กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6795)

เถรี 19-10-2019 21:45

ถาม : ผมทำพระปรอทปิดตาของหลวงปู่ละมัยชำรุด จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ยิ่งแตกหลายชิ้นยิ่งดี แต่จริง ๆ แล้วปรอทหลอมง่ายจะตาย แค่ไฟอ่อน ๆ ก็ละลายได้แล้ว ไปหาแบบมาแล้วก็ทำใหม่เลยก็ได้

ถาม : ผมควรเก็บไว้อย่างนี้หรืออย่างไรดีครับ ?
ตอบ : แล้วแต่จะตัดสินใจเอง

เถรี 19-10-2019 21:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ต้องบอกว่าน้ำท่วมได้ทั่วถึงมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายพื้นที่แล้งสาหัส ช่วงนี้ก็จะลงไปท่วมปักษ์ใต้แทน คราวนี้จากที่ผ่านมา ความช่วยเหลือจากพระ จากญาติโยม ไปถึงผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมก่อน รัฐบาลขยับไม่ทันสักเรื่อง

ที่รัฐบาลขยับไม่ทันสักเรื่องเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน อันดับแรกก็คือลำดับความสำคัญของงานผิด ก็คือเรื่องของน้ำท่วมชาวบ้านเดือดร้อน ต้องช่วยเหลือโดยให้ความช่วยเหลือถึงมือเขาให้เร็วที่สุด ก็มาติดอยู่ในข้อที่สอง ก็คือว่าติดด้วยขั้นตอนของทางราชการ กว่าจะประชุม กว่าจะอนุมัติงบประมาณ กว่าจะส่งความช่วยเหลือไปถึง...ชาวบ้านตายหมดแล้ว..!

ต้องบอกว่ารัฐบาลเพิ่งจะทำหน้าที่ได้ไม่กี่วัน คะแนนนิยมก็ตกรูดมหาราช ไม่เหลือเค้าลุงตู่ที่ญาติโยมชื่นชมในวันปฏิวัติ เพราะว่าตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นชัดว่าการที่บอกว่าคนอื่นเลว ตัวเองเป็นคนดี เข้ามาเพื่อแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด อะไรที่บอกว่ารัฐบาลเก่าทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี ชั่วช้าสามานย์ รัฐบาลใหม่ทำหมดทุกอย่าง และทำหนักกว่าด้วย จึงทำให้คะแนนนิยมหล่นหายไปเลย"

เถรี 19-10-2019 21:49

"ตอนนี้รัฐบาลพูดอะไรก็มีแต่จุดอ่อนให้เขาตี แม้กระทั่งไปพูดต่างประเทศ ต้องบอกว่าคนทั่วโลกได้ยินพร้อมกัน ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน รัฐบาลก็ยังกล่าวหาว่าสื่อไปบิดเบือนเพื่อตั้งใจที่จะลดเครดิตของรัฐบาล

ปัจจุบันนี้สิ่งที่รัฐบาลควรทำที่สุดมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือดูผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ แล้วลดผลกระทบนั้นให้เกิดกับประเทศของเราให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งโลกเดือดร้อน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยและรัฐมนตรีทุกกระทรวง ไม่มีใครให้ความสำคัญตรงจุดนี้

ประการที่สองก็คือ ดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา...แต่ว่ายาก เพราะว่า ๕ ปีที่ผ่านมา คุณเป็นคนผลาญความเชื่อมั่นของชาวบ้านเอง ถ้าชาวบ้านไม่เชื่อมั่นไม่ศรัทธา ต่อให้เป็นเทวดาลงมาก็ไม่สามารถที่จะบริหารประเทศชาติให้ดีได้หรอก"

เถรี 19-10-2019 21:52

"เมื่อชาวบ้านไม่เชื่อมั่น นักลงทุนไม่เชื่อมั่น การลงทุนไม่เกิด ก็จะเกิดสภาพเศรษฐกิจตึงตัวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ประการต่อไปก็คือการวางแผนบริหารประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะแก้ปัญหาฝนแล้งน้ำท่วม ไม่ใช่ถึงเวลาก็แก้กันไปตามหน้างาน ปีละครั้งปีละหน แล้วก็หลงลืมไปอีก เพราะว่าเรื่องเหล่านี้มีแต่จะหนักข้อขึ้น สาเหตุใหญ่เกิดจากการที่คนเราทำลายธรรมชาติ เพื่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ

โดยเฉพาะถนนหนทางไปขวางทางน้ำ ถึงเวลาน้ำมาแล้วไปไม่ได้ก็ท่วม จะไปบอกว่าเราไปทำท่อระบายน้ำไว้ ก่อนหน้านี้น้ำไหลได้ทีหนึ่งหน้ากว้าง ๕ กิโลเมตร ๑๐ กิโลเมตร อยู่ ๆ มาเหลือท่อกว้างแค่ ๒ เมตร ๓ เมตร แล้วจะผ่านไปได้สักเท่าไร ? เพราะฉะนั้น..การบูรณาการที่พูดกันมา ๒๐-๓๐ ปี ยังไม่ได้กระทำอย่างแท้จริงสักครั้งเดียว เพราะว่าหน่วยราชการของเราส่วนใหญ่ถนัดทำอะไรด้วยตัวคนเดียว ขาดการประสานงานกับหน่วยงานอื่น ถึงเวลาต่างคนต่างทำต่างคนต่างแก้ จึงกลายเป็นลิงแก้แห ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง"

เถรี 19-10-2019 21:53

"หัวหน้าหน่วยงานต่ำสุดคือรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ จะต้องเรียกเอาผู้อำนวยการกลุ่มทุกกรมกอง หรืออธิบดีทุกกรมมาชี้แจงแนวทางว่า ตอนนี้รัฐบาลต้องการจะแก้ไขปัญหาฝนแล้งอย่างไร ? ต้องการจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร ? แล้วทุกกรมกองทำไปในทางเดียวกัน ไม่อย่างนั้นแก้ให้ตายก็ไม่สำเร็จ

เรื่องนี้ถามว่ารัฐบาลรู้ไหม ?..รู้ รัฐมนตรีรู้ไหม ?..รู้ แต่ด้วยความที่ต้องบอกว่าตัวกูของกูมาก ทำอะไรก็หวังที่จะดึงคะแนนเสียง ในเมื่อทำทุกอย่างเป็นการเมืองจนเกินไป จึงทำให้เกิดความฉิบหายวายป่วงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน"

เถรี 19-10-2019 22:02

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าพิจารณาขันธ์ ๕ คือร่างกาย แต่ทีนี้ขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเราพิจารณาทีละอัน ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าให้พิจารณาทีละอย่างอยู่แล้ว ไปพิจารณาทีเดียว ๕ อย่างก็เพี้ยนเท่านั้น

ถาม : ตามสายเขาจะไปล้อกับปฏิจจสมุปบาท ?
ตอบ : ไม่ต้องไปยุ่งปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่ใช่คล่องตัวระดับพระอนาคามีจะจับไม่ติด พวกนั้นหาเรื่องทำให้ยาก

พระพุทธเจ้าให้ดูทีละอย่าง บอกทีละอย่าง ถามทีละคำ รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วา ติ รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? อนิจจัง ภันเต ไม่เที่ยงขอรับ ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ? ทุกขัง ภันเต เป็นทุกข์ขอรับ

พระองค์ท่านว่าไปทีละอย่าง แบบสอนเด็กอนุบาลเดินทีละก้าวเลย แล้วก็ทีละอย่าง ไม่ใช่ทีเดียว ๕ อย่าง

เถรี 19-10-2019 22:03

ถาม : เวลาเราพิจารณา บางวันไม่รับฟังเลยค่ะ ต่อให้มัน...?
ตอบ : ต่อให้ไม่เอาอะไรก็ต้องทำ เหมือนกับว่าถึงเวลาถ้ากระแสน้ำแรงมาก เราว่ายอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะไปได้ แต่ก็ต้องจ้วงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะไหล
ตามกระแสนั้นไป

เถรี 19-10-2019 22:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็ยังเลือกทำบุญในส่วนของสังฆทาน วิหาร แล้วก็ธรรมทาน ถ้าบอกว่ามีประโยชน์น้อย พวกเราก็คงจะช็อกตาตั้ง เพราะอย่าลืมว่า แม้ว่าจะเป็นสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน ก็ยังอยู่ในระดับของทานเท่านั้น ยังมีระดับของศีลที่สูงกว่านั้น ระดับของภาวนาที่สูงกว่านั้น แต่หลายคนกลับติดอยู่แค่นี้


ผลอะไรไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำทานอย่างเดียว โดยหวังว่าผลของทานจะไปแก้ไขวิถีชีวิตของเราได้ดีขึ้น ต้องบอกว่าหลงทางไปไกล สิ่งที่จะแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้นก็คือการภาวนา ถ้าสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเกิด จะเห็นหนทางแก้ไขได้เร็วยิ่งขึ้น

ถามว่าแล้วทำทานไม่ถูกหรือ ? ถูก...แต่ถูกไม่หมด เพราะว่าส่วนใหญ่เราไปหวังผลของทานในการเปลี่ยนแปลง..ซึ่งยาก การทำทานเราทำตามหน้าที่ ทำตามรูปแบบ ทำตามกำลังใจที่เราสละออก แต่ผลที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้นอย่างชัดเจนก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าควบคุมกาย วาจา ใจของเราทั้งหมด"

เถรี 19-10-2019 22:08

"แต่ปัจจุบันนี้จำนวนมากด้วยกัน ถึงเวลา เอ้า...ไปทำบุญ ดวงไม่ดี...ไปทำบุญ ถ้าอยากจะดวงดีจริง ๆ ให้ภาวนาไว้ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หรือตลอดทั้งวันได้ยิ่งดี ไม่ใช่ดวงไม่ดีแล้วไปทำทาน เหมือนกับภูเขาถล่มทับแล้วเอาไม้จิ้มฟันไปค้ำไว้ โอกาสค้ำอยู่มีน้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าภูเขาถล่มทับก็ต้องเอาระดับภูเขาไปค้ำไว้ ก็คือเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่พวกเรามักถนัดในการซื้อความสบายใจ ได้จ่ายเงินทำทาน มักง่าย..! ให้ไปตั้งหน้าตั้งตาขัดเกลารักษาศีลตัวเอง ให้ไปนั่งสมาธิภาวนารู้สึกว่ายาก เพราะฉะนั้น..ทำให้ตายก็ได้ผลแค่หน่อยหนึ่ง แล้ว "ไอ้เต้ย" ก็จะไปสงสัยว่า ทำมาทั้งชีวิตทำไมได้แค่นี้ ? ปล่อยไปเถอะ...ให้โง่ต่อไป กัณฑ์เทศน์ก็คือธรรมทาน ก็ยังเป็นทานอยู่ดี ส่วนการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตัวเองไม่มีเลย เมื่อไร ๆ ก็ยังหลุดยังรั่วอยู่ตลอด แล้วแม่ง..จะดีขึ้นได้อย่างไร ?!!"

เถรี 19-10-2019 22:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้กรุงเทพฯ อ่วม เจอทั้งฝน เจอทั้งลูกเห็บ ที่น่ากลัวกว่าก็คือทองผาภูมิ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทองผาภูมิเวลาฝนตก บรรยากาศเหมือนอย่างกับหน้าฝนทางยุโรป คือฝนมาพร้อมกับความหนาว โอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นหิมะเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ดูแนวโน้มแล้วว่ามีแน่ ในส่วนนี้ละไว้ไม่ต้องกล่าวถึง

ที่อยากจะพูดก็คือว่า ช่วงปลายฝนต้นหนาว บ้านไหนมีคนแก่ บ้านไหนมีคนป่วยต้องดูแลให้ดี พลาดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้นแหละ เพราะว่าพวกเราไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องโบราณ ๆ เท่าไร ช่วงอากาศเปลี่ยนร่างกายคนที่อ่อนแอจะปรับไม่ทัน คนแก่อย่างหนึ่ง คนป่วยอย่างหนึ่ง ถ้าดูแลไม่ดีก็ไปหมด เราก็มักจะคิดว่าไม่เป็นไร กว่าจะรู้ตัวก็แข็งทื่อไปแล้ว

ช่วงเดือนนี้ที่ทองผาภูมิ พระมรณภาพไป ๒ รูป รูปหนึ่งเป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาส คงจะหาใครทดแทนได้ยาก เพราะว่าท่านเป็นกะเหรี่ยงแต่มีการศึกษาสูง แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ท่านเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านได้ดีมาก ปรากฏว่ามรณภาพด้วยโรคมะเร็ง"


เถรี 19-10-2019 22:30

"ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นพระแก่อายุ ๘๓ ปี นอนอยู่ กว่าลูกวัดจะไปเจอก็แข็งไปแล้ว เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อาตมาก็เพิ่งจะไปเยี่ยมหลวงพ่อเผ่า เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำสหกรณ์นิคม ท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง นี่ก็เป็นมะเร็ง ก็ต้องบอกว่าไปผิดจังหวะ ไปตอนที่หมอกำลังให้ยาระงับปวดอยู่พอดี หลวงพ่อเผ่านี่ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะว่าท่านเป็นพระสายปฏิบัติโดยตรง ถ้าฉวยโอกาสเป็นนี่จะได้ดีไปเลย

ก็แปลว่าช่วงปีที่ผ่านมาคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ หรือว่าจังหวัดกาญจนบุรี สูญเสียเจ้าคณะปกครองหลายรูป โดยเฉพาะเป็นมะเร็ง ซึ่งตรงส่วนนี้จะว่าเป็นเรื่องน่ากลัวก็ใช่ แต่ให้เป็นเรื่องน่ากลัวให้เราเห็นแล้วไม่อยากเกิด ไม่อยากมีร่างกายนี้ที่เป็นรังของโรค ไม่อยากเกิดมาในโลกนี้ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ไม่ใช่ไปกลัวแล้วหาทางหลบหนี

แล้วอีกอย่างเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ถ้าในอดีตฆ่าคนฆ่าสัตว์ไว้เยอะ ชาตินี้ก็ป่วยบ่อยป่วยหนัก ถ้าในอดีตประกอบด้วยเมตตาบารมี ก็จะไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยกับใคร"

เถรี 19-10-2019 22:33

"เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับที่พักสงฆ์เขาธัมมสรณ์ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เขาไปขุดกรุเอาวัตถุโบราณออกมาหลายรูป...! ก็ประมาณ ๙๐ กว่าปี มีที่หนุ่มมากเลยก็คือท่านเจ้าคุณสมชาย วัดปริวาส ท่านก็ ๖๗ ปี หลวงพ่อบุญส่ง ๖๔ ปี พอถึงเวลาหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูปเข้ามา อาตมาก็รีบลุกไหว้เอาไว้ก่อน จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณสมชายท่านสงสัย เลยบอกกับท่านว่า ที่เขานิมนต์มานี่ ๖๐ อย่างผมเป็นเด็กไปเลยครับ มั่นใจได้เลยว่ามีแต่คนแก่กว่า ว่าแล้วก็ไหว้เอาไว้ก่อน

ที่เอ่ยถึงอย่างนี้เพราะว่า หลวงปู่หลายรูปที่อายุเกิน ๙๐ ปีแล้วร่างกายยังแข็งแรงมาก แสดงว่าปาณาติบาตเก่ามีน้อยมาก หลวงพ่อสมชายกับหลวงพ่อบุญส่งไม่ได้อยู่ในระดับ ๙๐ กว่าอย่างเขา แต่ในระดับเลข ๖๐ กว่า อาตมายังเกือบจะเล็กที่สุด คราวนี้พอมีโอกาสสนทนาพาทีกัน มีหลวงปู่อายุมาก ๆ หลายท่านบอกว่า เดี๋ยวนี้แก่แล้วธาตุไฟน้อย ฉันอะไรลงไปหน่อยหนึ่งก็อืดอิ่มไปทั้งวัน เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ถ้าใครอ้วน ๆ แล้วธาตุไฟน้อยน่าจะอยู่ได้นาน ดังนั้น...ทางเปลือกนอกเราเห็นว่าท่านยังแข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วสภาพร่างกายก็เสื่อมไปตามอายุ"

เถรี 21-10-2019 08:34

"พอรุ่งขึ้นก็ไปอีก ๒ งาน ไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ก็เป็นเรื่องแปลก...ครูบาวิฑูรย์ท่านเข้านิโรธกรรม ๙ วัน อาตมาเข้า ๓ วันน้ำหนักหายไป ๔ กิโลกรัม ครูบาวิฑูรย์เข้า ๙ วัน รู้สึกว่าไม่มีอะไรหายเลย มีแต่จะมากขึ้น..!

แต่นึกไปนึกมาว่าอาตมาแก่จริง ที่แก่จริงเพราะว่าครูบาวิฑูรย์นั้น อาตมารู้จักตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร แล้วก็ช่วยประคับประคองกัน ก็ไม่รู้ว่าจะยืนหยัดเป็นหลักให้กับญาติโยมได้นานเท่าไร เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว บรรดาพระที่นิมนต์ไปเป็นเนื้อนาบุญให้กับพวกเราในช่วงวันที่ ๑๒ สิงหาคมนั้น มาสายพระโพธิสัตว์เสียเกือบทั้งหมด ซึ่งในเมื่อมาสายพระโพธิสัตว์ ถึงเวลาแล้วโอกาสที่จะเลี้ยวผิดจะมีสูงมาก ถึงได้บอกว่าต้องช่วยกันประคับประคอง ช่วยกันหนุนเสริม ขณะเดียวกันถ้าท่านอาวุโสน้อยกว่า ก็ช่วยตักเตือน

เพื่อที่ให้อย่างน้อย ๆ พวกเราได้มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเอาไว้เป็นเนื้อนาบุญบ้าง เพราะว่าทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลเป็น ๑๐๐ ครั้ง ก็สู้ทำบุญกับบุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาดไม่ได้ บุคคลที่มีศีลและศีลขาด เราทำบุญด้วย ๑๐๐ ครั้ง สู้บุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ไล่ขึ้นไปจนถึงศีล สมาธิ ปัญญา ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วพื้นฐานการปฏิบัติท่านแน่น แต่เนื่องจากว่าข้อจำกัดของความเป็นพระโพธิสัตว์ ก็คือโอกาสเข้าถึงมรรคผลนั้นไม่มี ก็ต้องช่วยกันประคองสุดชีวิต ท่านจะได้ไม่หลุดออกนอกทาง"

เถรี 21-10-2019 08:36

"หลังจากออกจากงานครูบาวิฑูรย์ ซึ่งอาตมาก็ทำอย่างนั้นทุกปี ก็คือไปวัดท่าซุงต่อ เพราะว่างานมักจะเป็นวันเดียวกัน พอไปวัดท่าซุงคราวนี้ก็เวรกรรมแล้ว แก่ขนานแท้เลย เพราะว่ารุ่นพี่ก็เหลือน้อยลง ๆ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงรูปปัจจุบันก็เป็นน้องตั้ง ๔ - ๕ พรรษา ก็เลยกลายเป็นว่าต่อให้ไม่สำนึกตัวว่าตัวเองแก่ ก็ยังต้องมีอะไรที่คอยเตือนสติอยู่เสมอให้รู้ว่าแก่จริง ๆ แล้ว



เพราะว่าญาติโยมหลายท่านมา อาตมาว่าเป็นคนจำคนแม่น ยังเกือบจะจำไม่ได้ โยมผู้หญิงบางคนก็ผมขาวหมดหัวแล้ว บางคนก็อ้วนจนผิดรูปผิดร่างไปเลย บางคนก็มาเดินหาอาตมา ซึ่งไม่น่าจะต้องหาเพราะว่ายังมีเค้าเก่าอยู่มาก อย่างไรอาตมาก็เปลี่ยนน้อย แต่ปรากฏว่าอาตมาจำเขาได้ทุกคน แต่บางคนมาเดินหาว่าพระอาจารย์เล็กนั่งอยู่ตรงไหน..? น่าตายมาก...! แค่ ๒๐ กว่าปีจำกันไม่ได้เสียแล้ว


คราวนี้ในส่วนที่เห็นชัดก็คือบรรดาคนรู้จักเก่า ๆ ล้มหายตายจากไปมาก ที่อยู่ก็เฒ่าชะแรแก่ชรา ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตือนตัวเองให้เร่งรัดในเรื่องของการปฏิบัติให้มากไว้ เพราะว่าสังขารร่างกายไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร ถ้าเรามัวแต่ประมาทอยู่ พอถึงเวลาไม่ได้ความดีอย่างที่หวัง ก็จะกลายเป็นเสียชาติเกิด"

เถรี 21-10-2019 08:38

"ตอนนี้อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อสมปอง ต้องบอกว่าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่นึกว่าท่านจะทรมานมานานขนาดนี้ ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ ปี ปกติคนเป็นมะเร็งไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ แต่ท่านก็อยู่ของท่านมาได้

เหตุที่อาตมารู้ชัดก็เพราะว่าช่วงที่ท่านเป็นใหม่ ๆ ท่านมาถามว่ามีไผ่ดำที่ไหนบ้าง ไม่ใช่ไพลนะ ไผ่...ต้นไผ่ ท่านมาถามว่า “หลวงพี่เดินป่ามามาก เจอไผ่ดำที่ไหนบ้าง ?” ก็บอกท่านว่าเคยเจอที่ดอยอ่างขาง “ช่วยหาให้หน่อยครับ ผมจะเอามาทำยา” ถามท่านว่าจะรักษาอะไร ? “มะเร็งครับ” ก็ไม่น่าเชื่อว่า...จากที่ท่านรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง มาจนถึงปัจจุบันนี้ ลากยาวมาได้ ๒๐ กว่าปี เพราะว่าปกติที่รู้ก็คือ มักจะไปภายในไม่กี่ปี

โดยเฉพาะถ้าเป็นมะเร็งตับ กว่าอาการจะออกก็มักจะระยะสี่ไปแล้ว เกินกำลังที่หมอจะรักษา คราวนี้ที่กล่าวมาก็คือว่าธรรมดาของร่างกายเป็นรังของโรค และสภาพอากาศที่เปลี่ยนทำให้ร่างกายปรับตามไม่ทัน ธาตุสี่แปรปรวน เพราะยิ่งอายุมาก ๆ เลือดลมอ่อนโทรม ไม่ได้ไหลคล่องเหมือนกับหนุ่ม ๆ สาว ๆ เผลอเมื่อไรก็มักจะไปเลย"

เถรี 21-10-2019 08:42

"เพราะฉะนั้นช่วงรอยต่อของอากาศ คนแก่หรือคนป่วยมักจะตายกันมาก แต่คราวนี้ปัจจุบันรอยต่อของอากาศไม่ชัดเจน...เป็นทั้งปี ปีนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนผลัดใบไป ๗-๘ รอบ พอถึงเวลาฝนหมดสักวันสองวัน อากาศเย็นเหมือนกับหน้าหนาว ต้นไม้คิดว่าหน้าหนาวแล้วก็ทิ้งใบ ทิ้งใบได้ ๒-๓ วันฝนตก...ก็แตกใบใหม่ แม้กระทั่งต้นไม้ยังทำใจไม่ถูกเลยว่านี่คือฤดูอะไร แต่คนเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนต้นไม้ พออากาศเปลี่ยน สุขภาพชำรุด ก็มักจะไปง่าย ๆ

อาตมาเองช่วงที่ผ่านมาต้องบอกว่าเกิดอาการพื้นแกว่ง ไม่ใช่บ้านหมุนนะ เวลาเดินแล้วเหมือนกับพื้นตะแคงไปตะแคงมา ก็คืออาการบ้านหมุนนั่นแหละ แต่อาตมาไม่รู้สึกว่าหมุน...รู้สึกว่าแกว่ง ตอนแรกก็คิดว่าเกิดจากพักผ่อนไม่พอ..มีงานตลอด แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นกระดูกคอเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ไปให้หมอนวดเขาดันกรึ๊บเดียวหาย ถ้าไปหาหมอปัจจุบัน หมอปัจจุบันก็ให้กินยาปรับความดัน บอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งอาตมาโดนมาจนเข็ด ก็เลยเลิกเชื่อหมอปัจจุบัน หันไปเอาใจใส่กับหมอแผนโบราณแทน

ใครที่มีอาการบ้านหมุนโปรดระวังไว้ด้วย แสดงว่าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ค่อยจะพอ อาการที่เลือดเลี้ยงสมองไม่ค่อยจะพอก็มักจะเป็นเพราะว่า กระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาท กระดูกที่จะเคลื่อนไปเบียดประสาทได้ ก็คือกระดูกคอกับกระดูกกราม ถามว่ากรามเคลื่อนอย่างไร ? อ้าปากกว้างไปก็เคลื่อนได้ เคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่ไป แข็งไป ก็เคลื่อนได้...
อนาถชีวิต..!"

เถรี 21-10-2019 09:01

ฝนตกที่บ้านเติมบุญ "สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบอาบน้ำฝน ปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งกำลังเล่นน้ำฝนอยู่แล้วฟ้าแลบแปล๊บ โดนไฟดูดกระโดดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าไฟฟ้าลงมากับน้ำได้อย่างไร ใครจะลองประสบการณ์นี้ดูบ้างก็ได้

เวลาฝนตกก็อาบน้ำฝน แต่ก็อย่าไปอาบแบบพระสมัยพุทธกาลนะ เพราะว่าอินเดียหาน้ำยาก ท่าน้ำก็มีน้อย คำว่าท่าน้ำก็คือสถานที่เหมาะที่จะลงไปที่แม่น้ำ ที่ไหนที่เหมาะ มีท่าน้ำอยู่ คนก็ประเดประดังไปอยู่ที่นั่น พระท่านก็ลงไปสรงน้ำกันที่ท่าน้ำกันเยอะแยะ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปจะสรงน้ำ เจอพระอยู่ท่านก็เกรงใจ ก็นั่งรอจนจะค่ำ ประตูเมืองจะปิดก็ต้องเสด็จกลับ พระองค์จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยสั่งให้พระที่อยู่ในมัธยมประเทศ คือภาคกลางของชมพูทวีป ๑๕ วันอาบน้ำได้ทีหนึ่ง ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต..! คนไทยเราขนาดไปยุโรปหน้าหนาวก็ยังอาบน้ำกันจัง"

เถรี 21-10-2019 09:04

"คราวนี้พวกเราเคยชินกับการอาบน้ำ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ถ้าไปเจอ ๑๕ วันอาบได้ครั้งหนึ่งก็ตาย แต่ถ้าเราเคยชินกับการอาบน้อย ๆ นาน ๆ ที ร่างกายก็จะปรับได้ เหมือนกับบรรดาพวกบุชแมนที่อยู่ในทะเลทราย ไม่ต้องพูดถึงน้ำอาบหรอก น้ำกินยังหายากเลย เขาอยู่ของเขาได้โดยไม่ต้องอาบน้ำ เพราะว่าร่างกายปรับเอง พอถึงเวลารู้สึกว่าตัวสกปรก ก็เอาฝุ่นทรายขึ้นมาถูตัวขัดตัวหน่อยหนึ่ง แล้วปัดทิ้งไปก็ใช้ได้แล้ว เป็นพวกเราบ้างก็คงจะพิลึก

เขาทำได้เพราะว่าบ้านเขาร้อนแห้ง อย่างของอินเดียแบบนั้นอากาศแห้งจัดมาก ผู้หญิงเขาซักส่าหรีเสร็จสะบัด ๆ แล้วคลี่กางไว้เหนือหัว พักเดียวก็แห้งแล้ว อากาศไม่มีความชื้น แต่บ้านเราความชื้นในอากาศมีมาก พอถึงเวลาความชื้นในร่างกายระเหยออกไปชนกับความชื้นของอากาศ ถ้าไปไม่ได้ก็จะกลายเป็นเหงื่อ ในเมื่อพวกเรามีเหงื่อมาก ไม่อาบน้ำก็ไม่ไหว แต่ของเขาไม่มีเหงื่อเลย เพราะฉะนั้น การห้ามอาบน้ำก่อน ๑๕ วัน พระองค์ท่านถึงได้ห้ามเฉพาะมัธยมประเทศ คือประเทศที่เป็นส่วนกลางของอินเดีย

อย่างของพวกเราถ้านับก็เป็นปัจจันตประเทศ เป็นประเทศชายขอบ ถ้าปัจจันตประเทศให้อาบได้เป็นนิตย์ ไม่ต้องอาบัติ ก็คือไม่ปรับว่าศีลขาด"

เถรี 21-10-2019 09:05

"ต้องบอกว่าศีลข้อนี้เกิดจากการที่ไม่ได้คิดถึงคนอื่น พอตัวเองมีโอกาสลงก็แช่เสียเพลิดเพลินเจริญใจไม่ขึ้นเสียที จนพระเจ้าแผ่นดินท่านลงไปอาบไม่ได้ ถ้าทุกคนรู้จักเกรงใจคนอื่น ใช้ทรัพยากรแต่พอสมควร โลกเราก็คงไม่ย่ำแย่จนถึงปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นไปตามฤดูกาล เพราะว่าพวกเราไปล้างผลาญทรัพยากรเสียมากจนเกินไป"

เถรี 21-10-2019 09:11

ถาม : การปฏิบัติธรรม ถ้าเราถอดถอนในอุปาทานทั้งหมด ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติไป อยากทราบว่ามาถูกทางหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็มาถูกทาง แต่ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

ถาม : ถ้าดับทุกอย่างหมดแล้ว ดับภพ ดับชาติ เห็นแต่พระพุทธเจ้าอยู่เหนือเศียรเกล้า อย่างนี้มาถูกทางไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าใช้คำพูดผิด การดับภพดับชาติถ้าทำได้จริงก็ไปพระนิพพานนานแล้ว ไม่มาเกิดใหม่หรอก เพราะคำว่าภพก็คือที่เกิด ชาติก็คือการเกิด เราเองแค่ใช้กำลังสมาธิข่มกิเลสลงไปชั่วคราวเหลือแต่ภาพพระ แล้วก็ไปบอกว่าดับภพดับชาติ ภาษาแบบนี้ไปคุยกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องหรอก

ถาม : ก็คือให้จับภาพพระ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ แล้วก็ยืดระยะให้ยาวนานที่สุด

เถรี 21-10-2019 09:13

ถาม : ถ้าเห็นพระรูปหนึ่งแล้วเหมือนเราระลึกชาติได้ว่า เป็นเราในชาติที่แล้ว อย่างนี้คิดไปเองหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถือว่าคิดไปเองก่อนก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ ก็คือทำอย่างไรไม่ให้เรายึดมั่นถือมั่น แล้วที่คุณใช้คำว่าถอดถอนทั้งหมดนั่น จริง ๆ แล้วก็คือถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น แต่คราวนี้ของเราไปถอนทั้งหมดจึงเสียเวลา เพราะว่าเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง อุปาทานยึดมั่นจะมีได้เพราะว่ามีร่างกาย แค่ถอนความต้องการในร่างกายนี้เสียก็หมดเรื่อง

ถาม : ก็คือที่เราเห็นเราอาจจะคิดไปเองว่าเราระลึกชาติได้ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คิดว่าคิดไปเองไว้ก่อน เพราะสิ่งอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องถ่วงทำให้เราไปยึดติดทั้งนั้น แทนที่จะถอดถอนกลับไปเพิ่มขึ้นมาอีก

เถรี 21-10-2019 09:14

ถาม : มโนมยิทธิควรฝึกอย่างไรคะ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ ถ้าอยากฝึกก็ไปวัดท่าซุงหรือที่บ้านสายลมช่วงต้นเดือนก็มี ไปฝึกที่นั่น แต่ขอเตือนไปว่าถ้ายึดติดง่าย ๆ อย่างของคุณนี่ ถ้าไปฝึกจะยุ่งกว่านี้อีก เพราะว่าตอนที่รู้เห็นบ้างไม่รู้เห็นบ้าง ยังไปยึดนั่นยึดนี่อยู่แล้ว ถ้าไปรู้เห็นชัด ๆ เข้าจะยิ่งหนัก การรู้เห็นทำให้โดนหลอกได้ง่ายที่สุด ไปเถอะ..ถ้าอยากก็ฝึก ฝึกเสร็จแล้วก็เตรียมตัวโดนเขาหลอกด้วย...!

เถรี 21-10-2019 09:17

ถาม : จะมีวิธีกำหนดจิต แบ่งจิตอย่างไรระหว่างพระนิพพานกับทำงานอย่างอื่นให้มั่นคง ?
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ ถ้าขาดการซ้อมก็ไม่เก่งหรอก

ถาม : ระหว่างวันหลุดหมดค่ะ ?
ตอบ : ก็ถึงได้บอกให้ซ้อมบ่อย ๆ พอทำไปบ่อยเคยชินแล้วจะเป็นอัตโนมัติ

เรื่องของการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมาธิภาวนา ต้องซักซ้อมกันอย่างเข้มข้น ทวนแล้วทวนอีก ซ้อมแล้วซ้อมอีกอยู่ทุกวัน ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้ผ่านไป ทำแล้วต้องหวังผลให้ใช้งานได้จริงด้วย

เถรี 26-10-2019 20:22

โยมมาขอให้พระอาจารย์ตั้งชื่อลูกให้ “อาตมาตั้งไม่เป็นหรอก เกิดมาไม่เคยตั้งชื่อให้ใคร ชอบอะไรก็ตั้งไปเถอะ... พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลทั้งนั้นแหละ ให้อาตมาตั้งชื่อนี่ไม่เป็นหรอก แต่ถ้าใครตั้งชื่อมาแล้วไม่เข้าท่า ไม่ถูกหลักภาษานี่ช่วยด่าได้..!”

เถรี 26-10-2019 20:25

ถาม : มีข่าวช้างป่าตกเหวนรกที่เขาใหญ่ ๗ เชือก ?
ตอบ : ช้างหนีอะไรหรือเปล่า ? เพราะว่าปกติไม่มีทางที่จะลงไปทีเดียวขนาดนั้น ช้างป่าตกลงไปทีละ ๗ เชือกมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือหนีนายพรานที่ล่า อย่างที่สองคือหนีสัตว์ที่ล่า แต่สัตว์ที่ล่าแล้วช้างหนีนี่หายาก เพราะว่าถ้าจนแต้มช้างก็จะหันหน้าสู้ ต่อให้เสือใหญ่ก็สู้ไม่ไหวหรอก

หรือว่าไปเจอตะบองพลำเข้า เด็กรุ่นใหม่คงไม่รู้จักกระมัง ? ตะบองพลำเป็นตะขาบป่า กินช้างเป็นอาหาร นึกเอาแล้วกันว่าตัวใหญ่แค่ไหน ...(หัวเราะ)... ที่ครูพนมเทียนเขียนไว้ในเพชรพระอุมา พวกนี้บางทีจำศีลอยู่ในที่ลึก ๆ พอภูมิอากาศเปลี่ยนก็ออกมา หรือจำศีลแล้วพวกดันไปถล่มด้วยระเบิดก็ออกมา

รุ่นของอาตมานี่ผู้ใหญ่เขาสอนไว้ว่า ถ้าเจอตะขาบตัวกว้างได้หนึ่งฝ่ามือ ให้เอากระทะครอบแล้วตีแรง ๆ ถึงเวลาเสียงกระทะดังเหมือนฟ้าร้องหรือฟ้าผ่า เจ้านั่นจะพ่นไข่มุกพลังของเขาออกมาต่อต้าน เราก็เก็บเสีย แต่อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่า เด็ก ๆ อย่างเราเจอตะขาบตัวแค่นั้นแล้วจะกล้าไหม ? ...(หัวเราะ)... คือไม่ใช่ตัวยาวหนึ่งฝ่ามือนะ แต่ตัวใหญ่หนึ่งฝ่ามือเลย


เถรี 26-10-2019 20:25

ช้างเป็นสัตว์ที่ปีนเขาเก่งมาก ถ้าเป็นสถานที่ซึ่งช้างหมดปัญญาจริง ๆ นี่เขาไม่ไปหรอก อาตมาเคยเดินธุดงค์ เจอภูเขาชันมาก ช้างยังลงได้ ขนาดเราเป็นคนยังเห็นแล้วใจหาย ก็เลยลงตามรอยช้าง จะมีรอยเหมือนกับไถลลงไป แล้วมีรอยเท้ากดลึกอยู่ แต่เวลาเดินป่าถ้าไม่มีทางเดินแล้วเดินตามรอยช้างนี่จะเหนื่อยมาก เพราะว่าทางเป็นขี้โคลนท่วมหัวเข่า

เถรี 26-10-2019 20:27

เคยกลับออกมาแล้วเป็นหิด รู้จักหิดไหม ? หิดเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นตามผิวหนัง เป็นตุ่มใส ๆ โดยเฉพาะขึ้นตามง่ามมือง่ามเท้า สมัยอาตมาเด็ก ๆ โรคหิดระบาดเยอะมาก เกามันอย่าบอกใครเลย ทั้งแสบทั้งคัน ครั้งนั้นเป็นหิดลายพร้อยไปทั้งตัว เพราะว่าหกล้มหกลุกอยู่ในรอยเท้าช้างไปตลอดทาง

ถ้าถามว่าที่อื่นไม่มีเดินหรือ ? เดินได้..แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าป่ารกมาก โดยเฉพาะหนามหวาย คมและเกี่ยวติดแน่นอย่าบอกใคร เดินไปข้างหน้าก็โดนกระชากกลับหลัง

มีอยู่เที่ยวหนึ่งโดนช้างหลอก พาขึ้นยอดเขาไป แล้วช้างก็หายไปทั้งขบวน มองไปมองมาข้างหน้าเป็นหนามทั้งดง สงสัยว่าช้างจะย่ำรอยเดิมแล้วกลับ ด้วยความที่ไม่ทันสังเกต คิดว่ามีแต่รอยขึ้นหน้าก็ตามไปเรื่อย แล้วไปค้างเติ่งอยู่ข้างบน ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าช้าง ก็เลยหาช่องมุดไป แล้วก็มุดจนได้ดี ก็คือไปเจอหมามุ่ยทั้งดง นับเป็นรสชาติของชีวิต..!

พอลงห้วยขาแข้งได้นี่พุ่งหลาวลงน้ำเลย ...(หัวเราะ)... ลงห้วยได้ก็เอาทรายขัด ขัดทั้งตัว เพราะว่าถ้ามีขนหมามุ่ย
หักคาเนื้ออยู่แม้แต่นิดเดียว ก็จะคันไปเรื่อยจนกว่าจะหมดฤทธิ์ ผ้าทุกผืนต้องซักทั้งหมด ซักแล้วสะบัดจนกว่าจะมั่นใจว่าหมดแล้วจริง ๆ

เวลาพระมาเล่าเรื่องธุดงค์หรือเรื่องเดินป่าให้ฟังแล้วสนุก ลองไปเองดูบ้างสิ จะได้รู้ว่ารสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร

เถรี 26-10-2019 20:30

พระอาจารย์กล่าวว่า ภูเตศวร แปลว่า เจ้าแห่งผี หมายถึงท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวรรณมีเทพอาวุธคือกระบอง เรียกว่าคทาวุธ มีบ่วงจับวิญญาณ ที่ผีกลัวนักกลัวหนา ก็คือนาคบาศก์ ขว้างออกไปเป็นพญานาคไปรัด ทำให้วิญญาณสลาย

มีอยู่เที่ยวหนึ่งเดินทางแล้วไม่ค่อยสบาย กลัวว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา เห็นท้าวมหาราชท่านมาดูแลให้ ถามท่านว่า “ดูแลแบบนี้จะช่วยอะไรได้ ?” ท่านบอกว่า ถ้าท่านตั้งใจจริง ๆ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้ แล้วท่านก็ซัดอาวุธนำหน้าไปให้ดู สรรพสิ่งโดนกวาดราบเป็นหน้ากลอง โล่งอย่างกับรถเกรดนำหน้าไปสัก ๕๐ คัน ไม่ใช่เรียงตามกันไปนะ แต่ราบแบบเรียงกันเป็นหน้ากระดานไปเลย..!”

เถรี 26-10-2019 20:57

พระอาจารย์กล่าวว่า “หมากทุยหลวงปู่รอด วัดนายโรง ให้เอาไฟฉายส่องดู ของเก่าส่วนใหญ่จะใช้รักจีนที่มีสีแดง ถ้าเราส่องพลิกไปพลิกมาจะต้องเห็นสีแดงสักมุมหนึ่ง รักไทยช่วงนั้นก็มีมากแล้วเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วยังนิยมรักจีน เพราะว่าซื้อตามร้านได้ง่าย ของรักไทยต้องหาคนที่กรีดยางรักเป็น

สมัยนี้ส่วนใหญ่ที่เขาทำปลอม ก็มักจะปลอมตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง เพราะว่าราคาแพงเป็นล้านเลย เขาจะใช้แผ่นเสียง รุ่นนี้เคยเห็นแผ่นเสียงกันไหม ? เป็นแผ่นครั่งกลม ๆ วางใส่เครื่อง เอาเข็มวางแล้วก็กดปุ่มเปิด พอเครื่องหมุน เข็มก็จะกรีดไปตามร่องให้เป็นเพลงขึ้นมา เขาเอาแผ่นเสียงมาหลอมละลายแล้วก็ชุบตะกรุด ก็จะออกเป็นรักเก่า คือออกเป็นสีแดง แต่มีที่สังเกตได้ง่ายก็คือ ผิวจะแตกร้าวหมด"


เถรี 26-10-2019 20:58

"นอกจากนี้ก็มีปลอมเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วิธีปลอมก็ง่ายมาก คือทำเบี้ยขึ้นมา เอาไปแขวนไว้กับท่อไอเสียรถ ปล่อยให้ท่อไอเสียรมไปเรื่อย จะดูเก่ามาก ...(หัวเราะ)...

วิธีดูที่ง่ายที่สุดก็คือ ขอเจ้าของแช่น้ำ ถ้าเจ้าของไม่ยอมแปลว่าปลอมแน่ เพราะว่าเบี้ยแก้ของแท้ชุบรักมานี่แช่น้ำไม่เป็นอะไร ถ้าดำเพราะท่อไอเสีย พอแช่น้ำก็จะละลายออกมาเป็นฝุ่น ๆ แต่คนที่ดูเป็นก็ไม่ต้องลองขนาดนั้นหรอก เขาจะดูว่าเชือกที่ถัก ส่วนใหญ่อายุกาลนานขนาดนั้น เชือกจะไม่มีขนเหลือแล้ว เพราะว่าจะกรอบจนขนหลุดหมด แล้วรักก็จะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเชือกเลย

ต้องบอกว่าคนปลอมมีฉันทะ เพราะว่าปลอมแล้วคุ้ม อย่างเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ ตัวล่าสุดที่อาตมาเจอ เจ้าของขอถูก ๆ แค่แปดหมื่นบาท ถ้าดูไม่เป็นแล้วไปเจอของปลอม หรือว่าเจอของหลวงปู่เพิ่ม แล้วเขาตีเป็นของหลวงปู่บุญ เราก็ขาดทุน ...(หัวเราะ)... ดังนั้น..ของบางอย่างพอไปถึงมือเซียนแล้วราคาจะแพงมาก แพงตรงความรู้ ก็คือเขาดูเป็น ในเมื่อเขาดูเป็น ถึงเวลาเขาก็บวกค่าวิชาเข้าไปด้วย”

เถรี 26-10-2019 21:10

พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า เกรซระวังโดนเขากรอกแบบลัลลาเบลนะ โหดร้ายมากเลย..เหล้าสองกลม แต่ว่าดูจากคลิปวิดีโอแล้วก็น่าตายมาก ตั้ง ๒๐ แก้ว เขาวางทับธนบัตรใบละพันไว้เลย คุณกินได้กี่แก้ว คุณก็หยิบไปแค่นั้นใบ ๒๐ แก้วก็สองหมื่นบาท

อย่างอาตมาเจอแก้วเดียวก็คงหัวทิ่มแล้ว..! เขาเรียกว่าดริ๊งก์หนึ่ง..ใช่ไหม ? ภาษาไทยเก่า ๆ เขาเรียกว่าก๊งหนึ่ง ก๊งมาจากภาษาจีนแปลว่ามึน กินเข้าไปแล้วมึนได้ที่ก็ก๊งหนึ่ง”


ถาม : เขากะจะมอมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเขาทำแบบนี้กัน แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ต้องบอกว่าทางชีวิตเขาบังคับ ในเมื่อตัวเองมีอาชีพอย่างนี้ ก็ต้องเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

ดู ๆ แล้วลักษณะอย่างนี้ ต่อให้ได้เงินมา ตอนแก่ก็คงต้องเอาไปรักษาตัวจนหมดนั่นแหละ คืนหนึ่งกินเหล้าเป็นกลม ตับที่ไหนจะทนไหว พังบรรลัยหมด..!

เถรี 26-10-2019 21:14

ลัลลาเบลอายุ ๒๕ ปี เขาว่าเบญจเพส ไม่ดีก็ร้ายไปเลย ส่วนใหญ่แล้วเบญจเพสมักจะไปทางร้าย

พระมหาสันติ โชติกโร เปรียญธรรม ๙ ประโยค อดีตรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา อายุ ๔๕ ปี เขาว่าเบญจเพสที่สาม พระครูสุกิจกาญจนโสภิตนั่น ๕๙ ปี ท่านเจ้าคุณทินท่านบอกว่า แบบนี้โบราณเรียกว่า ก้าวไม่ข้าม ถ้าก้าวข้ามก็รอด

ท่านเจ้าคุณปัญญา (พระเทพปริยัติโสภณ) ก็บอกว่า
ตอนอายุ ๕๙ ปีเกือบไม่รอด เกือบจะตายเหมือนกัน ช่วงนั้นท่านป่วยจนกระทั่งไม่มีแรงยืน ไปไหน ต้องมีสามเณรตัวโต ๆ ช่วยจับประคดเอวรั้งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็เดินไม่ไหว สรุปแล้วที่ว่ามาทั้งหมดคือ อายุเท่าไรก็ตาย ...(หัวเราะ)...

ส่วนคนที่ควรจะตายอย่างอาตมายังรอดมาได้ปีแล้วปีเล่า สร้างปาณาติบาตเอาไว้เยอะ เขายังเก็บหนี้ไม่หมด ก็เลยไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ คนเราหมดบุญตายได้ หมดกรรมตายได้ หมดอายุตายได้ หมดอาหารตายได้ อย่างอาตมานี่ยังไม่หมดกรรม ต้องทนทรมานต่อไป

เถรี 26-10-2019 21:15

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของข้าว สมัยโบราณเขาถือเป็นทรัพย์ ก็คือสมบัติที่มีค่ามาก เอาไปแลกของอื่นได้หมด คราวนี้เขามีคาถาเสกข้าวกิน ถ้าเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้จนถึงวันตาย พอตายแล้วจะไม่เน่า ก็คือพระอภิธรรม ๗ บท อาตมาว่าก็คงจะตายวันนั้นแหละ เพราะว่ากว่าจะเสกจบก็หิวข้าวตายพอดี..!”

เถรี 26-10-2019 21:18

พระอาจารย์กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้มีสถิติว่าผู้ชายใช้เครื่องสำอางในการแต่งตัวเกือบจะเท่ากับผู้หญิงแล้ว อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ เหมือนกัน สรุปว่าผู้ชายเขาแย่งผู้หญิงสวยใช่ไหม ?

รุ่นของอาตมาถ้าผู้ชายหวีหัวผัดหน้า ส่วนใหญ่จะไปจีบสาว มักจะเล่นคาถา เสกแป้งทาหน้า ส่วนใหญ่ก็พวกคาถาพระลักษณ์หน้าทองบ้าง ขุนแผนชมตลาดบ้าง ...(หัวเราะ)... หรือไม่ก็เสกน้ำมันเจิมหัวเจิมหน้า แล้วแต่คาถาที่เชื่อถือ ที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทมาให้เพื่องานนั้นโดยเฉพาะ แต่ใช้ต่อแล้วจะไม่ได้ผล เพราะว่าครูบาอาจารย์กลัวลูกศิษย์จะเจ้าชู้ ประเภทเจอผู้หญิงแล้วก็ฟันไม่เลือก ก็เลยให้เฉพาะกิจเท่านั้น

สมัยก่อนใช้คาถาต้องว่าพร้อมมาจากบ้าน ไม่ใช่ฉุกเฉินแล้วค่อยมาใช้ แบบนั้นไม่ทันกิน ถึงเวลาจะเข้าบ้านสาวถ้ามัวแต่ไป “โอม ศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพระแมน แขนกูงามคือพระอินทร์…ฯ” พ่อตาคงล่อด้วยลูกซองกระเจิงเสียก่อน..!”


เถรี 26-10-2019 21:22

“หนุ่มเพชรบุรีสมัยก่อนส่วนใหญ่หาตะกรุดหลวงพ่อกุน วัดพระนอน เขาเรียกว่าตะกรุดไมยราพสะกดทัพ ถึงเวลาค่ำ ๆ ก็ย่องไปบ้านสาว ว่าคาถาแล้วสอดไว้ใต้รอด แล้วขึ้นบ้านได้เลย..หลับทั้งบ้าน

อาตมาได้ตะกรุดหลวงพ่อกุน วัดพระนอนมาก็จะทดสอบ ปรากฏว่าบ้านสมัยนี้ไม่มีรอด ไม่มีใต้ถุนอีกต่างหาก แล้วจะไปเสียบไว้ตรงไหน ? สรุป..ก็เลยไม่ได้ทดลอง ...(หัวเราะ)... ส่วนใหญ่บางคนเขาเรียกว่าตะกรุดมหารูด เข้าผู้หญิงรูดไว้ด้านซ้าย เข้าผู้ชายรูดไว้ด้านขวา สู้ศัตรูเอาไว้ข้างหน้า หนีศัตรูเอาไว้ข้างหลัง คราวนี้ถ้าหากว่าลืมรูดแล้วจะทำอย่างไร ? ...(หัวเราะ)...”

เถรี 26-10-2019 21:24

ถาม : อาพัดแปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : อาพัด คือลักษณะของการเสก เสกปูน เสกเหล้า เสกยา เพื่อที่จะหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็หวังทางอยู่ยงคงกระพัน เช่น อาพัดเหล้า อาพัดยา อาพัดปูน

อาพัดปูนก็เสกปูนคาดคอ ฟันเข้าไปเท่าไรไม่เข้า อาพัดเหล้าก็เสกเหล้ากิน พวกที่ทำขึ้น ๆ นี่ พอกินเข้าไปเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วของขึ้นก็เคี้ยวแก้วตามไปเลย กินแก้วเป็นกับแกล้ม..! ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกระเพาะลำไส้ถึงทนได้

อาพัดยาก็พวกยาสูบ ถึงเวลาสูบยาอึดใจหนึ่งต้องว่าคาถากี่จบ จริง ๆ แล้วก็คือการทำสมาธิ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นมิจฉาสมาธิ ใช้ในทางที่ผิด ไม่ได้ใช้เพื่อลดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แต่เป็นการใช้เพื่อเพิ่มกิเลส ...(หัวเราะ)...


เถรี 26-10-2019 21:24

พระอาจารย์กล่าวกับเด็กผู้หญิงที่มาทำบุญว่า “หนูอย่าใส่กางเกงขาดแบบนี้นะลูก เป็นลางไม่ดี ดูเท่มากแต่ว่าไม่ดีหรอก โบราณเขาถือ”

เถรี 26-10-2019 21:25

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวิทยาลัยสงฆ์เป็นวิหารทานพิเศษ ก็คือเป็นธรรมทานด้วย คราวนี้ธรรมทานตัวนี้เขาใช้กี่ครั้งเราก็ได้เท่านั้นครั้ง ไม่เหมือนอย่างอื่น อย่างอื่นประเภททำเสร็จแล้วก็แล้วกัน แต่วิทยาลัยสงฆ์เป็นห้องเรียน เป็นสถานที่ประชุม เป็นที่ฝึกกรรมฐาน ถึงเวลาเขามาใช้งานกี่ครั้ง เราก็ได้อานิสงส์เท่านั้น ถ้าใช้ในด้านการศึกษาก็อานิสงส์ธรรมทาน ถ้าใช้ในด้านอื่น ๆ ก็อานิสงส์วิหารทาน ทำทีเดียวเอาให้คุ้ม

หลังจากทอดผ้าป่าไปแล้วญาติโยมยังสามารถทำบุญได้เรื่อย ๆ เพราะว่าไม่ใช่เสร็จทีเดียว ยังมีอาคารที่ต้องสร้างอีกหลายหลัง หลังที่ทอดผ้าป่าสร้างนี้เป็นอาคารเรียนรวม”

เถรี 27-10-2019 21:26

พระอาจารย์กล่าวหลังจากกลับมาจากงานวางศิลาฤกษ์วิทยาลัยสงฆ์ "ช่วงเช้าไปบวงสรวง วางศิลาฤกษ์ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี มีหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาเป็นประธาน พอวางศิลาฤกษ์เสร็จอาตมาก็แวบ มีเสียงกระซิบว่า “มันกล้าเทกระทั่งหลวงพ่อสมเด็จฯ เลยนะ” ก็บอกแล้วว่าวันนี้ผมติดงาน จะให้ผมไปก็ต้องมีเทกันบ้าง

ตอนเช้าวิ่งไปถึงที่ตั้งวิทยาลัยสงฆ์ ๐๗.๑๘ น. แล้วฤกษ์บวงสรวงอยู่ที่ ๐๗.๒๙ น. ไปถึงก่อนเวลา ๑๑ นาทีเท่านั้น หลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ชวนว่าฉันเช้าก่อน กราบเรียนท่านว่า "ฉันไม่ทันแล้วครับ ขอไปดูความเรียบร้อยของโต๊ะบวงสรวงก่อนครับ" พอเห็นว่าโต๊ะบวงสรวงเรียบร้อย ก็กราบนิมนต์หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านจุดธูปเทียน อาตมาก็ทำบวงสรวงขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ไม่เอาอะไรมากหรอก แค่งานสร้างวิทยาลัยสงฆ์ขออย่าให้มีอะไรสะดุดก็พอ

โดยเฉพาะขอให้ถึงพร้อมด้วยเงิน เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ชวนหลวงพ่อนิล ครูบาหน่อแก้วฟ้า นำเงินสิบล้านบาทไปถวายหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ เงินก้อนนี้มันเป็นเงินก้อนทดสอบกำลังใจ เพราะว่าเมื่อวันเสาร์ตอนเช้ายังมีแค่แปดล้านห้าแสนบาท ต้องรอถึงห้าโมงเย็นถึงจะได้ครบสิบล้านบาท"

เถรี 27-10-2019 21:32

"พอรุ่งเช้าออกมานับจริง ๆ แล้วเหลือแค่เก้าล้านเก้าแสนบาท เพราะว่ามีปึกหนึ่งที่เขามัดรวมกันอยู่แค่ ๙๐๐,๐๐๐ บาท ยังโชคดีว่าพอดีคุณตัวเล็กเอาเงินกฐินวัดท่าขนุนไปถวาย ๑๑๐,๐๐๐ บาท ก็เลยยืมเสียบไปให้เขาก่อนแสนหนึ่ง จึงได้ครบสิบล้านพอดี แต่ว่าเงินกฐินหายไปแสนหนึ่ง เดี๋ยวต้องไปเอาคืน

เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านก็มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองโรง ให้ทุกคนเลย ตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นมาจนถึงชั้น ป.๖ อาตมาก็ไปนั่งให้ทุนการศึกษากับท่านด้วย ให้ทุนเสร็จ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาท่านก็มาถึง พอท่านนั่งลงก็เริ่มเข้าพิธีการ ถวายการต้อนรับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดยานนาวา เสร็จเรียบร้อย ก็กราบเรียนท่านว่าขออนุญาตให้ท่านเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะช้า

พอหลวงพ่อสมเด็จฯ เมตตาเจิมแผ่นศิลาฤกษ์เสร็จ ทางวิทยาลัยนาฏศิลป์สุพรรณบุรีส่งนักแสดงมา น่าจะเป็นรำเทพบันเทิง เทวดานางฟ้า ๔ องค์นั่ง "ซาเล้ง" มา เทวดาเดี๋ยวนี้ไม่ยอมเหาะ นั่ง
"ซาเล้ง" มาแทน พอเสร็จพิธี หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดก็กล่าวรายงาน แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาวางศิลาฤกษ์ อาตมาก็บริการจนกระทั่งวางศิลาฤกษ์เสร็จ แล้วกระซิบบอกหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "ผมไปเลยนะครับ" แล้วก็แวบหายไปเลย

มีเสียงเพื่อนพระสังฆาธิการดังตามหลังมาว่า "ขนาดหลวงพ่อสมเด็จฯ มันยังกล้าเทเลย" ความจริงอาตมาบอกไปแล้วว่า "ถ้าจัดวันนี้ผมไปไม่ได้" แต่ว่าหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณท่านบอกว่า "พระอาจารย์เล็กเป็นประธานอุปถัมภ์ ควรที่จะให้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านได้เห็นหน้าเอาไว้บ้าง" เลยตัดสินใจหนีงานไปครึ่งวัน"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:44


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว