![]() |
เมื่อออกจากปราสาท หลวงพ่อถามว่า “ปราสาทของเราสวยไหม? ไปดูภาพเขียนรอบวิหาร จะเข้าใจอะไรมากขึ้น” ข้าพเจ้าเดินไปดูภาพเขียนที่ผนัง น่าแปลกมาก!
ภาพนั้นคือ ภาพวาดของตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง มีชื่อ.... ชัดเจน หน้าตาเหมือนข้าพเจ้าในปัจจุบัน เป็นภาพเล่าประวัติการเวียนว่ายตายเกิด การกระทำภาระหน้าที่ในแต่ละชาติ แม้กระทั่งชาติที่เกิดที่บ้านนาคู จังหวัดนครพนมก็มี ได้เดินดูจนรอบ ทั้งจดจำไว้เพื่อทำการพิสูจน์ต่อไป เรื่องราวนี้ขอสงวนไม่เขียนรายละเอียดเพราะไม่สมควร แต่ได้พิสูจน์แล้วเท่าที่จำมา ได้ไปดู ได้ไปเห็นหลักฐานที่มีอยู่ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว มีความเป็นจริงตามภาพนั้น บอกได้อย่างเดียว ประวัติถูกบันทึกไว้ที่วิหารราย ณ ที่ปราสาทหลังนั้น น่าแปลกไหม? ทั้งยังมีช่องว่างอีกมากมาย ไม่มีภาพเขียนไว้ หลวงพ่อบอกว่า “เขายังไม่บันทึก ต่อไปกาลข้างหน้าจะบันทึก” ข้าพเจ้าเขียนไว้ ไม่ให้ใครมาเชื่อ แต่ขอให้พิจารณาว่าโลกนี้มีอะไรน่าศึกษา ค้นคว้าเรียนรู้อีกมากมาย ไม่ใช่ที่เรารู้เห็นเท่านั้น ยังมีอะไรซ่อนเร้นอีกมาก มีอะไรที่ปกปิด อยู่เป็นความเร้นลับ ท้าทายให้ค้นคว้า แสวงหาความจริงที่รออยู่ เพื่อให้ทุกคนพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง อย่าฟังแต่คำบอกเล่า จากบันทึกของผู้พบเห็น เราเป็นตัวของเราเอง มีอิสระเป็นของเรา และเราก็มีเสรีภาพเป็นของเราที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนนั่นแหละ ทุกคนมีสิทธิจะคิด จะทำ จะพูด จะศึกษาเรียนรู้ จิตใจอย่าคับแคบ แต่ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เรามีสิทธิเสรีภาพตามกฏเกณฑ์ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จึงจะได้ชื่อว่าเสรีภาพหรือเสรีประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของมวลมนุษยชาติ ฉะนั้น เราจะมาปิดกั้นตัวเราด้วยจิตใจอันคับแคบอยู่ทำไม? ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น เหมือนคำกล่าวที่ว่า “เราไม่อาจกลับมาในสถานที่ที่เราไม่ได้ไป เราไม่อาจไปถึงเมื่อเราไม่ไป เราไม่อาจไปที่อื่นได้เมื่อเรายังยืนอยู่อย่างนั้น เมื่อใจคับแคบก็จะไม่เห็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ ไม่พบโลกกว้างอันความพิสดารเหมือนกบที่ถูกกะลาครอบอยู่” หากเราไม่ไปเราจะไม่ค้นพบความจริงที่ท้าทายรอเราอยู่ ตัวเราคือเครื่องมืออันสำคัญ ที่เข้าไปค้นคว้าหาความจริงตราบเท่าโลกนี้ยังมีอยู่ |
ออกจากปราสาทหลวงพ่อพาไปอีกที่หนึ่ง โดยพาลอยตัวขึ้นบนอากาศ ลอยตัวไปเรื่อย ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามไม่เหมือนโลกมนุษย์ ทุกพื้นที่สะอาดเหมือนมีผู้ตกแต่งเอาไว้ทุกตารางนิ้ว ทุกพื้นที่ที่ผ่านไปจิตมันสดชื่น สงบเยือกเย็น มีความสบายไม่ร้อน ไม่มีหนาว มีแต่ความสบายเท่านั้น ตัวเบา
หลวงพ่อพาไปสถานที่ที่หนึ่ง ด้านหน้ามีแสงสว่างเจิดจ้า จนมองอะไรไม่เห็น นอกจากแสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์ หลวงพ่อพาลงมาที่บันไดแก้วที่ทอดลงมา ข้างบนมีแสงสว่าง เมื่อเท้าทั้งสองถึงพื้น หลวงพ่อก้มลงกราบ ข้าพเจ้าก็กราบตาม ไม่รู้ว่าท่านกราบอะไร? เพราะมองไม่เห็นเลย เพียงทำตามหลวงพ่อเท่านั้น เมื่อกราบแล้วได้ยินเสียงดังมาจากข้างบน เสียงนั้นดังมาก ก้องกังวาน น้ำเสียงฟังแล้วเย็นสะท้านไปทั้งกาย แต่นุ่มเปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงแห่งความเมตตากรุณา ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ บอกไม่ถูก สุดจะหาคำอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ เพราะไม่มีโวหารคำใดที่จะพรรณนาให้ใกล้ความเป็นจริงได้ เสียงที่ดังมานั้นถามว่า รัตนมุนี (เป็นฉายาของหลวงพ่อข้างบนนั้น ท่านเรียกฉายาไม่ได้เรียกชื่อ) เธอขึ้นมาทำไม? หลวงพ่อตอบว่า เจ้าข้า ข้าพระองค์นำลูกศิษย์ขึ้นมาเฝ้าพระเจ้าข้า เสียงนั้นดังขึ้นอีก เธอจงเข้ามาสิ หลวงพ่อตอบว่า พระเจ้าข้า ขณะนั้นแสงสว่างค่อย ๆ จางลง มองเห็นสภาพแวดล้อม ความสวยงามไม่ต้องกล่าวถึง ขอให้ท่านที่ได้อ่าน จินตนาการเอาเองเถิด มองเห็นบันไดแก้วพาดลงมาจากปราสาทแก้ว เป็นปราสาทแก้วที่ใหญ่โตกว้างสุดคณานับ ลอยอยู่กลางอากาศส่องแสงเป็นประกายรอบทั้งปราสาท หลวงพ่อก้มกราบที่บันไดขั้นแรก ข้าพเจ้าทำตาม จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่า น้ำเสียงนั้นเป็นเสียงใคร แต่เห็นหลวงพ่อพูดราชาศัพท์ ก็คิดว่าคงเป็นผู้มีอำนาจแน่ แม้แต่เสียงทำให้เราเกิดอาการสะท้านไปทั้งตัว แต่จิตกลับสุขล้ำลึก ได้เดินขึ้นบันไดแก้วทีละขั้น ๆ กี่ขั้นไม่อาจทราบได้ ขยับขึ้นจนถึงขั้นสุดท้ายเป็นลานกว้าง มองไปข้างหน้าเห็นพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์แก้ว มีผิวพรรณขาวนวล ส่องประกายรอบพระวรกาย พระพักตร์อิ่มเอิบ พระเนตรเปล่งประกาย ห่มจีวรสีเหลือง พระโอษฐ์แย้มยิ้มน่าเกรงขาม แม้แต่จะเหลือบมองก็ยังเกรงกลัว เมื่อสบพระเนตร ใจสะท้านจิตสะท้อน กายสั่นเทิ้มหวั่นไหวไปทั้งกายและจิต |
หลวงพ่อก้มกราบอีกครั้งแล้วคุกเข่าเดินเข้าไป เมื่อมีเสียงตรัสว่า “เข้ามาใกล้ ๆ สิ” เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าที่นั่งพับเพียบ พนมมือไหว้อยู่อย่างสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นว่า “ดีแล้วที่ขึ้นมา เธอจะบวชในบวรพระพุทธศาสนาไหม?” จึงตอบว่า “บวชพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “เธอตัดสินใจแน่แล้วหรือ?” จึงตอบว่า “ตัดสินใจแน่วแน่แล้วพระเจ้าข้า” ทรงตรัสว่า “ดีแล้ว” พระพุทธองค์ทรงหันไปถามหลวงพ่อ “จะอนุญาตไหม?” หลวงพ่อตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ขัดข้องพระเจ้าข้า”
*พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ ความรู้สึกเหมือนดอกไม้ทั้งโลกนั้นแย้มกลีบดอกบานตามรอยยิ้มของพระองค์ ทั้งเปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา ทั้งเต็มไปด้วยความอบอุ่น เป็นสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งพระพุทธองค์ ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริง ๆ ดูเอาเถิดพระผู้เป็นใหญ่เหนือสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นทั้งครูของมนุษย์ พรหมและเทวดา* พระองค์ทรงพระเมตตา หาได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่มีอยู่เหนือโลกมนุษย์ ทรงไม่หักหาญน้ำใจ ทรงขออนุญาตหลวงพ่อก่อน ถามความสมัครใจของข้าพเจ้าจนแน่พระทัยแล้ว จึงทรงยกพระหัตถ์ข้างขวาขึ้นพร้อมผายพระหัตถ์ออก ทรงตรัสว่า “เธอจงเป็นพระภิกขุในพระบวรพุทธศาสนาเถิด (ในพระวินัยนี้)” น่าอัศจรรย์ !!! ผมบนศีรษะของข้าพเจ้าหลุดออกจนหมดสิ้น เหมือนถูกโกนด้วยมีดอันคมกริบ แต่ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงผายพระหัตถ์ออกอีกครั้ง ผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้ารัดอกได้ห่อหุ้มตัวข้าพเจ้า กลายเป็นพระไปในเวลานั้น ทรงพระราชทานบาตรมาให้ใบหนึ่ง ครองสะพายก็เป็นพระโดยสมบูรณ์ ข้าพเจ้าก้มกราบพระองค์ท่าน แล้วหันไปกราบหลวงพ่อ ท่านยิ้มด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงได้อุปสมบทในโลกทิพย์ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าภูมิใจมากที่ได้บวชเป็นพระ หลวงพ่อสั่งให้กรวดน้ำแผ่อานิสงส์ให้พ่อให้แม่ทุก ๆ ภพ และเพื่อนมนุษย์สัตว์ผู้เวียนว่ายตายเกิด ได้ยินเสียง สาธุ สาธุ สาธุ ดังก้องไกลมาเป็นระยะ ๆ มันก้องเหมือนเสียงสามมิติ กังวานกึกก้องรอบทิศ :onion_yom::onion_yom::onion_yom::onion_yom: |
พระพุทธองค์ทรงสอนธรรมสั้น ๆ “เหตุทั้งหลายอยู่ที่ใจ ดับเหตุให้ดับที่ใจ เหตุเกิดตรงไหน ให้ไปดับที่นั่น” แล้วบอกให้หลวงพ่อพาไปเที่ยวให้ทั่ว ก้มลงกราบแล้วถอยออกมา พระพุทธองค์ทรงประทานม้าแก้วให้เป็นพาหนะตัวหนึ่ง พอขึ้นนั่งขี่ ม้าตัวนั้นก็พาเราสองคนไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ทั่วไปหมด ล้วนเป็นที่ที่ไม่เคยเห็นในโลกมนุษย์เลย สวย ๆ แปลก ๆ เห็นแล้วไม่อยากกลับเลย
ได้ไปที่สระน้ำเป็นที่สถิตทิพย์วิมานของพระแม่ธรณี ได้พบต้นดอกไม้ทิพย์ ใครได้ดมก็จะระลึกชาติได้ เป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ ดอกมีแสงส่องประกายเจิดจ้า พุ่งขึ้นข้างบน ออกข้าง ๆ ลงข้างล่าง มีเทวดาเฝ้าอยู่ แสงที่ส่องกระทบกัน แปลกอยู่นิดหนึ่ง คือ ต่างจากแสงธรรมดา เพราะเมื่อแสงมากระทบกัน จะมีเสียงดังเหมือนแก้วกระทบกันและกัน มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงบรรเลงเครื่องสายในวงดนตรีไทย ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไร? ที่พอจะเปรียบเทียบได้กับสิ่งที่ผู้เขียนได้พานพบ ได้รับฟังการบรรเลง ที่พอจะยกเอามาเปรียบเทียบให้เกิดจินตนาการได้ นอกจากนั้นยังได้พบปราสาทแก้ว เงิน ทอง หยก พลอยสีต่าง ๆ เรียงรายไปหมด แพรวพราวละลานตาไปทั่ว ได้ไปพบสัตว์ในป่าหิมพานต์หลากหลายอยู่กันเป็นระเบียบ มีความเป็นมิตร พวกที่ตัวมีเกล็ด เกล็ดก็เป็นเพชรเป็นพลอย พวกที่ตัวมีขน ขนก็เป็นแก้ว น่าทึ่งจริง ๆ ผลไม้แต่ละชนิดก็มีแสงไม่เหมือนในโลกมนุษย์เรา มีสีสันสวยงามจับตา ได้เข้าไปในถ้ำสมบัติ มีสมบัติมากมายมหาศาล เทวดาที่เฝ้าอยู่บอกว่าเป็นทรัพย์ยุคขององค์พระศรีอาริยเมตตรัย ในยุคนั้นมนุษย์จะอยู่ดีกินดี มีสันติสุข คนมีศีลธรรม ถามว่า “ถ้ำนี้อยู่ไหน?” เทวดาตอบว่า “อยู่ในโลกมนุษย์นั่นแหละ เป็นมิติซ้อนมิติอยู่ คนไม่มีบุญ มองไม่เห็นหรอก ทำให้คิดว่าครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง แต่เราไม่เชื่อเอง” นอกจากนั้น ยังพบสิ่งแปลก ๆ อีกมากมาย จะกินผลไม้ก็ไม่ได้ ได้แต่เที่ยวชมเท่านั้น |
ได้พบธารน้ำตก หลวงพ่อบอกให้เข้าไปอาบ *เหมือนสายน้ำตก มองดูเหมือนน้ำไหลตกจากที่สูง ไม่ใช่น้ำแต่เป็นแสงสว่าง เข้าไปอาบอยู่ใต้แสงนั้นโดยไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกเปียก แต่มีความสดชื่นเหมือนกับได้อาบน้ำ*
จากนั้นม้าแก้วก็พาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นปราสาทสีขาว พบรูปของพระพุทธองค์ปางปรินิพพาน ได้ก้มลงกราบ แล้วม้าแก้วก็หายไป หลวงพ่อก็ชวนเดินทางกลับ กายของข้าพเจ้ากลายเป็นฆราวาส แต่งชุดขาวเหมือนตอนมากับหลวงพ่อเช่นเดิม เมื่อกลับมาถึงห้องพระเข้าร่างที่นั่งอยู่ เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มเศษ ข้าพเจ้าจึงถามหลวงพ่อว่า “ไปไหนกันมาบ้าง ?” หลวงพ่อบอกว่า “ถามทำไม ไม่ได้ไปเห็นหรือ ?” แต่ท่านก็เล่าให้ฟังเหมือนที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ทุกประการ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย ได้กราบหลวงพ่อด้วยความเคารพแล้วเข้านอน แต่ก็นอนไม่หลับ จิตเฝ้าทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อกันลืม ทำให้เกิดศรัทธาในตัวหลวงพ่อเป็นทวีคูณ ตั้งใจแล้วว่า ต่อไปนี้จะไม่ลองท่านอีกแล้ว จะเห็นได้ว่าจิตของข้าพเจ้าได้ละพยศไปเกือบสิ้นเชิง จากนั้นมา ข้าพเจ้าจะหาโอกาสและเวลาส่วนหนึ่งที่ว่างเดินทางไปในจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้เห็นจากภาพในวิหารราย เพื่อพิสูจน์ความจริงตามภาพเขียนนั้น ก็เป็นจริงตามนั้นทุกที่ ได้ไปย้อนรอยอดีตกรรมที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่เฉพาะในประเทศไทย แต่ในประเทศจีน ประเทศอินเดีย ฯลฯ ยังไม่มีโอกาสได้ไปพิสูจน์ความจริง แสดงว่าที่ได้พบมานั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ถูกสะกดจิตจากหลวงพ่อ ท่านนำข้าพเจ้าขึ้นไปด้วยพลังอภิญญาของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้ท่องโลกทิพย์วิมาน แดนพุทธภูมิและวิมานต่าง ๆ นับว่าได้ช่วยละลายพฤติกรรมผิด ๆ ในจิตของข้าพเจ้าให้สลาย เข้าใจอะไรมากขึ้น ละพยศ ลดมานะในจิตลงได้ แม้จะไม่หมดสิ้นสงสัย แต่ก็ลดน้อยลงระดับหนึ่ง นับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้ตัดสินใจเอาชีวิตเข้าทดลอง ใช้ห้องพระ ป่าเขา เถื่อนถ้ำ สถานที่อันวิเวกต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสำนักปฏิบัติธรรม เป็นห้องทดลอง ได้ครูบาอาจารย์ผู้รู้เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ อบรมสั่งสอน ชี้แนะ ชี้นำ ได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อค้นคว้าหาความจริง ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตาย ความจริงจึงค่อย ๆ เปิดเผย ความลับจึงค่อย ๆ กระจ่าง จิตเกิดความสว่าง ปัญญาก็ประณีตขึ้นมาตามลำดับ แต่ก็ยังไม่จบ ความลับบางส่วนก็ยังคงเป็นความลับต่อไป กำลังรอท้าทายให้เข้าไปพิสูจน์ เรียกร้องให้เข้าไปหา เข้าไปดู ไปรู้เห็น ไปทำความรู้จัก เข้าไปทำความคุ้นเคย ไปพบความจริง ไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เพื่อจะได้อบรมจิตใจให้พบกับสันติสุขของชีวิต ทำชีวิตให้สมบูรณ์ สร้างดวงธรรมให้เข้าไปครอบครองจิตใจ สร้างสันติธรรมในสังคมให้บังเกิด สังคมเกิดสันติ ความสงบก็จะปรากฏ อย่างน้อยชีวิตเราก็ไม่ต้องถูกเบียดเบียนด้วยอำนาจแห่งกิเลส ให้เกิดทุกข์ระทมกับวัตถุธรรม ต้องสูญเสียความสุข ละทิ้งความสุขอันพึงแสวงหามาได้ด้วยตนเอง |
ปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง มอบแหวน
ปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง มอบแหวน หลวงพ่ออยู่อบรมสั่งสอนข้าพเจ้า ๓ พรรษาก็กลับไปอยู่วัดของท่าน ได้ไปส่งท่านและพักอยู่กับท่าน ๕ คืน ได้สนทนาธรรมและขอให้หลวงพ่อไปเยี่ยมข้าพเจ้าบ่อย ๆ คืนหนึ่งนั่งคุยกันอยู่ ๒ คน ท่านถามว่า “อยากได้แหวนใช้ไหม ? หากอยากได้ พรุ่งนี้เช้าจะพาไปเอา” ข้าพเจ้าบอกว่า “อยากได้ แต่ถ้าหลวงพ่อจะซื้อให้ ไม่เอา” ท่านบอกว่า “ไม่ต้องซื้อหรอก จะไปขอแม่ปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทองให้ ปลาสองตัวนี้เฝ้าสมบัติอยู่ในบึงต้นกะบก” บึงที่หลวงพ่อเคยไปปฏิบัติธรรมได้ธรรมขั้นสูง “ที่นั่นเขาเคยเอาขึ้นมาให้ดู จะไปขอเขาให้ ไว้ใช้คุ้มครองตัวสักวง เขาคงไม่หวงหรอก ตอนเช้าค่อยไปกัน อยู่ไม่ห่างจากวัดมากนัก เดินลัดป่าไปประมาณ ๓ ชั่วโมง เดินไหวไหม ?” ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ไหว”ท่านเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในบึงต้นกะบกให้ฟังมากมาย ฟังไม่เบื่อ ไม่ง่วง ชวนให้ติดตาม ฟังเรื่องราวแปลก ๆ ลึกลับ ไม่คิดว่าโลกนี้จะมีอะไรน่าศึกษามากมาย ตอนเช้ากินข้าวแล้ว พร้อมเตรียมเสบียงอาหารกลางวันไปด้วย เพื่อถวายหลวงพ่อและข้าพเจ้าจะได้กินกันหิว หลวงพ่อห่มจีวรเรียบร้อยก็ชวนข้าพเจ้าเดินทางเข้าป่า *มีทางเดินเล็ก ๆ เป็นทางเดินด้านหลังวัด เดินไปพักไป เป็นระยะ ๆ ไม่รีบร้อนอะไร คุยกันไปด้วย ท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านได้พบพานไปตลอดทาง เพื่อไม่ให้เหนื่อยจากการเดินทาง ยิ่งเดินยิ่งไกล ไปถึงบึงต้นกะบก เป็นหนองน้ำใหญ่ มีต้นไม้ขึ้นรอบ ๆ บึง ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ น้ำใสสะอาด บริเวณร่มรื่น อากาศเย็นชื่นใจ ใช้เวลาเดินทางเกือบสี่ชั่วโมง ถึงเวลาอาหารเพลพอดี ได้จัดอาหารถวายท่าน ท่านฉันเล็กน้อย กินข้าวกันเสร็จ ท่านบอกให้พักผ่อนก่อน ท่านชี้ให้ดูสะพานไม้ที่ยื่นไปในบึงไม่กว้างมากนัก เดินไปมีพื้นศาลาไม้เก่า ๆ รูปสี่เหลี่ยมเลยขอบบึงเข้าไป นั่งได้ประมาณสี่คน ท่านบอกว่าท่านได้นั่งปฏิบัติอยู่บนพื้นไม้สี่เหลี่ยมนั้น ไปที่นั่นกันดีกว่า เมื่อเข้าไปถึง* ท่านนั่งพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง แล้วเข้าสมาธิอยู่ประมาณสามสิบนาที ท่านลืมตาขึ้นพร้อมพูดว่า “แม่ปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทองเอ๋ย วันนี้หลวงพ่อมาขอสมบัติสักชิ้นจะให้ไหมเล่า? จะเอาไปให้เจ้าของเขาคุ้มครองตัว อยู่ข้างนอกมันอันตราย ถ้าได้ก็ขึ้นมา” :onion_wink::onion_wink::onion_wink: |
ได้เห็นสิ่งแปลกอีกแล้ว ชั่วประเดี๋ยวน้ำในบึงเป็นฟองผุดขึ้นมา มีกระแสน้ำตีเป็นแปลงกลางบึง พร้อมมีปลาสองตัวสีเงิน สีทอง ตัวไม่โตนักว่ายน้ำขึ้นมา ว่ายตรงมาหาหลวงพ่อ ท่านคุยกับปลาสองตัวนั้นว่า “ขอแหวน สักวงนะ” หลวงพ่อเอาลวดงอเหมือนเบ็ดตกปลา ผูกเชือกห้อยลงไปในน้ำ ปลาตัวหนึ่งคาบแหวนขึ้นมาชูให้หลวงพ่อดู ทำเหมือนปลาโลมา ที่เขาชูหัวขึ้นเหมือนจะถามหลวงพ่อว่าใช่ไหม แหวนนั้นเป็นแหวนแบบผู้หญิง หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่
ปลาทั้งสองจึงดำลงไปใต้น้ำอีกนานพอสมควร คิดว่าไม่ได้แล้ว แต่อีกครู่หนึ่งปลาทั้งสองตัวคาบแหวนขึ้นมาให้ดูตัวละวง หลวงพ่อจึงชี้วงที่อยู่กับปลาตะเพียนทองว่า “เอาวงนั้น” *ปลาตะเพียนทองจึงเอามาใส่ในลวดที่หลวงพ่องอเป็นห่วงไว้ให้แล้ว* เป็นแหวนทองคำแบบโบราณ มีหัวแหวนสีดำ ท่านจึงหยิบให้ข้าพเจ้าลองใส่ดู ปรากฏว่าใส่นิ้วนางได้พอดี หลวงพ่อบอกว่า “ได้แล้ว” ปลาทั้งสองจึงดำไปใต้น้ำ หลวงพ่อถามว่า “พอใจไหม ?” ตอบท่านว่า “พอใจ” ท่านจึงบอกว่า "ถอดมาก่อน หลวงพ่อจะเสกให้" น่าเชื่อไหม..! ถ้าไม่พบกับตนเอง ไม่เห็นด้วยตา จะเชื่อได้อย่างไร ? บอกใคร ๆ ก็ไม่เชื่อ กลับจะกล่าวหาว่า โกหกหรือไม่ก็บ้า หรือช่างจินตนาการแต่งเรื่องหลอกลวงกันเล่น หรืออาจจะว่าคนลวงโลกก็อาจเป็นไปได้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวข้าพเจ้าหากไม่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ก็คงไม่เชื่อแน่นอน แต่นี่อยู่ที่นั่น อยู่ตรงนั้น เห็นด้วยตาตนเอง เห็นตลอดเวลา ไม่ได้หลับ ตื่นอยู่ตลอดเวลา แหวนวงนั้นขณะนี้ยังอยู่กับตัวข้าพเจ้า บูชาไว้บ้าง นำมาใช้บ้างตามโอกาส ให้ดูได้ |
เหตุการณ์เช่นนี้ หากใครได้พบสถานการณ์อย่างที่ข้าพเจ้าได้พบ ก็คงไม่ต่างกันในเรื่องความรู้สึกเท่าใดนัก มีความตื่นเต้น ยินดี ฉงนไปพร้อม ๆ กัน มีองค์ประกอบของศรัทธาเพิ่มเข้ามา คือ ความเชื่อ อยากรู้ อยากเห็นไปเรื่อย ๆ เหมือนอารมณ์เหล่านี้เคยได้เกิด และเกาะกินใจข้าพเจ้าแล้วในอดีต ปัจจุบันก็ยังฝังใจอยู่ ติดอยู่ในสัญญาจำได้หมายรู้
เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดความมุ่งมั่นจะทำความดี ประกอบกรรมดี เจริญกรรมฐาน พัฒนาจิต กลายเป็นเหตุปัจจัย ให้จิตงาม มีสติเป็นมหาสติครองตน มีสติสัมปชัญญะ พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล มีการตัดสินใจที่มั่นคง อยู่กับหลักการทำจิต ให้ไม่ยึดติดอยู่ในความคิดของตนเอง รู้จักเสียสละ บำเพ็ญบารมีทาน ทำทานทั้ง ๓ ประการให้บริสุทธิ์ คือ ๑. ให้อามิสทาน ด้วยจิตหมดจด ๒. ให้ธรรมทาน เมื่อมีโอกาสโดยไม่ตระหนี่ ๓. ให้อภัยทาน ด้วยความตั้งมั่นที่จะให้อโหสิ |
จนกระทั่ง ทำให้จิตละวาง มองเห็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจนที่อยู่กับชีวิตเราตลอดเวลา อนิจจัง ชีวิตนี้ไม่เที่ยงต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งรูปกาย จิตใจ ตลอดจนสถานการณ์ ความเชื่อ ความเข้าใจ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายย่อมส่งผลถึงทุกขัง ความทุกข์ คือ การเปลี่ยนแปลงจนเราทนไม่ได้
อนัตตา ความไม่มีตัวตน ย่อมเปลี่ยนตามโอกาส ทำให้เราไม่เกาะติดอยู่กับเหตุแห่งความทุกข์ คือ รัก โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน จิตใจผูกอาฆาต พยาบาท อิจฉาริษยา แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ประทุษร้ายผู้อื่น เบื่อหน่าย ท้อแท้ ลุ่มหลงในโลกธรรม ติดอยู่กับกามคุณ ใจคับแคบ ขาดเหตุผล ไม่ฟังผู้อื่น เอาแต่ใจ มีแต่ทะนงตน มัวเมา หมกมุ่นอยู่กับกามคุณ ๕ อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่มองเห็นความถูกต้อง จนมองไม่เห็นความจริง จิตหมกมุ่นอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ เหมือนวัวติดปลักยกตัวไม่ขึ้น ได้แต่แช่อยู่แต่ในปลักอันเป็นน้ำเน่า ไม่ยอมขยับตัวขึ้นให้พ้นของเน่าเหม็น ไม่ยอมขยับตัวเพื่อให้ขึ้นจากของเน่าเหม็นนั้น |
ก่อนเราไม่รู้ ก็แก้ไม่ได้ บางครั้งเรารู้ ก็แก้ไม่ได้ เพราะไม่แก้จึงไม่หลุด เมื่อแก้ได้แล้วเราก็เปลี่ยนสถานะของจิต ไปเกาะติดอยู่กับความสงบ เกาะอยู่กับพุทโธ คือ ความสงบ สะอาดในดวงจิต เป็นผู้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของจิตในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ เป็นผู้ตื่น มองเห็นโทษของกาม เป็นผู้เบิกบาน จิตผ่องใสตลอดเวลา
ปัญหาต่าง ๆ นานาชนิดที่เข้ามากระทบในอารมณ์ไม่มีผลต่อจิตของเรา ละวาง ไม่ยึดติด ทั้งเป็นผู้มีปัญญาบริสุทธิ์ กลับสู่ฐานเดิมของจิต คือ จิตประภัสสร จิตบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเข้ามารบกวน เข้ามาก็ถูกสกัดด้วยสติ คือ จิตมีพระพุทโธ เราเกาะติดอยู่กับอารมณ์แห่งความสงบทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งตื่นและหลับก็มีสติสัมปชัญญะกำกับตลอดเวลา คำว่า "แก้ไม่ได้" กับ "ไม่ได้แก้" มันแตกต่างกัน จิตที่อ่อนแอย่อมไม่คิดสู้ชีวิต มีปัญหาก็หนีปัญหา ขาดความอดทน ขาดความเข้มแข็ง เกิดความอ่อนแอ สติขาด เอาแต่ทุรนทุราย ดิ้นหนี ไม่คิดสู้ ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแก้ได้ เพราะมีอนิจจังเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ต้องมีสติปัญญากำกับ อย่าใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินพร้อมทั้งตั้งสติให้มั่นคง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ แต่อย่าทุกข์ เพราะทุกข์ก็ต้องแก้ ไม่ทุกข์ ก็ต้องแก้ เหตุเพราะเรายังมีชีวิตอยู่ ทำไมจึงต้องแก้ไปพร้อมกับความทุกข์ ทำไม ไม่เลือกแก้อย่างฉลาด แก้ไปพร้อมกับความสงบ มีความสุขอยู่ตลอดเวลา แก้ได้จิตก็สงบสุข แก้ไม่ได้จิตก็ไม่สงบสุข แต่ต้องใช้มหาสติ มีปัญญาที่ประณีต ตั้งฉันทะให้มั่น ค้นหาวิธีแก้ตลอดเวลา หากทำเช่นนี้จะได้ยุทธวิธีในการแก้สภาพปัญหานั้น ๆ นำความคิดมาทดลองแก้ แก้ได้ก็กลายเป็นทฤษฎีต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา ค้นหากลยุทธ์ในการแก้ปัญหาในชีวิตของเรา ไม่ใช่ถูกใจ* ถูกต้องอาจจะไม่ถูกใจ ถูกใจอาจจะไม่ถูกต้อง ใช้รากฐานการวัด* คือ ความสงบใจกับความฟุ้งซ่าน รุ่มร้อนในใจของเราต่อการแก้ปัญหา |
ปัญหาชีวิตของคนเรามีมากมาย เราจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อชีวิตมีแต่ทุกข์ หาสุขไม่พบแม้แต่วินาทีเดียว สมกับคำว่า ชีวิต คือ ปัญหา ปัญหาคือสิ่งที่รอการแก้ไข
ได้กล่าวแล้วว่า แก้ไขได้ทั้งสองวิธี แก้ไขด้วยความทุกข์คู่กันไปกับแก้ไขด้วยความสุข สิทธินี้เป็นของทุกคน ไม่มีใครบังคับกันได้ จงพิจารณาเอาเอง หลวงพ่อท่านให้หลักธรรม อันประเสริฐทรงด้วยคุณค่าข้อนี้แก่ข้าพเจ้า จึงได้แสดงฤทธาอานุภาพ อภินิหารธรรมให้ได้เห็น เรียกว่าปราบพยศลดมานะของข้าพเจ้า เหมือนหนึ่งในอดีตกาลที่พระพุทธองค์ทรงปราบมานะ ความพยศในจิตของชฏิลสามพี่น้องให้คลายมานะ ละพยศ คลายความยึดมั่นถือมั่นด้วยการสำแดงฤทธิ์ให้ดู จนยอมบวชและนำบริวารเป็นสาวกและบรรลุอรหันต์ในที่สุด เพราะรู้ว่าคนเราติดวัตถุ จึงเอาวัตถุมาล่อเพื่อให้ลุ่มหลงอยู่ในวัตถุนั้นเสียก่อน เป็นการปลูกศรัทธาแล้วจึงมาล้างภายหลัง แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ยกเว้น เหมือนโคถึกคึกคะนองลำพองอยู่กับกิเลส สนุกสนาน บันเทิงใจกับกามคุณ ๕ มันเหมือนสนิมที่กินเหล็กอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก มีแต่เห็นรูป ได้รส ได้กลิ่น ได้ยินเสียง สัมผัสกาย สัมผัสใจ อยู่อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ต้องการอย่างนี้ สนุกสนานอย่างนี้อยู่ร่ำไป ติดอยู่ในสรรเสริญจนถอนตัวไม่ขึ้น |
หลวงพ่อรู้วาระดับขันธ์ หลวงพ่อเป็นพระผู้มาโปรดให้ชีวิตใหม่กับข้าพเจ้าโดยแท้จริง ท่านได้แสดงบารมีของท่านให้เห็นอีกมากมายไม่ได้เขียนเอาไว้ อย่างเช่น ท่านให้โชค บอกเลขสามตัวให้รู้ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้เพราะไม่ยอมซื้อ ท่านให้มาไม่น้อยกว่าสามสิบครั้ง ไม่เคยซื้อเลยสักครั้ง เท่าที่ทราบท่านไม่บอกกับใครนอกจากข้าพเจ้า ท่านรู้ว่าไม่เล่น ท่านรู้วาระจิตของข้าพเจ้า ในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดตั้งใจจะถาม ท่านจะพูดก่อนทุกครั้งไป ท่านไปเยี่ยมข้าพเจ้าในโรงแรมขณะไปดูงานในต่างประเทศ แสดงการระลึกชาติให้ดู บอกกล่าวเรื่องต่าง ๆ อย่างแม่นยำไม่เคยผิดพลาด เป็นต้น หลังจากท่านไปอยู่ที่วัดแล้ว ท่านก็เดินทางมาเยี่ยมมานอนกับข้าพเจ้าเป็นประจำ ห้องพระเป็นสิทธิของท่าน มาครั้งละ ๕ วัน ๗ วันเช่นนี้ไม่ขาด ท่านได้ไปหาข้าพเจ้าที่ทำงานในตอนบ่ายวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ถวายน้ำชา กาแฟตามปกติ ท่านเรียกเข้าไปหา จับมือข้าพเจ้าเอาไว้ ดูนุ่มนวล อบอุ่นใจมากขณะนั้น ท่านมองหน้าข้าพเจ้าอยู่พักหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงบอกหลวงพ่อว่า “วันนี้หลวงพ่อมาแปลก มีอะไรหรือ? บอกได้ไหม?” ท่านบอกว่า “ได้” ท่านว่า “เราสองคน จะพบกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ” หัวใจของข้าพเจ้าแทบหยุดเต้น ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไร แต่ความรู้สึกเหมือนจะต้องสูญเสียสิ่งที่เคารพ รักบูชา ของมีค่าจะต้องจากเราไป ท่านทิ้งระยะนิดหนึ่ง จึงบอกว่า “อย่าตกใจ ตั้งสติให้ดี อย่าเสียใจ อย่าอาลัย อย่าเป็นห่วงเพราะไปดี ถึงเวลาจะต้องกลับ หมดภาระหน้าที่แล้ว หลวงพ่อไม่ไปไหน อยู่ในใจนั่นแหละ นึกถึงหลวงพ่อทำแต่สิ่งที่ดี ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอน หลวงพ่อก็จะอยู่ในใจตลอด” |
ข้าพเจ้านั่งงงเหมือนถูกสะกดจิตให้แน่นิ่งพูดไม่ออก คิดได้อย่างเดียวว่าหลวงพ่อบอกมีเลศนัย ท่านกล่าวต่อไปว่า เมื่อหลวงพ่อไม่อยู่ จะมีพระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งมาแทนหลวงพ่อ จำคำหลวงพ่อไว้ให้ดี และให้เตรียมเก็บข้าวของ เพราะจะย้ายไปเป็นผู้อำนวยการอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีในเดือนพฤษภาคมนี้" (ในปีนั้นเป็นปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ ท่านบอกต้นเดือนมกราคม)
ความจริงข้าพเจ้ารู้มาแล้ว ท่านอธิบดีกรมพลศึกษาบอกให้ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่จังหวัดสมุทรสาคร หลวงพ่อบอกไม่ได้ไปหรอก ได้ไปอยู่จังหวัดสุพรรณบุรีแน่นอน ข้าพเจ้าไม่ขัดแย้ง แต่ไม่เชื่อ ในทางโลกผู้บังคับบัญชาบอกข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่ง เป็นตัวท่านทั้งหลายจะเชื่อใคร? ก็ต้องเชื่อผู้ออกคำสั่งแน่นอน หลวงพ่อท่านจึงกล่าวต่อเพราะไม่ขัดแย้ง รู้อยู่ว่าไม่เชื่อหลวงพ่อ ก็จริงเช่นนั้น วันนี้จะมาลา เดือนพฤษภาคม หลวงพ่อจะดับขันธ์ของหลวงพ่อในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ จำไว้ แทบไม่เชื่อหูตนเอง เหมือนคนจะต้องขาดที่พึ่งทางใจ ลืมเรื่องอื่นหมด แต่ท่านขัดเอาไว้ ไม่ต้องซัก รู้แค่นี้ก็พอแล้ว หลวงพ่อจะอยู่ด้วยแค่ ๗ วัน แต่มีข้อแม้ห้ามถามเรื่องที่บอกโดยเด็ดขาด คุยเรื่องหลักธรรม แนวปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ จากไปครั้งนี้ ก็จะไม่พบกันอีกแล้ว จะต้องช่วยตนเอง จะมีพระอีกรูปหนึ่งมาหา ก็มาอยู่เพียงระยะสั้น ๆ จะเรียนรู้อะไรจากท่าน ก็รีบเรียนรู้เอา จำไว้ให้แม่นนะ อย่าลืม หลวงพ่ออยู่จนครบ ๗ วัน ก็เดินทางกลับวัด |
เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๘ กรมพลศึกษาได้มีคำสั่งให้ข้าพเจ้าย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร และให้ไปรักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านทำนายไว้จริง ๆ
ต่อมาวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อโทรศัพท์มาบอกว่า "หลวงพ่อมรณภาพแล้ว" ไม่ต้องบอกถึงความรู้สึกขณะนั้น รู้แต่ว่า นี่คือ “การรู้วาระดับขันธ์ของหลวงพ่อ” เป็นจริงตามที่ท่านได้บอกไว้ และมาร่ำลาทุกประการ ทำบุญตามประเพณีเจ็ดวัน ก็เก็บสังขารสรีระหลวงพ่อไว้ภายในวัดจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ คงไม่เผา สรีระของท่านเก็บไว้เป็นที่สักการะของลูกศิษย์ และท่านก็สั่งไว้เช่นนี้ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วหนึ่งเดือน อาจารย์ของท่านทั้งสององค์ก็ละสังขารตามหลวงพ่อ ก่อนละสังขารอาจารย์ทั้งสองบอกลูกหลานว่า “หลวงพ่อไปแล้ว ก็ต้องไปกับหลวงพ่อ ลาแล้วนะ” ที่จริงแล้วอาจารย์ของหลวงพ่อนั้น เกี่ยวพันกับหลวงพ่ออย่างล้ำลึกยากแท้ที่จะเข้าใจได้ ทิ้งปริศนาข้อนี้เอาไว้ให้คิด |
พบหลวงปู่เทพโลกอุดร
พบหลวงปู่เทพโลกอุดร อยู่จังหวัดสุพรรณบุรีเข้าปีที่สอง เช้าวันเสาร์ขณะที่นั่งอยู่ศาลาหน้าบ้านพัก เห็นมีพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังจะเดินผ่านหน้าบ้าน มองดูพระรูปนี้แล้วนึกแปลกใจ รูปร่างผอมสูง แขนขายาว ฝ่ามือฝ่าเท้ายาว นั่งคิดว่าแปลกดี แต่ก็เฉย ๆ พระก็คือพระ ชีวิตอยู่แต่กับพระ พบแต่กับพระ เพียงแปลกใจในรูปลักษณะเท่านั้น เมื่อเดินผ่านมาถึงศาลาพักร้อนที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ได้ยินเสียงพระรูปนั้น ท่านพูดว่า “แปลกอะไร ? พระก็คือพระ รูปร่างอย่างไรก็เป็นพระ” ท่านเดินผ่านเข้าไปถึงทางเข้าบ้านพัก พระรูปนั้นยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนมายืนบิณฑบาตอย่างไรอย่างนั้น ก็คิดในใจว่า “เลยเวลาบิณฑบาตแล้ว จะมาทำไม ?” ก็ได้ยินเสียงค่อนข้างดังห้วน ไม่มีหางเสียงว่า “ไม่ได้มาบิณฑบาตอย่างที่คิด ไม่ได้มาขออะไร พระจะมาขอค้างคืนสัก ๓ คืน จะได้ไหม ? แต่จะมา ๓ ครั้ง ครั้งละ ๓ คืน ถ้าให้พัก” กำลังคิดอยู่ว่ามาจากไหน ? ทำไมมาขอพัก ? ก็มีเสียงดังมาอีก แต่ท่าทางท่านสงบ น่าเกรงขาม สังเกตดูจีวรเก่า ๆ มีสังฆาฏิ มีบาตรใบหนึ่งเท่านั้น “มาจากไหนก็ช่าง ให้พักหรือไม่ ? ก็ตอบมา” กำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ท่านก็ว่า “ไม่เอาอย่างไร ? ให้พักก็พัก ไม่ให้พักก็จะไป” คิดต่อว่า มีแต่ห้องพระจะพักได้หรือ ? เรายังไม่ตอบท่าน เดี๋ยวพระจะหายหมด ก็ได้ยินเสียงมาว่า “ห้องพระก็พักได้ พระมีศีล ของไม่หาย เป็นพระ รู้จักพระไหม ?” คิดในใจว่ารู้จัก แต่มีเสียงบอกว่า “ไม่รู้จักแล้วอวดรู้ ศิษย์ตถาคตต้องไม่ทำเช่นนี้” สังขารชักปรุงแต่ง ยังไม่ฉงนใจ คิดว่าพระองค์นี้วิกลจริตกระมัง ไม่รู้จักอยู่ ๆ มาขอพักด้วย ก็มีเสียงพูดดุ ๆ มาว่า “เป็นพระไม่บ้า ไม่วิกลจริต อย่าคิด..เป็นบาป” คิดต่อ นึกถึงคำพูดหลวงพ่อริม รัตนมุนี ที่ท่านสั่งไว้ก่อนละสังขารเพราะดูพระรูปนี้ รู้ใจไปหมด ก็มีเสียงมาอีก “คิดตัดสินใจได้แล้ว จะให้ตามเงื่อนไขไหม ? ให้ก็บอกมา ไม่ให้ก็จะได้ไป..เสียเวลา” สติจึงกลับมา ตอบว่า “นิมนต์หลวงพ่อ..อนุญาตจำวัดในห้องพระนะ มีห้องเดียว” ท่านตอบมาว่า “ดีแล้ว” |
ท่านก็ขยับเท้าเดินมาที่ประตูบ้านพร้อมสั่งว่า ไปเอาน้ำมาล้างตีนพระ ท่านจะใช้สรรพนามแทนตัวท่านว่าพระ
เบื้องแรกข้าพเจ้า ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร? แต่แปลกใจว่าท่านรู้จิตเราว่ากำลังคิดอะไร? คงไม่ธรรมดาแน่ จึงบอกท่านว่า เข้าไปได้เลย ไม่ต้องล้างหรอก หลวงพ่อ ท่านว่า ไม่ได้ต้องล้าง มันไม่เป็นมงคลกับบ้านเรือน ก็ได้ความรู้อีกอย่างหนึ่ง จึงไปตักน้ำใส่ถังมาล้างเท้าให้ท่าน แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดเท้าจนแห้ง ท่านเดินไปนั่งที่โต๊ะรับแขก ได้กราบท่านแล้ว ท่านก็กล่าวว่า มาหาลูกศิษย์จะเป็นไหม? ข้าพเจ้าเฉยอยู่ คิดอยู่ในใจ พระรูปนี้แปลกจริง ๆ เดินตามหาลูกศิษย์ !!! เราไม่ต้องพูดเลย ท่านบอกว่า ไม่แปลก ไม่บ้า คนอยากเป็นลูกศิษย์กันทั้งนั้น ข้าพเจ้าคิดต่อ ขี้คุยจริง ๆ เสียงท่านพูดอีก ไม่ใช่คุย ! จะเป็นหรือไม่ ? ไม่ต้องคิดอยู่ จะพูดก็พูดมา คนบางคนดื้อมากต้องลงพรหมทัณฑ์ ไม่ต้องมีความเมตตาปรานีต่อกัน จะอยู่ก็ช่าง จะไปก็ช่าง จะสุขก็ช่าง ทุกข์ก็ช่าง จะได้สำนึกตัว!!! อย่าทำตัวเหมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้คุณค่า กินก็ไม่ได้ เขี่ยเล่นได้อย่างเดียว แล้วไม่รู้คุณค่าพลอย ในจิตของข้าพเจ้ารู้สึกพรั่นพรึง ใจเต้นแรง มีเสียงบอกมาว่า ไม่ต้องตกอกตกใจ เป็นคนเก่งนี่ ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า พระองค์นี้ น่ากลัวไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว :54bd3bbb::54bd3bbb::54bd3bbb::onion_emoticons-17::cebollita_onion-08::onion_emoticons-24: |
จึงตัดสินใจว่า เราจะขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน เพราะคำพูดของท่านว่าประชดเราทั้งหมด ไม่ได้ว่าใครเลย ดังนั้น จึงก้มกราบท่านแล้วขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านว่า “ดีแล้ว ขอรับไว้เป็นลูกศิษย์”
แล้วถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อจึงมาหากระผม” ท่านตอบว่า “ทุกคนมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน พระอาทิตย์กับพระจันทร์ทำหน้าที่คนละอย่าง คนละเวลา ดวงอาทิตย์ขึ้นก็จะมาไล่ความมืดให้หมดไป ให้ความร้อนความอบอุ่นแก่พื้นผิวโลก ดวงอาทิตย์ตก ความมืดก็มาปกคลุมผิวโลกและลดความร้อนบนผิวโลกให้เย็นลง ไม่เช่นนั้นความร้อนจะทำให้สิ่งมีชีวิตตายหมด เพราะความร้อนจะร้อนระอุอยู่จำนวนมาก เกินพอดี พระก็มีหน้าที่ของพระ อยากได้ลูกศิษย์ก็มาหาตามหน้าที่” ท่านก็เอามือมาจับศีรษะแล้วพูดว่า “ขอรับเธอไว้เป็นศิษย์ เมื่อเป็นศิษย์แล้วให้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูจิตของตนเอง ให้เหมือนแม่เลี้ยงลูก อย่าไปเลี้ยงจิตของผู้อื่น รู้จิตเรา ก็รู้จักตัวเรา ไปรู้จิตคนอื่น จะไม่รู้จักตัวเรา เราควรจะรู้แต่ทุกข์ของเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี” |
เป็นหลักธรรมอันล้ำลึกที่หลวงปู่สอนครั้งแรก จากนั้นท่านก็พูดต่อ “คนเราเกิดมามีกฎเกณฑ์ มีกฎกรรมเป็นของตัวเอง ตามกฎกรรมเราจึงได้มาเป็นครูเป็นศิษย์ต่อกัน ต่อไปพบกันก็ดี ไม่พบกันก็ดี ความเป็นครูศิษย์ก็ไม่หายไปจากใจ จะทำได้ไหม? ทำไม่ได้ก็ไม่มีครู ไม่มีศิษย์ อยู่กันคนละโลก ความเป็นครูกับศิษย์สถิตอยู่ในใจ เป็นคน ๆ เดียวกัน อยู่ไม่ห่างกัน จะใกล้ชิดกันอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ก็จะถือว่ามีวาสนาต่อกัน
ความสงสัยเป็นเครื่องหมายของคน “โง่” การตัดสินใจบนพื้นฐานของความสงสัยก็คือ การตัดสินใจบนพื้นฐานของคน “โง่” จงตัดสินใจเชื่อ ไม่เชื่ออย่างคนฉลาด “เลิกโง่” คือ ลงมือทดลอง ทดลองแล้วไม่พบ อย่าคิดว่าไม่มี ไม่จริง อาจยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มีชีวิตไม่สู้ คือ คนตายเท่านั้น “อยากเป็นคนเป็น หรือคนตาย” อยากเป็นคนตายไม่ต้องคิด อยากเป็นคนเป็นก็ต้องคิด ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องสู้เพื่อค้นหาความจริงให้พบ คือ หนทางแห่งความสงบสุขภายใต้ความหมดจดจากกิเลส ความเศร้าหมองทั้งหลาย ต้องต่อสู้อย่างนี้ เพราะการถูกครอบงำด้วยกามนั้น มันมาเอง ไม่ต้องต่อสู้ จิตคนเรามันพร้อมอยู่แล้วที่จะรับ ไม่ต้าน การต้านนั้นต้องต่อสู้อยู่กับตัวเองตลอดเวลา และมักจะเป็นฝ่ายแพ้แก่ตนเองมากกว่าชนะ |
ที่แปลกคือถวายอะไร ท่านก็ไม่ฉัน ถวายของท่านก็รับไว้แต่ไม่แตะต้อง ตกกลางคืนเข้ากรรมฐานอยู่ในห้องพระ จากเที่ยงคืนท่านเริ่มสวดพระพุทธมนต์จนถึงรุ่งเช้าไม่หยุดเลย ตอนเช้าถวายอาหาร ท่านพูดเป็นปริศนาว่า จะฉันให้เป็นอานิสงส์นะ ตักข้าวให้เท่าไหร่ก็ฉันเท่านั้น ไม่เติมอีกและฉันมื้อเดียว เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งสามวันที่ท่านมาพักอยู่ด้วย กลางวันท่านอยู่เฉพาะในห้องพระ กลับจากที่ทำงานก็จะมาสนทนาธรรมกับท่าน หลักธรรมต่าง ๆ ที่ท่านสอนนั้นง่าย มีเหตุผล มีคติในการนำไปปฏิบัติค้นหาความจริง มีความคมชัด มีคติสอนใจ หลวงปู่ท่านจะมีน้ำเสียงดุ ๆ ไม่เหมือนหลวงพ่อริมที่ท่านมีความนุ่มนวล
ในคืนที่สามหลวงปู่เรียกเข้าไปหา ได้มอบของดีให้เป็นลูกมะยมหินห้าเม็ด ท่านบอกให้เก็บไว้มีให้แค่นี้ พรุ่งนี้เช้าจะลากลับไปก่อน อีกเจ็ดวันจะมาใหม่ แล้วเป่าศีรษะให้ จนแล้วจนรอดไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร? มาจากไหนกันแน่ ครบเจ็ดวันหลวงปู่กลับมาใหม่ อยู่สามคืนก็กลับไป อีกเจ็ดวันก็กลับมา ท่านปฏิบัติเหมือนกันทุกครั้ง สอนหลักธรรมในคืนสุดท้าย ท่านบอกว่า จะพาขึ้นเขาวงพระจันทร์ จะไปไหม? ถ้าไปเตรียมตัว ให้กินอาหารเจเจ็ดวัน แล้วจะมารับ แล้วหลวงปู่ก็กลับไป |
เช้าวันที่แปด หลวงปู่ท่านมารับแล้วพาขึ้นเขาวงพระจันทร์ เก้าคืนท่านสอนแต่แก่นธรรม เรื่องของจิต ไม่ได้แสดงอะไรนอกจากรู้จิตเรา คิดอะไรท่านรู้หมด อย่างเราคิดว่าท่านเป็นใคร? ชื่ออะไร? คุยกันเก้าคืนยังไม่รู้จักชื่อเลย! อยู่ ๆ ท่านก็บอก อยากรู้ทำไม? พระมาจากไหน? ชื่ออะไร? รู้แล้วได้อะไร? สิ้นสงสัยหรือ? ท่านรู้ความในใจของเราไปหมด จนไม่กล้าจะคิด ท่านบอกสงสัย คือ โง่
ไม่เข้าใจหรืออยากรู้ก็ปฏิบัติ ควบคุมจิตให้ได้รู้เอง ไม่ต้องถามใคร? ยังมีเรื่องราวอีกมากจากนี้ไป นี่เป็นเพียงมาให้เตรียมความพร้อมเสียก่อน เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ผิดพลาด พระมาหาพักอยู่ด้วยต้องมีอะไรแน่นอน รู้ว่าพระเป็นใครไม่ใช่ทางออก ทางออกคือการศึกษาหลักธรรม มีความขยันหมั่นเพียรในการเรียนรู้ ขัดเกลาจิตของตนเองก็เพียงพอแล้ว อย่าดื้อรั้นด้วยอารมณ์ตนเอง มันทำลายตนเอง มอบกายนี้ให้อยู่ในอำนาจความชั่วอยู่ทำไม ไม่กลับจิตกลับใจ เท่ากับเก็บความชั่วในอารมณ์ไว้เป็นมิตร ละทิ้งความดีแล้วจะมีชีวิตอยู่ทำไม? ไม่รู้จักคิด! จะเป็นคนอยู่หรือ? คิดให้ดี คิดง่าย ๆ เรียกคนใจง่าย แล้วมันจะมีผลตามมา มาแล้วมันจะแก้ยาก แก้ได้ก็เหนื่อยเปล่าโดยใช่เหตุ เกิดเป็นคนไม่รู้จักคิดแล้วจะทำอะไร ใช้อารมณ์ใฝ่ชั่ว ไม่คิดดี พระมาหาก็เหนื่อยเปล่า! รับเป็นศิษย์ก็เหมือนได้ก้อนอิฐก้อนกรวด! ได้แต่ซากเน่าเหม็น! ช่างอับจนจริง ๆ เข้าใจหรือยัง? |
ท่านผู้รู้จงคิดพิจารณาดูว่าคำสอนของท่าน ทั้งเจ็บทั้งลึกซึ้ง ทั้งเหน็บแนมให้เจ็บปวดเสียจริง ๆ พร้อมทั้งแฝงด้วยความจริงอันบริสุทธิ์ เที่ยงแท้ เถียงไม่ได้เลย เป็นคติเตือนใจ จับจิตให้สะเทือนสะท้านในอารมณ์
ท่านพูดต่อ คิดไม่ได้ ก็น่าอับอายฟ้าดิน อายพ่อแม่ที่ให้กำเนิด ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออกเลย นอกจากตั้งใจจดจำแล้วจะนำไปปฏิบัติ พอคิด ท่านก็บอกว่า ดีแล้ว คิดได้อย่างนั้น ขอบใจจิตของตนเองเสีย เราด่าตัวเราเอง ตำหนิตัวเราเอง อบรมตัวเราเอง มันไม่เจ็บ คนอื่นว่าอบรมเรามันเจ็บ เพราะจิตมันยังมีมานะอุปาทาน มันไม่ยอมง่าย ๆ ถ้าคนอื่นมาว่าเรา สอนเรา จิตมันอาจแข็งกร้าว มันยโส มันอหังการ ก็จะกระชากเราให้ใฝ่ต่ำโดยไม่รู้ตัว แล้วมันจะไม่หยุด ก็จะเป็นคนอ่อนไหวคุมตัวเองไม่ได้ รุ่มร้อนในจิตตลอดเวลา ไม่มีเวลาจะเสพสุขสมปรารถนา ที่แสวงหา เรียกร้องหา โหยหา ดิ้นรนหา ไม่ต้องไปหาที่ไหน มันอยู่ในตัวเรา ใกล้แค่เอื้อมแต่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ในใจเรานี่แหละ จะไปหาตรงไหนก็หาไม่เจอหรอก อย่าไปหานอกกาย ให้ค้นหาในกาย คือ ในจิตของเรา ตรงนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หาวินาทีนี้ก็พบเดี๋ยวนี้ ดีชั่วพบแน่ถ้าเราไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเรา เมื่อไม่ชอบอารมณ์นิสัยของคนนี้ว่ามันไม่ดี แต่นิสัยอารมณ์เช่นนั้นมันก็มีอยู่กับเรา ใครผิดเขาหรือเรา? คิดดูเอาเอง ไม่คิดไม่รู้ แล้วก็ไม่เห็น ตัวเราไม่รู้จักตัวเรามัวแต่ไปรู้จักคนอื่น คนเช่นนี้หาได้ถมไป คนที่ไม่รู้จักตนเอง แต่รู้จักผู้อื่นจึงจมอยู่กับความมืดตลอดกาล ให้รู้จักปล่อยวาง รู้ว่าวันนี้ยังทำไม่ได้แน่นอน แต่พรุ่งนี้ วันอื่น ๆ ต่อไปต้องค่อย ๆ ทำให้ได้ ในอดีตมีตัวอย่างให้รู้เห็นเป็นตัวอย่างมามากต่อมากแล้ว ต้องพยายาม สิ่งที่คนในโลกนี้ทำไม่ได้ คือ หลอกตัวเอง จะหลอกปิดบังความรู้สึก ความคิด หลอกกันก็ได้ แต่กับตัวเองแล้วย่อมทำไม่ได้ ตัวเองรู้จริงเท็จอยู่เต็มเปี่ยมในจิต รู้ว่าถูก รู้ว่าผิด เมื่อรู้ผิดคิดชั่ว แต่ยังยินดีกับจิตคิดชั่วนั้น จิตย่อมไม่เป็นคน แต่เป็นจิตของสัตว์เดรัจฉาน จิตของเปรต ของอสุรกาย ของสัตว์นรก แล้วเราจะยินดีที่จะเป็นสัตว์ประเภทนั้นอยู่หรือไร? ในเมื่อเราได้เกิดเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่า มนุษย์สัตว์ประเสริฐ คือ มีความกตัญญูกตเวที จิตเป็นเทวดา มีความละอายต่อการกระทำชั่ว จิตเป็นพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จิตเป็นอรหันต์ จิตหมดจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง กิเลสไม่มาทำกำเริบรบกวนในจิตเรา แล้วจะคอยอะไรอยู่ กลัวอะไรอยู่ จงให้โอกาสที่ดีกับตัวเรา หลวงปู่ให้ข้อคิดมากนัก |
นอกจากนั้น การได้สนทนากับหลวงปู่ในเรื่องโชคลาภ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ถามหลวงปู่ว่า “การมีโชค ลาภลอย หลวงปู่ประทานได้หรือไม่? นั่งสมาธิแล้วมองเห็นไหม?” หลวงปู่บอกว่า “เห็นได้ เป็นจริงได้ แต่โชคลาภนั้นเป็นเรื่องของกรรม หรือเรียกว่าดวงชะตาของแต่ละคน ชะตาของใครมีโชคลาภแล้ว ไม่ต้องบอกตัวเลข ก็มีโชคตามดวงชะตา หากจะไม่มีโชคแล้วแม้จะบอกให้ก็ไม่มีโชค จึงไม่ควรจะสนใจให้มากินใจเรา อันตราย บอกเขาได้โชคเขาก็เคารพเราชั่วขณะ ทั้งยกย่องสรรเสริญ แต่หากบอกผิดหลาย ๆ ครั้ง เพราะเขาหมดโชค เขาจะตำหนิ โกรธ เกลียด จะวิจารณ์เอา หรือเขาไม่ได้รักเรา เขารักความร่ำรวยของเขาต่างหาก อย่าคิดผิดอยู่เลย เสียเวลาใช่เหตุ หวังว่าจะเข้าใจนะ”
|
อภินิหารหลวงปู่ขึ้นเขาวงพระจันทร์ หลวงปู่ท่านมารับข้าพเจ้าตามนัด แล้วพาขึ้นเขาวงพระจันทร์ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ได้ ข้าพเจ้าก็ขึ้นเพราะคิดว่าหลวงปู่ต้องมีเหตุผลแน่ ตอนแรกคิดว่าคงไม่สูงนัก เราเป็นนักกีฬาคงไหวแน่ ได้ยินแต่ข่าวว่าปีหนึ่ง ๆ มีคนขึ้นไปแสวงบุญกันมาก ตัวเราเองเสียอีกไม่เคยขึ้นไป สมควรขึ้นไปศึกษาดู ไปถึงตีนเขาวงพระจันทร์ คิดว่าคงขึ้นไม่ยากมีบันไดให้ขึ้น แต่พอเดินขึ้นไป *เป็นที่ลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อย* ๆ ยังไม่ถึงครึ่งทาง เหนื่อยแทบแย่ เกือบถอดใจ เดินได้ไม่นานนัก ต้องพักเป็นระยะ ๆ ร้อนก็ร้อน หลวงปู่ท่านขึ้นนำหน้าเราไป มองไม่เห็นหลังทั้งที่ท่านก็อายุมากแล้ว คิดว่าท่านอายุประมาณ ๘๐ ปีเศษ คิดในใจว่าท่านไม่หยุดพักเลยหรืออย่างไร? ไม่เหนื่อยหรืออย่างไร? *เพราะเรายังเหนื่อยเลย* เดินไปเกือบครึ่งทาง เห็นหลวงปู่เดินกลับลงมา เอาเกลือให้กินหนึ่งเม็ด แล้วท่านบอกว่า “อย่าท้อถอย ค่อย ๆ ขึ้นไปให้ถึง ทำใจให้เข้มแข็ง ฝึกความอดทน อดกลั้น ต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิต เราจะได้รู้จักอะไร ๆ มากขึ้น” แล้วท่านก็เดินหายไปอีก แต่ตอนนี้เห็นว่าท่านก้าวเดินไปตามขึ้นบันไดที่สูงขึ้น เท้าท่านไม่ได้ติดพื้นเลย เห็นท่านเดินอย่างรวดเร็ว นึกฉงนอยู่ในใจ! เดินไปพักไปจนครึ่งทาง ทางขึ้นยิ่งชันสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ มองขึ้นไป *อยากจะเดินกลับลงไป ไม่อยากขึ้นต่อ* มันท้อ เพราะใจเราไม่สู้ความลำบาก เราชอบความสะดวกสบายจนเคยชิน อีกสักพัก หลวงปู่ก็เดินลงมาให้กินเกลือหนึ่งเม็ดเช่นเดิม เกลือแต่ละเม็ดที่ท่านให้นั้น กินแล้วมีกำลังอย่างประหลาด!!! เที่ยวนี้ท่านนั่งสนทนาธรรมอยู่ด้วยพักหนึ่ง หมายเหตุ : เขาวงพระจันทร์มีบันได ๓,๘๖๕ ขั้น |
ท่านบอกว่า นี่คือเหตุผลที่ให้ขึ้นมา ให้เอาชนะใจตนเอง อย่าคิดว่าเราเก่ง คนเก่งกว่าเรามีอีกมากนัก อย่าทรนงตน รู้จักคิด คนอื่นขึ้นได้เราต้องขึ้นได้ คนอื่นปฏิบัติได้ เราต้องปฏิบัติได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเดินขึ้นเขา ทั้งเหนื่อยยากลำบากต้องต่อสู้กับตนเอง และสภาพแวดล้อม ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ ปฏิบัติก็จะถึงจุดมุ่งหมายได้ อย่าอ่อนแอ อย่าท้อ อย่าเลิกกลางคัน แค่นี้ก็จะพบหนทางแห่งความสำเร็จ แล้วเดินต่อไปความสำเร็จก็จะรอเราอยู่ รอทุกคนที่ไปถึง เหมือนยอดเขาวงพระจันทร์ รอการขึ้นไปของผู้กล้า ใครขึ้นไปถึงก็จะพบกับทุกสิ่งทุกอย่างบนนั้นเหมือนกัน เห็นเหมือนกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน สภาพอากาศอย่างเดียวกัน เดินขึ้นเหนื่อยเหมือนกัน ต่างพักเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกัน แต่บางคนขึ้นไปไม่ถึง บางคนไม่เคยขึ้นไป ย่อมไม่รู้เห็นยอดเขาวงพระจันทร์ คนขึ้นถึงย่อมเหนื่อยมากกว่าคนขึ้นไม่ถึง หรือคนที่ไม่ได้ขึ้นย่อมไม่เหนื่อย
นักปฏิบัติเจริญกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา ย่อมต้องต่อสู้กับตนเอง ต่อสู้ทั้งภายนอกคือ ร่างกายที่ต้องต่อสู้กับความเมื่อยล้า เจ็บปวดร่างกาย ทั้งต้องอดตาหลับขับตานอน ยามนอนต้องนั่ง ต้องเดิน ต้องยืน ต้องทนความง่วง อาหารการกินน้อยหรือไม่มีกิน แทนที่ต้องนอนอยู่บ้านอันแสนสุข ต้องหลับนอนกลางดินกินกลางทราย ต่อสู้กับสัตว์เล็กสัตว์น้อย รูปกายเจ็บไข้ได้ป่วย การต่อสู้ภายในคือ การต่อสู้กับจิตภายในของตนเอง สู้กับความว้าวุ่นของจิต การขับเคี่ยวกับความรุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน ถดถอย ท้อแท้ ยุ่งยาก เกียจคร้าน ความอยากสบาย อยากได้แต่ลาภ ยศ สรรเสริญ จิตตกอยู่ในกาม จิตต้องตกอยู่ในอำนาจของกามเข้าครอบงำ มีความปรารถนาในโลกธรรม กินอยู่กับกาม ทุกข์ก็ทน สุขก็หลงใหล ชีวิตสับสนวุ่นวาย แต่สัตว์โลกยังต้องการจะครองชีวิตร่วมกับมันตลอดเวลา จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงเดือดร้อนกันทั่ว แสวงหาอำนาจกัน สร้างความเดือดร้อนกันทั่ว ทั้งอำนาจจากยศถาบรรดาศักดิ์ ในหน้าที่ราชการมีอำนาจครอบครองโลกที่เป็นกันอยู่" |
"จำเอาไว้ คนที่ขึ้นเขาวงพระจันทร์นั้นมีน้อย แต่คนที่ไม่ได้ขึ้นเขานั้นมีมากมายมหาศาล คนจะมาปฏิบัติธรรมนั้นน้อยนิด แต่คนที่ไม่ชอบปฏิบัติธรรมนั้นมีมาก คนชอบแต่ความสบายมีมากมายมหาศาลเช่นกัน โลกนี้จึงมืดมัว คนเมาหมกอยู่กับความทุกข์ไม่จบสิ้นน่าเวทนาเสียจริง
คำสอนของหลวงปู่สร้างพลังให้มีความเข้มแข็ง มีกำลังใจที่ต้องต่อสู้กับชีวิต ต่อสู้เอาชนะความชั่วของตัวเอง แล้วเริ่มปฏิบัติแต่ความดีตามที่ตั้งสัจจะแห่งตนเอาไว้ในใจ เกิดกำลังใจเข้มแข็งขึ้นอย่างล้นพ้นจึงเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตเริ่มไม่บ่น ยิ่งใกล้ถึงยอดเขายิ่งชัน เราก็ยิ่งเหนื่อย แต่จิตมันแข็งแกร่งเสียแล้ว ในที่สุดก็ถึงยอดเขาวงพระจันทร์ ก้าวถึงบันได้ขั้นสุดท้าย มีลมพัดเย็น *อาการเหน็ดเหนื่อยหายไปหมดสิ้นทันที ไม่ทันได้นั่งพักเลย* เห็นหลวงปู่นั่งรออยู่แล้ว ท่านให้เกลือกินหนึ่งเม็ด แปลกจริง ๆ ใจคิด แต่ก็กิน ท่านให้ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อน ตัวท่านหายไปไหนไม่รู้ เดินหาก็ไม่พบ จึงพักผ่อนนอนหลับจนตะวันใกล้ตกดิน พอมืดหลวงปู่มาหาแล้วพาไปกราบพระผู้มีพระภาคเจ้าในศาลา แล้วพาไปกราบรอยพระพุทธบาท พาสวดพระพุทธมนต์เจริญกรรมฐานแล้วให้พักผ่อน ส่วนท่านไปไหนไม่รู้ในความมืด |
วันรุ่งขึ้นเช้ามืด ท่านมาเรียกให้ตื่นแล้วพาไปสวดพระพุทธมนต์จนสว่าง รุ่งอรุณกำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า พอสว่างดีแล้วหลวงปู่ก็พาลงไปที่ลานกว้างด้านริมผาชัน มีหินลูกใหญ่วางอยู่เหมือนจอมปลวก แต่เป็นจอมปลวกขนาด ๗๐ คนโอบ ด้านหนึ่งอยู่บนลาน ด้านหนึ่งอยู่ล้ำหน้าผาเดินอ้อมไม่ได้ ถ้าเดินไปก็ต้องตกลงข้างล่างที่สูงชัน
หลวงปู่บอกว่า ให้นั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ หลวงปู่จะทักษิณาหินลูกนี้เอาอานิสงส์ แล้วท่านก็เดินไป ข้าพเจ้าคิดในใจทำได้อย่างไร? ครั้นจะนั่งหลับตาก็ไม่เห็น จึงไม่หลับตา เห็นหลวงปู่เหาะเวียนหินก้อนนั้น ๓ รอบ ใช้ไม้เท้าที่ท่านถือกรีดรอบหินลูกนั้น ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก!!! ได้อ่านในนิทานชาดกว่า พระผู้ทรงอภิญญาท่านเหาะไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ ครั้งแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องแต่งพิศดารเท่านั้น แต่ที่หลวงปู่กระทำนั้นมันเหาะจริง ๆ เพราะตัวท่านลอยจากพื้น เท้าท่านไม่ได้แตะพื้น ตัวท่านลอยอยู่ในอากาศแล้วเวียนรอบหินลูกนั้น ๓ รอบ ถ้าไม่เหาะจะวนไปอีกด้านหนึ่งไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องตกลงไปด้านล่าง (ครั้งแรกหลวงพ่อริม รัตนมุนีได้เคยแสดงให้ดูแล้วครั้งหนึ่ง) :onion_wink::onion_wink::onion_wink: |
ข้าพเจ้าจึงก้มกราบ หลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า ถามว่า แอบดูหรือ? ทุกอย่างทำได้ทั้งนั้น นี่เพียงของหยาบ ๆ ง่าย ๆ มันทำไม่ยาก ที่ยากคือสร้างจิตให้มีพลังอำนาจ สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งมากระทบ ให้เกิดปัญญา รู้เห็น รู้จริง มีสติเข้มแข็ง สร้างสติให้เป็นมหาสติให้เจริญอยู่ในกายตลอดเวลา อันนี้ยากกว่ามากนัก ไม่เคยรู้เห็น ทำไม่ได้ก็ดูน่าตื่นเต้น รู้ทำได้ก็เป็นธรรมดาเท่านั้น เป็นปกติไม่ได้วิเศษอะไร งานที่ต้องทำมีอีกมาก สิ่งที่ต้องต่อสู้ทั้งภายใน ภายนอกมีอีกไม่น้อย มันสลับซับซ้อนซ่อนเร้นที่เราต้องพบอีก จึงต้องเตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้อย่าประมาท อย่าละโอกาสอันดีเสีย
ทำให้ดูเพื่อสร้างแรงขับภายในจิตของเราเท่านั้น เข้าใจแล้วอยากทำได้ เร่งศึกษาขยันปฏิบัติ ชำระล้างจิตใจของตนเองให้ขาวสะอาด อย่าให้กิเลสมารบกวนจิตให้เสียคุณภาพ ให้เสียพลังเดชาอานุภาพ จิตตานุภาพจึงเข้มแข็ง ทำอะไรก็ได้ จะช่วยใครก็ได้ คำพูดของหลวงปู่ตอนนี้ มีความหมายต่อชีวิตของข้าพเจ้ามากมาย จะได้เขียนในเรื่องต่อไปชื่อเรื่อง พลังจิตรักษาโรคร้าย หลวงปู่กล่าวว่า เมื่อลงจากเขาแล้ว จะไม่พบหลวงปู่อีก ๙๕ ปี จึงจะค่อยพบกันให้ดูแลตัวเองให้ดี มีงานต้องทำ ให้เร่งปฏิบัติ อย่าจำใจทำ ให้ทำด้วยความเต็มใจ |
ข้าพเจ้าจึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่เป็นใคร? มีนามว่าอะไร? ท่านตอบว่า รู้ไปทำไม? ได้อะไร? หลักธรรมที่ปู่บอกกล่าวมีคุณค่ากว่า รู้ก็เท่านั้น ไม่รู้ก็เท่านั้น มีอะไรดีขึ้น แต่หากปฏิบัติตามคำสอนให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะเป็นประโยชน์มากกว่า ได้คุณค่ามากกว่ากับตัวเราเอง เรื่องของปู่ ปู่ก็ได้ของปู่ ใครจะมาแย่งไปก็ไม่ได้ แต่จะบอกให้เอาบุญ คนเขาเรียกปู่ว่า พระครูเทพโลกอุดร แต่เป็นนามสมมติเท่านั้น (นามที่เขาแต่งให้กันเอง) ปู่อยู่เขาพนมฉัตร ภูเขาควาย ภูอีด่าง อยู่ถ้ำวัวแดง อีกหน่อยจะได้ไปต่อไป จะได้ไปเที่ยวถ้ำวัวแดง ได้บำเพ็ญที่ถ้ำนั้น จงจำไว้
จึงถามท่านว่า จริง ๆ แล้วหลวงปู่เป็นใครกันแน่ หลวงปู่ช่วยให้ความกระจ่างแก่กระผมหน่อย จะได้ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เวลาคิดถึงได้นึกถึงหลวงปู่ถูก เพราะชื่อพระครูเทพโลกอุดรนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ท่านจึงบอกว่า พูดไปก็ไม่เชื่อ ปู่คือ องค์มหากัสสปะเถระ ผู้ถือธุดงค์อยู่ในป่าช้า ครองผ้า ๓ ผืนเคยได้ยินไหม? ข้าพเจ้าบอกว่า เคยเรียนในพุทธประวัติ ท่านบอกว่า นั่นแหละ หากเจริญอิทธิบาท ๔ สมบูรณ์แล้ว ได้ตั้งจิตทรงอายุอยู่ได้ ดังนั้น เราก็ต้องเจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อความสำเร็จแห่งชีวิต ไปศึกษาเสีย ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า อย่างนั้นหลวงปู่อายุก่อน พ.ศ. อีกใช่ไหม? ท่านจึงพูดว่า พระมุสาต้องผิดศีล จะเป็นพระอยู่ได้อย่างไร" |
ข้าพเจ้าได้พบท่านอย่างไม่รู้ตัว คนอยากพบก็ไม่ได้พบ เดินทางไปแสวงหาก็ไม่พบ ส่วนข้าพเจ้าได้พบแต่ไม่รู้ อยู่ด้วยกันตั้ง ๑๑ วัน หลวงปู่ใช้อุบายอันแนบเนียนอบรมจิตของข้าพเจ้า สอนธรรม สอนปฏิบัติ เป็นอาจารย์ทางกรรมฐานต่อจากหลวงพ่อริม รัตนมุนี และตรงตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ก่อนมรณภาพ ตอนนั้นเราไม่เอาใจใส่จดจำเองเท่านั้น
สาย ๆ ก็เดินลงจากเขา ข้าพเจ้าคิดว่าขาลงเขาคงจะง่าย แต่ความคิดนั้นผิดถนัด ลงเขาช่วงแรกสบายมาก แต่พอเดินไปได้ไม่ไกลนัก เริ่มปรากฏความไม่จริงตามที่ได้คิดไว้ มันเริ่มเมื่อย กำลังขาเริ่มอ่อนเพราะต้องพยุงตัวลงจากที่สูงชันตามขั้นบันไดแรงกระแทกทำให้เข่าเริ่มเจ็บ ขาเริ่มสั่น มันเพิ่มเป็นทวีคูณเกือบลงไม่ถึงตีนเขา มันเจ็บระบมไปหมดโดยเฉพาะตรงหัวเข่า ถึงตีนเขาหลวงปู่ให้ศีลแล้วเดินหายไป เพื่อลดความข้องใจของท่านที่ได้อ่าน ท่านอาจถามอยู่ในใจว่า มีใครไปด้วย ไปรู้ ไปเห็นด้วย ขอเรียนว่าไม่มี ท่านไม่ให้ใครติดตาม ข้อเขียน ได้ตัดตอนในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย ดังได้บอกกล่าวไว้แล้วว่ามีแต่ขาด ไม่เกินจากที่ได้พบเห็น จะเห็นได้ว่าอุบายธรรมของท่านให้รู้ด้วยตนเองเพื่อสร้างกำลังใจให้ปฏิบัติ การเข้าปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีสัมปชัญญะ จึงจะนำความสำเร็จมาให้ ที่เรียกว่าต้องมีพละห้าประการนั่นเอง จากนั้นมาข้าพเจ้าเอาจริงเอาจังกับการเจริญกรรมฐาน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความเข้าใจ ศึกษาจิตของตนเองตามคำบอกกล่าวของหลวงปู่และหลวงพ่อริม รัตนมุนี ต่อสู้กับอำนาจความเกียจคร้าน ความเจ็บปวดเมื่อยล้า ความง่วงเหงาหาวนอน ชนะบ้างแพ้บ้าง เห็นจิตของตนเองตะคอกตัวเองให้เลิกทำบ้าง ให้ไปหลับนอนยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาบอกให้เลิก ให้อยู่สบาย ๆ ไม่เอา จะเห็นว่ากิเลสมารมาทำลายล้างความวิริยะของเรา ทำลายขันติ ทำลายความขยันมุ่งมั่นในความเพียรของเราให้หมดสิ้น เราจึงต้องสร้างขันติธรรมมาตั้งรับต่อสู้อยู่ตลอดเวลา |
อำนาจพลังจิต พิชิตโรคร้าย ลงจากเขาวงพระจันทร์ จากการบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจัง ทดลองคำสอนของหลวงปู่ในการสร้างพลังจิตให้บังเกิดจิตตานุภาพ ให้มีอิทธิฤทธิ์ ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้พบอ่านได้ทราบว่า ความรู้ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ารู้และท่านรู้ตามประสบการณ์ไม่ถูกไม่ผิด วันนี้อาจถูกและอาจไม่ถูกในอนาคต ขึ้นอยู่กับอุปาทานในสัญญาของแต่ละบุคคล ตลอดจนภูมิจิต ภูมิปัญญาในขณะนั้น วันนี้เราบอกว่าใช่ แต่พรุ่งนี้อาจจะบอกว่าไม่ใช่เสียแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจเอง ใครก็ตัดสินใจให้ไม่ได้ ใครตัดสินใจให้ก็จะเกิดความขัดแย้ง ความเป็นศัตรูก็จะเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายลองหลับตา นึกย้อนอดีตสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหลาย ย้อนไปก็จะพบว่าท่านเคยยอมรับกับตนเองมาแล้ว หลายเรื่องที่เข้าใจผิดพลาด อย่างเช่นที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว หลวงพ่อ หลวงปู่จึงได้มาปราบพยศ แก้ความสำคัญผิดทั้งหลายในอารมณ์ในจิต ความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาผิด ๆ เบื้องต้น เมื่อไม่รู้ก็บอกถูกต้องแล้ว แต่พอรู้สึกละเอียดขึ้น เห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น เห็นกฎธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นเพราะจิตเข้มแข็งมากขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้นกระมัง แต่ยังไม่สิ้นสุด |
หากจิตของเรายังถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส ย่อมจะค้นพบความผิดในจิตของตัวเองได้ยากเพราะจิตไม่อิสระ พลังจิตก็จะเสื่อมพลังอำนาจ พลังอำนาจจิตก็จะถูกขวางกั้น เหมือนเมฆที่บดบังดวงจันทร์ แสงจันทร์ก็ไม่ส่องหล้า
การสร้างพลังจิตนั้นต้องสร้างภาวะจิต ให้จิตอิสระจากพันธนาการของกิเลสตัณหา สร้างองค์ฌานให้เกิดองค์ฌานอันบริสุทธิ์ จนจิตนั้นพ้นจากกามที่มาห่อหุ้ม *ต้องสำรอกกิเลสออกจากจิตจนหมดสิ้น หมดจดอย่างแท้จริง เรื่องฌานนั้นข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในวิธีเจริญฌานไว้แล้ว ซึ่งเขียนเป็นโครงสร้างง่าย ๆ อ่านง่าย ๆ ปฏิบัติได้ก็จะเกิดองค์ฌานในจิต แล้วทรงฌานให้ทรงอยู่โดยการสร้างวสีฌาน* ในพุทธศักราช ๒๕๓๐ ข้าพเจ้าถูกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้เจริญจิตภาวนาจนสามารถใช้พลังจิตรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ได้ โรคอะไรก็หายโดยเฉพาะโรคร้ายแรงอย่างเช่น มะเร็งต่าง ๆ ที่หมอก็รักษาไม่หาย ช่วงนั้นมีคนป่วยมากมายมารักษาจนเกือบไม่มีเวลาพักผ่อน จะทำการรักษาตอนกลางคืนเพราะไม่ให้เสียเวลาราชการ สนุกมาก ภูมิใจมากที่ช่วยเขาได้และก็ไม่ได้เอาอะไรใคร ทั้งยังต้องเลี้ยงอาหารเขาด้วย เงินเดือนไม่เหลือเลย ไม่พอใช้ต้องกู้มาใช้ ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อให้รู้ว่าจิตนั้นมีพลังอำนาจเหนือเหตุผลหากกำกับได้ แต่ขอเรียนว่าขณะนี้ไม่ได้รักษาให้ใคร เพราะผลของการกระทำครั้งนั้น มีผลกระทบต่อสุขภาพของข้าพเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้สุขภาพของข้าพเจ้าทรุดโทรม เพราะไปทำผิดกฎแห่งกรรมเข้า พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เรื่องกฎแห่งกรรมว่า บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นจะต้องชดใช้กรรมนั้น เช่นกัน :msn_smilies-11: |
ข้าพเจ้าไปขวางกรรมของบุคคลอื่นไม่ให้เป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำไว้ เราได้ใช้พลังอำนาจจิตบำบัดรักษาไปขวางกรรมนั้น ทำให้ไม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เราจึงต้องชดใช้กรรมบางส่วน ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าพยายามแก้ด้วยการบำเพ็ญบารมี ทำบุญสืบทอดพระพุทธศาสนา ทำคุณงามความดี ทอดผ้าป่า ทำกฐิน สร้างอุโบสถ สร้างพระประธานในอุโบสถ เป็นต้น ก็เพียงทุเลาเท่านั้น กินยาอะไรก็ไม่ถูกกับโรคต้องใช้พลังจิตเข้ารักษาอยู่ตลอดเวลา
จึงขอเตือนไว้ให้เป็นข้อคิด เตือนสติตนเองไม่ให้หลงผิด สมควรใช้พลังจิตที่ฝึกได้ให้ถูกทาง ใช้บำบัดกิเลสของตนเองที่เป็นโรคร้ายเกาะกินใจเราให้เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ใช้เป็นพลังอำนาจควบคุมจิต อารมณ์ให้อยู่ในกุศล จิตที่มีอารมณ์แน่วแน่ คือ อารมณ์กุศลเรียกว่า การสร้างสัมมาสมาธิจิตนั่นเอง ทำได้แค่นี้อย่าคิดว่าเราเก่งแล้ว ไม่มีอะไรเลย กามตัณหา ความอยากได้ยังไม่จางเลย ภวตัณหาความอยากเป็น ยังไม่จางหาย วิภวตัณหาความไม่อยากได้ ก็ยังไม่จางไปจากจิตเช่นกัน ยังลุ่มหลงอยู่และจะเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะทำให้จิตมันเหิมเกริม ทะเยอทะยาน ทะนงตน โอ้อวด ล้วนเป็นโทษแก่ตนเองทั้งสิ้น หากไปติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าทำให้เขาไม่ได้ เขาก็ตำหนิ เหยียดหยามเรา ทำให้เราเสื่อมเสียในที่สุด ได้แล้ว รู้แล้ว สมควรละวาง แล้วเดินต่อไป ข้างหน้ามีอะไรอีกมาก ไม่ไปข้างหน้า มัวเมาติดอยู่ ก็ไปไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า มัวพายเรือวนอยู่ในอ่าง จะไปไหนได้ |
พระพุทธองค์จึงไม่สรรเสริญการใช้อิทธิฤทธิ์ พระองค์ท่านจะสรรเสริญการสร้างปัญญารู้เห็นมากกว่า พระองค์ท่านส่งเสริมให้ใช้ปัญญา มากกว่าการใช้ฤทธิ์ทั้งที่มีอยู่
*นักปฏิบัติจะต้องพบ จะต้องผ่านตรงนี้ทั้งนั้น เพราะในขั้นของสมถะกรรมฐานอันเป็นอุบายทำให้จิตสงบ จะต้องผ่านจุดนี้ก่อนที่จะถึงวิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นอุบายให้เกิดปัญญากันทั้งนั้นไม่มีเว้น สมถะกรรมฐานเป็นฐานของวิปัสสนากรรมฐาน จึงต้องผ่านขั้นตอนของรูปฌานสี่ บังเกิดอิทธิฤทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะติดหลงอยู่ คิดว่าได้แล้ว เก่งแล้ว ที่แท้แค่ตุ๊กตาเด็กเล่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง กว่าจะเข้าใจและหลุดได้ จิตมันก็เกาะติด หลงเข้าใจผิดเรียกว่าติดวัตถุธรรม อวดศักดาไปเรื่อย ๆ ทะนงตน จิตอหังการจนบังคับไม่อยู่ หากไม่ละวาง ฌานจะค่อย ๆ เสื่อมจนเป็นปกติจิตในที่สุด* |
เข้าเมืองลับแลนคร
เข้าเมืองลับแลนคร ในปีเดียวกัน ถูกคำสั่งย้ายไปอยู่ที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดชุมพร (อยู่จังหวัดสมุทรสาครได้ ๙ เดือน) อยู่จังหวัดชุมพรได้ผจญอะไรมากมายทั้งคน ทั้งวิญญาณ ต้องพบความทุกข์ยาก แต่ด้วยพลังของครูบาอาจารย์ได้ช่วยปัดเป่าให้ผ่านพ้นไปได้ เหมือนเอาเราไปฝึกจิตให้แข็งแกร่ง เรียนรู้อะไรอีกมากมาย การปฏิบัติของข้าพเจ้าก็ยังมั่นคงอยู่ ครูบาอาจารย์ทุก ๆ รูป ทุก ๆ นามในอเนกชาติได้มาสอนวิชาให้ ได้มาฝึกอบรม สั่งสอนในสมาธิฌานให้รู้จักกำกับจิต ให้รู้จักเดินฌานให้เข้าใจในการขับเคลื่อนจิต ใกล้วิทยาลัยมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “เขาขุนกระทิง” อยู่ติด ๆ กับถนนหน้าเขา มีวัดตั้งอยู่เรียกว่า "วัดขุนกระทิง" เขาลูกนี้มีอะไรแปลก ๆ หินที่ย้อยลงมาจะเป็นรูปกระโหลกหน้าคน เมื่อมองขึ้นไปน่ากลัวมาก เคยมีบริษัทได้สัมปทานระเบิดหินจำหน่าย มีผู้ต่อต้านแต่ต่อต้านไม่ได้ บริษัทจึงทำการระเบิดหินจำหน่าย แต่ก็ทำให้บริษัทนี้พบความวิบัติล่มจม ครอบครัวพลัดพรากตายจากกันไป การค้าที่เคยรุ่งเรืองก็พบความยุ่งยาก ประสบความขาดทุน มีคดีความ จนล่มสลายในที่สุด :onion_wink::onion_wink: |
มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนงานขึ้นไปวางชนวนระเบิดอยู่ ๓ ถึง ๔ คน ขณะต่อสายชนวนอยู่นั้นประมาณ ๑๓ นาฬิกา แดดกำลังจ้าอยู่ ไม่มีเมฆฝน ท้องฟ้าสว่างหมดจด ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แต่เหตุเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่คาดคิด มีสายฟ้าฟาดลงมาใส่ชนวนระเบิด ที่คนงานกำลังฝังลงในหินเพื่อระเบิดเอาหิน เกิดระเบิดขึ้นมาทำให้คนงานตายหมด จะเกิดจากอะไร? ขอให้ท่านผู้รู้พิจารณาเอาเอง ใช้วิจารณาญาณเอาเอง ข้าพเจ้าไม่กล้าพอที่จะบอก ไม่กล้าวิจารณ์ลงไป ขอเป็นความลับในโลกต่อไป ว่าเกิดอะไรขึ้น !!!
*ที่ด้านหน้าภูเขาลูกนี้ มีถ้ำไม่ใหญ่มากนัก มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่ไม่เล็ก สร้างเมื่อไหร่ไม่ทราบ มีแต่คำบอกเล่ากันมาหลายชั่วคนว่า “ก็เห็นอยู่อย่างนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยศรีวิชัย อายุประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีเก่าแก่มาก เป็นที่เคารพของพระพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก มีความศักดิ์สิทธิ์ตามคำร่ำลือ* |
*ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปสักการะ ไปสวดพระพุทธมนต์อยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งขึ้นไปนั่งปฏิบัติธรรมเมื่อมีเวลาว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นเกือบทั้งวัน ขึ้นเช้าลงมาเย็น จิตสงบดีไม่มีอะไรมารบกวน คนทั่วไปก็ไม่ค่อยขึ้น ส่วนใหญ่จะขึ้นเฉพาะมีเทศกาลเท่านั้น*
อยู่มาวันหนึ่งได้เจริญภาวนาตามปกติ แล้วออกมานั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำ เมื่อหายเมื่อยแล้วก็จะได้ปฏิบัติต่อ ขณะนั้นมีชายรูปหนึ่งร่างสูงใหญ่แต่งตัวแบบกษัตริย์มาจากไหนไม่รู้!!! เดินมาถามข้าพเจ้าว่า มาทำไม? ข้าพเจ้าตอบว่า มาปฏิบัติธรรม แล้วท่านมาจากไหน? แต่งตัวแปลก ๆ มาอย่างไร? ไม่ทันเห็น ชายผู้นั้นตอบว่า อยู่ที่นี่แหละ อยู่ในเมืองลับแล ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองชื่อสิงหล ออกมาดูว่าท่านอยากได้อะไร? จะได้หามาให้ เห็นว่าเป็นคนดี เขาชมเชย ข้าพเจ้าได้ตอบไปว่า ไม่เอาอะไรทั้งนั้น มาหาความสงบ ไม่ปรารถนาอย่างอื่น ขอจับมือหน่อยได้ไหม? เขายื่นมือมาให้จับ จับดูก็เป็นเนื้อหนังอย่างเรา ๆ นี่เอง เราไม่ได้ตาฝาดไปแน่ คิดอยู่ในใจ เจ้าเมืองลับแลได้ถามข้าพเจ้าว่า อยากไปเที่ยวเมืองลับแลไหม? เขาชี้ไปที่ผนังถ้ำอยู่ด้านปลายพระบาทของพระพุทธรูป เห็นแต่หินผนังถ้ำ จึงบอกว่าไม่เห็น เขาบอกว่า อยากเข้าไปไหม? อยากได้อะไร? สมบัติมากล้นเหลือ เอาเท่าไหร่ก็ไม่หมด จึงตอบไปว่า อยากเข้าไป แต่ไม่เอาอะไร อยากเห็น แต่กลัวออกมาไม่ได้ เขาตอบว่า เข้าได้ ก็ต้องออกได้ ไม่ต้องกลัวจะพามาส่ง ถ้าจะเข้าไปก็จับมือข้าพเจ้า จะพาไปดู จะได้รู้เห็นเป็นบุญ ตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากเข้าไป ใจหนึ่งก็กลัวออกมาไม่ได้ กลัว ๆ กล้า ๆ ในที่สุดจึงตัดสินใจ เข้าก็เข้า เลยเอามือจับมือเจ้าเมืองลับแล จับไว้ที่ข้อมือ เขาพาเดินไปที่ผนังถ้ำ แปลก !!! ผนังหินแท้ ๆ แต่เดินผ่านเข้าไปได้ พอผ่านเข้าไปหันกลับมาดู ก็เป็นหินเหมือนเดิม เหมือนมิติซ้อนมิติอย่างไรก็อย่างนั้น |
ข้างในสว่างไสวเหมือนกลางวัน มีบ้านเรือน มีผู้คน แต่ละคนล้วนผิวพรรณดี ทุกคนมองดูสุภาพเรียบร้อยทั้งหญิงทั้งชาย มีปราสาทราชวังสวยงามเต็มไปด้วยเพชรพลอย เงินทองเต็มไปหมด ใครเห็นเข้าคงจะเพลิดเพลินกับทรัพย์สินที่มีอยู่ดาษดื่น ละลานตา
เจ้าเมืองพาตรงไปยังปราสาทหลังหนึ่ง พาเข้าไปดู เขาบอกวังของเขา ทำด้วยทองคำทั้งหลัง ข้างในสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิด แล้วพาชมเมืองจนทั่ว ใช้เวลานานพอสมควร ก่อนจะออกมาส่งที่ปากถ้ำ เขาถามข้าพเจ้าว่า จะเอาอะไรบ้าง? จะให้ ข้าพเจ้าบอก ไม่เอาอะไร ได้ให้สัญญาไปแล้ว แต่เขาหยิบเหรียญทองคำขึ้นมาเหรียญหนึ่ง เหมือนเหรียญหนึ่งสตางค์สมัยก่อน แต่เหรียญใหญ่กว่าเล็กน้อย ด้านหนึ่งเป็นรูปกงจักร ด้านหนึ่งเป็นตัวหนังสือแต่อ่านไม่ออก เขาให้เอามาจะได้เป็นหลักฐานว่าได้มาเที่ยวเมืองนี้ เดี๋ยวจะไม่เชื่อ จึงรับเหรียญอันนั้นใส่กระเป๋าไว้ ได้จับมือกับเจ้าเมือง เขาพาเดินมาทางเดิม พาผ่านผนังถ้ำออกมาข้างนอกเกือบค่ำพอดี ได้กล่าวขอบคุณและร่ำลากัน ก่อนจะแยกจากกันนั้น เขายังสั่งไว้ว่า หากต้องการอะไรให้ไปบอก เขาจะช่วยทุกอย่าง" แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยไปขออะไร ถ้าไปขอแล้วจะได้ไหม? นั่นก็ยังไม่รู้ !!! กลับถึงบ้านก็เอาเหรียญที่ได้ขึ้นมาดู เป็นทองสุกเปล่งปลั่งทั้งอัน นำเก็บไว้ในห้องพระ ย้ายไปย้ายมาเลยหายไป ขณะนี้ไม่มีให้ดูแล้วก็น่าเสียดาย จากเหรียญอันนั้น ทำให้รู้ว่าได้เข้าไปในเมืองลับแลจริง ๆ เมืองลับแลมีจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่ากันเพราะได้เข้าไปแล้วด้วยตนเอง เอากายหยาบเข้าไป ไม่ได้หลอกลวงตัวเอง มีหลักฐานออกมาเป็นเหรียญทองอันที่หายไป ข้าพเจ้าไม่แปลกใจอะไรเลยว่า โลกใบนี้มีอะไรเร้นลับที่ท้าทายให้ศึกษาอีกมากมาย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ |
พบวิญญาณขอส่วนบุญ
พบวิญญาณขอส่วนบุญ ขอย้อนกลับไปพุทธศักราช ๒๕๒๖ เพื่อไม่ให้สิ่งที่ได้พบเห็นตกหล่นไป เรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่กลัวบาป หันมาเกรงกลัวต่อการสร้างกรรมอันเป็นอกุศลกรรม ได้เกรงกลัวงดกระทำกรรมชั่ว กลับมาทำคุณงามความดี จะได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ในเบื้องต้น ได้กล่าวไว้แล้วว่า “มาก็ไม่ได้เอามา ไปก็ไม่ได้เอาไป” แต่สิ่งที่เอามาคือกรรม สิ่งที่เอาไปคือกรรม เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ กรรมดีกรรมชั่วเราเอามาแล้วก็ไปกับเราแน่แท้ ไม่อยากเอามาก็มา ไม่อยากเอาไปก็ต้องเอาไป ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ต้องเอาไปแน่ ต้องตอบสนองแน่ต้องอยู่กับเราตลอดไป เป็นเพื่อนยามสุขเพื่อนยามทุกข์ ยามสุขก็ส่งเสริมให้สุขมากขึ้น ยามตกทุกข์ก็ให้ทุกข์มากขึ้น ซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา นี่แหละกรรม จำไว้ให้ดีแยกแยะให้ได้ อยากสุขในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติให้ทำกรรมดี อยากทุกข์ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติก็ให้ทำกรรมชั่ว เราได้ทำของเราเองทั้งนั้น ดังตัวอย่างที่ได้พบมา พุทธศักราช ๒๕๒๖ ได้ไปอุปสมบททดแทนคุณบิดามารดาที่วัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเพณีทางภาคใต้บุคคลที่อุปสมบทเป็นพระ จะต้องท่องบทขานนาคให้คล่องแคล่ว ก่อนบวชนาคผู้ที่จะบวชต้องไปนอนวัด เพื่อซ้อมการขานนาคให้ถูกต้องตามขั้นตอนอุปัชฌาย์จะเคร่งครัดเรื่องนี้มาก |
ก่อนบวชสองวันข้าพเจ้าไปนอนวัดเช่นคนอื่น แต่ข้าพเจ้าบวชนอกพรรษา บวชด้วยกันสามคน เมื่อซ้อมขานนาคเสร็จก็เข้านอนในกุฏิกำลังจะหลับ มีวิญญาณที่อยู่ในวัดได้มาหามากมาย มากันเป็นระเบียบ มาขอร้องให้แผ่อานิสงส์ไปให้พวกเขาด้วยเมื่อบวชเสร็จแล้ว พวกเขาทนทุกข์ทรมานมานานนักหนา ให้ช่วยปลดปล่อยทุกข์ให้พวกเขาด้วย พวกเขาสำนึกผิดที่ได้กระทำไว้ ตอนมีชีวิตอยู่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย วิญญาณแต่ละคนมารู้สำนึกบาปเมื่อสายเสียแล้ว รูปกายแตกดับทำอะไรไม่ได้ ต้องทนทุกข์รับกรรมที่ได้กระทำมาอย่างแสนสาหัสอยู่จนถึงบัดนี้
วิญญาณบางคนต้องทนทุกข์มาหลายร้อยปี บางคนก็ไม่นานนัก เขาบอกว่าเห็นท่านมาบวช และพอติดต่อประสานขอส่วนบุญได้จึงได้มากัน คอยมานานแล้ว จะมีใครสามารถประสานให้รู้ทุกข์ของพวกเขา ไม่มีเลย บวชแล้วพวกเขาได้รับอานิสงส์น้อยเพราะไม่ได้อุทิศเจาะจงให้พวกเขา ขอท่านจงเมตตาเถิด ทำให้คิดถึงคำตรัสขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เขียนไว้ตอนต้น ขอยกมาอีกครั้งเพื่อเตือนใจ กระตุ้นความจำทรงตรัสไว้ว่า บุคคลทำกรรมชั่ว มักไม่รู้ว่าตนนั้นทำกรรมชั่ว เพระผลของกรรมชั่วยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อผลของกรรมชั่วนั้นปรากฏ จึงรู้ว่ากรรมชั่วนั้นเหมือนดั่งยาพิษ เหมือนดวงวิญญาณผู้น่าสงสารเหล่านั้น ถ้าท่านได้เห็นได้สนทนาด้วย ก็จะเกรงกลัวการทำกรรมชั่วเพราะมันน่าสะพรึงกลัวเสียจริง ๆ แม้คนเคยเก่งกล้า เคยกล้าหาญ ก็ยังต้องขยาดไม่กล้าทำในสิ่งผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนบอกเล่าจากการได้พบได้เห็น :cebollita_onion-09::cebollita_onion-09::cebollita_onion-09: |
สนทนากับดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยาก ลำบากถูกทรมานต่าง ๆ นานา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ว่า กรรมนั้นเป็นของแต่ละคนอยู่แล้ว จะแบ่งปันให้ผู้อื่นไม่ได้ ใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับกรรมนั้น อย่างวิญญาณที่ต้องทนทรมาน นี่คือสิ่งที่เมื่อตายไปแล้วเอาติดตัวไปทุก ๆ คน บางคนไปดี บางคนไปในที่ไม่อยากไปแต่ต้องไป ที่อยากไปก็ไปไม่ได้ เข้าไปไม่ได้เพราะกรรมดีกรรมชั่ว นี่แหละอย่าประมาท
พึงระวังไว้ทุกขณะ ให้มีสติสัมปชัญญะตลอดที่มีลมหายใจ ไม่เช่นนั้นท่านอาจเป็นอย่างดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ได้ เมื่อรู้ย่อมป้องกันได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ รู้ตอนไม่มีชีวิตแล้วหมดโอกาสจะป้องกัน หมดโอกาสจะแก้ตัว ทั้งสองคืนที่นอนวัดได้พบวิญญาณที่ตกทุกข์ระกำลำบากมากมายหลายร้อยหลายพันคน จึงได้รับปากจะช่วยวิญญาณเหล่านั้นวันบวชเป็นพระ เป็นนาคเข้าอุโบสถจนสำเร็จเป็นพระ แม่ดีใจปีติมาก เป็นลูกชายคนเดียวที่ได้บวช นอกนั้นไม่ยอมบวช ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้ทดแทนค่าน้ำนมของแม่ และได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับดวงวิญญาณ ได้อุทิศอานิสงส์ให้ตามสัญญา อุปัชฌาย์ได้จัดที่พักให้ ตกตอนเย็นก็ลงอุโบสถทำวัตรเย็น เสร็จกิจข้าพเจ้าขออนุญาตอุปัชฌาย์ไปนั่งปฏิบัติธรรมในป่าช้าในคืนนั้น ครั้งแรกอุปัชฌาย์ไม่อนุญาต แต่ได้ทำความเข้าใจกับท่านว่าได้เคยปฏิบัติมาแล้ว มีครูอาจารย์อบรมสั่งสอนด้านการเจริญกรรมฐานตอนเป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ ท่านจึงอนุญาตตามที่ขอ เวลาประมาณ ๓ ทุ่มได้เข้าไปในป่าช้า หาที่เหมาะสมแล้วขออนุญาตเจ้าที่ ขอนั่งปฏิบัติธรรมอย่ารบกวน ขณะที่นั่งอยู่วิญญาณที่ได้รับส่วนบุญได้มาขอบคุณที่แผ่บุญกุศลให้เขา |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:56 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.