กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6319)

เถรี 11-09-2018 20:02

"สมัยนั้นเขามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบแผ่นครั่ง จำได้เลยว่าช่วงนั้นเพลงที่ดังมาก ๆ ก็มี “สาวสวนแตง” ของ สุรพล สมบัติเจริญ เปิดกันสนั่นหวั่นไหวไปหมด ปรากฏว่าพระท่านบวชเข้าไป ท่านเป็นลูกคนรวย ทางบ้านก็เลยยกเครื่องเล่นแผ่นเสียงไปให้ที่กุฏิ ท่านก็ไปเปิดเพลงฟังกัน หลวงปู่อินทร์ไปถึงก็เคาะประตู พอพระท่านเปิดประตูนี่ ท่านไม่ถามแม้แต่คำเดียว หางกระเบนในมือตีอย่างเดียวเลย พระท่านไม่รู้ว่าจะไปทางไหน หลวงปู่ท่านยืนขวางประตูอยู่ ก็ต้องโดดหน้าต่างหนี

ฉะนั้น ถ้าสิ่งที่เราเห็นว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ฟังเพลง โทษยังหนักขนาดนั้น พระรอบ ๆ บ้านของอาตมาจึงค่อนข้างจะเคร่งครัด แต่ละรูปแต่ละท่านพอเป็นเจ้าอาวาสก็มีความสามารถพิเศษทั้งนั้น ก็เลยทำให้อาตมาคิดว่าพระทุกรูปบวชไปแล้วต้องดี พระทุกรูปบวชไปแล้วต้องเก่งแบบนี้"

เถรี 11-09-2018 20:06

"หลวงปู่อินทร์ท่านมีปฏิปทาที่ค่อนข้างเคร่งครัด ถ้าท่านรับกิจนิมนต์ ท่านจะเดินไป แต่คราวนี้ถ้าระยะทางไกลอย่าง ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร ญาติโยมเอารถมอเตอร์ไซด์มารับบ้าง เอาม้ามารับบ้าง เอาเกวียนมารับบ้าง สมัยนั้นเขาจูงม้ามาให้พระขี่เลยนะ หลวงปู่ท่านจะจำว่าไปไกลเท่าไร กลับมาท่านจะเดินจงกรมใช้หนี้เป็นระยะทางไกลแค่นั้น

คราวนี้ท่านให้พวกอาตมาทำทางเดินจงกรมไว้ ทางเดินจงกรมก็ยาว ๒๕ วา คือ ๕๐ เมตร ท่านเดินไปกลับได้ ๑๐๐ เมตร ไปกลับ ๑๐ เที่ยวได้ ๑ กิโลเมตร ถ้าหากว่าท่านไปกิจนิมนต์ สมมติว่าต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์หรือขี่ม้าไป หรือนั่งเกวียนไปสัก ๒๐ กิโลเมตร ท่านก็ต้องมาเดินจงกรมใช้หนี้จนครบ

ฉะนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปลูกฝังอาตมามาตั้งแต่เด็ก คือว่าถ้าหากว่าเป็นพระจะต้องเคร่งครัด จะต้องเก่งให้ได้แบบนั้น"

เถรี 11-09-2018 20:22

"เวลาท่านนั่งลงในพิธีพุทธาภิเษกหรือว่างานประจำปี ไม่รู้ว่าโยมรู้จักขันสาครไหม ? ขันที่สมัยก่อนเขาไว้ใช้อาบน้ำเด็ก ใบโตขนาดเราลงไปนั่งได้สบาย ๆ ใส่น้ำเกือบเต็ม พอท่านนั่งลงหลับตา ขันก็ดิ้นทั้งใบเลย

อาตมาเองเห็นอย่างนั้นมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พระทุกรูปต้องทำได้ และคาดว่าในสมัยนั้นก็น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็คือหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่าน พอถึงเวลาบวชเป็นพระใหม่เข้าไป ก็เห็นว่าครูบาอาจารย์ของตัวเองทำได้ เห็นเพื่อนสหธรรมิกทำได้ ก็คงจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำได้ทุกคน ไม่ใช่เรื่องยาก

เราจะเห็นว่าพระสมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วถึงเวลาก็เล่นฤทธิ์เล่นอภิญญากันเป็นปกติ ถ้ายิ่งดูย้อนหลังไปไกล ๆ อย่างในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน เมื่อพลายแก้วอยากบวช นางทองประศรีก็หาที่ให้ ท่านบอกว่า

.............................................................................................อันสมภารที่ชำนาญในทางใน
.............................................................................................ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน
.............................................................................................เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา
.............................................................................................แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน
.............................................................................................จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน
.............................................................................................ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร"

เถรี 11-09-2018 20:26

"พูดง่าย ๆ ว่าไปฝากแล้วเอ็งต้องจบ ความรู้สึกแบบนี้ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า เรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาไม่ใช่เรื่องยาก ใครไปก็ฝึกได้ เป็นเรื่องสาธารณะ แต่สมัยนี้ของเราทำไมค่านิยมเปลี่ยนไป รู้สึกเป็นของยาก ? อาตมาก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนตอนไหน เพราะว่าหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมแล้ว เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หลวงปู่หลวงพ่อที่เคารพนับถือแต่ละท่านก็ค่อย ๆ ล่วงลับดับขันธ์ไปเรื่อย รุ่นใหม่ที่มาก็มีความสามารถไม่เท่าท่านเก่า ท้ายที่สุดก็เหมือนอย่างกับว่าค่อย ๆ เสื่อมลงไป

แบบเดียวกับที่มีญาติโยมคณะหนึ่งไปจากวัดพระธรรมกาย ไปอธิษฐานขอให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาล อาตมาได้ยินก็ถามว่า "แล้วทำไมไม่ขอในชาติปัจจุบันนี้ไปเลย ?" โยมคณะนั้นถามว่า "พระนิพพานไปชาตินี้ได้ด้วยหรือ ?" อาตมาถึงได้เข้าใจว่า ในเรื่องของการสร้างบารมีเป็นเรื่องที่ตำหนิกันไม่ได้ ถ้าใครสร้างบารมีมาเพียงพอ ก็จะรู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ เขาก็ทำกันได้ แต่ถ้าสร้างบารมีมาไม่พอ ก็จะกลายเป็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องยาก เกินความสามารถ เขาทำกันได้ด้วยหรือ ?

ดังนั้น ในส่วนของการสร้างบุญสร้างบารมี ต้องบอกว่ากำลังบารมีที่สร้างมานั่นแหละ ที่เป็นตัวแบ่งเอง ว่ากำลังบารมีของเราอยู่ในระดับไหน"

เถรี 11-09-2018 20:31

มีคุณยายมาทำบุญ "เป็นอย่างไรจ๊ะโยม ? ยังแข็งแรงดีไหม ? ไม่ถึง ๙๐ ปีนี่ไม่ได้ตายหรอกนะจ๊ะ ทน ๆ อยู่ไปก่อนนะจ๊ะ เขาเรียกว่าทำบุญไว้ดี เพราะฉะนั้นอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ถึง ๙๐ ปี ค่อยคิดกันอีกทีว่าจะอยู่หรือจะไป คนอายุมาก ร่างกายไม่แข็งแรงก็อยากไปวันไปพรุ่ง แต่ก็อย่างว่า..บุญเก่ากรรมเก่าสร้างเอาไว้ยังไม่หมดไม่สิ้นสักที ก็ยังไปไหนไม่ได้

อาตมาเองตอนนี้รอเวลาเกษียณ เดือนตุลาคมนี้ก็เขียนใบลาเกษียณอายุแล้ว เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เท่ากับเป็นข้าราชการ ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ใช้ระเบียบเดียวกัน เพียงแต่ว่าเขียนใบลาเสร็จแล้วต้องไม่โผล่หน้าไปเลย เพราะมั่นใจว่าเขาไม่อนุมัติให้ลา ไม่อนุมัติก็ช่าง อาตมาถือว่าลาแล้ว ไม่ไปสอนก็แล้วกัน"

เถรี 12-09-2018 19:32

ถาม : ระยะหลังนั่งแล้วเห็นเป็นภาพนิมิตไฟต่อหน้า ผมควรเพิกเฉยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำกรรมฐานอย่างอื่นอยู่ก็เฉยไว้ ถ้าไม่ได้ทำอย่างอื่นก็จับกสิณไฟไปเลย

เถรี 12-09-2018 19:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) ท่านรักและเคารพหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เป็นชีวิตจิตใจ ทุกงานต้องให้หลวงพ่อโหน่งเป็นคนให้ฤกษ์ ถึงเวลาท่านก็เสด็จไปนั่งรอ บรรดาสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ หงุดหงิดมาก เพราะว่าไปเชื่อหลวงตาแก่ ๆ บ้านนอก แต่บังเอิญว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชท่านรู้จริง ว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นอย่างไร ท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ

ถึงเวลาท่านก็รอ ถ้าหลวงพ่อโหน่งบอกว่าทำงานไม่ได้ ท่านก็ “นิมนต์ทุกรูปกลับครับ เดี๋ยวผมจะนัดใหม่” ท่านไม่ได้เสียดายเลย งานใหญ่แค่ไหนก็ช่าง ถ้าหลวงพ่อโหน่งบอกว่าทำไม่ได้นี่ ท่านหยิบย่ามลุกกลับเลย

พระที่ท่านถึงกัน ท่านจะรู้ว่าใครดีใครไม่ดีอย่างไร โดยเฉพาะหลวงพ่อโหน่ง ท่านติดต่อพระพุทธเจ้าได้โดยตรง หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตุพนฯ ท่านจึงมอบกายถวายชีวิตเลย เรื่องพวกนี้จะไปว่าท่านงมงายไม่ได้ เพราะว่าท่านพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก จนกระทั่งเชื่อเสียยิ่งกว่าเชื่อ แต่ว่าพระราชาคณะรูปอื่น ๆ ไม่ได้มีความรู้แบบนั้น ไม่ได้พิสูจน์แบบนั้นเลยไม่เชื่อ"

เถรี 12-09-2018 20:15

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เรื่องที่โยมบอกว่าจะจ้างคนมาทำความสะอาดวัดท่าขนุน เป็นเรื่องเหลวไหล โดยเฉพาะวัดท่าขนุนของเรามีพระตั้งมากตั้งมาย ไปจ้างเขามาทำความสะอาดก็ทุเรศชัด ๆ เลย

เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากบางคนอยากจะอวดว่า ตัวเองอยู่วัดแล้วทำงานมาก แล้วก็ไปบ่นว่าเหนื่อยอย่างนั้น ไม่ไหวอย่างนี้ เขาไม่ได้อยากจะขอความเห็นใจหรอก เขาแค่อยากจะอวดความสำคัญของตัวเอง ก็เลยไปพูดจนกระทั่งโยมเข้าใจผิดว่า งานวัดไม่มีใครช่วยทำ อาตมาเองเคยอยู่คนเดียวทั้งวัดตั้ง ๒ ปี ทำความสะอาดวัดเช้าซีกหนึ่ง บ่ายซีกหนึ่ง ไม่เห็นจะตายเลย คราวนี้พระอยู่ตั้ง ๔๐ กว่ารูป แม่ชีอีกเกือบ ๒๐ คน

บางคนต่อให้อยู่ในวัด พูดจาก็ไม่ได้แปลว่าเชื่อได้ทุกเรื่อง ต้องฟังหูไว้หู อยากจะให้คนอื่นชมว่าตัวเองมีความสามารถอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ทำงานหนักอย่างโน้น ก็สักแต่พูดไปเรื่อยโดยไม่ได้ดูว่าวัดจะเสียหายหรือเปล่า คนประเภทนี้โบราณเขาว่า "สักแต่ว่าผีเจาะปากมา" ก็พูดไปเรื่อย

การแก้ปัญหาทุกเรื่องไม่ได้แปลว่ามีเงินแล้วจะจบ เพราะว่าเงินแค่ช่วยอำนวยความสะดวกบางอย่างให้เท่านั้น ถ้าหากเราคิดว่าไม่มีใครทำงาน ถึงเวลาก็จ้าง ๆ ๆ อย่างเดียว จะไปจ้างกันไหวสักเท่าไร ? พระเณรขนาดนั้น ถ้าไม่มีปัญญาทำความสะอาดวัด ก็ปล่อยรกให้เข็ด"

เถรี 12-09-2018 20:19

"มีบางวัดของเพื่อนกัน อย่างวัดห้วยมงคล ท่านอาจารย์ไพโรจน์ คือ พระครูปภัสสรวรพินิจ พระเณรเยอะมาก แต่ทุกอย่างต้องจ้าง ฉะนั้น..รายจ่ายจะสูงมาก ถ้าไม่ได้เป็นวัดในแหล่งท่องเที่ยว แล้วมีรายรับชนิดสม่ำเสมอนี่ตายแน่นอน"

ถาม : ทำไมไม่มีใครบ่นให้โยมฟังบ้าง ?
ตอบ : ที่เขาไม่บ่นให้โยมสมศรีฟัง เพราะเขาคิดว่าโยมช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่คนที่เขาบ่นให้ฟัง เพราะเขาหวังว่าเขาจะให้ค่าแรงบ้าง

ส่วนใหญ่คนประเภทหนึ่ง พอไปอยู่วัดนอกจากว่าไม่ได้ให้วัดอาศัยแล้ว ไปอาศัยวัดอย่างเดียวยังไม่พอ ยังมีคำพูด มีความคิด มีการกระทำที่ทำให้วัดเสียหายอยู่เสมอ

ล่าสุดนี่ก็มีแม่ชีหนีไปกลางพรรษา แม่ชีมีปฏิปทาน่าเลื่อมใสมาก ก็คือเดินขึ้นไปกราบรอยพระพุทธบาทเกือบทุกวัน แต่เดินมาแล้วก็บอกว่าเจ็บแข้งเจ็บขา ทำความสะอาดวัดไม่ได้ พอโดนเพื่อนฝูงบ่นมาก ๆ ก็เลยหนีไปอยู่ที่อื่นต่อ พอสืบประวัติย้อนหลังไปก็คือ เขาทำอย่างนี้ในทุกที่ ถ้าที่ไหนมีงานก็จะหนีไปวัดอื่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหางานไม่ได้นั่นแหละ วัดไหนว่างเขาถึงจะอยู่

เถรี 12-09-2018 21:28

ถาม : เวลาที่เราจับภาพพระแล้วเราเอาไม่อยู่ จริง ๆ แล้วการที่เราเอาภาพโครงกระดูกเข้ามา สามารถแก้ปัญหาเรื่องฟุ้งซ่านได้ การที่เราทำกองกรรมฐานกองอื่นกับภาพพระ อย่างไรครับ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังใจของคุณยังหาความมั่นคงไม่ได้ ถ้าหากว่ามีความมั่นคงทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า ความฟุ้งซ่านจะเข้าไม่ได้ คราวนี้ของคุณพอถึงเวลาตรงหน้าไม่มั่นคง เราจะดึงอย่างอื่นมาเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ซึ่งมีทั้งภาพพระแล้วก็มีทั้งอสุภกรรมฐาน เมื่อสติของเราระมัดระวังมากขึ้นก็รู้สึกว่าดี แต่ความจริงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะว่ากลายเป็นว่าห่วงหน้าพะวงหลัง เหยียบเรือสองแคม

เถรี 12-09-2018 21:30

ถาม : การที่เรายังดูคนที่ความดีของเขา ไม่ได้ดูที่ฐานะ ถือว่ามีสักกายทิฐิไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่ายังสักกายทิฐิเต็ม ๆ ทั้งเขาและเรานั่นแหละ ดูคนต้องเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้เลือกว่าคนนี้ดีเราคบ คนนี้ไม่ดีเราไม่คบ คนนี้สวยเราคบ คนนี้ไม่สวยเราไม่คบ ถ้าหากว่ายังไม่สามารถเห็นเสมอกันว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็แปลว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้

เถรี 12-09-2018 21:36

ถาม : ทำงานเสร็จ เพลียมาก แต่มีสมาธิ ได้ทั้งบรรเทาความเหนื่อยของร่างกาย ได้ภาวนาไปด้วย ?
ตอบ : ซักซ้อมการเข้าฌานให้ได้ทุกวินาทีที่ต้องการ เข้าไปแล้วถอนกำลังใจออกมา ก็หายเพลียแล้ว

เถรี 12-09-2018 21:39

ถาม : ทำแอพพลิเคชั่นผ่านมือถือถวายครับ จะหาคนมาดีไซน์ แล้วจะมาปรึกษาอีกทีว่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมบ้าง ?
ตอบ : อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้ทำก็คือ ช่วยตัดต่องานวางผางประทีป เอาเฉพาะช่วงที่มืดแล้ว เห็นภาพของแต่ละงาน แล้วลงรายละเอียดว่าเป็นงานอะไร อาจจะสั้น ๆ งานละ ๒๐ - ๓๐ วินาทีก็ได้ เพียงแต่ว่าให้ต่อเนื่องกัน ให้ได้สัก ๕ - ๖ นาที เพราะว่าเป็นงานที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมเขาบันทึกเอาไว้ว่าเป็นมรดกแผ่นดินไปแล้ว

เป็นวีดีโอ เอาเฉพาะตอนวางเสร็จแล้ว เพราะว่าเขาไม่ต้องการดูว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร เขาต้องการดูแค่ความสวย จะเอาไปอวดคนอื่น

เถรี 12-09-2018 21:44

ถาม : สวดคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ หรือหลาย ๆ วันทบกัน ?
ตอบ : ได้

ถาม : ผิดสัจจะไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าทีละวันได้ก็ดี เขาต้องการความจริงจังสม่ำเสมอ แต่ถ้าไม่ได้ก็หลาย ๆ วันทบรวมกัน ซึ่งเท่ากับว่าเราไม่ได้ทำงานทุกวัน

เถรี 21-09-2018 17:27

ถาม : กรรมที่ทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง มาจากอะไรครับ ?
ตอบ : กรรมทุกประเภทที่ทำให้ป่วยเกิดจากปาณาติบาต พวกนั้นเคยเอาน้ำไปกรอกสัตว์ให้ตาย ทำให้เขาโดนน้ำท่วมตาย

ถาม : วิธีแก้ ถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลจะช่วยในชาตินี้ไหมครับ ?
ตอบ : มาถึงชาตินี้เป็นไปไม่ได้แล้ว มีอยู่อย่างเดียวคือปล่อยชีวิตสัตว์บ่อย ๆ ปล่อยปลาที่เขาจะฆ่าสักเดือนละตัวสองตัว อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เขาอโหสิกรรมให้เมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ

อาตมาเองก็เป็นอยู่ ๒๐ - ๓๐ ปีกว่าจะหาย ตอนหายก็หายเอาง่าย ๆ คือไปหาหมอจีนคนหนึ่ง ไม่ได้ไปเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ ไปเพื่อรักษาอาการกระดูกคอเคลื่อน เขานวดให้แล้วจ่ายยามา ปรากฏว่ายารักษาโรคภูมิแพ้ไปด้วย บทจะหายก็หายเอาดื้อ ๆ ไม่อย่างนั้นพออากาศเปลี่ยนนิดเดียวเท่านั้นก็จมูกตัน หายใจไม่ออก

เถรี 21-09-2018 21:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กยังไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วต้องเหนื่อย เด็กก็เลยไม่เหนื่อย ส่วนผู้ใหญ่รู้ ถึงเวลาก็เลยเหนื่อย เพราะฉะนั้น...ถ้าทำตัวเหมือนเด็ก กลับไปสู่ความเป็นธรรมชาติ สนใจแต่ภายในของตัวเองก็จะเหนื่อยช้า"

เถรี 21-09-2018 21:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ ขนมไหว้พระจันทร์มีอยู่แค่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือขนมโก๋สีขาว ๆ ไส้ในเป็นน้ำตาลผสมงา อีกอย่างหนึ่งเป็นขนมโก๋อ่อน ส่วนใหญ่ทำด้วยถั่วเหลือง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นพระจันทร์มากกว่า เพราะว่าสีเหลือง ๆ

ในสมัยนั้นการไหว้พระจันทร์มีคติอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือฤดูเก็บเกี่ยว มีความอุดมสมบูรณ์ ก็ไหว้พระจันทร์เป็นการขอบคุณ ที่เขาเชื่อกันว่าเจ้าแม่ฉางเอ๋อ ช่วยเทน้ำอมฤตลงมา ทำให้พืชผลบนโลกงอกงาม

อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาเชื่อกันว่าจะทำให้อายุขัยยืนยาว เพราะว่าเจ้าแม่ฉางเอ๋อกินน้ำอมฤตเข้าไป แล้วทำให้กลายเป็นเทพธิดา

จำได้ว่าสมัยนั้น บรรยากาศการไหว้พระจันทร์นี่ขลังมาก ศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่ยานอพอลโล ๑๑ เหยียบดวงจันทร์ คนก็เริ่มเสื่อมในเรื่องการไหว้พระจันทร์ หลัง พ.ศ.๒๕๑๒ การไหว้พระจันทร์เสื่อมความนิยมลง เพราะว่าอเมริกันเอารอยตีนไปแปะอยู่บนดวงจันทร์"

เถรี 21-09-2018 21:46

"แต่ขนมไหว้พระจันทร์กลับพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เริ่มพัฒนาครั้งแรกก็คือ จากไส้แค่น้ำตาลทรายกับงาคั่ว กลายเป็นไส้ทุเรียน แล้วก็มาเป็นไส้โหงวยิ้งก็คือเมล็ดธัญพืช ๕ อย่าง อย่างเช่นว่าข้าว ข้าวฟ่าง เม็ดบัว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เหล่านี้เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีการใส่ไส้ไข่เค็ม ปัจจุบันนี้ก็เลยเว่อร์วังอลังการอย่างที่เห็นนี่แหละ สารพัดไส้ มีกระทั่งชาเขียว

สรุปว่าการไหว้พระจันทร์เสื่อมความนิยมลง แต่ขนมไหว้พระจันทร์กลับมีแต่เฟื่องฟูขึ้น เพราะว่าเป็นการเล่นกับเทศกาลแล้วขายของได้ ในเมื่อเชิงพาณิชย์ก็คือการค้านำหน้า ต่อให้คุณไม่ไหว้พระจันทร์เลย ขนมไหว้พระจันทร์ก็จะมาถึงบ้านเอง"

เถรี 21-09-2018 21:51

"เทศกาลไหว้พระจันทร์ปัจจุบันนี้ เป็นแค่พิธีกรรมและทำแค่บางแห่งเท่านั้น สมัยอาตมาเด็ก ๆ บ้านไหนมีเชื้อสายจีนนี่ไหว้กันทุกบ้าน บรรยากาศก็ดีมาก ๆ เพราะว่าช่วงเดือน ๘ ของจีน หรือเดือน ๑๐ ของไทย ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวแล้ว ช่วงนี้ของเราเดือน ๑๐ เดือน ๑๑ บางทีล่อไปเดือนอ้าย เดือนยี่ก็ยังมีฝนอยู่เลย อากาศเพิ่งจะมาเพี้ยน ๆ แค่ช่วงไม่กี่ปีนี้เอง

ถึงเวลาไหว้พระจันทร์เสร็จ ผู้ใหญ่ก็ให้มานั่งรอ เผื่อว่าเจ้าแม่ฉางเอ๋อลงมาเห็น จะได้ประทานพรให้ นั่งไปนั่งมา จากนั่งรอก็กลายเป็นนอนรอ แล้วก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงแล้ว เพราะว่าพ่อแม่อุ้มกลับเข้าไปนอน"

เถรี 21-09-2018 21:54

"เทศกาลไหว้พระจันทร์สมัยก่อน เกิดจากการที่คนจีนนัดแนะกัน เพื่อที่จะก่อการปฏิวัติยึดแผ่นดินคืนจากมองโกล ไม่รู้ว่าจะอ้างอย่างไร ก็ต้องใช้วิธีอ้างว่าเป็นงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่ความจริงขนมไหว้พระจันทร์ที่ส่งต่อ ๆ กัน มีหนังสือนัดแนะว่าให้ลุกฮือกันเมื่อไรซ่อนอยู่ข้างใน

ช่วงนั้นมองโกลกดขี่คนจีนมาก ประมาณ ๕ ครอบครัว หรือ ๑๐ ครอบครัว ให้มีมีดทำครัวได้แค่เล่มเดียว เขากลัวว่าจะมีอาวุธต่อสู้ แม้กระทั่งเครื่องมือในการทำไร่ไถนาก็ต้องขึ้นทะเบียน คนเราถ้าเหลืออดเหลือทนขึ้นมาก็ต้องมีการแสดงออกบ้าง เพราะฉะนั้น...ถ้าบ้านเรามีการเลือกตั้งเมื่อไร ก็น่าจะมีการแสดงออก ถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน..!

ขนมไหว้พระจันทร์ที่เรียกว่า ขนมโก๋ ความจริงคำนี้เป็นภาษาฮกเกี้ยน อะไรก็ตามที่ออกลักษณะเหนียว ๆ นุ่ม ๆ ยืด ๆ แหยะ ๆ เรียกว่าโก๋หมด ถ้าหากว่าเป็นแต้จิ๋วก็เรียกว่า กอ อย่างชวนป๋วยปี่แป่กอ เหนียว ๆ หนืด ๆ ยืด ๆ แบบนั้นแหละ แม้กระทั่งกาว ก็เรียกแบบเดียวกันหมด

ฉะนั้น...ขนมโก๋สมัยก่อนก็คือขนมโก๋อ่อนที่พวกเรารู้จัก แล้วก็พัฒนาขึ้นมากลายเป็นแบบแห้งและแข็งอีกทีหนึ่ง"

เถรี 21-09-2018 22:03

"โดยเฉพาะปาท่องโก๋ พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด คนจีนสมัยก่อนเสื่อผืนหมอนใบมาก็ทำขนมโก๋ขาย ทำปาท่องโก๋ขาย แต่คราวนี้ปาท่องโก๋ เขาเรียก อิ่วจาก้วย (ก็คือฉินไคว่โดนทอดน้ำมัน ฉินไคว่เป็นกังฉินที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จีน)

แต่คราวนี้เขาขาย ๒ อย่างรวมกัน คนขายก็เดินตะโกนไป “ปากถ่องโก๊...อิ่วจาก้วยอ้า” คนก็จำอยู่คำเดียวก็คือ "ปากถ่องโก๊" ก็เลยกลายเป็นปาท่องโก๋มาจนทุกวันนี้

สมัยอาตมาเด็ก ๆ พวกหาบเร่ชาวจีนมีเยอะมาก ไม่ว่าจะประเภทบัดกรี ก่อเตา ปะโอ่ง หรือไม่ก็ประเภทเทปูน ซ่อมบ้าน กระทั่งขายขนม ขายไอศกรีม ขายซาลาเปา จะใส่หาบแล้วก็เดินตะโกนไป คราวนี้พวกเราจำคำเดียว เขาขายของ ๒ อย่าง แต่ว่าเราจำมาคำเดียว ก็เลยเหลือแค่ปาท่องโก๋"

เถรี 23-09-2018 07:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทองผาภูมิตั้งแต่ต้นปีมาจนป่านนี้ ไม่มีเช้าวันไหนที่อุณหภูมิถึง ๒๕ องศาเซลเซียส โดยเฉพาะระยะ ๒ เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่ได้เห็นแดดเลย มีแต่ฝน เวลาไปอยู่ที่ไหนแล้วเท้าแห้ง ๆ นี่รู้สึกดีมากเลย อยู่วัดอาตมาต้องใส่เครื่องกันหนาวตลอด เพราะว่าอากาศไม่เคยถึง ๒๕ องศาเซลเซียสแม้แต่เช้าเดียว ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ๒๒ - ๒๓ องศาเซลเซียส ถ้าหากว่าฝนตกก็ขึ้นมาประมาณ ๒๔ องศาเซลเซียส

เวลาที่ฝนชอบตกมากที่สุดก็คือเวลาที่พระออกบิณฑบาต ทดสอบกำลังใจว่าจะไปบิณฑบาตจริงหรือเปล่า ? ซึ่งถ้าหากว่าฝนกระหน่ำตั้งแต่เริ่มออกจากวัด พวกอาตมาก็จะเฮกันว่า ค่อยคุ้มค่ากับที่เปียกหน่อย ถ้าหากว่าวันไหนเดินจะถึงวัดแล้วฝนค่อยตก แหม...เจ็บใจ เหลืออีกไม่กี่เมตรจะถึงวัด ดันมาเปียกเสียได้"

เถรี 23-09-2018 08:00

กล่าวถึงอาหารที่โยมเอามาถวาย "อาหารพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารของฝรั่งซึ่งอยู่เมืองหนาว อาหารจะมีพลังงานที่เรียกว่าแคลอรี่สูงมาก คราวนี้บ้านเรานิยมกินตามฝรั่ง เราจะเห็นว่ามีไอศกรีม มีพิซซ่า มีแฮมเบอร์เกอร์ มีไก่ทอด แล้วจะทำอย่างไร ? บ้านเราเมืองร้อน ไม่ได้เอาพลังงานไปสู้กับความหนาวก็เก็บหมด รับประกันว่าอ้วนทุกคน เพราะฉะนั้น...พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนว่า เราต้องมี โภชเน มตฺตญฺญุตา รู้จักประมาณในการกิน ถ้าเอาอย่างพระสายวัดป่า "รู้สึกอิ่มก็ให้หยุด" ไม่ใช่กินจนอิ่มจริง ๆ

บรรดานักโภชนาการเขาทำวิจัยแล้วว่า ถ้าปล่อยให้มีอาการหิวอยู่บ้าง สุขภาพจะดีกว่า เพราะว่าร่างกายจะได้ปรับตัวเอง ถ้าเป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็คือว่า เมื่อร่างกายไม่หนักด้วยธาตุอาหาร การภาวนาก็จะดีขึ้น เพราะว่าเลือดลมปลอดโปร่ง

เขาทำวิจัยคนญี่ปุ่น พวกเราลองไปบ้านเขาดูสิ อาหารมาแต่ละอย่างนี่กินให้ตายก็ไม่อิ่ม มีนิดเดียว เขาไว้ให้มอง มองจนกระทั่งได้อารมณ์แล้วค่อยกิน ถึงเวลาต้องละเลียดช้า ๆ ฉะนั้น..คนไทยไปญี่ปุ่นนี่ไส้แขวนเลย สั่งอาหารทีหนึ่ง คนญี่ปุ่นบางทีไม่ทำให้ เพราะว่าสั่งเยอะ เราจะเห็นว่าอาหารของเขามีแค่ไม่กี่คำ

ตอนนี้สถิติคนญี่ปุ่นอายุยืนมากที่สุดในโลก เพราะว่ากินน้อย เขาถึงได้บอกว่า กินน้อยอยู่นาน กินมากตายเร็ว ร่างกายไม่มีโอกาสพักผ่อนเพื่อปรับธาตุตัวเอง ถึงเวลากินมากเกินต้องการ ร่างกายก็ต้องเสียพลังงานในการขับออกมา ส่วนที่ต้องทำงานหนักที่สุดก็คือตับกับไต คราวนี้พอทำงานมากเกินไปไม่ไหว ก็ตับพังบ้าง ไตพังบ้าง จึงมีรายการฟอกไตกันเป็นว่าเล่น"

เถรี 23-09-2018 08:03

พระอาจารย์แจกทอฟฟี่ให้กับเด็ก ๆ "อาตมาไปสิงคโปร์แวะไปวัดไทย ๓ แห่ง ปรากฏว่าทุกวัดแจกทอฟฟี่ให้กับญาติโยมที่มา ก็งง ๆ ว่าเอาแบบธรรมเนียมมาจากไหน ? เขาบอกว่ามี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคืออะไรที่รับจากพระ โยมเขาถือว่าเป็นมงคล โดยเฉพาะคนจีน อีกประการหนึ่งก็คือสิงคโปร์ส่วนใหญ่ประเภททำการค้าขาย ถ้าหากว่ามาวัดแล้วได้อะไรกลับไป ก็รู้สึกว่าได้กำไรไม่ขาดทุน ไม่มีอะไรก็แจกทอฟฟี่ให้ คนละ ๒ เม็ดก็ยังดี"

เถรี 23-09-2018 08:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมาคมวอลเลย์บอลไทยเป็นสมาคมที่พัฒนาได้ดีมาก ๆ จากก่อนหน้านี้ของเราในอาเซียนก็สู้เขายาก เดี๋ยวนี้สู้ได้ทั่วโลกเลย บรรดาทีมระดับท็อป ๕ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบราซิล ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เจอทีมไทยก็หนาว ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้นแหละ

เรื่องของกีฬาสมัยนี้ วิทยาศาสตร์การกีฬาใกล้เคียงกันหมดทั้งโลกแล้ว ก็เหลืออยู่ ๒ อย่างที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ อย่างแรกเลยคือจิตวิทยา โดยเฉพาะถ้าได้รับการฝึกสมาธิด้วยจะยิ่งดีมาก อย่างที่สองคือเงิน ถ้าเงินถึงรับรองได้ว่าลูกทีมมอบกายถวายชีวิตให้ เพราะว่าครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องไปห่วงพะวงว่าเขาจะอยู่อย่างไร เขาจะกินอย่างไร"

เถรี 23-09-2018 08:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่ผ่านมาอาตมาจัดงานทำบุญวันแม่ ก็ปรากฏว่ามีหลายงานซ้อนทับกันอยู่ งานแรกเลยคือการเจริญพระพุทธมนต์เทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ แล้วก็มีกิจกรรมทำดีด้วยหัวใจ

งานเจริญพระพุทธมนต์เทิดพระเกียรติมีเทศน์ด้วย มีถวายสังฆทานด้วย แล้วก็ไปทำกิจกรรมเทิดพระเกียรติทำดีด้วยหัวใจกัน เหมือนกับเทวดาโมทนาหรือตั้งใจแกล้งก็ไม่รู้ ปกติฝนฟ้าตกไม่หยุด ปรากฏว่าวันนั้นหยุดเพราะรู้ว่าพวกเราจะกวาดพื้น กิจกรรมทำดีด้วยหัวใจของเราตั้งใจว่า จะช่วยกันทำความสะอาดวัด ฝนก็เลยหยุดให้กวาดพื้น แล้วก็มีบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเทิดพระเกียรติ

พอวันที่ ๑๒ ก็มีใส่บาตรถวายเป็นพระราชกุศลที่หน้าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ อาตมาเองอุตส่าห์รั้งพระวัดท่าขนุนไว้ท้ายสุด ขนาดนั้นก็ยังขนกลับวัดไปหลายคันรถกระบะ กลับมาถึงวัดพระเถรานุเถระเพื่อนสหธรรมิกมากันเยอะแล้ว ปีนี้พร้อมใจกันมา มีที่ติดภารกิจมาไม่ได้อยู่ ๓ รายเท่านั้น อีกรายหนึ่งก็คือหลวงปู่วัดเขื่อนท่าทุ่งนาท่านไม่ค่อยสบาย

ที่นิมนต์ไปเป็นท่านใหม่จริง ๆ ในปีนี้ คือครูบาดอน วัดพระพุทธบาทผาหนาม วัดพระพุทธบาทผาหนามที่โด่งดังเพราะว่าเป็นวัดที่ดูแลสังขารของหลวงปู่ครูบาอภิชัยขาวปีอยู่ ครูบาดอนท่านเป็นเจ้าอาวาสด้วย เป็นเจ้าคณะตำบลด้วย ไปทีไรท่านก็จะให้พักที่วัดของท่าน"

เถรี 23-09-2018 08:41

พระอาจารย์กล่าวว่า “กฐินปีนี้ไม่ตรงกับเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม แต่เนื่องจากว่าทางวัดท่าขนุนจัดทอดกฐินในวันตักบาตรเทโว ก็คือช่วงเช้าตักบาตรเทโว ช่วงบ่ายทอดกฐิน ซึ่งชาวบ้านใกล้วัดจะมากันเป็นปกติ ก็แปลว่าต่อให้ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์คนก็ยังมากอยู่ดี

วันตักบาตรเทโวคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็แปลว่าหลังวันออกพรรษา ๑ วัน ก่อนหน้านี้อาตมาใช้วันที่ ๒๓ ตุลาคมเป็นวันทอดกฐิน เพราะว่าเป็นวันหยุดราชการแน่ ๆ แต่บางทีก็ติดภารกิจอื่นบ้าง แล้ววันหยุดก็คร่อมกันอยู่ อย่างเช่นว่าเป็นเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร แล้ว ๒๓ เป็นวันพุธอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำให้คนหยุดยาก ในเมื่อการหยุดยากพอ ๆ กับวันธรรมดา ก็เลยใช้วันตักบาตรเทโวเป็นวันทอดกฐินไปเลย ในเมื่อระดับความยากเท่ากัน ก็ไม่น่าจะปฏิบัติยากนัก ปีนี้ก่อนทอดกฐินอาตมาก็จะเข้ากรรมฐานให้ ๓ วันเหมือนเดิม”

เถรี 24-09-2018 19:44

ถาม : พระอาจารย์รู้จักท่าน...ไหมครับ ?
ตอบ : เคยช่วยเหลือท่านหลายครั้ง ตอนหลังท่านกลายเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐมก็เลยไม่ได้ไปหาท่านอีก ท่านไปไกลไปหน่อย..เตือนแล้วไม่ฟัง ครั้งแรก ๆ พอเตือนแล้วฟังเหมือนอย่างกับว่าสิ่งที่เคยได้มาก็หายหมด

เรื่องพวกนี้เราต้องระวัง เรื่องฤทธิ์ อภิญญา ความเป็นทิพย์ บางทีไม่ใช่สิ่งที่เราฝึกเอง แต่เป็นสิ่งที่เขาให้มาเพื่อที่จะหลอกให้เราหลงทาง คราวนี้พอรู้เท่าทันเขาก็ดึงความสามารถนี้กลับ..เลยกลายเป็นว่าท่านไม่มีความสามารถนี้อีก ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองขาดสิ่งที่เคยมีไป ก็เลยย้อนกลับไปใหม่ พอย้อนกลับไปใหม่ก็โดนพาไปไกลเลย ถึงขนาดเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐม มีการบวชเอหิภิกขุด้วย ในเมื่อเตือนไม่ฟังก็ต้องเลิกเตือน ...(หัวเราะ)...


ถาม : เคยไปที่วัดท่าน รู้สึกแปลก ๆ ?
ตอบ : น่าเสียดาย ส่วนใหญ่แล้วพระเราไหลไปแบบนี้เยอะมาก พอถึงเวลาแล้วเรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาเกิดขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกุมความสามารถที่เหนือคนทั่วไปอยู่ แต่พอรู้เท่าทัน เขาเอาความสามารถส่วนนี้คืน พอหายไปก็รับไม่ได้ อภิญญาต้องฝึกเอง ไม่ใช่ไปรอคนอื่นเขาให้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก..เขาให้เราเขาต้องหวังประโยชน์ แล้วเขาหวังในด้านไหน ? เขาหวังเล่นจะไม่ให้คนได้ดีกัน

ถาม : ต้องระวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ระวังเฉย ๆ ต้องระวังสุดขีด คุณลองนึกดูว่าอยู่ ๆ เรากลายเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐม ใครมาก็จับบวชเอหิภิกขุให้แบบนี้ ฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่

ตอนหลังพอร่วมงานกันแล้ว ท่านมาไต่ถามเรื่องของการปฏิบัติก็เลยบอกท่านไป พอเห็นว่าท่านไปไกลก็ต้องเตือน เพราะว่าท่านปวารณาไว้เอง ถ้าท่านไม่ปวารณาไว้ ท่านอายุพรรษามากกว่า ผมก็ทำอะไรไม่ได้ สองครั้งแรกท่านเชื่อแล้วท่านปรับเปลี่ยนตัวเองได้ พอครั้งที่สามท่านคงตัดสินใจแล้วว่าเชื่อผมทีไร ความสามารถหายหมดทุกที ท่านก็เลยกลับไปใหม่ จึงไม่อยากจะเตือนอีก เพราะว่าไม่ควรเกินสามครั้ง

เถรี 24-09-2018 19:57

ถาม : เรื่องกฎหมายของพระ แลจะอ่อนเบาลงไปแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีทาง แค่รอจังหวะเหมาะ ๆ เท่านั้น เพราะว่าตอนนี้สิ่งที่เขาเร่งอยู่ก็คือ ให้พระทุกวัดทำบัญชีรับบริจาคออนไลน์ อย่าไปคิดว่าเงียบไปเฉย ๆ สิ่งที่เขาทำยังทำอยู่และมีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี 24-09-2018 20:27

ถาม : …(ไม่ได้ยิน)....
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ อาการตัวโยกเป็นอาการ ๑ ใน ๕ ของปีติ เรียกว่า โอกกันติกาปีติ นอกจากจะต้องไม่ไปห้ามแล้วยังต้องปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่ ห้ามอายเด็ดขาด จะหกคะเมนตีลังกากระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ปล่อยมัน จะตึงตังโครมครามเหมือนกับผีเจ้าเข้าสิงอย่างไรก็ต้องปล่อย พอปล่อยให้เต็มที่ข้ามไปได้ถึงจะทรงฌานได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีวันจะได้ถึงฌานเลย เพราะฉะนั้นต้องหน้าด้าน อายไม่ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านก็บอกญาติพี่น้องหน่อยแล้วกันว่านั่งสมาธิช่วงนี้จะมีอาการอย่างนี้ ถ้าอยู่ที่อื่นก็ไม่ต้องไปแคร์สังคมหรอก...ดิ้นไปเถอะ

ปีติไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ผ่านตัวนี้ไปแล้วยังมีอีก..(หัวเราะ)... เพราะฉะนั้นห้ามอายเด็ดขาด นักปฏิบัติธรรมเพื่อหวังพระนิพพานแม้แต่ตายเขายังไม่กลัวเลย อย่าว่าแต่ของอายชาวบ้านเขาหน่อย ถ้ามัวแต่กลัว มัวแต่อายอยู่ ก็ก้าวข้ามไม่ได้สักที ต้องปล่อยให้ตึงตังให้เต็มที่ไปเลย

เถรี 24-09-2018 20:40

ถาม : มาขอศีลเจ้าค่ะ
ตอบ : ขอศีล ? จะขอไปทำอะไร ? ศีลน่ะเขารู้ว่ามีอะไรก็รักษา ที่ไปขอศีลก็เพื่อให้เขาบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง มาขอทั้ง ๆ ที่รู้ก็บ้าชัด ๆ..!

คำว่า ขอศีล ก็คือเราไปขอว่าศีลมีอะไรบ้างเนื่องจากเราไม่รู้ เมื่อเขาบอกมาเราก็สมาทานคือศึกษาและปฏิบัติตามนั้น คราวนี้เมื่อรู้อยู่แล้วก็ทำเลยสิ ไปเสียเวลาขอทำไม คราวหน้าอย่าให้ใครเขาหลอกต้มมาอีก แบบนี้ภาษิตจีนเขาเรียกว่า ถอดกางเกงผายลม...รู้จักไหม ? จะตดทั้งทียังอุตส่าห์ถอดกางเกงอีก

เถรี 24-09-2018 21:03

ถาม : มีคนเขาบอกว่าการจะนั่งสมาธิให้ได้ดี ต้องมีครูบาอาจารย์ และต้องไปเข้าคอร์ส ?
ตอบ : โดยเฉพาะคอร์สที่แพง ๆ..! อาตมาเองเปิดตำราทำเองมาตั้งหลายปี จนกระทั่งพื้นฐานแน่นแล้วค่อยไปกราบครูบาอาจารย์ สบาย..ครูไม่ต้องสอนมาก ดังนั้น..อันดับแรกของเราก็นู่นเลย..หน้าหิ้งพระ บูชาพระตั้งใจขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ติดขัดตรงไหนเปิดตำราดูหรือไม่ก็หาครูบาอาจารย์ที่ใกล้ที่สุดสอบถามท่านเอา ที่ว่ามาน่ะใช่ แต่แฝงความหมายว่าถ้าหากไปสมัครเข้าคอร์สของเขาจะดี อย่างน้อยรายได้จะได้เป็นของเขา

ถาม : เขาไม่ได้เป็นคนเปิดคอร์ส แต่เขาก็โฆษณาของเขาด้วยก็ได้
ตอบ : เคยได้ยินคำว่าสะพานบุญหรือผู้นำบุญไหม ? ก็คือคนที่จะมาชักจูงและหว่านล้อมให้เราไปร่วมขายตรงกับเขาน่ะ ของดีจริงไม่ต้องโฆษณาหรอก ถ้ายังต้องอาศัยแรงโฆษณาเรียกคน แปลว่ายังไม่ดีจริง

เถรี 24-09-2018 21:05

ถาม : …(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ถ้ามาได้แปลว่าเขาอยู่ในที่ไม่ลำบาก พวกอยู่ในที่ลำบากมาไม่ได้

ถาม : …(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือว่าทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ใจลักษณะที่ไม่ยินดียินร้ายเอาไว้ได้จะได้พบเห็นกันง่าย ๆ บ่อย ๆ และอีกอย่างก็คือทำบุญให้เขาบ้าง ถ้าอยู่ในที่แบบนั้นแปลว่าทำบุญอะไรไป เขาก็รับได้

เถรี 24-09-2018 21:23

ถาม : สถานการณ์ที่สังขละบุรีเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ก็น้ำล้นทุกที่ ใครอยากไปเที่ยวสะพานมอญตอนนี้น่าเที่ยวมากเพราะไม่มีอะไรให้หวาดเสียว น้ำกับสะพานเกือบจะเสมอกัน...!

เถรี 24-09-2018 21:33

ถาม : เวลาที่เรายกจิตขึ้นพระนิพพานแล้ว สภาพของดวงจิตที่มีความสะอาด ... (ไม่ชัด) ... เราจะแยกอย่างไรครับว่ากิเลสเราอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : คุณจะไปแยกทำซากอะไร..! กลับมาเมื่อไรกิเลสก็ท่วมหัวเหมือนเดิม เราแค่จดจำสภาพว่าจิตของเราหมดกิเลสในลักษณะอย่างไร แล้วประคองรักษาสภาพนั้นไว้ตอนกลับมาก็พอ รักษาสภาพได้นานเท่าไร ความเคยชินก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดถ้ารักษาได้ยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็จะหมดไปเอง

เขาเรียกว่าทำงานเกินหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องไปวิเคราะห์หรอก เรื่องอย่างนั้นต้องให้พระพุทธเจ้าท่าน

เถรี 24-09-2018 21:34

พระอาจารย์กล่าวว่า “โลกเราน่าเบื่อหน่ายจะตาย ยิ่งคนแก่ยิ่งอยู่ยาก เพราะสภาพร่างกายชำรุดทรุดโทรม ทำอะไรก็ไม่สะดวกเหมือนสมัยหนุ่มสาว พูดง่าย ๆ ว่าจะอยู่ให้ได้เหมือนเขาก็ต้องลำบากกว่าเขาหลายเท่า ดังนั้น..บุคคลที่เห็นภัยในวัฏสงสารจริง ๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก ต่อให้ลูกหลานเรียกร้องขนาดไหนก็ไม่อยากอยู่”

เถรี 24-09-2018 21:35

ถาม : ตอนจะตาย จะมีแต่คนหายใจไม่ออก จะขาดใจตาย จับอานาปานสติ หรือพุทโธเย็น ๆ เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขาดการฝึกซ้อม ถ้าบุคคลที่ฝึกซ้อมเป็นปกติ พอสภาพฉุกเฉินเกิดขึ้นสภาพจิตจะทรงฌานเองโดยอัตโนมัติ บางทีเรารู้สึกว่าท่านไม่หายใจไปแล้วด้วยซ้ำไป

ดังนั้น..ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมของเรา ถ้าขาดการฝึกซ้อมก็ทรมานอย่างที่ว่านั่นแหละ ต้องมีการฝึกซ้อม คุณจะจับภาพพระ จะยกจิตขึ้นนิพพาน หรือจะจับลมหายใจก็แล้วแต่จะเลือกเอา

เถรี 25-09-2018 19:38

ถาม : (ถามเรื่องการออกแบบจำนวนขั้นบันไดขึ้นโบสถ์หรือวิหาร)
ตอบ : โบราณเขานิยมทำขั้นบันไดเป็นเลขคี่ อย่างเช่น ๓ - ๕ - ๗ - ๙ เป็นต้น

ถาม : แล้วถ้าเกิน ๙ ขั้น ?
ตอบ : เกิน ๙ ก็ทำเป็น ๑๑ สิ

ถาม : ขึ้นข้างหน้าหรือขึ้นข้างหลัง ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ความสะดวกในการใช้งาน ถ้าจะให้ดีก็ทำ ๔ ทิศเลย ซ้าย ขวา หน้า หลัง ...(หัวเราะ)...

ถาม : จำนวนเศียรพญานาคมีผลไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามว่ามีผลต่อกระเป๋าเงินเจ้าอาวาสไหม ? ยิ่งเศียรมากก็ยิ่งแพง..!

ถาม : คนออกแบบจะต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : นักออกแบบเขาไหว้ครูเป็นปกติอยู่แล้ว ยกเว้นว่าเราจะแหกคอกไปออกแบบเสียเอง...(หัวเราะ)...

เถรี 25-09-2018 19:47

ถาม : หลวงพ่อฝันไหมครับ ?
ตอบ : เมื่อวานเพิ่งจะฝันว่าได้เฝ้ารัชกาลที่ ๑๐ แบบเป็นการส่วนพระองค์ ก็เลยทูลเชิญท่านไปกาญจนบุรี จะเรียกว่าฝันก็ไม่ใช่ แต่ขณะเดียวกันถ้าใช้ภาษาชาวบ้านว่าฝันก็หมดเรื่อง

ถาม : ผมฝันว่ารัชกาลที่ ๑๐ ท่านขับเครื่องบินแล้วผมนั่งไป ?
ตอบ : เขาว่าฝันเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเป็นมงคลใหญ่ ตำราเขาบอกว่าถ้าฝันเห็นพระมหากษัตริย์ทรงช้างแล้วตรัสชวนเราไปด้วย เราทำอะไรก็จะสำเร็จ อันนี้ขี่เครื่องบินไม่ยิ่งกว่าช้างหรือ ? ฉะนั้น..หางานใหญ่ ๆ ทำได้แล้ว..!

เถรี 25-09-2018 20:06

ถาม : มีคนจะถวายที่แถว ๆ พัทยาให้สร้างวัด ?
ตอบ : ดูให้แน่ ๆ ก่อน อันดับแรก จะต้องไม่น้อยกว่า ๖ ไร่ อันดับที่สอง ต้องห่างจากวัดอื่นอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร ไม่อย่างนั้นตั้งวัดไม่ได้

ไปนึกถึงกฎหมายของเราแล้วล้าหลังคร่ำครึเต็มที อิสลามเขาออกกฎหมายง่าย ๆ ว่า ถ้ามีอิสลามิกชน ๗ ครอบครัวหรือ ๑๕ คนขึ้นไป สร้างสุเหร่าได้ ๑ หลัง และทางราชการต้องจ่ายงบประมาณให้ด้วย วัดของเราเองกติกาเยอะแยะไปหมด แถมยังต้องไปเรี่ยไรหาเงินสร้างเอง


ถาม : ไม่ถึงไร่ด้วยนะครับ ที่ดินเป็นห้องแถวเป็นอะไรก็ได้ ?
ตอบ : ของอิสลามเขาไม่เกี่ยวเลย กติกาของเขามีแค่นั้นแหละ

เขายึดพื้นที่ไว้ก่อน หลังจากนั้นพอมั่นคงแล้วค่อยขยับขยาย ของเราเองไม่ได้ ต้องบังคับเอาไว้ก่อน แบบเดียวกับปัจจุบันนี้ เมื่อวานมีพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราช ห้ามวัดจัดการสัมมนาหรือชุมนุมเกี่ยวกับทางด้านการเมืองทั้งหมด แล้วไม่เห็นห้ามอิสลามกับห้ามคริสต์เลย สรุปว่าเราโดนมัดมือมัดเท้าจนหมด


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:08


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว