กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3589)

เถรี 03-12-2012 09:14

ถาม : เจอเรื่องน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : เป็นคนที่โชคดีต่างหาก ไม่ใช่คนแปลกประหลาด คนที่เจอเรื่องน่ากลัวอยู่ตลอดเวลาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้ ต้องถือว่าเป็นกำไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ช็อกตายก็จะตายไปในเหตุการณ์เลย ถือว่าเราสร้างบุญเอาไว้ดี ถึงเวลาได้ทดสอบอยู่เรื่อย ๆ ว่าบุญยังรักษาอยู่หรือเปล่า

อาตมาเองเป็นคนแปลกประหลาด พยายามตะเกียกตะกายไปหาเรื่องร้าย ๆ เพราะถ้าไม่มีอะไรร้าย ๆ บ้าง ชีวิตก็น่าเบื่อตายชัก เจออะไรพิลึก ๆ บ้างก็ดีจ้ะ เป็นรสชาติของชีวิตดี บันทึกเอาไว้บ้างเผื่อลูกหลานจะได้อ่าน


ถาม : เป็นเพราะในอดีตทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดาจ้ะ อย่าลืมว่าผลในปัจจุบันนี้เกิดแต่เหตุในอดีตที่เราทำไว้ ในเมื่อเราทำแบบนี้ เส้นชีวิตเราก็เดินแบบนี้ ถ้าเราไม่ต้องการแบบนี้ เราก็สร้างเส้นชีวิตใหม่ อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญาของเรา หรือทาน ศีล ภาวนา เดี๋ยวทางเดินเปลี่ยนก็ไม่เจอเอง แล้วเราก็จะเบื่อ ถึงเวลาก็ต้องตะกายไปหา ไม่เจอเรื่องโหด ๆ ในชีวิต รู้สึกเฉาบอกไม่ถูก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องปกติจ้ะ เพราะถ้าคนเราสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาไปถึงระดับหนึ่ง จะรู้เรื่องพวกนี้โดยอัตโนมัติ แล้วน่าเบื่อด้วย เพราะเราก็ไม่ได้อยากรู้ เรื่องไหนที่เราต้องการรู้ ก็ใส่ใจนิดหนึ่ง เรื่องไหนไม่ต้องการรู้ ก็เหมือนกับลมผ่านไป รับรู้ก็ทำเหมือนไม่รับรู้ก็จบแล้ว ทีแรกเราเองยังไม่เคยชินก็จัดการไม่ถูก จะงง ๆ ว่าทำไมถึงต้องเป็นเราด้วย

เถรี 03-12-2012 09:23

ถาม : ความคิดของทุกคนที่เข้ามา มีแต่แย่ ๆ ?
ตอบ : เก็บไว้เป็นบทเรียนว่าเราจะไม่คิดอย่างนั้น ไม่พูดอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น คนอื่นเขายังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร เขาถึงคิด ถึงพูด ถึงทำอย่างนั้น

ถาม : ไม่ได้ต้องการจะฟัง แต่ควบคุมไม่ได้ ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าฟังไว้เฉย ๆ อย่าไปคิดต่อ อย่าไปฟุ้งซ่านต่อ อย่าไปตำหนิใคร ถือเป็นธรรมดา รู้ก็คือรู้ ในเมื่อเราทำไว้อย่างนี้ เราจำเป็นต้องรู้ก็รู้ไว้ รู้แล้วอย่าไปใส่ใจก็หมดเรื่อง ถ้าไปใส่ใจไปครุ่นคิดเข้าเดี๋ยวเราจะไปเครียดเอง ไปแบกโลกแทน มีคนเขาบอกว่าโลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก ไปแบกโลกแทนคนอื่นเขาเราก็หนัก

เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ที่ตัวเอง ในเมื่อเราเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจความคิดเขา ก็หมดเรื่องแล้ว น่าจะมีเครื่องมือที่จับครอบเอาไว้ได้ จะได้ไม่ต้องไปฟังความคิด


ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปฟังความคิดเขา ?
ตอบ : เราลองนึกถึงเรดาร์สนามบิน เขาเอาไว้ควบคุมการบินของเครื่องบินใช่ไหม ? นกกากี่ตัวเข้ามาก็รู้หมด แต่เขาเจาะเอาเฉพาะเครื่องบิน ถ้าไปสนใจนกพวกนั้นก็ประสาทกินตายพอดี เราก็ต้องใช้วิธีนั้นแหละ เลือกเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ในเมื่อเราไม่สนใจอย่างอื่น พอความชำนาญมีมากขึ้น ก็จะรู้ว่าควรจะละอันไหน ควรจะรับอันไหน อันไหนที่ดีเหมาะสมควรกับกาลเวลานั้นก็รับไว้ อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้งไป

ฉะนั้น..ท่องไว้ว่า อันไหนเราจะรับ อันไหนเราจะละ เดี๋ยวพอทำได้คล่องตัวก็จะสนุก เหมือนกับเลือกเพชรพลอย อันไหนดีเราชอบก็เก็บไว้ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งไป มีเฉพาะพวกนกกาก็ยังดี บางทีดันมีคนโยนถุงขยะมาอีก เครื่องดีก็รับได้หมดแหละ

อารมณ์ใจตอนนี้ ให้จำไว้ว่า เป็นอารมณ์ที่เราไม่รับข้างนอก แต่ถ้าเราตั้งใจมากกว่านี้นิดเดียวจะรับได้ทันทีเลย มี ๒ อย่าง ก็คือ ถอยออกมาให้อยู่ในช่วงนี้ หรือไม่ก็พุ่งเข้าไปลึกกว่านี้ เหมือนอยู่คนละช่องคลื่นก็รับกันไม่ได้แล้ว


ถาม : ถ้าตั้งใจเมื่อไรจะหายไปหมดเลย ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจลึกเกินไปจะไม่รู้ ถ้าตื้นเกินไปก็จะไม่รู้ เราต้องปรับของเราเอง ที่ผ่านมาเรายังปรับไม่เป็น

เถรี 04-12-2012 14:15

ถาม : เด็กเขายังไม่รู้เหตุผล บางทีเขาซน ฟังไม่รู้เรื่อง ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ห้ามเขาก่อนว่าอย่าทำอย่างนั้น ถ้าทำอีกจะตี ถ้าบอกไว้ก่อน ถึงเวลาเขาทำแล้วตี เขาจะรู้ว่าห้ามทำอย่างนั้น

ถาม : เขาจะไม่ก้าวร้าวหรือคะ ?
ตอบ :ไม่หรอก..ตีถวายเจ้าไปเลย..! จะเอาอะไรมาก้าวร้าวไหว

ถาม : หลวงปู่ทวดคือพระศรีอาริยเมตไตรยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : หลายคนคิดว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตไตรย จริง ๆ ใช่หรือเปล่าอาตมาก็ยังไม่ได้ถามท่าน แต่หลวงปู่ทวดท่านนิรันตราย ใครมีท่านอยู่จะปลอดภัยจากอันตราย ต้องอาราธนาด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่มีไว้เฉย ๆ

เถรี 04-12-2012 14:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เพ่งกสิณน้ำ พอปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้น บางทีตัวเองตกใจคิดว่าน้ำท่วม อุคหนิมิตของน้ำนั้นจะเป็นไปตามภาชนะที่ตัวเองใช้เพ่งกสิณ แต่พอเป็นปฏิภาคนิมิตจะขยายใหญ่เต็มไปหมด คนที่เผลอสติคิดว่าน้ำท่วมจริง ๆ ลืมไปว่านิมิตนั้นตัวเองควบคุมได้ นึกให้มาก็ได้ นึกให้หายก็ได้ เล่นเอาถลอกปอกเปิก เพราะไปว่ายน้ำหนีบนบก..!"

เถรี 04-12-2012 14:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้จะเป็นวันทอดกฐินของวัดเขาวง หลวงตาก็ถือว่าลงรากปักฐานมั่นคงแล้ว แต่สำคัญตอนถ่ายโอน ถ้าไม่ได้เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ จะมีปัญหา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พระที่ท่านอยู่วัดไหนก็มักจะยอมรับแต่เจ้าอาวาสคนเดียว ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน ถึงเวลาปุบปับสิ้นไปก็มักจะลายออก

อย่างวัดท่าขนุนจะมีรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เลขานุการเจ้าอาวาส ให้เขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่ ช่วงที่อาตมาไม่อยู่จะมีคนสั่งการแทน เพื่อที่จะรู้ว่าควรจะฟังใครต่อ ถ้าปุบปับสิ้นอาตมาไปเขาก็อยู่กันได้

หลวงพ่อวิรัช ยังไม่นับว่ามั่นคง เหตุที่ยังไม่นับว่ามั่นคงเพราะว่า เจ้าคณะปกครองตามสายงานของเขายังไม่ไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็แปลว่ายังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่แล้วหลวงพ่อวิรัชเวลาท่านนิมนต์ก็มักจะไปนิมนต์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ความจริงเจ้าถิ่นนั้นสำคัญ ต่อให้เล็ก ๆ แค่เจ้าอาวาสใกล้เคียงก็สำคัญ อย่าว่าแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งโดยสายการปกครองแล้วเขาเป็นเจ้านายโดยตรง ท่านทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นต้องนิมนต์ท่านมาเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกัน ให้เกิดการยอมรับกัน

แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อแล้วไปอยู่ที่ไหนเขามักจะยอมรับได้ง่าย เพราะเขาเห็นว่าบริวารมาก บริวารมากแปลว่ามีคนสนับสนุนมาก ถึงเวลาเขาก็จะให้การสนับสนุนไปด้วย"

เถรี 04-12-2012 14:50

"เรื่องบางอย่างเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต ต่อให้คุณอยากทำหรือไม่อยากทำก็ต้องทำ สมัยก่อนพระที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนิมนต์ไปงานเป็นประจำ ๆ จะมีประมาณ ๘๐ รูป อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ..พระที่นิมนต์มา ผมเห็นว่าเฮงซวยห่วยแตกก็เยอะมาก หลวงพ่อนิมนต์มาทำไมครับ ? ทำไมเราไม่นิมนต์พระอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา หลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ล้วน ๆ”

ท่านบอกว่า “พระที่เอ็งบอกว่าไม่ได้เรื่อง ต่อไปท่านจะเป็นใหญ่เป็นโตในสายการปกครองภายหน้า ถ้าเอ็งรู้จักเอาไว้ก่อน ต่อไปทำอะไรก็สะดวก” ปัจจุบันนี้เห็นจริงแล้วเพราะบรรดาพระผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง ท่านก้าวเข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญ ๆ ทั้งนั้น ถึงเวลาท่านให้ความรู้จักมักคุ้นทักทาย จนกระทั่งคนอื่นเขายังงงว่าไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร

ในเมื่อรู้จักมักคุ้นกัน ถึงเวลาเรานิมนต์งานของเราท่านก็มา คนอื่นเขาเห็นว่าพระผู้ใหญ่ระดับนั้นยังมา เขาก็เกรงใจ จะเห็นว่ากุศโลบายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นยอดเยี่ยมที่ว่า ท่านเอาพระทองคำอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาก็ดี หลวงปู่มหาอำพันก็ดี มาเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็เป็นคณะสงฆ์ในการรับสังฆทานที่ท่านถวาย ไม่ว่าท่านจะมีความบกพร่องอย่างไร แต่ว่าในเมื่อนับเป็นสังฆทาน นับเป็นส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์แล้ว อานิสงส์ของเราก็ได้เต็มร้อยส่วน

อย่างวัดท่าขนุนช่วงงานหลวงปู่สาย ก็จะเป็นในส่วนของเจ้าคณะปกครองตั้งแต่ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล ระดับเจ้าอาวาส แต่ถ้างานทำบุญวันแม่ อาตมาก็เลือกเฉพาะพวกที่มั่นใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย งานนี้ญาติโยมอยากทำบุญก็ว่าให้เต็มที่ไปเลย งานนั้นถ้าจะทำบุญก็ตั้งใจเป็นสังฆทานไปเลย"

เถรี 04-12-2012 14:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงละสังขาร ฟ้ามืดมัวไป ๗ วันเต็ม ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่ช่างสังเกต จะเห็นว่าฟ้าไม่ได้มัวเฉย ๆ แต่หนาวเยือก ๆ บอกไม่ถูก เขาก็เลยบอกว่า แม้กระทั่งฟ้าก็ยังอุตส่าห์แสดงความเศร้าโศกเสียใจด้วย อาตมารู้สึกว่าหลวงพ่อท่านดีใจต่างหากที่ท่านไป ไม่ต้องทรมานลากสังขารอยู่ต่อ ทำงานในสภาพความเป็นทิพย์สบายกว่า นึกจะเคาะกบาลใครเป็นการเฉพาะก็โผล่ไปเลย"

เถรี 04-12-2012 15:02

ถาม : พุทธภูมิที่เข้าเขตปรมัตถ์ การเกิดเป็นหญิงจะมีหรือไม่ครับ
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายส่วนมากจะเกิดเป็นผู้ชายตลอด แต่ถ้าเจ้าชู้มากก็เกิดเป็นผู้หญิงสักชาติสองชาติ เอาให้เข็ด จะได้รู้บ้างว่าเวลาเขาอกหักช้ำใจนั้นเป็นอย่างไร

ถาม : พุทธภูมิเวลาลงนรกหรืออเวจี จะมีใครเหลียวแลไหมครับ ?
ตอบ : มี..นายนิรยบาลจะคอยดูแลให้..!

ถาม : ไม่มีใครคิดช่วยเหมือนฮิตเลอร์บ้างเลยหรือ ?
ตอบ : จะไปช่วยอย่างไรเล่า ? หลวงพ่อไปช่วยท่านฮิตเลอร์ เพราะท่านหลุดจากอเวจีแล้ว ท่านออกจากอเวจีมาจะลงอุสสทนรก ช่วงระหว่างกลางนิดเดียวเท่านั้น ถ้าคนไม่รู้จังหวะก็ช่วยไม่ทัน แต่หลวงพ่อท่านลงไปดักตรงนั้น บอกว่าจะบวชพระ ให้โมทนาด้วย ท่านฮิตเลอร์ก็กลายเป็นเทวดา พ้นนรกไปเลย ช่วงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้รู้ระดับหลวงพ่อก็ดักไม่ทันหรอก

แต่ที่หลวงพ่อท่านไปช่วยเพราะว่าถ้าท่านฮิตเลอร์ไม่หลุดขึ้นมา ก็ไม่ทันระยะเวลาที่จะต้องเกิด จึงจำเป็นที่จะต้องไปช่วยขึ้นมา ส่วนคนที่เหลือก็ต้องปล่อยวาง ตัวใครตัวมันต่อไป ดูอยู่ห่าง ๆ เอาใจช่วยอย่างห่วง ๆ ไม่รู้จะลงไปให้โดนเผาด้วยทำไม ?

เถรี 04-12-2012 15:15

ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ พอทองลอก ก็เลยเอาไปชุบไมครอน ?
ตอบ : แล้วก็เอามาเสกใหม่ด้วยอิติปิโส ฯ ๓ ห้อง กว่าจะครบ ๑๐๘ จบก็เหนื่อยจนลิ้นห้อย เหรียญทำน้ำมนต์ต้องการคนขยัน ถ้านั่งเสกเองได้จะดีที่สุด

เถรี 04-12-2012 15:22

ขณะที่คนกำลังจัดพานดอกไม้อยู่ พระอาจารย์กล่าวว่า "สาระไม่ได้อยู่ที่ของประดับชิ้นเดียวหรอก ต้องทั้งหมดรวมกันนั่นแหละ องค์ประกอบจะขาดไม่ได้แม้แต่เม็ดทรายเม็ดเดียว ขาดเมื่อไรก็ไม่สมบูรณ์

เรื่องของหมู่คณะก็เหมือนกัน คนเดียวเป็นหมู่คณะไม่ได้ ๒ คนก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมทาง ต้อง ๓ คนขึ้นไป คราวนี้การที่หมู่คณะเดินทางร่วมกันสำคัญที่สุดก็คือถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เรื่องของกาย วาจา ใจ บางทีหนักนิดเบาหน่อย เราไม่ได้อยู่ร่วมกันมาตลอด มีการพลั้งเผลอผิดพลาดบ้างก็อภัยให้กัน ถ้าอย่างนั้นก็จะเหนียวแน่น อยู่ด้วยกันนาน ถ้าเป็นคนประเภทคิดเล็กคิดน้อย คนพูดไม่ทันคิดอะไร เราคิดแทนไป ๓ ชั่วโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กับใครยาก"

เถรี 04-12-2012 15:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธพลังจิตทองคำเป็นแรงบันดาลใจให้อาตมาสร้างพระทองคำบ้าง อาตมาจึงตั้งโครงการจะสร้างพระทองคำฉลองอายุ ๖๐ ปี สอบถามช่างแล้วเขาบอกว่าใช้ทองคำประมาณ ๔๐ กิโลกรัม เริ่มสะสมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทองคำเป็นโลหะที่มีน้ำหนักมาก ถ้าเอาเงินกับทองมาเปรียบกัน ทองคำจะหนักกว่าเกือบสองเท่า ทองคำ ๒ บาทปริมาณจะเท่ากับเงิน ๑ บาท พระทองคำที่จะสร้างกำลังตัดสินใจอยู่ ๒ แบบ คือ สมเด็จองค์ปฐมแบบพระพุทธชินราช อีกแบบหนึ่งเป็นพระพุทธลีลาประทานพรแบบหลวงพ่อพระประธานพุทธมณฑล

แต่คราวนี้พระปางลีลาช่างคำนวณทองคำไม่ถูก เขาเคยแต่หล่อพระนั่ง พระยืนช่างยังคำนวณทองคำไม่ได้ ตอนนี้หัวหงอกไปแล้ว เขาบอกว่าอาจจะต้องหล่อเงินสักองค์หนึ่งก่อน เพื่อที่จะได้คำนวณได้ว่าใช้ทองประมาณเท่าไร ถ้าหล่อเงินอีกสักองค์อาตมาก็หมดอีกเป็นล้าน วันก่อนคำนวณคร่าว ๆ ว่า โครงการนี้น่าจะต้องใช้เงินถึงสามสิบล้านเศษ ๆ"

เถรี 04-12-2012 22:03

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ช่วงที่วัดมีงาน ก็จะมีระยะเวลา ๒ วันเป็นอย่างน้อย เพราะว่าต้องเตรียมงานล่วงหน้าด้วย แต่มีอยู่งานหนึ่งที่เป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันรุ่งขึ้นเป็นงานประจำปี จึงมีคนนอนค้างอยู่วัดประมาณสองแสนคนเห็นจะได้

ปรากฏว่าพระในวัดต้องฉันยาชูกำลัง บางท่านเอายาชูกำลังผสมกาแฟเลย..! สรุปว่าอาตมายืนด้วยกำลังของตัวเองจริง ๆ ไม่เอาพวกของแบบนี้เลย จนงานเสร็จผ่านไป อาตมาได้นอนคืนหนึ่งก็ลุกขึ้นบิณฑบาตได้ นอกนั้นสลบไสลหมดทั้งวัดเลย..! เพราะเขาใช้ทุนสำรองจนหมดเกลี้ยงแล้วอาตมาไม่ยอมใช้ทุนสำรองหรอก งานอย่างนี้ไปใช้ทุนสำรอง ถึงเวลาหมดแล้วหมดเลยก็ตายสิ..!

หลวงพ่อเองท่านก็ไม่ไหว ท่านแอบทำมือกับหลวงพี่ประทีป ทำท่าให้รู้ว่าเอายาชูกำลังใส่ลงไปในกาแฟให้ด้วย ยังไม่รู้ว่าถ้าเจอแบบนั้นตอนอายุเท่าหลวงพ่อนี้อาตมาจะไหวไหม เห็นท่านแอบทำมือแล้วยังขำ ๆ หลวงพี่ประทีปก็รู้ทันพนมมือรับ"

เถรี 06-12-2012 10:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการมีบุตร พระพุทธเจ้าบอกว่า ๑. ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ๒. หญิงนั้นอยู่ในวัยมีระดู ๓. สัตว์ที่จะเกิดนั้นมีอยู่ ฟังดี ๆ นะ..ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ ตัวอย่างเช่นพ่อแม่ของสุวรรณสาม ต่างบวชต่างถือศีล ๘ ทั้งคู่ ในอดีตพ่อแม่ของสุวรรณสามเป็นหมอยารักษาตามีชื่อเสียงมาก รักษาใครต้องหายทุกราย

แต่มีเศรษฐีคนหนึ่งขี้โกง ตอนที่รักษาให้เศรษฐีสัญญาว่าจะให้เงิน พอถึงเวลารักษาหายแล้วกลับไม่อยากเสียเงิน จึงแกล้งบอกว่าไม่หาย พ่อแม่ของสุวรรณสามรักษาครบตามกระบวนการของตัวเองก็รู้ว่าเศรษฐีต้องหายแน่ บอกว่าไม่หายแสดงว่าตั้งใจโกง ก็เลยบอกว่า ถ้าท่านมาเอายาตำรับสุดท้ายไปหยอด คราวนี้น่าจะต้องหาย เศรษฐีเอายาไปหยอดก็ตาบอดไปเลย

พอมาเกิดเป็นพ่อแม่ของสุวรรณสามได้ออกบวชเป็นฤๅษีทั้งคู่ พระอินทร์ท่านเล็งเห็นว่า ถ้ากรรมเก่าที่ทำเศรษฐีตาบอดตามมา ดาบสทั้งสองก็จะต้องตาบอดตอนแก่ แล้วจะลำบากเพราะไม่มีใครดูแล พระอินทร์จึงลงมาแนะนำว่าให้มีลูกสักคนหนึ่ง แต่พ่อแม่ของสุวรรณสามบอกว่าตัวเองเป็นดาบสถือศีล ๘ อยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ยอมทำลายศีล

พระอินทร์บอกว่า แค่เอามือสัมผัสหน้าท้องของดาบสินีก็พอ ดาบสบอกว่า ถ้าเพียงเท่านั้นก็ได้ พอเอามือแตะท้องของดาบสินีก็ตั้งท้องเลย เพราะฉะนั้น..ฟังให้ดี ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การที่จะตั้งครรภ์มีบุตรได้นั้น คือ สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน ๑ ภรรยาอยู่ในวัยมีระดู ๑ สัตว์ที่จะเกิดมีอยู่ ๑ ถ้าครบสามส่วนนี้ก็สามารถตั้งครรภ์ได้"

เถรี 06-12-2012 10:08

"เพราะฉะนั้น..ถ้าใครมาจ้องหน้าเรานาน ๆ ก็อย่าเผลอให้เขาแตะตัวของเรานะ เดี๋ยวจะท้องเป็นปลากัด เราลองนึกถึงว่าแค่เหงื่อมือเราก็มีดีเอ็นเอส่วนหนึ่งของเราแล้ว คราวนี้เรื่องของการเกิดนั้นมีความพิลึกพิลั่น มีความเป็นไปได้ของกรรม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าพุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ ไม่ควรคิด บุคคลที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า

ดูอย่างคุณมงคลของเรา พ่อก็ทำหมันแม่ก็ทำหมัน แต่ก็ยังเกิดมาได้ จะว่าอย่างไรได้ บอกแล้วว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน แม่อยู่ในวัยมีระดู สัตว์ที่จะเกิดนั้นมี ก็เกิดมาจนได้แหละ"

เถรี 06-12-2012 10:25

ถาม : การเวียนว่ายตายเกิดสูงกว่า ?
ตอบ :สัตว์โลกปัจจุบันนี้ยิ่งเกิดยากเข้าไปอีก เพราะมีการคุมกำเนิด ดูอย่างคุณแม่ที่มีลูกแฝดแปด เขาไม่รู้จะเกิดที่ไหนก็ต้องประดังลงไปที่เดียว เพราะว่าเวรกรรมทำให้แปดคนนี้มาอยู่แถว ๆ นั้น แล้วก็เจอกรรมในลักษณะอย่างนั้น ๆ ในเมื่ออาศัยท้องคนข้างเคียงไม่ได้ คนนี้โอกาสเปิดเขาก็ลงพรวดเดียวเลย ทางการต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงลูกไม่ไหว ได้ยินข่าวว่าตายไปคนหนึ่งแล้ว

แทนที่จะมาเป็นคู่หรือเป็นเดี่ยว กลับมาเป็นครอกเลย ครอกนะไม่ใช่คอก คอกหมายถึงที่ขังหมูขังหมา คำว่าครอกหมายถึงจำนวนสัตว์ที่เกิดมามาก ๆ ในชุดหนึ่ง

เถรี 06-12-2012 10:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๕ พฤศจิกายน ลาวจะประกาศใช้ ๔ จีอย่างเป็นทางการ ช่วยกันโมทนากับเขาด้วยนะ ไม่รู้เขมรจะใช้เมื่อไร แต่เมื่อประมาณเดือนเมษายน อาตมาไปเขมรก็มีโฆษณาเตรียมใช้ ๔ จีแล้วเหมือนกัน พอดีลาวจัดประชุมอาเซม ก็เลยฉวยโอกาสประกาศใช้ ๔ จีให้โลกรู้ว่าเขาทันสมัยแล้ว

สรุปว่ารอบบ้านเราเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว แต่เมื่อเช้าชื่นใจหน่อย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ประกาศยอมรับผลการวิจัยที่ว่า ประเทศไทยพูดภาษาอังกฤษได้แย่ที่สุดในอาเซียน เขาก็เลยจะหาทางกระตุ้นเด็ก ๆ ใช้ฝึกซ้อมภาษาอังกฤษให้ดีกว่านี้

อาตมาเองเพิ่งจะฝากหมอทศพร เสรีรักษ์ ไปว่า ช่วยคืนไม้เรียวให้ครู แล้วก็ให้เด็กสอบตกได้ เอาร้อยละ ๕๐ เป็นเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นเด็กสอบตกไม่ได้ก็จะไม่สนใจเรียน แล้วดันไปยึดไม้เรียวจากครู ครูก็ตีเด็กไม่ได้อีก ฉะนั้น..การศึกษาเราจึงห่วยแตกจนรั้งท้ายสุดของอาเซียน ต่อไปจะรั้งท้ายสุดของโลกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ตราบใดที่ไม่คืนไม้เรียวให้ครูแล้วไม่ให้เด็กสอบตก ก็มีแต่จะบรรลัยไปเรื่อย

ถ้าเด็กสอบแล้วมีตก อย่างไรเขาก็ต้องอ่านหนังสือ จะเห็นว่าเด็กรุ่นอาตมาเกเรขนาดไหนก็ตามแต่มีความรู้ เพราะบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่อย่างนั้นจะสอบตก เด็กรุ่นใหม่พอสอบไม่ตกก็ไม่ใส่ใจแล้ว เวลาสอนครูสอนอยู่ข้างหน้าก็สอนไป ท้ายห้องก็นั่งแต่งหน้าทาปากไป รุ่นของอาตมามีแปรงลบกระดานบินได้ แต่รุ่นนี้ไม่มี"

เถรี 06-12-2012 10:34

"ความคิดที่จะให้ทุกคนจบมาเสมอหน้ากันเป็นความคิดที่ดี แต่ทำให้เด็กส่วนหนึ่งไม่รับผิดชอบตัวเองเลย เด็กเราสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิก ได้มา ๑๒ เหรียญทอง แต่ขณะเดียวกันอีกจำนวนมากเลยเรียนชั้น ป.๖ แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก เพราะฉะนั้น..อย่างไรก็ต้องให้ตก รุ่นที่อาตมาเรียน เข้าเรียนตอนอายุ ๘ ขวบ มีเพื่อนร่วมชั้น ป.๑ อายุ ๑๗ ปี แปลว่าเขาตกมา ๙ ปีแล้ว"

เถรี 06-12-2012 13:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดลำปางมีพระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ ก็คือพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ท่านพระราชทานให้ ๔ ทิศ ทิศเหนืออยู่ที่จังหวัดลำปาง ทิศตะวันออกอยู่ที่สระบุรี ทิศตะวันตกอยู่ราชบุรี ทิศใต้อยู่ที่พัทลุง ที่จังหวัดลำปางเขาเอาไว้บริเวณเดียวกับศาลหลักเมือง ฉะนั้น..ถ้าไปไหว้หลักเมือง เดินเลยไปหน่อยก็ได้ไหว้หลวงพ่อนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศด้วย

พระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้พระราชทานพระแสงราชศาสตราให้แก่เมือง ซึ่งก็คือจังหวัดต่าง ๆ การพระราชทานพระแสงราชศาสตราครั้งสุดท้ายอยู่สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๗ ผู้ที่รับพระแสงราชศาสตราไปเท่ากับถืออาญาสิทธิ์แทนในหลวง เพราะฉะนั้น..จะต้องเป็นคนที่ทรงคุณธรรมจริง ๆ ถ้าเป็นสมัยโบราณนี้สามารถประหารได้ค่อยกราบทูล

พอมารัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงสร้างพระพุทธนวราชบพิตรพระราชทานแทน จนบัดนี้ยังได้ไม่ครบทุกจังหวัด คราวนี้การสร้างพระพุทธนวราชบพิตรไม่ได้ยาก ไปยากตรงพระผงกำลังแผ่นดิน ที่พวกเราเรียกว่า สมเด็จจิตรลดา พระพุทธนวราชบพิตร ๑ องค์ ในหลวงจะติดพระกำลังแผ่นดินไว้ที่ฐานบัว ๑ องค์ ก็เลยไปช้าตรงนั้น

เมื่อต้นปีเพิ่งจะได้ข่าวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร แสดงว่ายังได้ไม่ครบทุกจังหวัด จังหวัดเกิดใหม่ก็ยังไม่มี สรุปว่าพระพุทธนวราชบพิตรเป็นการพระราชทานแทนพระแสงราชศาสตรา"

เถรี 06-12-2012 13:10

"แต่ละจังหวัดก็ไม่ค่อยที่จะได้ทำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เพื่อไปกราบไหว้ อาจจะเป็นเพราะว่าถ้าไว้ในที่เปิดหรือที่สาธารณะ อาจจะหายได้ ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ที่ศาลากลางจังหวัด อย่างจังหวัดกาญจนบุรีเขาเก็บอยู่ที่กองคลัง เก็บใส่ตู้เซฟไว้เลย แล้วจะไปไหว้กันอย่างไร ?

จริง ๆ แล้วน่าจะมีการอาราธนาให้ชาวบ้านได้บูชาได้สรงน้ำสักปีละ ๒ - ๓ ครั้ง ช่วงปีใหม่ สงกรานต์ หรือถ้าจังหวัดไหนมีความกระตือรือร้นหน่อย ก็รวมวันสำคัญทางศาสนาไปด้วย แห่เทียนพรรษาก็เอาพระพุทธนวราชบพิตรแห่นำขบวนไปเลย คนจะได้รู้กันทั่วมากกว่านี้ หรือไม่ก็เวลาสรงน้ำพระก็เอาพระพุทธนวราชบพิตรใส่รถแห่ทั่วเมือง เอาพระประธานองค์ใหญ่ใส่รถแห่ไปด้วย เอาพระสำคัญ ๆ ของจังหวัดแห่ไปด้วย

แต่พระพุทธนวราชบพิตรควรที่จะเป็นรถต่างหากคันหนึ่งไปเลยเพราะเป็นพระสำคัญที่ในหลวงพระราชทาน อาจจะเป็นเพราะว่างานของผู้ว่าแต่ละท่านล้นมืออยู่แล้ว งานของมวลชนพวกนี้ก็เลยไม่ได้ทำ งานมวลชนนี่ต้องให้นายก อบจ. ทำหนังสือขอยืมพระพุทธนวราชบพิตรไปแห่ให้ญาติโยมได้บูชากันบ้าง"

เถรี 06-12-2012 13:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายธนูเขามีเคล็ดลับว่า ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ล้มขวางทางช้าง และไม่ถูกช้างเหยียบแตก เขาถือว่าแคล้วคลาด เป็นไม้เคล็ดอยู่ในตัว เพราะปกติแล้วช้างจะดึงไม้ไผ่เอง ดึงลงมารูดใบกินหมด

เขาให้กลั้นใจฟันทีเดียวให้ขาด แล้วเอามาจักตอกสานเป็นควายธนู หรือสานเป็นวัวธนู แล้วแต่ใครจะมีฝีมือ ถ้าฟันทีเดียวไม่ขาดก็ใช้ไม่ได้ อย่างหลวงปู่ภู ไม้ครูของท่านก็ใช้ไม้ไผ่แบบนี้เหมือนกัน แต่ต้องเอาไปทิ่มศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารให้ได้ ๗ ศพ ก็หายากมาก กว่าจะทำได้ต้องใช้เวลานาน ไม้ครูหลวงปู่ภูจึงกลายเป็นของหายาก บางคนเขาเรียกว่า นิ้วเพชรพระอิศวร ถ้าได้ไปนี่ห้ามแช่งคนอื่น"

เถรี 06-12-2012 13:26

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานผู้กองสรวง (ร.อ. สรวง น้ำฟ้า) ถามเรื่องวิธีชนะนางแก้ว แสดงว่าคิดผิด ถ้านางแก้วจริง ๆ กี่ชาติเราก็แพ้ เรียกว่าผูกปีแพ้ ขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงยังออกปากว่า “ถ้าแม่แกลงมาเกิด ชาตินี้ข้าก็บวชไม่ได้” สรุปแล้วที่ท่านแม่ไม่ลงมา ก็เพื่อให้ชาตินี้หลวงพ่อได้ปฏิบัติในเนกขัมมบารมีได้อย่างเต็มที่

จริง ๆ แล้วในเรื่องของคู่บารมี ถ้าเจอหน้ากันจะทนไม่ได้ ดูอย่างพระราชธิดายังหนีตามพระเจ้ากุสราชที่ปลอมตัวเป็นคนหาบน้ำเลย เห็นหน้าก็ทนไม่ไหว ไปดีกว่า หรือไม่ก็ธิดาเศรษฐีเห็นพรานกุกุกฏมิตรหาบเนื้อมาขาย ขากลับธิดาเศรษฐีไปดักนอกประตูเมือง หนีตามไปเลย อันนี้เขาเรียกว่า ปุพเพสันนิวาเสนะ ก็คือสร้างบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน เขาเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน เห็นแล้วอยู่ไม่ได้ ต้องไปเลย

เรื่องของคู่บารมี...ถ้าใจคอไม่เข้มแข็งจริง โอกาสรอดแทบจะเป็นศูนย์ แต่ถ้าตั้งใจต่อสู้ฟันฝ่าก็เห็นผ่านได้ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านเป็นตัวอย่างให้เรานับไม่ถ้วนแล้ว สมัยอาตมายังไม่ได้บวช ไปคลุกคลีตีโมงกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นทางภาคอีสาน หลวงปู่ฝั้นท่านเล่าให้ฟังว่าท่านธุดงค์ไป เวลาเริ่มเย็นแล้วจะข้ามแม่น้ำ ก็ปรากฏว่าเจอแม่ลูกพายเรือมารับ ท่านบอกว่าพอเห็นหน้าลูกสาวแล้ววาบเข้าไปในอก ทำอะไรไม่ถูก เกือบจะลงเรือไม่เป็น"

เถรี 06-12-2012 13:34

"พอสองแม่ลูกพาไปส่งฝั่ง ผูกเรือเสร็จก็เดินตามพระไปเฉยเลย ตามไปดูว่าพระธุดงค์ไปไหน คราวนี้ใกล้ค่ำหลวงปู่ท่านก็ต้องปักกลด สองแม่ลูกเขาเล็งไว้ว่าอยู่ตรงไหน ตอนเย็นก็เอาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย คนเป็นแม่ก็บรรยายว่า “ตอนนี้อิฉันอยู่ตัวคนเดียว สามีตายแล้ว มีลูกสาวอยู่แค่คนเดียวไม่มีที่พึ่ง มีวัวเท่านั้นตัว มีควายเท่านั้นตัว มีนาเท่านั้นไร่ ถ้าพระคุณเจ้าคิดจะสึกหาลาเพศไป ก็จะยกลูกสาวพร้อมกับที่ทางวัวควายให้

หลวงปู่ฝั้นเล่าว่ามึนจนตอบไม่ถูก ได้แต่บ่ายเบี่ยงเออ ๆ ออ ๆ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมาถวายจังหัน คือภัตตาหารเช้า แล้วจะมาขอคำตอบ หลวงปู่ฝั้นท่านยอมเสียสัจจะ ปกติถ้าพระธุดงค์ปักกลดแล้ว ยังไม่สว่างจะไม่ถอนกลด แต่ครั้งนี้รู้ว่าตายฟรีแน่ ๆ หลวงปู่ฝั้นถอนกลดเดินหนีข้ามไป ๔ จังหวัดเลย สมัยก่อนเป็นป่าเสือป่าช้างทั้งนั้น ท่านบอกว่าถ้าเขาตามมาได้ก็จะยอมแต่งด้วย แล้วใครจะตามไหวเล่า ? สรุปว่ารอดตัวไปได้ แต่ท่านบอกว่าหน้าเขาลอยติดตาอยู่เป็นปีเลย หลับตาลงจะภาวนาเมื่อไรก็เห็นแต่อีหน้าใบโพธิ์ แสดงว่าหน้าเป็นรูปหัวใจ

เรื่องของหลวงปู่เทสก์ก็เหมือนกัน หลวงปู่เทสก์ได้ข่าวว่า โยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่ม่าย มีลูกชายอายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบ ที่เคยมาทำบุญประจำนั้นไม่สบาย ด้วยความเมตตาก็คิดว่าไปเยี่ยมไข้เขาหน่อย ชวนลูกศิษย์วัดไปเยี่ยมไข้ พอดีไปตอนเย็น ผู้หญิงเขาก็คุยถ่วงเวลาจนกระทั่งค่ำ ลูกศิษย์ก็หลับอย่างเดียว พาไปเป็นเพื่อนแท้ ๆ อาศัยไม่ได้เลย"

เถรี 06-12-2012 13:39

"หลวงปู่เทสก์ท่านเล่าว่ามือไม้สั่น เหงื่อกาฬแตก ทำอะไรไม่ถูก เขาเองก็พูดเปิดเผยมากขึ้นทุกที ๆ ในที่สุดเห็นว่าอันตรายมาถึงตัวแน่ก็ตัดสินใจปลุกลูกศิษย์ตื่น เดินกลับวัดเดี๋ยวนั้นเลย

ส่วนอีกรายก็คือหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่สิงห์เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานรุ่นไล่ ๆ กับหลวงปู่มั่น ต้องบอกว่าเป็นมือขวาของหลวงปู่มั่นเลยก็ว่าได้ ท่านบอกว่าพอเดินขึ้นบันไดเรือน สบตาแล้วเข่าอ่อนเกือบตกบันได ส่วนผู้หญิงก็รู้เหมือนกัน มองหน้าเห็นก็เป็นลมไปเลย อันนั้นคู่แท้ ท่านบอกว่าพอกลับวัดไม่เป็นอันภาวนา พ่อแม่ก็มาตื๊อ บอกว่า “เขาพร้อมจะยกลูกสาวให้ เมื่อไรลูกบ่าวจะสึกไปครองเรือน เขามีนามีไร่ มีช้างม้าวัวควายอะไรก็จะยกให้เป็นสินสอดทองหมั้น ไม่ต้องตกระกำลำบาก”

หลวงปู่สิงห์ท่านบอกว่า “จะให้สึกขอแค่ ๓ ข้อ ข้อที่ ๑ ให้สร้างบ้านที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นเรือนหอ ถ้าสร้างได้จะสึกไปแต่ง” ท่านบอกว่าเห็นวิมานของนางฟ้าเทวดาไม่มีเสา ลอยอยู่เฉย ๆ อยากได้บ้านอย่างนั้น พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็บอกว่าไม่ต้อง ๓ ข้อหรอก ข้อแรกก็ทำไม่ได้แล้ว ท่านบอกว่า “ข้อที่ ๒ ต้องหายาที่กินแล้วไม่แก่ไม่ตายมาด้วย ข้อที่ ๓ ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานก็ต้องไม่แก่ไม่ตายด้วย” ข้อเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ในเมื่อทำไม่ได้หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “อย่างนั้นลูกก็ไม่สึก”

เถรี 06-12-2012 13:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการถามพระหรือพรหมเทวดาอย่าถามย้ำถึง ๓ ครั้งนะ ตะติยัมปิเมื่อไรโดนเมื่อนั้นแหละ เพราะว่าท่านพูดแต่เรื่องจริง ในเมื่อพูดแต่คำสัตย์ คำจริงครั้งเดียวก็พอแล้ว ถามครั้งที่ ๒ นี่จะบอกให้ฐานเมตตา แต่ถ้าครั้งที่ ๓ นี่โดนแน่..!"

เถรี 06-12-2012 13:44

พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณติ๊กรู้จักเซียนสูไหม ? เมื่อวานที่อาตมาเห็นคุณติ๊กเป็นตาแป๊ะหนวดเฟิ้มนั่นแหละ..ท่านเอง อาตมาก็ถามว่ามาทำไม ? ท่านบอกว่า “มาดูเขาหน่อย” อาตมาคิดว่าตาแป๊ะหนวดยาวที่ไหน นึกว่าเป็นภาพอนาคตของคุณติ๊ก

เซียนสูเขาบอกว่า มาดูคุณติ๊กหน่อย จะนึกขอบารมีท่านสงเคราะห์บ้างก็ได้ เป็นห่วงเป็นใยเราขนาดนั้น อาตมาพูดเรื่องที่โยมไม่เห็นนี่ลำบากหน่อยนะ พอดีเมื่อวานเห็น ตอนแรกคิดว่าเป็นภาพอนาคต คิดว่าคุณติ๊กจะอยู่จนหนวดยาวปานนั้นเลยหรือ ?

ต้องบอกว่าเซียนสูท่านเป็นอภิญญาลาภีบุคคล เป็นฆราวาสแท้ ๆ ปฏิบัติจนเป็นพระ ส่วนอาตมาเป็นพระแท้ ๆ ไม่รู้จะปฏิบัติแล้วจะเป็นฆราวาสหรือเปล่า ? แสดงว่าในเรื่องของครูบาอาจารย์หรือบุคคลที่เคยเนื่องกันมา ต่อให้ท่านเองพ้นไปแล้วก็ยังมีความเมตตา จึงลงมาดูหน่อย ฉะนั้น..ที่มีบางคนเขาว่า “จบกิจแล้วไปพระนิพพานก็เบื่อแย่สิ” เอ็งเบื่อไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่เบื่อด้วยหรอก อาตมาเห็นทั้งพระนิพพานมีแต่งานท่วมหัว ดันบอกว่ากลัวไม่มีอะไรจะทำ..!"

เถรี 06-12-2012 13:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนโชคดี แต่งตัวอย่างไรก็ดูดี ใส่ยีนส์ขาด ๆ เสื้อยืดเก่า ๆ ก็ดูดี ส่วนบางคนโปะอย่างไรก็ไม่ขึ้น ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วต้องเป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไหลไปตามแรงโฆษณา ไม่ได้ดูว่าบุคลากรที่เขาเอามานำเสนอให้กับเรา แต่ละคนเขาคัดแล้วคัดอีก ไม่ใช่ว่าเขาใส่แล้วสวย เขาใช้แล้วสวย แล้วเราใช้แบบนั้น ใส่แบบนั้นแล้วจะสวยเหมือนเขา

เขาน้ำหนัก ๔๘ กิโลกรัม ส่วนเราน้ำหนัก ๘๔ กิโลกรัม ตัวเลขไม่ต่างกันก็จริง แต่สลับที่กัน ต้องมีสติยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยอมรับความจริงเสียก็หมดเรื่อง ถ้าไม่ยอมรับความจริงเดี๋ยวก็มีการดึงหน้าบ้าง ฉีดโบท็อกซ์บ้าง ผ่าตัดยกเครื่องบ้าง ให้ยุ่งไปหมด

ที่ประเทศจีนเพิ่งจะฟ้องหย่าเมียไป เพราะว่าลูกออกมาแล้วไม่เหมือนพ่อแม่ คนเป็นพ่อก็สงสัยว่าเมียไปแอบมีชู้หรือเปล่า ? ท้ายสุดแม่ก็สารภาพว่าไปผ่าตัดใบหน้ามา ขอโทษขอโพย แต่ผัวไม่ยอมแล้ว เธอหลอกลวงฉันตั้งแต่แรก ท้ายสุดฟ้องหย่าแล้วศาลก็ดันให้หย่าด้วย จะบอกว่าหาเรื่องฟ้องหย่าก็ใช่นะ แต่จริง ๆ แล้วต่อให้เขาผ่าตัดมา ตัวเองก็ไปยินดีและพอใจเขาเองตั้งแต่แรกนี่หว่า"

เถรี 06-12-2012 13:56

"ขอยืนยันว่าเรื่องของคู่ชีวิต รูปร่างหน้าตาเป็นส่วนฉาบฉวยเท่านั้น แรก ๆ ก็อาจจะพอตาพอใจกัน แต่พออยู่ไปนาน ๆ ความเคยชินทำให้ลืม ก็เหลือแต่ว่าเรามีความดีอะไรที่เป็นเครื่องดึงดูด และประคองชีวิตคู่เอาไว้ได้

ภาษิตจีนเขาบอกว่า “บุปผาปักบนมูลโค” เอาดอกไม้ปักบนขี้ควายแท้ ๆ เลย คนนี้สวยเช้งวับ อีกคนหนึ่งขี้เหร่ดูไม่ได้เลย ทำไมเขาอยู่กันได้ เพราะเขามีส่วนอื่นที่มาประคองชีวิตไว้ อยู่ไปนาน ๆ แล้วลืมความสวย บางทีไม่ได้นึกเลยว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างในอินเตอร์เน็ตเขาโพสต์กันว่า “ผู้ชายนิสัยดีมักจะไม่หล่อ ผู้ชายที่หล่อก็นิสัยไม่ดี ผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งดีก็มักจะเป็นเกย์” แล้วก็มานั่งปลงชีวิต..!"

เถรี 10-12-2012 09:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "สงสารพระสมัยนี้ ปฏิบัติแล้วไม่มีป่าให้ธุดงค์เท่าไร อาตมาเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้วที่ยังมีเสือมาเดินรอบกลดบ้าง พระรุ่นต่อไปจะเอาอะไรมาขู่กิเลสได้ เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวแล้ว ปีก่อนเขาว่าหมีแม่ลูกอ่อนลงมาตรงทางเดินไปต้นไม้ยักษ์กับบึงลับแล อุตส่าห์เข้า ๆ ออก ๆ อยู่ ๔ รอบ หมีคงกลัวคนมากกว่าจึงไม่โผล่เลย แทนที่คนจะได้กลัวหมี

ปีนี้พาพระนิสิต มจร. ร้อยกว่ารูปไปปฏิบัติธรรม ก็เป็นอันว่าไม่ใช่หมีอย่างเดียวหรอก เสือสางช้างม้าคงวิ่งป่าราบหมด เพราะร้อยกว่าคนเสียงดังสนั่นป่าเลย เนื่องจากพระนิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงคราม เขาตกลงกันว่าจะไปธุดงค์ที่ทองผาภูมิ เขาไม่ได้ตกลงเรื่องธุดงค์หรอก เขาจะไปปฏิบัติธรรมกัน เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมาเตรียมโครงการธุดงค์ไว้ให้ เพียงแต่บอกเขาให้เอากลด เอาบาตรไปด้วยเท่านั้น"

เถรี 10-12-2012 09:57

"มีอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ยังเป็นพระครูปลัดอยู่ ท่านบอกกับพระวัดท่าซุงว่า “ถ้าพวกคุณอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้างก็ไปหาท่านเล็กเขานะ” เจอเข้าไป ๒ ชุดก็เข็ด ไม่มีใครไปอีกเลย อาตมาถามน้อง ๆ ว่าจะเดินธุดงค์แบบมีอาหารฉันหรือแบบไม่มี เขาบอกว่า “ตามใจหลวงพี่ครับ” ก็เสร็จอาตมานะสิ อาตมาเป็นคนขี้เกียจด้วย ก็เอาแบบไม่มีอาหาร..!

พวกเขาเจอเข้าไป ๓ วันขอกลับ พูดเสียงอ่อย ๆ ว่า “เดินไม่ไหวแล้วครับ” สรุปว่าขากลับมีอยู่รายหนึ่งออกมาได้ ๒ กิโลเมตร ก็หมอบกระแตไปไม่ไหว ส่วนอีกรายหนึ่งเดินตามมาได้ แต่อาตมาต้องแบกกลดแบกของให้ทุกอย่าง ตามมาจนเหลืออีกประมาณ ๒ กิโลเมตร จะถึงถนนก็หมดสภาพกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน

อาตมาต้องเดินออกมาถึงข้างนอก บอกคนที่มีรถจักรยานยนต์ว่าให้ไปเก็บพระออกมาหน่อย อยู่ตรงนั้นตรงนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่มีใครมาอีกเลย ทางวัดท่าซุงก็ไปลือกันว่า “อย่าไปฝึกกรรมฐานกับหลวงพี่เล็กนะ ท่านให้อยู่ด้วยธรรมปีติอย่างเดียวจริง ๆ” ก็อาตมาถามแล้วว่าจะกินไหม ? เขาบอกว่า "ตามใจหลวงพี่" ในเมื่อตามใจหลวงพี่ ก็หลวงพี่ไม่กินนี่หว่า.. เพราะฉะนั้นคำว่าตามใจอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ได้อย่างหนึ่ง..อย่าให้มี ต้องการอะไรบอกให้ชัด ถ้าอย่างไรก็ได้เดี๋ยวเจอกัน..!"

เถรี 10-12-2012 10:15

ถาม : ทำไมเขาเรียกพระยอดขุนพลครับ ?
ตอบ : เพราะว่าทรงเครื่องขุนศึก เริ่มจากทางละโว้ก่อน เขาสร้างพระทรงเครื่องขุนศึกจอมทัพในสมัยนั้น เขาก็เลยเรียกว่าพระยอดขุนพล หลังจากนั้นที่อื่นก็สร้างเลียนแบบกันให้ยุ่งไปหมด พระยอดขุนพลที่สวยที่สุดน่าจะเป็นพระยอดขุนพลสายเขาอ้อ ออกแบบได้สุดยอดจริง ๆ อย่างพระยอดขุนพลฤๅษีคุ้มดวง แต่สายเขาอ้อหมดหลวงปู่กลั่นแล้ว ที่เหลือก็คงต้องรอท่านอาจารย์ประจวบมาบวช

ถาม : ที่เขาเล่นแร่แปรธาตุเป็นทองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทองเลย แต่เขาไม่กล้าประกาศว่าทอง เลี่ยงไปเรียกว่าทองสัตตะโลหะ

ถาม : โบราณหล่อโลหะต่าง ๆ เก่งกว่าปัจจุบัน ?
ตอบ : จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าปืนใหญ่หน้ากระทรวงเขาผสมโลหะอย่างไร ยังไม่เป็นสนิมสักจุด เนื้อยังเขียวปลอดอยู่เลย อันนั้นเป็นเหล็กแข็ง ถ้าเหล็กเหนียวเขาเรียกว่าเหล็กกำพล ที่เขาบอกว่าถ้าทำเป็นดาบนี่ดัดตัวใบติดด้ามได้เลย เคยดูเขาทดสอบดาบซามูไรที่ใช้เหล็ก cold steel ทำขึ้นมา เขาใช้เครื่องจักรคีบไว้แล้วโยกออกมาประมาณ ๕๐-๖๐ องศา เขาไม่ได้ดัดด้ามกับปลายติดกันเหมือนกับเหล็กกำพลของโบราณ คาดว่าถ้าดัดเกินนั้นอาจจะหักก็ได้

เถรี 10-12-2012 10:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จวัดระฆังอย่าไปดูเนื้อแตกลายงานะ เพราะปัจจุบันทำได้สบาย เนื้อแตกลายงาของสมเด็จวัดระฆังจะแตกเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เพราะโดนแดดโดนลมด้านเดียว ด้านหลังไม่แตก ถ้าแตกทั้งองค์ก็เป็นอันว่าจบ เรานึกถึงตอนที่เราตากพระ ก่อนที่พระจะแห้งเราพลิกไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น..สมเด็จวัดระฆังถ้าแตกลายงาจะแตกด้านเดียว

ประการที่สอง สมเด็จวัดระฆังจริง ๆ เนื้อจะค่อนข้างบาง ถ้าเจอองค์หนาชนิดขว้างหัวหมาร้องนี่ไม่ใช่แน่ ประการที่สาม โบราณเขาใช้ผิวไม้ไผ่ตัด ตอนที่ตัดก็มักจะตัดจากข้างหลังมาข้างหน้า เพราะว่าเป็นการตัดในขณะที่ยกออกจากพิมพ์ ฉะนั้น..รอยตัดจะอยู่ข้างหลังเลื่อนไปข้างหน้าเสมอ ถ้าตัดตรงเม็ดมวลสารจะสังเกตได้ชัดที่สุด เพราะจะโดนดันไปข้างหน้า ถ้าหากว่ามวลสารใหญ่ก็ดันเป็นร่องให้เห็น ๆ เลย

อันนี้เป็นวิธีการดูหลัก ๆ ที่เหลือก็ต้องศึกษาว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร พอผ่านการใช้งานมีสภาพอย่างไร ไม่ใช้งานมีสภาพอย่างไร แล้วก็พิมพ์ทรง ถ้าผิดเนื้อผิดพิมพ์เขาวางเลย เขาไม่ดูต่อ ถ้าเอาพระไปให้เซียนดูแล้วไม่พูดอะไร แต่ว่าองค์ไหนคว่ำลงก็แปลว่าองค์นั้นเก็บเถอะ..ไม่ผ่าน ถ้าองค์ไหนเขาวางหงายเดี๋ยวก็หยิบไปดูใหม่"

เถรี 10-12-2012 10:24

ถาม : ท่านสร้างไว้จำนวนเท่าไรครับ ?
ตอบ : คาดว่าแปดหมื่นสี่พันองค์ แต่คราวนี้หลวงปู่ท่านแจกกระจายเลย แล้วเป็นการแจกที่คนไม่ค่อยอยากได้ด้วย เพราะสมัยนั้นคนยังไม่เห็นคุณค่า แม้ท่านจะย้ำนักย้ำหนาว่าต่อไปจะแพงนะจ๊ะ เขาก็ไม่สนกันเท่าไรหรอก เพราะสมัยนั้นเขาว่า “พระต้องอยู่วัด” อยู่ ๆ ให้โยมมาติดตัวติดบ้านไว้เขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะดีกัน ธรรมเนียมนิยมสมัยนั้นเป็นอย่างนั้น

เพิ่งจะมาช่วงสงครามโลกนี่แหละที่นิยมพระติดตัว แต่พอหลังสงครามเขาก็เอาไปคืนวัด อย่างพระกรุวัดโพธิ์ที่สร้างด้วยกระดูกผี พอใช้งานเสร็จสรรพก็ไปคืนวัดกันหมด ถ้าเขารู้ว่ามาถึงสมัยนี้ราคาเท่าไรคงตีอกชกหัวตัวเอง พอมาสมัยหลังนี่ต่อให้อยู่ในวัดก็พยายามจะเอาเข้าบ้านให้ได้ ค่านิยมเปลี่ยนไปแล้ว

เถรี 10-12-2012 12:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นรูปหลวงพ่อพระฝางแล้วต้องบอกว่าช่างโบราณนี่สุดยอดเลย ดูรูปถ่ายพระฝางทีไรต้องบอกว่าคนโบราณเขาทำงานด้วยใจจริง ๆ ทุ่มเทให้ทุกอย่าง เหมือนอย่างกับจะฝากงานชิ้นนั้นไว้ในแผ่นดินชิ้นเดียวก็พอแล้ว งามสุด ๆ "

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง แต่รายละเอียดของเครื่องทรงสุดยอดจริง ๆ ยังไม่เคยเห็นพระทรงเครื่องที่ไหนสวยขนาดนั้น กำลังหาแบบอยู่ อาตมาว่าถ้าอยู่ถึงอายุ ๖๐ ปีจะสร้างพระทองคำฉลองอายุ อยากได้พระหน้าตักไม่เกิน ๙ นิ้ว ถามช่างแล้วเขาบอกว่าขนาด ๙ นิ้วใช้ทองประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ที่ดู ๆ ไว้ก็มีแบบพระพุทธชินราชแต่ว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐม และแบบพระพุทธลีลาประทานพรแบบพุทธมณฑล และพระฝาง กำลังรอ ๆ ดูว่าจะไปลงเอยที่ไหน

หลวงพ่อพระฝางนั้นเป็นพระบูชาประจำองค์ของเจ้าพระฝางสมัยธนบุรี เป็นก๊กเดียวที่พระเจ้าตากไปตีครั้งแรกไม่สำเร็จ ต้องพระแสงปืนจึงต้องถอยมาก่อน บุคคลที่แคล้วคลาดด้วย คงกระพันด้วย แต่พอไปเจออาวุธข้าศึกแล้วเข้า..ต้องคิดนะ ต้องถอยตั้งหลักก่อนแล้วไปใหม่ พระเจ้าตากสินท่านประกาศว่า “กูผู้ชนะ” ก็จริง แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยถอยให้เขาเหมือนกัน

เถรี 10-12-2012 12:15

หัวหน้าก๊กเป็นพระจริง ๆ แต่ท่านไม่ได้คิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่หรอก พอบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วท่านมีความสามารถมาก ชาวบ้านเห็นความสามารถท่านจึงไปขอพึ่งบารมี ในเมื่อไปพึ่งบารมีกลายเป็นก๊กใหญ่ขึ้นมา มีกองกำลังป้องกันตนเอง อย่างไรเขาก็ต้องคิดว่าแข็งเมือง

สมัยก่อนไม่ได้ใช้โทรศัพท์คุยกันได้อย่างสมัยนี้ กว่าจะเจรจากันรู้เรื่องเขาก็หมายมั่นปั้นมือแล้วว่าคุณแข็งข้อ ก็ลุยกันเลย กองทัพเขามายันกำแพงเมืองแล้วจะไปคุยอะไรกัน ก็ต้องใส่กันก่อน ท่านที่เจตนาตั้งตนเป็นใหญ่มีเยอะ ส่วนท่านที่ไม่ได้เจตนาแต่สถานการณ์พาไปก็มี

แบบเดียวกับพระสะล่า เป็นพระกะเหรี่ยง สึกออกมานำกำลังชาวบ้านไปโจมตีราชวงศ์คองบองของพระเจ้าอลองพญาสำเร็จ ได้ครองราชย์อยู่ระยะหนึ่ง แต่พอทางฝ่ายพม่าตั้งหลักได้ด้วยกำลังที่เหนือกว่ากันจนนับไม่ได้ เขาทุ่มกำลังเข้ามาประเภทเอาซากศพถมกำแพง ก็ต้องแพ้เขา ลุยหน้าเข้ามา คนฆ่าก็ฆ่าจนมือไม้อ่อน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน

อย่างหลวงพ่ออุตตะมะก็เหมือนกัน ด้วยบารมีของท่าน ทั้งพม่า ทั้งกะเหรี่ยง ทั้งมอญ ให้ความเคารพท่าน ไม่อย่างนั้นตีกันตาย เพราะปกติพวกนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ว่ากะเหรี่ยงกับมอญอยู่รวมกันได้ เพราะหลวงปู่ท่านบอกแล้วว่า ถ้าทะเลาะกันท่านจะไม่ให้อยู่ด้วย อยากอยู่เมืองไทยกับท่านต้องไม่ทะเลาะกัน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมืองไทย

คราวนี้มอญเขายังมีกองกำลังกู้ชาติอยู่ พอถึงเวลาทหารพม่าไล่ตี ทหารมอญถอยหนีเข้าวัด พอทหารมอญถอยหนีเข้าวัด ทหารพม่าเคารพหลวงพ่ออุตตะมะ เขาก็ถือว่าเอ็งหนีได้หนีไป ข้าก็หุงข้าวกินรออยู่ข้างนอก ออกมาเมื่อไรค่อยตีกันใหม่

เถรี 10-12-2012 12:20

เรื่องของศรัทธาเป็นเรื่องที่ปลูกฝังได้ยาก แต่พอเกิดศรัทธาแล้วก็ตายยากด้วย เพราะฝังลึกอยู่ในหัวใจ เพราะฉะนั้นจะเป็นทหารมอญ ทหารพม่า ทหารกะเหรี่ยง ก็เคารพหลวงพ่ออุตตะมะเป็นปกติ เห็นไหม..พอสิ้นหลวงพ่อไม่กี่วันก็ฆ่ากันตายในวัดเลย เจ้าอาวาสตายด้วย หลวงพ่อจันทิมาไม่ได้รู้อะไรเลย เขากลัวว่าท่านจะไปสาวเจอต้นเหตุทุจริต เขาก็ยิงทิ้งเลย

ต้องบอกว่าท่านอาจารย์พระมหาสุชาตินี่ใจถึงมาก ตอนนั้นไม่มีใครอาสาไปเลย จนกระทั่งท่านเจ้าคุณปัญญาบอกว่า “ถ้าไม่มีใครก็ต้องส่งอาจารย์เล็กไป” พอดีว่าท่านอาจารย์พระมหาสุชาติท่านมีพื้นฐานเป็นมอญ ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง ถ้าอาตมาไปก็คงต้องแผลงฤทธิ์กันหลายยกกว่าที่เขาจะยอมรับ

นี่ก็เริ่มแล้งแล้ว พอแล้งเมื่อไรก็ตีกันเมื่อนั้นแหละ พอเริ่มแล้งแล้วกองทัพพม่าก็เริ่มออกกวาดล้าง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกองกำลังมอญกู้ชาติวางอาวุธไปแล้ว เหลืออย่างเดียวคือพวกกะเหรี่ยงคริสต์ยังไม่วาง คราวนี้กะเหรี่ยงคริสต์ก็ไม่รอหรอก คริสต์ก็คริสต์เถอะ..ถึงเวลาก็หนีเข้าวัดเหมือนกัน

เถรี 12-12-2012 16:37

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ภิกษุมีจิตกำหนัด เอาบาตรดันร่างผู้หญิงอื่นโดนอาบัติหรือเปล่า ? โดน..ท่านปรับเพราะถือเป็นของเนื่องด้วยกาย..ซวยเลย คิดว่ารอดแล้ว ภิกษุมีจิตกำหนัด เอามือเขย่าสะพานที่ผู้หญิงกำลังเดิน..โดนอีก พระพุทธเจ้าท่านปรับไว้ละเอียดจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะทำกันไปเรื่อย โดนเข้าสักทีจะได้ไม่ทำอีก ผู้หญิงอยู่ในเรือ จับเรือเขย่า...โดนเหมือนกัน

ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการอย่างหนึ่งของคนสมัยนั้น ด้วยความที่แขกเป็นคนค่อนข้างจะหัวหมอ ความประพฤติเขาก็เลยไปในแนวนั้น ทำให้การบัญญัติศีลพระต้องละเอียดมาก จนกระทั่งคนเขาว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญู ย่อมรู้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเกิด ทำไมถึงไม่บัญญัติกันไว้ก่อน ? บอกไว้เลยว่าถ้าบัญญัติกันไว้ก่อน ไม่มีใครเชื่อว่าคนจะแหกคอกไปได้ขนาดนั้น จึงต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยบัญญัติ


ถาม : เจองูกับแขก เขาบอกให้ตีแขกก่อน ?
ตอบ : เจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน สมัยก่อนแขกไปขายของที่บ้าน ขายผ้าผืนละ ๔๐ บาท เขาให้ผ่อนวันละ ๒ บาท ให้แขก ๕ บาทหรือ ๑๐ บาท แขกเขาไม่เอานะ เอาแค่ ๒ บาท จริง ๆ ก็คือเขาจะนับเลย ๒๐ วันเขาจะมาเอาทุกวัน แล้ว ๒๐ วันนี่เขาอาจจะขายของได้อีก ถ้าเอาไปทีเดียวหมด เดี๋ยวไม่มีข้ออ้างมา..เซียนจริง ๆ

เถรี 12-12-2012 16:41

พวกนี้เขาขยัน ประหยัด เห็นว่าแบกถั่วขายอยู่ไม่นานเท่านั้นเอง กลายเป็นเถ้าแก่ปล่อยเงินกู้ไปหมดแล้ว พอเรียกนายห้างก็ยิ้มแก้มปริเลย นายห้างของเขาก็ระดับเถ้าแก่ของคนจีน

ถาม : นายห้าง..?
ตอบ : อาตมาลงไปปักษ์ใต้ต้องคอยหลบพวกนายห้าง เพราะส่วนใหญ่เขาจะนิมนต์ให้ไปที่ร้าน และถ้าอาตมาไปก็ไปได้บ้านเขาบ้านเดียว พวกนี้เขาอังคาสด้วยมือ พอฉันอาหารไปเขาก็จะตักเติมไปเรื่อย อาตมาแทบตาย..เพราะนิสัยที่กินอะไรต้องหมด เนื่องจากทหารเขาฝึกมาแบบนี้ ส่วนเขาเห็นหมดแล้วต้องเติม..(หัวเราะ)..เลยไม่ไปดีกว่า

โดยเฉพาะชานม ทั้งนมทั้งเนย ฉันเข้าไปแก้วเดียวหัวหูร้อนไปหมด เจ้าประคุณเถอะ..รินให้ทั้งวัน ไม่ไปดีกว่า..ขืนไปบ้านนายห้างบ่อย ๆ อาตมาคงตัวใหญ่เท่านายห้างแน่ ๆ..!

เถรี 12-12-2012 16:45

ตอนแรกอาตมาอ่านบาลีแล้วไม่เข้าใจ ว่าอังคาสด้วยมือคืออะไร ? อังคาสก็แปลว่าถวายอาหาร อังคาสด้วยมือ เอ๊ะ...เราก็ใช้มือถวาย ที่ไหนได้..อังคาส คือ เขาคอยบริการอยู่ ขาดข้าวเติมข้าว ขาดกับเติมกับ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกับพระต่างจังหวัด ไปเจอต้มยำกบใส่มะตาด กินกันประเภทแหกหม้อแหกไหไปเลย มะตาดนี่ใช้แทนมะนาวได้ รสชาติสุดยอด ถึงเวลาลูกก็ร้องจะกิน พระก็ว่า "โยม..เพิ่มต้มยำกบหน่อย" เดี๋ยวก็ "โยม..เพิ่มต้มยำกบหน่อย" นั่งอยู่ ๙ รูป พอขอครั้งสุดท้ายโยมตะแคงหม้อให้ดู “เหลืออยู่เท่านี้แหละเจ้าค่ะ ถ้าท่านฉันหมด ดิฉันกับลูกก็ไม่ต้องแดกกันพอดี..!” เจอโยมว่าตรง ๆ เข้าแบบนี้พระถึงได้หยุด..!

เถรี 12-12-2012 16:50

:4672615: เก็บตกเดือนพฤศจิกายน จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดยทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว