"กิเลสเขาเก่ง เขาจะหลอกให้เราภูมิใจ ว่าเราเข้าใจ เรารู้เห็น เราเข้าถึง และเราก็ลืมพิจารณาว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยตัดกิเลส มีแต่เพิ่มกิเลสให้เรา
หลายท่านน่าเสียดายเวลา เตลิดเปิดเปิงอยู่หลายปี อาตมาเองก็โดนไปสามปีเต็ม ๆ กลายเป็นทาสรับใช้เขา พอเขาถามเรื่องอะไร ก็ดูให้เขาหมด พอเขาชมก็ก้นกระดก ตัวลอย ปลื้มใจ ถ้าตายตอนนั้นก็ไปไม่รอด พูดไปแล้วก็อยากรู้อยู่ดี เตือนไปก็เท่านั้นแหละ ต้องบอกว่าเอาที่สบายใจแล้วกัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายฝนต้นหนาว ขอเตือนอีกครั้งว่า บ้านไหนมีคนแก่มีคนป่วยดูแลให้ดี คนแก่หรือคนป่วยร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติ พลาดขึ้นมาเมื่อไรก็ไปเลย ถ้าเราสังเกต ช่วงรอยต่อของอากาศคนจะเสียชีวิตเยอะมาก ไม่ใช่คนทั่วไปหรอก พระก็ด้วย"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ยกเก้าอี้ ท่านนพรัตน์ก็วิ่งพรวดพราดมาบอกว่า "หลวงพ่อ ๆ เดี๋ยวปวดหลัง" อาตมาบอกว่า "กูไม่ใช่มึง มึงจะปวดก็ปวดไป กูทำอย่างนี้ของกูมาทั้งชีวิต" ถ้ามัวแต่ระวังมากเกินไปก็ไม่ได้ทำอะไรเลย จะไม่ระวังเลยก็ไม่ได้ แต่คราวนี้กำลังคนไม่เท่ากัน ของท่านไม่ไหว แต่อาตมายกคนเดียวก็ไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ท่านไม่ไหว ถ้าไปฝืนก็ปวดหลัง ก็ต้อง ๒ คน ส่วนอาตมาคนเดียวยังรู้สึกว่าเบาไป"
ถาม : เป็นส่วนของการฝึกด้วยไหมคะ ? ตอบ : บางอย่างเป็นปุพเพกตปุญญตา บุญเก่าสั่งสมมา ในเมื่อสร้างมาทางด้านนี้ก็จะแข็งแรงกว่าชาวบ้านเขาหน่อย อาตมาแค่วัยรุ่น ๑๕-๑๖ ปี ก็แบกข้าวสารเป็น ๑๐๐ กิโลกรัมแล้ว |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปงานบำเพ็ญกุศลถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ คราวนี้เห็นชัดเลยว่า ของใหม่ถ้าเราไม่ฝึกฝนให้เคยชิน ก็จะอ่านไม่ถูก ‘สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร’ ไม่มีใครที่อ่านถูกตรง ๆ สักคนหนึ่ง จะต้องหน้าผิดหลังผิดให้ยุ่งไปหมด
บรรดาพิธีกร มัคคนายก ตลอดจนกระทั่งโฆษก เรื่องตำแหน่งพวกนี้ต้องว่าให้ขึ้นใจ ไม่ใช่ไปถึงก็สะดุดกึก ๆ กัก ๆ อยู่นั่นแหละ..ฟังแล้วเสียอารมณ์ โดยเฉพาะงานหลวง" |
ถาม : ที่อ่านออกประกาศ คนก็จำผิด ๆ ไปเยอะ ?
ตอบ : มีเยอะ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าที่เขานิยมอ่านว่าอย่างไร ‘พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ศรีสินทร อ่าน สี-สิน แค่นี้ มักจะอ่านเป็น สี-สิน-ทะ-ระ เพราะว่าพอเขาอ่าน ปะ-ระ-เมน-ทะ-ระ ก็มา สี-สิน-ทะ-ระ แต่ไม่ได้ดูว่าสำนักพระราชวังเขาให้อ่านอย่างไร ต่อให้สำนักพระราชวังอ่าน แล้วก็ราชบัณฑิตอ่าน แต่ถ้าพระราชนิยมไม่ใช่อย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยน พระราชนิยมอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น..เราจะอ่านเป็น พระ - บาด - สม-เด็ด-พระ-ปะ-ระ-เมน-ทะ-ระ-รา-มา-ทิบ-บอ-ดี-สี-สิน-มะ-หา-วะ-ชิ-รา-ลง-กอน-พระ-วะ-ชิ-ระ-เกล้า-เจ้า-อยู่-หัว ส่วนใหญ่แล้วก็กลายเป็น สี-สิน-ทะ-ระ แต่ว่าบางคนอ่านหน้าหด สม-เด็ด-พระ-ปะ-ระ-เมน-รา-มา-ทิบ-บอ-ดี-สี-สิน-มะ-หา-วะ-ชิ-รา-ลง-กอน ก็ใช่ เพราะว่า ‘ทร’ เคยเป็นการันต์ แต่ในเมื่อมีคำตามเขาตัดการันต์ออก แต่ไม่ได้อ่านออกเสียง แบบเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อ่าน สม-เด็ด- พระ-เทบ-พะ-รัด-ราด-ชะ-สุ-ดา ‘รัตน’ ก็จริง แต่ว่าการันต์หายไปก็ต้องอ่านเป็น สม-เด็ด- พระ-เทบ-พะ-รัด อย่างเดียว คราวนี้พอมีคำตามก็ต้องเอาการันต์ตัวท้ายออก แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจก็จะอ่านผิด คนเข้าใจก็อ่านถูก แต่ถ้าไม่ใช่พระราชนิยมก็ผิด เป็นอะไรที่ยุ่งมาก |
ถึงได้บอกกับบรรดาเจ้าหน้าที่พิธีกรว่า คุณต้องว่าให้คุ้นลิ้นไปเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็จะมาอึก ๆ อัก ๆ โดยเฉพาะทางพระเรานี่ที่อนาถที่สุดก็คือสมณศักดิ์ ประมาณ ๕ ปีเปลี่ยนทีหนึ่ง จำไม่หมดนี่ตายเพราะว่าจะผิดคน เมื่อวันก่อนเลขาฯ พิมพ์หนังสือมาเพื่อที่จะต่อวีซ่าให้ท่านอาจารย์เตชะ เพราะว่าท่านเป็นธรรมทูตต่างประเทศ ลงนามพระราชวิสุทธิเมธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี กูพิมพ์เองดีกว่าว่ะ..! เพราะว่าท่านเป็นพระเทพปริยัติติโสภณไปแล้ว
โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ของใหม่จริง ๆ จะเป็นที่รู้กันว่าอ่านว่าอย่างไร อย่างท่านเจ้าคุณพระอินทเขมาจารย์เป็นตำแหน่งเฉพาะของจังหวัดราชบุรี แบบเดียวกับท่านเจ้าคุณพระสุเมธมุนี อย่างไรก็ต้องมีเชื้อสายมอญ ถ้าไม่ใช่มอญจะเป็นพระสุเมธมุนีไม่ได้ แล้วก็อย่างพระวิสุทธิรังษีเป็นตำแหน่งเฉพาะของกาญจนบุรี ไปที่อื่นไม่ได้ แล้วเขาก็จะรู้กันว่าอ่านอย่างไร ยกเว้นไปเจอพวกประเภทไม่เคยผ่านวงการมา ก็อ่าน พระ-อิน-ทะ-ขะ-เหมา-จาน |
มีตำแหน่งเฉพาะของจังหวัดเชียงใหม่ ก็คือท่านเจ้าคุณพระนพีสีพิศาลคุณ ปัจจุบันไม่มีใครเอา เพราะว่าตำแหน่งนี้ตั้งไปแล้วมรณภาพติดต่อกัน ๓ รูปในเวลาอันไม่นาน
จริง ๆ คนตั้งสมณศักดิ์ท่านเก่งมาก นพีสี ก็มีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวิมลนาคนพีสี เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี นพีสี มาจาก นว + อิสิ เมืองใหม่ที่ฤๅษีสร้าง ก็คือนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เพียงแต่กลับข้างมาเป็นนพีสีเท่านั้น นวอิสิ อะ + อิเป็นอี เป็นนพีสี เพราะฉะนั้น..นพบุรีศรีนครพิงค์ ถึงเวลาก็แปลงอะกับอิ เป็นอี เพราะว่ารัสสระคือเสียงสั้น ๒ ตัวจากเสียงอะกับอิรวมกัน ก็ต้องกลายเป็นเสียงยาว คือแปลงอะกับอิเป็นอี |
ในเมื่อลบสระหน้า เหลือแต่สระหลัง สระหลังคืออิ ในเมื่อเป็นเสียงยาวก็ต้องเป็นนพี กฎกติกาหรือสูตรบาลี ถ้าคนไม่คล่องก็ไม่เป็น แต่จริง ๆ พวกคำยาก ๆ ควรที่จะให้ได้อ่านกันบ้าง
จำได้ว่าสมัยที่เรียนน่าจะเริ่ม ป. ๒ ที่เขาให้อ่านคำยาก ๆ ‘ตู้กระจก นกกระจอก เมฆหมอก หน้ามุข สุขสบาย แบ่งภาค พญานาค โรคภัย ใจสมัคร โทรเลข’ แม่กกจะต้องอ่านอย่างไร จะเป็นตัวสะกดที่อ่านออกเสียงเหมือน ก.ไก่ ทั้งหมด เด็กรุ่นหลัง ๆ เขาไม่ได้อ่าน ไม่ได้ท่อง ไม่ได้จำอีกต่างหาก เลยไปกันหมด ‘ระฆังดังหง่าง ๆ ฆ้องใหญ่กว้างครางหึ่ง ๆ กลองหนังดังตึง ๆ ตีกระดึงดังกริ่ง ๆ’ แม่กงหมด ต้องบอกว่าเด็กสมัยก่อนนี่โชคดีมาก ที่ได้เรียนในภูมิปัญญาที่ตกผลึกแล้วของบรรพบุรุษเรา เพราะไม่ว่าจะเป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร พระยาอนุมานราชธน พระยาอุปกิตศิลปสาร แต่ละคนนี่สุดยอดเซียนบาลีเลย เพราะว่าบวชมาก่อนทั้งนั้น เสร็จแล้วสึกมาก็มารับราชการ สมัยก่อนไม่ว่าอะไรก็ต้องขึ้นต้นด้วยพระรัตนตรัย |
นะโมข้าจะไหว้.........วรไตรรตนา
ใส่ไว้ในเกศา............วรบาทมุนี คุณะวรไตร.............ข้าใส่ไว้ในเกษี เดชะพระมุนี............ขออย่ามีที่โทษา ข้าขอยอชุลี..............ใส่เกษีไหว้บาทา พระเจ้าผู้กรุณา.........อยู่เกศาอย่ามีภัย ข้าไหว้พระสะธรรม....ที่ลึกล้ำคัมภีรใน ได้ดูรู้เข้าใจ..............ขออย่าได้มีโรคา ข้าไหว้พระภิกษุ.........ที่ได้ลุแก่โสดา ไหว้พระกิทาคา........อะระหาธิบดี ข้าไหว้พระบิดา..........ไหว้บาทาพระชนนี ไหว้พระอาจารีย์.........ใส่เกศีไหว้บาทา ข้าไหว้พระครูเจ้า........ครูผู้เฒ่าใส่เกศา ให้รู้ซึ่งวิชา.................ไหว้บาทาที่พระครู จะใคร่รู้ที่วิชา.............ขอเทวามาค้ำชู ที่ใดข้าไม่รู้...............เล่าว่าดูรู้แลนา ไชโยขอเดชะ............ชัยชนะแก่มารา ระบือให้ลือชา............เดชะสามาไชโย ไชโยขอเดชะ............ชัยชนะแก่โลโภ โทโสแลโมโห............อย่าโลเลโจ้เจ้ใจ เขาไล่ไปตามลำดับ เด็กรุ่นหลังไม่ได้เรียนน่าสงสารมาก แต่ขณะเดียวกันรุ่นหลังนั้นก็บอกว่าสงสารหลวงตามาก หลวงตาเรียนอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ตกลงว่าใครสงสารใครก็ไม่รู้ ? แล้วโบราณท่านประณีต ไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้พ่อแม่ ไหว้ครูบาอาจารย์ |
สมัยนั้นพอ ป. ๓ ป. ๔ วรรณคดีเป็นโคลงเป็นกลอนหมดแล้ว จำได้ว่า ป. ๓ นี่สังข์ทองตอนตีคลี ป.๔ ก็พระอภัยมณีตอนเกาะผีเสื้อ ถ้าเด็กรุ่นหลังไปเรียนอย่างนั้นตายแน่นอน แล้วก็พลายแก้วบวชเณรก็ ป.๓ ป.๔ เท่านั้นเอง
ต้องบอกว่าสังคมพาไป ในเมื่อสังคมพาไป ยุคนั้นเราจะเห็นว่าหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอภิญญาสมาบัติเยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด จนไปถึงเจ้าอาวาส ต่อให้ไม่มีชื่อเสียงขนาดไหนก็ต้องเป็นอะไรสักวิชาหนึ่งให้ชาวบ้านเขาพึ่งได้ นางทองประศรีท่านว่า ‘จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร’ พูดง่าย ๆ คือส่งไปเรียนแล้วต้องได้ เขามั่นใจกันอย่างนั้น เขาเองมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ของยาก ทุกคนเรียนได้ ถึงเวลาเขาก็อยากให้ลูกหลานได้เรียน |
ครานั้นทองประศรีผู้มารดา............ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
อันสมภารที่ชำนาญในทางใน.........ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา...............แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน.............ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ไปเรียนแล้วต้องได้ ต้องสำเร็จ เหมือนกับสมัยนี้เรียนอนุบาลอย่างไรก็ต้องจบ อยากจะเป็นทหารชาญชัย................ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี จึงอ้อนวอนมารดาได้ปราณี................ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี......................แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน.................ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร |
ไปเรียนแล้วต้องจบ มาสมัยนี้ โอ้โฮ...ยาก เมื่อวานนี้เด็กแต่ละคนทำหน้าเหมือนกับจะบรรลุกันหมด บอกว่าคราวนี้เอ็งรู้หรือยังทำไมวันแรกหลวงตาถึงไล่เอ็งไปขึ้นรอยพระบาท เพราะถ้าให้เอ็งมานั่งสมาธิตั้งแต่เมื่อวาน มาถึงวันนี้เอ็งตายหมดแล้ว ขนาดให้แค่ครึ่งวันยังทำท่าจะตายกันหมด
วันแรกเขาก็สงสัย หลวงตาพาไปทำความสะอาด พาไปขึ้นยอดดอย ก็สนุกเฮฮาไปตามแรงบ้าของเด็ก บางคนก็ประท้วงว่ามาปฏิบัติธรรม เอ้า..ได้ เจอไปครึ่งวันทำท่าจะตายกันหมด เป็นอย่างไรล่ะ ? ถ้าหลวงตาพาทำตั้งแต่วันแรกพวกเอ็งจะเหลือไหม ? แต่ต้องบอกว่าเด็กชุดนี้ถ้าใฝ่ดีนี่มีสิทธิ์เลย เพราะว่าเขาอาสามาด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ไอ้พวกที่มาปฏิบัติเพื่อแก้ ร. แต่ครูแถวนี้ก็ประเภทที่เรียกว่าพอกันเลย ในเมื่อเอ็งติด ร. ไม่ยอมส่งงานใช่ไหม ? ไปปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุนครบหลักสูตร ๕ วันกลับมาจะแก้ ร.ให้...เกือบตาย รุ่นพี่ไปบอกรุ่นน้องว่าต้องตั้งใจเรียนแล้ว ไม่อย่างนั้นโดนแน่..! |
ชุดนี้เขารับอาสาว่าปฏิบัติธรรมถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสร็จแล้วจะมีคะแนนกิจกรรมให้ พวกที่เขาอยากปฏิบัติธรรมก็เท่ากับได้โอกาส แต่โอ้โฮ...เด็ก ๆ กินกันกระจายจริง ๆ เลย แล้ววัดเราก็เลี้ยงไม่อั้นด้วย หมูบดกับลูกชิ้นอย่างละถาด ลงไปแค่ ๑๐ กว่าคนตักก็หมดแล้ว เพราะว่าเขาเอาไปใส่ก๋วยเตี๋ยว ให้กินก๋วยเตี๋ยวพวกเขาเล่นกวาดลูกชิ้นกับหมูบดกัน ไป ๑๐ กว่าคนหมดถาดไปแล้ว ถ้าขืนทำอย่างนี้ละก็...เพื่อนมาข้างหลังไม่ต้องกินกันพอดี
ผอ.ก็กลัวว่าเด็กจะขาด เขาก็เลยพามาเกิน ๒๐๐ คน เผื่อว่ามีใครหนีปฏิบัติ นับเป็นความหวังดีของ ผอ.นั่นแหละ แต่มาเท่าไรวัดก็ต้องเลี้ยง แล้วที่อื่นเขาก็บ่นกันว่าเขาหาพระปฏิบัติไม่ได้ ท่านรองผู้ว่าฯ สมยศ ศิลปีโยดม บอกว่าที่อื่นเขาหาคนปฏิบัติไม่ได้ วัดหลวงพ่อเป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่น ได้รางวัลโน้นรางวัลนี้ จัดปฏิบัติปีหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อ๋อ...ต่างกันครับ เขามาแล้วเขารู้สึกว่าเขาได้…เขาจะมา แต่ถ้ามาแล้วรู้สึกว่าไม่ได้อะไร เขาไม่ไปหรอก...เสียเวลา โดยเฉพาะของวัดเราถ้าเราจัดหลักสูตรเสาร์ - อาทิตย์ คนไม่ค่อยไปเพราะว่าวัดของเราไกล รู้สึกว่าไปแล้วไม่คุ้ม แต่ถ้า ๓-๕ วันพอได้อะไรบ้างเขาจะไป ของเราไกลเกินไป ถ้าต้องการความสงบโดยเฉพาะตอนช่วงนี้ เมื่อเช้าเขาส่งอุณหภูมิมาทางไลน์ ๑๒.๖ องศาเซลเซียส เมื่อวานนี้ยัง ๑๔.๙ อยู่ ลดลงไปทีเดียว ๓ องศาเลย แต่ว่าแถว ๆ เกาะพระฤๅษีนี่ ๘-๙ องศาเซลเซียสเข้าไปแล้ว เพราะว่าข้างในเป็นป่าเป็นเขา..เย็นกว่าเยอะ ก็ต้องบอกว่ายังโชคดีได้อยู่ในที่ซึ่งภูมิอากาศร้อนหนาวยังเป็นปกติอยู่ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของทหารควรจะมีการเกณฑ์ เพราะว่าชายไทยทุกคนจำเป็นจะต้องทำหน้าที่ป้องกันประเทศชาติอยู่แล้ว อยากจะให้ไม่มีการยกเว้นเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าการฝึกทหารถ้าเราตั้งใจจะเอาดีจริง ๆ จะได้อะไรติดตัวมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความมีระเบียบวินัย ความแข็งแรงของร่างกาย ความรู้ในการที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ฯลฯ ถ้าคุณตั้งใจเรียนคุณจะได้เยอะกว่าที่คิด
แต่คราวนี้ส่วนใหญ่ไปเกี่ยงว่าลำบาก...เหนื่อย โดยที่ไม่ได้ดูว่าถ้าเราสามารถผ่านตรงนั้นไปได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรลำบากกว่านั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของเยาวชน เราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารเลย ควรที่จะได้อะไรติดตัวเอาไว้บ้างจากการเกณฑ์ทหาร อย่างน้อย ๆ ความมีระเบียบวินัยก็ยังดี ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ได้สนใจว่าระเบียบเป็นอย่างไร วินัยเป็นอย่างไร แล้วท้ายสุดก็คือกฎหมายเป็นอย่างไรกูก็ไม่สนใจด้วย" |
"เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ถ้าจะจัดการให้ดีจริง ๆ กำลังพลเราต้องการประมาณเท่าไรรับสมัครไปก่อน ถ้าได้เพียงพอก็จบแค่นั้น ถ้าได้ไม่พอเราเฉลี่ยแล้วเกณฑ์แต่ละจังหวัด ก็จะเหลือแค่ไม่กี่คน ดีไม่ดีจะเหลือจังหวัดละคนสองคนเท่านั้นเอง ใครคนไหนจับได้ก็คงเป็นลมไปเลย
เดี๋ยวนี้การเกณฑ์ทหารหลายจังหวัด อย่างกรุงเทพฯ สระบุรี ลพบุรี ไม่ต้องไปเกณฑ์ เขาสมัครเกินทุกปี เพราะว่าเดี๋ยวนี้พลทหารเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท ไม่ใช่อย่างสมัยอาตมา สมัยอาตมาเรียนจบนักเรียนนายสิบมา ปีแรกเข้ารับราชการเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท บวกค่าครองชีพ ๒๗๐ บาท สมัยนี้พลทหารอย่างเดียว ๙,๐๐๐ บาท อาตมาได้ยินก็...โอ้พระเจ้า แล้วนายทหารเงินเดือนไปถึงไหน ? ส่วนที่ควรลดอย่างยิ่งเลยก็คือระดับหัว ๆ โน่น เพราะว่าระดับบัญชาการไม่จำเป็นต้องมีมากขนาดนั้น ถึงเวลานายพลจะเดินชนกันตาย แล้วก็หาคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ยาก สมัยอาตมาเองเป็นทหารอยู่ ร้อยตรี ร้อยโท อยู่ต่างจังหวัดนี่ใหญ่คับฟ้า แต่พอเข้ากรุงเทพฯ มา ขนาด พันตรี พันโท ยังจ๋อย ๆ เลย เพราะว่ามีแต่คนใหญ่กว่า เจอหน้าใครก็ต้องทำความเคารพเขาไปหมด ส่วนพวกเราอยู่ต่างจังหวัด ร้อยโทนี่ผู้บังคับกองร้อย โคตรเท่เลย ปกติร้อยโทถ้าเป็นในกรุงเทพฯ ใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินรองผู้บังคับกองร้อย" |
"ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อฤๅษีฯ คอยเฝ้าหน้าห้องให้ท่าน ผู้การเขต ๙ พลตำรวจตรีนพเก้า ธัญศิริ มากราบหลวงพ่อ ตำรวจเดินตามมาเป็นร้อย ผู้บังคับการเขตจะคุมหลายจังหวัด ผู้กำกับจังหวัดยังพอมีคนเห็นบ้าง รองผู้กำกับ ๒ ท่านเดินมาไม่มีใครแลเลย เพราะถือว่าให้คุณให้โทษอะไรไม่ได้ คนที่จะเซ็นอนุมัติให้คุณได้ยศได้ตำแหน่งคือผู้กำกับจังหวัด แล้วใหญ่ขึ้นไปก็คือผู้บังคับการเขต
เพราะฉะนั้น..พอถึงเวลาคุณนพเก้าจะขึ้นมากราบหลวงพ่อที่ห้อง มีนายพันตำรวจตรีลงไปกอดเท้า..ถอดรองเท้าให้ อาตมาคิดว่า...อื้อหือ มึงนี่เสียชาติเกิดจริง ๆ ระดับพันตำรวจตรี งานที่ประเภทพลตำรวจก็ทำได้ แต่มึงรีบไปทำ เพราะกลัวว่าเจ้านายจะไม่เห็นมึง" |
"เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าไม่มีศักดิ์ศรีเลย เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตของตัวเอง ไม่ได้ใช้ฝีมืออะไรเลย นอกจากติดตามบริการเจ้านาย แล้วก็ดันเป็นธรรมชาติเสียด้วย เพราะว่าถ้าใกล้หูใกล้ตาเจ้านาย ถึงเวลาท่านก็จะนึกถึงก่อน
ทหารรับใช้จะมีตามยศของตัวเอง อย่างเช่นว่า ร้อยตรีจะมีทหารรับใช้ได้คนหนึ่ง ก็ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วส่วนใหญ่ทหารรับใช้ที่ไปนี่อาสาไปเองนะ เพราะว่าขี้เกียจฝึก ข่าวที่ออกมาทุเรศ ๆ นั่นก็เพราะว่าบางคนก็ไปเจอเขากดขี่ข่มเหงเอาจริง ๆ แต่บางคนก็ประเภทที่เรียกว่า เกิดอะไรขึ้นกูออกข่าวไว้ก่อน ก็แบบเดียวกับเมื่อเดือนที่ผ่านมา แม่ชีที่วัดพอถึงเวลาก็ไปลงเพจสัตว์เลี้ยงสารพัดสารเพ บอกว่าตัวเองโดนไล่ออกจากวัดแล้วหมา ๔๒ ตัวจะอดตายหมด ไม่มีอะไรกิน น่าฆ่าให้ตาย...! ขนาดต้องถ่ายรูปหมาส่งไปให้ทางเว็บเขาด้วย บอกว่าไอ้หมาที่จะเดินไม่ไหวเพราะว่าอ้วนเกินไป ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะกิน" |
"เขาแชร์ต่อไปบานเบิก โดยเฉพาะพวกที่ถึงเวลาก็ใส่อารมณ์เลยโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือแม่ชีรายนี้วีรกรรมแกเยอะ เคยโดนหัวหน้าแม่ชีไล่ออกไปทีหนึ่งแล้ว แต่แกก็ทำหน้าตาเฉยอยู่ต่อไปเรื่อย จนกระทั่งแม่ชีชื่นหมดปัญญาจะจัดการ ครั้งนี้หลวงพ่อต้องเป็นคนไล่เอง
โดยปกติแล้วการรับคนเข้ารับคนออกในส่วนของฆราวาสกับแม่ชี อาตมามอบให้เป็นหน้าที่แม่ชีชื่น แต่แม่ชีชื่นเองก็ไม่มีปัญญาจะจัดการ เขาทำหน้าตาย...กูไม่ไป ก็ปล่อยเขาอยู่ต่อ เสร็จแล้วก็สร้างปัญหาให้ทุกครั้ง เพราะว่าเขาจะไปโพสต์ว่าเขาอยู่วัดลำบาก ไม่มีสตางค์ใช้ เพื่อไปขอเงินเขา เสร็จแล้วพอถึงเวลาฝนตก หมาก็เดินตากฝนมา ไปเล่นสนุกมา ตัวเปียกมะลอกมะแลก แกก็ถ่ายรูปไปให้เขาดู บอกว่าหมาไม่มีที่พัก ขอรับบริจาคซื้อผ้าใบมาทำอะไรให้หมาอยู่หน่อย แกหารายได้ทุกอย่างที่แกเห็นว่าคนเขาจะโอนสตางค์ให้ เขาสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกสถานการณ์ ท้ายสุดเพราะว่าโดนแม่ชีชื่นไล่ออก ก็มาฟ้อง “หลวงพ่อ..หนูโดนไล่ออก” ก็คือประมาณว่าจะให้อาตมาไปกัดกับแม่ชีชื่นแทนแกกระมัง ? ก็บอกไปว่า “ไล่ออกก็ไปเลย..ขนของออกไปวันนี้แหละ” ก็อาตมาให้อำนาจเขาแล้ว ในเมื่อหัวหน้าแม่ชีเขาไล่ออก คุณก็ต้องไปตามที่เขาสั่ง เขาก็เลยใช้วิธีประเภทโพสต์ลงสารพัดเพจสัตว์เลี้ยง เหมือนกับเรียกร้องความสนใจ หมาไม่มีจะกินแล้ว เขาจะได้โอนสตางค์ค่าอาหารมาให้อะไรประมาณนี้" |
"เช้า ๆ หมาที่วัดชอบลงไปว่ายน้ำเล่น เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาฝนตกแทนที่จะหลบฝน ก็ไปตากฝนเล่น แกก็จะถ่ายรูปหมาเปียกมะลอกมะแลก แล้วก็บอกว่าหมาหนาวจะตายอยู่แล้ว ไม่มีที่มุงที่บังอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หมาจะมุดเข้าไปใต้ถุนกุฎิหลังไหนก็ได้
ไปขอบริจาคเงินเขาซื้อผ้าใบเพื่อที่จะเอามามุงหลังคาให้หมา ทั้งที่ชายคาหลบฝนที่ไหนก็มี วีรกรรมแกเยอะมาก พอรู้ว่าโดนไล่ออกตอนไปบิณฑบาต โยมทางบ้านเขาก็ “หลวงพ่อ..ขอให้แม่ชีอยู่ต่อหน่อยเถอะ” อาตมาบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว ฉันรับความตอแหลของแม่ชีไม่ไหว โยมเอากลับไปเถอะ” โยมเจอหลวงพ่อพูดตรง ๆ เข้าก็คงสะอึกเหมือนกัน" |
ถาม : ลูกของหนูป่วยบ่อยค่ะ จะทำบุญอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญตอนนี้ไม่ทันหรอก ต้องทำตั้งแต่ชาติที่แล้วถึงจะได้ชาตินี้ เพราะฉะนั้น..ชาตินี้ไม่ต้องทำบุญ...ไปหาหมอเอา ถ้าถามอย่างนี้ ไปที่อื่นเขาจะมีสารพัดวิธีแก้กรรม แล้วจะรู้ว่าต้องจ่ายหนักแค่ไหน เอาวิธีที่เป็นธรรมชาติและคนทั่ว ๆ ไปยอมรับ ก็คือไปหาหมอ ไม่ใช่ถึงเวลามาถามพระ หรือถามหมอดู หรือถามตำหนักทรง เดี๋ยวก็จะรู้ว่าหาเงินมาเท่าไรก็ไม่พอให้เขาหรอก หลวงพ่อพูดตรงเกินไปคนเขาไม่ค่อยชอบ เพราะว่าพูดแล้วเขาจะรู้สึกว่าตัวเองโง่ไปถนัดเลย..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:36 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.