![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าเมษายน วันที่ ๗ มีการทำบุญบ้านเติมบุญหลังนี้
ตอนแรกก็ทำบุญบ้านเติมบุญกันในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนเกิดของคุณณัฐพล สุขวัฒนสิริ หรือคุณต๋อง ที่เป็นกำลังใหญ่ในการสร้างบ้านเติมบุญหลังนี้ คราวนี้ปรากฏว่าปีนี้ติดงานบรมราชาภิเษกก็เลยเลื่อนมาเดือนเมษายน คือทำก่อนเดือนหนึ่ง แต่อาตมาเห็นว่า ถ้าเลื่อนแล้วก็ให้อยู่เดือนเมษายนไปตลอดก็แล้วกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนก็มีวันจักรีบรมราชวงศ์ด้วย ถ้าเลื่อนไปเลื่อนมาคนจะจำยาก ให้เอาเดือนเมษายนยาวไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนยังไม่ทราบว่า หลวงพ่อนาก หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อทองคำ อาตมาสร้างเป็นสมเด็จองค์ปฐมทั้งหมด บางคนก็ถามว่าใช่สมเด็จองค์ปฐมไหม ? บอกว่าใช่ทุกองค์ เพียงแต่ว่าอยู่ในคนละรูปแบบเท่านั้น
หลวงพ่อเงินอยู่ในรูปแบบพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ก็คือพระแบบภาคเหนือ หลวงพ่อนากเป็นแบบหลวงพ่อพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ศิลปะศรีวิชัยแบบใต้ ส่วนหลวงพ่อทองคำนั่นก็คือพระแก้วมรกต ที่เราถือว่าเป็นพระที่อยู่ภาคกลาง แต่จริง ๆ แล้วพระแก้วมรกตเป็นศิลปะล้านนา ก็แปลว่าคุมเหนือ กลาง ใต้พอดี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระเราต้องละเอียด ทรัพย์ย้ายออกจากฐาน เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม ถือว่ากระทำกรรมนั้นสำเร็จ ถ้าราคาได้ ๕ มาสกขึ้นไป ขาดความเป็นพระเลย ต้องระวังให้ดี
๕ มาสกนี่บ้านเราตีความว่าเท่ากับเงินบาทเดียว โยมเขายังไม่ได้ประเคนก็ไปคว้าของเขามาแล้ว เดี๋ยวจะซวยแบบไม่รู้ตัว" |
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์สุริยันทรงกลดเนื้อนากมีมวลสารอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : ก็มวลสารที่เหลือจากการหล่อหลวงพ่อนากนั่นแหละ ยังจะเอามวลสารอะไรอีก ? ถาม : เผื่อจะมีแถม ? ตอบ : อยากได้ของแถมต้องเข้ามาใกล้ ๆ ขนาดนั้นแล้วยังจะเอาอะไรอีก ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ก็คือการแห่นาคเสียงดัง ทางโรงเรียนไปขอร้องเพราะว่าเด็กกำลังสอบอยู่ บรรดาขาใหญ่ไม่พอใจจึงตามไปกระทืบทั้งครูทั้งนักเรียน..!
เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นประเพณีที่ผิดเพี้ยนไป โบราณที่เขามีการแห่นาค เพื่อที่จะให้คนที่รู้เห็นได้โมทนาว่าบ้านนี้บวชลูกชาย หลายท่านก็แห่ไปให้ญาติพี่น้องที่อยู่ต่างหมู่บ้าน ต่างตำบล ได้อนุโมทนา ได้ร่วมบุญด้วย คราวนี้พอไปไกล ๆ ก็ต้องมีอะไรสนุกสนานเฮฮาบ้าง ก็มีดนตรีไป ตอนหลังเหล้าก็ตามไปด้วย ซึ่งก็พอทน แต่พอมายุคนี้สมัยนี้บรรดาเครื่องเสียงต่าง ๆ ไม่เกรงใจใครเลย อย่างที่วัดท่าขนุนเวลาแห่นาคอยู่ในตลาด เสียงดังไปถึงวัด ตอนหลังของวัดท่าขนุนก็น้อยลงไปมาก ปีหนึ่งอาจจะมีโผล่มาสักครั้งหนึ่ง บางทีก็ ๒-๓ ปีครั้งหนึ่ง คือคนในพื้นที่เขาบวช ถ้าอย่างนี้เขาก็จะมาขอเป็นการส่วนตัว ก็ต้องให้เขา แล้วอีกอย่างก็คือวัดท่าขนุนของเราถึงเสียงดังไม่ไปกวนใคร แล้วนาคที่แห่ไปบวชวัดอื่น ก็จะแห่เข้ามาวัดท่าขนุนเพื่อมากราบลาหลวงปู่พุก หลวงปู่สายก่อน ต้องบอกว่าเป็นค่านิยมปฏิบัติในพื้นที่เลย ที่ว่าถ้าจะบวช ก็แห่มากราบลา กราบขอขมาหลวงปู่ท่านก่อน แล้วถึงจะไปบวชกัน เพราะฉะนั้น...ถึงวัดของเราไม่ได้แห่ วัดอื่นก็ช่วยแห่ให้" |
"คราวนี้ในส่วนของวัดก็ต้องบอกว่าเจ้าอาวาสไม่ผิด เหตุที่เจ้าอาวาสไม่ผิดเพราะว่าเรื่องของวัดของพระเราต้องระมัดระวัง อันดับแรกเลยก็คือ พระธรรมวินัย ข้อที่ ๒ คือกฎหมายบ้านเมือง ข้อที่ ๓ คือจารีตประเพณี
ในเมื่อจารีตประเพณีเขานิยมกันอย่างนั้น แห่กันมาอย่างนั้น ก็ต้องอะลุ้มอล่วยกันไป แล้วถามว่าความผิดอยู่กับโรงเรียนหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่ เด็กกำลังสอบ ไปขอร้องให้เบาเสียงลงก็เป็นเรื่องที่ทำได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น...จะว่าไปความผิดตกอยู่กับบรรดาผู้ที่ไปร่วมขบวนแล้วลุแก่อำนาจ ไปทำร้ายร่างกายทั้งครูทั้งนักเรียน ขนาดตำรวจห้ามปรามก็ไม่ฟัง ต้องบอกว่าขาดสติเพราะก็คิดว่าลูกพี่ตัวเองใหญ่ จัดการได้ทุกเรื่อง ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าใบแจ้งความยังหายได้..! แต่บังเอิญว่าเรื่องนี้ดังออกสื่อกันมาก ๆ เข้า เท่ากับเป็นแรงกดดัน คราวนี้ก็จะรู้เองแหละว่าร้อยเวรหรือผู้กำกับจะทำหน้าอย่างไร ? เพราะจะว่าไปแล้วก็อยู่ในลักษณะว่ารู้เห็นเป็นใจ ก็เลยทำให้บรรดาอันธพาลในพื้นที่เขาได้ใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ถือว่าแมลงวันย่อมไม่ตอมแมลงวันด้วยกันเอง เพราะฉะนั้น...เรื่องนี้ก็จับเฉพาะพวกลงไม้ลงมือไปเข้าคุก เรื่องของบรรดาผู้ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้มีอิทธิพลเขาก็ทำเป็นลืม ๆ กันไป คือธรรมเนียมไทยก็เป็นอย่างนี้เอง ทำใจเอาก็แล้วกัน" |
"พอมีเรื่องโด่งดังขึ้นมาสำนักงานพระพุทธศาสนาก็ออกมาประเภท 'จะต้องทำตามมติมหาเถรสมาคมอย่างเคร่งครัด' อาตมาอยากถามจริง ๆ ว่าวัดของกรรมการมหาเถรสมาคมทำแบบนี้หรือเปล่า ? แล้วอีกอย่างหนึ่ง เรื่องแบบนี้เป็นแค่มติ ต้องบอกว่าเป็นกฎระเบียบที่เขาระบุว่าให้พระจัดงานให้เรียบร้อย แล้วงานบวชพระ ที่แห่ไปก็คือโยมจัด ในเมื่อญาติโยมเป็นคนจัดแล้วพระจะไปบังคับเขาอย่างไร ?
โดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมักจะหางานให้พระทำ วันก่อนก็โทรมา 'พระอาจารย์เจ้าขา ช่วยจัดงานปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติในช่วงบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ให้สัก ๗ วัน' ก็เลยบอกว่า "เป็นไปไม่ได้ว่ะ ช่วงนั้นทางวัดก็ยุ่งพออยู่แล้ว วัดมีกำหนดการจัดงานที่แน่นอนอยู่แล้ว อยู่ ๆ คุณให้จัดเพิ่มขึ้นมาคุณรู้หรือเปล่าว่ารายจ่ายเท่าไร ? อย่างของวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรมนี่เฉพาะค่าอาหารวันละหมื่น เรารับจำกัดจำนวนไม่เกิน ๓๐๐ คน เฉลี่ยหัวหนึ่งประมาณ ๓๐ บาทต่อคนต่อวัน กิน ๒ มื้อรวมน้ำปานะด้วย ๓๐ บาท คุณไปหาที่ไหนได้ ขนาดนั้นยังเจอไปวันละหมื่น..!" |
"นี่คุณจะให้จัดงาน ๗ วัน อาตมาต้องจ่ายเพิ่ม ๗๐,๐๐๐ แล้วถามจริง ๆ สำนักพุทธฯ มีงบฯ ให้ไหม ? เขาก็เลยบอกว่าไม่มี แล้วหลวงพ่อจะแนะนำวัดไหนให้เขาจัด ? ก็บอกไปว่าไม่แนะนำ เพราะอาตมาไม่นิยมหมกงานให้คนอื่นทำ คุณต้องไปโทรถามเอาเอง หรือถ้าเห็นว่าทางวัดไม่จัดให้ ตัวเองก็จัดเสีย จะได้รู้ว่าลำบากแค่ไหน ส่วนใหญ่แล้วก็คิดว่าตัวเองสั่งแล้วพระต้องทำ คงมีคนทำให้นะ แต่ไม่ใช่อาตมาหรอก อาตมานี่ถ้าไม่ว่างก็คือไม่ว่างเลย
งานหลายอย่างทางคณะสงฆ์ก็ดี ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี ถ้าเป็นงานที่ไม่ได้ขัดกับงานที่วัดทำอยู่ ก็เต็มใจที่จะช่วยเสริมเข้าไปให้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมาทำให้แผนงานของเราเสียหมด อย่างวัดท่าขนุนของเรา แจ้งกำหนดการปฏิบัติงานตลอดทั้งปี ถ้าจะเข้ามาในช่วงจังหวะที่พอรับได้ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเข้ามาในช่วงจังหวะงานอื่นเต็มมืออยู่แล้วจะไปทำอย่างไร ก็คาดว่าของเราก็สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐานถวายเป็นพระราชกุศลไปตามปกติ แต่ว่าไม่ได้จัดงานปฏิบัติธรรมอย่างเป็นทางการให้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่เห็นเขาเอามะพร้าวอ่อนมาถวายอาตมาแล้วก็แห่ซื้อกันมา โปรดทราบ...อาตมาฉันไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพราะว่าเป็นมาลาเรียอยู่ น้ำมะพร้าวเย็นมาก ลงไปเมื่อไรก็กระตุ้นมาลาเรียกำเริบขึ้นมาทันที ไม่ใช่เห็นเขาเอามามาก ๆ แล้วเราก็เสียสติซื้อตามเขาไป"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงมาฆบูชาทางวัดจัดงานปิดทองรอยพระพุทธบาท ก็ถือว่ารื้อฟื้นงานประจำปีวัดท่าขนุนคืนมา เพราะว่าก่อนหน้านี้ช่วงอาจารย์สมเด็จ อาจารย์สมพงษ์ งานประจำปีวัดท่าขนุนเละมาก ที่เละมากเพราะว่าชอบไปเอาละครพม่าเข้ามา พอละครพม่ามา พี่น้องพม่ามอญจะแห่มากันเยอะมาก เลิกงานเมื่อไรเราก็จะมีขยะกองมหึมาอยู่เต็มวัด เพราะว่าเขานึกจะกินตรงไหน เขานึกจะถ่ายตรงไหน เขาก็ปล่อยตามสบายของเขา
พออาตมาขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาส ช่วงประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา เนื่องจากว่างานประจำปีตรงกับขึ้น ๑๓ ค่ำ ๑๔ ค่ำและ ๑๕ ค่ำเดือน ๓ อาตมาก็ตัดเหลือ ๑๕ ค่ำวันเดียว ก็คือทำบุญวันมาฆบูชา ญาติโยมเก่า ๆ หลายคนก็บ่นกันอยู่ แต่อาตมาก็ปล่อยให้เขาบ่นไป บ่นได้ไม่กี่ปีเขาก็ชินไปเอง แต่คราวนี้พอสร้างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทแล้ว ทางกรรมการวัดกับทางกรรมการชุมชนส่วนหนึ่งเขาบอกว่า อยากจะรื้อฟื้นงานปิดทองพระพุทธบาทขึ้นมา เพราะว่าของเก่าเราปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง คราวนี้เราปิดของจริงไปเลยเพราะว่าขึ้นไปถึงได้แล้ว ก็เลยตกลงกันรื้อฟื้นงานคืนมา พอดีว่าอยากจะจัดงานทำบุญให้อดีตเจ้าเมืองหน้าด่านทั้ง ๗ เมือง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเป็นชาวมอญกับกะเหรี่ยง จึงเอามารวมกันเป็นงานเดียว" |
"ในงานเขามีการทรง ปรากฏว่าบรรดาเจ้าเมืองแห่กันมาชนิดที่ร่างทรงเกือบตาย แต่ละคนต่างก็บอกว่าดีใจที่ทางนี้ยังไม่ลืม ทิ้งเขาไปนานเหลือเกิน แม้กระทั่งทางด้านหลวงพ่อต๋อง (พระครูสุทธิสารโสภิต) วัดพุตะเคียน นี่ก็เป็นมอญ ที่จัดงานอย่างนี้เป็นประจำ ท่านบอกว่าโดยปกติก็ลงกัน ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง พอคราวของพระอาจารย์เล็กนี่ลงไม่เลิก ว่ากันตั้งแต่ ๙ โมงเช้ายันเพล ต้องขอร้องให้หยุดเพราะว่าพระจะอดเพล..!
เจ็ดเจ้าเมืองที่มาก็มีเมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ เมืองไทรโยค เมืองท่าตะกั่ว ก็ยังขาดเมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่ากระดานที่ไม่ได้มา ก็คือไม่เปิดโอกาสให้ลง บอกว่าขอร้องเถอะ ปีหน้าค่อยมาลงใหม่ เดี๋ยวจะจัดให้เป็นงานประจำปีไปเลย ท่านเจ้าเมืองท่าขนุนบอกว่า "อย่ารับปาก จะทำก็ทำเลย ถ้ารับปากแล้วทำไม่ได้เดี๋ยวโกรธ" จัดงานอย่างนี้เห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า นอกจากชาวบ้านเขาดีใจที่เรายังไม่ลืมพวกเขาแล้ว แม้แต่ผีก็ดีใจ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ก็มีแต่คนโทรมาเรื่องหล่อพระทองคำ ก็คือยังทำบุญได้ไหม ? ทำแล้วทองของเขาจะได้ลงเบ้าไหม ? มีอย่างนี้ด้วยนะ คือเรื่องทำบุญพอเราตั้งเจตนาก็เป็นบุญแล้ว เท่ากับเราได้บุญ แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่ากำลังใจในงานบุญต่ำมาก ก็คือถ้าไม่ได้กินไม่ได้ใช้ให้เห็นซึ่งหน้า ก็เหมือนกับเขาไม่ได้บุญ ก็เลยจะอยู่ลักษณะการถามอย่างนี้
คราวนี้เรื่องของการหล่อพระทองคำ ถ้าเราเอาสารพัดทองรูปพรรณใส่ลงไป องค์พระจะด่าง อาตมาก็เลยเตรียมเป็นทองแท่งแท่งละ ๕๐ บาท เอาไว้ ๙๗ กิโลกรัมเลย โยมทำบุญมาเท่ากับว่าร่วมเป็นเจ้าภาพใน ๙๗ กิโลกรัมนั่นแหละ ส่วนของโยมถ้าอาตมามีเวลาก็จะเอาไป Refine ใหม่ขึ้นมาเพื่อเอาไว้หล่อองค์ต่อไป แต่ถ้ามีสร้างวัตถุมงคลเป็นเนื้อทองคำนี่ใช้ทองรูปพรรณได้ เพราะว่าช่วยเพิ่มความแข็งขึ้นมาหน่อย ต้องไปเจอเตาหลอมประเภทสุญญากาศ ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ เพราะว่าเขาดึงลงไปทีเดียวเต็มที่เลย ส่วนใหญ่แล้วพวกทองที่น้ำหนักมากกว่า ก็จะอยู่บริเวณด้านล่าง อย่างเช่นว่าสร้างเป็นองค์พระ อยู่แถวเศียรจะไม่มีตำหนิอะไร เพราะว่าเวลาหล่อเขาจะคว่ำพิมพ์ลง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดกาญจนบุรีหาพระทั้งจังหวัดมาปลุกเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้น้อยมาก ปัจจุบันพระเกจิอาจารย์ที่ชาวบ้านเขาเชื่อถือได้มีน้อยเต็มทีแล้ว เพราะว่าหลวงพ่อเสงี่ยม วัดบ้านทวนก็มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อทองสุข วัดท่าตะคร้อก็มรณภาพไปแล้ว แทบจะไม่เหลือรุ่นเก่า ๆ แล้ว ตอนนี้หลัก ๆ ก็เหลือหลวงพ่อสนองชาติ วัดเย็นสนิทธรรมาราม กับหลวงพ่อชุบ วัดวังกระแจะ หลวงพ่อสนองชาติท่านเกษียณตัวเองก่อนอายุ ๘๐ ปล่อยให้หลวงพี่เสริฐ วัดทุ่งลาดหญ้าขึ้นมาเป็นเจ้าคณะตำบลแทน
อย่างอาตมาจริง ๆ แล้วก็ยัง "ไม่ได้ที่" ในสายตาชาวบ้าน เพราะเขาว่าอายุยังน้อย เขาต้องการสัก ๗๐ - ๘๐ ปีขึ้นไป แต่ก็อยากจะบอกว่าตอนอายุน้อย ๆ กรำงานได้นานกว่า อายุมากขึ้นก็ไม่ค่อยจะไหวเหมือนกัน" |
ถาม : หลวงพ่อเล็ก วัดเขาดิน ยังอยู่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มรณภาพไปหลายปีแล้ว ทำเอาอาตมาโดนคนโทรถามสนั่นเลย เพราะเขาไปลงข่าวว่า "พระเกจิดังเมืองกาญจน์ฯ หลวงพ่อเล็กมรณภาพ" อาตมาก็เพิ่งจะรู้ว่าในสายตาชาวบ้านนั้นอาตมาดัง เขาใช้คำว่า “พระเกจิดังเมืองกาญจน์ฯ” ท่านมรณภาพไปหลายปีแล้วน่าจะประมาณ ๕-๖ ปีแล้ว วัดเขาดินได้ท่านพัฒนาจนใหญ่โต ก่อนหน้านี้มองอะไรไม่เห็นเลย เมื่อวานนี้รองเจ้าคณะจังหวัด ท่านอาจารย์พระมหาวิสุทธิ์ วิสุทฺธิปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค บรรยายเรื่องธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ว่าทำไมตอนนี้ต้องเร่งเก็บข้อมูลพระสงฆ์ชนิดหัวทิ่มหัวตำเลย เพราะว่าต้องการจะใช้สิทธิ์บัตรทองรักษาฟรี พวกเราจึงต้องเหนื่อย ท่านบอกว่าสถิติปีนี้ของโรงพยาบาลสงฆ์ พระเราป่วยเป็นโรคยอดฮิค คือ ความดัน ไขมัน หัวใจ เบาหวาน ข้อเข่าเสื่อม |
ถาม : มองสภาพแวดล้อม แล้วเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้อันตราย ไม่น่าอยู่ ความกลัวเกิดขึ้น แต่มีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาว่า ถ้าตายตอนนี้ลงนรกแน่ ๆ ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยังไม่ถูก พอเห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษแล้วเราจะต้องหนีไปจากตรงนี้ ในเมื่อเราจะต้องไปจากตรงนี้ สภาพจิตจะต้องปลดการยึดจากร่างกายและโลกนี้ ที่ว่ามานั้นยังไม่ใช่ |
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะมีความเป็นอยู่คล่องตัว ?
ตอบ : ไม่ต้องถามหรอก ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาพระคาถาเงินล้านไป จะคล่องทุกเรื่องเอง แต่ว่าบางคนภาวนาแล้วก็ยังสงสัยอีกว่า ภาวนาช้ากับเร็วต่างกันตรงไหน ? น่าเหวี่ยงให้สักทีหนึ่ง...! ขอให้ได้ทำ จะช้าจะเร็วก็ช่างเถอะ ผลต่างถึงจะมีก็ขอให้เกิดผลก็แล้วกัน |
ถาม : ช่วงนี้ฝันเห็นงูบ่อย แล้วนิมิตเห็นด้วยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร บอกเขาว่าถ้ามาไม่ดีเดี๋ยวจะกลายเป็นงูปิ้ง..! อาตมาชอบกินมากเลย เสียดายตอนเป็นพระเขาห้ามกินเนื้องู ก็แค่ระมัดระวังเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าตามการตีความของทางพระพุทธศาสนา งูคือกิเลสในใจของเรา ระวังรัก โลภ โกรธ หลง จะนำหน้า เพราะฉะนั้น..ก็ต้องให้ศีลธรรมนำหน้าไว้ก่อน |
ถาม : ลูกชายฝากมาถามเรื่องทำธุรกิจ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน จะเดินแต่ละก้าวต้องระวังสุดชีวิต คนรุ่นใหม่มักจะใจร้อน อยากจะรวยเร็ว ลงทุนมากถ้าพลาดก็เสียหายมาก |
ถาม : ผมซื้อผ้าไตรถวายไปแล้ว ทีนี้มีคนเอาเงินมาให้ทีหลัง ?
ตอบ : ถ้าไม่เกินจำนวนที่เราจ่ายไปก็รับเอาไว้ สมมติว่าเราซื้อผ้าไตรไป ๑,๐๐๐ บาท เขามอบเงินให้เรา ๕๐๐ บาท ก็ถือว่ามีส่วนกันคนละครึ่ง แต่ถ้าเขาให้มาเกินราคาผ้าไตร อันนั้นจะต้องไปทำให้เขาต่างหาก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนทำช้าไป ๒ ปี จากราคา ๔๓ ล้าน ๒ แสนบาท กลายเป็น ๕๐ ล้านบาท ตอนนี้จากที่อาตมาจำหน่ายวัตถุมงคลในกระทู้คนมีเงินกับส่วนอื่น ๆ รวมกันแล้วมีเงินในมืออยู่ประมาณ ๓๐ ล้านบาท ยังขาดอีก ๒๐ ล้านบาทถ้วน ๆ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้โทรศัพท์ที่โทรมา ร้อยละ ๙๙ คือถามเรื่องหล่อหลวงพ่อทองคำ เสร็จแล้วก็มีหลายคนถามว่าใช่สมเด็จองค์ปฐมไหม ? บอกว่าใช่ทั้ง ๓ องค์นั่นแหละ จะทอง จะนาก จะเงิน แสดงว่าหล่อสมเด็จองค์ปฐมมา ๓-๔ องค์แล้วยังไม่รู้ตัวเลย
แล้วก็ไม่แน่ใจว่าระยะนี้ที่เร่งโทรเข้ามาเป็นเพราะใกล้จะหมดเวลาหรือเปล่า ? ก็คืออาตมาเตรียมการมา ๖ ปี โยมไม่คิดที่จะมาทำบุญ จะมาทำเอาวินาทีสุดท้าย ตื่นเต้นกับชีวิตดีใช่ไหมที่วิ่งไล่รถเที่ยวสุดท้าย ? ถ้าเป็นอาตมานี่เที่ยวแรกมาก็ขึ้นนั่งแล้ว มัวแต่มารอเที่ยวสุดท้ายอยู่เดี๋ยวขึ้นไม่ทัน บางคนมีวิสัยอย่างนั้น ทำอะไรช้าเป็นปกติ ไม่ใช่ช้าแล้วดีนะ ช้าแล้วพาเสียอีกด้วย อาตมาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีอยู่ปีหนึ่งเจอนิสิตที่สุดยอดมาก ทำข้อสอบเสร็จตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่รอวินาทีสุดท้ายแล้วค่อยส่ง ทุกวิชาจะเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นอยู่คนเดียว ที่อาตมาเบื่อที่สุดก็คือกูจะรีบ ๆ ไป แต่เขาไม่ใช่ ต้องใช้เวลาให้ครบทุกวินาทีถึงจะพอใจ แล้วก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทบทวน ไม่ได้แก้ไขอะไรหรอก นั่งรอเวลาหมดแล้วค่อยส่ง ประเภทนี้น่าจะเป็นลูกหลานของหลวงพ่อสุภัททะ แต่หลวงพ่อสุภัททะท่านเป็นพระอรหันต์นะ ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น ตัวของเราเองถ้าไม่ได้สร้างบารมีมาอย่างท่าน เราก็มีสิทธิ์ที่จะเดี้ยง" |
"อดีตพระเอกหนังที่เพิ่งจะตายไปไม่นาน มีฉายาว่าเจ้าชายสายเสมอ รู้จักไหม ? ไม่ว่าจะนัดเวลาไหน เขาก็ไปช้าเป็นปกติ
ยิ่งทำอะไรช้ามากเท่าไร กำลังใจก็ยิ่งห่างมรรคผลมากเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า บุคคลที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผล จะมุ่งตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้พะวงถึงสิ่งฉุดรั้งต่าง ๆ ก็เลยเป็นคนทำอะไรเร็ว ตรงเวลา มีแต่ก่อนไม่มีหลัง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครรู้ว่าตนเองอยู่ในประเภทเจ้าชายหรือเจ้าหญิงสายเสมอ ก็ให้พยายามปรับปรุงตัว เพื่อหนทางที่เราเดินในวัฏสงสาร ซึ่งยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลาย จะได้สั้นลงบ้าง ไม่ใช่ยิ่งเดินก็ยิ่งยาวไปเรื่อย เพราะว่าเราทำอะไรช้าอยู่เสมอ ถ้าหากว่าอยู่ในส่วนของมนุษยภูมิขึ้นไปก็ยังถือว่าท่านโชคดี แต่ถ้าช้าแล้วลงอบายภูมินี่จะยิ่งช้าหนักเข้าไปอีก เพราะว่าข้างล่างโดยเฉพาะส่วนของนรก เปรต อสุรกาย ระยะเวลาต่างกับโลกมนุษย์มาก อย่างเบา ๆ ๑ วันของเขาก็เท่ากับ ๕๐ ปีของเรา แล้วอายุก็ยาวนานเหลือเกิน เล่นกันเป็นกัป กัปหนึ่งไม่มีใครรู้ว่าเวลายาวนานเท่าไร แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงให้ประมาณการไว้เท่านั้น ประมาณการว่ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ก็คือกว้างยาวสูงด้านละ ๑๖ กิโลเมตร ๑๐๐ ปีเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดหย่อนลงไปหนึ่งเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดเต็มเสมอขอบถังเมื่อไร ประมาณเวลาได้กัปหนึ่ง เป็นกัปหนึ่งโดยประมาณไม่ใช่ตรงเป๊ะ เราจะได้หยอดสักเมล็ดไหม ? ๑๐๐ ปีหยอดเมล็ดหนึ่ง เมื่อไม่นานที่ผ่านมาก็หลวงปู่บุญฤทธิ์ อายุ ๑๐๒ ปีเพิ่งมรณภาพ นั่นท่านหย่อนได้เมล็ดหนึ่ง พวกเรายังไม่มีสิทธิ์ได้หย่อนเลย" |
"ที่ภาษาบาลีที่บอกว่าอสังไขย หรืออสงไขย ก็มาจากคำว่าอสังขยา หรืออสังขะยะ ที่แปลว่านับไม่ได้ ก็คือบุคคลทั่วไปนับไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ได้โปรดทำอะไรให้เร็วขึ้นนิดหนึ่ง แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ ยิ่งเป็นนักปฏิบัติธรรม มีแต่ทำแล้วต้องเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าเป็นสภาพจิตที่เร็วโดยไม่ผิดพลาด แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็มักจะช้ากันเป็นปกติ บางคนภูมิใจในความช้าของตัวเองอีกต่างหาก
หลวงพ่ออดีตเจ้าคณะอำเภอ.......... วัด........... เท่าที่รู้จักท่านมาตั้งแต่ต้นจนท่านมรณภาพ ไม่ว่าจะงานเจริญพระพุทธมนต์ สวดพุทธมนต์ที่ไหนก็ตาม เขาต้องว่ากันไปครึ่งค่อนแล้วท่านถึงจะมา คือท่านคงรู้สึกว่า การปรากฏตัวระยะนั้น สายตาทุกคนจะต้องจับมาที่ท่าน เป็นการเท่ดีหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? แต่ถ้าอาตมาเป็นพระผู้ใหญ่หัวแถว จะไม่ชอบใจเลยที่ท้ายแถวมาช้าขนาดนี้ แล้วทุกครั้งก็จะเป็นแบบนั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายเดือนนี้เป็นช่วงบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ปีที่แล้วมี ๓๐ กว่ารูป ไม่รู้ว่าพวกที่โดนตีไปบอกกล่าวต่อ ๆ กันไป แล้วปีนี้จะน้อยลงหรือเปล่า ? เพราะที่วัดประกาศไว้ชัดเจนที่สุด ใครส่งลูกมาบวชทำใจไว้เลย...โดนไม้แน่นอน พอ ๓ วันผ่านไปนี่เรียบเป็นผ้าพับไว้ เพราะรู้ว่าโดนตีแน่ ๆ อยู่บ้านดื้อได้ซนได้ เพราะรู้ว่าพ่อแม่ไม่กล้าตี แต่ไปวัดนี่พระพี่เลี้ยงแต่ละรูปพกไม้ ๓ อัน ๔ อัน
ตอนแรกอาตมาก็สงสัย ถามว่าทำไมต้องพกไม้เยอะขนาดนั้นด้วย ? พระพี่เลี้ยงบอกว่า ถ้าตีไม้หักจะได้ไม่ต้องหาใหม่ อาตมาก็เลยไม่ใช้ไม้ เพราะว่าตีแล้วไม้หัก อาตมาใช้สายไฟขนาด ๒.๕ สแควร์มิล...! ถ้าตีแล้วสายไฟขาดถึงจะยอมยกให้ แต่ถ้าหากว่าใครอยู่ครบกำหนด ก็คือบวชวันที่ ๓๑ มีนาคม สึกอย่างเร็วที่สุดวันที่ ๑๐ เมษายน ถ้าอยู่ได้ถึงอาตมาจะให้ทุนการศึกษารูปละ ๒,๐๐๐ บาท ปีที่แล้วก็มีส่วนหนึ่งบอกว่า "อย่าไปบวชนะโว้ย..หลวงพ่อตีจริง ๆ" อีกส่วนหนึ่งก็บอกว่า "มึงก็ทำดีไว้สิ ทนแค่ ๑๐ วันได้เงินไปเล่นเกมตั้ง ๒,๐๐๐ บาท" อ้าว...ตูให้ทุนการศึกษา ดันเอาไปเล่นเกม...!" |
"แต่มีสามเณรบางรูป ต้องบอกว่าบวชเณรเป็นอาชีพ เขาชอบของเขาอย่างนั้น อย่างสามเณรเตวัตร สามเณรณัฐภูมิ เมื่อไร ๆ ก็ต้องบวช บวชแล้วสึกออกไปก็นำพ่อแม่ใส่บาตรทุกวัน นับเป็นอภิชาตบุตรจริง ๆ แต่พอใส่ไปใส่มาหลังจากสึกไปแล้วสักเดือนหนึ่ง...สามเณรก็หายไป เหลือแต่พ่อแม่ที่ไม่เคยใส่บาตรยังคงใส่ต่อไป..!
เสียดายอยู่อย่างเดียวว่าทางบ้านต่อยอดจากวัดไม่ได้ อยู่วัดต้องซักผ้าเอง ถูศาลาเอง จัดที่นอนเอง ล้างจานเอง พูดง่าย ๆ ก็คือบิณฑบาตกินเองด้วย พอกลับบ้านไปเดี๋ยวพ่อแม่ก็บริการให้อีกแล้ว สามเณรก็จะจำแค่วันแรก ๆ สึกไปแล้วยังทำตัวเหมือนอยู่วัด พอสัก ๓ วัน ๕ วันไปก็เริ่มเลือน ๆ แล้ว พ่อแม่ต้องทำให้เหมือนเดิม คือถ้าทางบ้านหรือทางโรงเรียน สามารถรักษาความมีระเบียบวินัยของสามเณรเอาไว้หลังจากสึกไปแล้ว จะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ว่ารักษาไม่ได้ ต่อยอดไม่เป็น เสียดาย...บวชเมื่อไรก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ทุกครั้ง ฝากลูกไปบวชเณรที่วัดสักเดือนหนึ่งก็ได้นะ กลับมานี่เปลี่ยนจากลิงเป็นคนเลย โดยเฉพาะถ้าหลวงพ่อตีเองนี่ ทีหนึ่งก็ได้ ๒ แผล เพราะว่าหวดน่อง..!" |
ถาม : ลูกชายเป็นคนสมาธิค่อนข้างสั้น มีวิธีฝึกสมาธิง่าย ๆ อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ต้องให้เล่นกีฬาสมาธิ เล่นกีฬาพร้อมกับสมาธิ ก็คือไม่ว่าจะทำอะไร บอกเขาว่าอย่าลืมลมหายใจ พอได้เคลื่อนไหวแล้ว เหมือนกำลังจะเริ่มหมด คราวนี้ก็จะนิ่งได้ง่ายขึ้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพรหมที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งเรียกว่าพระพรหมเอราวัณ เหตุที่สร้างท่านเกิดจากการสร้างโรงแรมเอราวัณ ที่ถือว่าเป็นโรงแรมสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในสมัยโน้น มีแต่อุปสรรค เขาก็เชิญพลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือในยุคนั้น ที่ใคร ๆ เขาเรียกว่าเจ้ากรมแพทย์ตาทิพย์มาดูให้
ท่านบอกว่าที่โรงแรมติดขัดเพราะว่าไปใช้ชื่อเอราวัณที่เป็นช้างทรงของพระอินทร์ แล้วจะแก้ไขอย่างไร ? ท่านบอกให้สร้างรูปพระพรหมที่ใหญ่กว่าเอาไว้ แล้วท่านก็ช่วยทำพิธีอัญเชิญให้ ประหลาดตรงที่ว่า ตรงจุดนั้นแต่ก่อนเป็นแหล่งความเจริญมาก อยู่ใกล้ ๆ สนามม้าราชกรีฑา แล้วก็กรมตำรวจ ห้างไดมารูเก่า แล้วต่อมาก็มีห้างซัสโก้ ตอนหลังห้างไดมารูก็เลิกกิจการไป มีการสร้างห้างเวิลด์เทรดขึ้นมาแทน เท่ากับอยู่ตรงศูนย์กลาง แต่ว่าศรัทธาของพระพรหมเอราวัณนี่ยิ่งมายิ่งมาก ตอนหลังเขามีการสร้างพระตรีมูรติ มีการสร้างพระพิฆเณศวร์ ก็ไม่สามารถที่จะแย่งศรัทธาไปจากพระพรหมได้ เพราะว่าคนที่มากราบไหว้บูชาแล้วอธิษฐานขออะไรมักจะสำเร็จ" |
"อาตมาไปสิงคโปร์ครั้งล่าสุด คนขับรถแท็กซี่มีรูปพระพรหมเอราวัณติดอยู่หน้ารถ เขาเรียกท่านว่า "อากง" ถึงเวลาต้องไปไหว้ "อากง" ปีละครั้ง ไปถวายละครชาตรี คือจ้างนางรำไปรำ เขาบอกว่า "Make my life smooth and easy." ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นแล้วก็ราบรื่น ก็แสดงว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมีผลจริง
เรามาดูว่าตอนนี้ตรงนั้นกลายเป็นย่านการค้าที่ทันสมัยสุด ๆ ของกรุงเทพฯ แต่ปรากฏว่าศรัทธาพระพรหมเอราวัณยิ่งมายิ่งมาก ตรงจุดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเจริญยิ่งมากเท่าไร คนก็ยิ่งต้องการที่พึ่งทางใจมากเท่านั้น" |
"ที่พึ่งพระพุทธศาสนาของเรา บางทีหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่าเหมือนกับเพชร จะให้คนเข้าร้านขายเพชรทุกวันก็เข้าไม่ไหวหรอก ซื้อเพชรไม่ไหว แต่ถ้าหากให้เข้าร้านโชว์ห่วยขายของชำนี่เข้าได้ทุกวัน เข้าเช้าเข้าเย็นก็ได้ เขาก็เลยแวะไปหาพระพรหมเอราวัณกันมาก ก็ต้องบอกว่าท่านเบาแรงพระไปเยอะ แต่ถ้านับในเรื่องของมรรคของผลอะไรแล้ว ก็มีผลน้อยกว่า
แต่เราก็ต้องยอมรับว่าศาสนาทุกศาสนา ในเรื่องของพิธีกรรมความเชื่อเป็นฐานใหญ่สุด แล้วช่วงกลางถึงจะมาเป็นเรื่องของศีล เรื่องของหลักการปฏิบัติ ช่วงปลายถึงจะเป็นการเอามรรคเอาผล เอาความหลุดพ้นกัน ลักษณะเหมือนกับปีรามิด ฐานล่างใหญ่มาก ตรงกลางก็เล็กลงมา เหลือปลายอยู่หน่อยเดียว เพราะฉะนั้น...ญาติโยมทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมตั้งใจเพื่อความหลุดพ้น ถือว่าแปลกแยกจากสังคม เป็นส่วนยอดของปีรามิดที่มีอยู่หน่อยเดียวเท่านั้น ใครจะกลับใจลงไปฐานล่างก็เอานะ" |
ถาม : ถ้าผมตั้งใจใช้ทองคำที่หล่อพระมาบูชาพระบรมธาตุจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะนำทองคำมาหล่อพระ ให้ตั้งใจว่าหล่อพระก่อนแล้วเราค่อยไปบูชา หลังจากนั้นค่อยลามาหล่อพระ ถ้าหากว่าคุณไปตั้งใจบูชาพระบรมธาตุก่อนแล้วลามา ประเภทนี้ผิดงานแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาใช้สมบัติคนตายเยอะมาก โดยเฉพาะกระเป๋าเดินทางใบนี้ ใช้มา ๒๐ กว่าปีแล้ว เจ้าของเป็นเอดส์ตาย ญาติเขาบอกว่าอยากให้ได้กุศล ก็เลยเอากระเป๋าของเขามาถวาย เพราะว่าไม่มีใครกล้าใช้
ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงกับเพื่อนยังอยู่ที่วัดบางนมโค ท่านไปเจริญกรรมฐานในป่าช้า มีญาติโยมขี้สงสัย เห็นพระอยู่ในป่าช้าก็เข้าไปชวนคุยด้วย แกชี้ไปที่เตียงถามพระท่านว่า "นี่อะไร ?" "ฝาโลง" ใช้ฝาโลงผี ๒ แผ่นมาตอกเป็นเตียง "แล้วโต๊ะล่ะ ?" "ฝาโลง" "เก้าอี้ล่ะ ?" "ฝาโลง" พอฝาโลง ๓ ครั้ง โยมวิ่งเลย เพราะคิดว่าที่นั่งคุยอยู่ต้องเป็นผี..!" |
ถาม : เครื่องทรงพระทองคำ ใครเป็นเจ้าภาพครับ ?
ตอบ : อาตมาเป็นเจ้าภาพ เพราะว่าหล่อติดกับองค์พระไปเลย ถาม : มีการติดพลอยเพิ่มไหมครับ ? ตอบ : ไม่มีติดพลอยติดเพชรเพิ่ม ทำแบบนั้นอาตมาถือว่าไร้รสนิยม..! |
ถาม : ถ้าเราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย การที่จะขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์ยากขนาดไหนครับ ?
ตอบ : ก็ยากพอ ๆ กับเดินตีนเปล่าขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การไปต่างประเทศ โดยเฉพาะการไปดูงาน มีคนจำนวนหนึ่งที่มองโลกในแง่ร้าย เห็นว่าไปเที่ยวกัน แต่อาตมายืนยันว่า อาตมาไปดูงานก็คือไปดูจริง ๆ อะไรของเขาที่ดีก็จะเอามาปรับปรุงของเรา อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้เราคิดได้ว่าจะทำความเจริญให้กับศาสนาในแบบไหนก็จะทำ
อย่างเวลาไปต่างประเทศ โดยเฉพาะทางยุโรป อเมริกา เราเข้าไปในโบสถ์ของศาสนาคริสต์ อลังการมากแทบทุกโบสถ์เลย พอเข้าไปเราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียว พระเจ้าเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ บางที่เข้าไปนี่ร้องโอ้โฮเลย ทำไมเขาสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ แล้ววัดในประเทศไทยมีกี่วัดที่เราเข้าไปแล้วโอ้โฮบ้าง ? ของเขานี่แทบทุกแห่ง แต่ของเรานี่ ๒ มือนับน่าจะไม่ครบนิ้ว" |
"ฉะนั้น...ในส่วนนี้เวลาเราไป ถ้าเก็บเป็นจะได้อะไรเยอะมาก อาตมาไปดูงานตอนเรียนปริญญาเอก สรุปการดูงานให้อาจารย์ ๕ บรรทัด อาจารย์ท่านถามว่า "เอาแค่นี้จริง ๆ หรือครับ ?" บอกว่า "เนื้อหาครบไหมละครับ ?" ท่านมอง ๆ แล้วบอกว่า "ครบ" "ถ้าครบผมก็เอาแค่นี้แหละ"
อาตมาสรุปงานให้ว่า ถ้าเรารักษาของเก่าจนขายได้แบบอิตาลี รักษาธรรมชาติจนขายได้แบบสวิตเซอร์แลนด์ สร้างแบรนด์จนขายได้แบบฝรั่งเศสก็พอแล้ว แต่ทั้งหมดที่ว่ามายังไม่ต้องทำหรอก ควรสร้างจิตสำนึกของคนเราให้ได้อย่างเขาก่อน ไปดูงานมา ๑๒ วัน สรุปได้แค่ ๕ บรรทัด" |
ถาม : จิตสำนึกที่ต้องสร้างนี่คืออะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าจิตสาธารณะ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด เป็นต้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เงินส่วนองค์อาตมาไม่ค่อยได้ใช้หรอก ส่วนใหญ่พอเผลอ ๆ ก็กลายเป็นทุนการศึกษาบ้าง เลี้ยงเด็กบ้าง อะไรบ้างไปเรื่อยเปื่อย ทุนการศึกษาในส่วนที่ใช้เงินสงฆ์ก็ใช้เงินสงฆ์ บางส่วนที่อาตมาให้เป็นการส่วนตัวก็ใช้เงินส่วนตัว
ทุนการศึกษาของวัดท่าขนุน ปีหน้าโรงเรียนที่จะได้มากที่สุด ก็คือโรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศ เพราะว่ามีตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ก็แปลว่าจะได้ทุนระดับประถม ๒๐ ทุน ทุนระดับมัธยม ๒๐ ทุน แล้วเขาจะเปิด ปวช.ด้วย ถ้ามี ปวช.นี่ก็ต้องแบ่งกับทุนระดับมัธยม อาจจะคนละครึ่ง" |
พระอาจารย์อ่านและแปลบาลีให้ฟัง "แปลทันไหม ? ผมบาลีเถื่อนนะ แปลได้หมด แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ตอนที่เรียนไวยากรณ์ท่องไปท่องมา เหมือนกับมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย ตั้งแต่นั้นมา เรียนหรือไม่เรียนก็ราคาเดียวกัน"
|
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มากราบว่า "จำไว้อย่างหนึ่งว่า เป็นผู้นำเขา อารมณ์ต้องมั่นคง จะไปขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้"
|
สนทนากับพระ "ระยะนี้ผมไปไหนก็เดือดร้อนไปหมด ถึงเวลาเขาก็ต้องขยับที่ให้ วันก่อนเจ้าคณะจังหวัดไม่อยู่ในงาน เขาบอกว่าพระอาจารย์ช่วยเป็นประธานให้หน่อย
มเหสักโข แปลว่าผู้ประกอบไปด้วยศักดิ์อันยิ่งใหญ่ ในเมื่อท่านที่ใหญ่กว่ามาถึง ท่านที่เล็กกว่าก็ต้องหลบไป แบบเดียวกับอังกุรเทพบุตร กับ อินทกเทพบุตร ถึงเวลานั่งอยู่ซ้ายขวาของพระพุทธเจ้า พอเทวดาที่เป็นมเหสักข์มาถึง ท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยไปเรื่อย อินทกเทพบุตรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ต้องหลบให้ใคร ปัจจุบันนี้ดูท่าอาตมาจะเริ่มเป็นอินทกเทพบุตรแล้ว นั่งลงไปนี่แทบจะไม่ต้องถอยให้ใครแล้ว ตอนที่ชัดที่สุดก็คือ ปีนั้นน่าจะพรรษาที่ ๕ ไปงานพระราชทานสัญญาบัตรพัศยศของคณะสงฆ์หนเหนือ ที่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ เข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์ ปรากฏว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ของสำนักพุทธฯ เชียงใหม่ ไล่พระอื่นออกหมด เหลืออาตมานั่งอยู่รูปเดียว ไม่กล้าไล่ เพราะว่าอาตมาเอาหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งบนหัวไปด้วย คิดอยู่อย่างเดียวว่า "ถ้ามึงแน่จริงก็ไล่หลวงพ่อสิวะ..!" ปรากฏว่าเขาไม่กล้าไล่ ปล่อยให้อยู่จนกระทั่งสมเด็จพระสังฆราชท่านเสด็จมา ท่านเลยประทานย่ามให้ใบหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังเก็บย่ามนั้นไว้เป็นที่ระลึก มีย่ามของท่านใบหนึ่ง มีผ้ารับประเคนของท่านตอน ๙๐ พรรษาผืนหนึ่ง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:31 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.