กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=805)

เถรี 09-08-2009 21:39

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พม่ามันแสบมาก มันเล่นร้องเพลง รักเก่าที่บ้านเกิด หลอกเรา เสียงมันดีเสียด้วย (เพลงนี้ร้องว่า พี่จากบ้านนาไปห้าหกปี มาเยือนคนดีด้วยความคิดถึง...)

คราวนี้ต้องยอมรับว่า ถ้าสติสมาธิมันทรงตัว ความเป็นทิพย์มันรายงานหมด ทันทีที่ได้ยินมันรู้พร้อมหมด ว่าเขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เขาอยากจะพิสูจน์เรา ไม่กล้าลงมาถาม ใช้วิธีร้องเพลงไทย ถ้าเราหันขวับไป ใช่เลย โดนแน่

เพลงนี้ผู้หญิงโดนเขาหลอกไปขายตัว ผู้ชายก็เลยเสียใจหนีออกจากบ้าน กลับมาอีกทีแฟนบวชเป็นชีไปแล้ว (ได้ข่าวว่าสาวไปบวชเป็นชี สูญเสียความดีพี่น้องเมินหน้า ถูกมารสังคมหลอกขาย...)

ถ้าหากเราวิเคราะห์สภาพจิตใจของทั้งสองฝ่าย ผู้หญิงดีกว่าเยอะเลย พอผู้หญิงพ้นจากสภาพนั้น เขาก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงขนาดไปบวชเป็นชี และก็คงรู้ว่าผู้ชายเขาทิ้งไปแล้ว ถึงได้บอกว่า สามวันจากนารี (ผู้ชาย) เป็นอื่น

เรามาดูกำลังใจของเขาในเพลงนี้ ผู้ชายเขากลับมา เขารู้ว่าผู้หญิงบวชชีแล้ว อยากไปหา แต่กลัวว่าถ้าโผล่ไปแล้วจะทำให้แม่ชีฟุ้งซ่าน พยายามห้ามใจตัวเอง ลักษณะอย่างนั้นแหละ ถ้าห้ามใจตัวเองได้ มันก็คือกำลังใจในการห้ามรัก โลภ โกรธ หลง มีโอกาสละเมิดศีลแล้วไม่ละเมิด มีโอกาสทำในสิ่งที่ตนเองทำไปแล้วจะดีแก่ตน แต่เสียหายแก่ผู้อื่นก็ไม่ทำ"

เถรี 10-08-2009 09:16

หลวงพ่อบอกว่า "ในส่วนของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นับแล้วมันเป็นอัตตาธิปไตย

พระพุทธเจ้ากล่าวถึงอธิปไตย ๓ อย่าง มีอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ (ถือเสียงข้างมาก) แล้วก็ธรรมาธิปไตย ก็คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ เราว่าอันไหนดี"

เถรีก็บอกว่า "ธรรมาธิปไตย"
หลวงพ่อบอกว่า "ไม่แน่ มันขึ้นอยู่กับคนใช้"

หลังจากนั้นท่านก็อธิบายว่า "อัตตาธิปไตย ถ้าได้พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมอย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะว่าขั้นตอนไม่มี สั่งการอย่างเดียวเลย ส่วนโลกาธิปไตยอย่างปัจจุบัน ทำอะไรได้ เพราะคนที่ทำหน้าที่อยู่ไม่มีศีลธรรม เพราะฉะนั้นถ้านับดูแล้วเรื่องของอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยยังไม่มีความแน่นอนว่าจะดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับบุคคลที่ใช้ แต่ธรรมธิปไตยมีดีอยู่โดยส่วนเดียว

ธรรมาธิปไตยถ้าอยู่ในอัตตาธิปไตยก็ทำให้เจริญรุ่งเรืองได้ง่าย ธรรมาธิปไตยถ้าอยู่ในโลกธิปไตยก็ทำให้การปกครองทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น"

เถรี 10-08-2009 09:24

ท่านก็กล่าวต่อไปอีกว่า "แม้นหวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จักอาจสู้ริปูขยั้น

แบบเดียวกับแคว้นวัชชี ปกครองโดยสามัคคีธรรม พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกษัตริย์แคว้นมคธ แคว้นมคธนี่ใหญ่โตมโหฬารมากกว่าแคว้นวัชชีหลายเท่า แต่แตะต้องแคว้นวัชชีไม่ได้ เพราะว่าแคว้นวัชชีนอกจากจะสามัคคีกลมเกลียวกันแล้ว ฝีมือในการรบก็นับว่าสุดยอด เขาบอกว่าเหล่ากษัตริย์แคว้นวัชชีสามารถขี่ม้าแล้วแผลงศรเข้าไปยังช่องดาลประตูได้ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ยิงปืนตอกหัวตะปูได้

แม้ว่าจะใช้ธรรมาธิปไตยแต่ก็ต้องเตรียมพร้อมลักษณะนั้น แบบเดียวกับพระเจ้าโกรัพยะ พระรัฐบาลบอกว่า โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน พระเจ้าโกรัพยะบอกว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อย่างพระองค์เป็นกษัตริย์ก็เป็นใหญ่แล้ว พระรัฐบาลบอกว่า ดูกรมหาบพิตร ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่า ข้างฟากมหาสมุทรแห่งโน้น มีบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ด้วยช้างม้าวัวควาย ด้วยแก้วแหวนเงินทอง ปราศจากกำลังรบ พระองค์ท่านจะทำอย่างไร พระเจ้าโกรัพยะบอกว่า โยมก็ต้องเกณฑ์ไพร่พลไปเพื่อยึดบ้านเมืองนั้นมาเป็นของเรา พระรัฐบาลเถระบอก นั่นแหละ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่มีผู้เป็นใหญ่เฉพาะตน

ท่านบอกไว้หลายข้อ โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน อันนี้ชัดเจนเลย อนิจจัง ก้าวเข้าไปหาความแก่ ความตายตลอดเวลา ท้ายสุดท่านว่า โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นต่อไปในอนาคตข้างหน้า แม้ว่าสภาพบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนก็ตาม แต่ว่ากิเลสคนยังเหมือนเดิม มันยังรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ดังนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอกาลิโก ไม่โดนจำกัดด้วยกาลสมัย ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ถ้านำธรรมะของท่านไปใช้ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น เพราะว่ายุคใดก็ตาม เจริญสุดขีดขนาดไหนก็ตาม กิเลสมันก็หน้าตาเหมือนเดิม"

เถรี 10-08-2009 09:28

ท่านกล่าวต่ออีกว่า "มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่หน้าตากิเลสมันเหมือนเดิม อย่างที่หนัก ๆ อยู่ ก็ไอ้ตัวแสบมันมา ตีกันจนคุ้น มันมาบอกว่า ที่ท่านไปสอน ๆ ไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบซ้ำไม่รู้ตั้งกี่ชั้นแล้วมันก็ทำให้ดู

(หลวงพ่อยกฝ่ามือขึ้นมา) นี่ท่านเรียกว่าอะไร สมมติก็เรียกว่ามือ นี่หลังมือ หน้ามือ นิ้วมือ มีนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย มีนิ้วโป้งข้อที่ ๑ นิ้วโป้งข้อที่ ๒ ฯลฯ
ไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งเล็บ มันบอกว่าแค่มือข้างเดียวมันครอบตั้งกี่ชั้นแล้ว

ถ้าหากปัญญาญาณไม่แหลมคมจริง ๆ ไม่สามารถจะแทงทะลุได้หรอก มันมาเกลี้ยกล่อมเรา บอกว่าสอนไปก็เหนื่อยเปล่า ถ้าเชื่อมันก็โง่ตาย

เราต้องนึกท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท่านมาอาราธนาพระพุทธเจ้า สัตว์โลกอันธุลีในจักษุมีน้อยนั้นมีอยู่ พึงจักรู้ทั่วถึงธรรมนั้น ขออาราธนาพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมเถิดพระเจ้าข้า

แล้วก็ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ปีหนึ่งท่านไปอเมริกา คนตามไป ๔๒ คน หลวงพ่อจ่ายค่าเครื่องบินไปสามล้านกว่า เราก็ว่า หลวงพ่อครับ มันคุ้มหรือครับ จ่ายเงินเป็นล้าน ๆ ท่านบอกว่า ถ้าหากมีคนรู้จักพระนิพพานแม้คนเดียวก็คุ้ม เงินล้านก็ซื้อพระนิพพานไม่ได้

แล้วก็ย้อนกลับมาคิดว่า หลวงพ่อคิดอย่างนั้นคนเดียว ท้าวสหัมบดีพรหมท่านบอกว่า สัตว์โลกอันธุลีในจักษุมีน้อยนั้นมีอยู่

เมื่อเห็นตรงจุดนี้ อย่างที่บอกกับโยมเมื่อเช้า เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าได้ทุ่มเทความพยายามจนเต็มที่แล้ว ผลมันจะเกิดอย่างไรเราเอาทั้งนั้น ได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่ได้ก็จะเอา "

เถรี 10-08-2009 09:33

ท่านกล่าวต่ออีกว่า "จากที่ไปรบกับเขามา มันทำให้รู้ว่าคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน มีกำลังบารมีสูงมากแต่โดนเขาหลอกหลงทาง

ปัจจุบันนี้ถ้าเราศึกษาในเรื่องของสายการปฏิบัติต่าง ๆ มีหลายสายที่เริ่มมีนิพพานดำ นิพพานขาว มีต้นธาตุต้นธรรมของพระพุทธเจ้า มีภาคขาว มีภาคดำ ภาคขาวเป็นต้นธาตุต้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาคดำเป็นต้นธาตุต้นธรรมของมาร แล้วมันยังระบุอีกว่าฝ่ายมารสร้างบารมีมาเยอะกว่า ฟังแล้วท้อ

บังเอิญเราเป็นอย่างภาษิตจีนที่ว่า โคถึกน้อยไม่รู้จักกลัวพยัคฆ์"

เถรี 10-08-2009 12:15

ถาม : แล้วที่ปฏิบัติในลักษณะที่ตึงจนเกินไป
ตอบ : อ๋อ ไม่ต้องห่วง สมัยนี้ไม่มีหรอกอัตกิลมถานุโยค

ถาม : แล้วพระจักขุบาลเถระ
ตอบ : อันนั้นของท่านมั่นคงกับอธิษฐานบารมี ยอมแลกด้วยชีวิต บุคคลที่ไม่ห่วงใยอาลัยร่างกายขนาดนั้นแล้ว กำลังใจที่พร้อมที่จะตัด มันก็เหลือแค่เข้าให้ถูกทางแค่นิดเดียว

เถรี 10-08-2009 12:29

หลวงพ่อถามว่า "เคยดูมวยไหม บางทีคนที่แพ้ คนดูเขาปรบมือให้มากกว่าอีก เพราะเขาสู้"

"มันต้องลงทุนให้ได้อย่างนั้น ไม่เช่นนั้นมันจะสู้กิเลสไม่ไหว โดยเฉพาะสมัยนี้มันมาในรูปแบบล่อตาสารพัดต่าง ๆ เด็กสมัยหลังนี้น่าสงสารมาก มันโดนกระตุ้นให้เกิดความต้องการเทียมขึ้นมาสารพัดอย่าง ไปสังเกตดูโฆษณาได้เลย ๔ ใน ๑๐ จะเป็นของกิน อีก ๔ ใน ๑๐ จะเป็นของใช้ที่ไม่จำเป็น มีอย่างดีอยู่แค่ ๒ เท่านั้น มันก็แปลว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ได้เรื่อง แต่เขากระตุ้นไปว่าขาดไม่ได้ ต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งนะ ยิ่งทายิ่งขาว คนไทยมันดำอยู่แล้ว ทาจนตายก็ไม่ขาว ในเมื่อมันสร้างค่านิยมขึ้นมาให้คิดว่าขาวแล้วดี มันไม่ได้คิดเลยว่าความดีมันอยู่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอก ไปเจอพวกดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ ก็เจ๊งไปเลย"

เถรี 10-08-2009 13:24

หลวงพ่อบอกว่า "มีพระที่นิมนต์มา ๑ รูป เป็นพระสายวัดสังฆทาน

หลวงพ่ออุดม (พระอธิการอุดม ปทุโม) วัดป่าผาตาดธารสวรรค์
เป็นวัดที่อยู่ใกล้เกาะพระฤๅษีที่สุด ถ้าท่านไม่เกรงใจสามารถเดินลัดข้ามเขามาแป๊บเดียวก็ถึง ถ้าวิ่งรถก็หลายนาทีหน่อย

เราจะได้รู้ว่าสายการปฏิบัติมันไม่ได้สำคัญ สำคัญว่าทำจริงหรือเปล่า

วันก่อนเจอกันในงาน บอกหลวงพ่อว่าอย่าลืมงานผมนะ ท่านบอกว่าไม่ลืมหรอก เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนไปอีกคน แสดงว่าจะมาอีกหนึ่ง"

เถรี 10-08-2009 13:31

ถาม : หลวงพ่อครับ ถ้าเราถวายสังฆทานไป แล้วพระท่านเอาไปใช้เป็นของส่วนตัว ตรงนี้....

ตอบ : สมัยที่ผมอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อสอนผมว่า แม้สิ่งที่บอกว่าเป็นส่วนตัวก็ไม่ควรที่จะคิดว่าเป็นของเรา ท่านบอกว่าให้ใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูป หรือไม่ก็ผลักเข้ากองกลางร่วมเป็นกองทานการกุศลอื่นเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวาย ดังนั้นขนาดส่วนตัวท่านยังไม่ยอมให้คิดว่าเป็นส่วนตัวเลย อันนั้นมันส่วนรวมเป็นสังฆทาน กระจายได้เยอะเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเยอะเท่านั้น

เถรี 10-08-2009 13:34

ถาม : บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร
ตอบ : บุญคือสิ่งที่ได้รับจากการกระทำของเรา กุศลถ้าว่ากันตามรากศัพท์ ก็คือ ความฉลาด มันเป็นความฉลาดที่รู้จักเลือกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
มักจะใช้คำพูดควบที่ว่า ทำบุญกุศล = ทำบุญด้วยความฉลาด

เถรี 10-08-2009 17:54

ถาม : ลาพุทธภูมิ
ตอบ : การลาสำคัญที่ใจของเรา ถ้าใจไม่เอาแน่ มันขาดแน่ แต่ถ้าลาแล้วยังมาเสียดายอยู่ ลาอย่างไรก็ไม่ขาด เบื่อหรือยัง

ถาม : เบื่อแล้วเจ้าค่ะ
ตอบ : เบื่อแล้วก็ลา บอกว่าไม่เอาแล้ว เดินทางไกลมาพอแล้ว ขอแวะพักบ้าง จุดธูป ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ดอกบัวขาว ๕ ดอก กราบขออนุญาตลา อธิษฐานต่อหน้าพระว่า ถ้าข้าพเจ้าเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาตั้งแต่ชาติใดภพใดก็ตาม บัดนี้ขอละซึ่งความปรารถนานั้น ขอปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

เถรี 13-08-2009 08:07

มีคนถามหลวงพ่อถึงเรื่องการสวดให้พรญาติโยม เวลาที่เขาถวายสังฆทาน ว่า "สวดกับไม่สวดมีค่าเท่ากันหรือเปล่า"

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ไม่เท่ากัน บางคนเขากำลังใจเขาต้องการตรงนั้น ไม่มีให้เขา บางคนนี่เฉาไปเลย เพราะฉะนั้นก็สวดให้เสียหน่อย"

เถรี 13-08-2009 18:29

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนชอบคุยกับผู้หญิงท้อง จนโดนเขาประท้วง ตอนที่อยู่โรงพยาบาลทหารเรือ มีเรือเอกหญิงคนหนึ่ง กำลังท้อง(ใหญ่มาก) ว่างเวรเมื่อไหร่เขาก็แวะมากราบหลวงปู่มหาอำพัน เราก็ชวนเขาคุยทั้งวัน

พวกสาว ๆ ก็มาประท้วงว่า 'ทีคนมีผัวคุยอยู่นั่นแหละ' ก็บอกเขาว่า รู้ไหมทำไมถึงคุยกับคนท้อง พวกเธอก็บอกว่าไม่รู้ เลยบอกไปว่า ประการแรก มั่นใจเลยว่าเธอมีผัวแล้ว ฉันไม่เผลอไปจีบเธอแน่ ประการที่สอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร พอเห็นคนท้องแล้วมันเกิดความหวังดี ปรารถนาดีเสมอ เหมือนกับบุญของเด็กที่กำลังจะเกิดมา เห็นแล้วรู้สึกน่าเมตตา น่าสงเคราะห์ มีอะไรพอแนะนำได้จะแนะนำ เท่านั้นแหละโดนบรรดาเขี้ยวลากดินแยกเขี้ยวมารอบข้าง แม้กระทั่งคนท้องด้วย หาว่า 'ดูถูกคนท้อง เดี๋ยวก็ปล้ำเสียหรอก' พวกพยาบาลนี่น่ากลัว เพราะเรื่องพวกนี้เขาเห็นเป็นเรื่องปกติของเขา เขาก็เลยพูดเปิดเผย

พี่ทิดตู่เลยเปรย ๆ กับหลวงพ่อว่า "พวกหมอ พวกพยาบาลเขามีความรู้เกี่ยวข้องกับร่างกาย คลุกคลีอยู่กับความทรมาน"
หลวงพ่อกล่าวต่อว่า "ถ้าหากเข้ามาศึกษาธรรมจะได้เร็วมาก น่าเสียดายว่าทุกวันนี้ที่เขาเป็นอยู่ มันเป็นความชาชิน ไม่ใช่เคยชิน เคยชินมันยังทรงฌานได้ แต่นี่มันชาชิน ชินจนมันไม่ได้นึกอะไรเลย"

เถรี 13-08-2009 20:28

หลวงพ่อกล่าวว่า "คนยุคใหม่ขาดความอดทนในชีวิตคู่ เวลากระทบกระทั่งกัน ก็ขาดขันติและทมะ

ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น ทมะ คือ ความข่มใจไว้ไม่ให้ระเบิด ในเมื่อขาดตรงจุดนี้ก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตคู่ได้ แต่ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่คนเดียวถ้าไม่ใช่คนรักสงบจริง ๆ จะอยู่ยาก เขาก็เลยต้องหาเพื่อน ท้ายที่สุด เพื่อนที่ดีที่สุดก็เพื่อนสี่ขา เพราะพวกนี้มันรักจริง ถึงเวลาก็มองเราตาแป๋ว เจ้านายจะทำอย่างไรก็ได้ จะตีก็ได้ จะฆ่าก็ได้ ในเมื่อเป็นดังนั้น คนเวลารักเขา เมื่อเขาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องพาไปหาหมอ "

เถรี 14-08-2009 08:46

หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงคำสอนของหลวงปู่มหาอำพันว่า
"ถ้าพิจารณาว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีอะไรได้อย่างใจ เราก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ต้องได้อย่างใจ เราจะมีแต่ความทุกข์"

เถรี 14-08-2009 08:51

ถาม : หลวงพ่อคะ คนเป็นพุทธภูมิจำเป็นไหมที่จะต้องมีคนรักเยอะ ๆ
ตอบ : ไม่ต้อง อยู่คนเดียวก็ได้

ถาม : แล้วพวกที่มีแฟนคลับเยอะ ๆ พวกสาวก ลูกศิษย์ อะไรพวกนี้
ตอบ : นั่นเขาตามมาเอง เห็นความดีก็เลยอาสาจะมาขอติดตามกัน

ถาม : บางคนเขาก็บอกว่าตามเก็บบริวาร สร้างบริวาร
ตอบ : ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็แสดงว่ายังห่างไกลพุทธภูมิ เขาไม่ต้องไปสร้าง คนถ้าเห็นดีเห็นงามเขาตามมาเอง

ถาม : แล้วอย่างพวกดาราที่มีแฟนคลับมาก ๆ
ตอบ : เขาก็ต้องเคยสร้างบุญสร้างกรรมกันมา ถ้าไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมกันมา เขาจะมีแฟนคลับได้อย่างไร

เถรี 16-08-2009 13:47

ถามเกี่ยวกับการบนในหน้าที่การงาน
หลวงพ่อบอกว่า "บนพระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพ คือ พระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ท่านเคยบอกไว้ว่าถ้าเรื่องเกี่ยวกับงานให้บนท่านได้ ถ้าหากสำเร็จแล้วให้แก้บนด้วยการรักษาศีลแปดพร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วัน

ในเรื่องกรรมฐานไม่ต้องหนักใจ อาจจะทำกรรมฐานช่วงเช้าสัก ๑ ชั่วโมง แล้วนอกจากนั้นก็รักษาศีลแปดทั้งวัน ไปจุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอก บอกท่านถ้าลูกหลานได้งานมีความคล่องตัว ก็จะได้ทำบุญช่วยงานพระพุทธศาสนาได้โดยง่าย"

เถรี 16-08-2009 15:43

หลวงพ่อกล่าวถึงการแผ่เมตตาว่า "การแผ่เมตตาในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่เป็นการแผ่เมตตาด้วยปาก ผลที่เกิดมันจะน้อยมาก เมตตาต้องออกจากใจจริง ๆ ทำอย่างไรในช่วงแผ่เมตตาที่เราจะกำหนดกำลังใจให้เป็นไปตามที่ปากว่าจริง ๆ

ตั้งความหวังดีปรารถนาดีให้เขาพ้นทุกข์ ขอให้เขามีความสุข ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใครยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วทั้งโลก ไม่อย่างนั้นแล้วก็แผ่แต่ปาก ท่องไปให้คล่องแค่นั้นเอง"

เถรี 16-08-2009 15:53

ถาม : คุณแม่เขาเป็นเจ้าหญิงนิทรามา ๒-๓ ปี แล้ว มีทางแก้ไขไหมครับ
ตอบ : บางทีก็ต้องยอม ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ โอกาสแก้ไขมันไม่มี ถ้าหากเราหยุด ดีไม่ดีท่านจะไปเลย มันจะกลายเป็นว่าเราเสี่ยงต่ออนันตริยกรรม ถ้าไม่ทำ...ก็ไม่ทำแต่แรกเลย แต่ถ้าทำแล้วต้องปล่อยเป็นหน้าที่หมอ หมอเขาจะวินิจฉัยอย่างไรก็เรื่องของหมอ เราอย่าไปออกคำสั่งก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเฮงโดยไม่รู้ตัว อนันตริยกรรมนี่ปิดมรรคปิดผลโดยไม่รู้ตัว

ถาม : แล้วจิตของแม่เขาไปอยู่ไหน
ตอบ : ในลักษณะอย่างนี้ บางท่านก็ไปนานแล้ว บางท่านก็ยังอยู่ แต่อยู่ในลักษณะขาดสติ ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ฉะนั้นถ้าไม่ใช่คนรู้จริงแล้วไปแตะต้องตรงนี้เสี่ยงต่ออนันตริยกรรม

เถรี 16-08-2009 15:55

ถาม : หนูภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๑,๐๐๐ จบ มาสองเดือนแล้วค่ะ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะแสดงผล
ตอบ : ถ้าสงสัยอย่างนี้อยู่เกิดผลยาก เราต้องตัดตรงส่วนนั้นไปเลย คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องของมัน

ถาม : หนูรู้สึกว่าเกิดแล้วค่ะ เพราะว่ายอดขายเพิ่มขึ้นเยอะ มาขอความมั่นใจเพิ่มขึ้นเฉย ๆ ค่ะ
ตอบ : เดี๋ยวโบ๊ะเสียเลย

เถรี 16-08-2009 19:34

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อในตลาดที่ราคายังไม่แพง เพราะเล่นกันอยู่ในหมู่ของลูกศิษย์ ออกนอกจากหมู่ลูกศิษย์ไปแล้วตลาดเขาไม่เล่นกัน เพราะว่าสมัยนั้นหลวงพ่อท่านไม่คบพวกนี้"

เถรี 16-08-2009 22:21

หลวงพ่อบอกว่า "เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่เรียนหนังสือเก่งมันหาที่สม่ำเสมอยาก ไประยะหนึ่งมันจะตก ล่าสุดบรรดาเพื่อนที่ถือว่าเป็นคู่แข่ง คือ เรียนเก่งเหมือนกัน มีอยู่ด้วยกัน ๔-๕ รูป มาถึงเทอมท้าย ๆ นี่ตกหมดเลย ไม่รู้ว่าเกิดความประมาทหรืออย่างไร ไม่เช่นนั้นบี้ติดกันชนิดที่ว่า เราได้ a เขาก็ a เรา b เขาก็ b

ก็เลยนึกที่หลวงพ่อสมเด็จ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า การเรียนบาลีอย่าทิ้งกรรมฐาน ทิ้งแล้วมันจะท้อ จะไปไม่รอด เราเลยมาสรุปลงตรงที่ว่าเรียนอะไรก็ตามอย่าทิ้งกรรมฐาน"

เถรี 17-08-2009 08:47

ถาม : วันที่กลับจากวัด ดิฉันได้ยินคนในรถเอ่ยคำว่า อรูปฌาน เท่านั้นแหละ เหมือนตัวเองวืดไปเลยค่ะ แล้วได้ยินคนในรถเตือนบอกว่า ไฟแดง ๆ แต่ตอนได้ยินมันเบามากเลย เหมือนออกจากขอบโลก ตานี่เห็นไฟแดงนะคะ แต่มันบังคับร่างไม่ได้ เลยเหยียบเบรกไม่ทัน ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอบ : สมาธิมันลึกเกิน ต่อไปพยายามหัดอย่าให้มันลึกขนาดนี้ ซ้อมเข้าออกให้ชำนาญ

ถาม : แล้วดิฉันจะต้องแก้อย่างไรคะ
ตอบ : พยายามทำสมาธิในลักษณะใช้งานให้มากขึ้น อย่างเช่นเดินจงกรมภาวนา เพื่อให้มันเคยชินกับการทรงสมาธิด้วยและทำงานด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นถ้ามันเผลอเข้าลึกเกินไป แล้วจะบังคับร่างกายไม่ได้ มันจะเป็นอย่างนั้น ยังดีของอาตมาไม่เจอในลักษณะบังคับรถ แต่เจอในเวลาอื่น


ถาม : มันไม่รู้ตัวค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : พอสมาธิมันทรงตัว พรึ่บเดียวมันไปเลย พอมันไปเต็มที่ของมันนี่เราแย่เลย ตอนนั้นถ้ารถชน เราไม่เป็นไรหรอก แต่คนในรถจะน่วม เพราะตอนนั้นสมาธิคุ้มเราได้

เถรี 17-08-2009 08:51

ถาม : หลวงพ่อคะ เวลานอนภาวนาคาถาเงินล้าน ดิฉันใช้เครื่องกดนับ ภาวนาอยู่สองชั่วโมงมันกดได้แค่ ๕๐ ครั้งเองค่ะ เพราะว่ามันไม่มีความรู้สึกที่นิ้ว แต่เมื่อเราต้องกด มันกลายเป็นว่าเราต้องส่งกำลังใจไปอย่างมากในการที่จะไปบังคับนิ้ว
ตอบ : เพราะสมาธิมันลึกไป เมื่อสมาธิมันลึกไปจิตกับประสาทมันแยกกัน ในตอนนั้นความแหลมคมมันมีเยอะ นับในใจก็ได้ เมื่อคลายสมาธิออกมาแล้วค่อยมากดไล่ตามที่เรานับ


ถาม : ดิฉันอ่านหนังสือกระโถนที่หลวงพ่อบอกว่า การใช้มโนฯ เป็นการใช้งานอยู่แล้ว แต่ว่าการหัดทรงฌานก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วยใช่หรือไม่คะ
ตอบ : ต้องซ้อมจนชิน
ถาม : หนูก็นึกว่าสมาธิอ่อนไปค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : อันนี้ไม่ได้อ่อน แต่เยอะเกิน ไม่พอใช้งานแต่เยอะเกินสภาพปกติ กำลังไม่พอใช้งาน ก็คือ เราจะเอากำลังไปใช้ในการตัดกิเลสบางส่วนมันไม่พอ

เถรี 17-08-2009 08:54

ถาม : หลวงพ่อคะ เคยนั่งรถไปกับพี่คนหนึ่งแล้วเขาทำน้ำรดใส่เกียร์ แล้วดิฉันก็โทสะขึ้น เห็นเหมือนเป็นควันขึ้นมา
ตอบ : อย่าให้มันเป็นเปลว

ถาม : มันเป็นควันแล้วมันก็หายไปในอากาศค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : ถ้ามันเป็นเปลว คราวนี้มันจะไหม้ท่วมฟ้า ลักษณะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาถึงได้บอกว่า โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ราคัคคิ ไฟคือราคะ

เถรี 17-08-2009 08:56

ถาม : หลวงพ่อคะ เวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดมา เราจับได้ แต่ว่ามันเป็นกิเลสหยาบกว่าตัวยินดียินร้ายหรือเปล่าคะหลวงพ่อ
ตอบ : จริง ๆ แล้วตัวยินดียินร้าย มันเป็นสาเหตุที่ลึกเข้าไปกว่านั้น ถ้าหากเราไม่ยินดียินร้าย รัก โลภ โกรธ หลงมันก็ไม่เกิด ฉะนั้นถ้าถามก็คือมันบางกว่า แต่มันยังมีที่แย่กว่านั้นอีก สาวไป ๆ มันมองอะไรไม่เห็นเลย แต่รู้ว่านี่คือต้นเหตุ มันละเอียดขึ้น


ถาม : มันเหมือนเป็นควันเบา ๆ หรือเปล่าคะหลวงพ่อ
ตอบ : เปรียบเทียบกับคำพูดมนุษย์ไม่ได้หรอก มันละเอียด เอาเป็นว่ารู้แล้วก็พอ

เถรี 17-08-2009 09:07

ถาม :ไม่รู้จะวางกำลังใจอย่างไร
ตอบ : บอกแล้วว่าทนเอา พิจารณาไปเลยว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สภาพที่ต้องมาทนทั้งหลายเหล่านี้คือความทุกข์ ในเมื่อมันเป็นความทุกข์อย่างนี้แล้วเราต้องการไหม


ถาม : พิจารณาอยู่แต่มันก็ทุกข์ค่ะหลวงพ่อ แล้วเราอุเบกขาได้ไหมคะ
ตอบ : ถ้าหากทรงสังขารุเปกขาญาณมันจะเป็นตอไม้

ถาม : หลวงพ่อคะ แล้วอย่างนี้ดิฉันจะปรับสมาธิอย่างไรให้มันแก้ได้
ตอบ : ไม่ยินดี พยายามทำอย่างไรไม่ให้ยินดียินร้ายและปรุงแต่งตามมัน คือในแง่ที่ว่าสภาพจิตตอนนั้นอย่าให้อยู่ในร่างกายได้ยิ่งดี ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่คนอื่นไม่มี เพราะว่าเราจะได้ฝึกในการแยกกาย แยกจิต เราอาจจะไปสนใจอย่างอื่นก็ได้ ไม่ต้องอยู่ตรงนั้น หรือว่าเราจะมาพิจารณาตรงนั้นก็ได้ แต่ว่าใหม่ ๆ มันก็คงทำยากหน่อย ประสาทร่างกายมันก็ทำงานอัตโนมัติเหมือนกัน

ถาม : แต่ถ้าตัววิญญาณเกิด แล้วเราก็ไม่ปรุง มันก็จะอยู่นิ่งใช่ไหมคะหลวงพ่อ มันอยู่ลึกลงไป อย่างนี้ถ้าเราปล่อย
ตอบ : ปล่อยได้ ไม่รู้ไม่ชี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีได้ฝึกในสิ่งที่คนอื่นฝึกได้ยาก
ถาม : ไม่ต้องฝึกก็ได้หลวงพ่อ
ตอบ : อ้าว ไม่ฝึกแล้วมันจะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ได้หรือเปล่า

เถรี 17-08-2009 09:17

ถาม : หลวงพ่อคะ ช่วงนี้หนูจะมีอารมณ์อย่างหนึ่ง ก็คือ มองเข้าไปในจิตตัวเอง มันเห็นเป็นอารมณ์ว่าง ไปลงตรงนี้ตลอด และหนูก็พอใจที่จะจับอารมณ์ตรงนี้ด้วยค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปอย่างนี้ดีหรือเปล่า
ตอบ : พอเราไปถึงตรงนั้นแล้วให้ตั้งใจว่า เราตายเมื่อไหร่เราจะไปนิพพาน บวกไปอีกนิด เพราะในส่วนสมาธิไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนก็ตามมันจะมีกำลังแค่ไม่เกินพรหม

ถาม : อารมณ์ว่างในจิตของหนู มันเป็นการดูจิต หรือมันเป็นความว่างกันแน่
ตอบ : มันเป็นสมาธิ แต่ขณะเดียวกันมันก็มีปัญญาในสมาธิ ในเมื่อมันมีปัญญาสมาธิ มันก็ย่อมมีความรู้รอบของมันอยู่แต่เพียงว่ามันจำกัด

ถาม : ปกติหนูก็ทำในส่วนที่เป็นธาตุ ๔ ตลอด แต่ทีนี้เราก็ต้องย้ำธาตุ ๔ ของเราไปด้วยตลอดใช่ไหมคะ
ตอบ : อย่าลืมปิดท้ายด้วยเพชรยอดมงกุฎ (ปิดท้ายด้วยอารมณ์นิพพาน)

ถาม : หลวงพ่อคะมันเป็นไปได้ไหมคะที่มันมีอารมณ์ตัด ตัดในที่นี้ก็คือการตัดสินใจของเราค่ะ ถ้าตัดแล้วก็พร้อมที่จะไปเลย หนูก็มาคิดมันเป็นไปได้หรือ เพราะหนูยังทำไม่ถึงตรงจุดนั้นเลย
ตอบ : มีจ้ะ

ถาม : แต่ว่านาน ๆ มาโผล่ทีนะคะ ถ้ามันมาแบบนี้อีกทำอย่างไรคะ
ตอบ : ก็ตัดใจไปเลย ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์

ถาม : หนูไม่อยากตายตอนนี้ค่ะ นี่ก็หลบพ่อแม่มา ตายตอนนี้เดี๋ยวเขาก็รู้ว่าหนูหลบมา
ตอบ : ทำไมต้องไปกลัวเขารู้ด้วย แน่จริงก็ให้เขาตามไปว่าสิ

ถาม : ตรงนี้มันเป็นอะไร อารมณ์มันตรงร่องหรือคะ
ตอบ : อะไรประมาณนั้น

เถรี 17-08-2009 09:22

ถาม : หนูรู้สึกว่าในจิตมันไม่มีอะไรเหมือนกับว่างงาน
ตอบ : แล้วไม่ดีหรือ

ถาม : มันเหมือนกับว่าเหลืออารมณ์แค่ตัดสินใจ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจ

ถาม : ไม่เอา
ตอบ : กลัวสบาย เพราะว่าลำบากยังไม่พอ

ถาม : หลวงพ่อมีวิธียั้งใจไม่ให้ไปไหมคะ
ตอบ : ก็แค่ไม่ไป

ถาม : หนูไม่อยากไป อยากอยู่ต่อ
ตอบ : กลัวได้ดี

ถาม : มันเหลือแค่ตัดสินใจ
ตอบ : เหลือแค่ตัดสินใจ เราก็หยุดแค่นั้น จะไปยากอะไร

ถาม : มันจะบีบให้ไปตลอด
ตอบ : ก็บอกไปสิว่า ใจเย็น ๆ ขออีกวันหนึ่ง พอวันถัดไปใจเย็น ๆ ขออีกวันหนึ่ง แล้วจะรู้สึกเสียดายที่ไปขอ

เถรี 17-08-2009 09:30

หลวงพ่อบอกว่า "มีเด็กบางคนมาคุยกับเรา แล้วเขาก็ชอบใจเหลือเกิน แม่ก็ถามว่าหลวงพ่อคุยอะไรให้ฟัง เราก็บอกแม่เด็กไปว่าเด็กเขาไม่รู้หรอก อย่าไปถามลูกเลย ลูกบอกไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่คุยกับเขา เขาเข้าใจ แต่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ในเมื่อมันเข้าใจมันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก เอาออกมาโชว์คนอื่นยาก

ถ้าไม่ได้มีวิสัยที่เกิดมาเพื่อนำไปแสดงต่อคนอื่นเขา มันก็จะอยู่ในใจเท่านั้น รับรู้ไว้เต็ม ๆ คำพูดหรือตัวหนังสือไม่สามารถอธิบายได้"

เถรี 18-08-2009 00:57

ถาม : เป็นไปได้ไหมคะที่ละสักกายทิฏฐิได้ แต่ว่ายังตัดอวิชชาไม่ได้
ตอบ : ถ้ามันขาดมันจะไม่มีความยินดีในร่างกายเลย ในเมื่อมันไม่มีความยินดี ความอยากได้ อยากมีในร่างกายมันก็ไม่มี แล้วมันจะเอาอวิชชาที่ไหน ยกเว้นเสียว่ามันขาดในความเข้าใจของเรา แต่มันไม่ใช่ขาดจริง ๆ

ถาม : แล้วถ้าจิตกับกายมันแยกกันชัดเจนมาก ๆ ละคะ แล้วมันยังเหลืออะไรที่จะต้องตัด
ตอบ : โห บานเบิกเลย จิตกับกายแยกออกจากกัน เพิ่งจะ ป. ๑

ถาม : แล้วต้องทำอะไรต่อ
ตอบ : ก็พิจารณาให้เห็นจริงสิ ว่าสภาพจิตของเรากับกายของเรามันเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า หรือว่ามันมีอะไรที่เป็นเรา เป็นของเราบ้างไหม หรือว่ามันสักแต่เป็นรูปเป็นธาตุที่มันอาศัยอยู่แต่เพียงชั่วคราวตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมาและท้ายสุดเรายังมีความยินดีอยากมีอยากได้มันหรือเปล่า ถ้าหากจิตมันยอมรับเห็นชัดเจน มันปลดได้เลย แต่ถ้าจิตมันไม่ยอมรับ ต่อให้กายกับจิตมันแยกออกจากกัน ท้ายสุดมันก็กลับเป็นเหมือนเดิม มาปรุงแต่ง

เถรี 18-08-2009 01:00

หลวงพ่อบอกว่า "นักปฏิบัติพอทำถึงระดับหนึ่งจริง ๆ เขาจะพูดน้อยโดยอัตโนมัติ เพราะจะต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไว้ แต่ว่าการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปมันยังต้องมีอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีอยู่ในลักษณะที่ประกอบไปด้วยสติ เพื่อไม่ให้หลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าของตน"

เถรี 18-08-2009 01:06

หลวงพ่อบอกกับพี่คนหนึ่งว่า "พยายามสู้ให้ได้นะ มันมีอยู่สองวิธี วิธีแรกก็ตั้งหน้าตั้งตาประจัญบานกับมัน วิธีที่สองก็นอนเฉย ๆ ไม่สู้ ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่าย

บางอย่างกำลังใจถ้าดิ้นรนจนถึงที่สุดแล้วจะรู้ว่า ดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะวาระยังไม่ถึง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมยังไม่เพียงพอ
เมื่อหยุดดิ้น ทีนี้จะสบายขึ้นเยอะ แต่ว่าหยุดแล้วอย่าประมาท มีโอกาสก็สร้างต่อ เพราะฉะนั้นก่อนตายก็จะบอกก่อน ไป ๆ เลิกกลัวได้แล้ว"

เถรี 18-08-2009 01:09

ถาม : ในขณะที่อ่านหนังสือก็รู้สึกว่าเรามีการภาวนาไปด้วย ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการฟุ้งซ่านหรือเปล่า เป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่า
ตอบ : ถ้าสามารถทำพร้อมกันได้เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะว่าเวลาเราทำสิ่งอื่น ๆ เราจะได้รักษาอารมณ์ใจของเราได้


ถาม : อย่างหนูสวดมนต์ภาวนา แล้วไปอ่านการ์ตูนก็ยังจับคำภาวนาไปด้วย เราทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่า
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวล เราควรจะทำ เพื่อเวลาที่เราทำกิริยาอาการอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการกำหนดภาวนาเราจะได้รักษากำลังใจได้อีกทาง ต้องทำให้ได้จ้ะ

เถรี 18-08-2009 01:17

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ก่อนงานพุทธาภิเษกพระขรรค์โสฬส โทรไปบอกแม่ชีว่าให้สั่งน้ำมาเข้าพิธีด้วย จะได้ทำเป็นน้ำมนต์ แม่ชีก็บอกว่าตอนงานเป่ายันต์ก็มีเป็นคันรถแล้ว จะมีใครที่ไหนเอาน้ำมนต์อีก สรุปแล้วหลังงานโสฬสแม่ชีเองไม่ได้สักขวด รถที่เขาเอาน้ำมาส่งเรานั้น น้ำมากกว่าที่เขาส่งในอำเภอเสียอีก"

เถรี 18-08-2009 01:20

หลวงพ่อเล่าว่า "สมัยก่อนทำบุญกับหลวงพ่อครั้งหนึ่งก็ได้สมเด็จพระคำข้าว พระหางหมาก ทีละร้อยองค์ สองร้อยองค์ ห้าร้อยองค์ เพื่อนพระเขาว่าบ้า เก็บไปทำไมเยอะแยะ

ตอนนั้นองค์ละสิบบาท ทำบุญ ๑๐๐ บาท หลวงพ่อให้สิบองค์ พอสิ้นหลวงพ่อเขาขึ้นราคาพรวด องค์ละร้อยบาท สองร้อยบาท สี่ร้อยบาท พวกที่ว่าเราบ้ามันมาเอาจากเราองค์ละสิบบาท กำไรสักบาทยังไม่ให้เลย ตอนนั้นก็มาว่าเรา"

เถรี 04-09-2009 23:30

ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)

ตอบ : เฉย มันมีสองอย่าง มันเฉยเพราะมีกำลังของสมาธิกดไว้ มันจะมีความหนักของมันอยู่ แต่ถ้าเฉยเพราะรู้เท่าทันแล้วปล่อยวางได้ มันจะเบา แต่ว่าทั้งสองสภาวะก็คือ มันไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า

เถรี 04-09-2009 23:37

ถาม : ถามเรื่องแสงสว่าง เมื่อก่อนมันเกิดเป็นตาข่ายเหมือนตาข่ายแมงมุม สักพักมันก็เกิดเป็นประกายที่ตาข่ายด้วย แล้วตอนนี้ตาข่ายมันเริ่มหมุน เราควรจะกำหนดจิตอย่างไร หรือทำอย่างไรคะ
ตอบ : ถ้ามีลมหายใจให้ดูลมหายใจ ถ้ามีคำภาวนาให้อยู่ที่คำภาวนา ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น แต่มันยิ่งแปลก พอเราไม่ใส่ใจมันยิ่งชัดเจน มันยั่วให้เราสนใจผิดทิศ

ถาม : แล้วสามารถบริกรรมได้หรือคะ
ตอบ : ถ้ามันไม่บริกรรมก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ามันไม่มีลมหายใจก็รับรู้ไว้เฉย ๆ กำหนดใจให้มันรู้ว่าอาการมันเป็นของมันอย่างนั้น มันอยากจะหมุนก็ให้หมุน ก็รู้ว่ามันหมุน

ถาม : มันเป็น ๑ ใน ๑๐ ที่เราจะต้องผ่านไปหรือเปล่าคะ
ตอบ : .........(เงียบ).......

เถรี 04-09-2009 23:43

ถาม : หลวงพี่ครับ หลวงพี่ครับ
ตอบ : ก็ว่ามาสิวะ

ถาม : คือ ผมช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีวิบากเข้ามา หลวงพี่พอจะมีคำแนะนำให้ผมหรือเปล่าครับ
ตอบ : เร่งทาน ศีล ภาวนาให้มาก โดยเฉพาะตัวภาวนา

ถาม : ตัวภาวนานี่คือสวดมนต์หรือเปล่าครับ
ตอบ : นั่งสมาธิ ถ้าทรงฌานได้เมื่อไหร่ วิบากก็ไปคนละทิศเลย

เถรี 05-09-2009 00:34

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ตะกรุดเมที่รับตั้งแต่งวดนี้ขึ้นไป ได้เปรียบตรงที่ว่าเอาไปเข้าพิธีโสฬสมาด้วย จริง ๆ แผ่นเงินมีอยู่แล้วแต่ไม่มีเวลาเขียน ไม่มีเวลาม้วน ใครที่เห็นเมื่อเช้าก็พอจะรู้ได้ว่ามันยากแค่ไหน กว่าจะม้วนได้แต่ละอัน"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:04


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว