![]() |
ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จู่ ๆ พระอาจารย์ท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า "การจะนั่งอยู่ให้ได้ด้วยดีก็เป็นการฝึกที่เข้มงวดอย่างหนึ่ง บางคนนั่งอยู่ตรงนี้แต่ใจฟุ้งซ่านไปไหนก็ไม่รู้..!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทคโนโลยี บางทีเราก็ไว้ใจไม่ได้ เราต้องรู้ว่าของอย่างนี้พร้อมที่จะรวน จะเสียได้ตลอดเวลา
สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ด้วยความเคยชินที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ เวลาเข้าโบสถ์ก็จะถือกระดาษกับปากกาไปด้วย ไปคอยจด จะมีสมุดบันทึกของตัวเอง พี่ ๆ เขาก็รอเทป เพราะเขาบันทึกเทปทุกคน ปรากฏว่าวันนั้นไฟดับ อาตมาออกจากโบสถ์มีแต่คนวิ่งมายืมสมุดโน้ต ก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไรดี ในเรื่องของการจดบันทึกนั้น สิ่งที่เราฟังและได้ยิน จะเป็นส่วนที่สะดุดใจเราตรงนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ปฏิบัติก็จะตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้าไม่ตรง..บางทีการฟังเราจะฟังข้ามไปเฉย ๆ ฉะนั้น..การที่เราไปบันทึกจดเอาไว้ เราจดในสิ่งที่ตรงกับกำลังใจของเราช่วงนั้น จะได้ทบทวนได้ หัวใจนักปราชญ์ท่านว่า สุจิปุลิ วินิมุตโต กะถังโส ปัณฑิโต ภะเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุจิปุลิ ได้แก่ สุตตะ จงฟังเขาอย่าขี้เกียจ................จิตตะ คิดให้ละเอียดที่สงสัย ปุจฉา หลงจงถามอย่าเกรงใจ..............ลิขิต เขียนไว้ได้จะดีเอย ฟัง คิด ถาม เขียน เราส่วนใหญ่ ฟัง คิด แต่ไม่ถามและไม่เขียน เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ ? ทำอย่างกับว่าถามแล้วจะเสียหน้า ต้องรอคนอื่นเขาถาม ถ้าไม่มีใครถามเราก็เสียประโยชน์เอง" |
"ความมั่นใจจะทำให้เรากล้าแสดงออก โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมาก เวลาเจอฝรั่งจะวิ่งหนี ไม่กล้าคุยกับฝรั่ง
ความจริงฝรั่งเจอเราเขาต้องวิ่งหนี เพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่ใช่เราเจอฝรั่งแล้ววิ่งหนี เพราะนี่เป็นบ้านเรา มีอยู่เรื่องหนึ่ง เด็กฝรั่งไปเที่ยววัดพระแก้ว เขาเห็นรูปปั้นยักษ์สูงใหญ่ มีเด็กไทยอายุไล่เลี่ยกันมากับพ่อแม่ เด็กฝรั่งเห็นก็สะกิดถาม " Hey you, what is this ? " เด็กไทยเกาหัว นึกถึงว่าอาจารย์เราก็เคยสอนมาเหมือนกัน เลยตอบไปว่า "This is a Yak" (ยักษ์) "What is Yak ?" "Yak is Tossagan" (ทศกัณฐ์) "What's meaning of Tossagan ?" "Tossagan is the king of Yak..!" ตอบไปหลายประโยคเด็กฝรั่งก็ยังงง ท้ายสุดเด็กฝรั่งต้องเดินหนีไปเอง ต้องเอาให้ได้อย่างนั้น อยู่บ้านเราไม่ต้องไปหนีเขา ต้องให้เขาหนีเรา" |
"ถึงได้บอกว่า พวกเราเก่งสู้หมาไม่ได้ เอาหมาไทยไปโยนไว้กับหมาอังกฤษ ก็เห็นว่าคุยกันได้ เอาไปโยนไว้กับหมาฝรั่งเศส ก็คุยกันได้อีก สรุปว่าหมาเก่งกว่าคนเยอะเลย"
|
พระอาจารย์สรุปเรื่องสุจิปุลิให้ฟังว่า "ในเรื่องของหัวใจนักปราชญ์ ต้องมีครบจึงจะใช้ได้ บางทีนักเทศน์ท่านก็บอกว่า จำไว้ดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ก็ดีกว่าจำ"
|
ถาม : การบนบานศาลกล่าว ถือว่าเป็นความผิดหรือเปล่าครับ ? เพราะว่าการบนเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ตอบ : การบนไม่ดีตรงไหน ? ถาม : เป็นการติดสินบน ตอบ : ติดได้..! จำไว้ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอ บนให้ตายผลก็ไม่เกิด บุคคลที่บนแล้วได้ผลก็คือ ผู้ที่สร้างเหตุมาพอ ผลถึงจะเกิด ถ้ามีคนสองคนไปบนด้วยกัน คนหนึ่งบนแล้วได้ผล อีกคนหนึ่งไม่ได้ผล คนที่บนได้ผลเพราะว่าเขาสร้างบุญ อาจจะเป็นทาน ศีล ภาวนา มาเพียงพอแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเท่านั้น พอไปบนว่าถ้าเรื่องนั้นสำเร็จ จะทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งตอบแทน พิจารณาดูแล้ว กระแสบุญที่เขาสร้างเพิ่มเติมเหมาะสมแล้ว เป็นเหตุที่จะเกิดผลได้แล้ว การบนก็จะสำเร็จ อย่าลืมว่าการบนไม่ใช่ร้องขอเฉย ๆ แต่จะมีการทำอะไรบางอย่างตอบแทนไปด้วย อย่างเช่น เอาละครชาตรีไปแก้บน หรืออาจจะต้องรักษาศีลห้า ศีลแปด พร้อมกับเจริญกรรมฐานสัก ๗ วัน ความดีที่เราทำจะมากจะน้อย ถ้าเหมาะสมกับส่วนที่เราขาด เหมือนกับน้ำขาดอยู่ไม่มาก ถ้าเราเติมอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม แต่ถ้าหากมีน้ำอยู่แค่ก้นขวด เติมน้ำไปครึ่งขวดก็ยังไม่เต็ม ถ้าอย่างนั้นคุณบนให้ตายก็ไม่ได้ผล อย่าลืมว่าทุกอย่างมีเหตุจึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุดีแล้วก็บนไปเถอะ แต่ถ้าสร้างเหตุยังไม่ดีพอ บนให้ปากฉีกถึงหูไปก็เท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ที่วัดท่าขนุนมีพระมาบวช เกิดจากเพื่อนเขาบนว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จจะให้เพื่อนคนนี้บวช แทนที่จะบนให้ตัวเองบวช มีอย่างที่ไหนดันบนให้คนอื่นบวช..! |
ถาม : ตอนเอนทรานซ์ หนูยังบนเลยค่ะ
ตอบ : รายที่ชัดที่สุดอยู่ที่หาดใหญ่ เพื่อนทั้งห้องช่วยกันตรวจแล้วไม่มีชื่อแน่นอน เขามาโวยวายว่า หลวงพ่อเล็กรับบนแล้วทำไมเขาจึงไม่ได้ ก็บอกว่า "ได้..เอ็งตาไม่ดี ให้กลับไปดูใหม่" ทีนี้เพื่อนทั้งห้องกลับไปดูใหม่กลับมีชื่อ แสดงว่าเขาบนได้ผล ตอนแรกก็อาจจะตื่นเต้นมองข้ามชื่อไป มาระยะหลังเลยเดือดร้อน แทนที่เขาจะไปบนกับพระตามที่อาตมาบอก เขาดันมาบนกับอาตมาเอง..! |
พระอาจารย์กล่าวถึงการศึกษาว่า "การศึกษาของบ้านเราน่าเป็นห่วงมาก คุณภาพการศึกษาตกต่ำยังไม่พอ แม้แต่ไอคิวของเด็กยังตกต่ำ จากผลงานวิจัยล่าสุด ไอคิวเด็กไทยเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๘ ระดับนี้สำหรับฝรั่งแล้วเขาถือว่าโง่เลย เพราะต่ำสุดต้อง ๙๐ ขึ้นไป
ความจริงจะว่าไปแล้ว บรรดานักวิชาการต่าง ๆ เขาก็หวังดีกับวงการการศึกษาไทย แต่ไม่ได้ดูพื้นฐานความเป็นมาของเด็ก จึงมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรเป็น child center หลักสูตรที่ให้เด็กคิดเป็นทำเป็น หลักสูตรนี้ลอกแบบฝรั่งมาเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้ดูบริบทของสังคมเราว่าเป็นอย่างไร เด็กฝรั่งเริ่มจับช้อนเองได้ พ่อแม่ก็ส่งจานให้กินเองเลย เด็กอาจจะละเลงเละไปทั้งบ้าน หรือเทรดหัวตัวเอง พ่อแม่ก็ปล่อย พอหมดเวลากิน เขาก็จับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วปล่อยทิ้งเลย ถ้ายังไม่ถึงอาหารมื้อใหม่ก็จะไม่มีให้กิน เด็กเขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก ว่าถ้าเขาไม่กินแล้วจะหิว เพราะฉะนั้น..พอมื้อถัดไป อย่างไรเขาต้องพยายามตักใส่ปากตัวเองให้ได้ เด็กฝรั่งเขาจะช่วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก ๆ ทำอะไรเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ ในเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียน เขาสอนให้เด็กคิดเองทำเอง เขาก็เลยทำได้ง่าย แต่บ้านเรา ๔ - ๕ ขวบแล้ว แม่ยังต้องมาป้อนข้าว "อ้ำ..กินนะลูก" มีอยู่รายหนึ่งที่ชัดที่สุดก็คือ คุณหมอพรทิพย์ มีลูกสาวหลังจากแต่งงานไปแล้วสิบปี ชื่อ น้องเท็น น้องเท็นจะกินข้าวได้คำหนึ่ง จะต้องมีรถไฟวิ่งมาขบวนหนึ่ง เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟ พอเด็กเห็นรถไฟก็ปรบมือชอบใจ แม่ก็ตักข้าวใส่ปากได้คำหนึ่ง ถ้ารถไฟไม่มาก็ไม่ต้องกิน ความจริงถ้าพ่อแม่จิตใจเด็ดเดี่ยวหน่อย ปล่อยไปเลย ไม่กินก็เรื่องของเด็ก พอเด็กเขาอดเดี๋ยวเขาก็ตะกายมาหากินเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปวิ่งไล่ป้อนรอบบ้าน และไม่ต้องไปโมโหเวลาลูกอมข้าวแล้วไม่ยอมเคี้ยว" |
"เด็กบ้านเราจึงทำอะไรเองไม่เป็น ทุกอย่างพ่อแม่บริการให้หมด สมัยนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พ่อแม่ยังต้องส่งข้าวส่งน้ำให้ลูกเวลาอ่านหนังสือ ตกลงลูกไม่ต้องทำอะไรเลย เราจึงเห็นว่าเด็กสมัยนี้จบปริญญาตรีแล้วยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะแทบจะไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเอง
ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราไปใช้หลักสูตรให้เด็กคิดเองทำเอง ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง จึงไม่เหมาะกับบทบริบทของสังคม แบบเดียวกับที่ครูอธิบายไปครึ่งชั่วโมง ถามว่ามีใครสงสัยอะไรไหม ?..เงียบ เข้าใจไหม ?..เงียบอีก ตกลงทั้งไม่สงสัยและไม่เข้าใจ แปลว่าอะไรกันแน่ ? นอกจากนี้ สังคมของเราเปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ลูก ๆ มักจะอยู่กับพี่เลี้ยงมากกว่า พอถึงเวลาพ่อแม่กลับบ้าน ชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูก ลูกก็ร้อง "ฮ่วย..!" เว้าลาวได้ก่อนพูดไทยอีก เพราะพี่เลี้ยงเป็นลาว ก็เลยทำให้พ่อแม่ลูกไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบก่อน แทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน พ่อแม่ก็จะรู้สึกผิดลึก ๆ อยู่ในใจ จึงใช้วิธียัดเยียดทรัพย์สินเงินทองให้ เด็กพกเงินมาก ๆ ไปโรงเรียนไม่ใช่เรื่องดีเลย อำนวยความสะดวกให้เด็กได้ก็จริง แต่ก็จะพายาเสพติดมาให้ด้วย พวกที่เห็นว่าคนนี้มีเงินใช้ฟุ่มเฟือยก็มาเกาะติด หลอกให้ลองยา พอติดยาก็กลายเป็นแหล่งผลิตเงินให้คนอื่น สมัยนี้เขามักจะเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์กับเงิน ไม่รู้ว่าเด็กโตมาได้อย่างไร ? สังคมบ้านเราจึงค่อนข้างพิกลพิการอย่างที่เห็น " |
"จะว่าไปแล้วบ้านเราในเรื่องของการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมล่มสลายไปตั้งแต่แยกโรงเรียนออกจากวัดแล้ว ในปัจจุบันนี้โรงเรียนดัง ๆ อย่างเทพศิรินทร์ เทพลีลา เขาตัดคำว่า "วัด" ออกหมด
ถ้าเราไม่เคยศึกษาค้นคว้ามาก่อน จะไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้วัดคือสถานศึกษา ทุกคนจะเรียนต้องเรียนกับวัด พระนอกจากจะสอนให้เขียน ก.กา แล้ว ยังต้องสอนจริยธรรมและศีลธรรมด้วย เด็กจะใกล้ชิดกับวัด จะไม่กลัวพระ คุ้นชินกับพระ อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ได้ตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนี้ลองถามดูสิว่า ทั้งห้องนี้มีกี่คนที่อาราธนาได้ ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกตัว จึงมีการจัดครูพระไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน แต่ปรากฏว่าเด็กห่างศีลห่างธรรมไปเยอะ จึงไม่ค่อยจะสนใจ พอถึงวิชาพุทธจริยศึกษา เด็กก็นั่งกินขนม นั่งหลับ นั่งคุยกัน เด็กที่โต ๆ หน่อยระดับมัธยม ก็นั่งแต่งหน้าทาปากอยู่ท้ายห้อง พระท่านก็ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ไม่หวังว่าตอจะงอกหรอก แต่อย่างน้อย ๆ ให้เปียกบ้างก็ยังดี เด็กสมัยนี้จึงค่อนข้างจะก้าวร้าว เพราะสังคมเป็นไปในแนวนั้น ประเภทเห็นเด็กกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกับโค้ก ผู้ใหญ่เข้าไปแนะนำ "หนู ๆ กินมาก ๆ ไม่ดีนะ กินมาก ๆ ร่างกายจะแย่ ขาดสารอาหารด้วย" เด็กก็บอกว่า "ปู่ของผมอายุตั้งร้อย..!" ผู้ใหญ่เขาก็งง "ปู่ของหนูก็กินแบบนี้หรือ ?" เด็กตอบว่า "เปล่า..ปู่ของผมไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน..!" ที่ปู่เขาอายุเป็นร้อยเพราะไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน แต่เรามายุ่งกับเขา อาจจะอายุสั้น สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้เรื่องอปจายนมัย (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ไม่มี ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กพวกนี้จะถูกจัดเป็นเป็นพวกหลังแข็ง ต้องตีให้หลังหัก เดินผ่านผู้ใหญ่ไม่มีก้มหลังเลย สมัยก่อนเขาจะก้มหลังเดินผ่าน แสดงความเคารพ จะทำอะไรต้องขอโทษขออภัยก่อน" |
"จะว่าไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของเด็ก ถ้ามีพื้นฐานมาดีตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ก็จะว่านอนสอนง่าย พ่อแม่คนไหนที่มีลูกแบบนี้ก็สบายใจได้
แต่เด็กสมัยนี้หาไม่ได้ ที่หาไม่ได้เพราะพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดตั้งแต่เล็ก ไปกินสารพัดอาหารเสริมให้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็ก ๆ ก็เลยพลังงานล้นเกิน พอคลอดออกมาก็เป็นเด็กไฮเปอร์แอกทีฟ อยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าจับให้อยู่นิ่งจะดิ้นขาดใจตาย พวกนี้ซนยิ่งกว่าลูกลิงเสียอีก เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเขาก็คือเด็ก แต่พลังงานล้นเกิน เขาก็เลยต้องแสดงออกด้วยการกระโดดโลดเต้น ทำนั่นทำนี่ เอะอะโวยวายไปตามเรื่องของเขา อย่างรุ่นของอาตมาไม่มีหรอก ประเภทแคลเซียมสูง โฟเลตสูง ผสมวิตามินอะไรพวกนั้น อย่างเก่งก็กินกล้วยบดกับข้าวเท่านั้น "จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็อดไปเลย..!" ในเมื่อร่างกายมีสารอาหารล้นเกิน ปฏิกิริยาก็ต้องแสดงออก เหมือนกับรถยนต์ที่เครื่องแรง พ่อแม่ก็ห่วงเด็กเหลือเกิน ใครว่าอะไรดีตะเกียกตะกายไปหามาหมด กลัวลูกจะไม่เก่งไม่ฉลาดเหมือนเขา ต้องฟังบีโธเฟ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง สามขวบก็หัดให้เล่นเปียโนแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเขา ห้าขวบต้องไปเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เอากันให้บ้าไปข้างหนึ่ง..!" จริง ๆ แล้วบ้านเรายังโชคดี ถึงพ่อแม่จะออกไปทำงานทั้งคู่ ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ก็ยังมีปู่ย่าตายายอยู่ช่วยดูแลหลาน ต่างประเทศเขาไม่มีตรงนี้ บ้านเขาปู่ย่าตายายไปอยู่สถานสงเคราะห์คนชรา ไม่มีใครรับภาระ ถ้าครอบครัวดี ๆ หน่อย คริสต์มาสครั้งหนึ่งจึงจะได้เห็นหน้ากัน ถ้าครอบครัวไม่เอาไหน ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องไปดูไปเจอกันเลย อย่างน้อย ๆ ที่ครอบครัวไหนมีปู่ย่าตายายคอยดูแลหลาน เด็ก ๆ ก็ยังไม่ออกนอกทุ่งนอกท่ามากนัก ถ้าครอบครัวไหนไม่มี ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของสังคมไป" |
"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่รัฐบาลไม่รู้นะ คนที่จะขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ต้องรู้ แต่มัวเล่นเกมการเมืองกันอยู่จนไม่มีเวลาที่จะมาแก้ไข เวรกรรมก็เลยตกอยู่กับประเทศไทย อยากรู้เหมือนกันว่าอีกห้าปี หรือสิบปี ไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยจะเหลือเท่าไร ตอนนี้ ๘๘ อยู่ระดับโง่ของฝรั่งไปแล้ว
ปัจจุบันนี้เวลาเห็นเด็ก ๆ อาตมาเกิดความคิดอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ จะเกิดมาทำไมวะ ? อย่างที่สองก็คือ เอ็งยังทุกข์อีกนาน กลายเป็นว่าผู้ใหญ่ยุคนี้โชคดี ที่เขาบอกว่าโชคดีที่ตายก่อน..! เพราะฉะนั้น..ใครเพิ่งจะแต่งงานอยู่กินกัน ขอไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะอบรมลูกให้เป็นคนดีได้ ก็อย่าเพิ่งมีลูกเลย ไม่อย่างนั้นจะไปเพิ่มปัญหาให้แก่สังคมเสียเปล่า ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นประเภทที่เข้าไปในผับแล้วเที่ยวไปถามว่า "รู้ไหมว่ากูลูกใคร ?" ถ้าโง่ขนาดไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ก็เป็นกรรมของสัตว์โลกไป..! ขอให้ช่วยรับไปปฏิบัติด้วย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะอบรมลูกของตัวเองออกมาดีได้ ก็อย่าเพิ่งไปมีเลย" |
พระอาจารย์กล่าวถึงสำนักปฏิบัติธรรมว่า "สำนักปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุน จัดตั้งมายังไม่ได้สองปีเลย โดยคำสั่งของมหาเถรสมาคม แต่ปรากฏว่าปีที่สองนี้ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นของประเทศแล้ว ได้พร้อม ๆ กับวัดมหาธาตุที่เขามีการปฏิบัติธรรมมา ๔๐ -๕๐ ปี
ได้พร้อมกับหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ที่สอนกรรมฐานมาตลอดชีวิต มีอีกวัดหนึ่งที่ได้ คือ วัดของหลวงพ่อหนุน วัดป่าพุทธโมกข์ ที่สกลนคร ได้พร้อมกัน รุ่นเดียวกัน จะไปรับรางวัลวันที่ ๒๓ กันยายนนี้ ที่วัดพิชยญาติการาม โดยเฉพาะวัดพิชัยญาติเขาทำเรื่องกรรมฐานมาโดยตลอด เป็นต้นกำเนิดของประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา ที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๓ เดือน และปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน แต่มาได้รับรางวัลดีเด่นพร้อมกัน รุ่นเดียวกัน ที่จริงอยากให้วัดท่าขนุนได้ปีหน้ามากกว่า เพราะในหลวงครบ ๘๔ พรรษา ถือว่าเป็นวโรกาสที่เป็นมหามงคล แต่ในเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ต้องรับเอาไว้ก่อน" |
ถาม : ขอสอบถามการใช้คาถาสหัสสเนตโตและวิธีนั่งภาวนา ที่ไม่ใช้ตาเนื้อ เวลานั่งภาวนาชอบไปจับที่ลูกตา
ตอบ : รู้แล้วก็แก้ไขสิ ถาม : ควรตั้งจิตไว้ตรงไหน ? ตอบ : เขาใช้นึกเอา จะนึกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนใหญ่กำหนดใจเอาไว้ ว่าง ๆ สบาย ๆ อยู่ในหัวกะโหลกของเราเอง เหมือนกับว่าเราจะนึกถึงใครสักคน ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรามองขึ้นไปบนหัวของเรา แล้วโค้งกลับเข้ามาในท้องของเราก็ได้ เอาไว้ตรงไหนก็ได้ แรก ๆ อดไม่ได้หรอก เราเคยชินกับการใช้สายตามานาน ก็ไปเผลอนึกถึงตาอยู่เรื่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้แล้ว นึกถึงตาเมื่อไรภาพก็หายวับ เนื่องจากการนึกถึงตาคือการนึกถึงตัว เป็นการดึงจิตกลับมาที่ตัว เราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราจึงจะเห็นได้ ในเมื่อเราดึงจิตกลับ ก็จะไม่เห็นอะไร ส่วนคาถาสหัสสเนตโตนั้น ให้ภาวนาเป็นปกติไปเลย เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมงก็ได้ ไม่ใช่นึกจะใช้เมื่อไรแล้วค่อยมาภาวนา แบบนี้ไม่ทันกิน ถ้าเป็นมีดหรือดาบก็สนิมเขรอะ ต้องซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ลับมีดลับดาบไว้บ่อย ๆ |
คาถาสหัสสเนตโต เวลาเราใช้อย่าลืมขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ให้ช่วยสงเคราะห์ให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และถูกใจคนตรวจด้วย
ถ้าอ่านหนังสือมาจะทำได้คล่องมาก เพราะจะนึกออกหมด แต่ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมา จะต้องมีความคล่องตัวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดได้คำตอบขึ้นมา แล้วเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน เราก็จะไม่รู้ว่าคำตอบนี้ถูกหรือเปล่า ฉะนั้น..ถ้าให้เป็นไปได้ ควรจะอ่านหนังสือสัก ๒ - ๓ รอบ ถึงเวลาใช้คาถาความคล่องตัวจะได้มี อาตมาเองขนาดคล่องตัวแล้ว ตอนสอบนักธรรมเอกยังโดนตัดคะแนนเลย เพราะได้ยินเสียงบาลีดังชัด ๆ อยู่ในหู แต่เราเคยได้ยินอีกประโยคหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน ก็เลยไปคิดว่าน่าจะเป็นประโยคนั้น เขียนไปก็เลยผิด โดนหักไป ๕ คะแนน..! จะใช้คาถาทุกอย่างให้ได้ผล จำเป็นต้องทำสมาธิให้ทรงตัว สมาธิทรงตัวตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป คาถาก็เริ่มได้ผลแล้ว ยิ่งสมาธิสูงเท่าไรผลของคาถาจะมีมากเท่านั้น คนจะทำคาถาต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ถ้าไม่จริงจัง ไม่สม่ำเสมอ ทำแล้วจะไม่เกิดผล เพราะว่าคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ทำคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้ คนจะเล่นอภิญญาได้จะต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย ไม่ใช่เบื่อ ๆ อยาก ๆ ไฟไหม้ฟางเป็นพัก ๆ ถ้าวิสัยอย่างนั้นอย่าเสียเวลาไปเล่นเลย..! |
คาถาจริง ๆ มาจากภาษาบาลี บาลีเขาใช้ว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว เพราะฉะนั้น คำพูดทุกอย่างก็คือคาถา
แต่ว่าคาถาในความรู้สึกนึกคิดของเรา คือ ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะให้ผลตามแต่ที่เขากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ผู้ใดภาวนาคาถานั้นก็จะได้รับผลตามที่เขาว่าเอาไว้ ความจริงแล้วคาถาใช้บทเดียวก็ได้ เพราะคาถาเป็นการโยงใจให้เป็นสมาธิ ส่วนที่เหลือเมื่อกำลังใจเป็นสมาธิแล้ว ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ อธิษฐานให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้น..แรก ๆ อาจจะต้องใช้คาถาหลาย ๆ บท เพราะเรายังไปแยกว่าบทนั้นใช้อย่างนั้น บทนี้ใช้อย่างนี้ แต่ถ้าคนที่คล่องตัวจริง ๆ ส่วนใหญ่จะเหลือแค่บทเดียว แถมบทยาว ๆ ก็ไม่เอาอีกด้วย เอาบทสั้น ๆ ดีกว่า |
ถาม : มีคนเขาจะขายบ้านไม้ ปลูกมาแล้วแปดปี ราคาแสนห้า หนูควรจะซื้อไหม ?
ตอบ : ซื้อเลยจ้ะ เพราะเดี๋ยวนี้บ้านไม้หายาก ราคาแพงขึ้นทุกวัน ถาม : เขาขายราคาแสนห้า หนูก็ว่าราคาถูก พรุ่งนี้หนูจะไปดูสภาพบ้านจริง ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เขาก่อน บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือท่านทั้งหลายที่อาศัยในบ้านนี้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ ขอให้ไปอยู่ด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เขาโมทนา เมื่อไปอยู่ด้วยก็ช่วยสร้างความสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัวของเราด้วย เมื่อหลายปีก่อน มีบ้านหลังหนึ่งขนาดใหญ่พอ ๆ กับศาลา และพื้นที่ของเขาก็กว้างขวาง นอกจากบ้านหลังใหญ่แล้ว ในบริเวณไร่ยังมีกระต๊อบเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ สำหรับคนดูแลไร่ ตอนนั้นทิดตู่ยังบวชอยู่ พอพวกเราไปถึงที่ตรงนั้นแล้ว จึงแบ่ง ๆ กันอยู่ แยกกันไปคนละหลัง กลางคืนก็ต่างคนต่างภาวนากัน ยังไม่ทันจะสามทุ่มเลย ผีก็แห่กันมา ประเภทที่เขาเรียกว่า ป่าช้าแตก..! ทิดจิตร (ตอนนั้นสึกแล้ว) กางกลดอยู่ใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ เขามาสารภาพทีหลังว่า "ผมจะเปิดกลดวิ่งอยู่แล้ว แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพ้นจากที่นี่ไปแล้วอาจจะโดนหนักกว่าอีก ก็เลยกัดฟันนั่งสั่นอยู่ในกลด" อาตมาถามผีว่า "ทำไมจึงต้องมาหลอกมาหลอนกันด้วย ?" เขาส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย เป็นผีผู้ชายค่อนข้างจะมีอายุ บอกว่าที่เขามา เขาไม่ได้มาหลอก เขาตั้งใจมาบอกว่าเขาเดือดร้อน เขาอยากขอความช่วยเหลือ แต่คนหนีเขาหมด..! |
เขาทำภาพให้ดูว่า บ้านหลังนี้ปลูกทับป่าช้าเก่าอยู่ เขาบอกว่า "ตอนที่เจ้าของบ้านปลูกบ้าน ขุดได้กระดูกพวกผมมาเป็นโอ่งเลย เขาสร้างศาลให้อยู่ ไม่เชื่อพรุ่งนี้ไปดูได้" อาตมาเลยบอกพวกเขาให้โมทนาบุญ
พอพวกเราอยู่ได้สองคืน วันที่สามตอนใกล้ ๆ เพล ปรากฏว่าเจ้าของบ้านมา เขาคงได้ข่าวว่ามีพระเณรมาอยู่ที่นี่แล้วอยู่ได้ รู้ไหม..เจ้าของบ้านเขามาลักษณะอย่างไร ? เจ้าของบ้านเดินนำหน้า ลูกน้องอีก ๕ - ๖ คน เกาะเอวกันมาเป็นแถว ไม่กล้าเดินห่างแม้แต่ก้าวเดียว แสดงว่าโดนจนเข็ด..! เจ้าของบ้านมาสอบถาม อาตมาก็อธิบายให้เขาฟังว่า"โดนหลอกเหมือนกัน แต่อาตมาไม่หนีเท่านั้นเอง..! ถ้าจะให้ดีคุณควรจะทำบุญ จัดทำบุญเลี้ยงพระแบบขึ้นบ้านใหม่ อุทิศส่วนกุศลให้เขาสักหน่อย" เขาก็ตกลง รุ่งขึ้นอีกวัน เขาก็เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระ อาตมาลืมสั่งผีเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งไป เพราะปกติถ้าผีได้ส่วนกุศลแล้วเขาก็ไป เจ้าของพอเห็นผีไม่หลอกแล้วเขาก็เลยรื้อบ้านขาย ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด พาทิดตู่กับทิดป๊อบเข้าไปที่บึงลับแล แล้วอากาศในนั้นร้อน ถ้าเป็นหน้าร้อนแล้วที่บึงลับแลลมจะไม่พัด อากาศจึงร้อนอบอ้าวมาก จึงบอกทิดตู่กับทิดป๊อบว่า ไปบ้านผีสิงที่เกริงกราเวียดีกว่า พอไปถึงเขากำลังล้มเสาต้นสุดท้ายอยู่พอดี รื้อจนเกลี้ยงเลย นี่ถ้าตกลงกับผีไว้ก่อนว่า อุทิศส่วนกุศลให้แล้วช่วยอยู่หลอกไปอีกสักพัก เราอาจจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ในราคาถูก ๆ ก็เป็นได้ |
นอกจากผีที่โดนฝังอยู่แถวนั้นแล้ว แม้กระทั่งนางไม้ก็ยังกวนพอ ๆ กัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเย็นรวมกันบนบ้านหลังใหญ่แล้ว แยกย้ายกันไปตามแต่กุฏิใครกุฏิมัน จะมีการหมุนเวียนกันไปแต่ละที่ จะไม่ให้อยู่ซ้ำที่ เพราะถ้าอยู่ซ้ำที่เดี๋ยวจะคุ้นเคย
อาตมาลงจากบ้านหลังใหญ่เดินลัดไปทางด้านชายห้วย จะมีกระต๊อบอยู่ใต้ต้นไทร พอเดินเลยต้นยางใหญ่ไปเท่านั้น มองเห็นผีผู้หญิงออกมาจากต้นยาง มีผ้าขาว ๆ คลุมรุงรัง วิ่งกางแขนเข้ามา อาตมาก็เลยหันไปถามว่า "ทำอะไร?" ผีเขาถามว่า "ไม่กลัวหรือ?" อาตมาก็บอกว่า "มีอะไรน่ากลัว?" ผีเขาตอบว่า "ไม่รู้สิ..เห็นในโทรทัศน์ทำอย่างนี้แล้วคนเขากลัวกัน..!" โธ่..ไอ้ผีทันสมัย ดูโทรทัศน์กับเขาด้วย..! อาตมาถามว่า "มานี่ต้องการอะไร ?" เขาบอกว่า "อยากจะให้ท่านอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะวันก่อนที่ให้ไป ท่านไปเจาะจงให้พวกที่เขามา ไม่ได้ให้ทั่วไป เขาเลยรับไม่ได้" จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว แต่เขาไม่ยอมไปไหน ตามเราไปที่กระต๊อบด้วย พอเรานอนเขาก็มานั่งอยู่ปลายเท้า อาตมาบอกว่า "ไปห่าง ๆ ได้ไหม ถ้าใครเขามาเห็นเข้าน่าเกลียดตายห่..! พระนอนแล้วมีผู้หญิงนั่งเฝ้าอยู่" เขาก็ยืนยันว่าเขาจะนั่งเฝ้าเพื่อป้องกันอันตรายให้ รับรองว่าคนอื่นไม่เห็น อาตมาก็เลยนอนฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน เพราะแม่เจ้าประคุณสวยเช้งวับเลย..! |
จากจุดนี้เลยเข้าใจว่า ที่ผีเขามาหา ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนของผี ก็คือ กุศลบารมีเขาน้อย ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในเมื่อคนที่บุญน้อยก็เหมือนกับคนจน แต่งตัวสวยขนาดที่เราเห็นแล้ววิ่ง..! ที่ไม่สามารถจะสวยเกินกว่านั้นได้ เพราะบุญเขาน้อย
เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะบอกพวกเราว่า ถ้าเจอผีวิธีที่ดีที่สุด คือรีบอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ถ้าเจอผีแปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้มีเหลือเฟือแล้ว ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับอย่างนั้นด้วย แค่นั้นแหละเขาก็ได้แล้ว ถาม : แสดงว่าผีมา เขามาขอส่วนบุญทุกครั้ง ? ตอบ : ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน มักต้องการความช่วยเหลือ ถาม : ไม่ใช่ว่ามาหลอกเฉย ๆ ? ตอบ : ลำบากและเดือดร้อนขนาดนั้น เขาไม่มีอารมณ์มาหลอกเฉย ๆ หรอก |
ในเรื่องของผีที่เขามาในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ก็ยังถือว่าเขามีความสามารถที่อยู่ในระดับที่ใช้ได้ ถ้าท่านที่บุญน้อยกว่านั้น ทำให้ภาพปรากฏก็ไม่ได้ เพราะกำลังเขาน้อย เราอาจจะได้ยินแต่เสียง หรือได้แต่กลิ่น
ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวล คิดว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าของเสียงนั้นโมทนา ผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ขอให้เจ้าของกลิ่นนั้นโมทนา ก็ใช้ได้เลย ปัจจุบันนี้ผีมีโอกาสหลอกเราน้อยมาก เพราะมีไฟฟ้า เวลาผีจะปรากฏตัว เขาต้องใช้กำลังของเขาดึงเอาธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบข้าง ให้มารวมตัวกันเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่กระแสไฟฟ้าที่กระพริบด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้ง/วินาที ไปกระแทกสะเทือนจนอนุภาคของธาตุ ๔ ทั้งหลายเหล่านั้นรวมตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เวลากลัวผีแล้วไปเปิดไฟนั่นถูกต้องแล้ว แต่ก็ป้องกันได้เฉพาะผีระดับต่ำ ๆ เท่านั้น ผีระดับสูง ๆ ต่อให้กลางวันเที่ยง ๆ ก็สามารถมาหลอกได้ เสียเวลาเปิดไฟเปล่า ๆ บางทีเราสงสัยทำไมสมัยก่อนผีเยอะแยะ ทำไมสมัยนี้ผีไม่มี ? ก็ยังมีเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของเขายากขึ้น พอจะดึงเอาธาตุสี่ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน ก็ถูกไฟฟ้าที่กระพริบแวบ ๆ กระทุ้งจนกระจายหมด ถ้ากำลังเขาไม่พอก็ปรากฏตัวไม่ได้เลย บางคนจึงได้ยินแต่เสียง บางคนจึงได้แค่กลิ่นเท่านั้น |
ถาม : แล้วผีที่มีนิสัยลามก ?
ตอบ : คนเราเวลามีชีวิตอยู่ มีสันดานนิสัยอย่างไร ถึงเป็นเป็นผีแล้วก็มีนิสัยสันดานอย่างนั้น |
อาตมานอนภาวนาอยู่ ผีเขามาถึงเห็นเรานอนหงายภาวนา สองคนแรกก็มาจับเราตะแคงขวาเป็นท่านอนสีหไสยาสน์ แล้วเขาก็ไป อีกสักพักโผล่มาทางปลายเท้าอีกสองคน "นอนท่านี้นานแล้วนี่" แล้วเขาก็จับพลิกซ้ายให้ แล้วเขาก็ไป
เดี๋ยวก็โผล่มาอีกสองคน "อะไรวะ..จะมายุ่งอะไรกับอนาคตตูขนาดนั้น ตูจะภาวนา..!" อาตมาจึงคิดจะลองดีกับผี พอเขาเข้าใกล้ คราวนี้ไม่รอให้เขาจับ ถีบโครมเลย..! จำไว้ว่าอย่าเสียเวลาไปตีกับผี เพราะเขารู้ความคิดของเรา พอเราถีบโครมเขาก็จับขาไว้ เราก็ต้องรีบตะปบสบง..กลัวโป๊ พอถีบซ้ายเขาก็จับซ้าย ถีบขวาเขาก็จับขวา ชกซ้ายเขาก็จับซ้าย ชกขวาเขาก็จับขวา ท้ายสุดก็โดนเขาขึงพืด พวกที่หายไป ๕ - ๖ คนย้อนกลับมาใหม่ ช่วยกันนั่งทับตั้งแต่อกยันปลายเท้า กระดิกไม่ได้เลย คนที่อยู่หน้าสุด จับแขนเราแล้วกดไว้กับหน้าอกบอกว่า "ให้บอกว่ากลัวสิ..แล้วจะปล่อย" เรื่องอะไรกูจะกลัวมึง..! อาตมาก็ว่าคาถาเป่าใส่เลย เขาเอียงหน้าหลบนิดเดียวบอกว่า "ไม่ถูก..!" กวนสุด ๆ ตอนนั้นทำให้เข้าใจเรื่องผีว่า ถ้าเราหลับตาหรือทำไม่สนใจจะเห็นเขาชัดเจนมาก เขากดเราอยู่ น้ำหนักมือหรือความอุ่นเหมือนกับคนทุกอย่างเลย แต่ถ้าเราตั้งใจจะมอง ก็จะมองทะลุเห็นมือตัวเอง หรือจะเห็นเสาหรือของอะไรที่อยู่ข้างหลัง แต่ถ้าทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็เป็นเงาหนา ๆ เหมือนคนนี่เอง |
อาตมาก็รอจังหวะ ต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ พอเขาเผลอ อาตมากระชากแขนพรวดหลุดออกมาได้ เราก็คว้าตัวที่อยู่ทางด้านหัว ตั้งใจจะทุ่มเขา ปรากฏว่าไปคว้าเอาผู้หญิงเต็ม ๆ จับเอวเข้าพอดี ยายนั่นก็บ้าจี้ หัวเราะคิกคักยักเอวยักไหล่...
อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าเนื้อผีก็คล้าย ๆ กับเนื้อคน ก็ต้องรีบปล่อย กลัวจะโดนอาบัติ เพราะเขาเป็นผู้หญิง ดิ้นหลุดออกมาได้ก็ไล่ชกไล่เตะ ตีกันตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนกระทั่งเหนื่อยหอบ พอได้เวลาออกมาทำวัตรเย็น ป้ากิมกีก็ถามว่า "หลวงพี่ย้ายของอะไรทั้งวัน ตึงตังไปหมด ?" เราจะไปย้ายอะไร ผีเขาย้ายเราต่างหาก..! ไม่น่าเชื่อว่าตีกับผีเป็นปี ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่มา เขาต้องการจะทดสอบกำลังใจ ถ้าเรายึดเกาะความดีได้ นึกถึงพระนึกถึงนิพพานได้เขาก็เลิก แต่เขาดันมาเจอนักรบเก่า ขอให้พระช่วยก็ไม่ขอ ลุยเองเลย เรื่องจะให้ยอมแพ้หรือบอกว่ากลัว ไม่มีหรอก จนกระทั่งท้ายสุด ท่านทนความหน้าด้านของเราไม่ไหว ท่านต้องไปเอง เพราะแกล้งหลอกเท่าไรเราก็ไม่กลัวสักที แถมยังไม่คิดถึงความดีอะไรด้วย สู้อย่างเดียว พอมานึกทบทวนย้อนหลัง อาตมานี่ดื้อสะบั้นหั่นแหลก จะนึกถึงพระนึกถึงนิพพานก็ไม่มี เอาแต่สู้อย่างเดียว มีรุ่นน้องท่านหนึ่ง คือท่านโกวิท น่าจะสึกไปแล้ว บวชทีหลังอาตมาหนึ่งพรรษา ท่านนอนอยู่ตรงป้อมยาม โดนผีบีบคอเสียจนลมหายใจจะหมดแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่า "เอาละวะ..ตายเป็นตาย ตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน" พอคิดอย่างนั้นเขาก็ปล่อย คือ ถ้าเกาะความดีส่วนใดส่วนหนึ่งได้เขาก็ปล่อย เขาถือว่าการทดสอบของเขาประสบผลแล้ว แต่ก่อนจะไปเขาก็บอกว่า "ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน..!" แหม..ดูถูกกันมาก ถ้าเป็นอาตมานี่ไอ้ผีตัวนั้นโดนแน่..! |
มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปโดนผีหลอกที่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อาตมาไปพักอยู่กลางป่า เทวดาบอกไม่ทัน อาตมาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ขยับลุกขึ้นมา นั่งไม่ทันเต็มตัวเลย เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า "ระวังผี..!" ปรากฏว่าไม่ทัน มือเย็นเจี๊ยบมาถึงคอแล้ว..!
อาตมาภาวนาพุทโธ ๆ เขาก็ชะงัก พอคิดจะหยุดภาวนาไปล้างหน้า เขาก็รวบมือเข้ามา พอภาวนาเขาก็คลายออกให้หน่อยหนึ่ง เล่นได้กวนมากเลย ก็ต้องยันกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง จึงบอกกับเขาว่า "พอเถอะ..ตะวันขึ้นแล้ว ต่างคนต่างไป ถ้าจะหลอกเดี๋ยววันหน้าค่อยมาใหม่" เขาเองก็ว่าง่ายเหมือนกัน ไปเอาง่าย ๆ เราจึงลุกไปล้างหน้าแปรงฟันได้ ตกลงว่าปกติที่เคยภาวนาพิจารณาทุกวันก็ไม่ต้องแล้ว วันนั้นเหลือแต่พุทโธอย่างเดียว |
ถาม : สงสัยว่าผีในป่าช้าที่ท่านเล่ามา พวกเขาเดือดร้อนตรงไหน ?
ตอบ : เขาเดือดร้อนเพราะไปไหนไม่ได้ ก็เลยอยากได้ส่วนกุศล ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขามีกำลังพอ หรือมีกำลังบุญสูงขึ้น เขาก็จะไปภพภูมิอื่นได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังยึดอยู่ แม้กระทั่งร่างกายที่ตายไปแล้ว ทำให้วนเวียนอยู่แถวนั้น ไปไหนไม่ได้ |
ถาม : เวลาพระอริยเจ้าท่านทำให้เข้าถึงอริยผล ท่านทำอย่างไร?
ตอบ : ข้อนี้ต้องไปถามพระอริยเจ้าเอง..! ก็ต้องเข้าหาวิปัสสนาญาณสิ โดยเฉพาะพิจารณาในกายคตาสติ หรือไม่ก็ดูในเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น ถ้ายังเป็นปลาอยู่ในน้ำ อย่าไปถามว่าบนบกเป็นอย่างไร อธิบายไปก็กลุ้มใจตายเปล่า ๆ..! |
ถาม : อยากรู้อานิสงส์การถวายดอกไม้ครับ ?
ตอบ : ต้องถามกลับว่าถวายใคร ? ถวายพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธบูชา ถวายพระสงฆ์ก็เป็นสังฆบูชา หรือเวลาเขาสวดมนต์แล้วไปโปรยก็เป็นธัมมบูชา ท่านใช้คำว่าอัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ ขอให้บูชาด้วยความเคารพจริง ๆ เท่านั้น อย่างนายสุมนมาลาการมีหน้าที่เอาดอกมะลิไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล วันละ ๘ ทะนาน วันนั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา นายสุมนมาลาการเกิดความปลื้มใจ คิดว่า "แม้เราจะไม่มีดอกไม้ไปถวายพระราชา ถ้าท่านจะประหารชีวิตเราก็ตามทีเถอะ เราขอสร้างบุญไว้ก่อน" แล้วท่านก็ซัดดอกไม้ขึ้นไป ๒ ทะนาน ปรากฏว่าดอกไม้ขึ้นไปลอยเรียงเป็นเพดานกั้นให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดความปลื้มใจ มีปีติมาก ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ดอกไม้ก็ลอยไปกั้นเป็นม่านอยู่เบื้องหลัง ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องขวา ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องซ้าย จนหมดเกลี้ยงทั้ง ๘ ทะนาน พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนก็เหมือนกับอยู่ในห้องดอกไม้ เปิดให้เห็นเฉพาะด้านหน้า ชาวบ้านเห็นก็สาธุการกันเซ็งแซ่ แต่ภรรยาของนายสุมนมาลาการกลับคิดไปอีกอย่าง คิดว่า "ตัวเองต้องแย่แน่ ๆ สามีเอาดอกไม้ไปทำแบบนี้ พระราชาอาจจะสั่งประหารเราไปด้วย" จึงรีบเข้าวังไปแจ้งความประสงค์กับพระราชา ว่าตนเองเป็นภรรยาของนายสุมนมาลาการ ขอหย่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งต่าง ๆ ที่นายสุมนมาลาการทำ ตนเองไม่ขอเกี่ยวข้อง พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านอนุญาตให้หย่าได้ แล้วให้ราชบุรุษไปตามตัวนายสุมนมาลาการมา ถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น ตอนทำคิดอย่างไร นายสุมนมาลาการก็บอกให้รู้ว่า เห็นพระพุทธเจ้าเกิดความปลาบปลื้มปีติมาก อยากจะทำบุญ จึงตัดสินใจว่าถ้าโดนพระราชาสั่งประหารชีวิตก็ยอม ขอทำบุญก็แล้วกัน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงโมทนา แล้วมอบสิ่งของพระราชทาน โดยให้วัวไป ๘ ตัว ม้า ๘ ตัว ช้าง ๘ เชือก หมู่บ้านไปปกครองอีก ๘ ตำบล แล้วก็เมียอีก ๘ คน ส่วนภรรยาเก่าของนายมาลาการดันทะลึ่งไปขอหย่า จึงไม่ได้อะไรเลยสักบาท..! |
ที่เล่ามานี่เราเห็นอะไรบ้าง ? อันดับแรกก็คือ กำลังใจของนายสุมนมาลาการ ถ้าได้ทำความดีแม้ตัวตายก็ยอม ประการที่สอง พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นไม่ได้หาตัวยาก เข้าพบเมื่อไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งขอเข้าไปพบพระราชา ไม่น่าจะได้พบง่าย ๆ
ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าอานิสงส์การถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาอย่างนายสุมนมาลาการ กลายเป็นคนรวยทันตา แต่ถ้าอย่างชูชกก็ได้นางอมิตดามาเป็นเมีย ชูชกอายุ ๘๐ นางอมิตดาอายุ ๑๖ รุ่นเหลนเลยนะ อรรถกถาเขาบอกว่า ชูชกถวายดอกไม้ตูมเอาไว้ในชาติก่อน ก็เลยได้ภรรยาสาวพริ้ง แต่เขาไม่ได้บอกว่านางอมิตดาเคยถวายดอกไม้เหี่ยวเอาไว้ก่อน เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ |
ชูชกเป็นผู้มีความสามารถสูงมากในการขอ ขอใครไม่เคยพลาด ได้ทุกราย โบราณาจารย์อย่างหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านก็เลยสร้างชูชกขึ้นมาเป็นเคล็ดลับในเรื่องของมหาลาภ มหานิยม เพื่อให้ลูกศิษย์ไปทำมาหากิน จะได้มีความสะดวกคล่องตัว
เนื่องจากชูชกขอทานจนรวย มีเงินเป็นแสนกหาปณะ เอาไปฝากเพื่อนไว้แล้วตัวเองก็ไปขอทานต่อ ชูชกหายไปหลายปี อายุก็มากแล้วเพื่อนพราหมณ์นึกว่าชูชกตายแล้ว จึงเอาเงินของชูชกไปใช้จนเพลิน พอชูชกกลับมาทวงเงิน ไม่มีคืนให้ เขาก็เลยต้องยกลูกสาวให้เป็นการตอบแทน ต้องบอกว่า นางอมิตตดานั้นพ่อแม่อบรมมาดี แม้จะยกให้เป็นภรรยาของชูชกที่แก่เฒ่าปานนั้น ก็ยังเคารพสามีเหมือนพ่อ ดูแลปรนนิบัติรับใช้ทุกอย่าง แต่ทีนี้เดือดร้อนบรรดาพราหมณ์อื่น ๆ เขาเอานางอมิตตดาเป็นมาตรฐาน ว่าทำไมเมียเราถึงไม่ดีเหมือนนางอมิตตดาบ้าง ก็ไปตีเมียบ้าง ด่าเมียบ้าง บรรดาเมียพราหมณ์ทั้งหลายเก็บความแค้นเอาไว้ ตอนไปตักน้ำก็ไปรุมด่านางอมิตตดา "เพราะแกทีเดียวนางกาลกิณี เข้ามาในหมู่บ้าน เลยทำให้พวกข้าเดือดร้อนหมด" นางอมิตตดาร้องไห้กลับบ้าน ชูชกถามเกิดอะไรขึ้น นางจึงเล่าให้ฟังแล้วบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ไปตักน้ำแล้ว ชูชกบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก..ได้ยินว่าพระเวสสันดรตอนนี้ออกบวชอยู่ในป่า พระนางมัทรีที่เป็นมเหสี กัณหา ชาลี ที่เป็นราชกุมารีราชกุมารตามไปด้วย พระเวสสันดรเป็นผู้ใจดี ขออะไรก็ให้ เดี๋ยวเราจะไปขอกัณหา ชาลี มาให้เป็นทาสของเจ้าก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินทางไป |
จริง ๆ ช่วงออกพรรษาจะเป็นช่วงที่เขาเทศน์พระเวสสันดรชาดก บางทีก็เรียกว่า เทศน์คาถาพัน เพราะจะประกอบด้วยคาถาบาลีเป็นหัวเรื่องหนึ่งพันบทด้วยกัน รวมทั้งหมดมี ๑๓ กัณฑ์
ได้แก่ ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์ รวมแล้วเป็นบาทคาถาหนึ่งพันคาถา เขาเลยเรียก เทศน์คาถาพัน สมัยก่อนเขาเทศน์กันสามวันสามคืน |
พระอาจารย์กล่าวถึงโบสถ์เทวดาสร้าง ที่นครสวรรค์ให้ฟัง
"วัดจอมคีรีนาคบรรพต มีโบสถ์หลังนิดเดียว แต่เขาเชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าไปได้หมด โบสถ์หลังนี้แต่เดิมเขาสร้างค้างไว้หลายปี ตามที่เล่ากันมา เขาบอกว่า วันหนึ่งเป็นวันพระใหญ่ ตอนกลางคืนมีแสงสว่างไปทั่วทั้งยอดเขา เหมือนกับใครมาจุดไฟทำอะไร พอรุ่งเช้าโบสถ์ทั้งหลังก็เสร็จเรียบร้อย เขาก็เลยเชื่อกันว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง พอเวลามีงานบุญ คนก็ยัดกันเข้าไปในโบสถ์หลังเล็ก ๆ นั้นได้ คนก็เกิดความแปลกใจว่า โบสถ์หลังนิดเดียวแต่ทำไมคนมาแล้วนั่งได้เรื่อย ๆ เขาเลยลือกันไปว่าโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าได้หมด จึงมีนักเลงดี คือ ผู้บังคับกรมทหารราบที่ ๔ ค่ายจิรประวัติ เอาทหารทั้งกรมไปทดลอง ทหารกรมหนึ่งจำนวนเท่าไร ? ถ้าตามอัตรากำลังทหารที่อาตมาเคยอยู่ กองพลทหารราบที่ ๙ กาญจนบุรี การจัดอัตรากำลัง ๑ กองร้อย เท่ากับ ๑๔๒ คน ๕ กองร้อยเป็น ๑ กองพัน ๕ กองพันเป็น ๑ กรม ลองคำนวณดูแล้วกันว่า ๑ กรม มีทหารจำนวนเท่าไร ? พอถึงเวลาท่านผู้การก็สั่งให้ทหารเข้าโบสถ์ไป เข้าไปก็เหมือนกับเต็ม พอขยับก็เข้าไปได้เรื่อย ๆ ท้ายสุดทหารทั้งกรมก็เข้าไปอยู่ในโบสถ์หลังเล็ก ๆ ได้ ไม่รู้ว่าเข้าไปได้อย่างไรกันตั้งพันกว่าคน..! เขาจึงได้เชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้างจริง ๆ ทุกวันนี้ติดป้ายเย้ยฟ้าท้าดินเลยว่า "ขอเชิญชมโบสถ์เทวดาสร้าง" มีโอกาสก็ลองแวะดู เป็นโบสถ์ที่มีศิลปะแบบภาคกลางตอนเหนือ งามทีเดียวแหละ" |
"สมัยพุทธกาล งานถวายพระเพลิงศพพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี หรือว่างานประชุมเพลิงพระสารีบุตรมหาเถระ เทวดาต้องลงมาช่วย เนรมิตจิตกาธาน เนรมิตที่พักสงฆ์ ฉะนั้น..โบสถ์เทวดาสร้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
งานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพุทธศาสนา คือ งานศพของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี แม้แต่งานถวายพระเพลิงพุทธสรีระก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่า เนื่องจากพระพุทธเจ้าเป็นองค์อำนวยการเอง ในฐานะที่เป็นพระน้านางและเป็นแม่ผู้ถวายกษีรธารา(น้ำนม)มาตั้งแต่เด็ก เท่ากับว่าท่านจัดงานให้แม่ จึงได้เดือดร้อนเทวดาต้องมาเนรมิตจิตกาธานให้ และต้องยกขบวนมาเป็นเกียรติยศด้วย งานนี้พระอรหันต์แบกโลงให้ ก็คือ บรรดาพระญาติพระวงศ์อย่างพระอานนท์ พระนันทะ พระพุทธเจ้าเสด็จนำ ตามด้วยหมู่สงฆ์เป็นแสน ยังมีพรหมเทวดาอีกนับไม่ถ้วน แล้วจึงต่อด้วยขบวนประชาชน มีเวลาเตรียมงานนานมาก ไม่เหมือนกับการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ที่ต้องทำให้เสร็จภายในไม่กี่วัน ลองไปค้นเอาเองในพระไตรปิฎก งานนี้ไม่บอกว่าอยู่ในเล่มไหน" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่พระองค์ที่ ๑๐ มาวัดท่าซุง เสียดายแทนโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นขอดอกบัวจากพระองค์ที่ ๑๐ บอกว่าแม่ไม่สบาย ขอดอกบัวไปต้มเป็นยาให้แม่กินเพื่อรักษาโรค
พระองค์ที่ ๑๐ ท่านบอกว่า "ถ้าให้เธอคนหนึ่ง คนอื่นก็อยากได้ด้วย เอาอย่างนี้สิ..ให้เธอเอาน้ำใส่หม้อแล้วตั้งใจนึกถึงฉัน ขอให้น้ำนี้เป็นยารักษาโรคได้" ปรากฏว่าโยมเขาทำท่าผิดหวัง และอาตมามั่นใจด้วยว่าเขาไม่ได้ทำ ถ้าเป็นอาตมาจะต้มน้ำเปล่ารักษาโรคให้ทั่วประเทศเลย ก็ท่านให้พรขนาดนั้นแล้ว" ถาม : ท่านให้พรแค่คนเดียวหรือคะ ? ตอบ : ท่านให้พรใครก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น แต่เขาไม่เอา อาตมาดูหน้าแล้วรู้เลยว่าเขาไม่ทำ เขาจะเอาดอกบัวให้ได้อย่างเดียว อาตมาเองตอนนั้นก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะขอทำเสียเอง |
มีคนนำรูปคุณป้านิภา คงสุข มาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวถึงป้านิภาว่า "คุณป้านิภา ท่านไปบวชชีที่ต่างประเทศ ความจริงท่านเดินทางไปสงเคราะห์ญาติโยมทางด้านนั้น แล้วพระกับหลวงพ่อบอกว่าบวชได้แล้ว ท่านก็เลยต้องโกนหัวบวชที่ต่างประเทศเลย
อาตมาไม่ได้ไปช่วยท่านหลายปีแล้ว ตอนที่ท่านสร้างสำนักใหม่ ๆ ก็ไปทุกเดือน ไปถึงเมื่อไร ป้าก็จะส่งไมค์ให้ เป็นอะไรที่น่าขำ เข้าไปถึง..พูดอะไรก็ไม่พูดสักคำ ป้าส่งไมค์มาให้ อาตมาก็รับงานไปจนกว่าจะเสร็จ แล้วก็กลับ ส่วนใหญ่จะเป็นการถวายสังฆทานและมีการทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วย ท่านไปซื้อที่แล้วทำเป็นบ้านจัดสรร ไม่ทราบว่ายังมีเหลืออีกหรือเปล่า ? ลักษณะเป็นเหมือนหมู่บ้านจัดสรรพร้อมอยู่ อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอบ่อพลอย ตอนที่คุณสมทรง อดีต ส.ส.กาญจนบุรีหลายสมัย จะลงสมัคร ส.ส.อีกครั้ง คุณสมทรงอุตส่าห์เดินทางขึ้นไปถึงทองผาภูมิ เพื่อที่จะไปถามอาตมาว่า สมัคร ส.ส. ครั้งนี้จะสอบได้ไหม ? อาตมาจะบอกว่าไม่ได้..ก็เกรงใจ เลยส่งเบอร์ป้านิภาให้ บอกว่า"ไปถามป้านิภาจะดีกว่า อาตมาเป็นพระ..พูดยาก" สงสัยจะได้คำตอบ จึงไม่เห็นคุณสมทรงลงสมัคร ส.ส. ความจริง ก็คือ คุณสมทรงเขาไม่อยู่ที่นั่นมาหลายปี เท่ากับว่าพวกบรรดาฐานคะแนนเสียงต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โอกาสที่จะไปรบกับเจ้าถิ่นใหม่ก็ยาก" |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติให้ฟังว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมให้ระมัดระวังไว้อย่างหนึ่ง เรื่องของภาพหลอกภาพหลอน การทดสอบกำลังใจต่าง ๆ
บางรายรู้สึกว่าหลวงพ่อมาสั่ง พระมาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ เสร็จแล้วก็มาปรึกษาอาตมาว่า ควรจะทำอย่างไร ? ปฏิบัติตามดีไหม ? ก็บอกวิธีพิจารณาแบบง่าย ๆ ว่า ถ้าหากไม่เกินวิสัยหรือความสามารถของเรา ไม่ต้องทำให้เราลำบากมากนักก็ทำไป แต่ถ้าอันไหนถึงขนาดให้เราลำบากมากก็ไม่ต้องทำ รับทราบไว้ด้วยความเคารพและก็ตั้งบูชาไว้บนหิ้งตรงนั้นแหละ อย่างเช่น เราเป็นฆราวาสแล้วท่านบอกให้สร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง เราพิจารณาแล้วว่าเกินกำลัง ก็รับไว้ด้วยความเคารพแล้วขึ้นหิ้งไว้ ถึงวาระอันควรแล้วค่อยว่ากัน อาตมาเองไปสร้างเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ท่านมาสั่งให้ทำอาคารตรงนั้นตรงนี้ รวม ๆ แล้ว ๑๓ หลังด้วยกัน มีกระทั่งอาคารใช้แทนโบสถ์ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลมาก จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะให้ผมทำก็ได้ แต่นิสัยผมไม่ชอบขอเงินใคร ถ้าต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวผมจะไม่ทำเลย" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะว่า "แกจะเอาอย่างนั้นแน่หรือ ?" "แน่ครับ" "เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ มีเพื่อนของหัวหน้าป่าไม้เขาขึ้นไป หลังจากที่เขาพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ท่านหัวหน้าก็บอกเพื่อนว่า มีพระมาอยู่ใกล้ ๆ หน่วย เลยพากันเข้ามาหา เขาเดินดูรอบเกาะพระฤๅษีแล้ว จึงได้มากราบชวนคุยว่า "ที่สวยดีนะครับ" "เออ..สวย" "แล้วจะไม่สร้างอะไรบ้างหรือครับ ?" "อยากจะสร้าง แต่เงินไม่มีว่ะ..!" "จะสร้างอะไรบ้างครับ ?" "อยากได้ศาลาสักหลัง" |
"เขาหายไปประมาณสองชั่วโมง เดินกลับมาพร้อมกับแปลนศาลา ที่แท้เขาไปนั่งเขียนแปลน จริง ๆ แล้วเขาเป็นนายช่างรับเหมาก่อสร้าง "หลังขนาดนี้ดีไหมครับ ?"
"ดี..แต่เงินไม่มีว่ะ" "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมทำให้ก่อน" ว่าแล้วเขาก็ขนช่าง ขนของ มาตั้งหน้าตั้งตาทำเอง คราวนี้เดือดร้อนพวกเราสิ..คนนั้นไปเห็น "อ้าว..ท่านก่อสร้างนี่" คนนี้ไปก็เห็น "อ้าว..หลวงพี่ก่อสร้างทำไมไม่บอกกันบ้าง ?" ต่างคนต่างควักเงินให้ ปรากฏว่าจำนวนเงินพอให้เขา จึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำได้จริง ๆ ไม่ต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวก็ได้ ท่านหาของท่านมาเอง เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ รู้อะไรอย่าไปเชื่อเสียทุกเรื่อง เพราะจะมีการหลอก มีการทดสอบกำลังใจกันได้ ถ้าเชื่อไปเสียทุกเรื่องเดี๋ยวจะเป๋ โดยเฉพาะพวกเราขาดวิจารณญาณมาก โอกาสโดนต้มมีสูง เรื่องที่หนึ่งรู้มาอย่างถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองที่สามถูกต้อง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สี่จะถูก ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ายังไม่เชื่อ จนกว่าจะเป็นไปตามนั้นก่อน" |
"ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือท่านชาติชาย พระรุ่นน้องของอาตมา บวชที่วัดท่าซุงเหมือนกัน ออกจากวัดมาอยู่กับอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ท่านเองเดินจงกรมภาวนา ไม่กินไม่นอนอยู่สองเดือนเต็ม ๆ อยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่ได้มีกำลังสมาธิหนุนเอาไว้ก็คงตายไปแล้ว..!
ภายหลังร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการกรรมฐานแตก ที่เขาเรียกว่า สติแตก อาตมาต้องเอาตัวเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตอนที่ไปเก็บข้าวของให้พี่น้องของท่านเอาไป ไปเจอสมุดบันทึกของท่าน พออ่านดูจึงรู้ว่า เวลามารเขาหลอก เขาจะบอกความจริงเราประมาณ ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หลอกไว้นิดหนึ่ง ถ้าวิจารณญาณไม่ดีจะเชื่อเขาหมดเลย อย่างเช่นในการปฏิบัติ มีวันหนึ่งท่านบันทึกว่า "วันนี้พระมาบอกว่า ช่วงเวลาแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งทุ่มเทมากเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น" มีตรงไหนผิดบ้างไหม ? ไม่มีเลยใช่ไหม ? แต่ผิด..! "นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก" ชัดเลย นี่เป็นพระพุทธวจนะ แต่ "ยิ่งทุ่มเทเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น" ตรงนี้ไม่ใช่ เพราะการปฏิบัติจะมีวาระมีเวลาของเขา ถ้าเราทำไม่ถึง ทำไม่พอ อย่าหวังเลยว่าผลจะเกิด ทีนี้ท่านอยากได้ ก็ไปทุ่มเทเดินจงกรมภาวนา ต่อเนื่องกันทั้งวันทั้งคืน สองเดือนเต็ม ๆ ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ? พอร่างกายไม่ไหวก็เรียบร้อย..!" |
"เพราะฉะนั้น..เราเองวิจารณญาณยังไม่พอ ปัญญายังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาหลอกเราตรงจุดไหน ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก เสียดายท่านที่ปฏิบัติดี มีการรู้เห็นที่ชัดเจน และเสียหายไป
อย่างวัด...ช่วงระยะที่ท่านดังขึ้นมา มีคนเอาหนังสือของท่านมาให้อาตมาแจกคนเยอะมาก ปกติเวลาเอาหนังสือใครมา อาตมาแจกหมด แต่หนังสือของท่านมาถึง อาตมาเก็บเรียบ เพราะรู้ว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง ท่านพูดตามที่ท่านรู้ แต่ว่าไม่ใช่ของจริง ระยะนั้นก็มีโยมมาถามมาก อย่างเช่นถามว่า ท่านสอนว่าไม่ให้เอาวัตถุมงคลไว้ในบ้าน เพราะจะทำให้บรรดาผีบ้านผีเรือนเดือดร้อน ไม่ให้พรมน้ำมนต์เพราะจะไปทำร้ายเขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปตามที่ท่านเห็น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเองขี้เกียจตอบ ก็เลยถามโยมกลับไปว่า "ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่า อย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้โจรเดือดร้อน โจรจะเข้าปล้นไม่ได้ ถ้าอย่างนี้เป็นโยมจะเชื่อไหม ?" ของบางอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย เวลามารเขาหลอก เขาไม่ได้หลอกชั้นเดียว เขาหลอกเป็นสิบ ๆ ชั้น เพราะเวลาท่านเชื่อแล้วสอนไป เป็นการสอนผิดไปจากพระพุทธวจนะ โอกาสที่ตัวเองจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี บุคคลที่หลงเชื่อและปฏิบัติตาม โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี ยิ่งถ้าท่านไปทำลายพระพุทธรูปด้วย ยิ่งสาหัสเลย ชาตินี้ไม่พ้นอเวจีอย่างแน่นอน..! คราวนี้ท่านที่มีสติสัมปชัญญะแต่ปัญญาไม่พอ ไปกล่าวตำหนิว่าท่าน ก็ซวยอีก เพราะอย่าลืมว่าท่านเป็นพระ ถึงหลักการปฏิบัติผิด แต่ศีลของท่านไม่ได้ผิด ความเป็นพระในสมมติสงฆ์ของท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เท่ากับเราไปด่าพระเต็ม ๆ ก็ลงอเวจีไปด้วย..!" |
"พอเราไปด่าท่าน บุคคลที่เลื่อมใสพระท่านนั้นอยู่ก็ "ไอ้นี่ด่าอาจารย์กูนี่หว่า.." เขาก็ด่าคืนมา กลายเป็นเกิดความแตกแยกในพระพุทธศาสนา
เราเห็นหรือยังว่าโทษเกิดหลายชั้น ท้ายที่สุดถ้าไปถึงเจ้าคณะปกครอง หรือไปถึงในหมู่สงฆ์ด้วยกัน ก็จะต้องแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านนี้ว่าถูก ท่านนี้ว่าไม่ถูก ตามแต่กำลังใจของตนเองจะพิจารณาไป ก็ทำให้ศาสนาของเราสั่นสะเทือนไปด้วย ถ้าออกไปกว้างใหญ่พอ จำนวนคนมากพอ จำนวนพระมากพอ อาจจะถึงกับมีการแยกนิกาย แล้วทำให้ศาสนาล่มสลายได้ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของมารเขาไม่เคยหลอกชั้นเดียว เขาหลอกหลายชั้นมาก ในการปฏิบัติให้ระมัดระวังไว้ อาตมาอยากจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้ปลอดภัยที่สุด คนหูหนวกตาบอด เขาไม่รู้จะไปหลอกอย่างไร แต่ถ้ารู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งโดนหลอกง่ายเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่พึงสังวรเอาไว้ นิมิตเกิดขึ้น รู้แล้ววาง น้อมรับไว้ด้วยความเคารพ ขอบคุณที่มาบอก แต่กองไว้ตรงนั้นแหละครับ ยกเว้นว่ามาย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องทำนะ ถ้าไม่เกินวิสัยและไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็ทำ แต่ให้ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก มีอะไรให้ยกขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ถ้าไม่ผิดไปจากสองส่วนนี้ เราปฏิบัติตามก็เชื่อได้ว่าน่าจะถูก" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:18 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.