กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6287)

เถรี 09-08-2018 22:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะว่าเป็นของสูงควรค่าแก่การเคารพ ถ้าเราไม่เคารพแล้วใครจะเคารพ ? เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมีตัวบทกฎหมายที่ชาวโลกเขารับกันไม่ได้ ที่ชาวโลกเขารับไม่ได้เพราะเขาคิดว่า ก็ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แล้วทำไมถึงต้องไปให้ความเคารพลักษณะอย่างนั้น ทั้งที่สิทธิมนุษยชนก็เท่ากัน ฯลฯ

เรื่องนั้นก็จริง เพียงแต่ว่าเขาเองไม่ได้เข้าใจตรงจุดนี้ เพราะว่าผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงที่เขาต้องมีกษัตริย์เป็นเครื่องยึดโยงประชากร เขาไม่มีแล้ว"

เถรี 09-08-2018 22:16

มีโยมใช้ผ้าปิดปากมา พระอาจารย์จึงกล่าวถามว่า "ปิดปากทำไมจ๊ะ ? เป็นอะไรหรือ ? ถ้าหากว่าเป็นหวัดเขาให้ปิดจมูกไปด้วย เพราะว่าถึงเราปิดปากเชื้อโรคก็ออกทางจมูก ไปปิดแต่ปากแล้วจะมีประโยชน์อะไร ? ยกเว้นเราตั้งใจว่าจะไม่คุยกับใคร แล้วก็ปิดปากไปเลย"

เถรี 09-08-2018 22:44

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนในงานอบรมเขาถามว่า ถ้าหากว่ามีคนเข้ามาบวช เรารู้ว่าเขาเป็นพวกติดยา ทางคณะสงฆ์มีวิธีการจัดการอย่างไรบ้าง ? ก็บอกเลยว่า อันดับแรกก็คือ เจ้าอาวาสต้องพิจารณาก่อน ถ้าหากเราคิดว่าเอาอยู่ ก็เอาไปรายงานตัวกับพระอุปัชฌาย์ จับตาดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าสร้างสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ให้เขาหวนกลับไปหามันอีก อย่างของวัดท่าขนุนสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ รอบ เจริญกรรมฐาน บิณฑบาต มีงานทำความสะอาดส่วนกลาง เช้าเรียน บ่ายเรียน เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก ก็ฟุ้งไม่ได้

ตอนนี้เขาก็ถามว่า “ถ้าวัดอื่นจะเอาโมเดลนี้ไปใช้ หลวงพ่อหวงไหมครับ ?” จะไปหวงอะไรเล่า ? ใครอยากได้ ถ้าไม่มีมาขอพระไปช่วย ยังยกให้เลย “ถ้าเกิดเขาเข้าไปในวัดแล้วตรวจเจอฉี่สีม่วงละครับ ?” ก็มีวิธีการดำเนิน ๒ วิธีด้วยกัน ถ้าเจ้าอาวาสรักลูกศิษย์พอ มีความกล้าหาญ ขอทางการว่า นี่เป็นเพียงผู้เสพ ขอตัวเอาไว้เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเราเป็นคนรับรองความประพฤติ ส่วนใหญ่ตำรวจจะอะลุ้มอล่วยให้ เพราะว่าเกรงใจพระ แต่ถ้าเป็นผู้ขายนี่ผิดกฎหมายชัดเจน แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ก็ต้องปล่อยเป็นไปตามกรรม ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่ยอมร้องขอเอาไว้ ว่าจะเป็นผู้ดูแลเองในฐานะเจ้าพนักงาน อย่างนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการอย่างอื่นได้ นอกจากดำเนินคดีตามกฎหมาย"

เถรี 09-08-2018 23:26

"เขาก็บอกว่า "ผมก็เพิ่งจะชัดเจนว่าขั้นตอนมีอย่างนี้ ส่วนเรื่องที่จะบุกเข้าไปตรวจฉี่พระจริง ๆ นี่ทำไม่ได้นะครับ" เขาว่าอย่างนั้น อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ เรื่องนี้ทางคณะสงฆ์เรามีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจนก็คือ ถ้าคุณมีหลักฐานชัดเจนว่าที่วัดนี้มียาเสพติด อันดับแรกเลยไปหาเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอที่เขาดูแลวัดนั้น ขอหนังสือร่วมมือในระหว่างหน่วยงานให้เข้าไปตรวจ ถ้ามีหนังสือร่วมมือแบบนี้เราก็สามารถเข้าไปตรวจได้

วิธีการที่สองก็คือ มีคำสั่งมาจากหน่วยงานเบื้องสูง อย่างเช่น สำนักพุทธฯ มาถึงทางด้านตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นกองกำกับการจังหวัด หรือว่าสถานีตำรวจอำเภอไหนก็ตาม เราก็สามารถถือหนังสือนี้เข้าไป แต่ถ้าจะให้ดีจริงก็คือ ขอหนังสือจากเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอด้วยเพื่อความแน่นอน

ประการที่สาม ถ้าทำผิดซึ่งหน้าแล้วคุณบอกว่าไม่มีอำนาจ ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับ ตำรวจซวยไปด้วย คือบางทีเขาก็ลืม คิดอยู่อย่างเดียวว่าเกรงใจพระ ไม่กล้าทำ"

เถรี 10-08-2018 09:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อพระพุทธเจ้าน้อยที่วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์ ท่านกำหนดเป็นวันที่ ๒๖ สิงหาคม ซึ่งจริง ๆ แล้วตรงกับงานหล่อพระของวัดสระพัง ปรากฏว่าหลวงพ่อพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ยอมถอยให้ท่านอาจารย์ เลื่อนไปเป็นต้นเดือนกันยายน พอท่านโทรมาบอก อาตมาก็บอกว่าต้นเดือนกันยายนอยู่บ้านเติมบุญ ไม่ไปสักปีหนึ่งคงจะไม่เป็นไรนะ"

เถรี 10-08-2018 09:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๒ งานทำบุญวันแม่ ที่วัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรมวันแม่ วันเสาร์ที่ ๑๑ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์หยุดชดเชย กำลังดูว่าทางด้านข้าราชการเขาว่างไหม ? ถ้าว่างสักบ่าย ๓ โมง ก็จะมีการจัดเจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ด้วย

ในชุมชนของเราต้องรักใคร่สามัคคีกัน สวดมนต์แต่ละทีมากัน ๓๐๐-๕๐๐ คน ครั้งก่อนมาต่อว่าเสียไม่มี “อาจารย์ไม่เห็นมีบทสวดมนต์ให้ผมเลย” บอกไปว่า “อาตมาทำมาตั้ง ๓๐๐ ชุด แต่โยมตะบันมา ๕๐๐ กว่า ก็ต้องหมดแหละ” เขาบอกว่า “แล้วทำไมไม่พิมพ์ไว้เยอะ ๆ แค่ชุดละไม่กี่สตางค์เอง” พระเจ้า...ถ้าพิมพ์ไว้เยอะ ๆ แล้วถ้าโยมไม่มาล่ะ ? อาตมาจะเอาไปชั่งกิโลขายคืนก็ไม่ได้ราคานั้น

บางคนปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง “ไม่ได้นะ..เรื่องนี้ท่านต้องแก้ไขนะ” “ครับ..เดี๋ยวจะแก้ให้ครับ” ให้โยมเขาสบายใจขึ้นหน่อยว่าสั่งพระได้ บางเรื่องถ้าโยมเขาขาดสติ เราเป็นพระที่มีสติอยู่ก็ต้องบ้าตามกันไปเลย ทำให้โยมเขาพอใจหน่อยจะได้ไม่มาโกรธกัน"

เถรี 10-08-2018 10:14

1 Attachment(s)

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครต้องการหนังสือบันทึกประเทศไทย ฉบับวัดท่าขนุน ลองดูที่ตู้จำหน่ายวัตถุมงคล สี่สีทั้งเล่ม คิดเล่มละร้อยเดียว"

เถรี 10-08-2018 19:15

ถาม : เมื่อวานตอนสาย ๆ เดินไปอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่า เมื่อละบาปได้แล้วให้ละบุญด้วย ก็พิจารณาว่า เอ๊ะ...เป็นอย่างไร ? พิจารณากลับไปกลับมาก็มาลงที่ว่า ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พระสงฆ์ที่เป็นขีณาสพต่าง ๆ ท่านไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป แล้วท่านดำรงได้อย่างไร ก็ได้เห็นว่าเพราะมีวิหารธรรม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ก็ไปค้นในกูเกิ้ล พบว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเสนาสนสูตร ว่าวิหารธรรมมีอานาปานสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ และสีลานุสติ ก็เลยมาเข้าใจว่า ท่านละต่าง ๆ แล้ว ท่านก็อยู่ด้วยวิหารธรรมสิ่งนี้นั่นเอง ?

ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือตัวปัญญา เป็นปัญญาในอุเบกขา เกิดจากการหยุดปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ รู้ว่าชั่วเราก็ละ ทำดีเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ละชั่วเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ประคับประคองกาย วาจา ใจ ของตัวเราเอาไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ทำเพราะดี ละเพราะชั่ว แต่ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เป็นตัวปัญญา แล้วก็ต้องบอกว่าตัวอุเบกขาที่ว่านั้นเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ไปอย่างสง่างามที่สุด สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่ท่านทำจะเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ ท่านทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ต่อให้รู้ว่าพ้นปากเหวแล้วก็ยังคงไปให้ไกลที่สุด ไม่ใช่ไปยืนเอ้อระเหยอยู่แถวนั้น

ถึงได้บอกว่าตอนนี้เชื่ออย่างเดียว สงสัยแล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอารมณ์ที่เราวางนั้นใช่แล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้ จะต้องคอยคิดอยู่เสมอว่าเราอาจจะโดนหลอก เพราะฉะนั้น..อะไรว่ามาพยายามพิจารณาดู แล้วถ้าหากว่าติดขัดตรงไหนก็มาถาม

เถรี 10-08-2018 19:19

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ใช่ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ยิ่งสาวจะยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียดไปเรื่อย ถ้าปัญญารู้ไม่เท่าทันก็ลำบาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่าใหม่ ๆ เหมือนเรายิงช้าง ตัวใหญ่ยิงง่าย แต่พอถึงเวลาก็เล็กลงไปเรื่อย ๆ เป็นเสือ เป็นกวาง เป็นเก้ง เป็นหนู ท้ายที่สุดดันเป็นยุง...!

เรื่องของปัญญาต้องเท่าทันจริง ๆ ถ้าปัญญาเท่าทันจะเห็นชัดเจนว่า นั่นคือสิ่งที่ใหญ่และจัดการได้ง่าย แต่ถ้าปัญญาไม่เท่าทัน อนุสัยกิเลสนี่เราควานไม่ถึงหรอก การปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านเปรียบเหมือนกับตัดต้นไม้ เราตัดต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือนเลย แต่ปรากฏว่าพอขุดลงไปรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก แล้วยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งเล็กลง ๆ ๆ ถ้าหากว่าตัดหมดได้จริง ๆ นั่นก็คือหลุดพ้นเลย


ถาม : จะละอนุสัยกิเลสได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สติ สมาธิ ปัญญา สร้างสติด้วยอานาปานสติให้มั่นคง จนกระทั่งทรงเป็นฌาน พยายามสร้างฌานให้มีความคล่องตัว ชนิดเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ละอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร พอเห็นทุกข์โทษชัดเจน จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ค่อย ๆ ถอนห่างออกมา ถ้าห่างขาดกันไปเลยก็จบ

ถาม : จริง ๆ แล้วเกิดจากการที่เราปล่อยให้เกิด ?
ตอบ : ก็คือถ้าหยุดการปรุงแต่งก็จะจบ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ตาเห็นรูปคิด หูได้ยินเสียงคิด จมูกได้กลิ่นคิด ลิ้นได้รสคิด กายสัมผัสคิด คิดชอบก็กลายเป็นราคะ เป็นโลภะ คิดไม่ชอบก็เป็นโทสะ เป็นโมหะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถจัดการกับกิเลสได้ก็อย่าไปทำเพิ่ม

เมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา สั่งสมกำลังสมาธิจนพอ ค่อยหันไปฟัดกับกิเลส ใช้ตัวปัญญาเป็นเครื่องประกอบว่า เราจะไปมุมไหนแง่ไหนเราถึงจะชนะ แล้วก็ค่อย ๆ ตัด ค่อย ๆ ละไปทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของเรา จนกระทั่งถ้ากำลังเพียงพอ สติสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ตัดละกันไปทีเดียว ถึงเวลานั้นญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้น ท่านบอกว่า ญาณัง โหติ ขีณา ชาติวุสิตัง ญาณปรากฏขึ้น รู้ว่าสิ้นกิเลสแล้ว
การเกิดไม่มีอีกแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง จบพรหมจรรย์ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ก็ทำไป ถ้าหากว่าจบจริง ๆ ก็หมดธุระก็ตายภายในไม่เกิน ๗ วัน ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล ถึงเวลาเราตายจริง ๆ ก็ไม่มีใครเขามาอยู่ดูหรอก ว่าใครจะจัดการอะไรให้เรา เพราะว่าไปแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะทุ่มเทอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ควรจะไปบวชเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ขนาดนั้น อยู่ในระหว่างนี้ ก็คงได้แต่ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้

เถรี 10-08-2018 19:21

ถาม : ที่วัดมีสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ของวัดท่าขนุนไม่ได้เน้นมโนมยิทธิ ของเราเน้นว่าแต่ละคนถนัดแบบไหนมาให้ทำอย่างนั้น ถ้าติดขัดแล้วค่อยมาถาม เพียงแต่ว่าทำวัตรเช้าเย็น ๓ รอบ แต่ว่าช่วงเช้ามืดเจริญกรรมฐาน ตอนตี ๔ ก็เปิดเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่เหลือก็กิจกรรมอื่น ๆ

ถาม : ตอนนี้วัดท่าซุงยังสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ก็ยังสอนของเขาอยู่

ถาม : มีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี จะทำอะไรก็ให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะว่าเป็นอนาคตของเราเอง

เถรี 10-08-2018 19:51

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไม่เคยมีเงินติดบัญชีน้อยขนาดนี้มา ๒๕ ปีแล้ว เหลือติดบัญชีอยู่แค่หมื่นกว่าบาท เพราะว่างานประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน แม้กระทั่งหน่วยไตเทียมเขาก็มาเบิกเงินประกันผลงาน"

เถรี 10-08-2018 20:00

มีโยมเอาผ้าไตรมาถวาย "ต่อไปมาแต่สีพระราชนิยมนะ ไม่ว่าจะเป็นสบง จีวร อะไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าพระทั้งประเทศต้องใช้สีนี้ แนวโน้มว่าจะไม่ให้พระใส่สีอื่น แบบที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า "พระเจ้าชู้" ใส่สีเหลืองสดมาเชียว ความจริงแล้วเป็นลักษณะของการตำหนิแบบครูบาอาจารย์ ก็คือวัดท่านห่มสีอย่างนี้ ท่านก็ต้องห่มตาม ไม่อย่างนั้นเจ้าอาวาสก็ไม่ให้อยู่ด้วย คราวนี้พอไปวัดป่าก็ต้องไปย้อมใหม่ให้เป็นสีแบบวัดป่า

จีวรสีนี้เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง เป็นสีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ ท่านศึกษาค้นคว้า แล้วก็นำถวายให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทอดพระเนตร เป็นที่ชอบพระทัย เวลาเข้าวังก็เลยห่มสีนี้ จึงเรียกกันว่าเป็นสีพระราชนิยม ก็คือเป็นสีที่พระราชานิยมชมชอบ แต่ก็ยังมีห่มสีแดง
ห่มสีเหลือง ห่มสีกรักออกดำแบบพระวัดป่า

ในเมื่อมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกันทั้งประเทศ หนเหนือจะเป็นหนที่ลำบากที่สุด เพราะว่าหนเหนือส่วนใหญ่จะห่มสีเหลืองกับสีแดงแบบพระพม่า แต่ครูบาบุญชุ่มยังต้องเปลี่ยนสีเลย เพราะฉะนั้น...คนอื่นก็จงเปลี่ยนเสียดี ๆ เถอะ ในวงการสงฆ์ตอนนี้ถ้าเจอใครห่มเหลืองมาก็บอก “เฮ้ย...ยังตีโจทย์ไม่แตกใช่ไหม ? เดี๋ยวจะช่วยทำให้” เจอโจทย์ยากไปหน่อย ทำไม่ค่อยจะถูก"

เถรี 10-08-2018 20:33

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) สอนวิชาธรรมวิภาคกับพระใหม่ ท่านบอกว่า “ผมสอนไม่เหมือนคนอื่นนะ ผมจะถามเขาว่าเรื่องนี้คิดอย่างไร ? ถ้าหากว่าประสบปัญหาแบบนี้จัดการอย่างไร ?” อาตมาบอกว่า “ฟังดูเข้าท่าดีนะ แต่ใช้ไม่ได้หรอก” ท่านถามว่าทำไม ? “ที่คุณว่ามานั้น เหมาะสำหรับบุคคลที่มีพื้นฐานการปฏิบัติในระดับสูงมากแล้ว ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อนเขาจะไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะพระใหม่บวชเข้ามา เราต้องคิดอยู่เสมอว่าเขาไม่รู้อะไรเลย แล้วพยายามทำอย่างไรให้เขารู้ให้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าเรารู้อย่างนี้แล้ว ผมก็ถามว่าคุณรู้แบบผมไหม ? ก็บรรลัยสิครับ”

อาตมาถึงได้บอกว่า หลายคนซึ่งอาตมาเจอมาตั้งแต่สมัยก่อนเรียนปริญญาเอก จบด็อกเตอร์มาแล้วพูดกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง เพราะว่า “ขึ้นได้ ลงไม่ได้” ก็กูรู้แล้วกูก็พูดอย่างนี้ มึงจะรู้หรือเปล่าก็เรื่องของมึงเถอะ..!

ชาวบ้านทั่วไปแถว ๆ นั้น เวลาเข้าอบรม ภาษาไทยยังไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ "ออหมี่ ออที" พอไปถึงก็ “อุปโภค บริโภค” ก็บ้ากันไปข้างหนึ่งเท่านั้น

หลายคนมีความรู้ดีมาก แต่น่าเสียดายว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าถ่ายทอดไม่เป็น คิดอยู่เสมอว่าตัวเองรู้แล้ว คนอื่นต้องรู้ตาม ครูบาอาจารย์ที่ดีต้องคิดอยู่เสมอว่า “ลูกศิษย์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ต้องพูดสิ่งที่ง่ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ” เพราะฉะนั้น...โยมไม่ต้องสงสัยหรอกว่าอาตมาไปสอนหนังสือ ทำไมลูกศิษย์เรียกร้องให้สอนห้องโน้น ห้องนี้ ห้องนั้น ปัจจุบันนี้ที่วัดไร่ขิงวันหนึ่งสอน ๕ ห้อง ๑๐ ชั่วโมง เขาบอกว่าคนอื่นสอนแล้วฟังไม่รู้เรื่อง เอาพระอาจารย์เล็กมาสอนเถอะ"

เถรี 10-08-2018 20:47

"ที่ตลกที่สุดก็คือ วันก่อนเจ้าหน้าที่วิ่งไล่ตาม “ช่วยเซ็นรับเงินเดือนด้วย ๓ เดือนแล้วค่ะ” “อ้าว...แล้วคุณปล่อยให้ค้างได้อย่างไร ?” “ก็หลวงพ่อมาถึง ไม่ทันจะเห็นก็เข้าห้องไปแล้ว สอนเสร็จหลวงพ่อก็กลับเลย” ส่วนใหญ่อาตมาไปสอนหนังสือ ก็ตั้งใจเป็นธรรมทาน ของวัดไร่ขิงไม่ได้คิดเงินเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าตามเงินเดือนปริญญาเอกคือ ๓ หมื่นกว่าบาท

ปรากฏว่าช่วงเดือนที่แล้วมีการประชุมคณาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระเทพศาสนาภิบาล หรือหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ท่านบอกว่า “การไม่รับเงินเดือนนั้นดี แต่คนอื่นอย่าอมของท่านสิวะ..! ให้ท่านเบิกออกมาแล้วเอาเข้ากองทุนการศึกษาของวิทยาลัยสงฆ์เอาไว้ เท่ากับว่าท่านให้ทุนการศึกษาทุกเดือน” นี่ก็คือการคิดแบบผู้ใหญ่ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขาก็ เออ...พระอาจารย์เล็กไม่รับ เขาก็แค่กากบาดชื่อไว้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องจ่าย

แต่มาจะแย่ตรงที่ว่าพอรับแล้วต้องเสียภาษี เนื่องจากว่าไม่ใช่เงินการกุศล แต่เป็นเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน สรุปว่าพระอื่นเสียภาษีหรือไม่เสียก็ไม่รู้ บรรดาพระอาจารย์ที่สอนหนังสือนี่เสียแน่นอน ถ้าหากว่าปีหนึ่งไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ เสียร้อยละ ๕ ถ้าหากว่า ๓๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป
โดนแน่ ๆ ร้อยละ ๘ เลย เพราะว่าเดือนหนึ่ง ๓ หมื่นกว่า

ในเรื่องของงบประมาณ ในแต่ละหน่วยงานส่วนใหญ่จะมีรายจ่ายถัวเฉลี่ย คือถ้ารายการนี้ไม่พอ รายการโน้นเกินมา ก็เกิดการดึงกันไปดึงกันมา ทำอย่างไรให้อยู่ในเงินจำนวนนั้น อาตมาไม่รับเงินเดือนก็จริง แต่ก็โดนเขาเอาไปถัวเฉลี่ยจนหมดอยู่ดี หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านทนไม่ได้ ให้เบิกออกมาแล้วให้เป็นทุนการศึกษาไป"

เถรี 10-08-2018 20:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ที่ทำโครงการหล่อพระพุทธรูปทองคำ อาตมารับกิจนิมนต์ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่เจ้าภาพถวายมาก็ดี หรือว่าญาติโยมที่ไปร่วมงานใส่ย่ามมาก็ดี อาตมาเอาลงหล่อพระทองคำหมดเกลี้ยงเลย จนกระทั่งถึงวันหล่อพระเสร็จ ก็แปลว่าจนประมาณกุมภาพันธ์ - มีนาคมปีหน้าโน่น คนอื่นจะเป็นเจ้าภาพหล่อไม่หล่อไม่รู้หรอก อาตมาเป็นเจ้าภาพหล่อเดือนหนึ่งหลายครั้ง

สำหรับเดือนนี้งานสำคัญก็คืองานทำบุญวันแม่ โยมพ่ออาตมาตายวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ โยมแม่ตายวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ อาตมาบอกกับทางญาติว่า "ทำบุญให้ครั้งเดียว เลือกเอาว่าจะเอาวันไหน" ทุกคนเลือกเอาวันที่ ๑๒ สิงหาคม เพราะว่าหยุดงาน ดังนั้น..ถึงบอกว่าทำบุญวันแม่ แต่จริง ๆ แล้วก็คือทำบุญให้ทั้งพ่อและแม่ด้วย แล้วเงินส่วนนี้อาตมาก็ใช้เงินส่วนตัวทำบุญ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าญาติโยมร่วมบุญมา อาตมาจะต้องเอาเข้าบัญชีส่วนตัวก่อน"

เถรี 10-08-2018 20:58

"ตั้งแต่ทำบุญงานศพโยมแม่ หักค่าใช้จ่ายหมดทุกอย่างแล้ว โดยที่ญาติพี่น้องท่านอื่นร่วมบุญหรือไม่ร่วมบุญมาก็ตาม ก็ถือว่าอาตมาเหมาจ่ายคนเดียว มีเงินเหลืออยู่หลายแสน อาตมาเอาเข้ากองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร แล้วก็เพิ่มให้ปีละหนึ่งหมื่นบาททุกปี ถือว่าทุนตั้งต้นเกิดจากเงินทำบุญของแม่ เงินที่เหลือจึงต้องทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้มากที่สุด

ดังนั้น...เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า สำหรับคนอื่นทำน่าจะไปไม่รอด แต่สำหรับอาตมานี่นั่งนับเงินให้โยมอยู่ตรงนั้นแหละ นับไป ๑๐ ใบ นับอีกรอบหนึ่งเป็น ๑๒ ใบ สนุกมากเลย นับบ่อย ๆ ก็ได้เยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อวันก่อนนับสังฆทานสลากภัตให้กับพระ กองละ ๓๐๐ บาท ปรากฏว่าพอถึงเวลาจะเอามาเหน็บไม้เพื่อที่จะเอาไปเสียบที่กองสลากภัต นับไปนับมากลายเป็นกองละ ๔๐๐ บาทเกือบทุกกอง เออ...เข้าท่าโว้ย..ต้องนับบ่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครแอบร่วมบุญมาโดยไม่บอกไม่กล่าว"

เถรี 12-08-2018 18:36

ถาม : การถวายสังฆทานแบบไม่เจาะจงว่าร่วมบุญอะไร กับบางทีเขาอยากจะเจาะจงว่าจะเอาไปทำบุญเป็นค่าน้ำค่าไฟ อานิสงส์แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าเป็นค่าน้ำค่าไฟของวัดถือว่าเป็นสังฆทาน เพราะว่าพระทั้งวัดใช้ร่วมกัน แต่ถ้าหากว่าถวายไปแล้วท่านเอาไปใช้เฉพาะกุฏิเดียวก็ไม่ใช่สังฆทาน

ถาม : ในกรณีที่ถวายให้วัดเพื่อสังฆทาน การถวายแบบนั้นกับไม่ระบุว่าถวายสังฆทาน แบบไหนดีกว่า ?
ตอบ : ไม่ระบุดีกว่า แบบเดียวกับวันก่อนญาติโยมไปวัด ตั้งใจจะไปถวายสังฆทานกับพระอาจารย์เล็ก บอกว่าถ้าคุณตั้งใจแบบนั้นจะไม่ใช่สังฆทานนะ พระที่ทำหน้าที่รับสังฆทานมีอยู่ อาตมาตั้งพระเวรรับสังฆทานไว้ ๖ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ปีนี้เพิ่มเป็น ๘ รูป แต่เขาก็ไม่ยอม เขาจะถวายกับพระอาจารย์เล็กให้ได้ บอกว่าจะตามมาถวายที่นี่ อาตมาก็เลยสงสัย ตกลงว่าจะเป็นสังฆทานไหม ?

ถาม : การเลือกผู้รับล่ะครับ เนื้อนาบุญ ?
ตอบ : ถูก แต่ว่าควรจะเลือกในลักษณะที่ว่าท่านเป็นตัวแทนสงฆ์ ไม่ใช่จำเพาะเจาะจงว่าต้องรูปนี้ ถ้าหากว่าเรื่องของสังฆทานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อนาบุญ สังฆทานเป็นข้อยกเว้นพิเศษ ท่านบอกว่าวาระสุดท้ายของพระศาสนา ต่อให้เพศของพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู รักษาศีลได้แค่ ๔ ข้อ คือยังไม่ล่วงในปาราชิกทั้ง ๔ ถ้าตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ก็ได้อานิสงส์เต็มเหมือนกับถวายสังฆทานซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ถ้าสงสัยว่าเพศพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเป็นอย่างไร ให้ดูพระญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้พระญี่ปุ่นใส่สูทผูกไท เพียงแต่ว่าที่เสื้อจะมีเครื่องหมายติดอยู่แถบเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ว่านี่คือพระ พระของญี่ปุ่นเขาไปไกลแล้ว ในเมื่อไปไกลอาตมาก็โมทนา แต่ไม่ไปด้วย...ไกลเกินไป

เถรี 12-08-2018 18:46

โยมทำอาหารมาถวาย "ทำอะไรมาก็ได้ ขออย่าหวานก็พอ อาตมาสั่งโรงครัวที่วัดแล้ว เอาน้ำตาลโยนทิ้งไปเลย ไม่ต้องเหลือไว้ สมัยนี้ขนาดน้ำพริกหรือแกงส้มยังหวานเลย กินกันเข้าไปได้อย่างไร ?

ใครที่บอกว่าอาหารรสหวานเป็นรสชาววัง ชาววังได้ยินคงงับหัวขาด..! ในวังเขาไม่กินหวาน อาหารไทยทั้งหมดมีของหวานหลังอาหารอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารจะไม่มีรสหวาน ยกเว้นพวกแกงบวนแกงบอนที่จะมีรสหวานอยู่นิดหนึ่ง นอกนั้นแล้วก็ประเภท เปรี้ยว เค็ม มัน เผ็ดเป็นปกติ เสร็จแล้วเขาจะมีของหวานตามมาหลังอาหาร แล้วของหวานเราก็วิลิศมาหรามาก

เรื่องนี้ใครไปอ้างว่ากินหวานเพราะเป็นรสชาววัง โปรดระวังไว้ เดี๋ยวชาววังเจอหน้าจะโดนงับหัวแหว่ง...!"

เถรี 12-08-2018 18:51

ถาม : ที่วัดน้ำท่วมไหมคะ ?
ตอบ : จะไปท่วมอะไร ถ้าที่วัดน้ำท่วม กรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำ ๖๖๐ เมตร เพราะว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ ๖๖๐ เมตร

ถาม : เห็นสังขละฯ ท่วม ?
ตอบ : สังขละฯ ท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบ้านแถวนั้นอยู่ข้างห้วย บ้านเกาะสะเดิ่งนี่ยิ่งหนักเลย มีห้วยล้อมอยู่ โดยปกติแล้วก็จะโดนน้ำป่าทุกปี แต่คราวนี้น้ำป่ามาแล้วตูมหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงก็ผ่านไป แต่ปีนี้มีฝนไม่ยอมหยุดมาเดือนครึ่งแล้ว ตกหนักเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า

ตอนนี้ข้าวของที่อาตมาส่งไปช่วย ๓ รอบ ถ้าไม่ค้างที่ อบต.ไล่โว่ ก็จะไปค้างที่บ้านกองม่องทะ เพราะว่าไม่สามารถจะข้ามสะพานข้ามห้วยที่เข้าไปบ้านสะเหน่พ่องได้ น้ำแรงขนาดรถลอย หวังว่าฝนจะหยุดให้สัก ๒ วัน เพื่อที่น้ำลดแล้วจะได้ผ่านไปได้ แต่ปรากฏว่าไม่ยอมหยุดสักวัน

เถรี 12-08-2018 18:54

ถาม : เมื่อวานเขาปล่อยน้ำในเขื่อนมา ใจคอไม่ดีเลย ?
ตอบ : ทางด้านเหนือด้านอีสานยังไม่เท่าไรหรอก เพราะว่าเขื่อนยังรับน้ำได้อีกมาก แต่ว่าทางด้านกาญจนบุรีกับทางด้านปักษ์ใต้นี่รับน้ำจนจะเต็มอยู่แล้ว น้ำเข้าอ่างวันหนึ่งเฉลี่ยประมาณ ๑๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร แล้วเขาระบายออกวันละ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายออก ๒๘ ล้านกับเข้าไป ๑๓๐ ล้านนี่อย่างไรเสียก็มากกว่ากันไม่รู้กี่เท่า แล้วบางวันฝนหนักก็ปาไปเสียเกือบ ๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

เถรี 12-08-2018 19:02

พระอาจารย์กล่าวถึงลูกอมหลวงปู่หงษ์ ที่ให้บูชาที่บ้านเติมบุญ

"ปกติก็เห็นเขาทำลูกอมเป็นรูปอย่างอื่น อย่างเช่น ลูกอมหนุมานครองเมืองของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นี่เล่นทำลูกอมรูปหลวงปู่หงษ์ กะจะอมอาจารย์เลยหรือ ?"

เถรี 12-08-2018 19:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาก็เพิ่งรู้ว่า E-Donation ที่บริจาคออนไลน์ผ่าน Application ของกรุงไทยชื่อเติมบุญ อาตมาไปทำน่าจะทำเป็นคนแรกของทองผาภูมิ ปรากฏว่าได้ QR Code มาบอกเลยว่า ‘กรุงไทยเติมบุญ’ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดเองหรือว่าแอบขโมยของเราไปก็ไม่รู้ ? แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ช่วยโฆษณาบ้านเติมบุญให้"

เถรี 12-08-2018 19:28

ถาม : ถ้าโดนเขาทำอีกรอบนี่ใช้ยันต์เกราะเพชรได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ คว้าอะไรทันก็อย่างนั้นแหละ เป็นเรื่องปกติ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน

ถาม : เดินไปหา เขาเอาเรื่องมาให้ครับ ?
ตอบ : ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเก่า ๆ ส่วนใหญ่มักเป็นวิสัยพุทธภูมิ ในเมื่อวิสัยพุทธภูมิก็คือตั้งใจจะเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีจนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ต่อให้เลิกแล้ววิสัยก็ยังมีอยู่ วิสัยมีอยู่ถึงเวลาเรื่องวิ่งมาหาเองแหละ ทนรับ ๆ ไปเถอะ..!

เถรี 12-08-2018 20:24

ถาม : ผมนั่งภาวนาดูลมหายใจ รู้สึกตัวเองว่าไม่ได้นั่งอยู่ แต่ผมก็กลับไปดูลม ?
ตอบ : ก็ถูกแล้ว แต่อย่าไปดิ้นรนออกจากอาการอย่างนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ ๆ แค่นั้นเอง

ถาม : พอผมตามดูไปเรื่อย ๆ สมาธิหลุดหมดเลยครับ ?
ตอบ : จะต้องหลุดเป็นปกติ เพราะว่าสมาธิของเราถ้าไม่ได้อธิษฐานตั้งเวลาไว้อย่างหนึ่ง และเข้าสุดกำลังของเราแล้วอย่างหนึ่ง ก็จะย้อนกลับเอง ถ้าย้อนกลับคลายตัวออกมา ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด ไม่อย่างนั้นแล้วจะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วฟุ้งได้ดีมาก เพราะว่าเอากำลังสมาธิไปฟุ้ง

ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลายเลย เพราะว่าเท่ากับเราไปเก็บกดอยู่ระยะหนึ่ง เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี พอรู้ตัวว่าสมาธิคลายนี่ รีบวิ่งเข้าหาวิปัสสนาญาณไว้ก่อน พยายามเห็นทุกอย่างให้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

ถาม : ผมคิดว่าก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่ผมก็ยังงง ๆ อยู่ว่าถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับว่าเราเดินสุดทางแล้วไปต่อไม่ได้ ก็จะถอยเอง เราก็แค่เริ่มใหม่ ถ้าหากว่าตอนนั้นเริ่มไม่ได้ เพราะสมาธิรู้สึกว่าเต็มที่แล้ว เราก็ไปหางานหาการอื่นทำ ประเภทกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า อะไรก็ได้ พอสภาพจิตคลายออกมาแล้ว สามารถที่จะรับได้ใหม่เราก็เข้าใหม่

หรือไม่ก็เอาอย่างอาตมา ปั่นจักรยานไปภาวนาไป ปั่นจากอ่อนนุชไปยันแถว ๆ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติโน่น กี่สิบกิโลก็ไม่รู้ ? แล้วก็ย้อนกลับมา ดูซิว่าคราวนี้มึงจะภาวนาไหม ? พอเหนื่อยแล้วจิตก็จะวิ่งไปหาการภาวนาเอง


ถาม : จักรยานที่บ้านพังแล้ว ?
ตอบ : สายพานก็ได้ พวกนี้ถ้าเวลาเหนื่อย เวลาหิว ฯลฯ สภาพจิตจะหาหลักยึด พอหาหลักยึดแล้วจดจ่ออยู่ เราก็รีบดึงเข้าหาสมาธิเลย

เถรี 12-08-2018 20:32

โยมได้รับรางวัลจากธนาคารเป็นรถป้ายแดง มีคนมาติดต่อขอซื้อในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "แขกเข้าใจคำว่าทุกขลาภไหม ? ลาภที่ได้มาแล้วทำให้เกิดทุกข์ จับสลากได้รถแท้ ๆ แต่เดือดร้อนเพราะรถ บางคนไปเข้าใจว่าทุกขลาภก็คือลำบากแล้วค่อยได้ อันนี้ไม่ใช่หรอก ทุกขลาภคือได้แล้วลำบาก

เอารถไปให้เต็นท์รถเขาตีราคา เขาให้เท่าไรเอาแค่นั้นแหละ พูดง่าย ๆ ก็คือให้มา ๕ บาท ๑๐ บาท เราก็ได้ฟรีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าต้องราคาแค่โน้นแค่นี้ เขาคิดให้แค่ไหนก็เอานั้น กำไรล้วน ๆ"

เถรี 12-08-2018 20:35

"พูดถึงโชว์รูมด้านข้างนี่เพิ่งเห็นเขาทำถูกใจ รื้ออาคารข้างหน้าออกไปเลย เห็นเขาตกแต่งอยู่หลายยก ท้ายสุดก็รื้อทิ้ง เออ...ถูกใจ

อันดับแรกโชว์รูมใหญ่อยู่ข้างใน แต่ห้องเล็กอยู่ข้างหน้านี่บังหมดเลย อันดับที่สองก็คือถ้ารื้อข้างหน้าออกนี่จะมีลานจอดรถของลูกค้าเยอะเลย เพราะว่าตัวโชว์รูมเขาอ้อมบ้านเติมบุญ ในเมื่ออ้อมบ้านเติมบุญ ทางด้านโน้นจะมีมุมเดียวที่โชว์ให้ลูกค้าเห็นรถ ยังจะไปเอาไอ้หลังเล็ก ๆ ข้างหน้ามาบังอีกก็หมดเลย

ถึงเวลาลูกค้าก็ต้องมาจอดรถเต็มหน้าบ้านเติมบุญไปหมด บางวันจอดล้ำเข้ามาจนกระทั่งพวกเราจะเลี้ยวเข้าบ้านไม่ได้ ก็คือเขาจอดเกรงใจแบบไม่บังหน้าบ้านแล้ว แต่ขอบังสักครึ่งคันอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น...พอเห็นเขารื้อด้านหน้าออก เออ...เริ่มคิดเป็น ถ้าแบบนี้ถึงจะเจริญ เพราะว่าไม่มีอะไรขวางหน้าแล้ว"

เถรี 12-08-2018 20:46

ถาม : การเจริญสมาธิ พอเราดำเนินมาเรื่อย ๆ ก็ออกไปข้างนอกเอง ?
ตอบ : พอตันแล้วเราทิ้งไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะถ้าตันแปลว่ากำลังของเราไม่พอที่จะข้าม จุดที่เราจะข้ามสูงเกินไป เราก็เลยเหมือนอย่างกับเดินชนกำแพง ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกย้ำแล้วย้ำอีก สลับไปสลับมาระหว่างสมถะก็คือสมาธิ กับวิปัสสนาก็คือปัญญา สลับไปสลับมาสร้างสมกำลังไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังพอก็จะก้าวข้ามไปได้เอง แล้วเราก็จะรู้สึกว่า โอ๊ย...ได้อะไรเยอะมากเลย แต่พอชิน ๆ แล้ว อ้าว...ได้แค่นิดเดียวอีกแล้ว ตอนแรกจะรู้สึกว่าได้เยอะทุกครั้งแหละ

ถาม : จะพัฒนาก้าวกระโดดเอง ?
ตอบ : ก็คือเราทำไปเรื่อย ๆ จะสะสมตัวไปเหมือนอย่างกับน้ำ พอจำนวนมากพอก็จะไหลล้นข้ามเครื่องกั้นไปเอง คราวนี้ช่วงระหว่างสะสมนี่บางคนเจอไป ๓ ปี ๕ ปี จะเบื่อไม่ได้ ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย ๆ ไป...สู้ต่อไป

เถรี 12-08-2018 20:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "การถามเยอะไม่ใช่เรื่องดี คนที่ถามเยอะส่วนใหญ่จะฟุ้งซ่านมาก"

เถรี 12-08-2018 21:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครั้นจะขอร้องญาติโยมว่าอย่าเอาอาหารรสหวานมาถวายอาตมา ก็ขอไม่ได้ เพราะว่าคนกินหวานไม่รู้สึกว่าหวาน บางทีถึงเวลาเจอน้ำพริกกะปิ แหม...ของโปรด ที่ไหนได้ พอแตะเข้าไปไม่ใช่น้ำพริกกะปิธรรมดา แต่เป็นขนม หวานมาแต่ไกลเชียว น้ำพริกต้องเผ็ด เค็ม เปรี้ยว เผ็ดต้องนำ คราวนี้ของเราเล่นไปหวานนำ..เสียหมดเลย

โดยเฉพาะแกงส้ม คำว่า ส้ม ภาษาเก่าแปลว่า เปรี้ยว กลายเป็นแกงหวานแล้วจะส้มได้อย่างไร ? บ้านเราปัจจุบันนี้เป็นโรคอ้วนเกิน ๓๐% แล้ว แล้วก็เบาหวานอีก กลายเป็นโรคฮิตอันดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากเป็นโรคนี้โปรดเอากระปุกน้ำตาลออกจากครัวไปเลย ไม่กินน้ำตาลเราไม่ตายหรอก แต่ถ้ากินเมื่อไรโรคภัยไข้เจ็บสารพัดจะถามหา

น้ำตาลที่กินได้คือน้ำตาลจากธรรมชาติ ถ้าหากว่าผ่านการสกัดแล้วก็อย่าให้ฟอกขาว อย่างเช่นน้ำตาลทรายแดง เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่กินแบบไม่บันยะบันยัง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีโภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกินอย่างหนึ่ง สอนให้มีมัชฌิมาปฏิปทา รู้ความพอเหมาะพอควรพอดีอย่างหนึ่ง อะไรที่เกินพอดีต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นโทษทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...กลับบ้านไปทุบกระปุกน้ำตาลทิ้งได้แล้ว ถ้าคุณสามีหรือคุณภรรยาโวยวายหา ก็บอกว่าไปหากินข้างนอกบ้านโน่น"

เถรี 12-08-2018 21:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังหลังพอประชุมพระสังฆาธิการ เจอหน้ากันทีไรเพื่อนพระก็โวยทุกที “ทำไมอาจารย์เล็กรักษาหุ่นจริงวะ ?” ท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็ไม่ได้รักษาอะไร แค่หลังเพลไปแล้วไม่ฉันอะไรนอกจากน้ำร้อน ยกเว้นว่าหมอสั่ง อย่างเช่นมีอยู่ระยะหนึ่งต้องฉันกระเจี๊ยบตอนประมาณ ๕ โมงเย็น จำนวน ๕ ฝัก กระเจี๊ยบเขียวเผา หมอบอกว่าช่วยรักษาโรคกระเพาะกับความดันด้วย ฉันอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เล่นเอาท้องร้องจ๊อกไปเลยเหมือนกัน เพราะว่าให้อาหาร ถึงจะแค่หน่อยเดียว คือประมาณนิ้วมือ ๕ นิ้ว ฝักหนึ่งก็แค่นี้ คราวนี้พอลงไปแล้วก็ไปกวนกระเพาะให้รู้ว่ามีอาหาร

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าญาติโยมอยากลดน้ำหนักไม่ยากหรอก ทำแบบอาตมา หลังเที่ยงไปแล้วก็เหลือแต่น้ำร้อนอย่างเดียว...จบ รับประกันว่าเดือนหนึ่งลดได้ ๔-๕ กิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ

ส่วนใครที่เป็นนักปฏิบัติมานานแล้วไม่ก้าวหน้า ก็ฉวยโอกาสรักษาศีล ๘ หลังเที่ยงแล้วไม่กินอะไรยกเว้นน้ำ ฉวยโอกาสลดน้ำหนักไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว พอถึงเวลาเพื่อนชวนกินข้าวเย็นก็บอกไปว่า "อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ไม่กินหรอก" อย่าไปบอกเขาว่ารักษาศีล ๘ ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าบ้า"

เถรี 12-08-2018 21:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะทำบุญหล่อพระพุทธเจ้าน้อยก็มาได้เลย มาร่วมบุญกัน มีซองหล่อพระของอาจารย์อาตมาเหลืออยู่ ต่อไปมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน เจ้าคุณอาจารย์ท่านเพิ่งจะหัดเป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่า “ผมเป็นมือใหม่หัดขับ อาจารย์พระครูช่วยผมด้วย”

แต่จะว่าไปแล้วถือเป็นความโชคดีของญาติโยมทางด้านสามง่าม วัดสามง่ามสมัยก่อนเจ้าอาวาสรูปแรกเลยก็คือหลวงพ่อเต๋ เป็นพระเกจิอาจารย์ดังระเบิดเถิดเทิง ถามว่าดังเรื่องอะไร ? ดังเรื่องตะกรุดกับกุมารทอง ถามว่าหลวงพ่อเต๋ดังเรื่องตะกรุดขนาดไหน ? ดังขนาดไม่มีวัสดุจะทำตะกรุด ต้องไปตัดเอากระดาษถุงปูนมาลงอักขระแล้วทำตะกรุด ม้วน ๆ ให้โยมไปใช้

ถ้าได้ยินว่าตะกรุดถุงปูนนี่อย่าหัวเราะนะ ท่านไม่มีอะไรเหลือไว้ทำตะกรุดแล้ว ต้องเอาถุงปูนก่อสร้างนั่นแหละมาทำ แบบเดียวกับหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย สมัยก่อนไม่ได้มีร้านค้าให้ซื้อวัสดุมากมายแบบสมัยนี้ พอไม่มีวัสดุ หลวงพ่อแก้วก็โน่นเลย...เอาสังกะสีมุงหลังคามาตัดทำตะกรุด ญาติโยมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าทำด้วยวัสดุอะไร ขอให้รู้ว่าหลวงพ่อทำ กูใช้ทั้งนั้นแหละ แล้วก็ขลังจริงเสียด้วย

ถัดมาก็หลวงพ่อแย้ม ส่วนใหญ่แล้วเขาเรียกหลวงปู่แย้ม เพราะว่าตอนท่านมรณภาพอายุเป็นร้อยเลย ผ่านสองเจ้าอาวาสเกือบ ๒๐๐ ปี เจ้าอาวาสรูปที่ ๓ คือท่านเจ้าคุณสมัย (พระศรีธีรวงศ์) เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้อาตมาตอนเรียนปริญญาตรี อาตมาก็ดีใจ เพราะว่าอย่างน้อยก็ได้พระกรรมฐานมาประคองวัดต่อไป แล้วท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอด้วย เป็นเจ้าคุณด้วย ก็เลยบอกว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์ย้ายจากวัดเดิมเถอะ ไปอยู่วัดนี้แหละ" ท่านถามว่า "จะดีหรือครับ ? คนในพื้นที่เขามีอยู่" ก็บอกไปว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นเจ้าคณะอำเภอ ถ้าไม่ตั้งคนอื่นเสียอย่างแล้วใครจะมาเป็นเจ้าอาวาสได้ ?"

เถรี 13-08-2018 09:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่เหรียญท้าวเวสสุวรรณดังขึ้นมา คนก็แทบจะแขวนเหรียญท่านจนลืมไปว่า ด้านหน้าคือรอยพระพุทธบาท อย่างไรก็นึกถึงพระไว้ก่อนนะ แล้วค่อยนึกถึงท่านท้าวเวสสุวรรณ

คาถาบูชาที่ว่า เวสสะ ภุสสะ นั่นเป็นหัวใจพระคาถา มีบางคนไปหาอาจารย์บ๊ะแล้วท่านบอกว่าไม่มีคำนี้อยู่ ท่านก็จารลงให้ในเหรียญ ขอบอกว่าโปรดระวังไว้...ตัวคาถานี่ถ้าเราภาวนาหรืออาราธนาจะเป็นการเติมเต็มพอดี ก็เหมือนกับเตรียมพร้อมที่จะใช้งาน แต่ถ้าไปจารใส่เหรียญเหมือนกับปืนขึ้นลำอยู่ตลอดเวลา เผลอเมื่อไรเดี๋ยวก็ทำปืนลั่น เพราะฉะนั้น..มีคาถากำกับอยู่แล้ว แต่คราวนี้ท่านดูในเหรียญเห็นว่าไม่มีอักขระตัวนี้ ท่านก็เลยจารให้แทน

ลูกศิษย์ครูบาหน่อแก้วฟ้าเอารถไปลงข้างทาง เละทั้งคัน ปรากฏว่าคนขับไม่เป็นอะไร รอยขีดข่วนสักนิดก็ไม่มี ถ่ายรูปเหรียญท้าวเวสสุวรรณมาโชว์เพื่อน คราวนี้ก็แย่งกันเข้าไปสิ พอดีมีเรื่องของนักฟุตบอลทีมหมูป่าเชียงรายไปติดในถ้ำ ท่านผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ก็พกท้าวเวสสุวรรณไปเพื่อที่จะค้นหาทีมหมูป่า ก็เลยยิ่งดังกันเข้าไปใหญ่ อย่าลืมที่ท่านให้พรไว้นะ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ ท่านจะให้บริวารตามคุ้มครองตลอดชีวิต"

เถรี 13-08-2018 09:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกล้องวงจรปิดจะว่าไปแล้วไม่ได้ป้องกันเหตุร้ายโดยตรง แต่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ก็คือพอเกิดอะไรขึ้นแล้วก็มาเปิดดู โดยเฉพาะถ้าเป็นกล้องของวัดท่าขนุนนี่แก้ที่ปลายเหตุล้วน ๆ เลย เพราะว่ารอบวัดมีกล้อง ๕๐ ตัว แต่คนมองไม่เห็น กล้องตัวเล็กมาก จะเห็นอยู่ชุดเดียวก็คือชุดอยู่ที่ตรงรอยต่อระหว่างกุฏิเจ้าอาวาสกับทางด้านกุฏิเตชะไพบูลย์ เพราะว่าตรงจุดนั้นไม่มีที่ให้ซ่อน ก็เลยต้องทำแท่นติดไว้ให้เห็น นอกนั้นหาไปเถอะ ๕๐ ตัว มองไม่ค่อยเห็นหรอก

โดยเฉพาะในศาลาใหญ่มี ๑๒ ตัว ญาติโยมไม่รู้หรอกว่าทำอะไรก็ออกสื่อไปหมด กล้องที่วัดเคยจับขโมยไป ๒ ครั้งแล้ว ชัดเจนดีมาก ไม่รู้เขาเรียกว่าระบบอะไร แต่ชัดอย่างกับตาเราเห็น ส่วนใหญ่กล้องวงจรปิดจะเห็นไม่ค่อยชัด จะเบลอ ๆ แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่าทำไมของเราราคาไม่กี่สตางค์ ทั้งหมด ๕๐ ตัวพร้อมกับ Hard disk ๒ TB อีก ๖ ตัว รวมกันแล้วแค่ ๓ แสนกว่าบาท ได้ยินว่ากล้องของรัฐสภาตัวหนึ่งก็ ๑๔๐,๐๐๐ บาทเข้าไปแล้ว แสดงว่าของเราบริษัทขายไม่เป็น หรือว่าของวัดเราไม่มีเงินทอน ไม่อย่างนั้น ๕๐ กว่าตัวของอาตมาถ้าเข้าสภาก็ซื้อได้แค่ ๒ ตัว ตัวที่ ๓ คงจะได้สักครึ่งเดียวเท่านั้น"

เถรี 13-08-2018 19:08

ถาม : การสร้างจีวรพระสุปฏิปันโนให้บูชา ?
ตอบ : ช่วงนั้นเทคโนโลยีการสร้างอะไรก็ยาก กว่าจะปั๊มวงเอาจีวรออกมาให้ติดได้นี่ยุ่งอย่าบอกใคร ตอนหลังที่มีไมโครเวฟออกมา พี่อรรณพถึงได้ทำพระรุ่นสังฆาฏิได้ เอาสังฆาฏิไปอบจนกรอบแล้วถึงบดเป็นผง ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ แต่ไมโครเวฟช่วยได้

พวกนี้บางทีจะว่าไปแล้วอยู่ที่คน แบบเดียวกับเรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าหากว่าอาตมาไม่ไปดิ้นรนเอาไว้ตามที่หลวงพ่อท่านสั่งก็เจ๊งเลย เพราะว่าท่านสั่งให้พระทั้งวัดครอบครู แต่คณะกรรมการสงฆ์คิดอย่างไรก็ไม่รู้ ปรึกษากันเสร็จแล้วบอกว่า หน้าที่เป่ายันต์เป็นเรื่องของหลวงพ่อ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปครอบครูหรอก

ท่านสั่งให้พระทั้งวัดครอบครูเลยนะ ท่านบอกว่าให้ภาวนาจับภาพพระให้เป็นปกติ แล้วก็ทำขันครูมา ปรากฏว่ากรรมการสงฆ์สั่งห้าม ส่วนอาตมานี่อะไรที่ท่านสั่งกูจะทำด้วยชีวิต แค่ห้ามนี่ห้ามกูไม่ได้หรอก ก็เลยไปขอป้าศุทำพานให้ ท่านชาติชายรุ่นน้องก็ตามไปด้วย ป้าศุมองหน้าถอนหายใจเฮือก “สองคนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลยหลวงพี่” ตอนนั้นอาตมา ๗ พรรษา ท่านชาติชาย ๒ พรรษา “เดี๋ยวโยมทำให้พระผู้ใหญ่ที่รับใช้หลวงพ่ออยู่ใกล้ ๆ ในศาลา ๑๒ ไร่ด้วยก็แล้วกัน ถึงเวลาจะได้ไม่ต้อง "โดน" คนเดียว”

เถรี 13-08-2018 19:24

ถาม : ท่านอรรณพบอกว่า พระอาจารย์เล็กใกล้ชิดหลวงพ่อ เป็นคนในสมัยนั้นที่ได้ศึกษาวิชาของหลวงพ่อมาเยอะที่สุด ?
ตอบ : อาตมาเองจะว่าเรียนจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรียนหรอก โดนหลวงพ่อหลอกมากกว่า ก็คือตอนช่วงนั้นเพิ่งจะวัยรุ่น อยากเก่ง อยากดัง ท่านก็เลย “เอาคาถาบทนี้ไปลูก มีผลอย่างนี้ ๆ ๆ ไปภาวนาไว้ อย่าลืมจับลมหายใจเข้าออกครั้งละครึ่งชั่วโมง แล้วรักษาศีล ๕ ด้วยนะลูก ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ผล” ก็ทำไป พอได้ผลวิ่งไปรายงานท่าน “เออ..ดี ๆ ๆ เดี๋ยวเอาบทนี้ไป บทนี้เป็นอย่างนี้ ๆ ไปทำต่อ” กว่าจะรู้ก็โดนท่านหลอกให้ภาวนาจนติดแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริง ๆ ว่าลูกศิษย์ชอบแบบไหน ท่านก็หลอกให้ทำไปเรื่อย ๆ ส่วนอาตมาเองพอถึงเวลาไปรายงานผลว่า "ผมทำได้แล้วครับ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ๆ" “เออ..ดี ๆ ลูก เดี๋ยวเอาบทนี้ไป ไปทำต่อ” ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้จะได้มาใช้งานจริง ๆ

คนอื่นเขาไม่เอากัน โดยเฉพาะสมัยนั้นหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป เวลาออกกิจนิมนต์จะต้องไปด้วยกัน เพราะว่าชาวบ้านเขาเจาะจงมา พอถึงเวลา “เอ้า...เล็ก..เจิมบ้านให้เขาหน่อย” “เอ้า...เล็ก..ถอนศาลให้เขาหน่อย” ตูจะบ้า...! หัวแถวไม่ขยับเลย หันมาสั่งทางท้าย จนกระทั่งบางทีอาตมาก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว บอกว่า “อะไรกันวะ ? หลวงพี่อยู่กับหลวงพ่อกันมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่เอาอะไรเลยหรือ ?” “เป็นแล้วมันเหนื่อย” ท่านว่าอย่างนั้น

เถรี 13-08-2018 19:31

สองพรรษาแรกอาตมาออกกิจนิมนต์ไม่มีเว้นเลย เพราะว่าพระวัดท่าซุงส่วนใหญ่แล้วชอบภาวนา ไม่ชอบสวดมนต์ ในเมื่อสวดมนต์ไม่ได้ท่านก็ไม่กล้าออกกิจนิมนต์ เพราะว่าอายชาวบ้านเขา ส่วนอาตมาไปเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน ล่อมนต์พิธีหมดทั้งเล่มเลย บวชเสร็จก็ออกงานได้แล้ว ท่านโน้นเห็นสวดได้ก็ “เออ...เล็กไปแทนหลวงพี่หน่อย” ท่านนี้ก็ “ท่านเล็ก..ไปแทนผมที” ก็ไปแทนเขาไปเรื่อย

มีอยู่บ้านหนึ่ง บ้านเดียวไป ๑๘ ครั้ง..! ไปตั้งแต่สวดต่อนาม ก็คือต่ออายุคนตาย เสร็จแล้วก็สวดอภิธรรมตลอด ๗ วัน ประเภทสวดมนต์เย็นฉันเช้า ครบรอบ ๕๐ วัน ก็สวดมนต์เย็นฉันเช้า ครบรอบ ๑๐๐ วัน ก็สวดมนต์เย็นฉันเช้า บ้านเดียวไป ๑๘ ครั้ง ไปเสียจนกระทั่ง
จำได้หมดทุกซอกทุกมุมของบ้านเขาเลย

ไปตั้ง ๑๘ รอบ ไม่ใช่คิวตัวเองด้วยนะ แต่ว่าไปแทนรุ่นพี่เขา พอถึงเวลาคนเขาเห็นไม่มีชื่อ “เอ้า...ท่านเล็กไปแทนผมที” เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าสะใจจริง ๆ ไปอยู่ ๒ ปีเต็ม ๆ ออกได้ทุกวัน จนกระทั่งมั่นใจว่าแต่ละงานมีพิธีกรรมอย่างไรบ้าง แล้วเขาสวดบทไหนบ้าง จะเป็นงานแต่ง งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ เป็นหมดแล้ว ก็เริ่มให้รุ่นน้องไปแทน “เอ็งไปศึกษาบ้าง”

เถรี 13-08-2018 21:05

ถาม : พระคาถาเงินล้าน เขาบอกว่าที่สวดกันทุกวันนี้ยังไม่ครบบท ต้องขึ้น "ปาสุอุชา" ก่อน ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจของเรา อย่าลืมนึกถึงพระก็แล้วกัน โดยเฉพาะว่าต้องทำจริง ๆ คาถาเงินล้านเป็นส่วนที่อาตมาทุ่มเวลาให้ไป ๓ ปีเลย ด้วยความรู้สึกตอนนั้นว่า สมัยหลวงปู่ปานก็มีนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร มีนายแจ่ม เปาเล้ง เป็นตัวอย่าง ทำไมสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่มีตัวอย่างวะ ? ในเมื่อไม่มีตัวอย่างเราทำเองก็ได้ ก็ใส่เองไปเลย

ตอนแรกก็วันละ ๙ จบ ไป ๆ มา ๆ ก็เพิ่มเป็น ๓๐ จบเพราะหลวงตาวัชรชัยบอก
ว่า “ข้าชอบบารมี ๓๐ ทัศ ข้าเอา ๓๐ จบ” พอได้ยินเท่านั้นแหละอาตมาก็เลยเพิ่มไปอีกหนึ่งศูนย์ กลายเป็น ๓๐๐ จบ ก็ไล่ไปเลย จนกระทั่งสูงสุดนี่ตั้งแต่ตี ๓ ยันหนึ่งทุ่ม ได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ว่าภาวนาจริง ๆ นะ ไม่ใช่ประเภทจ้ำ ๆ ให้จบ ทำอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ นับจนประคำขาดนับครั้งไม่ถ้วน ทุกวันนี้เขาก็ถามว่าทำไมทำอะไรคล่องตัวไปหมด ? บอกว่า อ๋อ...ลงทุนมา ๓ ปีแล้ว

ถาม : ตอนนี้ที่ทำคือเก็บกำไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนนี้มีทางเดียวก็คือรอรับปันผล ลงทุนไว้เยอะ ตอนนี้รอปันผลอย่างเดียว ของพวกนี้นอกจากพี่ ๆ เขาไม่มีความสนใจจะทำแล้ว ที่สำคัญคือไม่มีความอดทน เพราะว่าต้องทำไประยะหนึ่งถึงจะเกิดผล

แบบเดียวกับกสิณ ถึงเวลา ๒ เดือนแรกนี้ยังไม่ได้อะไรหรอก แต่ต้องอดทนทำเช้า กลางวัน เย็น ทำไปเรื่อยจนกระทั่งจับจุดได้ว่า ทำอย่างไรที่ภาพจะติดตาได้ง่ายที่สุด ทำอย่างไรเราถึงจะประคองภาพเอาไว้โดยที่ทำอย่างอื่นได้ด้วย คุยไปได้ด้วย อะไรอย่างนี้ ใช้เวลานาน แต่พอทำได้กองหนึ่ง ที่เหลือก็เหมือนกันแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนคำภาวนากับเปลี่ยนวัสดุแค่นั้น เขาไม่ค่อยอดทนทำกัน พอถึงเวลาก็มานั่งมองความสำเร็จของคนอื่น ไปมองสมบัติเศรษฐีแล้วมีประโยชน์อะไร ? นั่นสตางค์ของเขา ไม่ใช่สตางค์ของเรา


ถาม : ต้องมีเคล็ดลับอะไรบางอย่างด้วย ?
ตอบ : ก็ต้องศึกษาไปด้วย ศึกษาไปแล้วถึงจะได้เทคนิคของตัวเอง แบบเดียวกับที่อาตมาบอกกับพระใหม่ท่านว่า ผมทำอะไรยิ่งทำจะยิ่งง่าย จะยิ่งรวบรัดไปเรื่อย ๆ เพราะว่าผมไม่ชอบของยาก แต่พวกคุณกลายเป็นยิ่งทำก็ยิ่งยาก

เถรี 13-08-2018 21:16

มีโยมถวายเหรียญเงิน "เหรียญดีนาร์ของซาอุดิอาระเบียนี่เงินแท้นะ เงินแท้ ๆ เลย เขาส่งมาให้สร้างพระเสียเยอะแล้ว รวยจนไม่รู้ว่าจะทำอะไร ดูอย่างประเทศโอมาน ของเขาเหรียญหนึ่งเท่ากับของเรา ๑๐๖-๑๐๘ บาท ใหญ่กว่าเงินดอลลาร์สามเท่าตัว ใหญ่กว่าเงินปอนด์อีก เราไปคิดว่าเงินปอนด์ใหญ่ เงินตะวันออกกลางใหญ่กว่าเยอะ

เศรษฐกิจมั่นคง ไม่มีเรื่องภายนอก ไม่มีเรื่องภายใน เงินก็ใหญ่ แข็งค่าไปเรื่อย ๆ ของเราไปนี่ไม่ไหว ร้อยกว่าบาทยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปอังกฤษทีหนึ่ง ดูตลอดเมนูแล้วจิ้มไอ้ที่ถูกที่สุดนี่จานละ ๑๓ ปอนด์ครึ่ง โอ้พระเจ้า...กินไปทีหนึ่ง ๘๐๐ บาท ถูกที่สุดจานละ ๘๐๐ บาทไม่พอยาขี้ฟันด้วย น้ำชากาหนึ่ง ๓ ปอนด์ ๒๐๐ กว่าบาท น้ำชากาเล็ก ๆ เอง

ลูกเจนนี่มาบอกว่า “หลวงพ่อ..เดี๋ยวหนูจบแล้วทำงานสัก ๒ ปี หนูจะไปต่อโทอังกฤษนะคะ” “คิดให้ดีนะ เงินเขาแพงมากเลย” “แต่โทเรียนปีเดียวค่ะหลวงพ่อ” “เออใช่..โทเรียนปีเดียว แต่ก็ยากโคตรเลย” ไปถึงนี่เขาถามว่าคุณสนใจเรื่องไหน ? กำหนดหัวข้อมาเลย เสร็จสรรพเรียบร้อยไล่เราเข้าห้องสมุดไปทำเลย ไปค้นเอาเอง ค้นเสร็จแล้วก็นำมาเสนออาจารย์

เด็กต่างประเทศอย่างอังกฤษไม่ใช่ว่าเข้าอินเตอร์เน็ต เขาไล่ไปเข้าห้องสมุดเลย หนังสือทุกเล่มที่คุณเอามาอ้างอิง คุณต้องมีอยู่ในมือ พูดง่าย ๆ ก็คือถึงเวลาต้องรีบไปจองห้องสมุด วันนั้น เวลานั้น เราจะต้องยืมเพื่อเอามาให้อาจารย์ดู อ้างอิงเล่มไหน ? หน้าไหน ? เปิดมาเสียดี ๆ เราไปเที่ยวอังกฤษนี่จะเห็นว่า พวกเด็กวัยรุ่นทำไมเข้าแถวหน้าห้องสมุดยาวเป็นไมล์ ? เพื่อไปยืมหนังสือ บ้านเราเอะอะก็ Copy จากอินเตอร์เน็ตเอามาส่ง เละเทะไม่เป็นท่า เพราะว่าลอกมาแปะ ๆ ไม่ได้ต่อเนื่องกันเลย

วันก่อนถึงได้ด่านิสิตไปว่า "พวกคุณตั้งใจเรียนให้จบ ไม่ใช่เรียนให้รู้ เพราะว่าการเรียนให้จบอย่างเดียว ความรู้ของเราจะด้อยลงไปทุกวัน ๆ ลองนึกดูว่าถ้าหากว่าครูบาอาจารย์ท่านให้มา ๑๐๐ % แล้วคุณจะเรียนแค่ให้จบ อย่างดีคุณก็ได้มาแค่ ๕๐ % แล้วถ้าคุณไปสอนลูกต่อ แล้วลูกมีความประพฤติเหมือนกับคุณก็ได้แค่ ๒๕ % ถ้าลูกไปสอนลูกของเขาคือหลานของคุณต่อ แล้วหลานจะได้เท่าไร ? ปัญญาอ่อนเลยนะนั่น..!"

บางทีต้องด่าแรง ๆ เขาถึงจะรู้สึกกัน อาตมาเองพอถึงเวลาเรียนหนังสือ ลาออกจากเจ้าคณะตำบลเพื่อที่จะมาเรียน เพื่อน ๆ ก็ว่า “เฮ้ย...อย่าไปลาออก ให้เลขาฯ ทำงานแทนก็ได้” แล้วจะไปนั่งถ่างขาไว้ทำไม ? ทำก็ได้ไม่เต็มที่ เรียนก็ได้ไม่เต็มที่ ก็เอาสักอย่างหนึ่งไปเลยสิ พอถึงเวลาจบมาเขาก็คืนตำแหน่งให้ เพราะว่าไม่มีคนที่เหมาะสมกว่า"

เถรี 13-08-2018 21:19

"ถึงเวลาเราทำอะไรต้องทำจริง ที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านลงไว้หลังเหรียญท่านว่า กะยิรา เจ กะยิราเถนัง ทำอะไรทำให้จริง ไม่เห็นหรือว่าท่านเป็นฆราวาสแท้ ๆ ประสบความสำเร็จเรื่องการศึกษาอภิญญาสมาบัติ ไสยเวทย์อาคมระดับเกจิอาจารย์เลย ก็เพราะว่าท่านทำจริง ถึงเวลาก็สักยันต์ อาบน้ำว่าน

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ที่ถือว่าเป็นพี่ ก็ถามแบบหยอกเล่น “เป็นอย่างไรอาภากร ไปเรียนวิชาพวกนี้ตั้งใจจะกบฏใช่ไหม ?” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าความคิดที่จะชิงราชบัลลังก์มีอยู่ในใจแม้แต่น้อยหนึ่ง ขอให้พระอย่าได้คุ้มครองเลย” แล้วท่านก็ชักอาวุธปืนใส่เข้าปากเหนี่ยวไกให้ดูเลย ไม่ลั่นสักนัด ประกาศให้เห็นชัด ๆ เลย ไม่ต้องมาระแวงผม ที่เรียนเพราะผมชอบ ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะมาชิงราชสมบัติ"

เถรี 14-08-2018 08:30

"ทำอะไรทำให้จริง ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุง กลางคืนอาตมาจะนอนเมื่อไรอยู่ที่ว่าหมดแรงเมื่อไร ก็คือปฏิบัติไปเรื่อย เดินจงกรม ภาวนา สลับกันไปสลับกันมา ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ในป่าช้า อยากทดสอบตัวเองว่ากลัวไหม ?

ตามดูอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะรู้ว่าความกลัวทั้งหมดมาจากความกลัวตาย อย่างกลัวผี ผีจะมาทำอะไร ? มาหลอก เดี๋ยวมาบีบคอเรา..ตาย กลัวเสือ เสือจะมาทำอะไร ? กัดเรา..เดี๋ยวเราตาย กลัวงู งูมาทำอะไร ? มากัด..เดี๋ยวเราตาย ทุกอย่างมาลงตรงตัวตายหมด กลัวแมลงสาบอย่างนี้ ลองดูสิว่าอ้อมไปไกลมากเลยนะ เห็นแมลงสาบแล้วขยะแขยงทนไม่ได้ ถ้าหากว่าอาการหนักมาก ๆ ก็ถึงตาย..! ท้ายสุดลงตรงตายหมด แค่ตายเรื่องเดียวอาตมาตามดูอยู่เป็นปี ๆ

สวนไผ่ ๖ ไร่นั่นเป็นที่อยู่เลย อย่างน้อย ๆ วันหนึ่งก็ ๖ ชั่วโมงอยู่ในนั้น เพราะว่าเข้าเวรหน้าตึกหลวงพ่อ ๖ ชั่วโมง พอถึงเวลาหลวงพี่ไพบูลย์มาเปลี่ยน หรือว่าหลวงน้ามีชัยมาเปลี่ยน อาตมาก็หายแวบเข้าไปข้างใต้นั่นแหละ ไม่ต้องมาหากูหรอกจนกว่าจะทำวัตรเย็น ทำวัตรเสร็จสรรพเรียบร้อยหายไปอีกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าเหี้ยกี่ตัว งูเหลือมกี่ตัว ที่อยู่ข้างใต้นี่รู้จักกันหมด อยู่เสียจนกระทั่งกลายเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว

จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง แล้วประสบการณ์ที่ชอกช้ำมากที่สุดก็คือ พออารมณ์ใจดีแล้วก็พลิกเลย จากเทวดาเป็นหมาไปเลย โดนเข้าหลาย ๆ ครั้งแล้วจะเข็ด พวกเราทุกวันนี้ที่ยังเอาดีไม่ได้เพราะว่ายังไม่เข็ด ถ้าเข็ดแล้วจะเริ่มเอาดีเอง กูจะไม่ปล่อยให้หลุดไปอีกเด็ดขาด...! ขนาดตั้งปณิธานไว้แบบนั้นนะ บางทีประคองเอาไว้ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน ทรงอารมณ์ไม่มีหลุดเลย เผลอหน่อยเดียวหลุดอีกแล้ว หลุดตรงไหนไม่รู้ตัวด้วย โอ้โฮ...กว่าจะตามเจอแต่ละอย่างแทบตายเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว