กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1741)

เถรี 27-04-2010 09:34

ถาม : ข้าวหมากกินได้หรือเปล่า?
ตอบ : อาตมาไม่แตะเด็ดขาด เพราะกลิ่นเหมือนเหล้า ต้องบอกว่ารังเกียจกลิ่น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย จะอร่อยอะไรกันนักหนาเชียว

เถรี 27-04-2010 09:40

ถาม : เราจะปฏิบัติเจโตวิมุตติกับปัญญาวิมุตติควบคู่กันได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องควบคู่กัน ถ้าหากใช้เจโตวิมุตติอย่างเดียวก็อันตราย เพราะว่าถ้าเผลอสติขาดไป ก็จะโดนตีกลับ กิเลสจะงอกงามกว่าเดิม ถ้าใช้ปัญญาวิมุตติอย่างเดียว กำลังก็ไม่พอที่จะตัดกิเลส ต้องสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเกินไป

ต้องทำสองอย่างควบกัน ก็คือ เราใช้กำลังสมาธิให้ทรงตัวก่อน แล้วค่อยไปใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะมีจุดอ่อนทั้งคู่ ต้องประสานกันไว้

ถาม : จังหวะที่คิดจะทำ ก็คือ ทำพร้อมกัน หรือถ้าพร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ตอบ : ถ้าพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงมือได้เลย แล้วการปฏิบัติอย่างเป็นทางการ อย่างการนั่งภาวนาแล้วถอนกำลังออกมาพิจารณา ให้เอาไปไว้ตอนที่มีเวลา แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป เห็นเมื่อไรต้องพิจารณาทันที ได้ยินเมื่อไรพิจารณาทันที ได้กลิ่นเมื่อไร พิจารณาทันที

แรก ๆ กำลังไม่พอหรอก มักจะโดนพาไปเสียไกล แต่ถ้ากำลังเราพอ มีความเข้มแข็งขึ้น ก็จะง่าย

เถรี 27-04-2010 09:44

พระอาจารย์กล่าวถึงขุนแผนโคโยตี้ให้ฟังว่า "เรื่องของขุนแผนโคโยตี้ จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่ใหญ่ขึ้นมาเพราะเป็นไปในทางลามกอนาจาร แล้วคนส่วนใหญ่รับไม่ได้

ในลักษณะของสัทธรรมปฏิรูป ยิ่งระยะเวลาอายุพระศาสนานานไปเท่าไร ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้ก็มีมาก แต่ว่ามากแล้วคนยังไม่เฉลียวใจ

อย่างเช่นว่า การสร้างพระพิฆเนศใหญ่ที่สุดในโลก แต่เป็นวัดพุทธ การสร้างตรีมูรติ การตั้งศาลพระพรหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดูทั้งนั้น หรือการสร้างเจ้าแม่กวนอิม ไฉ่ซิงเอี๊ยเหล่านี้ ก็เป็นของทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน

เรื่องเหล่านี้มีแทรกเข้ามามากขึ้น ๆ แล้วกลายเป็นว่า สับสนปนเปจนกระทั่งคนที่เขาไม่เข้าใจจะแยกแยะไม่ออก แม้แต่การสร้างหลวงปู่ทวดใหญ่ที่สุดในโลก หลวงปู่โตใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ก็สร้างในลักษณะที่ทำให้บุคคลไปยึดติดองค์ท่านในลักษณะเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ไม่ได้ยึดเพราะเห็นความดีของสังฆคุณ ไม่ได้ยึดว่าคำสอนของท่าน สอนให้ปฏิบัติอย่างไร แต่ให้ไปกราบไหว้บูชาอย่างเดียว ออกไปแบบฮินดูแท้เลย

เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีแทรกขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามสภาพ และระยะเวลาของอายุพระศาสนาที่มากขึ้น แต่บุคคลที่แยกแยะออกจะน้อย ผู้ที่สร้างส่วนใหญ่ก็กลายเป็นวัดของพุทธศาสนา แล้วของเราเป็นพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งถือหลักพระวินัยเป็นใหญ่ แต่ทางด้านพุทธศาสนามหายานจะถือหลักธรรมเป็นใหญ่ พูดง่าย ๆ สำหรับเขา ก็คือ ถ้าตั้งใจปฏิบัติหลักธรรมแล้ว ศีลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง"

เถรี 27-04-2010 09:46

"คราวนี้เรามาลองคิดว่า ศีลเป็นรากแก้วของพระศาสนา ต้นไม้ถ้าไม่มีรากจะอยู่ได้ไหม ? ถึงมีรากฝอย โดนลมแรงก็โค่น ถ้ามีรากแก้วก็พอจะยืนยงคงทนได้นาน

แต่คนส่วนใหญ่ด้วยความมักง่าย ถ้าอะไรร้องขอได้ง่ายโดยไม่ต้องทำเอง ยิ่งเสกเพี้ยงให้เป็นอย่างตัวเองต้องการได้..ยิ่งดี จะวิ่งเข้าไปหาในสิ่งนั้นเลย ถ้าเราไปที่อินเดียก็จะเห็นว่า บรรดาเทวาลัยต่าง ๆ ของศาสนาฮินดู คนแห่กันไปมืดฟ้ามัวดินเลย แต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปถวายเครื่องบูชา ขอนั่นขอนี่ไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น..เรื่องของขุนแผนโคโยตี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้นเองที่แทรกเข้ามา เพียงแต่ว่าสภาพไม่เหมาะกับสังคมไทย ออกแนวอนาจารเกิน ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา"

เถรี 27-04-2010 11:58

มีคนนำไม้มงคลมาให้พระอาจารย์อธิษฐานจิต ท่านจึงกล่าวถึงเรื่องไม้มงคลว่า

"ในมงคลสูตร ที่ประกอบไปด้วยมงคล ๓๘ อย่าง บรรดาพรหมเทวดาตลอดจนมนุษย์ เขาถกเถียงกันว่า อะไรเป็นมงคลที่แท้ เถียงอยู่ ๑๒ ปีเต็ม ๆ ตกลงกันไม่ได้ จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสมงคลให้ทราบ ตั้งแต่ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา จนกระทั่งไปลงท้ายสุด
ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

ท่านให้มงคลตั้งแต่ต้นสุดไปจนกระทั่งสูงสุด ยันนิพพานเลย และมงคลของท่านเป็นมงคลที่คนอื่นเถียงไม่ได้ เพราะว่าถ้าปฏิบัติตามเมื่อไร ก็ดีเมื่อนั้น แต่ว่ามงคลของพรหมเทวดา ตลอดจนมนุษย์ที่เขาว่ากันมาเถียงได้ทั้งนั้น อย่างเช่นว่า บางคนบอกว่า เวลาเช้าเป็นมงคล สีนี้เป็นมงคล สีนี้ไม่เป็นมงคล เถียงกันแทบตาย ๑๒ ปีผ่านไปไม่ได้อะไรเลย

เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะสีเหลือง สีแดง สีชมพู ก็ไม่เป็นมงคล"

ถาม : อ้าว..ทำไมลงอย่างนี้ ?
ตอบ : จะเป็นมงคลได้ ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านบอกว่า อย่าคบคนพาล คบแต่บัณฑิต ให้บูชาคนที่ควรบูชา บุคคลที่ควรบูชาก็ต้องประกอบไปด้วยกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์

ฉะนั้น...บรรดาไม้ที่เขาเอามา ขอให้ช่วยอธิษฐานให้ ก็แค่ชื่อดี ถ้าหากเราไม่ได้ทำดี ชื่อดีแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้

เถรี 27-04-2010 12:53

3 Attachment(s)
พระอาจารย์อธิบายให้ฟังว่า "ทุกวันนี้เรามักจะไปคิดว่า คูณก็คือชัยพฤกษ์ ไม่ใช่นะจ๊ะ

คูณ คือ ราชพฤกษ์ ที่ชื่อว่าราชพฤกษ์ ต้นไม้ของพระราชา เพราะว่าดอกสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระราชา

ชัยพฤกษ์ เป็นสีชมพู ดอกเล็ก ๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จัก

แต่ว่ากัลปพฤกษ์ จะเป็นสีชมพูอมขาว ถ้าหากว่าดอกแก่ไปก็จะออกเป็นดอกสีเกือบจะขาวเลย

ต้องแยะแยกให้ออก แยกไม่ออกเดี๋ยวปนกันมั่ว คนรุ่นหลังก็จะมั่วตามไปด้วย"



เถรี 27-04-2010 12:59

ถาม : การที่ไปปิดถนน มีผลกระทบเป็นวงกว้าง จะทำให้เกิดกรรม ?
ตอบ : ถึงเวลาถ้าจะได้อะไร ก็คงโดนขวางตลอด

ถาม : แล้วเกิดเฉพาะกับคนที่เป็นเสื้อแดงหรือกับคนที่สนับสนุนด้วย
ตอบ : ก็ต้องดูว่าใครร่วมมือบ้าง ยิ่งถ้าเผลอไปปิดขบวนเสด็จเข้าด้วยก็ซวยหนักเลย..!

เถรี 27-04-2010 13:23

ถาม : มีเพื่อนเขาเปิดบริษัท แต่เราไม่ได้ทำงานกับเขา แต่เขาเอาชื่อเราไปเสียภาษีเพื่อประโยชน์ของบริษัทเขา เราให้เขาใช้ชื่อเรา
ตอบ : ระวังเอาไว้ว่า ถ้าเรื่องภาษีเราไม่ตรงไปตรงมา เราก็จะซวย เพราะเดี๋ยวนี้กรมสรรพากรเขาตรวจสอบเข้มกว่าเดิม

ถาม : แล้วผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ศีลเราไม่ผิดหรอก เพราะเราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น แต่ผิดกฎหมายเพราะเราไม่เสียภาษีตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ฟังหรอกว่าของใคร เพราะหลักฐานระบุชัดว่าของเรา ก็แปลว่าอาจจะได้คุกเป็นของแถม..!

เถรี 27-04-2010 13:40

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องจากทุ่งใหญ่สู่ห้วยขาแข้ง ให้ฟัง เป็นเรื่องที่จะได้นำมาลงในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ต่อไป

มีอยู่ตอนหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า "ช่วงที่ไม่ได้อยู่ในป่า เคยได้ลงไปในถ้ำใหญ่ พื้นที่ในถ้ำกว้างเป็นไร่ แต่เป็นน้ำไปเกือบทั้งถ้ำ

ด้วยความอยากรู้ว่าลึกแค่ไหน ก็เลยเอาเชือกผูกเอว แล้วก็ให้ตาฤๅษีเขาจับเชือกไว้ เราก็ลุยลงไป ทันทีที่ดำลงไปพร้อมกับเอาไฟฉายส่อง เหมือนกับเกิดควันใต้น้ำ พรึ่บขึ้นมามืดไปหมดเลย ก็เลยค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาคงจะไม่ให้เราลง จำเป็นต้องกลับ

เขตแดนบางอย่างเราลงไปส่งเดชไม่ได้ ต้องรอเขาอนุญาต จะเรียกว่าเป็นมิติซ้อนมิติก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเขาไม่เปิดให้เรา อย่างไรเราก็เข้าไม่ได้

วันนั้นถึงลงไปได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปได้สักเท่าไร เพราะว่าทันทีที่เราพุ่งจะลง ส่องไฟลงไป เห็นเป็นเหวลึกไปจนสุดแสงไฟเลย อยู่ ๆ เป็นเหมือนตะกอนใต้น้ำหรือควัน พรึ่บขึ้นมาเฉย ๆ ลักษณะเหมือนกับว่ามีสัตว์ตัวใหญ่มาก ๆ สะบัดหางกวนน้ำขึ้นมาพอดี เราก็เลยมองอะไรไม่เห็น ลงต่อไม่ได้ ต้องตัดสินใจกลับ"

เถรี 27-04-2010 18:17

พระอาจารย์ท่องกลอนเรื่อง นกมีหู หนูมีปีก ให้ฟัง ซึ่งมีใจความคล้ายกับสถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบัน

ร่ำปางติรัจฉาน...........เกิดล้างผลาญกันและกัน
สงครามใหญ่ครามครัน...ยิ่งกว่าพวกสัตว์ทั้งผอง
จตุบททวิบาท.............ต่างฝ่ายขาดความปรองดอง
ยกพวกยอพลผยอง......กลาดเกลื่อนกลุ้มตะลุมบอน
ทั่วโลกทุกแหล่งหล้า......ทั่วท้องฟ้าทั่วสาคร
ภายในใต้ดินดอน..........ห่อนละเว้นเข่นฆ่ากัน
ศึกคนฤๅจักสู้..............ศึกนกหนูใหญ่มหันต์
แต่ข้างค้างคาวนั้น.........บ่มิขันสู้กับใคร
ประสบสัตว์สี่เท้า..........ก็พลอยเข้าเป็นพวกไป
โดยอ้างว่าตัวไซร้..........มีสี่เท้าเค้าหน้าเหมือน
พบนกเข้าพวกนก..........พูดโกหกทำแชเชือน
ไม่ใช่สี่เท้าเถื่อน...........เพราะบินได้ในเวหา
แรก ๆ เขาหลงเชื่อ........ก็เอื้อเฟื้อบ่บีฑา
ครั้นเขารู้มารยา...........เขาต่างตัดไมตรีสลาย
ค้างคาวหมดปัญญา.......ต้องหลบหน้าอยู่เดียวดาย
รุ่งเช้าพอเพลางาย........มุดหัวซ่อนนอนเป็นผี
มืดค่ำจึงกล้าออก..........เที่ยวปลิ้นปลอกไปตามที
สัตว์อื่นเขาคืนดี............แต่ค้างคาวเขาหน่ายแหนง
อันว่าหมาหัวเน่า...........ไม่ร้ายเท่าที่สำแดง
ลวงโลกโลกระแวง.........แหนงหน่ายเห็นเช่นค้างคาว


สำหรับกลอนนี้พระอาจารย์บอกว่า ท่องตั้งแต่สมัยประถม พี่ทิดตู่จึงถามว่า "หลวงพี่ยังจำได้หมดอีก ?" พระอาจารย์จึงบอกว่า "เรียนอะไรตูลืมหมด แต่ถ้าจะเอา ก็มาเอง..!"

เถรี 27-04-2010 18:54

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บางคนเขาเป็นคู่บุญกันจริง ๆ ที่ทองผาภูมิมีอยู่สองราย รายแรกก็คือ นายเป้ากับคุณนายแสงทองพอแต่งงานแล้วทำอะไรก็รุ่งไปหมด พูดง่าย ๆ ว่าขยายบ้านแล้วขยายบ้านอีก ซื้อที่เพิ่มแล้วเพิ่มอีก

ส่วนอีกรายหนึ่งเป็นเถ้าแก่ประเสริฐและคุณบุหงา เถ้าแก่ประเสริฐเป็นลูกน้องของร้านค้าวัสดุชื่อ กิมธงมาก่อน ส่วนคุณบุหงาก็เป็นสาวไร่อ้อย พอแต่งงานกันไปแล้วก็แยกตัวจากเจ้านายเดิม ไปตั้งร้านขายวัสดุก่อสร้าง รุ่งแล้วรุ่งอีก เดี๋ยวนี้บรรดาวัสดุก่อสร้างแทบทั้งทองผาภูมิต้องสั่งจากร้านประเสริฐ เราชอบสั่งจากร้านนี้เพราะเขามาส่งเร็วมาก

แต่เห็นแค่สองคู่เท่านั้น นอกนั้นก็ลำบากกันต่อไป คาดว่าสักวันหนึ่งบุญคงจะส่งผลให้"

เถรี 28-04-2010 10:18

พระอาจารย์กล่าวถึงลักษณะของภริยาหรือสามี ดังนี้

"พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า สามีหรือภรรยามีอยู่ ๗ แบบด้วยกัน แต่เนื่องจากที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวในลักษณะของภริยา เพราะฉะนั้นให้รู้ไว้ด้วยว่าสามีก็เป็นแบบเดียวกัน

๑)วธกาภริยา มีเมียก็เหมือนเพชฌฆาต คอยทุบคอยตีทำร้ายผัวอยู่ตลอดเวลา
๒)โจรีภริยา มีเมียเหมือนโจร ทรัพย์สินในบ้านทุกอย่าง โดนยักยอก หยิบฉวยหมด
๓)อัยยาภริยา มีเมียเหมือนเจ้านาย จิกหัวใช้ตลอด
๔)มาตาภริยา มีเมียดีเหมือนแม่ ที่หลับ ที่อยู่ ที่นอน ที่กิน จัดหาให้หมด ไม่ต้องร้อนใจเลย
๕)ภคินีภริยา มีเมียเหมือนน้องสาว อ้อนวันยันค่ำเลย จะเอาอะไรก็ต้องหามาให้
๖)สขีภริยา มีเมียเหมือนเพื่อน ถ้าเมาก็กอดคอกันเมาเลย ถ้าหากทำบุญก็เข้าวัดพร้อมกัน
๗)ทาสีภริยา มีเมียเหมือนกับทาส ยอมให้ผัวใช้ทุกอย่าง"

เถรี 28-04-2010 10:24

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ดังนี้

"พระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่า นารทะ ในภัทรกัปหน้า เพราะภัทรกัปนี้องค์สุดท้าย คือ องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย

ช่วงนี้เป็นช่วงที่นาทีทอง แจกแล้วแจกอีก แถมแล้วแถมอีก เพราะการเกิดของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นสูญญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้า) อย่างพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า ทีปังกร พอพระองค์ท่านปรินิพพานไปแล้ว อีก ๑ อสงไขยกัป จึงได้มีพระพุทธเจ้านามว่า โกณฑัญญะ ขึ้นมา

คราวนี้กัปที่มีพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า กัปอันเป็นมงคล มี
สารกัป จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๑ องค์
มัณฑกัป จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๒ องค์
วรกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๓ องค์
สารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๔ องค์
ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๕ องค์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มี ๒ ภัทรกัปติดกัน หาไม่ได้อีกแล้ว ถึงหาได้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเกิดอีกนานเท่าไร ภัทรกัปนี้องค์สุดท้ายคือ พระศรีอริยเมตไตรย ภัทรกัปหน้าองค์ต้น คือ พระราม"

เถรี 28-04-2010 10:43

"เขาผูกเป็นบาลีว่า เมตเตยยา เมตเตยโยนามะ เมตไตรยจะเกิดเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย

ราโม จะ รามะสัมพุทโธ พระรามที่รบกับทศกัณฑ์ จะเกิดเป็นสมเด็จพระรามะสัมมาสัมพุทธเจ้า

โกสะโล ธรรมราชา จะ พระเจ้าปเสนทิโกศล เขาเรียก มหาโกศล (ไม่ใช่องค์ที่กล่าวถึงในสมัยพุทธกาล เพราะพระราชาที่ครองแคว้นโกศล ชื่อโกศลทั้งหมดเลย) พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นั้นจะเกิดเป็น สมเด็จพระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า

มาระมาโร ธัมมะสามี พระยามาราธิราช จะเกิดเป็น สมเด็จพระพุทธธัมมะสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีฆะชังฆี จะ นาระโท อสุรินทราหูจะเกิดเป็น สมเด็จพระพุทธนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า

โสโณ รังสิมุนีตะถา โสณพราหมณ์ เกิดเป็น สมเด็จพระพุทธรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า

สุภูตะ เทวะเทโว สุภูตมาณพ หลานโตเทยยพราหมณ์ เกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า

โตเทยโย นะระสีหะโก โตเทยยพราหมณ์ เกิดเป็นสมเด็จพระพุทธนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธะนะปาโล ติสโสนามะ ช้างธนบาล(นาฬาคิรี) ที่เขาจะปล่อยไปจะให้เหยียบพระพุทธเจ้า จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปาลิเลยยะ สุมังคะโล ช้างปาลิไลยกะ จะเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า

เอเตทะสะพุทธานามะ ภะวิสสันติ อนาคเต กาเล นี่เป็นนามของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาล

แต่เรามาไล่ดู จากพระศรีอาริยเมตไตรยลงไป จนกระทั่งถึงช้างปาลิไลยกะ เราต้องการแค่ ๖ พระองค์ แต่ตอนนี้มีถึง ๑๐ พระองค์ ก็แปลว่า จะต้องมี ๔ พระองค์ที่ต้องลา

ตอนนี้ที่เรามั่นใจแน่ ๆ ก็คือ พระยามาราธิราชไปนิพพานแล้ว โตเทยยพราหมณ์ท่านก็ยังนอนสบายอยู่ข้างล่าง"

เถรี 28-04-2010 11:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในสถานการณ์แบบนี้ เรื่องของสติสัมปชัญญะสำคัญที่สุด ขาดสติเมื่อไร อาจจะทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคนหมู่มากได้ และในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราสังเกต อย่างในสามก๊ก พอถึงเวลาจะรบกันจะต้องมีการร้องด่าท้าทาย นั่นคือการยั่วให้โกรธ พอคนเราโกรธก็ขาดสติ"

เถรี 28-04-2010 12:05

"เราจะเห็นว่า การแตกความสามัคคี ประการแรก ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง คนเห็นก็เสื่อมศรัทธา ไหนว่าคุณเป็นคนปฏิบัติธรรม กิเลสยังท่วมหัวอยู่เลย เรื่องแค่นี้ก็ยอมกันไม่ได้

ประการที่สอง ลำบากเดือดร้อนทั้งตัวเองและผู้อื่น ต้องมาตะลอน ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นหลายสิบวัน ไม่รู้จะเข้าห้องน้ำห้องส้วมที่ไหน ไม่รู้จะอยู่จะกินอย่างไร ทำให้รถติด เดือดร้อนคนอื่นเขาด้วย กลายเป็นว่าก่อให้เกิดโทษทั้งนั้น

ดังนั้น..เรามองในมุมที่ว่า แม้จะเป็นพัฒนาการของประชาธิปไตยก็ตาม แต่ว่าพัฒนาการก็ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนปกติ เพราะว่า เขาออกมาด้วยแรงกระตุ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ถูกระดมมา ไม่ใช่ว่าทุกคนคิดเห็นเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนมาด้วยผลประโยชน์เดียวกัน แม้ว่าจะเรียกร้องได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

ดังนั้น...ในเรื่องของสติสัมปชัญญะ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าทำอะไรโดยขาดสติ ขาดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในการควบคุม นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนแก่ตัวเองแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากได้ และท้ายที่สุด ถ้าเกิดพลังเงียบกลายเป็นพลังเสียงดังขึ้นมา ดีไม่ดีบางท่านอาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่ คนไทยเราลืมง่ายก็จริง แต่ตอนโกรธเราโกรธแรง กว่าจะลืมก็อาจจะเผลอเหยียบแบนไปแล้ว..!"

เถรี 28-04-2010 13:57

พระอาจารย์ท่องกลอนของ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ให้ฟัง

ท่านเขียนไว้บนกระดานดำ ลายมือแบบอาลักษณ์เลย

"เราเนาว์สราญสุข................นิรทุกข์เกษมศานต์
เฉกเช่นลดาวัลย์.................สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความครุ่นและกำหนัด............ก็สลัดไม่นำพา
วิเวกและเอกา....................ดุจทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจักลอยล่อง...............ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์....................บ่มิห่วงอาลัยมี
สถิตย์เหนือ ณ อาสน์เอี่ยม.....กระจ่างเยี่ยมจรัสศรี
ครั้นรัตติกาลมี....................ศศิส่อง ณ แนวไพร
แม้พาหิรชน.......................จราจลและบรรลัย
เรามั่นสถิตย์ใน...................สุขธรรม บ่มิคลอน
แม้นใครมาพบเรา...............ก็จุ่งเนาว์จะสั่งสอน
ชี้ทางอันบวร.....................เสถียรสุขนิรันดร์เทอญ"

เถรี 28-04-2010 14:13

"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า อย่าไปรับข้าวปลาอาหารจากคนชั่ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะอ้างว่ามีบุญคุณกับเรา ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมเลี้ยง เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติก็หมดเรื่อง"

เถรี 28-04-2010 14:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นอันตรายเท่ากันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะชอบอย่างไหนมากกว่า ชอบอย่างไหนมากอย่างนั้นก็เป็นอันตรายแก่ตนเอง"

เถรี 28-04-2010 14:25

มีคนนำหนังสือเล่มหนึ่งมาถวายพระอาจารย์ ปรากฏว่าเนื้อหาในหนังสือ คือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า แต่หน้าปกหนังสือเป็นชื่อเรื่องอีกอย่างหนึ่ง พระอาจารย์จึงบอกว่า "ชื่อเรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านตั้งไว้ ไม่ควรเปลี่ยน ยกเว้นว่าท่านจะเปลี่ยนเอง"

เถรี 28-04-2010 16:23

ถาม : คำว่ามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ: กรรมเหล่านั้นจะชักนำเราไป หาบุคคลที่มีกรรมเหมือน ๆ กัน หรือมีกรรมเนื่องกันมา

ถาม: ถ้าเราไปอยู่สภาพแวดล้อมที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนแนวสุกขวิปัสสโก เราก็..?
ตอบ : ปฏิบัติไป ถ้าปฏิบัติถึงจริง ๆ และตัวเองมีพื้นฐานเดิมมาจากอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ ถึงเวลาก็จะปรากฏ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยน จะสุกขวิปัสสโกเราก็วิปัสสโกตามเขาไป พอกำลังถึง ของเดิมก็จะมา

ถาม : ท่านให้ทิ้งนิมิต ทิ้งทุกอย่างด้วยซ้ำ
ตอบ : ถ้ามั่นใจเราก็ว่าของเราไป ถึงเวลาท่านว่าอย่างไรก็เรื่องของท่าน

ถาม : แล้วอย่างนั้นไม่เป็นการปรามาสท่านหรือครับ ?
ตอบ : ทำในสิ่งที่ถูก จะเป็นการปรามาสได้อย่างไร ?

เถรี 28-04-2010 19:46

พระอาจารย์เล่าเรื่องอาจารย์ยกทรง ให้ฟังว่า "มีเรื่องตลกก็คือ ประมาณปี ๒๕๒๓ อาจารย์ยกทรงมากราบหลวงพ่อครั้งแรกที่บ้านสายลม
หลวงพ่อก็ถามว่า "โยมชื่ออะไรจ๊ะ ?"
"วีระครับ" พวกก็ฮากันตรึม เพราะชื่อตรงกับหลวงพ่อ
หลวงพ่อถามต่ออีกว่า "แล้วแม่บ้านล่ะ ?"
"แม่บ้านชื่อประภาศรีครับ" ยิ่งฮาเข้าไปใหญ่
ท่านบอกว่า "ไอ้นี่ขโมยทั้งผัวทั้งเมีย ชื่อแม่มันก็เอา ชื่อพ่อมันก็เอา มันเอาหมดเลย"

ก่อนหน้านี้ตรงสยามพารากอน ยังไม่โดนเวนคืน อาจารย์ยกทรงเปิดร้านอยู่ตรงนั้น จริง ๆ อาจารย์ยกทรงชื่อ วีระ งามขำ แต่เขาเปิดร้านตัดยกทรง ชื่อร้านเงิน เงิน เงิน พูดง่าย ๆ ว่าขนาดจะไม่ได้มาตรฐานหรือเกินมาตรฐานอย่างไร ถ้าไปที่นั่นแล้วจะได้ขนาดที่พอเหมาะกับตนเอง

อาจารย์ยกทรงก็มาปรารภว่า "ผมบวชมากว่ายี่สิบพรรษา ดันทะลึ่งสึกมาตัดยกทรงขาย" เพราะว่าแม่บ้านเขาเรียนเรื่องนี้มา สมัยก่อนคนที่มีอาชีพตัดเสื้อผ้า ถ้าหากยังไม่สามารถตัดยกทรงผู้หญิงได้ ก็เท่ากับว่าฝีมือยังไม่ถึง เพราะการตัดยกทรงนั้นยากที่สุด

พอโดนเวนคืนเพื่อเอาที่ไปสร้างสยามพารากอน ท่านยกทรงของเราก็เลยไปอยู่วัดแทน แล้วก็ตายในวัด สมกับเป็นนักปฏิบัติ ด้วยความที่บวชมามาก เคยเป็นนักเทศน์มา ท่านสามารถที่จะถามหลวงพ่อแล้วใส่ลูกเล่นให้โยมเขาชอบฟังกันได้ แต่ท่านบอกว่า เลิกถามทีไรก็เหงื่อหยดทุกที ต้องเข้าไปกราบขอขมาหลวงพ่อทุกครั้ง เพราะเกรงว่าจะเป็นโทษแก่ตัวเอง แต่คนทั่ว ๆ ไปที่เขาไม่รู้ ว่าอาจารย์ยกทรงต้องไปกราบขอขมาหลวงพ่อทุกครั้ง ก็ไปตำหนิเข้าว่าท่านลามปาม

คนรุ่นเก่า ๆ ก็ล่วงลับไปเรื่อย รุ่นลายครามนาน ๆ ก็โผล่มาที่นี่ที ไม่ใช่เขาไม่รู้จักมานะ แต่มาไม่ไหวแล้วต่างหาก..!"

เถรี 29-04-2010 10:36

พระอาจารย์บอกว่า "ก่อนจะหยิบเงินใช้ก็ว่าคาถาเงินล้านจบหนึ่งก่อน จะทำบุญก็ว่าอีกจบหนึ่ง เจตนาที่ให้ทำแบบนั้น ก็เพื่อต้องการให้ทรงฌานในอารมณ์ของคาถาเงินล้าน ถ้าทำจนชิน ถึงเวลาต้องว่าคาถา...ถึงเวลาต้องว่าคาถา จิตจะเป็นฌานไปเอง ถ้าหากว่าทรงฌานได้ผลก็จะเกิดมาก"

เถรี 29-04-2010 10:55

ถาม : พระที่เข้าปริวาสอยู่ จะบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ากำลังเข้าปริวาสอยู่ บรรลุไม่ได้ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เขาถือว่ายังไม่ใช่พระด้วยซ้ำไป..! ต้องอยู่ปริวาสจนครบถ้วนตามเวลา แล้วคณะสงฆ์ ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ จึงถือว่ากลับมาเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง

เถรี 29-04-2010 12:15

พระอาจารย์สอนพี่คนหนึ่งว่า "ถ้าเราภาวนาและทรงฌานให้คล่อง จะไม่รู้สึกอยากกิน ถ้าอารมณ์ใจอยู่กับการภาวนา อยู่กับฌานสมาบัติ พวกอาการต่าง ๆ ทางร่างกาย เราแทบไม่รับรู้เลย"

เถรี 29-04-2010 13:46

พระอาจารย์บอกว่า "เรื่องการจองวัตถุมงคล ถ้าเราส่งถึงมือเขาเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่คนจ่ายเงินไปแล้ว ก็ร้อนใจ อยากได้เร็ว ๆ"

เถรี 29-04-2010 15:22

พระอาจารย์เล่าเรื่อง ธรรมบาลกุมารให้ฟังว่า "ธรรมบาลกุมารไปเรียนวิชาแล้วเก่งกว่าใครเพื่อน สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง ท้าวกบิลพรหมก็เลยอยากประกาศความดี โดยไปท้าพนันว่า ถ้าหากธรรมบาลกุมารตอบคำถาม ๓ ข้อได้ ก็จะยอมตัดเศียรถวายบูชาความดี แต่ถ้าธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็จะเอาศีรษะธรรมบาล

สรุปว่า ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็เลยหนี ตั้งใจว่าไปตายในป่าดีกว่า ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาล นกอินทรีสองผัวเมียก็คุยกัน และธรรมบาลกุมารก็รู้ภาษานก

นกตัวเมียถามนกตัวผู้ว่า "พรุ่งนี้พี่จะไปหากินทางทิศใด ?" นกตัวผู้ก็ตอบว่า "ไปไม่ไกลหรอก พรุ่งนี้เขาจะประหารธรรมบาลกุมาร เราก็จะได้กินกัน" นกตัวเมียเลยสงสัยว่ามีเรื่องอะไร นกตัวผู้จึงบอกว่า "ท้าวกบิลพรหมท้าพนันธรรมบาลกุมารให้ตอบคำถามว่า ตอนเช้าสิริอยู่ที่ไหน กลางวันสิริอยู่ที่ไหน ตอนค่ำสิริอยู่ที่ไหน ถ้าหากภายใน ๗ วัน ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็จะต้องตาย"

นกตัวเมียเลยถามว่า "แล้วพี่รู้ไหม ?" นกตัวผู้ก็บอกว่ารู้ พร้อมกับเฉลยว่า "ตอนเช้าสิริอยู่ที่ใบหน้า คนเราตื่นมาก็เลยต้องล้างหน้า ตอนกลางวันสิริอยู่ที่หน้าอก ก็เลยต้องอาบน้ำและใช้ของหอมประพรมอก ตอนค่ำสิริอยู่ที่เท้า ก่อนนอนก็ต้องล้างเท้า"

เรื่องนี้แหละที่เป็นศัพท์ของคำว่า "นกรู้" เพราะคนไม่รู้แต่นกรู้ ก็เลยสรุปว่า นกอดกินเพราะนกดันรู้ แต่นกไม่รู้ว่าธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้

วันต่อมา ธรรมบาลกุมารก็เลยตอบคำถามของท้าวกบิลพรหมได้ ท้าวกบิลพรหมจึงตัดเศียรให้ แต่ท่านไม่ตายเพราะเป็นพรหม"

เถรี 29-04-2010 15:51

"พอระยะหลังคติพราหมณ์เข้ามาปนเยอะ ก็เลยกลายเป็นว่าท้าวกบิลพรหมมีธิดาอยู่ ๗ องค์ ซึ่งจริง ๆ แล้วพรหมท่านอยู่คนเดียว จะมีลูกได้อย่างไร ?

นอกจากนั้น ยังมีตำนานว่าเศียรของท้าวกบิลพรหม ถ้าตกลงสู่พื้นดินจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ถ้าตกลงสู่มหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้งหมด ถ้าโยนขึ้นไปในอากาศฝนฟ้าก็จะแล้ง ก็เลยต้องให้ธิดาเอาพานมารองรับ และไปแห่รอบเขาพระสุเมรุ ๑ รอบจักรราศี ก็คือ ๑ รอบที่ดวงอาทิตย์โคจรครบ ซึ่งวันที่ครบก็เป็นวันที่พระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษพอดี คนไทยสมัยโบราณจึงกำหนดให้เป็นวันสงกรานต์"

เถรี 29-04-2010 16:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "จะว่าไปแล้วศาสนาพราหมณ์ฮินดูเข้ามาในประเทศไทยก่อนศาสนาพุทธเสียอีก ในสมัยแรก ๆ คนไทยเรานับถือผีเป็นปกติ พอพราหมณ์เข้ามาก็ถือพราหมณ์ พอพุทธเข้ามาก็ถือพุทธ ศาสนาพราหมณ์ก็คิดว่าคนไทยน่าจะเหมือนคนอินเดีย ก็คือ ถ้าเข้าถึงกษัตริย์หรือผู้ปกครองได้ ก็แปลว่าทั้งหมดจะต้องถือศาสนาพราหมณ์ด้วย..แต่ไม่ใช่

ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ศาสนาพราหมณ์เข้าหาราชสำนักมาตลอด แต่มีศาสนิกอยู่แค่หยิบมือเดียว เพราะว่าศาสนาพราหมณ์ก็รักสงบเหมือนพุทธของเรา ไม่ได้ใช้อำนาจบีบบังคับให้คนมานับถือ"

เถรี 29-04-2010 16:42

ถาม : เราจะพิจารณาได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราคิดเป็นการคิดที่ละเอียดขึ้น หรือว่าเป็นการคิดมากในทำนองที่ว่า เรื่องที่ไม่น่าลงนรกก็หาเรื่องลงนรกเอง

ตอบ : ดูว่าอะไรที่ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สงบลง ก็เป็นการใช้ปัญญาคิด
อะไรที่ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะเจริญขึ้น ก็หาเรื่องลงนรก

เถรี 29-04-2010 16:43

ถาม : การใช้ทรายเสกหว่านรอบบ้าน ในกรณีที่บ้านเป็นบ้านแฝด คือมีผนังด้านหนึ่งติดกับบ้านข้าง ๆ เราจะหว่านทรายเสกอย่างไรครับ ?
ตอบ : วงในบ้านเลย

ถาม : ทั้งสองชั้นเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ ใช้ชั้นเดียวก็ได้

เถรี 29-04-2010 17:32

ถาม : การที่เรากระตุ้นให้เด็กอายุประมาณ ๘ - ๙ ขวบ ค่อย ๆ ลำดับชีวิตประจำวันของตัวเอง ตั้งแต่เช้าว่าเขาทำอะไร จะช่วยเขาฝึกในเรื่องทิพพจักขุญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : อันนี้เป็นการฝึกอตีตังสญาณ ถ้าหากคล่อง ๆ แล้ว ก็ย้อนไปเมื่อวาน..เมื่อวานซืน..สามวันที่แล้ว..ห้าวันที่แล้ว..อาทิตย์ที่แล้ว...เดือนที่แล้ว...ปีที่แล้ว..ท้ายสุดจะเป็นชาติที่แล้ว จะต้องซ้อมบ่อย ๆ ถึงจะคล่องตัว

เถรี 29-04-2010 17:39

ถาม : ถ้าคนแต่งหนังสือเขาเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับฤทธิ์อภิญญาได้ แสดงว่าเขาสามารถทำอภิญญาได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากพื้นฐานเดิมเขาไม่มี ก็อธิบายรายละเอียดไม่ได้ จะได้แต่เปลือกเท่านั้น

เถรี 29-04-2010 17:42

ถาม : การนึกถึงพ่อแม่จัดเป็นเทวตานุสติหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็น ยกเว้นว่าพ่อแม่ของคุณตายไป แล้วเป็นพรหมเทวดาอยู่ข้างบน

เถรี 29-04-2010 17:56

ถาม : ทำบุญแล้วกลัวอดน้ำ ก็เลยต้องถวายน้ำมาด้วย
ตอบ : ถามว่าดีไหม..ก็ดี ถ้าคิดจะไปกิน

ปกติแล้วพรหม เทวดา นางฟ้า เขาอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ ไม่ต้องกินอาหาร แต่คราวนี้มีอยู่เขตหนึ่ง ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช เป็นเขตที่จะลงไปตำหนักพระยายมราช ในบริเวณนั้นบรรดาท่านทั้งหลายที่ยังละอุปาทานความเป็นมนุษย์ไม่ได้ ก็จะไปอยู่แถวนั้น จะต้องมีบ้านอยู่ มีน้ำกิน มีอาหาร ระยะหลังมีเจเจพลาซ่าอยู่ด้วย ไปช็อปปิ้งกันระเบิดเถิดเทิง ไปซื้อข้าวของเหมือนกับโลกมนุษย์

แต่พออยู่ไปประมาณ ๗ - ๘ วัน ท่านที่สร้างบุญเอาไว้ดี ก็จะรู้ตัวว่าเราไม่ใช่มนุษย์แล้ว มีความเป็นทิพย์ เป็นพรหมเทวดา ไม่ต้องไปกินไปใช้อย่างนั้นแล้ว ก็จะตรงไปยังวิมานของตนเองและไปเสวยความเป็นทิพย์

จึงได้บอกว่า ถ้าคิดว่าจะกินน้ำก็ถวายมา ถ้าไม่คิดว่าจะกิน ตรงไปเลย ไม่ต้องถวายก็ได้ แต่ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เผื่ออยู่ตรงนั้นนานไปหน่อยจะได้มีกิน

เถรี 29-04-2010 18:00

:msn_smilies-11::msn_smilies-11: เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ ขอทิ้งท้ายเดือนนี้ด้วยเรื่องฮา ๆ

ถาม : เอารูปท่านแม่มาให้หลวงพี่อธิษฐานจิตให้
ตอบ : เดี๋ยวจะยันให้หงายท้องลงไปตรงนั้นแหละ..! เข้าเสาร์ห้ามาแล้วจะยังเอามาให้อธิษฐานอีก
-----------------------------------

ถาม : ช่วยอวยพรวันเกิดหน่อยสิครับ
ตอบ : Happy Birthday to you..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว