![]() |
ถาม : เป็นมีดใช้งานจริงหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณเอาเป็นมีดใช้งานจริง ๆ เขาทำไว้ใช้งาน เพียงแต่ครูบาอาจารย์ช่วยเสกช่วยลงให้ มีดรุ่นเก่า ๆ อย่างของหลวงพ่อเดิม จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลวงพ่อกวย ถึงเวลาท่านบรรจุเอง บรรจุด้าม ใส่ตะกรุด ใส่ผงวิเศษ ใส่เกศา ของหลวงพ่อกวยนี่ขนาดรุ่นที่สั่งทางพยุหะคีรีทำให้ ท่านก็ยังขอบรรจุด้ามเอง ข้างบนห้องของอาตมามีมีดหมอของหลวงพ่อกวยอยู่ ๒ เล่ม ฝีมือลุงคลี่ เจ้าของเขากำชับนักกำชับหนา "เล่มนี้ตาคลี่ทำไว้จะใช้เองนะ อาจารย์อย่าไปปล่อยให้ใคร" ก็ถ้าไม่จำเป็นนะ..! เดี๋ยวหลังเพลค่อยเอาลงมา เพราะว่าช่วงนี้หาเงินสร้างจุฬามณีให้หลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์อยู่ ทำด้ามรู้สึกว่าจะเป็นท้าวเวสสุวรรณ ปิดทองมาด้วย แต่ว่าฝีมือลุงคลี่จำง่าย ฝีมือลุงทรงนี่มือหนัก ตอกแต่ละทีนี่แทบจะทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง นั่นช่วยให้จำง่าย |
ฝีมือช่างแต่ละคนเหมือนกับลายมือประจำตัว ถ้าเรารู้จักฝีมือก็จะจำง่าย ถ้าไม่รู้จักก็จำยาก มีดหมอหลวงพ่อเดิมที่ปลอมส่วนใหญ่ช่างที่ปลอมจะดูของไม่เป็น ถ้าหากว่าดูของเป็นจะปลอมได้เนียนกว่านี้ อย่างของโยมที่ได้ไป ให้ดูร่องยาวใกล้สันมีด ถึงเวลาเขาจะใช้เหล็กเป็นสิ่วมาแซะ คราวนี้พอแซะจวนจะสุดปลาย ก็ต้องเบามือเพื่อจะให้สุดปลาย ช่วงนั้นจะเรียวและเหินขึ้นทุกเล่ม ถ้าดูเป็นทีเดียวแล้วต่อไปก็ง่าย รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ใช้ตอกลายเอา...มักง่าย ร่องหัวท้ายจะหนักเท่ากัน
ก่อนหน้านี้หลวงพี่ประทีปยังอยู่ที่วัดท่าซุงด้วยกัน งัดมีดหมอของหลวงพ่อเดิมขึ้นมาเล่มหนึ่ง...โอ้โฮ ถามว่า "เท่าไร ?" ตอนแรกพี่ท่านบอกว่า "ใบ ๙ นิ้ว" ถามว่า "๙ นิ้วทำไมใหญ่ขนาดนี้ ? ขอวัดหน่อย" ปรากฏว่า ๑๑ นิ้วเฉพาะใบ แล้วถามว่า "ไม่มีฝักหรือ ?" ท่านบอกว่า "ไม่มี..ได้มาเปลือย ๆ แบบนี้แหละ แต่ด้ามเป็นงา" หลวงพี่ทีปท่านเป็นคนแถวนั้น พวกนครสวรรค์ คนพิจิตร ส่วนใหญ่รุ่นเก่า ๆ เขาจะมีของหลวงพ่อเดิมกันแทบทั้งนั้น |
ตอนหลวงพี่ทีปมรณภาพ อาตมาเองก็ไม่ได้ไปขอแบ่งสมบัติสงฆ์ ถ้าไปขอแบ่งจะขอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มนี้เล่มเดียว จะชำระหนี้สงฆ์ให้ด้วย ไม่ได้ขอเฉย ๆ
ส่วนใหญ่เวลาพระมรณภาพ เขาจะจัดการแบ่งปันกันในหมู่คณะสงฆ์ มีข้าวของกี่ชิ้น ถ้าพอกับจำนวนพระเณรก็แบ่งไปคนละชิ้น ถ้าไม่พอก็จับสลาก พูดง่าย ๆ ก็คือแบ่งกันฟรี ๆ แต่ถ้าเป็นมีดหมอเล่มนี้แล้วละก็...อาตมายินดีจ่ายเงินให้เลย แต่ว่าไม่ได้ไปร่วมวงกับเขา ก็เลยไม่รู้ว่าไปตกอยู่กับใคร นั่นก็ฝีมือของช่างฉิมเหมือนกัน |
ถาม : ถ้าสงฆ์มรณภาพ สมบัติก็จะกลับคืนเป็นของสงฆ์ แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นส่วนตัวหรือไม่ส่วนตัวอยู่ละครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นส่วนตัว ท่านต้องมอบให้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ถาม : ถ้าส่วนตัว แต่ไม่ได้มอบให้ก่อนมรณภาพ ? ตอบ : เสร็จหมด ลงกองกลางหมด ถาม : ถ้าลงกองกลาง อันนี้สงฆ์ก็รับผิดชอบดูแลต่อ ก็คือเป็นของสงฆ์ ? ตอบ : เป็นของสงฆ์ คือเราเอามาก็เป็นของส่วนตัวไม่ได้ เพราะเราได้มาขณะที่เราเป็นสงฆ์ เป็นเรื่องอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก ถาม : แสดงว่าตรงนี้ไม่มีเป็นของส่วนตัวเลย ? ตอบ : ไม่มี...เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ถ้าจะให้ใครต้องให้ก่อนที่จะตาย แต่พระวินัยท่านก็ระบุเอาไว้ว่า ถ้าเป็นครุภัณฑ์ให้ไม่ได้ ครุภัณฑ์ตามพระไตรปิฎกระบุเอาไว้ก็มี อย่างเช่น พระพุทธรูป มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง...ฟังแล้วตลก คือเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง ใช้คำว่า ครุ คือ ของหนัก ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องมือช่างบางทีก็เบา แต่ท่านจัดเป็นครุภัณฑ์ เพราะว่าเป็นของหายาก ถ้าหากว่าตัวเองไม่มี ก็ต้องไปรบกวนโยมเขา ก็เลยระบุเอาไว้ว่า ของที่เป็นครุภัณฑ์นี่ห้ามให้ต่อ เพราะฉะนั้น..พวกเงินทองไม่ใช่ครุภัณฑ์ ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ |
ถาม : มหัคฆภัณฑ์ ละครับ ?
ตอบ : มหัคฆภัณฑ์ หมายถึงพวกที่ใหญ่มาก ๆ อย่างเช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ ฯลฯ มหา-อัคคะ สุดยอดของความใหญ่ เพราะฉะนั้น..ของเกินครุภัณฑ์ ไม่มีใครแบกไปไหวหรอก อย่างเมื่อวานนี้ไป ท่านอาจารย์เอกลักษณ์สร้างศาลาหนึ่งไร่ นับเป็นมหัคฆภัณฑ์ แบกไหวที่ไหนเล่า ? |
ถาม : มีเพื่อนแม่คนหนึ่งเขาเพิ่งเสียไป วันนั้นหนูก็นั่งสมาธิไป รู้สึกว่าสมาธิเรายังทรงตัวอยู่ ก็เลยลองอาราธนาพระดูว่าเพื่อนแม่คนนี้ตายแล้วไปไหน ภาพขึ้นมา หนูก็เห็นอย่างหนึ่ง พอไปงานศพเขา ลูกเขาก็เล่าว่าพ่อเขาตายดีมีความสุข ตอนที่เราเห็นภาพก็ไม่ได้คิดไปเอง แต่ทำไมลูกเขาเล่าอีกแบบหนึ่ง หนูก็เลยสงสัยว่ามีข้อสังเกตอย่างไรคะ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเขาให้เชื่อความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น จะไป "เอ๊ะ" ไม่ได้เลย เป็นอย่างไรก็เชื่อตามนั้น แต่บางทีเรื่องของสังคมถ้าเราไปบอกเขาตรง ๆ ลูกหลานเขาจะเสียใจ อาตมาเองโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงห้ามบอกว่าคนตายไปไหน รู้เอาไว้ให้อกแตกตายไปคนเดียวก็แล้วกัน |
ถาม : นั่งสมาธิไป เวลาภาวนาไป หลวงพ่อบอกว่าให้นั่งจนสมาธิเต็มที่แล้วค่อยมาพิจารณา แต่ทีนี้เวลานั่งไปก็เหมือนจิตแยกไปดูว่ามันก็ไม่เที่ยง พร้อม ๆ กับภาวนาได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ว่าต้องมีความคล่องตัวพอ ไม่อย่างนั้นแล้วช่วงนั้นอาจจะเฝือ ก็คือพอสมาธิเคลื่อนแล้วบางทีไปคนละทิศคนละทาง ฟุ้งซ่านไปเลยก็มี ต้องระวังให้ดี ถาม : เราจะมีวิธีการประคับประคองไม่ให้เฝือได้อย่างไรคะ ? ตอบ : เอาอานาปานสติคือลมหายใจเป็นหลักไปสักระยะหนึ่งก่อน ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ยังดี พอกำลังใจมั่นคงแล้วค่อยไปคิด ถ้าไม่มีลมหายใจค้ำไว้แล้วเดี๋ยวไปเลย เพราะว่าบางทีเราเองพอถึงเวลาสมาธิเริ่มทรงตัว อยากจะคิดอยากจะพิจารณาแทน แล้วเราก็ปล่อยกำลังใจไปคิดไปพิจารณา ลืมไปว่ากำลังสมาธิค่อย ๆ ลดลง พอกำลังค่อย ๆ ลดลงเมื่อเราเผลอก็ฟุ้งซ่านไปเลย ถาม : บางครั้งเรากำลังสร้างกำลัง แต่เราก็อยากจะคิด อย่างนี้คือเราฝืนไปก่อน ? ตอบ : ก็คิดได้ แต่ว่าให้ตั้งสติไว้ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มไปไม่ดี ไม่มีความคล่องตัว รู้ว่ากำลังเราตก ก็กลับมาหาลมหายใจใหม่ แล้วค่อยไปคิดอีก |
ถาม : รู้ว่ามันคืออาทิสสมานกาย แต่เวลาภาวนาไป บางทีมันก็ใช่เรา บางทีมันก็ไม่ใช่เรา บางทีมันก็ด่าเรา มันคือใครคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมาร มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือถ้าเป็นฝ่ายดีมา ก็อาจจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านมาช่วยสงเคราะห์เรา ถ้าฝ่ายไม่ดีมาก็คือกิเลสตั้งใจที่จะมาแกล้ง มาหลอกเรา เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ถึงเวลาเราก็ทำตามแบบของเราไป อะไรที่พิจารณาแล้วว่าไม่ทำให้การปฏิบัติของเราเสียหาย จะน้อมใจตามไปบ้างก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้ารู้ตัวเมื่อไร ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเราจะปลอดภัยกว่า ถาม : ไม่ต้องไปสนใจ ? ตอบ : ยิ่งรู้เห็นชัดเจนโอกาสโดนหลอกยิ่งเยอะ ต้องระวังตัวให้มาก ๆ |
ถาม : ในสติปัฏฐาน ๔ เรามองอย่างไรว่านั่นคือจิตตานุปัสสนาคะ ?
ตอบ : สภาพความยินดียินร้ายอะไรเกี่ยวกับสภาพจิตของเราทั้งหมด ถ้าหากว่าเรารู้เท่าทันจึงจะเป็นจิตตานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน แต่ถ้ารู้อยู่แล้วไปแบกเอาไว้เวลารู้สึกว่าทุกข์ หรือว่ารู้อยู่แล้วไปยินดีอย่างเต็มที่เลยเวลาที่มีความสุข อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นจิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ต้องรู้เท่าทันแล้ววางได้ เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถาม : ในเรื่องเวทนา เขาสอนมาว่าชอบกับไม่ชอบ สุขและทุกข์ แบบกลาง ๆ แล้วธรรมารมณ์ละคะ ? ตอบ : ธรรมารมณ์ก็คือสภาพของจิตที่เป็นไป อย่างเช่นว่า ยินดีกับรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ หรือว่าไม่ยินดี หรือว่าเป็นกลาง ๆ หรือไม่ก็สภาพจิตของเราเป็นอย่างไร กำลังพินิจแยกแยะอยู่ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนเหมาะ สิ่งไหนควรกับเรา สิ่งไหนไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรอะไรกับเรา อันนั้นก็คืออารมณ์ธรรมที่เกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้บางทีเราศึกษาไปแล้วเหนื่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๑ บรรพ คือ ๑ ตอน ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว ไม่ต้องไปศึกษาทั้งหมดหรอก |
ถาม : ถ้าเราเกิดรู้สึกว่าพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านสอนไม่ได้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอก แต่เราไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงภัตตาหารท่านมาด้วยตั้งนาน ทีนี้ว่าเกิดอยากจะถอนตัว แต่ไปเห็นใจเจ้าของสถานที่ เราจะเป็นบาปไหมคะ ? ที่เราเหมือนไปช่วยเป็นฟันเฟืองให้ท่านสอนผิดเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : อย่าไปคิดอย่างนั้นสิ....เราคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน เป็นการสละออกเพื่อตัดความโลภในใจ ส่วนผู้รับจะเป็นใคร ทำอะไร เราไม่เกี่ยวกับเขาเลย ตัดขั้นตอนนี้ได้ก็ทำไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าไปสร้างบาปให้กับตัวเอง เพราะว่าใจเราไปคิดอยู่แล้ว ใจก็จะไปเศร้าหมอง |
ถาม : พ่อบุญธรรมเขาให้พระมาค่ะ ?
ตอบ : ก็เก็บเอาไว้สิ ถึงเวลาแค่มีหลวงพ่อวัดระฆังก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลวงพ่อวัดระฆังองค์หนึ่ง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคองค์หนึ่ง ท่านให้พรไว้ว่า "พระของท่านจะใหม่ จะเก่า จะจริง จะปลอม ให้นึกถึงท่านมีอานุภาพเหมือนกันหมด" ต้องพระโพธิสัตว์สายเก่ามาแท้ ๆ เลยนะ ถึงมีกำลังสามารถสงเคราะห์ขนาดนั้นได้ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเมืองจีน ๑๐ วัน แต่ละวันเดินไกล ๆ ทั้งนั้น แต่อาตมาน้ำหนักขึ้นมา ๒ กิโลกรัม เพราะว่ากินกระจายทุกอย่าง บอกกับญาติโยมว่า ถ้าคิดว่าตามหลวงพ่อไปเที่ยวนั้นคิดผิด แต่ถ้าตามไปเพื่อฝึกหัด กาย วาจา ใจ ของตนเองนั้นใช่ แล้วต้องพยายามทำให้ได้
ญาติโยมกินอาหารของเขาไม่ได้ เพราะว่าขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา จะเอาแต่ของที่ตัวเองชอบไม่ได้หรอก อยู่ที่ไหนต้องกินของเขาได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเขากินได้เราต้องกินได้ เพราะฉะนั้น..คณะที่ไปก็เลยแบ่งเป็น ๒ ชุด เขาเรียกว่าสายแข็งกับสายอ่อน ชุดสายอ่อนก็จะมี ๙ คน ชุดสายแข็งมี ๖ คน แบ่งเป็น ๒ โต๊ะ สายแข็งนี่กินไม่เหลือซากเลย ส่วน ๙ คนนี่เหลือเกือบเต็มโต๊ะ ถ้าเราขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็จะกินเพื่อเอาอร่อย กินเพราะว่าชอบ ก็จะทำให้เสียผลการปฏิบัติ ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ต้องไปฝึกแน่ ๆ ก็คืออสุภกรรมฐาน ส้วมเมืองจีนนี่สุดยอดทุกแห่ง มีน้ำก็ไม่ราด อาตมาเข้าที่ไหนก็ต้องไปทำความสะอาดส้วมให้เขา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นพวกข้างหลังเข้าต่อไม่ได้ ถ้าเข้าต่อไม่ได้แสดงว่าขาดอสุภกรรมฐาน ไม่เห็นความเป็นธรรมดา พอถึงเวลาไปที่ลำบาก เพราะว่าพื้นที่เขาสูง ๔-๕ กิโลเมตรขึ้นไป อากาศจาง หายใจลำบาก แทนที่จะนึกถึงพระ แทนที่จะนึกถึงความตาย ไม่ได้นึกเลย ห่วงอยู่แต่ร่างกายว่าจะตายแล้ว อย่างนั้นถ้าตายก็ไม่แน่ว่าจะไปไหน เพราะว่าจิตสุดท้ายแค่แวบเดียวเท่านั้น ถ้าเกาะผิดนี่ก็เฮงเลย" |
"ไปเพื่อไปฝึกหัดตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยว โดยเฉพาะสถานที่อันตราย ถ้าพลาดก็ถึงตาย ก่อนอาตมาไปอาทิตย์หนึ่ง บริษัทนี้มีลูกค้าสมองบวมไปหนึ่งคน เสียค่าส่งกลับไป ๗,๐๐๐ หยวน เพราะว่าไม่ได้ดูสภาพร่างกายตัวเอง ไม่ไหวแล้วก็ยังฝืนไป สภาพแบบนั้นไม่ไหวแล้วต้องหยุด อาตมาเองขนาดว่าฝึกจนแกร่งแล้ว ระยะท้าย ๆ แค่เดิน ๓ ก้าว ๕ ก้าว ยังต้องพัก เพราะว่าหายใจไม่ทัน
พื้นที่สูง ๔,๗๐๐ กว่าเมตร ยิ่งเดินขึ้นไปก็ยิ่งเหนื่อย ที่เขาเขียนเอาไว้ว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตรนั้นเชื่อไม่ได้ เพราะว่าโยมที่ไปติด Gadget ไปด้วย ปรากฏว่าระยะทางออกมา ๑๐ กว่ากิโลเมตร เขาขีดด้วยดาวเทียมตรง ๆ ก็ได้ ๖ กิโลเมตร คราวนี้เราไปขึ้น ๆ ลง ๆ กว่าจะถึงก็ตก ๑๐ กว่ากิโลเมตร อากาศหนาวระดับติดลบ ลมแรงชนิดพัดคนแทบปลิว แต่อากาศมีไม่พอหายใจ ร่างกายของเราพอคาร์บอนไดออกไซด์มีมาก ก็จะปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เพราะฉะนั้น..ไปพื้นที่แบบนั้นต้องระวังเป็นอย่างมาก หัวหน้าทัวร์เขาก็ดี เขาจับวัดออกซิเจนทุกคน แต่วัดอาตมาไม่ทัน เพราะว่าเดินนำหน้าไปลิบจนมองกันไม่เห็นเลย เห็นญาติโยมโดยเฉพาะคนจีนบางคน เดินขึ้นเนินแรกก็เปิดกระป๋องออกซิเจนแล้ว อีก ๑๐ กว่ากิโลเมตรที่เหลือนี่จะรอดไหม ? ขาไปนั่นเป็นช่วงขึ้นเขา อาตมาใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเศษ ๆ ขากลับแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ไม่ได้ใช้ออกซิเจนเลย" |
"จากบ้านเราความร้อน ๓๓ - ๓๔ องศาเซลเซียส ไปถึงเฉิงตูวันที่ ๑๖ ลดเหลือ ๑๗ องศาเซลเซียส พอรุ่งเช้าวันที่ ๑๗ ที่เฉิงตูเหลือ ๑๑ องศาเซลเซียส
เช้าวันที่ ๑๗ เขานัดสายนิดหนึ่งเพราะว่าเราไปถึงดึก ไปถึงประมาณเที่ยงคืนครึ่งของเขา ปกติเขาจะออกเดินทางประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็เลยเลื่อนให้นอนเพิ่มอีกชั่วโมงหนึ่ง ออกเดินทาง ๘ โมงครึ่ง เป็นรถมินิบัส คณะของเรา ๑๕ คน เขามีให้ ๒๐ ที่นั่ง มีที่เหลือให้วางของอะไรได้ด้วย วิ่งไปทางเมืองเฮยสุ่ย อยู่ในเขตปกครองตนเองชาวเชียงชาวทิเบต มณฑลเสฉวน เป้าหมายคืออุทยานแห่งชาติซื่อกู่เหนียงซาน บางคนก็เรียกว่าอุทยาน ๔ ดรุณี ซื่อกูเหนียงก็คือผู้หญิง ๔ คน ไม่รู้ว่าบนรถเขามีฮีตเตอร์ รู้สึกว่าอากาศสบาย ๆ พอไปถึงที่อุทยานอากาศ -๔ องศาเซลเซียส หิมะเพิ่งจะตก หลายคนลงไปมือสั่น ขาสั่น หน้าสั่น ปากสั่น แล้วก็ความสูงค่อนข้างจะสูงมาก ก็เลยทำให้เวลาเดินอากาศไม่ค่อยจะพอหายใจ มีอาตมากับน้องเล็ก ๒ คนที่ลงทุนเดินจนรอบอุทยาน คนอื่นเขาไม่ไป แค่ไปนั่งปั้นหิมะเล่นกัน การปฏิบัติกรรมฐานทำให้เรามีระบบหายใจที่ยาว แล้วก็ลึกกว่าคนอื่นทั่วไป เดินแล้วเหนื่อยช้าหน่อย" |
"อุทยานนั้นห่างจากเฉิงตู ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร เราจะผ่านจุดสูงสุดตรงช่องเขาเสี้ยวจิน ตรงนั้นสูงตั้ง ๖,๐๐๐ กว่าเมตร วิ่งไปพักไป โดยเฉพาะส่วนที่มีปัญหาคือเรื่องห้องน้ำ อย่างที่บอกว่าพวกเราขาดการปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน เจอห้องน้ำส่วนใหญ่ก็สะดุ้ง เข้าไม่ได้ คุณบีที่ไปเป็นช่างภาพประจำคณะเขาบอกว่า "อ่อนแอเกินไป" ถ้าอ่อนแอเกินไปจะเข้าห้องน้ำที่เมืองจีนไม่ได้
ต้องพักกลางทางกันเป็นระยะ ๆ แต่ว่าประเทศจีนจะมีป้ายบอกไปตลอดว่าที่จอดพักอยู่ห่างอีกเท่าไร จะได้กะระยะกันถูก ส่วนใหญ่ค่าเข้าห้องน้ำคนละ ๑ หยวน ประมาณ ๕ บาทไทย ถ้าหากว่าใครไปเมืองจีน ให้แลกใบละ ๑ หยวนไว้เยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเอาอย่างคณะของเรา ก็คือหยิบออกมา ๕ หรือ ๑๐ หยวน แล้วก็นับไปเลยกี่คน จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาไป พวกเรามีความสามารถพิเศษก็คือ เขาจอดให้เข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที แต่ส่วนใหญ่มีเวลาเหลือพอช็อปปิ้งกันทุกคน เก่งจริง ๆ...! แล้วอีตา Eric ไกด์ชาวจีน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วย พูดภาษาอังกฤษบางประโยคฟังยาก อย่างคำว่า “Fifteen minutes” ก็จะฟังเป็น “Fifty minutes” จะหยุดทำไมนานขนาดนี้วะ ? พอทักท้วงเข้าตอนหลัง เขาเลยใช้คำว่า “One Five minutes” |
"เราได้ยินจะไม่ใช่ Fifteen จะเป็น Fifty เรื่อยไป ที่ต่างชาติเขาออกเสียง “ตีน” นั่นใช่เลย แต่เราเองออกเสียงเป็น “ทีน” ประเภทออกเสียงไม่เหมือนเขา
อาตมาลงไปก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนเดิม มีแต่คนถ่ายรูป บางทียืนให้พวกเราถ่ายรูป กล้องแค่ ๑ ตัวแต่มีกล้องนักท่องเที่ยวมาแล้ว ๕๐ ตัว บางทีก็เรียก “เหล่าต้าซือ” บ้าง “เหล่าซือฟู่” บ้าง เออ...เหล่าก็เหล่า แก่แล้วเหมือนกัน เขามาขอถ่ายรูปด้วย คราวนี้จากซื่อกู่เหนียงซาน เวลาขาลงของเราจะมีแม่น้ำน้ำมนต์ ทะเลสาบกระจก จะสะท้อนเงาภูเขาท้องฟ้าลงไปเหมือนอย่างกับเราดูด้วยสายตา ตรงนั้นเขาชอบไปถ่ายรูปกัน เขาบอกว่าเสิ่นเจิ้นก๊อปฯ ทุกเรื่อง แม้กระทั่งบรรยากาศตรงนี้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ก็ก๊อปปี้มา ไปโทษอะไรกับเสิ่นเจิ้นวะ ? แล้วก็มีสถานที่ให้ดูเป็นระยะ ๆ แต่ว่าต้องดูเวลาด้วย เพราะว่ารถคันสุดท้ายที่ออกจากอุทยานเขามีเวลาแน่นอน ถ้าพลาดคุณก็หาทางเอาตัวรอดกันเองในอุทยานนั่นแหละ เพราะว่าจะไม่เหลือใคร ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คืออย่าให้เกินบ่ายสาม ต้องรีบออก เนื่องจากว่าพอเราซื้อตั๋วแล้ว รถทุกคันขึ้นได้หมด จะขาเข้าขาออกอย่างไรก็ตาม เต็มคันเขาก็ออก ไม่ต้องรอใคร เขาจะแวะให้ทุกที่ แม้กระทั่งลงไปก่อเจดีย์ก็ยังทำกัน คือเอาหินมาตั้งเรียง ๆ กันให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็ประชดชีวิต เอาหินแผ่นบาง ๆ ที่เป็นแบบหินชนวนบ้านเราไปตั้ง เออ...ก็ตั้งได้เหมือนกันนี่หว่า..!" |
"วันแรกออกจากอุทยานซื่อกูเหนียงซานมาก็เกือบค่ำ มาพักอยู่แถว ๆ หมู่บ้านชิงเทียน หนาวเสียจนมือไม้ชาหมด อาตมาได้เปรียบเพราะว่าก่อนไปมีญาติโยมบางท่านที่รู้เรื่องเหล่านี้ ถวายสังฆทานให้เจ้าที่ล่วงหน้า อาตมาเจอเจ้าที่ก็เลยขอใช้บริการพิเศษด้วย จึงไม่ค่อยจะหนาวเหมือนกับคนอื่น
คราวนี้ทางการจีนเขาจะให้พักอยู่นอกเขตอุทยาน อาคารทุกหลังน่าจะเป็นรัฐบาลลงทุนสร้าง หน้าตาเหมือนกันหมด แปลนเดียวกันหมด แล้วก็ให้บรรดาชาวทิเบตชาวพื้นเมืองไปเช่าเพื่อทำกิจการ เปิดร้านอาหารบ้าง เปิดโรงแรมบ้าง เปิดร้านขายของที่ระลึกบ้าง ฯลฯ รัฐบาลที่สร้างก็เอาใจคนทิเบตมาก เพราะว่าตึกทุกหลัง โดยเฉพาะประตูหน้าต่างจะเป็นลายอัษฎมงคล ก็คือความเป็นมงคล ๘ ประการของเขา ซึ่งจะมีฉัตร มีธรรมจักร มีหอยสังข์ มีดอกบัว มีเงื่อนไร้ที่สุด มีหม้อน้ำมนต์ เป็นต้น" |
"เนื่องจากคณะคุณตั้วที่ไปนั้น เป้าหมายของเขาก็คือไปถ่ายรูป เขาก็เลยเลือกไปปลายฝนต้นหนาว เพราะว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสี แต่ปีนี้เมืองจีนหนาวเร็ว ในเมื่อเมืองจีนหนาวเร็วก็เลยทำให้ในบางแห่งใบไม้ไม่ได้เปลี่ยนสีอย่างเดียว แต่ร่วงหมดแล้ว เหลือแต่กิ่งก้านเท่านั้น
ไปพักที่โรงแรมก็ต้องบอกว่าโรงแรมเขาอยู่ในระดับดีใช้ได้ทีเดียว เพียงแต่ว่าเราอย่าไปตั้งความหวังไว้สูง แต่ว่า ๒ วันหลังนี่ดีมาก เพราะว่าเขาพาไปพักระดับ ๔ ดาว ๕ ดาวเลย ก็เลยสงสัยว่าเขาจะได้กำไรมากหรืออย่างไร เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าค่อนข้างจะน่ากลัว อาหารเช้าในโรงแรมเป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว กินกันไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ข้าวต้มส่วนใหญ่ก็ใส่ลูกเดือยบ้าง ใส่ถั่วแดงบ้าง เป็นข้าวฟ่างต้มบ้าง พวกเราไปส่วนใหญ่กินกันไม่ได้ ส่วนพระอาจารย์ซดไป ๓-๔ ถ้วยเป็นอย่างน้อย กับข้าวของเขาก็ผัดผักกาดขาว ผัดถั่วงอกเป็นหลัก จะมีไข่ต้มให้มื้อเช้าละ ๑ ฟอง ไข่ต้มเฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย แล้วรู้สึกจะเป็นคนข้างนอกเข้ามาขายด้วยนะ จะต้มไข่เข้ามา คุณต้องแสดงบัตรที่พักของตัวเองก่อน แล้วเขาก็จะให้ไข่ต้ม ๑ ฟอง แต่คราวนี้เสฉวนเป็นเขตที่มีคนไทยโบราณอยู่กันเยอะ กินเผ็ดกันมาก กับข้าวมาแต่ละจานนี่พริกท่วมมาเลย" |
"วันแรกที่เมืองจีนอาตมาก็ท้องเสียเลย เพราะว่าอาหารทั้งเผ็ดทั้งมัน เขาใส่พริกมาก...ประเภทหมูผัดพริกกลายเป็นพริกผัดหมู แดงโร่หมดทั้งถ้วยเลย..! คาดว่าเป็นเพราะบ้านเขาหนาวมาก ต้องกินของเผ็ด ๆ เข้าไปช่วย ขนาดเต้าหู้อ่อนยังใส่พริกจนแดงไปทั้งถ้วย
คนไทยเราไม่ค่อยกลัวพริกหรอก ไปกลัวพวกหมาล่าหรือฮวาเจียว เพราะว่าพวกนั้นเวลาโดนเข้าไปแล้วชาทั้งปาก พอเคี้ยวโดนทีก็...เวรแล้วกู เนื่องจากว่าอาตมาเคยกินพริกกะเหรี่ยงมาแล้วก็พอสู้ไหว แต่ว่าวันแรกก็ท้องเสียเลย วิ่งส้วมเสีย ๒ รอบ ๓ รอบ" |
"ประเทศจีนกำลังเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกถนนหนทาง ทำให้เวลาดูจากแผนที่แล้ว มีหลายเส้นทางที่เราไปแต่ยังไม่ปรากฏในแผนที่ อย่างอุโมงค์ที่เราวิ่งเข้าไปกัน ลัดทางจากเมืองซินตูเฉียวไปเมืองเฉิงตูได้ ๓ ชั่วโมงกว่า แต่เข้าอุโมงค์ไปกันเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เข้าไปจนอยากจะหลับ เขาก็ต้องมีไฟประดับสีโน้นสีนี้ ถามว่าติดไปทำไม ? ไกด์บอกว่าเพื่อให้คนขับได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หลับ
น่ากลัวตรงที่ว่าจีนเขาทำอะไรทำทีเดียว ของเราเจาะอุโมงค์เป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเส้นเดียวก็ไม่ไหวแล้ว เขาเจาะทั้งไปทั้งกลับเลย เสร็จแล้วหัวท้ายเขาไปตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ หินที่เจาะได้ก็คือเอาไปทำปูนซีเมนต์ แล้วก็กลับมาใช้ในงานก่อสร้างใหม่ ทำได้รอบคอบมาก บางทีวิ่งไป ๑๒-๑๓ กิโลเมตรโผล่ออกมาเห็นท้องฟ้า เพราะว่าเป็นซอกระหว่างเขา ก็หายเข้าไปในภูเขาอีกแล้ว รวมแล้วเข้าอุโมงค์กันนับครั้งไม่ถ้วน" |
ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมไว้สุดยอดมาก ทำให้เรามีอะไรตื่นตาตื่นใจกันตลอดเวลา ส่วนวันสุดท้ายที่ต้องตะบึงกลับมา ๓๐๐ - ๔๐๐ กิโลเมตรนั่น ไม่มีอะไรให้จอดดู เขาก็ให้ฝนเทเสียเต็มที่เลย เพราะว่าถ้าฝนตกวันอื่นเราจะเซ็งมาก อยากดูหิมะเขาก็ให้ตกตอนดึก ๆ ตอนเช้าสามารถวิ่งรถได้ ถนนไม่ลื่นแล้ว ถึงเวลาก็ลงไปเล่นหิมะกัน
|
ปกติอาตมาเองนี่ไม่มีความคิดที่จะไปอินเดียเลย เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเกิดที่นั่นจนเบื่อแล้ว สาเหตุที่สองก็คือร่างกายไม่ค่อยดี อากาศของอินเดียเหลือรับประทาน แต่คราวนี้ในเมื่อมีคนจ่ายสตางค์ให้ไป เรามีหน้าที่ไปอย่างเดียว ก็เลยไปให้เขาสักหน่อย
|
ถาม : น้องชายบวชมาได้ไม่กี่วัน วันที่สี่เขาก็เลยพาไปงานศพ ไปสวดงานศพ เหมือนท่านสติแตกจากในงานตรงนั้น เขาก็เลยให้ส่งโรงพยาบาล ภรรยาเขาบอกว่า ก่อนที่จะมารับตัว พระท่านร้องไห้ หลังค่อมเหมือนคนแก่ พอสักพักก็หาย ท่านก็พูดว่า “คุณยาย..อย่ามาใกล้ผม ๆ เดี๋ยวผมจะพาขึ้นสวรรค์” ตอนนี้ก็เลยพาไปโรงพยาบาล ปกติท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ เราจะทำอย่างไรให้สติท่านรวมและดีขึ้นได้บ้างคะ ?
ตอบ : โน่นเลย...ธงมหาพิชัยสงครามของวัดท่าซุง ให้เขาติดตัวไว้เลย บอกให้อาราธนาติดตัวไว้ จะได้กันของพวกนี้ได้ บางคนสภาพจิตเขาสื่อกับพวกนี้ได้ง่าย แล้วก็มีกรรมเนื่องกันมา เขาก็จะยืมร่างกายไปใช้ อาจจะอยากบอกลูกบอกหลานของตัวเองว่าต้องการอะไรบ้าง แล้วคราวนี้เจ้าของร่างกายเขาต่อต้าน ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ |
ถาม : พี่เขาสอนให้หนูทำสมาธิ ตอนนี้หนูเริ่มทำสมาธิแล้ว จะมีข้อไหนที่ทำให้ดีขึ้นคะ ?
ตอบ : การทำสมาธิเขาทำเพื่อให้ใจสงบ ถ้าหากว่าใจสงบ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด บุญใหญ่ก็เกิดขึ้นกับตัวเรา คราวนี้ถ้าบุญใหญ่เกิดกับตัวเรา ก็อยู่ที่เราว่าจะสั่งสมไปขนาดไหนจึงจะเพียงพอในการใช้งาน ถ้าหากว่าพอใช้งาน ต้องการอะไรก็เป็นอย่างนั้น จึงต้องทำกันไประยะหนึ่ง ทำแล้วจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ |
ถาม : ลักษณะที่เรียกว่าท่าที ถือเป็นอากัปกิริยาของกายแท้ ๆ หรือใจของเรา อย่างเช่นทำตาน่าสงสารหรือร้องขอ อะไรทำนองนี้ ?
ตอบ : ถ้าใจไม่สั่ง กายก็ทำไม่ได้ ถาม : อย่างนี้ทำไมในภาพถ่าย.....? ตอบ : ภาพถ่ายเป็นการถอดแบบ ถ้าเครื่องมือในการถอดแบบดีก็ถอดได้ใกล้เคียง ถาม : ที่เรียกว่ากระแส เช่น พอไปถึง เอ๊ะ...ทำไมคนนี้อยู่ใกล้ ๆ แล้วรู้สึกได้ว่าใจดี ? ตอบ : อันนั้นเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ คราวนี้ว่าพอนานไปมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง |
ถาม : กระแสในคนแบบที่ถามเมื่อครู่นี้ เป็นพลังงานเดียวกับที่อยู่ในวัตถุมงคลไหมคะ ?
ตอบ : คล้ายกัน เพียงแต่ว่าถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตสำหรับพวกเราจะสัมผัสได้ง่ายกว่า ถ้าหากสิ่งไม่มีชีวิตบางทีเราก็สัมผัสได้ยากกว่า ถาม : ในวัตถุมงคล พลังงานที่ว่ามีทั้งเกี่ยวกับพระและไม่เกี่ยวกับพระ ? ตอบ : ใช่..ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำมาจากอะไร มีทั้งคุณพระ มีทั้งไสยศาสตร์ |
ถาม : พวกลมเพลมพัดก็แค่เอาธรรมชาติดึงมา ทำให้ธาตุเกินหรือขาด ธาตุที่ไม่สมดุลก็มีผลแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ตัวลมเพลมพัด ถ้าเข้าไปก็ทำให้เกิน คราวนี้พอเกินก็เดือดร้อน ถาม : พวกโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากท่านที่มีหน้าที่ส่งผล ก็ปน ๆ อยู่กับพวกลมเพลมพัด ? ตอบ : คล้ายกัน เพียงแต่ว่าขึ้นอยู่กับวาระ ถ้าหากว่ากรรมเก่าเปิด ก็ทำอันตรายเราได้ ถ้ากรรมเก่าไม่เปิด ก็ทำอันตรายเราไม่ได้ เรื่องของลมเพลมพัดก็คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่มีวาระกรรมมาบวกด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก โบราณอาบน้ำเขาให้หันหลังให้ต้นน้ำ ถ้าหันหน้าเดี๋ยวจะเจอลมเพลมพัด โดยเฉพาะทางพวกพราหมณ์เขาถืออะไรแปลก ๆ อย่างเช่นว่า ถ้าอาบน้ำต้องอยู่ตอนเหนือของท่าน้ำ ให้พวกผู้หญิงอยู่ทางตอนใต้ จะได้ไม่ต้องมลทิน ไม่โดนกาลกิณี แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทางเหนือท่าน้ำของเรา จะไม่ใช่ทางใต้ของท่าอื่น ? ถาม : เคยอ่านเจอ มีข้อกำหนดว่าพระราชาจะต้องไม่อาบน้ำโดยหันหน้าไปทางต้นน้ำเหมือนกัน ? ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องที่เขาเชื่อกัน เพราะว่าของพวกนี้ก็อาศัยเรื่องของกระแสน้ำกระแสลมช่วยพาไปเหมือนกัน |
พระอาจารย์เล่าว่า "งวดนี้ด้วยความที่รีบร้อนไปเมืองจีน กลับมาค่อยมาทำงานที่ค้างอยู่ เมื่อวานน้องเล็กเพิ่งจะนับเงินใส่บาตรเทโวฯ เสร็จ ค้างมาตั้งแต่ตอนตักบาตรเทโวฯ เพราะว่าส่วนที่ต้องรีบเลยก็คืองานกฐิน ยอดเงินกฐินทางคณะสงฆ์บังคับว่า ต้องรายงานทันทีที่ทอดกฐินเสร็จ แล้วจำนวนเงินตามหลักที่ปฏิบัติก็คือ ฝากเข้าธนาคารเป็นยอดจำนวนเต็ม จะใช้อย่างอื่นจึงค่อยเบิกมาทีหลัง แต่ยอดแรกต้องเต็มเท่ากับที่เรารายงาน ก็เลยมัวแต่ไปเร่งนับเงินกฐินกัน
แล้วก็มีประเภทที่เรียกว่าตัดสินใจยากมากันมากด้วย อย่างเช่นว่า ‘ถวายทองคำร่วมงานกฐินเพื่อหล่อพระ’ อาตมาก็ได้แต่นั่งกุมหัวว่า ตกลงเขาจะเอาอย่างไรวะ ? ‘ถวายเงินออกกรรมฐานร่วมสร้างวิทยาลัยสงฆ์’ ตูจะบ้า..! จะมีรายการตัดสินใจยาก ๆ มาอยู่เรื่อย ต้องมานั่งแกะซองอีกบานตะเกียง ถ้าเป็นคนอื่นพอถึงเวลาตัดสินใจยาก กลัวผิดพลาด ก็จะรวม ๆ พวกที่กำกวมไว้ ถึงเวลาก็ยกให้หลวงพ่อไปนั่งแกะซองเอาเองว่าจะแยกใส่กองไหน" |
"เขาระบุมาแล้วว่าหล่อพระก็คือหล่อพระ เพียงแต่เขาถวายช่วงกฐิน ระบุว่าสร้างวิทยาลัยสงฆ์ก็คือสร้างวิทยาลัยสงฆ์ แล้วเขาเล่นเอามาถวายร่วมกับกฐิน แล้วก็มีเงินใส่บาตรเทโวฯ มีคนหนึ่งใส่มาหนึ่งแสนบาท เขียนว่า ‘เงินตักบาตรเทโวร่วมทอดกฐิน’ ต้องแบ่งลงบัญชีละครึ่ง ก็เลยทำให้งานยากขึ้นอีกเยอะ"
ถาม : ถือว่าเขาถวายเป็นบริวารกฐินได้ไหมคะ ? ตอบ : ก็ประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่าต้องมาแยกบัญชีต่างหาก เงินที่ญาติโยมทำมาส่วนใหญ่ต้องทำตามเจตนาของเขา ถ้าผิดเจตนาท่านปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์เลย คือย้ายสิ่งที่เขามีความเคารพ มีความนับถือ ทำให้กำลังใจเขาเสีย ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่พระเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ถึงได้เห็นว่าบางวัดรับกฐินมาแล้วเอาเงินไปซื้อรถ บางวัดรับกฐินมาเอาเงินไปเที่ยวต่างประเทศ อาตมาเองบ่นมาเสียจนไม่รู้จะบ่นอย่างไรแล้ว แต่เขาก็ยังทำกันอยู่...เขาไม่กลัว คนกลัวอย่างอาตมาก็ทนต่อไป อาตมาถึงได้บอกว่า "ถ้าจะให้ไปเที่ยวต่างประเทศต้องคนอื่นจ่าย ถ้าให้จ่ายเองอาตมาไม่ไป" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเมืองจีนเจอแต่ร้านขายของที่เอาของปลอมมาขาย แม้กระทั่งประคำทำจากเขาจามรีก็เป็นเรซิ่น แม้แต่พวกเทอร์คอยส์ พวกปะการังก็เป็นของเทียม พวกอำพันก็เป็นของเทียม ไปเจอวัดหนึ่งคือวัดชงกู่ เป็นของแท้ทุกชิ้น แต่ขอโทษ...ไปผิดจังหวะ ไปถึงพระท่านเพิ่งตีกลองทำวัตร กว่าจะเสร็จก็อีก ๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย กะว่าขากลับพวกเราค่อยแวะมาดูใหม่ ปรากฏว่าขากลับมัคคุเทศก์พาเดินออกมาอีกทางหนึ่ง ต้องบอกว่าดวงจะไม่ต้องเสียเงิน
พวกหินทิเบต พวกปะการัง พวกเทอร์คอยส์ พวกอำพัน ฯลฯ เทคโนโลยีสมัยปัจจุบันนี้ทำได้ใกล้เคียงมาก ทำได้แม้กระทั่งงาช้าง งาช้างนี่ลายเริ่มใกล้เคียงแล้ว สีก็ได้แล้ว แต่น้ำหนักยังไม่ได้ กลายเป็นว่าไปเจอของดีเข้า ยืนน้ำลายหกกัน แต่ว่าพระท่านไม่อยู่สักรูปหนึ่ง ไปทำวัตรกันหมด มัคคุเทศก์บอกว่าเป็นวัดที่ค่อนข้างจะเข้มงวด ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีพระคอยอยู่ต้อนรับสักรูปหนึ่ง นี่ไปกันหมด พระจีนเวลาสวดมนต์ท่านมีตีกลอง มีเคาะมู่อวี๋ มีตีระฆังให้จังหวะด้วย เวลาเดินไปได้ยินเสียงกลองตึงแรก อ้าว...เวรกรรมแล้วกู ท่านทิ้งวัดให้พวกเราดูเลย แล้วสถานที่ห้ามถ่ายรูป...อยากถ่ายก็ถ่ายไป ท่านปล่อยเลย ไปทำวัตรกันหมด" |
"ไปเจอของดีเข้าแต่ซื้อไม่ได้ ส่วนที่เขาตั้งใจจะขายให้ก็กลายเป็นของปลอมเสียทั้งนั้น แบบเดียวกับที่ไปปากีสถาน โยมมาถามอาตมาว่าชิ้นไหนแท้ ? ก็ชี้ให้เขาดู พอไปถามราคาของแท้ก็แพง โยมก็เลยแกล้งชี้ของเทียม ไอ้เจ้านั่นรู้แกวแล้ว แสดงว่าเราต้องดูเป็น เพราะว่าชี้แต่ของแท้มาแต่ต้น เขาบอกเลยว่าอันนี้ “แมนเมด” เขาพยายามสื่อว่า เป็นของที่คนทำขึ้นมา ซึ่งก็คือของเทียม
แต่ตอนนี้พวกเราเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าซื้อหลายชิ้นสามารถต่อได้ เพราะฉะนั้น..ใครจะเอาอะไรต่างคนต่างก็บอกกัน แล้วก็รวมซื้อเป็นเจ้าเดียว จะต่อราคาได้เยอะ แต่ว่าบางแห่งก็ขายแพงเกินเหตุ อย่างหวีที่ทำจากเขาจามรี ร้านค้าที่ขายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวประมาณ ๕๘-๖๘ หยวน พอไปซื้อในห้างกลายเป็น ๑๒๘ หยวน คนจีนขายของเขาลงด้วย ๘ คนไทยขายของลงด้วย ๙ แม้กระทั่งค่าห้องพักก็ ๒๘๘ หยวน ๑๘๘ หยวน แต่ต้องยอมรับว่าทางคณะของคุณตั้วเขาใจใหญ่ ช่วง ๓ วันหลังนี่พักระดับ ๔ ดาว ๕ ดาวตลอดเลย พวกเราก็ไม่ได้ต้องการนอนหรูขนาดนั้น แต่เขาก็คงเกรงว่าพวกเราจะลำบาก เพราะว่าโรงแรมพวกนี้มีฮีตเตอร์ มีพวกเครื่องอุ่นเตียงให้ ทำให้อยู่สบาย แต่อาตมาไม่ใช้เลย เข้าไปถึงปิดไฟหมด แล้วก็เปิดหน้าต่าง ให้อุณหภูมิข้างในกับข้างนอกเท่ากัน ถึงเวลาตื่นแล้วจะไปไหนก็ไปได้ คนอื่นออกไปก็ต้องไปสั่นกันอยู่พักใหญ่" |
"ไปเพื่อทดสอบสมรรถภาพว่าอายุ ๖๐ แล้วยังไหวไหม ? แต่ประเภทที่เรียกว่าอึด ๆ อย่างน้องเล็กยังแย่เลย เดิน ๓ ก้าว ๔ ก้าวต้องพัก เพราะว่าอากาศไม่พอหายใจ ตอนที่ไปทิเบตนั่นแค่เดินยาว ๆ ๓ ก้าวแล้วไปยืนหอบข้างถนน ก็ยังแปลกใจตัวเอง แต่อันนั้นเดินแค่ระยะสั้น ๆ ที่เหลือพวกเราขึ้นรถตลอด งวดนี้เดินกันได้สะใจจริง ๆ เดินกันทีหนึ่งครึ่งค่อนวัน ก็เลยทำให้รู้ว่าถ้าอากาศไม่พอหายใจ เรายิ่งเดินทางไกลก็ยิ่งแย่ กล้ามเนื้อร่างกายส่วนไหนสะสมคาร์บอนไดออกไซด์มาก ก็จะปวดเมื่อยไปหมด
ถึงเวลากลับที่พักแล้วต้องใช้วิธีหายใจแบบพวกโยคะ หรือไม่ก็พวกคนฝึกปราณ หายใจลึก ๆ ไล่คาร์บอนไดออกไซด์ออกให้หมด ไม่อย่างนั้นแล้วรุ่งขึ้นระบมตาย กลับเมืองไทยมาแล้วตั้ง ๓-๔ วันยังติดหายใจยาว ๆ อยู่เลย มีอยู่ ๒-๓ รายที่เจอตอนเดิน เอาหมอนไปด้วยใบเบ้อเร่อเลย ตอนแรกอาตมาก็สงสัย กะว่าไปไม่ไหวก็จะนอนเลยใช่ไหม ? มารู้ที่หลังว่าเป็นหมอนออกซิเจน เขามีสายต่อสะพาย ถึงเวลาก็ยัดจมูก บรรจุออกซิเจนเป็นหมอนลมเอาไว้ ช่วยกันกระแทกตอนล้มก็ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอยู่จีน ๑๐ วัน พอกลับมาท่านเจ้าคุณปัญญา (พระเทพปริยัติโสภณ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีถามว่า “อาจารย์เล็ก..กลับมาตอนไหน ?” กราบเรียนท่านว่า “กลับมาหลายวันแล้วครับ แต่ไปทอดกฐินปลดหนี้มาก่อน” “โอ้โฮ...ไหวหรือ ?” “ไหวครับ..ลงเครื่องมาแล้วได้นอนพัก ๑ คืน รุ่งขึ้นก็ไปสกลนครต่อเลยครับ”
ที่ไหวเพราะว่าคืนสุดท้ายซึ่งมานอนที่เฉิงตู สองทุ่มกำลังนอนอยู่ เห็นหลวงพ่อโตเขาเล่อซานท่านมา องค์ใหญ่มาก มีรัศมี ๒ สีคือสีเขียวกับสีเหลือง สวยจริง ๆ เลย มาเต็มที่เลย แล้วกลับเป็นพระสงฆ์ พอกราบท่านเสร็จท่านก็บอกว่า จริง ๆ แล้วท่านก็คือหลวงปู่ไห่ทงผู้แกะสลักองค์หลวงพ่อโต ท่านบอกว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพิ่งได้ฉัพพรรณรังสีแค่ ๒ สี ได้สีเขียวกับสีเหลือง เห็นลูกหลานมาถึงก็เลยแวะมาเยี่ยม จึงกราบขอท่านว่ากลับไปขอให้ทำงานได้ ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วร่างกายโทรม ทำงานไม่ได้ก็ลำบาก" |
"ต้องบอกว่าหลวงปู่ท่านมีวิริยอุตสาหะมาก แกะสลักหลวงพ่อโตเขาเล่อซาน ๗๑ ปี ไม่ใช่อายุ ๗๑ นะ ใช้เวลาตั้งแต่สร้างจนท่านมรณภาพ ๗๑ ปี ก็แสดงว่าท่านอายุเกือบร้อย แต่ยังไม่ทันจะเสร็จดีท่านก็มรณภาพเสียก่อน แล้วมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันตกแต่งจนเรียบร้อยสวยงาม รวมเวลาในการสร้างถึง ๙๐ ปี อาตมาชอบมากเลย รัศมีท่านสวยมาก เขียวกับเหลืองผสมกลมกลืนกัน เหมือนกับแสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้อ่อน งามจริง ๆ
ถามท่านว่าทำไมรัศมีสีนี้ ? ท่านบอกว่าท่านเพิ่งบำเพ็ญบารมีมาได้แค่ ๒ สี ก็คือได้สีนีละ (สีเขียว)กับปีตกะ (สีเหลือง) แค่ ๒ สี หลวงพ่อวัดท่าซุงมีตั้ง ๕ สี...อีกนิดเดียวเอง ของหลวงพ่อวัดท่าซุงถ้าจำเป็นขอพระท่านสงเคราะห์ก็ครบ ๖ สี แต่ปกติแล้วถ้าท่านใช้กำลังของท่านเอง ก็จะมีอยู่ ๕ สี" |
ถาม : ไม่กล้าถามต่อเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถาม ไปดูเอาเอง ของอย่างนี้ถ้าครูบาอาจารย์อยู่ก็พูดไม่ได้ ถ้าท่านไม่อยู่แล้วพูดได้ เพราะว่าพูดไปแล้วพวกเราก็ไปทำอะไรไม่ได้ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่แล้วเราไปเปิดเผย บางคนจะไปกวนไม่เลิก อย่างหลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านเจอหน้าก็บอกเลย “ห้ามพูดตลอดชีวิต” ท่านเองท่านไม่ได้ต้องการคนไปรบกวนมากมาย ท่านอยากอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ อย่างของทางสายอีสาน สมัยหลวงปู่ศรี วัดป่ากุง ท่านมีวาสนาบารมีมาทางด้านบริวารเยอะ แม้แต่หลวงตามหาบัวยังยอมรับ คิดดูสิว่าคนไปหาท่านขนาดไหน ปัจจุบันนี้มีอยู่องค์หนึ่ง ก็คล้าย ๆ หลวงปู่ศรี แต่ว่าอยู่ทางจันทบุรี ไปหากันเอาเอง เป็นหลวงปู่แล้วเหมือนกัน |
พระสายวัดป่าท่านไม่พูดเรื่องนี้ ท่านกลัวคนติด แบบเดียวกับท่านอาจารย์สมปองที่สิ้นแล้ว ก็ยังต้องสั่งให้เก็บสังขารเอาไว้ เพราะว่าลูกศิษย์ไปยึดผิด ไปยึดกายสังขารของท่านมากกว่าหลักธรรม แทนที่จะยึดในส่วนของสังฆคุณที่เป็นสุปฏิปันโนก็ไม่ยึด ไปยึดร่างกายท่าน ถ้าไม่เก็บเอาไว้ก็ย้ายแยกแตกกระจายกันไป หาหลักไม่ได้ ก็เลยต้องให้เก็บเอาไว้
ก็แปลว่าอาตมาเองเหนื่อยแทนท่านอาจารย์สมปอง สอนลูกศิษย์มาตลอดชีวิตแล้วลูกศิษย์ยึดอยู่แค่นั้น ตอนสมัยที่ตัวท่านอยู่ก็บ่นอยู่บ่อย ๆ เวลาไปไหนท่านเองก็พยายามผลักภาระ ถึงเวลาก็หลวงพี่โน่นนิด หลวงพี่นี่หน่อย...ไปเรื่อย บางทีเดินทางครึ่งค่อนวันอาตมาถือไมค์ฯ อยู่คนเดียว แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าท่านที่สร้างบุญร่วมกันมากับท่านก็ต้องไปตามกัน พอท่านมรณภาพอาตมาอุตส่าห์ทิ้งงานวิ่งไปเป็นร้อยกิโลเมตร โทรไปเขาบอกว่ายังไม่มีกำหนดการอะไรทั้งสิ้น อ้าว...แล้วกัน ตอนนี้ขอปิดบ้านก่อน เราก็บรรลัยแล้วกู วิ่งไปถ้าเขาไม่เปิดบ้านไม่เสียงานแย่หรือ ? นี่ก็อุตส่าห์ทิ้งงานมา ก็เลยวิ่งกลับไปทำงานเดิม วิ่งกลับไปจะถึงวัดอยู่แล้ว เขาก็โทรมาแจ้งว่าจะสรงน้ำตอนเย็น ก็เลยบอกว่าไม่ไปแล้ว ใครอยู่ช่วยสรงแทนที ไม่ใช่ไปครึ่งทางแล้วบอกว่าปิดบ้านอีก ตูก็บรรลัยเท่านั้น |
การยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะเป็นการยึดในเรื่องของความดี แต่ก็ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้ ก็คือยังติดดีอยู่ เหมือนกับที่เคยเปรียบว่า เราบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่เรายืนกอดเสาอยู่ตรงนี้แล้วจะไปอย่างไร ? แต่คราวนี้คนเราถ้าทำยังไม่ถึง แม้ว่าจะพยายามเตือนเขาเท่าไร เขาก็ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ
ญาติโยมหลายคนก็มีอาการแบบนั้น ก็คือยึดตัว ไม่ได้ยึดหลักธรรม อาตมาเองก็เลยต้องใช้วิธีว่า ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ไม่ยึดติดแทน โยมจะเห็นว่าพอนอกเวลางาน อาตมาไม่รับใครเลย ใครมาหาไล่เตลิดเปิดเปิงหมด ก็ในเมื่อเขาไม่ยอมเลิกยึด...เราก็ต้องเลิกเสียเอง |
จะเห็นน้ำใจหลวงปู่ถมยาเลย (หลวงปู่พระธรรมสิทธิเวที วัดสังเวชวิศยาราม) ๙๐ ปีแล้วยังอุตส่าห์ไปงาน แต่ว่าท่านอาจารย์สมปองก็เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมของท่านนั่นแหละ
หลวงปู่ท่านยึดหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักมาตั้งแต่สมัยโน้น มีอะไรก็หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ก่อน โดยเฉพาะลูกศิษย์สายวัดท่าซุง ถ้าไปหาท่านพยายามที่จะสนับสนุนทุกอย่าง เพราะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วกำลังใหญ่ สามารถช่วยงานได้มาก อย่างท่านอาจารย์สมปอง แม้ท่านรู้ว่าให้ฐานานุกรมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก...แต่ท่านก็ให้ ปกติตำแหน่งฐานานุกรมชั้นธรรมนี่เขาประเภทแย่งกันซื้อ นี่ท่านถวายให้เฉย ๆ |
ตอนนั้นหลวงพ่อพระพรหมสิทธิ น่าจะยังเป็นพระธรรมสิทธิเวที ท่านก็บอกว่าท่านจะถวายพระครูปลัดให้อาตมา อาตมาก็ทำหูทวนลม จนกระทั่งท้ายสุดไม่ไปรับ ท่านต้องให้คนอื่นไปแทน หลวงพ่ออดีตพระธรรมดิลกด่าซะ “ผู้ใหญ่ให้แล้วยังหยิ่งอีก ไม่ยอมไปรับ” แล้วท่านก็สรุปเองว่า “เออ...ก็ดี..จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใคร”
พวกเราจะมียศมีตำแหน่งหรือไม่...เราก็ทำงาน คนอื่นเขาต้องการกำลังใจด้านนี้ ก็ให้เขาไปเถอะ แต่ว่าเดือนนี้วันที่ ๑๙ ต้องไปรับที่วัดไร่ขิง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับในถิ่นตัวเอง คือรับใกล้ ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วต้องไปรับที่วัดพนัญเชิงบ้าง วัดพระพุทธบาทบ้าง วัดโสธรบ้าง หนกลางส่วนใหญ่เขารับวน ๆ กันอยู่ไม่กี่วัดนี้ เพิ่งจะมีปีนี้ที่วนกลับมาจังหวะของอาตมาพอดี มาลงที่วัดไร่ขิง ตอนแรกก็คิดว่าอย่างเก่งเขาก็ขยับให้เป็นเจ้าคณะตำบลชั้นเอก เพราะว่าแต่เดิมเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท แล้วปัจจุบันนี้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอชั้นโท ถ้าให้เป็นตำบลเอกอาตมาก็ขาดทุน เพราะว่าปัจจุบันวิ่งเลยไปแล้ว แต่ปรากฏว่าให้เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระด้วย เลื่อนไปที ๒๐ ที่นั่ง |
เดี๋ยวไว้เจอหน้าหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จะเรียนถามท่านว่า พัดฝ่ายวิปัสสนาธุระของเมืองกาญจน์ฯ เคยมีไหม ? ทองผาภูมิไม่เคยมีแน่นอน พัดขาวได้ยากมาก ถ้าในระดับชั้นเดียวกันพัดขาวจะนั่งหน้าเขาทั้งหมด
อย่างเช่นว่าถ้าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอกมา จะกี่คนก็ตาม อาตมาต้องนั่งเหนือเขา เพราะว่าของเราเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ แสดงว่าโบราณพระมหากษัตริย์ท่านก็ให้ความสำคัญกับงานวิปัสสนาธุระมาก แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ พระราชาคณะสามัญเปรียญ ก็เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ พอมาเป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานก็เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ ถึงเวลาเจ้าคุณชั้นราชด้วยกันท่านก็ต้องนั่งหน้าเขาหมด ตอนหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านเป็นพระราชภาวนาโกศล ก็ฝ่ายวิปัสสนาธุระเหมือนกัน อาตมาบ่นว่า “ไม่ได้ดีใจหรอก เพราะว่าพัดไม่สวย ไม่มีสีไม่มีสันเหมือนคนอื่นเขา” ปรากฏว่าพวกบ่นกันพึม “ไอ้ห่...ได้สูงแล้วยังบ่นอีกว่าไม่สวย” |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:47 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.