![]() |
สนทนากับพระ "หลวงพี่อาจินต์เพิ่งจะสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ตอนแรกท่านจะสอบรุ่นเดียวกับผม แต่เตรียมตัวไม่ทัน ก็เลยกลายเป็นรุ่นน้องไป ถ้าไม่ได้พระอุปัชฌาย์นี่อยู่ต่างประเทศจะลำบาก เพราะที่นั่นหาพระอุปัชฌาย์ยากมาก ต้องเข้ามาบวชเมืองไทยแล้วค่อยกลับไป
อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยาบอกว่า "ให้ไปนั่งฟังเขาก็พอ ไม่ต้องสอบหรอก" ท่านบอกว่า เวลานั่งฟังยังไม่มีให้เลย เพราะว่ามีหลายระดับ อย่างของผมระดับอำเภอ ๕ วัน ระดับจังหวัด ๕ วัน ระดับภาค ๗ วัน ระดับหน ๓ วัน แล้วก็ทั่วประเทศ ๗ วัน คิดดูสิ...ปาเข้าไปเท่าไรแล้ว ? หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าท่านไม่มีเวลาไป ท่านก็เลยนิมนต์หลวงพ่อวัดสังกัสรัตนคีรีกับหลวงพ่อมหาประชุม มาเป็นพระอุปัชฌาย์ตอนบวชเป็นขาประจำ หลวงพ่อวัดสังกัสรัตนคีรีสุดยอดจริง ๆ บวชพระ ๙๐ รูป นั่งไม่พลิกเลย โอ้โฮ...สมาธิไม่ถึงนี่ทำไม่ได้จริง ๆ ท่านอาจารย์มหาประชุมลุกไปเข้าห้องน้ำ ๒ รอบแล้ว ท่านก็ยังนั่งเฉยอย่างนั้น ท่านอาจารย์มหาประชุมบอกว่า “๒ ทุ่มแล้ว...เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมาบวชต่อ” ที่ไหนได้...หลวงพ่อวัดสังกัสฯ ใส่รวดเดียวจบเลย แบ่งกันคนละ ๙๐ รูป ปรากฏว่าพระแก่อยู่ได้ พระหนุ่มขอพักไป ๒ รอบแล้ว ยังมีต่อรอบเช้าวันรุ่งขึ้นอีกด้วย" |
ถาม : แม่ผมเสียแล้ว การที่จะทำบุญอุทิศไปให้แม่ เขาจะได้รับหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้รับหรือไม่ได้รับนี่ไม่แน่นอน เขาต้องอยู่ในเขตที่โมทนาได้จึงจะได้รับ ถ้าอยู่ในเขตที่โมทนาไม่ได้ก็รอไปก่อน จนกว่าจะพ้นออกมาได้ แต่ในลักษณะของความเป็นลูก โดยหน้าที่ของเราแล้วก็ควรจะทำให้ท่าน ถาม : แม่เขานับถือผีครับ ? ตอบ : พอตายแล้วฉลาดทุกคน เป็นผีแล้วฉลาด ตอนเป็นคนบางทีก็โง่ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก นับถือนั่นนับถือนี่ไปเรื่อย พอตอนตายแล้วฉลาดทั้งนั้นแหละ อาตมาไปอินโดนีเซีย พวกอิสลามมาขอส่วนบุญบานตะเกียงเลย ถามว่า อ้าว...ส่วนใหญ่แล้วพรรคพวกของแกนี่ไม่รอดข้างล่างทั้งนั้น แล้วแกมาได้อย่างไรวะ ? เขาบอกว่า ส่วนใหญ่ที่มาได้นี่ตายก่อนหมดอายุ ถ้าตายตามอายุก็คงจะไปข้างล่างเหมือนกัน ไปเข้าใจทีหลังว่าคนที่สร้างบุญสร้างบารมีไว้เหมือนกับอยู่ในที่สว่าง ส่วนพวกที่ไม่มีบุญเขาอยู่ในที่มืด เขามองมาเมื่อไรจะเห็นเราทันที แล้วเขารู้ว่าคนนี้อาศัยได้ เขาก็จะมาเลย เพียงแต่ว่าเวลาขอแล้วเราจะรู้เรื่องหรือไม่เท่านั้นเอง |
ถาม : น้องสาวเปิดร้านขายอาหาร ?
ตอบ : ทำเองหรือเปล่า ? ถาม : ค่ะ ตอบ : ถ้าทำเองก็แล้วไป อย่าไปอาศัยคนอื่นนะ ประเภทเปิดร้านแล้วต้องอาศัยคนอื่น ถ้าเขาทิ้งไปเมื่อไรก็น้ำตาเล็ดเมื่อนั้นแหละ |
สนทนากับพระ "หลวงพี่วิรัชอยู่ไกล แต่สร้างวัดได้ใหญ่โตมโหฬารมาก วัดธรรมยานปัจจุบันนี้ไม่หนีวัดท่าซุงเลย ผมไปช่วยตอนแรก ๆ มีแต่ที่ดิน จนกระทั่งเริ่มสร้างศาลากับพระชำระหนี้สงฆ์ ผมไปร่วมหล่อพระกับท่าน เผลอไม่กี่ปีท่านสร้างวัดจนใหญ่โต ตอนนี้ญาติโยมไป สงสัยจะไปพักได้เป็นพันเลย ห้องพักปรับอากาศแทบทั้งนั้น"
ถาม : บ้านเดิมท่านอยู่นั่นหรือเปล่า ? ตอบ : ท่านไปซื้อที่บ้านเดิม ตอนแรกให้ผมไปหาที่ให้ แต่ท่านก็บอกว่ากลัวมาลาเรีย เห็นผมเป็นมาลาเรียทรมานอยู่หลายปี |
พรรคพวกเวลาออกจากวัดแล้วจะไปหาผม ที่ผมเหมือนสถานีพักครึ่งทาง ใครมาก็แวะไปพักที่นั่นก่อน แม้กระทั่งอาจารย์ติงลี่ออกไปก็ไปอยู่กับผมก่อน แล้วผมค่อยหาวัดให้เป็นเจ้าอาวาส
ถาม : ตอนนี้อยู่ไหนครับ ? ตอบ : เป็นเจ้าอาวาสวัดประตูด่าน อยู่ทางด้านอำเภอเมืองกาญจนบุรี แต่ออกไปทางพุน้ำร้อนที่ข้ามไปฝั่งพม่า ส่วนใหญ่ไปหาผม ผมหาวัดให้ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าในจังหวัดเวลาเขาหาพระเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ เขาก็มาเอากับผม |
ถาม : หลวงพี่สุรจิตเป็นโรคหัวใจหรือครับ ?
ตอบ : หลวงพี่สุรจิตผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ ต้องบอกว่าวัดท่าซุงยังมีหลวงพี่สุรจิตอยู่ก็ยังมีหลักอยู่ เรื่องการปฏิบัติผมยอมรับท่านเลย ตอนท่านผ่าตัดอยู่ ผมเข้าไปเยี่ยม หมอบอกว่าอย่ารบกวนคนไข้นาน ผมบอกว่าไม่นานหรอก เข้าไปถามว่า “หลวงพี่ครับ ตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดี ใช่ไหมครับ ?” ท่านอึ้งไปพักแล้วก็พยักหน้า “แค่นั้นแหละครับ ผมไม่ต้องการอะไรแล้ว” ถวายช่อดอกไม้ท่านเสร็จก็ถอยกลับออกมา ต้องการสอบถามว่า ที่ผมรู้ว่าอารมณ์ใจท่านเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่า ? ท่านเห็นโยม ๒-๓ คนอยู่ข้าง ๆ ท่านก็พยักหน้ารับแบบเงียบ ๆ หลวงพี่สุรจิตตอนแรกที่บวช ก็อย่างที่ว่าแหละ หลวงพ่อของเราไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านบวชให้ไม่ได้ ท่านก็เลยบอกว่า แกไปบวชทางบ้านแก ได้แล้วก็มาอยู่ด้วยกัน ท่านก็ไปบวชมาเรียบร้อย ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์อาจารย์มาอยู่วัดท่าซุง อยู่กันมาจนปี ๒๕๓๒ เห็นจะได้ จะตั้งท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ปรากฏว่าดูหนังสือสุทธิแล้วท่านบวชที่วัดอาวุธฯ เป็นพระธรรมยุต ทางจังหวัดจึงไม่ตั้งให้ พอทางจังหวัดไม่ให้พวกเราก็เลยจับท่านญัตติใหม่เป็นมหานิกาย แต่พวกเราญัตติใหม่แล้วก็ยังให้ท่านนับพรรษาเดิม ถ้าเป็นที่อื่นเขาให้นับพรรษา ๑ ใหม่เลยนะ แต่ของเรานี่ด้วยความเคารพนับถือ แล้วท่านเองท่านไม่ได้ทำผิดอะไร บอกให้ท่านไปบวชท่านก็บวช ท่านจะไปรู้หรือว่าวัดท่าซุงเป็นมหานิกายหรือธรรมยุต เลยกลายเป็นธรรมยุตมาญัตติเป็นมหานิกาย แล้วหลวงพ่อก็ตั้งให้ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ด้วยความที่ท่านทำความดีไว้เยอะ พวกเราก็ไม่ได้รังเกียจ ญัตติใหม่ก็นับพรรษาให้เหมือนเดิม |
สนทนากับพระเรื่องการเรียนปริญญา "ถ้าฝึกวิชาหลวงพ่อมาจริง ๆ นะ เรื่องเรียนไม่มีอะไรยากเลย ผมยืนยัน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พูดได้เต็มปากเต็มคำ"
ถาม : สาธุ...สุดยอดเลยวิชาที่หลวงพ่อให้ ? ตอบ : ผมทำคะแนนเต็ม ๑๐๐ จนอาจารย์ต้องหักคะแนน ท่านบอกว่า “พระครูเล็กท่านได้เยอะแล้ว” อาจารย์ก็เลยหักผม ๒ คะแนน เหลือแค่ ๙๘ คะแนน ถาม : ผมเห็นด็อกเตอร์แอน ลูกศิษย์หลวงพ่อเราที่อยุธยา ได้มโนมยิทธินี่แหละช่วย ตอบ : ถ้าได้จริงไม่มีอะไรยาก ผมเรียนปริญญาตรีอยู่ ๒ ปีกว่านิดหน่อย ปริญญาโท ๑ ปีกับ ๑ เดือน ปริญญาเอก ๒ ปีครึ่ง ความจริงแค่ ๒ ปีผมก็ขอสอบจบแล้ว อาจารย์ท่านบอกว่าไม่ได้ เพราะกติกาเขามีว่าต้อง ๓ ปีขึ้นไปถึงให้สอบ คราวนี้ผมก็สบายใจ ยังไม่ถึง ๓ ปี ที่ไหนได้...พอเขาเข็นรุ่นพี่ไม่ไป เขาเห็นผมไหวเขาก็เอาเฉยเลย ผมต้องเร่งทำวิทยานิพนธ์แทบกระอักเลือด มีเวลาแค่ ๒ เดือน โอ้โฮ...ใจเย็น...เห็นว่าอีกตั้งปีหนึ่ง ใครจะไปนึกว่า จากปีหนึ่งกลายเป็นเหลือแค่ ๒ เดือน เล่นเอาปางตายเลย อาจารย์สอบวิทยานิพนธ์ผม ๒๒ นาที ตั้งแต่ต้นจนปรึกษาแล้วว่าให้จบโดยไม่มีเงื่อนไข คนแรกท่านถาม ผมก็ตอบให้ว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ข้อมูลอยู่หน้านั้น พอคำถามที่ ๔ แกปิดเล่มเลย บอกว่าขนาดข้อมูลอยู่หน้าไหน ลูกศิษย์ยังบอกได้ ผมมั่นใจว่าท่านทำเองกับมือจริง ๆ ผมหมดคำถามแล้ว ให้ผ่านโดยไม่มีเงื่อนไข |
ถาม : (พระถาม) พระอาจารย์บวชปีไหนครับ ?
ตอบ : ผมบวชปี ๒๕๒๙ หลวงตาวัชรชัยบวชปี ๒๕๒๕ หลวงตาชลอบวชปี ๒๕๒๓ ถ้ารุ่นที่ผมทัน ผมจำได้ทุกคนว่าบวชปีไหน หลวงตาเจริญบวชก่อนเพื่อน ปี ๒๕๑๓ แล้วก็มาหลวงพี่โอปี ๒๕๑๔ ท่านเจ้าคุณอนันต์ ๒๕๑๖ |
ถาม : (สัมภาษณ์ข้อมูลผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธรูปทรงเครื่อง) พระพุทธรูปในปัจจุบันถ้าอ้างอิงเรื่องท้าวชมพูบดี คือ การยกเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิมาเป็นหลักการ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สามารถทรงเครื่องได้หมดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าว่าโดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้พิเศษ โดยความเคยชินของเรา มักจะคิดว่าพระพุทธเจ้าคือพระ แต่เวลาที่ท่านแสดงออกมาเต็มบุญญาบารมี ในโลกเรานับถือว่าผู้ใดมีอำนาจมากที่สุด ก็จะแสดงออกในลักษณะอย่างนั้น เพื่อให้คนอื่นเห็นและเชื่อถือศรัทธา คราวนี้ในโลกเราผู้ที่นับถือว่ามีอำนาจมากที่สุด ก็คือพระเจ้าจักรพรรดิราช ซึ่งปกครองทวีปทั้ง ๔ ในความเชื่อของคนยุคนั้น เขาว่าพระเจ้าจักรพรรดิราชจะมีเครื่องทรงลักษณะไหน พระพุทธเจ้าท่านก็จะแสดงออกให้เห็นในลักษณะอย่างนั้น ต้องบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัพพัญญูวิสัยที่พระองค์ท่านทราบ ในเมื่อทราบโดยสัพพัญญุตตาญาณ ถึงเวลาพระองค์ท่านก็แสดงออกให้เป็นไปตามนั้น |
ถาม : แล้วคติเรื่องสมเด็จองค์ปฐมที่ทรงเครื่อง ก็เป็นหลักเรื่องของสัพพัญญุตญาณใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องนั้น เราต้องเข้าใจว่าการทรงเครื่องไม่ได้มีแต่พระในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นของจีน ของทิเบต หรือของทางด้านพม่าก็ตาม จะมีพระทรงเครื่องด้วยกันทั้งนั้น ตรงจุดนี้เราพอที่จะสรุปได้ว่า บุคคลท่านที่มีความสามารถพิเศษ คือ มีทิพจักขุญาณก็ดี สามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ดี ท่านสามารถรู้เห็นได้เหมือน ๆ กัน ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเครื่องทรง ในเมื่อรู้เห็นได้เหมือน ๆ กัน แล้วทำไมเครื่องทรงจึงไม่คล้ายคลึงกัน ? เหตุเพราะว่าติดอุปาทานเก่า ๆ ว่า บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดที่ตนเองพบมา ท่านทรงเครื่องแบบไหน พระองค์ท่านก็แสดงออกให้เป็นลักษณะนั้น ดังนั้น...พระพุทธรูปพม่าก็ทรงเครื่องแบบกษัตริย์พม่า พระพุทธรูปทิเบตก็ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ทิเบต พระพุทธรูปไทยก็ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ไทย สมเด็จองค์ปฐมที่ทรงเครื่องลักษณะนั้น เราจะเห็นว่าถ้าพระมหากษัตริย์ของเราทำพิธีบรมราชาภิเษก ก็จะทรงเครื่องใกล้เคียงแบบนั้น ถาม : คตินี้องค์พระวิสุทธิเทพและพระศรีอาริย์ก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกัน ? ตอบ : ลักษณะเดียวกัน ถาม : เป็นการสื่อภาพออกมาให้ตาเนื้อได้เห็น ? ตอบ : ถูก...แต่อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อ คือต้องมีศรัทธาด้วย ถ้าเราจะเอาประเภทเอกสารหรือรูปภาพเป็นหลักฐานอ้างอิง จะหาได้ยาก |
ถาม : สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านมีการสร้างเป็นพระทรงเครื่องไหมครับ นอกจากพระวิสุทธิเทพและพระศรีอาริย์ครับ ?
ตอบ : เท่าที่ทราบมาก็ยังไม่มี ถาม : สมเด็จองค์ปฐมที่ท่านสร้างก็ไม่ได้ทรงเครื่องใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้ทรงเครื่อง ท่านทำในลักษณะของพระพุทธชินราช ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า พระพุทธชินราชจะมีซุ้มเรือนแก้ว ความจริงซุ้มเรือนแก้วก็คือฉัพพรรณรังสี ที่เปล่งออกมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในปฐมสมโพธิกถากล่าวว่า มีลักษณะเหมือนกับเปลวไฟ คราวนี้บรรดาช่างยุคโบราณของเราก็จินตนาการถึงเปลวไฟว่า ถ้าแผ่ออกมาจะมีลักษณะอย่างนี้ ก็เหมือนอย่างกับเราจุดกองไฟขึ้นมากองหนึ่ง ลักษณะเปลวจะเป็นอย่างไร ช่างก็ทำออกมาตามจินตนาการ จึงกลายเป็นเรือนแก้วของพระพุทธชินราชไป |
ถาม : พระพุทธรูปที่เราเรียกว่า สมเด็จองค์ปฐมปางนิพพาน กับพระวิสุทธิเทพ เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ตามความเชื่อของสายเถรวาทของเรา บุคคลที่อยู่บนพระนิพพานก็คือ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ข้างบน ในความรู้สึกเราก็คือ พระควรที่จะเป็นพระ แต่สิ่งที่ทำมาก็คือการสร้างบุญสร้างบารมี ลักษณะที่ปรากฏเต็มบุญเต็มบารมีนั้นเป็นแบบใด บุคคลที่สามารถเข้าถึงตรงนั้นก็จะรู้เห็นได้ว่า ต่างจากความคิดของเราทั่ว ๆ ไปว่า ท่านเป็นพระก็ควรจะครองตัวเป็นพระ ผู้ที่ไปพบเห็นจะเห็นว่า ท่านมีเครื่องทรงเหมือนกัน แต่เป็นเครื่องทรงในลักษณะที่มีความอลังการ หรือเหนือกว่าในระดับของพรหมเทวดาทั่วไป |
ถาม : ท่านมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมไหมครับเกี่ยวกับพระทรงเครื่องในปัจจจุบันนี้ ?
ตอบ : ในเรื่องของพระทรงเครื่องนี้ ส่วนที่อยากออกความเห็นอย่างหนึ่ง คือ นอกจากเราเชื่อว่าท่านที่รู้จริงพบเห็นมาแล้ว หรือเกิดจากศรัทธาในตัวบุคคลที่มีอำนาจในโลกของเรา ว่าอยู่ในชุดแบบไหนที่แสดงออกซึ่งอำนาจแล้วทำตาม อีกส่วนหนึ่งคืออยากจะเชื่อว่า เครื่องทรงนั้นเกิดจากการสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา ก็คือฉวยโอกาสถวายสิ่งนี้บูชาพระ จึงทำเสียเต็มที่ แบบเดียวกับพระแก้วมรกตของเรา ที่มีเครื่องทรงต่างหากถึง ๓ ชุด ถาม : เป็นการผสมกันว่า เป็นการแสดงความเป็นทิพย์ด้วย และผู้สร้างก็ได้ถวายเป็นพุทธบูชาไปด้วย ? ตอบ : ถูก...นี่คือส่วนที่อยากจะเพิ่มให้ |
ถาม : แก้วขนเหล็กกับแก้วโป่งขาม ?
ตอบ : แก้วขนเหล็กก็เป็นโป่งขามนั่นแหละ แต่เป็นโป่งขามแบบมีเส้นอยู่ข้างใน ถาม : มีความศักดิ์สิทธิ์ไหมคะ ? ตอบ : ก็เขาเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโป่งข่ามลักษณะไหน แต่เขาก็มีว่าลักษณะดีเป็นอย่างไร ลักษณะร้ายเป็นอย่างไร พวกที่เขาหา ๆ กันอยู่ ก็อย่างโป่งข่าม แก้วปวก แก้ววิฑูรย์ ฯลฯ ถาม : มีเทวดารักษาอยู่ไหมคะ ? ตอบ : ก็มีบ้างไม่มีบ้างแล้วแต่ดวง อยากจะให้มีก็เอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุนได้ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "ไปปล่อยนกสักตัวสองตัว จะได้พาเคราะห์พากรรมไป ๆ เสีย เอาประเภทบินเก่ง ๆ นะ ถ้าอาตมาไปวัดเชียงมั่นเมื่อไร จะปล่อยนกเขาอย่างเดียวเลย เพราะว่านกเขาบินเร็วมาก แต่เขาขายแพง ตัวละตั้ง ๑๕๐ บาท
อาตมาบอกว่า ๑๕๐ ไม่ซื้อหรอก เพราะว่าขนาดเขาทอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวหนึ่งก็ไม่เกิน ๕๐ บาท ไปจนกระทั่งแม่ค้าเขาจำได้ เขารู้ว่าแกล้งต่อไปเรื่อย แต่ถ้าไม่ได้ราคาที่ต้องการก็ไม่ซื้อ ท้ายสุดเขาก็ต้องให้ เพราะอาตมาเหมาหมด ดีกว่าไปนั่งขายอยู่เป็นหลายวัน" |
ถาม : หลายครั้งที่ผ่านมาหลวงพ่อลดตัวมาพูดเล่นกับผม ผมก็เลว เขย่งตัวขึ้นไปเล่นกับหลวงพ่อ ต่อไปนี้ผมจะระวังเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอครับ ขอให้หลวงพ่อคิดว่า เล่นกับหมาหมาเลียปากก็แล้วกันครับ
ตอบ : อ๋อ...ไม่ต้องบอก คิดอย่างนั้นมานานแล้ว...! ถาม : ที่หลวงพ่อบอกให้ผมเลิกปรารถนาพุทธภูมิย้อนหลัง ความหมายเดียวกับลาใช่ไหมครับ ? ตอบ : มีใครเขาย้อนหลังได้วะ ? มีแต่ปัจจุบัน ไม่เอาก็ไม่เอา เอาก็เอา |
ถาม : ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าใจเราถึงพระจริง ๆ พระบนพระนิพพานก็สามารถแทรกกฎของกรรมมาช่วยเราได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็น....อย่าลืมว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านยอมรับเรื่องกฎของกรรมทุกองค์ ท่านไม่มายุ่งกับกรรมของคุณหรอก ยกเว้นอย่างเดียวว่ากระแสบุญยังเพียงพออยู่ ก็สามารถที่จะช่วยได้บ้าง ถ้าเหลือแต่กรรมล้วน ๆ ก็รับไปเถอะ ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าจะพาคนของท่านไปพระนิพพานให้หมด ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว ท่านจะทำอย่างไรได้ครับ ? ตอบ : ทำอย่างไรได้ ? ก็นั่งลุ้น...พอออกนอกทางมากก็ถีบกลับเข้ามาหน่อย แค่หกล้มหกลุกนิดก็ทำเป็นน้ำตาเล็ด..! การช่วยก็อย่างที่บอก ช่วยด้วยการแนะนำ แนะนำแล้วถ้าไม่ทำก็นั่งมองให้ตะเกียกตะกายต่อไป เดี๋ยวเข็ดก็เลี้ยวกลับมาเอง |
ถาม : ผมขึ้นไปบนพระนิพพานแล้วผมโดนพระท่านตบหัวเอา ผมไม่ทราบว่าเป็นมารแกล้งหรืออย่างไร แต่ครั้งต่อไปผมขึ้นไปก็ชักเสียว ๆ สันหลังครับ ?
ตอบ : ทำไมต้องเสียว ? มีใครเคยโดนแบบนี้บ้าง ? ถ้าไม่มีก็ถือเป็นเกียรติอย่างสูงสุดในชีวิต รับ ๆ ไปเถอะ ถาม : แสดงว่าเป็นมารแทรกหรือครับ ? ตอบ : ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...ตูไม่ได้ไปด้วยนี่ ถาม : เคยได้ยินว่า หลวงพ่อฤๅษีหรือหลวงพ่อท่านไหนสั่งสอนลูกศิษย์แบบลงไม้ลงมือแบบนี้ไหมครับ ? ตอบ : ดูท่าว่ายังไม่เคยได้ยินนะ มีแต่ให้ส้นตีนเฉย ๆ...! |
ถาม : ถ้าผมไม่ใช่คนพาล ผมก็โดนคนอื่นเขารังแก แต่ผมก็เจ็บปวดทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ จะใช้สมาธิรั้งก็เหมือนกับหนังสติ๊กที่โดนดีดกลับ ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ?
ตอบ : ก็นั่นแหละ เพียงแต่ว่าถึงเวลาให้ดีดกลับช้าลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็เลิกดีดไปเอง |
ถาม : (จับคู่อุเบกขากับตัวอื่น ๆ ในพรหมวิหาร)
ตอบ : อุเบกขามีแทรกอยู่ในทุกตัว ถ้าเมตตาเกินประมาณเราก็เจ๊งเอง กรุณามากเกินไปบางทีก็ประสาทรับประทาน มุทิตาก็ต้องให้มีขอบเขตอยู่ด้วย ไม่ใช่ทำจนอลังการ เพราะฉะนั้น...อุเบกขามีอยู่ในทุกตัวนั่นแหละ |
(พระสอบถาม) เรื่องการไปบิณฑบาตโปรดสัตว์ แต่เหมือนกับไปให้สัตว์โปรด ?
ตอบ : ก่อนจะไปเราต้องตั้งกำลังใจให้สูงสุดเท่าที่เราทำได้ เพื่อให้ทานของญาติโยมมีผลให้มากที่สุด แสดงว่าตรงนี้ไม่เคยทำเลยใช่ไหม ? ที่เขาเรียกว่าไปโปรดสัตว์ ก็คือไปสงเคราะห์ให้ทานของเขาเกิดผลให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด |
ถาม : เพื่อนไปพบกับพระรูปหนึ่ง พระบอกว่าเพื่อนโดนของ โดนคุณไสยทั้งตัว วัตถุมงคลที่ติดตัว มีพระหางหมาก ผ้ายันต์พิชัยสงคราม ก็ถูกลอกเอาพุทธคุณออก แล้วเอาน้ำมันพราย ผีพรายมาใส่แทน ผ้ายันต์นี่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหมดแล้ว แต่ผมฟังแล้วคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้เลย ไม่เชื่อ ผมเข้าใจถูกไหมครับ ?
ตอบ : ก็เป็นอันว่าคุณฉลาดกว่า เพราะมีคนไปหลงเชื่อเขามาเยอะแล้ว ถาม : ผมอยากจะขอถามหลวงพ่อว่า ผมโดนของไหมครับ พระบอกว่าผมถูกของ ? ตอบ : ต้องไปถามท่าน เดี๋ยวท่านจะตอบให้เอง ถ้ามาถามตรงนี้จะโดนถีบแทน อยากรู้ต้องไปถามคนที่เขาบอกคุณ ได้เสียเงินให้เขาแก้ไขเยอะ ๆ แล้วจะฉลาดมากขึ้น |
ถาม : ผมทำสมาธิแล้วจิตนิ่งไประดับหนึ่ง จนกระทั่งสว่าง ไปต่อไม่ถูก ต้องทำอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ แล้วสมาธิก็จะดำเนินไปเอง อย่าดิ้นรนให้พ้นจากตรงนั้น และอย่าอยากเข้าไปถึงตรงนั้น ถาม : ค้างอยู่ตรงสว่าง ๆ โล่ง หลายครั้งแล้ว ? ตอบ : ตามดูไปเฉย ๆ |
ถาม : เบื่อหน่ายแม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมค่ะ ไม่อยากสวดมนต์ ไม่อยากนั่งสมาธิ ไม่อยากทำอะไรเลย ?
ตอบ : ตอนนี้กิเลสเริ่มหลอกแล้ว บอกกิเลสไปว่า อย่าทะลึ่งสอนให้ทำแบบนี้ กูไม่เชื่อมึงหรอก แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำของเราต่อไป ถาม : จะเกิดอาการเบื่อ ๆ แบบนี้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ให้รู้ว่าถ้าเราเกิดมาอีกก็จะเจอแบบนี้อีก เพราะฉะนั้น...ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแบบนี้จะเอาอีกไหม? ถาม : แต่ว่าเบื่อ ไม่อยากทำอีกแล้ว ? ตอบ : ต้องสอนตัวเองให้ได้ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ก็จะเบื่ออยู่อย่างเดียว จนเราเซ็งโลกไปเลย ถาม : แม้แต่การกราบพระยังเบื่อเลยค่ะ ? ตอบ : บางทีกราบพระสักแต่ว่ากราบแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ที ไม่ได้กราบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจหรอก ถาม : โดนหลอกใช่ไหมคะ ? ตอบ :ใช่...ไปเริ่มต้นใหม่ รู้ตัวแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป พวกนี้กลัวคนหน้าด้าน พอเราหน้าด้านทำไปเดี๋ยวเขาก็ถอยไปเอง ถาม : จะเกิดขึ้นอีกไหมคะ เบื่อ ๆ อยาก ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ตอบ : จนกว่ากำลังใจของเราจะสูงกว่านี้ เพราะฉะนั้นต้องทำเรื่องสมาธิให้มากขึ้น |
ถาม : เรื่องการแผ่เมตตาเจ้าค่ะ ในนี้เขาบอกว่า "ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง..." ถ้าเราใช้คำว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทุกรูปทุกนาม เทวดาท่านจะได้หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ไม่ว่าจะภพภูมิไหนก็เป็นสัตว์ทั้งหมด แม้แต่พรหมเทวดาเขาก็จัดเป็นสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดประเภทหนึ่ง |
ถาม : (พระถาม) นั่งรับสังฆทานแบบหลวงพ่อ ผมก็ปลงใจไม่ได้ว่าเราทำอะไรเป็นประโยชน์แก่ญาติโยม นอกจากมาเอาของเขา ?
ตอบ : คุณเป็นผู้เสียสละอย่างที่สุดที่ได้รับภาระทุกอย่างนี้ไปทำแทนสงฆ์ ถ้าคุณไม่มาทนนั่งตูดด้านอยู่อย่างนี้ บุญของเขาก็ไม่เกิด ความเจริญของพระพุทธศาสนาก็ไม่มี |
ถาม : (สนทนากับพระ)
ตอบ : นี่เป็นหน้าที่ของเรา คำว่าหน้าที่ของเราคือพุทธบริษัททั้ง ๔ แบ่งออกเป็น อนาคาริก คือผู้ไม่ครองบ้านเรือน คือ ภิกษุ ภิกษุณี กับอาคาริก ผู้ครองบ้านเรือน คือ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีสามารถศึกษาปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ เพราะอุบาสกอุบาสิกาสนับสนุนด้วยปัจจัยทั้ง ๔ เมื่อปฏิบัติธรรมได้แล้วก็เป็นหน้าที่ของภิกษุและภิกษุณี ที่จะต้องมาสั่งสอนให้กับอุบาสกอุบาสิกา เพื่อทดแทนที่เขาสงเคราะห์เรา เพราะฉะนั้น...ถ้าเราเพิ่งได้มา แล้วเขาเอาไป ก็เท่ากับเราทำหน้าที่ของเราแล้ว |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปทำฟันแล้วหมอเอ็กซเรย์รากฟันให้ ก็เพิ่งทราบว่าพวกเซียนวัตถุมงคลไปให้หมอเอ็กซเรย์ของกันเยอะมากเลย อย่างตะกรุดหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หรือตะกรุดลูกอมโลกธาตุ เขาจะมีด้ายพันไว้ ต้องเช็คดูข้างในว่าเป็นอะไรแน่ บอกได้แค่ว่าเป็นโลหะ บอกไม่ได้ว่าเป็นทอง เป็นนาก หรือเป็นเงิน
แล้วก็ไม้ครูหลวงปู่ภู เบี้ยแก้หลวงปู่รอด แล้วก็หมากทุยหลวงปู่เอี่ยม ต้องสแกนดูข้างในว่าเป็นหมากจริงเปล่า ? มีกระดาษสาอยู่ข้างในไหม ? ของราคาเป็นแสนเป็นล้าน อย่างไรเสียก็ให้เขาเอ็กซเรย์ให้สบายใจหน่อยว่าดีจริงหรือเปล่า ? ได้ฟิล์มเอ็กซเรย์มาแล้วยังต้องเล็งแล้วเล็งอีก สรุปว่าร้านหมอฟันเอ็กซเรย์วัตถุมงคลมากกว่าฟันอีกกระมัง ?" |
ถาม : ตอนที่ลาพุทธภูมิ ท่านมาทัดทานให้ทบทวน เป็นไปได้ไหมว่ามารแทรก ?
ตอบ : ก็ถ้าบารมีมากพอ ท่านจะทัดทานก็เป็นเรื่องปกติ เสียดายเรียนจะจบอยู่แล้ว กัดฟันต่ออีกเทอมเดียวไม่ได้หรือ ? ถาม : เห็นคนเขาลากันหลาย ๆ คนครับ ? ตอบ : ก็ของท่านเด็ดขาด ส่วนเราเด็ดไม่ขาด ถาม : กำลังใจที่ลาฝ่อไปหมดนี่...? ตอบ : เอาใหม่ ถ้าเด็ดขาดจริงก็ต้องลาได้ ถาม : ไม่ว่าท่านจะมาอย่างไรก็คือ ผมจะลาให้ได้ แบบนี้หรือครับ ? ตอบ : กลัวแต่ว่าถึงเวลาก็มืออ่อนตีนอ่อน ถาม : อย่างนั้นจริง ๆ ครับ ? ตอบ : ตูเคยมาแล้ว ลาอยู่ ๓ รอบกว่าท่านจะอนุญาต แต่ยังให้ทำงานเก่าไปก่อน ถึงได้งานเยอะงานแยะอยู่ทุกวันนี้ ถาม : แต่ถ้าลาแล้วไม่อยากรับภาระ จำเป็นจริง ๆ ก็น่าจะได้ ? ตอบ : สันดานเดิม ช่วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ต้องทำ ถาม : เป็นเพราะเราตั้งสัญญาเก่าไว้หรือคะว่าเราจะทำ ? ตอบ : ไม่ใช่...ทำเอาไว้เยอะแล้ว คนเขาก็ไม่ไปตามคนอื่น ก็ต้องแบกภาระไปก่อน |
1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอเล่มที่ลงอยู่ในกระทู้คนมีเงินฯ (๑๔) นั่น เป็นรุ่นเดียวที่หลวงพ่อรุ่งกับหลวงพ่อเดิมทำร่วมกัน เป็นของที่หายากสุด ๆ เพราะว่าหลังจากนั้นแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านก็แยกไปทำตามแบบของท่านเอง เราจะเห็นว่าลายตอกเป็นแบบช่างของหลวงพ่อเดิม แต่ดันฝังทองฝังโลหะล้างอาถรรพ์ไปด้วย เป็นรุ่นที่หลวงพ่อเดิมท่านเอาขึ้นเกวียนไปปลุกเสกร่วมกับหลวงพ่อรุ่ง"
|
ถาม : ถวายทองที่จะเอามาร่วมหล่อพระ พ่อผมเขาอธิษฐานทำบุญก่อนที่เขาจะเสียไป มาทำทีหลังเขาได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : เขาตั้งใจเมื่อไรก็ได้ตอนนั้นแหละ ถาม : พ่อเขาอยู่ตรงไหนพอจะทราบไหมครับ ? ตอบ : ต้องไปถามคนอื่น อาตมาโดนสั่งห้ามไว้ตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดท่าซุงแล้ว |
ถาม : เป็นความว่างที่อยู่เหนือความว่าง แล้วก็ขึ้นไปอยู่บนความว่างอีกที ออกไปไกลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นแค่ระดับหนึ่งของสมาธิเท่านั้น สมาธิยิ่งทรงตัวลึกขึ้นมากเท่าไร สภาพจิตของเราก็จะว่างจากกิเลสมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่เชื่อไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมาธิคลายตัวกิเลสก็งอกงามใหม่ เพราะฉะนั้น...มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องพิจารณาวิปัสสนาญาณเพื่อทำลายกิเลสให้สิ้นไปจากใจของเรา ถาม : เหมือนกับเราก็ไม่ใช่เรา ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นเรา แต่ก็ไม่ใช่ เราก็ดูไป ? ตอบ : สภาพจิตส่วนจิต สภาพร่างกายส่วนร่างกาย ส่วนผู้รู้ที่เป็นสติก็ยังคอยควบคุมกำกับอยู่ ถ้าดูจริง ๆ แล้วจะเห็นว่ามีอยู่ ๓ ส่วนด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม เขาไม่ให้ยึดทั้งนั้น แค่กำหนดดู กำหนดรู้ว่าเราสักแต่เป็นเพียงผู้อาศัย สักแต่ว่าเป็นเพียงผู้อยู่ ถ้าหากว่าตายเมื่อไรที่ไปของเราคือพระนิพพาน ถาม : ที่ออกไปข้างนอก บางทีหนูก็คุมไม่ได้ ? ตอบ : สร้างสติให้มั่นคงกว่านี้จะคุมได้ ไม่อย่างนั้นสติช้ากว่าก็จะปรุงแต่งไปเรื่อย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครบริจาคช่วยตูนสร้างโรงพยาบาลบ้างหรือยัง ? เรียกกันแต่ "ตูน บอดี้สแลม" จนลืมชื่อจริงไปแล้ว จำได้ว่านามสกุลคงมาลัย
ต้องบอกว่าตั้งแต่เกิดเหตุที่ปักษ์ใต้มา ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว เพิ่งจะมีตูนซึ่งไม่ใช่คนของรัฐบาลนี่แหละ ที่ทำให้ปักษ์ใต้สมัครสมานสามัคคีกันได้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าตูนจะวิ่งไปทางไหน บรรดาอิสลามิกชนก็ออกมาต้อนรับ ออกมาถ่ายรูป ออกมาปรบมือกันมากมายไปหมด ที่แน่ ๆ ก็คือออกมาร่วมบริจาคด้วย ขนาดโดนคนที่ยึดมั่นในหลักศาสนาอย่างชนิดไม่ยอมผ่อนผัน ออกมาตำหนิว่าการบริจาคให้กับคนศาสนาอื่นไม่ใช่เรื่องที่อิสลามิกชนจะทำได้ ก็ไม่มีใครฟัง สภาพปักษ์ใต้ของเราเหมือนกับกลับไปเป็นอย่างในสมัยก่อนชั่วคราว สมัยก่อนนั้นปักษ์ใต้คนไทย คนอิสลาม สามัคคีกลมเกลียวเหนียวแน่นมาก คนอิสลามหลายคนรับราชการเป็นใหญ่เป็นโตใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท แม้กระทั่งปู่ของครูอี๊ด ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพนมเทียน นักเขียนชื่อดัง ท่านก็เป็นขุนวิเศษสุวรรณภูมิ เป็นผู้พบเหมืองทองโต๊ะโมะ แล้วก็ทำการเก็บภาษีส่งให้กับในหลวงรัชกาลที่ ๖ จนกระทั่งได้รับพระราชทานยศเป็นท่านขุน" |
"บรรดาคนไทยสมัยก่อนจะเป็นพ่อยกแม่ยกให้กับเด็กอิสลาม เมื่อถึงเวลาคนอิสลามมีลูก ก็เอามายกให้คนไทยเป็นลูกบุญธรรม เวลาคนไทยมีลูก ก็ยกให้กับอิสลามเป็นลูกบุญธรรม อยู่ในลักษณะเหมือนกับผลัดกันเลี้ยง เด็กก็โตมาด้วยกัน สนิทสนมกลมเกลียวกัน จนกระทั่งแยกไม่ออกว่าเป็นไทยหรือเป็นอิสลาม ยกเว้นอย่างเดียวก็คือเวลาไปวัด หรือเวลาไปมัสยิดเท่านั้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นมานานมาก จนกระทั่งปักษ์ใต้ของเรามีความเหนียวแน่น ใคร ๆ ก็ยอมใจให้กับคนไทยปักษ์ใต้ว่า รักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกันมาก จนกระทั่งมีบรรดาผู้ที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ส่งลูกหลานไปเรียนที่ตะวันออกกลาง แล้วก็ไปรับเอาแนวคิดใหม่ ๆ เข้ามา หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าโดนล้างสมองมา แล้วก็มาแบ่งแยกว่า นี่คือแผ่นดินของอิสลาม ที่พระอัลเลาะห์ประทานมาให้แก่อิสลามิกชนเท่านั้น คนอื่น ๆ ที่มาอยู่อาศัย เท่ากับมาแย่งชิงทรัพยากร มาแย่งสิ่งที่คนอิสลามจะพึงมีพึงได้ไป ก็เลยเกิดการเกลียดชัง แล้วก็พยายามที่จะสร้างความแตกแยก พยายามจะทำให้อิสลามเป็นศาสนาบริสุทธิ์ ไม่ให้ปะปนกับชนชาติอื่นขึ้นมา" |
"ความสามัคคีกลมเกลียวก็ยังคงมีมาจนกระทั่งปี ๒๕๔๗ มีเหตุการณ์ปล้นค่ายทหารที่ปิเหล็ง หลังจากนั้นการแตกแยกก็มีอย่างชัดเจน เพราะเจตนาของเขาก็คือจะทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐอิสลาม โดยเริ่มก่อเหตุจากปักษ์ใต้
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เริ่มเกิดความหวาดระแวงขึ้น โดยเฉพาะการลงมือเข่นฆ่าพระภิกษุสามเณร แต่การลงมือของพวกเขาค่อนข้างจะไร้ศีลธรรม ไม่สมกับเป็นอิสลามิกชน เพราะว่าอาตมาศึกษาข้อปฏิบัติของอิสลามิกชนมาแล้ว มีลักษณะใกล้เคียงกับศีล ๕ ของเราเลย ในเมื่อทำการเข่นฆ่า ก็ไม่ถือว่าเป็นอิสลามิกชนที่แท้จริง แต่เนื่องจากได้รับการล้างสมองมาว่าเป็นสิ่งที่ทำเพื่อพระเจ้า เขาก็ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะพินิจพิจารณาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นถูกต้องหรือเปล่า ? จึงวางระเบิดบ้าง ยิงบ้าง แม้กระทั่งอิสลามด้วยกัน ที่ตกตายไปมากต่อมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นอิสลามิกชนเช่นเดียวกับเขา แต่อาจจะฝักใฝ่กับทางราชการ หรือว่าฝักใฝ่กับ ‘คนไทย’ ตามที่เขาเรียก หรือถ้าตามที่อิสลามเขาเรียกแล้วแปลมาก็คือ ไปฝักใฝ่กับ ‘พวกวัวพวกควาย’ ก็เลยทำให้ปักษ์ใต้ของเราร้อนรุ่ม ไม่สามารถที่จะกลับไปสู่ความร่มเย็นเหมือนกับสมัยก่อนได้ ก็เพิ่งจะเห็นตอนที่ตูนทำการวิ่งเพื่อหาทุนให้กับโรงพยาบาล ที่คนอิสลามทั้งหลายพร้อมอกพร้อมใจกันออกมามาร่วมกันบริจาค มาต้อนรับ มาให้กำลังใจ" |
"แต่ก็มีคนไทยจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะข้าราชการที่ใช้วาจาแรง ๆ ในลักษณะที่ว่า ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองแล้วไปยุ่งทำไม ? ซึ่งคนประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้ว ตัวเองก็ไม่เคยสร้างความเจริญให้แก่สังคม เมื่อเห็นคนอื่นทำให้สังคมดีขึ้น ก็กลายเป็นว่าเดือดเนื้อร้อนใจ เอาแค่ว่าโรงพยาบาลทั้ง ๗ แห่ง ต้องการงบประมาณ ๗๐๐ ล้านบาท ในการพัฒนาโรงพยาบาลให้ทันสมัย มีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อม เขาก็รับไม่ได้ เพราะว่าถ้าให้เขาของบประมาณจากส่วนกลางแล้วมาทำเมื่อไร จะมีในส่วนที่เรียกว่า ‘เงินทอน’ ไปถึงมือเยอะมาก
ในเมื่อตูนเป็นคนมาทำ ส่วน "เงินทอน" ที่เขาจะพึงมีพึงได้ก็ไม่มี ก็เลยทำให้เขาออกมาพูดจาแรง ๆ แบบไร้สติ ท้ายที่สุดก็โดนสังคมถล่มจมธรณีไป ก็ต้องบอกว่าในเรื่องของบ้านเราเมืองเรา ต้องมีคนกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ในลักษณะของตูน ที่ไม่ย่อท้อแม้ว่ากระแสที่ต่อต้านมีมาก แต่ก็พยายามที่จะฝ่าฟันไป ให้เขาเห็นความจริงใจของตัวเอง ว่าไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศส่วนตน หากแต่อาศัยชื่อเสียงเกียรติยศส่วนตน ในการชักจูงผู้อื่นให้ร่วมทำงานนั้นให้สำเร็จ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พวกเราต้องแยกแยะให้ออก เพราะว่าปกติตูนก็มีชื่อเสียงเพียงพอ เป็นที่รู้จักทั่วประเทศอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมาทำตรงจุดนี้คนก็รู้จักเขาอยู่แล้ว ยกย่องเขาอยู่แล้ว แต่เขาออกมาทำโดยอาศัยชื่อเสียงเกียรติภูมิส่วนตัว ในการชักจูงผู้อื่นให้ร่วมกันสร้างความดี โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาแบบนี้ เราเพิ่งจะสิ้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปไม่นาน ประเทศชาติของเรายังหวั่นไหวระส่ำระสายอยู่ เหมือนอย่างกับครอบครัวที่ขาดเสาหลักไป เมื่อมีคนออกมาชักจูงให้ร่วมกันทำในสิ่งที่ดี ๆ แล้วทุกคนสมัครสมานสามัคคีพร้อมใจกันทำ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่สมควรจะได้รับการยกย่องมากกว่าที่จะตำหนิติเตียน เรื่องพวกนี้เรามีโอกาสก็ไปช่วยกัน" |
"อย่างอาตมาเอง โรงพยาบาลทองผาภูมิก็มาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ ๆ เมื่อวานนี้ไปคุมสอบที่โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ผู้อำนวยการก็ยังมาบอกว่า มีโครงการส่งเด็กแข่งขันทางวิชาการระดับประเทศ ถ้าผ่านได้จะขอทุนหลวงพ่อ เพื่อให้เด็กเดินทางไปแข่งขันในระดับโลก
อาตมาบอกว่าถ้าเด็กผ่านได้ก็จะให้ มากเท่าไรก็ไม่เป็นไร สำคัญอยู่ตรงที่ว่า ให้ผลักดันให้เด็กของพวกเราทุกคนมีความรู้ความสามารถที่ใกล้เคียงกัน อย่าให้มี "เด็กรับแขก" แค่ไม่กี่คน ในลักษณะที่ถึงเวลาเป็นตัวแทนไปแข่งขัน เป็นตัวแทนที่จะไปช่วงชิงชื่อเสียงเกียรติภูมิให้กับโรงเรียน แต่ให้นักเรียนทุกคนมีความรู้ความสามารถที่ใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะกลายเป็นโดดเด่นอยู่แค่ไม่กี่คน แล้วส่วนที่เหลือก็ยังคงใช้การไม่ได้เหมือนเดิม" |
"โบราณเรามีสุภาษิตว่า มือไม่พายอย่าเอาตีนราน้ำ คุณตูนเขากำลังพายอยู่ ก็มีคนเอาตีนราน้ำอยู่เรื่อย ลักษณะนั้นต้องฟันตีนทิ้งเสีย...!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่วัตถุมงคลของวัด ถ้าราคาสูง ๆ อาตมาจะขอชื่อนามสกุลเจ้าของเก็บไว้ด้วย ใครอ้างว่าได้รับจากอาตมา ถ้าไม่มีชื่อในบัญชีก็จบกันแค่นั้นแหละ..!
ในกระทู้คนมีเงินฯ มีหลายคนอยากได้วัตถุมงคลวัดท่าขนุน ระบุรุ่น ระบุของมา ขอยืนยันว่าไม่มี อะไรที่หมดแล้วคือหมดจริง ๆ ของหลวงปู่หลวงพ่อรูปอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและต่างประเทศ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นที่ต้องการทั่วโลก อาตมายังพอหาให้ได้ แต่วัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี้หมดไปแล้วไม่มีปัญญาหา เป็นอะไรที่อนาถมาก..! เวลาเพื่อนพระขอ อาตมาบอกว่าไม่มี ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก โยมบางคนไปวัดตื๊อจะเอารุ่นนั้นให้ได้ จะเอารุ่นนี้ให้ได้ บอกว่าไม่มี เขาก็ไม่เชื่อ เขาบอกว่าปกติทุกวัดเจ้าอาวาสจะต้องเก็บเอาไว้สัก ๑๐๐-๒๐๐ องค์ ก็เลยอยากจะบอกเขาว่าไม่ทุกวัดหรอก เพราะว่าอย่างน้อยวัดท่าขนุนไม่เคยเก็บ ออกมาเท่าไรก็หมดแค่นั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครบอกได้ไหมว่า กุญแจซอลคืออะไร ? รุ่นของอาตมารู้จักแต่กุญแจจีน แล้วไม่ได้เรียกกุญแจ เขารียกว่าประแจ
กุญแจซอลเป็นชื่อของดารา ที่มีข่าวว่าหนีพ่อหนีแม่ไปมีสามี แล้วก็คลอดลูกออกมา ปรากฏว่าโดนตัดพ่อตัดลูก ตัดแม่ตัดลูกกันให้ยุ่งไปหมด ซึ่งเรื่องประเภทนี้ถ้าเราไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุจริง ๆ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะว่าเรื่องที่เขาให้เรารู้ทั้งสองฝ่าย ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงทั้งหมด เป็นแค่ส่วนที่เขาให้เรารู้ได้ ส่วนที่เขาไม่ต้องการให้เรารู้แล้วปกปิดอยู่ มีอีกมากเท่าไรเขาไม่ได้บอก ถ้าเราไปด่วนตัดสินว่าฝ่ายพ่อแม่ผิด ฝ่ายดาราผิด หรือไม่ก็ฝ่ายผู้ชายผิดที่ไปหลอกลวงเขา เรานั่นแหละมีโอกาสผิด เรื่องของกระแสต่าง ๆ ในโลกของโซเชียลมีเดียมีอยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องใจหนัก ๆ เพียงแต่อาตมาแค่สงสัยว่าทำไมชื่ออย่างนั้น ? ไม่เข้าใจว่าชื่อหมายถึงอะไร มาได้ยินว่าตัวโน้ตก็พอจะนึกออก ไม่รู้ว่าพ่อแม่รักดนตรีมากหรืออย่างไร ? เห็นบางคนวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงขนาดว่า โดนทำไสยศาสตร์จนลืมพ่อลืมแม่ ของบางอย่างเราต้องเข้าใจว่า วัยรุ่นทุกคนต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่โดนตีกรอบบังคับอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันพ่อแม่บางคนก็เห็นลูกเป็นสินค้า ถึงเวลาแล้วจะต้องมีกำไร เรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้น เราไม่รู้ความจริงแล้วไปวิพากษ์วิจารณ์ โอกาสผิดมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันนี้ข่าวสารต่าง ๆ มาง่าย แต่ความจริงนั้นหายาก" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:34 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.