![]() |
หลวงพ่อเล็กเล่าเรื่องพระลกุณฏกภัททิยะ ให้ฟังว่า คนอื่นสร้างเจดีย์สูงใหญ่ขนาดไหน พระลกุณฏกภัททิยะ จะต่อให้เล็กลงตลอด
หลวงพ่อยกตัวอย่างว่า เขาสร้างสูงหนึ่งโยชน์ท่านบอกว่าเอาครึ่งโยชน์ ถ้าเขาสร้างครึ่งโยชน์ ท่านบอกเอาหนึ่งคาวุตก็พอ พอเวลาท่านพระลกุณฏกภัททิยะมาเกิด ตัวก็เลยเล็กนิดเดียว ไปไหนคนเขาก็เรียกกันว่าเณร ท่านลกุณฎกภัททิยะนี้ ภายหลังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางพูดเสียงไพเราะ ดูข้อมูลได้จากเว็บนี้ ค่ะ http://www.84000.org/one/1/20.html |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าอยากมีบริวารเยอะ ๆ ต้องเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิสักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาแล้วจะรู้ เพราะต้องบริการคนทั้งโลก แล้วจะเข็ดไปเอง..!"
|
ในเรื่องการจารตะกรุดเม หรือเขียนยันต์ต่างๆ ฯลฯ หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "โบราณที่เขาสอนให้ทำเรื่องพวกนี้ คือ ตั้งใจให้จิตเป็นสมาธิ เป็นการบังคับให้ทำจิตเป็นสมาธิไปในตัว"
|
มีสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อเคยไว้ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราปล่อยแล้ว วางแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนั้นแล้ว แต่ถ้าเรายังเก็บเอาไปคิดต่อทีหลังอีก แสดงว่าเรายังแบกเอาไว้
|
วันอาทิตย์ มีคนมาถามปัญหาหลวงพ่อเล็ก เขาถามในลักษณะที่ว่าไม่น่าถาม เวลาถามก็รวบรวมคำถามได้ไม่ดี เจอหลวงพ่อเล็กดุไปหลายครั้ง แต่ท่านก็ยังเมตตาตอบชายสองคนนั้น
ในขณะที่ท่านตอบคำถามของชายสองคนนั้น ท่านบอกกับเถรีด้วยว่า "ถ้าเขาเจอแบบนี้(โดนดุ)แล้ว รู้สึกอาย รับไม่ได้ จนครั้งต่อไปไม่กล้าถาม แสดงว่า เกิดอาการ ตัวกู ของกู" |
หลวงพ่อเคยบอกว่า ให้พวกเราหมั่นจดคำไทยโบราณที่ท่านสอนไว้บ้าง ต่อไปจะได้รวบรวมทำหนังสือ "คำพ่อสอน"
ปล. ถ้าจำชื่อหนังสือไม่ผิด น่าจะประมาณนี้ |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "การที่จะปิดทวารให้ได้จริง ๆ อย่างน้อยต้องทรงฌานได้ แต่ว่าปฐมฌานปิดได้ไม่จริง คือ ยังรับรู้ แต่ไม่เอาเข้ามา
ถ้าจะเอาประเภทไม่รับรู้ไปเลยก็ต้องนิโรธสมาบัติ" |
หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงในเรื่องการทำบุญว่า ถ้ายอดเงินขาดแล้วเติม คนสุดท้ายจะได้เปรียบ เพราะเขาทำเท่าไรเราจะได้หมด
พอหลวงพ่อพูดจบ เห็นหลวงพี่ติ๊กท่านล้วงย่ามจะปิดยอดเงินทันที :4412144b: |
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังถึงหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ว่าตอนนั้นท่านไปหาหลวงปู่ตั้งแต่เช้า กะว่าเป็นเวลาฉันเช้าของท่าน จะได้ไม่รบกวนท่านมาก และอย่างน้อย ๆ ได้เจอท่านแน่ ๆ ปรากฏว่าเจอท่านหมอบอยู่ที่ประตู เพราะมีญาติโยมที่แห่กันมาเป็นรถทัวร์ มาเคาะประตูเรียกท่านตั้งแต่ตอนตีสอง
หลวงพ่อเล็กบอกว่า ท่านได้คำสอนประโยคหนึ่งจากหลวงปู่ แล้วไม่เคยขอท่านเพิ่มอีกเลย กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ครับ..ผมขอโอวาทสำหรับนำไปปฏิบัติด้วยครับ" ท่านบอกว่า "ครูบาอาจารย์ของผมสอนไม่มากหรอก ท่านสอนว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆังเป็นที่พึ่ง แค่นี้แหละ" หลวงพ่อเล็กบอกว่า "เรานี่กราบตูดโด่งเลย เคี้ยวตั้งหลายปียังไม่หมด ก็เลยไม่ได้ขออะไรเพิ่ม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ท่านให้ตั้งแต่พระโสดาบันยันพระอรหันต์เลย..!" |
หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงท่านสุปปพุทธกุฏฐิให้ฟังอย่างย่อ ๆ ว่า พอท่านสุปปพุทธกุฏฐิตาย พระทั้งหลายไปทูลบอกพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านสุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน พระท่านก็สงสัยว่า พระอริยะบุคคลทำไมเป็นโรคเรื้อนด้วย พระพุทธเจ้าตรัสบอกบุรพกรรมให้ฟังว่า ในอดีตท่านสุปปพุทธกุฏฐิ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ก็เกิดความรังเกียจ เพราะพราหมณ์จะรังเกียจพวกที่แต่งตัวแบบพระ เขาถือว่าเป็นกาลกิณี เลยถ่มน้ำลาย ด่าว่าเป็นคนขี้เรื้อน ปรากฏว่าตัวเองเกิดใหม่ก็เลยกลายเป็นขี้เรื้อน แต่ว่าเนื่องจากบุญเก่าสร้างไว้ดี ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบัน ท่านบอกว่า เป็นผู้มีคติอันเที่ยงแท้แล้ว มีแต่ขึ้นบน ไม่มีลงล่างแล้ว |
ในเรื่องการปฏิบัติเพื่อละกิเลส หลวงพ่อเล็กท่านเล่าให้ฟังถึงตอนที่ท่านอยู่วัดท่าซุงว่า มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่ท่านนอนไป ๒ ชั่วโมงแล้วก็ลุกขึ้นมาภาวนาต่อ ปรากฏว่าวันนั้นอารมณ์จิตดีมาก เบาสบาย แทบจะเหาะได้บินได้อยู่เดี๋ยวนั้นเลย ท่านก็คิดว่า ท่านเองคงได้บรรลุคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
แต่โชคดีที่หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนอยู่เสมอว่า อารมณ์การปฏิบัตินั้น ให้ยกสังโยชน์ ๑๐ ขึ้นมาเทียบก็จะรู้ หลวงพ่อเล็กท่านก็ไล่เทียบสังโยชน์ตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปว่ายังมีครบ ๑๐ ตัวเลย..! ท่านก็บอกว่า วันนั้นอารมณ์ดีมาก กิเลสบางอย่างเบาลง เราคิดว่าหมดแล้ว พอพิจารณาเข้าจริง ๆ ยังมีซ่อนอยู่เต็ม เพียงแต่มันหลบไปนอนอย่างที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกไว้ กิเลสหลบไปนอนนี่ น้ำใสปิ๊ง ไม่มีขุ่นเลย หลวงพ่อเล็กท่านแนะนำมาว่า ในการพิจารณาเทียบกับสังโยชน์ ให้พิจารณาแบบห้ามเข้าข้างตัวเอง ประเภทที่รู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ถึงจะถูก นั่นยังไม่ใช่ จะต้องเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจจริง |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า การที่จะได้ฟังธรรมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะฟังในคราวที่พระท่านมาโปรดเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่ที่ท่านโปรดจะอยู่ในส่วนที่เราข้องอยู่
ถ้าฟังแล้วจะได้อะไรมหาศาล เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องเอามาเคี้ยว ค่อย ๆ ย่อยทีหลัง |
ในเรื่องการใช้คาถา การปฏิบัติภาวนาต่าง ๆ หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าไม่คิดที่จะทำเสียตั้งแต่ตอนที่ครูบาอาจารย์ยังอยู่ ถ้าท่านตายไปแล้วคิดหรือว่าจะทำ..!"
ประโยคนี้ต้องเน้น :332f960b: |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า พวกว่านยาส่วนมากถ้ากินลงไปแล้ว ตราบใดที่ยังไม่ปัสสาวะ ฤทธิ์ก็จะคงอยู่อย่างนั้น ถ้าปัสสาวะออกเมื่อไรก็จะหมดฤทธิ์
|
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "ตอนที่ยังแบกอยู่ ก็ทุกข์แสนสาหัส พอวางได้แล้ว มองกลับไปคิดจะหัวเราะ ขำตนเองว่าทำไมตอนนั้นถึงโง่แท้
นึกถึงสมัยก่อน หลวงปู่หลวงพ่อสิบกว่าองค์ มาช่วยงานสร้างโบสถ์ที่วัดท่าซุง พอถึงเวลารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ ท่านก็มาอยู่พร้อมหน้ากัน สี่รูป ห้ารูป หกรูป วัน ๆ ไม่เห็นท่านคุยอะไรกันเลย แต่ละท่านก็นั่งยิ้ม ฉันหมาก ฉีกใบพลู ทาปูน แล้วก็ม้วนใส่ปากเคี้ยว มองหน้าแล้วก็พยักหน้า...ยิ้ม ท่านไม่มีอะไรคุยจริง ๆ เราเห็นท่านเราก็มีความสุข แต่เราตะกายไม่ถึง ช่วยพูดสักหน่อยไม่ได้หรือครับหลวงปู่ (หัวเราะ) เราเหมือนเป็นตัวตลกของท่าน เพราะเรายังปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ยังแบกเต็มตัว แต่ท่านที่ทำถึง ท่านไม่มีเรื่องจะคุยแล้ว หมดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวคือ รักษากำลังใจตัวเองด้วยความระมัดระวัง เพราะท่านไม่ประมาท แต่สำหรับพวกที่ไม่ถึงอย่างเรา ก็ยังต้องตะกายอยู่ " |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ภาวนา คือ ทำให้เจริญ ยิ่งทำต้องยิ่งเจริญขึ้น ไม่ใช่ทำแล้วอยู่กับที่หรือว่าถอยหลัง "
|
หลวงพ่อเล็กบอกว่า " ความยากลำบากคือกำไรของชีวิต ถ้าเราลำบากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปทุกอย่างก็สบาย เพราะไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสกว่านั้นอีกแล้ว"
|
หลวงตาวัชรชัยเคยถามหลวงพ่อเล็กว่า "เวลามีเรื่องต้องใช้เงินมาก ๆ แล้วเราไม่มีนี่ คุณทำใจอย่างไร"
ท่านตอบว่า "มอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลยครับ ท่านหาของท่านเอง ไม่ใช่ผมหา" |
หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังถึงคำสอนของหลวงปู่ดู่ที่ว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร เลือกพูดแต่ส่วนที่ดีของคนอื่นเขา เพราะท่านดีหมด ในเมื่อท่านดีหมด สิ่งที่ท่านเห็น ก็มีแต่ดีทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน คนมองโลกในแง่ร้าย เห็นอะไรก็คิดว่าไม่ดีไปหมด"
|
หลวงพ่อได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระวินัยข้อหนึ่งให้ฟัง ข้อที่กล่าวว่า ห้ามภิกษุกล่าวพรรณนาหรือสรรเสริญคุณความดีของความตาย
แล้วท่านก็เล่าเรื่องในพระไตรปิฎกให้ฟังว่า สมัยหนึ่งมีอุบาสกคนหนึ่งไม่สบาย แล้วภิกษุฉัพภัคคีย์ (ภิกษุ ๖ คน ในกรุงสาวัตถีที่เป็นสหายกัน) เกิดพอใจในภรรยาของอุบาสกนั้น พูดง่าย ๆ ว่าอยากได้ภรรยาของอุบาสก จึงใช้วิธีกล่าวพรรณนาคุณของความตายให้อุบาสกฟัง ปรากฏว่าอุบาสกผู้นั้นเชื่อ เลยพยายามกินของแสลงเยอะ ๆ เพื่อที่จะให้ตนเองตาย แล้วก็ตายจริง ๆ ตายด้วยโรคกำเริบเพราะเหตุกินของแสลง ภรรยาของอุบาสกนั้นจึงติเตียนภิกษุฉัพภัคคีย์ และความนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาขึ้นว่า ห้ามการพรรณนาคุณของความตาย หรือชักชวนเพื่อให้ตาย ผู้ใดละเมิด ต้องอาบัติปาราชิก :4672615: จริง ๆ แล้ว ภิกษุฉัพภัคคีย์นี่แสบมาก ๆ ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับภิกษุเหล่านี้ จะรู้เลยว่าชอบย่ำยีสิกขาบท พวกนี้ที่เข้ามาบวชเพราะว่าเบื่อการทำกสิกรรม ไม่ชอบความลำบาก เลยคิดว่าบวชดีกว่าตนเองจะได้สบายและมีบริวาร |
จินตนาการบรรเจิด กิเลสจะเกิดตามมา
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า" เราจะเกิดเป็นคนได้ ก็ต้องมีคุณธรรมของความเป็นคนมาก่อน การทำผิดศีล ๕ ทำให้คุณธรรมตรงนี้ลดลง ฉะนั้นใครที่ทำผิดศีล ๕ ก็หมายถึงว่าเขากำลังทำลายความเป็นมนุษย์ของตนเองให้ ลดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเองต้องไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนลงไปเรื่อย ๆ "
|
หลวงพ่อเคยบอกว่า "เราเป็นพระ สอนให้เขาละกิเลส แต่เราทำอะไรให้หยาบ ๆ ไว้ให้เขาเห็น ก็สอนเขาได้ไม่เต็มปาก"
|
หลวงพ่อเล็กท่านกล่าวว่า "คนเรามีจุดอ่อนไม่เหมือนกัน บางคนแพ้รูป แพ้รส กลิ่น เสียง สัมผัสแตกต่างกัน เช่น การเมืองอาจทำให้ใจบางคนร้อนรน แต่บางคนอาจทนได้หรือเฉย ๆ จึงเป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติที่จะต้องหมั่นพิจารณาหาจุดอ่อนตนเองเสมอ เพื่อแก้ไขให้ใจเราเยือกเย็น"
|
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ก่อนรบ เขามักกล่าววาจายั่วโทสะกัน ใครยั่วขึ้น สติปัญญาย่อมลดลง เรียกง่าย ๆ ว่า ถ้ารบใจตนเองแพ้ รบกับใครก็ยากจะชนะ"
|
หลวงพ่อเล็กเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพวกไทดำให้ฟัง
ท่านบอกว่าชาวไทดำจะมีประเพณีของเขา ถ้าฝ่ายหญิงชอบใจหนุ่มคนไหนก็จะจับหนุ่มไปขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไป รอจนกว่าพ่อแม่ฝ่ายชายจะมาไถ่ตัว ทีนี้หลวงพ่อเล็กของเราพอขึ้นบ้านของชาวไทดำ ท่านก็พกไฟแช็กไปด้วย พร้อมกับประกาศว่า "ถ้าใครจับผมขัง ผมจะเผาบ้านให้เกลี้ยงเลย " ปรากฏว่า "ไม่เห็นมีใครกล้าจับอาตมาขังเลยสักคน !! " |
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "บุคคลที่มีความดี รับคำสั่งครั้งเดียวทำตลอดชีวิต แสดงถึงจิตที่ละเอียด ไม่ต้องมาตอกย้ำอยู่ทุก ๆ วัน"
|
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "ตะเกียกตะกายไปหามัน แสดงว่ายังไม่เข็ด"
|
พระอาจารย์ท่านเคยปรารถถึง อารมณ์พระอรหันต์ว่า "ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกาย ยอมรับกฎของกรรม"
|
พระอาจารย์ท่านบอกว่า "จงกล่าวโทษโจทก์ตัวเองไว้เป็นประจำ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องมีข้อบกพร่อง อย่าไปสอดส่ายส่งจิตไปดูความผิดคนอื่น แล้วเอากิเลสตัวเองไปแบ่งปันให้เขา ไปตำหนิเขา ความผิดผู้อื่นดูเอาไว้เพื่อเตือนตนไม่ให้ทำอย่างเขาเท่านั้น "
|
ท่านอาจารย์บอกว่า " ทำอะไรถ้าทำแล้วไม่ดีให้รีบแก้ไขให้ดี " :1025c640:
|
พระอาจารย์บอกว่า "คนที่มีความสามารถพิเศษมักมีทางเลือกอยู่สองทาง ถึงไม่เลือก ก็ต้องเป็นอย่างนั้นคือ คนเชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แห่กันไปหาจนไม่ได้พักผ่อนนอนหลับ กับอีกอย่างคือ คนเขาไม่เชื่อและหาว่าบ้า !!"
|
หลวงพ่อได้สั่งสอนผู้ชายคนหนึ่งว่า "จำเอาไว้ว่า การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยอวดกันไปกันมา เสียเวลาเปล่า แบบนั้นยังไม่ใช่ของจริง เอาเวลาไปนั่งภาวนาดีกว่า"
|
ต้นเดือนที่แล้วน้องแบงแบง (จำไม่ได้ว่าอายุกี่เดือน) ทำท่าเดินเข้าไปหาน้องซันแบบหาเรื่อง เสมือนว่าไม่กลัวเกรงน้องซันซึ่งตัวโตกว่าเลย เถรีก็แซวว่าน้องแบงแบงเป็นนักเลงหรือ จึงไม่กลัว กล้าหาเรื่องกับคนตัวโตกว่า
หลวงพ่อก็บอกว่า "นั่นแสดงออกถึงเรื่องกำลังใจ ต่อให้ตัวใหญ่ก็เถอะ ถ้าถอดใจไม่สู้ก็แพ้อย่างเดียว กำลังใจจึงสำคัญที่สุด มโนเสฏฐา มโนมยา ประเสริฐสุดก็ใจ สำเร็จได้ก็ใจ" |
มีเรื่องหนึ่งที่พระอาจารย์ท่านบอกแล้วเถรีถึงกับอึ้ง ท่านกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์บอกว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าในช่วงที่ท่านบำเพ็ญบารมี ท่านมีการสละออกในทุก ๆ เรื่อง ท่านจะทำเพื่อคนอื่น นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ดังนั้น การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นไม่ได้ทำเพื่อตนเอง จึงเป็นเสมือนการสละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง ไปในตัวด้วย ไม่ได้ทำเพื่อตนก็เหมือนกับการไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้ยึดตัวตน การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นมาก ๆ สละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง นี้แหละ จึงเป็นการทำให้ทิพจักขุญาณของท่านแจ่มใสกว่าบุคคลอื่น ๆ นอกจากนี้พระอาจารย์ยังกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรกว่า ท่านบำเพ็ญบารมีมาเกือบ ๔๐ อสงไขย โดยที่ไม่มีใครเป็นต้นแบบให้กับท่านมาก่อน การที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกจึงทำให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา ได้ตามดู โดยการใช้ทิพจักขุญาณ ย้อนดูถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรก เถรีฟังแล้วรู้สึกว่าอัศจรรย์เหลือเกิน :baa60776: อัศจรรย์ทั้งในเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า และอัศจรรย์ในสิ่งที่พระอาจารย์บอกซึ่งตนไม่เคยรู้มาก่อน |
ขอแทรกด้วยคำสอนเมื่อคราวที่เถรีไปวัดเขาวงมานะคะ พอดีเพิ่งระลึกได้
หลวงพี่เอ๊ดท่านได้พูดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมโนมยิทธิ ท่านบอกว่าจริง ๆ แล้วมโนมยิทธินอกจากที่หลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนเราเพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ว่านรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพานเป็นสิ่งที่มีจริงแล้ว มโนมยิทธิยังเป็นการสอนให้เรารู้จักตัดร่างกายด้วย การที่เราใช้ใจออกไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ตอนนั้นแสดงว่าเราตัดความพอใจในร่างกายนี้ไปแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยนึกถึงกัน :4672615: มักเอามโนมยิทธิไปใช้ในทางอื่นเอาเสียมาก |
พระอาจารย์เล็กบอกว่า "การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด อยู่ในโลกมันก็ต้องเจอกับโลกธรรม คือธรรมะประจำโลก ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข
ถึงวาระมันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ ก็ต้องระวังมันอยู่ตลอด ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมาเราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว" |
พระอาจารย์เคยบอกว่า "ถ้าเราไม่รู้จริง ไม่สามารถสัมผัสได้จริง พูดเมื่อไหร่ก็ผิดเมื่อนั้น !"
|
พระอาจารย์ท่านเคยบอกว่า "ดีใจที่พวกเราจองพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก ไม่ใช่ดีใจที่ได้เงิน แต่ดีใจว่าอย่างน้อยพวกเราต้องทำคาถาเงินล้านได้ผล จึงมีความคล่องตัวกันขนาดนี้"
|
พระอาจารย์ท่านเคยพูดเล่นว่า "..ใครจะมาบริจาคทำบุญกับข้า ต้องให้มาขอร้องทั้งน้ำตา ข้าจึงจะรับ..!"
ความจริงก็คือว่า ท่านติดสัญญากับหลวงปู่หลวงพ่อว่า "..การก่อสร้างใด ๆ ถ้าต้องขอเขาแม้แต่บาทเดียว ท่านจะเลิกทำทันที..!" |
เกี่ยวกับเรื่องเงิน พระอาจารย์บอกเสมอว่า "ถึงเขาถวายเป็นส่วนตัว เราก็ต้องคิดว่าเป็นเงินสงฆ์เสมอ เพราะถ้าเราไม่บวชเข้ามา เขาก็คงไม่ให้การสงเคราะห์ จะเอาไปใช้เปะปะไม่ได้ "
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.