![]() |
ถาม : หนูได้ไปงานศพหลายวัดใน กทม. เขาจัดที่นั่งให้เป็นห้องแอร์ ให้ผู้มาร่วมงานใส่รองเท้าเข้าไปในอาคารได้เลย ตอนฟังพระสวดก็ไม่ได้ถอดรองเท้า ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าวัดท่าขนุนไม่เคยให้โยมทำแบบนั้น |
ถาม : ช่วงกรรมฐาน "หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น" คำว่า ภาพพระสว่างขึ้น มีความหมายว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : มีความหมายว่าสว่างขึ้น ถาม : เหมือนที่เรากดปุ่มเพิ่มแสงที่มีอยู่ในโปรแกรมตัดต่อภาพหรือไม่ ? ตอบ : ทำอย่างไรให้สว่างขึ้นก็แล้วกัน ถาม : ภาพจะสว่างจนกลายเป็นสีขาวทั้งหมด หรือให้เห็นแสงสว่างขาวรอบออกมาจากภาพพระ ? ตอบ : แล้วแต่เราถนัดแบบไหน |
ถาม : สมมติว่าทางโรงเรียนจัดซื้อหนังสือด้วยงบหนึ่งล้านบาท ได้หนังสือครบถ้วนตามงบหนึ่งล้านบาทพอดี แต่บริษัทได้จ่ายเงินคืนให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาที่ซื้อหนังสือทั้งหมด เป็นการจูงใจลูกค้า ถ้าผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อหนังสือของโรงเรียนได้นำเงินที่ทางบริษัทคืนมาเข้ากระเป๋าของตนเอง ถือว่าเป็นการ " คอร์รัปชัน " และ ถูกขึ้นบัญชีนรกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เคยได้ยินไหมที่ปัจจุบันเขาเรียกว่า "เงินทอน" ในเมื่อเป็นงบหลวง ถึงเวลาคืนมาก็ต้องเข้าหลวง ไม่ใช่เข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องขึ้นบัญชีนรกหรอก เขาสอบสวนเมื่อไรก็ติดคุกหัวโตแล้ว..! |
ถาม : การที่หญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย เปิดกล้องเต้นโชว์ ยั่วยุให้เกิดอารมณ์กามในสังคมออนไลน์ หรือสาวโคโยตี้ ที่เต้นยั่วอารมณ์บนเวทีต่าง ๆ จะมีโทษในทางกฏแห่งกรรมเช่นไร ? โทษหนักลงบัญชีนรกขุมใหญ่เหมือนดารานักแสดง นักร้อง ที่ไม่มีบุญช่วยไหมครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน แต่ใกล้เคียงกัน เรื่องของดารานักร้อง นักแสดง มายาการนั้นทำให้คนหลงผิดไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไปยึดถือตัวบุคคลตลอดจนกระทั่งสิ่งที่เขาแสดงออกแทน ส่วนกรณีเต้นโชว์นี้เป็นการยั่วยุกามารมณ์ ถ้าไม่ได้ไปละเมิดศีลละเมิดธรรมอะไรโทษก็น้อย แต่ถ้าคนไม่สามารถระงับยับยั้งได้ หลังจากนั้นไปละเมิดศีล โทษของเขาก็พลอยมีไปด้วย เพราะถือว่าสนับสนุนให้คนทำเช่นนั้น |
ถาม : การที่เราชอบมองข้อเสียทาง กาย วาจา ใจ ของผู้อื่น แล้วตำหนิเขาในใจ เป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราเคยชอบตำหนิคนอื่น ๆ มาหลายชาติ หรือไม่เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ?
ตอบ : เป็นความชั่วของเราเอง เพราะสภาพจิตของเรามืดบอด เต็มไปด้วยราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มองไม่เห็นความดีของคนอื่น ถาม : จะมีวิธีแก้ไขไม่ให้ตำหนิผู้อื่นในใจอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : ให้ตำหนิออกมาดัง ๆ จะได้ไม่ต้องตำหนิในใจ...! ถาม : พูดไปเดี๋ยวเขาจะเสียใจค่ะ ? ตอบ : กลัวเขาจะตบเอามากกว่า...! |
ถาม : ก่อนนอนหนูไปไหว้พระรู้สึกว่าอยู่ข้างบนแล้ว แต่แค่ครู่เดียวก็ตกลงมา หนูก็วางอารมณ์แบบเดิมมันก็ขึ้นไปอีก ครู่เดียวก็ตกลงมา เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบจนมันตัดหลับตอนไหนไม่รู้ตัวค่ะ หนูควรจะฝึกทรงอารมณ์อย่างไรให้อยู่ได้นานกว่านี้คะ ?
ตอบ : หางานให้จิตทำ สภาพจิตของเราไม่เคยชินกับความละเอียดของพระนิพพาน เกาะได้ครู่หนึ่งก็ถือว่าเยอะมากแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือตั้งใจเอาไว้ตรงจุดนั้นว่า เราจะทำงานอะไร อย่างเช่น สวด อิติปิ โสฯ สัก ๑๐๘ จบ จิตของเรามีสภาพจำว่ามีงานอยู่ตรงนั้น ถ้างานยังไม่เสร็จก็จะไม่ลงมา |
ถาม : เนื่องจากคำว่า อัลเลาะห์ นั้น แผลงหรือมีที่มาจากคำว่า อรหันต์ อยากทราบว่า เวลาด่าอัลเลาะห์เช่นนี้จะเป็นบาปเหมือนด่าว่าพระอรหันต์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้คุณด่าคนอื่นก็เป็นโทษอยู่แล้ว ถาม : เมื่อคำว่า อัลเลาะห์ แผลงหรือมีที่มาจากคำว่า อรหันต์ เหตุใดการกล่าวชื่อนี้บ่อย ๆ จึงไม่เป็นสังฆานุสติ และมุสลิมจึงไม่ได้อาศัยบุญตรงนี้ขึ้นสวรรค์หรือครับ ? ตอบ : ก็เพราะเขาไม่รู้ ในเมื่อทำโดยไม่รู้ สภาพจิตยึดเกาะผิด จะเอาอานิสงส์ที่ไหนมา ? ถาม : เนื่องจากเวลานี้ มีเทวดาผู้ใหญ่ท่านช่วยสงเคราะห์เป็นพระอัลเลาะห์ให้ อยากทราบว่า เวลาด่าว่า อัลเลาะห์ เช่นนี้จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ? ตอบ : สรุปว่าเอ็งจะด่าใครก็บาปทั้งนั้นแหละ..! ถาม : เทพต่าง ๆ จากคติพราหมณ์-ฮินดู มักจะมีเทวดาผู้มีฤทธิ์มาสงเคราะห์ ทำหน้าที่เป็นเทพองค์นั้น ๆ ให้เสมอ ฉะนั้น...การด่าหรือลบหลู่เทพต่าง ๆ จากคติพราหมณ์-ฮินดู ย่อมเป็นบาปเหมือนการด่าหรือลบหลู่เทวดาที่มาทำหน้าที่ให้นั้น ถูกต้องหรือไม่ครับ ? ตอบ : ถูก ถาม : ถ้าเราด่าว่า นบีมูฮัมหมัด จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ต่อให้ด่าตูก็บาป...! สภาพจิตที่ด่าเขาประกอบไปด้วยโทสะ ไม่ลงนรกตอนนั้นก็บุญโขแล้ว |
ถาม :ในเวลาที่ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติสมาธินั้น มักมีความรู้สึกคันตามตัวเกิดขึ้น หรือบางครั้งจะมีเสมหะเกิดขึ้น ทำให้ต้องคอยเกาและกระแอมเสมหะ ไม่สามารถรวมจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอเรียนถามว่า อาการข้างต้นเกิดจากเหตุอะไรหรือครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า ขันธมาร เป็นส่วนหนึ่งของมารทั้ง ๕ ที่ตั้งใจมาขวางการทำดีของเรา ถาม : มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง และวิธีใดมีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ ? ตอบ : ตั้งใจว่าต่อให้ตายลงไป เราก็จะไม่เกา ต่อให้ตายลงไปเราก็จะไม่กระแอม แล้วลองฝืนดูว่าจะตายไหม ? |
ถาม : เนื่องด้วยเราพุทธศาสนิกชนอาจเคยได้ทำบุญมามาก และเป็นบุญใหญ่ มีอานิสงส์นานหลายชาติ และเป็นไปในทางทยอยส่งผล แต่ในบางครั้งเรามีความลำบากในปัจจุบันหรือมีปัญหาที่ยากจะแก้ไข จึงขอเรียนถามว่า พอมีหนทางใดบ้างที่จะให้ผลบุญของเราส่งผลในปัจจุบันมากขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความลำบากขัดสนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันครับ ?
ตอบ : ไปสมัครเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เกษม วัดสามแยก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพราะว่าสำนักนั้นสามารถเบิกบุญเก่ามาใช้ได้...! ถ้าต้องการให้บุญส่งผลเร็ว ให้เร่งในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของสมาธิจะเห็นผลไวที่สุด |
ถาม : ปัจจุบันมีหลายคนตั้งใจรักษาศีลข้อ ๔ งดเว้นจากการพูดโกหก แต่บางท่านก็ใช้วิธีการเลี่ยง โดยบอกว่าตนเองไม่ได้พูดโกหก กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า เมื่อถามแล้ว ผู้ตอบบอกความจริงไม่หมด บอกเพียงครึ่งเดียว ครึ่งที่บอกเป็นความจริง แต่อีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้บอกเป็นเรื่องสำคัญต่อความเข้าใจของผู้ถาม แต่ผู้ตอบมีเจตนาไม่บอก สุดท้ายผู้ถามได้ฟังคำตอบแล้วก็เกิดความเข้าใจผิดอยู่ดี เพราะได้ทราบเรื่องจริงเพียงครึ่งเดียว ผิดศีลข้อ ๔ หรือไม่ ?
ตอบ : อันดับแรก...เรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก อันดับที่สอง...ตั้งใจโกหก อันดับที่สาม...ลงมือทำ อันดับที่สี่...บุคคลอื่นเชื่อตามนั้น ถ้าครบองค์ประกอบเหล่านี้ ถือว่าผิดศีลข้อโกหกเต็ม ๆ ถ้าองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งคลาดเคลื่อนไป ก็ลดโทษไปตามส่วน |
ถาม : กรณีที่เราต้องมีการกินยาถ่ายพยาธิ แบบนี้ถือว่าผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : กินยาถ่ายพยาธิถือว่าเป็นการรักษาโรค เราก็ไม่ได้กินอยู่ตลอดเวลา ถ้าศีลขาดก็ขาดอยู่แค่ช่วงนั้นช่วงเดียว ต่อไปเราก็รักษาให้ดี สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีเด็กคนหนึ่งถ่ายพยาธิโดยที่พยาธิไม่ตายเลย เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า โยมแม่อาตมาเอาน้ำมันก๊าดใส่ขวดบรั่นดีไว้ เด็กเขาไม่รู้ คิดว่าเป็นน้ำ ก็เลยกรอกใส่ปากไป ถ่ายพยาธิออกมายั้วเยี้ยไปหมด ไม่ตายสักตัว เพิ่งจะรู้ว่าน้ำมันก๊าดช่วยถ่ายพยาธิได้ ใครจะลองกินดูบ้าง...! |
พระอาจารย์เล่าว่า "บางครอบครัวไม่ได้รู้โทษของบุหรี่หรือสุรา ตัวเองกินก็พลอยสอนลูกให้กินไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเด็กเพียงไม่กี่ขวบจะกลายเป็นขี้เหล้าตั้งแต่เด็ก เหมือนกับเด็กกะเหรี่ยง อายุไม่กี่ขวบก็สูบบุหรี่กันหมด เพราะเวลาทำงานในไร่จะมีพวกริ้นไรคอยตอมอยู่เรื่อย ถ้าไม่พ่นควันไว้ก็โดนกินระบมไปทั้งตัว จึงจำเป็นต้องสูบบุหรี่โดยอัตโนมัติ
ไปเจอเด็กกะเหรี่ยงตัวเล็ก ๆ สูบบุหรี่อย่าไปว่าเขาแก่แดดนะ สภาพการดำรงชีวิตของเขานั้นจำเป็น ใครที่ไม่เคยโดนริ้นกัด ไม่รู้หรอกว่ารสชาติเจ็บปวดขนาดไหน ตัวเล็กเป็นฝุ่น มองแทบไม่เห็น แต่กัดทีทั้งเจ็บทั้งคัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังจะโอนเงินค่าหุ้มแผ่นทองหุ้มพระเจดีย์วัดท่าขนุนงวดสุดท้ายให้ช่าง รายนี้ต้องบอกว่าเป็นรายที่ทำงานกับวัดท่าขนุนแล้วโดนปรับหนักที่สุดเพราะว่าส่งงานช้า ตามสัญญาที่เซ็นไว้ ก็คือปรับ ๐.๑ เปอร์เซ็นต์
ในเมื่อ ๙,๘๐๐,๐๐๐ บาท ก็ปรับ ๙,๘๐๐ บาท ปรับเขาไปแค่ ๖๐๐,๐๐๐ กว่าบาทเอง...! นึกเอาก็แล้วกันว่าเขาส่งงานช้าไปกี่วัน แล้ว ๖๐๐,๐๐๐ กว่าบาทนี่อาตมาหยุดปรับแค่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อให้เขามีโอกาสแก้ไขงานแล้วส่ง ไม่อย่างนั้นจะเจอมากกว่านี้อีก อย่างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาท ๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าส่งงานช้าก็ปรับวันละ ๑๒,๘๐๐ บาท" |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : คนฟ้องเป็นผู้แบกสักกายทิฏฐิ คือ ตัวกูของกู อาจารย์กูเอาไว้มากจนเกินไป แล้วก็แบกมิจฉาทิฏฐิเอาไว้ด้วย ก็เท่ากับว่าหวงในสิ่งที่ไม่ควรจะหวง คนอื่นเขาช่วยเผยแผ่เกียรติคุณอาจารย์ กลับไปฟ้อง |
โยมถวายค่าน้ำค่าไฟ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "คนที่ใช้น้ำใช้ไฟน้อยที่สุดในวัดน่าจะเป็นอาตมาเองนี่แหละ ที่ใช้ไม่บันยะบันยังส่วนใหญ่เป็นพระใหม่ พัดลมเปิดกันทั้งวัน เปิดตัวเล็กไม่สะใจ เปิดตัวใหญ่สามขา เปิดทีแทบจะปลิวไปตามลมก็จะเปิด"
ถาม :ค่าน้ำค่าไฟที่วัดเท่าไรคะ ? ตอบ : ค่าไฟอย่างเดียวประมาณ ๑๗,๐๐๐ บาท อาตมาเองใช้ถึง ๑๐๐ บาท หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถาม : ใครใช้แพง ? ตอบ : ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถามกับใคร ? อาตมาไม่ค่อยจะสรงน้ำ ส่วนมากก็แค่ล้างหน้า ไฟก็ไม่ค่อยจะได้เปิด ก็เลยกลายเป็นว่าน่าจะใช้น้อยที่สุดในวัดแล้ว ไฟที่อาตมาใช้มากที่สุดก็คือเปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน นอกนั้นก็ไม่ได้ใช้อะไร บางทีนั่งทั้งวันแทบจะไม่ได้เปิดพัดลมเลย ส่วนใหญ่แล้วพระใหม่ท่านไม่ค่อยรู้สึกหรอก เพราะท่านไม่ใช่คนจ่าย ๑๗,๐๐๐ บาท |
ถาม : เล่นวิดีโอเกมส์ แล้วโกงในเกมส์เพื่อเอาชนะ แบบนี้จะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพระเขาเรียกว่า ฉายาปาราชิก พูดง่าย ๆ ก็คืออาบัติปาราชิกนั้น ถ้าต้องเข้าจะขาดความเป็นพระ สิ่งที่ทำนั้นเกือบจะขาดความเป็นพระอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...เราเองแม้ว่าจะเป็นการโกง เป็นการขโมย เป็นอทินนาทานในเกม แต่อย่าลืมว่าสภาพจิตของเราต้องการชนะ ในเมื่อต้องการชนะ เจตนาการทำก็เหมือนกับอทินนาทาน เกือบจะโดนเต็ม ๆ อยู่แล้ว |
ถาม : พระพฤหัสบดีสร้างจากอะไรคะ ?
ตอบ : ฤๅษี ๑๙ ตน ถาม : แล้วคนเกิดวันพฤหัสบดีมีนิสัยอย่างไร ? ตอบ :ไม่ชอบยุ่งกับชาวบ้าน พูดง่าย ๆ ว่า สันดานเสีย...อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ถาม : จะแก้อย่างไรดีคะ ? ตอบ : พยายามปฏิสัมพันธ์กับเขาหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นคนแปลกแยกจากสังคม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา มีการประชุมพระนวกะประจำปี ๒๕๖๐ ของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ อาตมาก็เป็นพิธีกร มีหน้าที่เชิญวิทยากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และรองเจ้าคณะอำเภอ ขึ้นไปบรรยาย หลังจากการบรรยายก็กล่าวสรุปเนื้อหาและขอบคุณผู้บรรยาย
ที่จะกล่าวถึงวันนี้ก็คือการสรุปเนื้อหา ส่วนใหญ่พอท่านบรรยายไปสักครึ่งชั่วโมง พระใหม่ก็ลืมไปแล้วว่าท่านเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไร แล้วเนื้อหาหลักอยู่ตรงไหน ถ้าไม่สรุปเนื้อหาก็จะฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ พอเลิกการอบรม พระกลับมาที่วัด ช่วงทำวัตรค่ำอาตมาก็สอบถามว่า มีใครสรุปเนื้อหาแบบที่หลวงพ่อสรุปให้ฟังบ้าง ? ก็แทบจะไม่มี ส่วนที่มีก็บอกว่าสรุปได้ไม่ดีเท่า ก็เลยบอกกับท่านว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น การสรุปเนื้อหาจากสิ่งที่เราได้ฟัง ได้เห็น ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราสรุปเนื้อหาไม่ได้ ก็เหมือนกับเราตีอวนหวังปลาทั้งทะเล ไม่มีใครที่ทำได้สำเร็จหรอก การจับปลาให้ได้แน่ ๆ นั้น ต้องเล็งจับตัวเดียว ถ้าเราดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ในทุ่งหญ้าแอฟริกา จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นสิงโต เสือดาว หรือเสือชีตาห์ก็ตาม เวลาล่าเหยื่อจะเล็งตัวเดียว ถึงเวลาวิ่งไล่ไป ไม่ว่าตัวอื่นจะอยู่ใกล้ขนาดไหนก็จะไม่เปลี่ยนใจ จะมุ่งไปยังเป้าที่ตัวเองเล็งไว้แต่แรกเสมอ" |
"ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเนื้อหาว่า ทเวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งที่บรรพชิตพึงจะไปซ่องเสพเสวนาด้วย แล้วก็ตรัสยาวไปจนกระทั่งมาลงที่หนทางสายกลาง ก็คือมรรค ๘
เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะฟังจบ ก็บอกว่า ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ดวงตาแห่งธรรมก็ปรากฏขึ้น ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ประโยคนี้ตั้งแต่ต้นมาจนปลาย พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเลยแม้แต่คำเดียว แต่เป็นสิ่งที่พระอัญญาโกณฑัญญะสรุปมาจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนา ก็แปลว่า ถ้าพวกเราฟังธรรมแล้วขาดการสรุปเพื่อจับประเด็นเนื้อหาสำคัญ โอกาสที่เราจะออกทะเลจะมีมาก เพราะว่าหาเป้าไม่เจอ ถ้าเราไปดูในอนุพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะเมื่อแรกพบว่า ดูก่อนกัสสปะ...เธอจงเข้าไปตั้งอยู่ในความเกรงใจในภิกษุ ทั้งที่เป็นผู้เก่า ผู้ปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า ดูก่อนกัสสปะ...เมื่อเธอฟังธรรมจงเงี่ยหูฟัง แล้วตั้งใจพิจารณาในเนื้อความ ดูก่อนกัสสปะ...เธอจงอย่าละสติที่ไปในกาย ทั้งสามข้อนี้ ในส่วนที่ว่ามาคือข้อที่สอง เมื่อฟังธรรมให้เงี่ยหูฟังและตั้งใจพิจารณาในเนื้อความนั้น สรุปว่าไปอบรมแล้วถ้าอาตมาไม่สรุปเนื้อหาให้ พระใหม่ก็แทบจะไม่ได้อะไรกันเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีน้ำท่วมหลายพื้นที่ คราวนี้พระสงฆ์ก็ออกไปช่วยชาวบ้านกันมาก โดยเฉพาะการทำอาหารไปแจก นำอาหารแห้งไปแจก แต่ปรากฏว่าเป็นข้อถกเถียงกันในสื่อโซเชียลมีเดียว่า ใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า ? ทำแบบนี้ศีลขาดหรือไม่ ?
เรามาดู ๒ ประเด็นที่เขาว่าไว้ ประเด็นแรกคือใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า ? อาตมาเองยืนยันว่าใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าวาระแรกที่พระพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ออกไปประกาศพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ตั้ง ๖๐ รูปมีใครบ้าง ? ก็มีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระยสกุลบุตรกับสหายรวมแล้วอีก ๕๕ พระองค์สั่งว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไป พหุชน หิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก พระท่านไปช่วยคนน้ำท่วมเป็นประโยชน์ของคนหมู่มากคือส่วนรวมหรือเปล่า ? เพื่อความสุขของคนหมู่มากคือเพื่อส่วนรวมหรือเปล่า ? เป็นการอนุเคราะห์แก่ชาวโลกหรือเปล่า ? เราจะเห็นว่าใช่ทุกข้อ เพราะฉะนั้น...ประเด็นนี้ชัดเจนว่าสิ่งที่พระท่านทำเป็นกิจของสงฆ์อย่างแน่นอน" |
"อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ทุกคนมีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา รักผู้อื่นเสมอตัวเอง กรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข และอุเบกขา ถ้ายากเกินความสามารถก็ปล่อยวาง
คราวนี้การช่วยคนน้ำท่วมไม่เกินความสามารถ พอที่จะทำได้ ทำได้แค่ไหนก็ทำได้แค่นั้น หลาย ๆ รูป หลาย ๆ แห่งรวม ๆ กันทำ ก็บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนไปได้ส่วนหนึ่ง จะมัวแต่ไปรอรัฐบาลก็ไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาลมัวแต่หาทางว่า ทำอย่างไรตัวเองจะอยู่ให้ได้นานที่สุด แม้กระทั่งเรื่องการช่วยชาวบ้านก็ลืมไปชั่วคราว พระจึงต้องไปช่วย" |
"ประเด็นที่สองคือ ผิดศีลหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าเองบัญญัติว่า ห้ามภิกษุหุงต้มอาหารด้วยตัวเอง ห้ามภิกษุเก็บอาหารเอาไว้เอง ห้ามภิกษุเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ คราวนี้ห้ามหุงต้มด้วยตัวเองเพราะอะไร ? เพราะว่าถ้าหุงต้มด้วยตัวเอง ก็จะทำแต่อาหารที่ตัวเองชอบ แทนที่จะเป็นการละกิเลสก็เป็นการเพิ่มกิเลสไป
ห้ามเก็บอาหารไว้เอง เพราะว่าพระไม่ควรเป็นผู้สะสม แต่เราจะเห็นว่าหลายวัดมีโรงครัว มีคลังพัสดุ มีการเก็บข้าวสารอาหารแห้งไว้ ถามว่าผิดหรือไม่ ? ขอยืนยันว่าไม่ผิด เพราะว่าผู้เก็บไม่ใช่พระ แต่เป็นเด็กวัดหรือแม่ชี ห้ามเก็บอาหารไว้ภายในที่อยู่ของตน เพราะกลัวว่าจะแอบไปฉันนอกเวลา หรือว่าเลือกอาหารที่ตัวเองชอบเก็บเอาไว้ แล้วฉันสนองกิเลสของตัวเอง คราวนี้สิ่งนี้ที่พระองค์ท่านห้าม ก็ยังมีการอนุญาตให้ในบางวาระ อย่างเช่นว่าเกิดทุพภิกขภัย เวลาข้าวยากหมากแพง หาอาหารได้ยาก ถ้าหากว่าไม่มีเก็บเอาไว้บ้าง ถึงเวลาไปบิณฑบาตไม่ได้ แล้วจะฉันอะไร แต่พระองค์ท่านก็ยกเลิกข้อห้ามนี้เวลามีความอุดมสมบูรณ์ คราวนี้เรามาดูว่าเวลาน้ำท่วมถือว่าเป็นวาระที่ไม่ปกติ เหมือนกับเวลาข้าวยากหมากแพงที่ไม่ใช่วาระปกติ ถ้าดูตามข้ออ้างในมหาปเทส ๔ พระพุทธเจ้าให้ไว้เพื่อตีความพระธรรมวินัยว่า สิ่งที่ไม่สมควร ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ก็แปลว่าพระไม่ควรทำอาหารด้วยตัวเอง แต่ถ้าในวาระที่ไม่ปกติ อย่างเช่นว่า ข้าวยากหมากแพง น้ำท่วม ไฟไหม้ ถ้ามัวแต่ไปพึ่งญาติโยมก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ก็ต้องทำเอง สิ่งที่ไม่สมควรเพราะว่าขัดกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ถ้าอย่างนี้ก็ถือได้ว่าไม่ผิดศีล" |
"การตีความพระธรรมวินัยตามหลักที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ก็ยังสามารถที่จะตีความได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูก ศีลไม่ขาด และประการที่สุดท้าย พระท่านทำอาหารไปแจกโยม ไม่ได้ทำฉันเอง เพราะฉะนั้น...จึงไม่ผิดเลย ที่พระองค์ท่านห้ามก็คือห้ามทำฉันเอง เพราะกลัวว่าท่านที่มีฝีมือ จะเลือกทำแต่อาหารที่มีรสชาติถูกปากถูกกิเลสตัวเอง
ถ้ามีใครเขาถามปัญหาพวกนี้ ชี้แจงเขาให้ชัดเจนด้วยว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นกิจของสงฆ์ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ผิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าสอนเราให้ ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระองค์ท่าน มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ถ้าเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเหลือ นั่นต่างหากที่ทำไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ก็คือไม่ถูกทั้งทางโลกและไม่ถูกทั้งทางธรรม สมัยนี้คนที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระมีมาก พอถึงเวลาก็มักจะคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ อาตมาขอถามคืนประโยคเดียวว่า ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ก็แปลว่าเป็นหน้าที่ของคุณ แล้วคุณได้ทำอะไรช่วยเหลือเขาบ้างแล้วหรือยัง ?" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดในประเทศจีน ในเวียดนาม ในฮ่องกง ในสิงคโปร์ ในมาเลเซีย เท่าที่พบมา ทุกวัดทางออกจะอยู่ตรงร้านขายของที่ระลึก ต้องบอกว่าเป็นเส้นทางบังคับเลย ก็คือทางเข้ากับทางออกเป็นคนละจุดกัน ทางออกต้องผ่านร้านขายของที่ระลึกเสมอ แม้กระทั่งการก็ไปไหว้พระขอพรต่าง ๆ ของทุกอย่างต้องจ่ายสตางค์ซื้อทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่าของเขาพยายามที่จะเอาเงินในทุกวิถีทาง
ส่วนของไทยเราส่วนใหญ่วัดจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความศรัทธาของญาติโยม ให้ควักกระเป๋าบริจาคกันเอง" |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เลิกชั่วแล้วทุกอย่างจะดีเอง เคราะห์กรรมทุกอย่างมาจากการกระทำของเราก็คือกรรมเก่า เพราะฉะนั้น...อะไรเกิดขึ้นก็ทำใจรับได้ก็รับไป อาตมาเองระยะนี้ตาอักเสบตลอด เกิดจากเป็นต้อหิน ไปหาหมอแล้วคุณหมอบอกว่า “ไม่ต้องเสียเวลารักษาหรอกครับ อย่างไรก็บอดแน่นอน” ก็เลยปล่อยให้เป็นไปเอง เพราะว่าเราทำเอาไว้เราถึงได้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำเอาไว้เราก็จะไม่เป็นอย่างนี้ ผลงานของตัวเองก็จงรับไปแต่โดยดี ถ้าเราดิ้นรนจิตใจก็จะเป็นทุกข์ คุณหมอบอกว่า “ผมบอกตรง ๆ แบบนี้อย่าเครียดนะครับ” ก็ได้แต่ถอนใจว่า ดีที่คุณหมอบอกอาตมา ถ้าบอกคนอื่นป่านนี้เขาเครียดหัวหงอกไปแล้ว ไปบอกเขาได้ว่าตาบอดแน่นอน ไม่ต้องเสียเวลารักษา หมอช่างมีจิตวิทยาดีเหลือเกิน ตรงไปตรงมาจนน่าตื้บ...! ถ้าตามที่หมอของโรงพยาบาลรัตนินบอก ว่ารักษาไม่หายหรอกเพราะต้อหินกินประสาทตา ก็ได้แต่รอวันที่หมดไป ระยะนี้ก็เห็นบ้างไม่เห็นบ้างสลับกันไปสลับกันมา เป็นทั้งสองข้าง แต่ไปหนักอยู่ข้างหนึ่ง แล้วหนักไปข้างที่ถนัดเสียด้วย มองไม่เห็นภาระก็ลดไปเยอะ ยังขำ ๆ ตอนที่ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าจะแก้ไขได้ไหม ? ท่านบอกว่าข้าก็ไม่ได้ดีกว่าแกหรอก เล่นเขาเอาไว้เยอะพอกันนั่นแหละ เหมือนกับว่าเราทำเองเราก็ต้องรับ ผลงานออกมาเฮงซวยห่วยแตกอย่างไรก็ต้องรับ ยถากัมมุตาญาณมีประโยชน์ตรงนี้แหละ เห็นว่าเราเล่นเขาไว้เยอะ ถึงเวลาเราใช้คืนแค่หน่อยเดียว แต่หน่อยเดียวนี่สำหรับคนอื่นก็เยอะอยู่นะ |
พระอาจารย์สนทนากับพระลูกศิษย์ "ปีนี้หนักจริง ๆ เมื่อครู่เพิ่งจะพูดเรื่องที่เขามาเถียงกันว่า พระไปช่วยโยมถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า ? ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่ ? อธิบายไปชัดเจนแล้วว่าเป็นกิจของสงฆ์เลย พระพุทธเจ้าท่านสั่งเอาไว้ชัดว่า พหุชน หิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย ปฏิบัติในพรหมวิหารแล้วมานั่งดูชาวบ้านเขาเดือดร้อนก็ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม
ที่ห้ามทำอาหารด้วยตนเองนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระทำเพื่อฉันเอง ไม่ได้ห้ามทำให้คนอื่น เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วโยมก็ไม่ชัดเจน เขาก็จับมาโยงกันมั่วไปหมด วันก่อนมีโยมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย เป็นแผนกสื่อสาร ไปทำบุญด้วย เอายาไปถวายเป็น ๑๐ กล่องเลย จึงบอกว่าพระไม่ได้ใช้อย่างเดียวนะ เพราะว่าของเรานอกจากแจกเพื่อนพระวัดต่าง ๆ แล้ว พวกหน่วยทหารตำรวจ และหน่วยตำรวจตระเวนชายแดน หรือหน่วยป่าไม้เราก็แจกเขาด้วย เด็กนักเรียนเราก็แจกด้วย เพราะฉะนั้น...สิ่งที่โยมถวายมาได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เขาก็สงสัยว่าพระก็ทำบุญด้วยหรือ ? พระนั่นแหละต้องทำบุญ" |
"พวกเราถ้ามีใครชี้แจงได้ชัดเจนแล้ว เราต้องเอาไปเผยแพร่ต่อ ไม่อย่างนั้นแล้วกลายเป็นว่าเขาตีเราอยู่ฝ่ายเดียว แล้วตีผิด ๆ ด้วย แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้ความจริงก็คิดว่าใช่
ไม่เป็นไร...เดี๋ยวเขาถอดเทปเสร็จแล้วค่อยเอาไปแชร์ก็แล้วกัน ผมแจงไปทุกประเด็นแล้ว ไม่ว่าจะทางโลก ไม่ว่าจะทางธรรม จะตะแคงข้างหรือจะตรง ไม่ผิดทั้งนั้นแหละ ตะแคงข้างก็อ้างมหาปเทส ๔ ได้ พระพุทธเจ้าอนุญาตเวลาที่มีทุพภิกขภัย หุงต้มเองได้ เก็บไว้เองได้ เก็บไว้ในที่อยู่ได้ คำว่า ทุพภิกขภัย ก็คือ เหตุการณ์ที่นาน ๆ เกิดที ก็เหมือนกับพวกอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย อะไรพวกนั้น ก็แปลว่าในวาระที่ไม่ปกติ พระสามารถทำอาหารเองได้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเพราะท่านห้ามเอาไว้ แต่ถ้าหากพิจารณาแล้วว่าสมควรสิ่งนั้นก็สมควร ถ้าเราจะตะแคงข้างก็อ้างมหาปเทส ๔ แต่ถ้าไม่ตะแคงข้างไปก็คือ ท่านห้ามทำฉันเองเพราะกลัวติดรส แล้วที่ทำให้ญาติโยมเกี่ยวอะไรกันด้วยเล่า ?" |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่มีประโยชน์เพราะว่าพระเรามีสมณสารูปบังคับอยู่ จะไปเถียงกันแบบชาวบ้านร้านตลาดไม่ได้ ถ้าเถียงกันก็อยู่ในลักษณะของตรรกะวิภาษหรือธรรมสากัจฉา เพราะฉะนั้น...แค่ชี้แจงเขาให้ชัดเจนก็จบแล้ว ภาพที่พระไปทำความดีเหล่านี้เขาไม่ค่อยแชร์กันหรอก แต่ภาพชั่ว ๆ นี่ แหม...แชร์กันกระจาย แชร์กันเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แต่ทำความดีเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งไม่รู้ว่าเขาจะแชร์ให้สักครั้งหรือเปล่า ? |
ท่านอาจารย์เปี๊ยก วัดโป่งโก มีหน่วยกู้ภัยอยู่ในวัด เมื่อคราวน้ำท่วมด่านมะขามเตี้ย โยมสองแม่ลูกติดอยู่กลางน้ำ บ้านเป็นทางน้ำไหล พวกกู้ภัยถอดใจกันหมดแล้ว ท่านอาจารย์เปี๊ยกเอาเชือกผูกเอวว่ายข้ามไปช่วย แล้วให้โยมขี่หลังข้ามมา คนก็ถามว่าพระแบกผู้หญิงได้ด้วยหรือ ? ท่านอาจารย์เปี๊ยกบอกว่า "คนกำลังจะตายห่...กูไม่คิดหรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กูช่วยเอาไว้ก่อน"
แบบเดียวกับในนิทานเซ็นที่เล่าว่า พระเดินไปเจอผู้หญิงกำลังยืนลังเลอยู่ เพราะว่าชุดกิโมโนของผู้หญิงยาวลากพื้น จะเดินข้ามแอ่งน้ำก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเลอะ พระท่านก็อุ้มเดินข้ามมาเลย พอพ้นแอ่งน้ำก็วางลงแล้วก็ไปต่อ พระที่ไปด้วยกันทนไม่ได้ กลับถึงวัดแล้วก็บ่นว่า "ท่านไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร ?" พระที่ท่านอุ้มผู้หญิงข้ามน้ำตอบว่า “อ้าว...คุณยังแบกอยู่อีกหรือ ? ผมวางตั้งแต่ข้ามน้ำเสร็จแล้ว” โอ้โฮ...แสบมากเลย คุณแบกกลับมายังวัดเลยหรือ ? ผมวางตั้งแต่ข้ามน้ำเสร็จแล้ว |
ศาสนาอื่นเขาเจตนาจะเล่นงานให้พระพุทธศาสนาหมดกำลัง เพื่อที่จะได้ยึดครองแทน แล้วพวกที่เป็นแนวร่วมแบบโง่ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรนี่เยอะมากเลย
|
"น้ำท่วมครั้งนี้ก็จะเห็นว่ารัฐบาลขยับตัวช้ามาก จนป่านนี้ยังไม่มีความช่วยเหลืออะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เราไปดูว่าบรรดานักการเมืองที่เขาเรียกว่านักเลือกตั้ง ประเภทที่หาความดีไม่ได้ในสายตาของเขา จนต้องเอาคนดีมาครองประเทศจนเละเทะกันอยู่ทุกวันนี้
นักการเมืองของเราเวลาชาวบ้านเดือดร้อนเมื่อไรต้องลงไปช่วย เพราะว่าเป็นฐานเสียงของเขา คราวนี้นักการเมืองของเราไม่เหลือแล้ว เหลือแต่คนดีที่ขึ้นมาครองประเทศชาติ ก็นั่งดูพวกเราจมน้ำกันต่อไป พวกเรื่องแบบนี้คนดีเขาไม่ทำกัน...ใช่ไหม ?" |
ถาม : (เรื่องสายตา)
ตอบ : ผมไม่ได้หนักใจหรอก ก็คือรักษาตามหน้าที่ ถ้าหายก็ทำงานต่อ ถ้าไม่หายก็ทำเท่าที่ทำได้ แล้วงานชิ้นสุดท้ายที่คิดจะทำก็จะจบลงปีหน้านี้ สายตาก็พลอยแย่ไปด้วยเลย เพราะว่าบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน เซ็นสัญญาการทำงานเอาไว้ปีหนึ่ง จะเสร็จประมาณต้นเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๖๑ |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่เป็น...ถามว่าผิดศีลไหม ? ไม่ผิด...ก็เลยไม่มีบาป เพียงแต่ว่าในส่วนของธรรมะยังพร่องอยู่ เพราะว่าขาดพรหมวิหาร ก็คือไม่มีเมตตากรุณา เห็นเขาอยู่ในอันตรายก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือ แปลว่าในเรื่องของศีลไม่ผิด ไม่ได้มีบาปมีกรรมอะไร แต่ในเรื่องของหลักธรรมแล้วยังพร่องอยู่ |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน การเงินไม่ดีเกิดจากบริหารไม่เป็น เขาเรียกว่าใช้เงินไม่คิดเสียส่วนมาก |
ถาม : ธาตุรู้คืออะไรคะ ?
ตอบ : ธาตุรู้ก็คือจิตดั้งเดิมของเรา ถาม : จิตมีสภาพจำหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ได้จำเฉย ๆ ต้องรู้ก่อนถึงจะจำ ถาม : ต่างกันอย่างไรคะ ? ตอบ : ต่างกัน...เพราะจิตเป็นตัวรู้ สมมติว่าความรู้เป็นลูกบอล ตัวรู้ก็คือคนที่จะรับลูกบอลนั้น ต่างกันไหมเล่า ? ประเภทใช้ภาษาแล้วแยกไม่ออก งงกันตายเลย ถาม : แล้วเราจะทำให้ธาตุรู้ขึ้นมาได้ ? ตอบ : ธรรมชาติมีเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าปัญญาเราถึงระดับหนึ่ง สามารถรับรู้ความรู้ในระดับที่สูงขึ้นมา ก็เกิดจะอาการตื่นรู้ รู้เหมือนกับคนลืมตาตื่นแล้วเห็นโลกโว้ย...! เดี๋ยวเตะเลย...ภาษาไทยยังไม่รู้ แล้วดันมาถามของยาก รู้ตามปกติ รู้มากขึ้นกว่าเดิมก็คืออาการตื่นรู้ เพียงแต่ว่ารู้แล้วเอามาใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากว่ายังใช้ไม่ได้ก็เป็นเพียงแค่การรู้เห็น ถ้าหากว่าใช้ได้เมื่อไรก็รู้จริง แล้วรู้เห็นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นแค่มรรค ถ้ารู้จริงจะเป็นผล โอ้โฮ...แยกแยะไปไกลเลย ถาม : รู้จริงเอามาใช้งานได้ รู้ไม่จริงก็ยังใช้งานไม่ได้ ? ตอบ : รู้ไม่จริงก็แค่ประเภทเห็นสมบัติอยู่ตรงหน้า รู้จริงจะเอามาเป็นสมบัติของเราเอง |
ถาม : เรามีกรรม เช่น เราจะประสบอุบัติเหตุ กุมารมาช่วยเรา การที่เรารอดมาได้ ?
ตอบ : ก็รอดแค่ตรงนั้น ถ้าพ้นวาระไปก็รอด ถ้ายังไม่พ้นวาระก็รอจังหวะต่อไป เพราะว่ากรรมนั้นมีวาระ มีระยะเวลาของตัวเองอยู่ สมมติว่าภายใน ๗ วันนี้ ถ้ากุมารสามารถป้องกันได้ตลอด ๗ วันก็พ้นไป เขาก็ต้องไปรอสนองรอบใหม่ ถาม : มีเลื่อนวาระไปได้ไหมคะ ? ตอบ : ถ้ากรรมดีกรรมชั่วมีสูงมากก็เลื่อนวาระ ถ้ากรรมดีสูงก็เลื่อนช้าลง ถ้ากรรมชั่วสูงก็เลื่อนเร็วขึ้น |
พระมาเบิกค่าเรียน "อาตมานั่งรับสังฆทานเป็นวัน มาถึงเบิกจนเกลี้ยงเลย เข้าเนื้ออีกต่างหาก ตอนช่วงนี้เฉพาะค่าใช้จ่ายของพระนักเรียนเดือนหนึ่งประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นวัดอื่นมีรายจ่ายเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทก็ตายแล้ว แต่ของวัดท่าขนุนนี่แค่ค่าเรียนนะ ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็เป็นล้าน พระเณร ๔๐ กว่า ๕๐ รูป เรียนไปเกินครึ่ง"
|
ถาม : ไปเป็นกรรมการ เจอทั้งนักการเมือง เจอทั้งใต้โต๊ะ ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอ ไปสนใจอย่างอื่นทำไม ? ใครให้เงินก็รับ ใครให้สัญญาก็รับ แต่ตูจะทำหน้าที่ของตู...จบ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอาข้าวสารอาหารแห้งมาถวายอย่างกับวัดท่าขนุนโดนน้ำท่วมไปแล้ว ยังไม่ท่วม ต่อให้เขาบอกว่าน้ำท่วมทองผาภูมิ วัดท่าขนุนก็ท่วมไม่ได้หรอก ที่เคยมีข่าวน้ำท่วมทองผาภูมินั้น เป็นแค่น้ำป่าหลากชั่วคราว ไม่ถึงชั่วโมงก็ลดตามปกติแล้ว ถ้าน้ำท่วมทองผาภูมิแปลว่ากรุงเทพฯ ต้องอยู่ใต้ทะเลไปครึ่งกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย เพราะทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ ๖๐๐ กว่าเมตร ถึงเวลานั้นก็คงต้องใช้เรือดำน้ำมารับสังฆทานที่นี่...!
อาตมาได้ยินโฆษกรัฐบาลพูดทีไรก็สงสัย เขาเห็นว่าชาวบ้านโง่มากใช่ไหม ? เขาบอกว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนมาก ไม่ใช่น้ำท่วมแบบปี ๒๕๕๔ ที่เกิดจากงานบริหารผิดพลาด ก็ต้องเกิดจากบริหารผิดพลาดนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นน้ำจะท่วมได้อย่างไร ? เรื่องของระบบการจัดการน้ำ ต้องมีวางแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว มีแผนการว่าถ้าน้ำมากจะจัดการอย่างไร น้ำน้อยจะจัดการอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยตามเวรตามกรรม แล้วก็มาบอกว่าฝนตกมากแก้ไขไม่ได้ แต่ไม่ใช่เกิดจากการบริหารผิดพลาดแบบปี ๒๕๕๔ ฟังแล้วประเภทนี้ ถ้าเป็นฆราวาสด้วยกันอาตมาจะไม่คบเลย เพราะถือว่าเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น" |
"โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ของเรา จะช้าจะเร็วน้ำก็ท่วมแน่นอน เพราะว่าตอนนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางมากแล้ว ก็แปลว่าน้ำมีโอกาสท่วมได้ทุกวัน เนื่องจากว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นดินตะกอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์มาก ประกอบกับฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล แต่คราวนี้พื้นที่ตั้งแต่สมัยโบราณบรรพบุรุษของเราเอาไว้ปลูกข้าว เป็นแหล่งอาหารของประเทศ เรากลับเอามาสร้างตึกแทน น้ำหนักตึกที่กดลงไปทุกวัน ดินก็ยุบลงไปทุกวัน
ยิ่งสมัยก่อนมีการขุดน้ำบาดาลมาใช้กันแบบไม่บันยะบันยัง เมื่อน้ำบาดาลหมดไปสภาพดินก็ยิ่งทรุดตัวได้ง่าย เพราะว่าไม่มีน้ำรองรับ ถ้าใครอยากจะมีบ้านในกรุงเทพฯ ก็หาคอนโดมีเนียมสัก ๑๐ ชั้นแล้วก็อยู่ชั้นบนสุด อย่างไรก็ปลอดภัยหน่อย ถึงเวลาน้ำท่วมฉับพลันอย่างน้อยก็มีเรือมารับได้...! ถ้าอยู่ชั้นล่าง ๆ อาจจะหายไปใต้น้ำเลย อาตมาเคยพูดตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ ตอนน้ำท่วมหนัก ๆ ว่า โครงการบ้านจัดสรรสมัยนี้ควรที่จะคิดสร้างบ้านลอยน้ำได้แล้ว ทำบ้านเรือนแพ ก็คือมีลูกทุ่นช่วยในการลอยตัวได้ แล้วก็แค่ปักเสาสี่มุม ติดโซ่เอาห่วงคล้องไว้ ถ้าน้ำสูงก็ลอยตามน้ำขึ้นไป โฆษณาได้เต็มปากเต็มคำว่า "หมู่บ้านปลอดน้ำท่วม ซื้อบ้านแถมเรือ" คาดว่ายังหากินได้อีกเยอะ" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.