมือนกับคนแย่งกันนั่งเก้าอี้ เก้าอี้มีอยู่ตัวเดียว ถ้าดีนั่งได้ ชั่วก็นั่งไม่ได้ เมื่อสภาพจิตรับความดีเข้ามา ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ในส่วนนี้ ถ้าจัดอยู่ในโพชฌงค์ ๗ เขาเรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ องค์คุณเป็นเครื่องตรัสรู้โดยการแยกแยะในธรรม ถ้าจัดอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็เป็นส่วนของ เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม |
ในเมื่อรู้ว่าเราบกพร่องตรงจุดไหน ? อ่อนตรงจุดไหน ? เราก็แก้ไขตรงจุดนั้น ถ้าเราเคยเล่นกีฬา เราจะรู้ว่าเรามีข้อบกพร่องตรงไหน
สมัยก่อนอาตมาเล่นกีฬาแทบทุกชนิด มีกีฬาบางชนิด เช่น ปิงปองหรือแบดมินตัน อาตมาไปเจอคู่ต่อสู้เก่ง ๆ ชนิดที่ถูกเขาโยกจนหัวทิ่มหัวตำ อาตมาก็ต้องหาทางแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง และท้ายสุดก็ฝึกการใช้สองมือ สามารถใช้มือซ้ายได้เกือบเท่ามือขวา พอคู่ต่อสู้ตีลูกโยกมา คราวนี้ก็ไม่ต้องวิ่งมากแล้ว แค่ก้าวยาว ๆ ก้าวเดียวก็เปลี่ยนมือรับได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องรู้จักแก้ไขจุดบกพร่องตัวเอง ถ้าไม่รู้จักแก้ไข กี่ที ๆ มาท่านั้นก็ร่วงทุกที ถ้าอย่างนี้ ชาตินี้ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเอาดีได้เมื่อไร ลีลาของกิเลสจะมาแค่ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ อย่าง แต่แตกแขนงแยกย่อยออกไปเป็นหัวข้อนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเป็นวิชารัก ก็แยกออกไปไม่รู้ว่ากี่แขนง วิชาโลภ วิชาโกรธ วิชาหลง ก็นัยเดียวกัน เมื่อเป็นดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้เลย..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:06 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.