![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่ากิเลสไม่เคยหย่อนมือให้กับเรา รักจะรบกับกิเลสต้องเอาจริง ไปทำเป็นเล่น ๆ เดี๋ยวโดนตีตาย พวกเราพออยู่ไประยะหนึ่งแล้วทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก ทำตัวเหมือนคนมีเวลามากก็ประมาทเกินไป มีโอกาสต้องรีบบี้กิเลสให้ตายคามือไปเลย ไม่ใช่ปล่อยแล้วปล่อยอีก เขาเรียกว่าเมตตาผิดประเภท
เมตตาคน เมตตาสัตว์ เมตตาอะไรก็ได้ แต่อย่าไปเมตตากิเลส ทำตัวเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ทุ่มเทให้เต็มที่ ถึงไม่สำเร็จเราก็ตอบตัวเองได้ ว่าได้ลงมือทำเต็มที่แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาพุทธของเรา นอกจากคำสอนที่อยู่ในลักษณะของการรักสงบ ปลีกตัวออกจากหมู่ ไม่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่นแล้ว ยังอยู่ในลักษณะที่พอนาน ๆ ไปเหมือนกับน้ำเน่า ก็คือนิ่ง ไม่มีอะไรที่อยู่ในลักษณะของการรุกคืบเพื่อชิงมวลชนเหมือนกับศาสนาอื่น ก็เลยทำให้ศาสนาของเราอยู่ลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด
แม้กระทั่งการสงเคราะห์มวลชนก็คืออยู่ในวัด รอคนมาหา ก็เลยสู้ศาสนาอื่นเขาไม่ได้ อย่างศาสนาคริสต์เขาส่งบาทหลวงไปทั่วโลก ส่งพวกสามเณรฝึกหัดออกไปเพื่อเผยแผ่ศาสนากันอย่างชนิดทุ่มเท ผมเคยเจอเขามาเมืองไทย เด็กหนุ่ม ๆ อายุไม่ถึง ๒๐ ปี พูดไทยได้ ร้องเพลงไทยได้ จะชัดไม่ชัดก็ช่างเถอะ ถามเขาว่าฝึกภาษาไทยนานไหม ? เขาบอกว่า ๓ เดือน แค่ ๓ เดือนเขาเผยแผ่ศาสนาได้แล้ว ของเขาส่งไปทั่วโลกเลย บ้านเรานี่ส่วนมากรออยู่แต่ในวัด ถ้าโยมไม่เข้าวัดโอกาสที่จะได้มวลชนก็ไม่มี ส่วนศาสนาอิสลามหนักกว่านั้นอีก ศาสนาอิสลามเป็นนักเผยแผ่ทุกครอบครัว คนเป็นพ่อเป็นแม่อบรมลูกอยู่ในครอบครัว แล้วทุกคนก็กลายเป็นผู้ควบคุมในสังคมนั้น ๆ ว่ามีผู้ใดทำผิดหลักศาสนาบ้าง ถ้าทำผิดหลักก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ นอกจากอบรมในครอบครัวแล้ว สังคมภายนอกยังมีการตรวจสอบที่เข้มข้นมาก คนที่ทำผิดหลักศาสนาไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมในสังคมได้เลย แต่ศาสนาพุทธของเราไม่มีตรงนี้" |
"อย่างของอาตมามาที่นี่ ก็ถือว่าเป็นการเผยแผ่เชิงรุกอย่างหนึ่ง ก็คือเราออกจากวัดมา ลักษณะเดียวกันกับไปบรรยายตามสถานที่ราชการ หรือพวกหน่วยงานเอกชนต่าง ๆ ก็คือลักษณะของการรุกคืบเข้าไปหามวลชน การทำงานศึกษาสงเคราะห์ ให้ทุนนักเรียน การทำงานสาธารณสงเคราะห์ เอาของไปแจก ก็คือการรุกคืบเข้าไปหามวลชน ให้เขารู้ว่าศาสนาของเรายังพึ่งได้
แต่ก็ทำกันในหมู่น้อยมาก พระสงฆ์ทั่วประเทศ ๒๐๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ รูป มีทำงานอย่างนี้ถึง ๑๐,๐๐๐ รูปไหม ? ไม่น่าจะถึงกระมัง ? หรือถ้าท่านทำก็ลักษณะเดียวกัน คือไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จึงรู้กันในวงแคบ กลายเป็นว่า คนทำดีไม่มีคนเห็น แต่พอทำผิดหน่อยสารพัดสื่อช่วยกันใส่ การทำผิดน้อยกลายเป็นผิดมาก แต่ทำดีมากกลับไม่มีใครเห็น แบบนี้ศาสนาเราถึงได้ไปยาก หนังสือ (พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด) ที่เขาทำมา ลักษณะของบุคคลที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน ก็คือว่าเราต้องยึดฐานมวลชน แล้วก็ปลุกระดมความคิดของคน ให้หันกลับมายึดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเอาพวกที่เรียนจบสูง ๆ มา อาตมาก็ยืนยันได้เต็มปากเต็มคำว่า ตูเรียนจบปริญญาเอก ทฤษฎีฝรั่งไม่ได้หนีไปจากพระพุทธเจ้าเลย ถ้าไม่ใช่นักปราชญ์ที่มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกัน ก็กลายเป็นว่าเขาลอกแบบศาสนาพุทธไปดื้อ ๆ แต่ไปตั้งเป็นทฤษฎีของตัวเอง แล้วเราก็ไปเลื่อมใสนักหนาว่าเป็นของฝรั่ง เป็นของผู้ที่เจริญแล้ว แต่สิ่งที่ดีที่สุดของพระพุทธเจ้า คนกลับทอดทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย" |
"ตอนที่สอบ QE ของปริญญาเอก มีหมวดหนึ่งคือหมวดการประยุกต์ใช้ ชอบใจข้อสอบนั้นมาก ข้อเดียวให้เวลาเขียน ๓ ชั่วโมง เขาบอกว่าจงอธิบายอิทธิบาท ๔ ประยุกต์ให้เข้ากับหลักการบริหาร ๑๗ ข้อของ McCarthy แล้วโยงให้เข้ากับสัมมัปปธาน ๔ เจ้าประคุณเอ๋ย...! ๑๗ คูณ ๔ ล่อเข้าไปเท่าไรแล้ว เป็น ๖๘ แล้วคูณอีก ๔ ยังไม่ทันจะเขียนเลย ๒๐๐ กว่าบรรทัดแล้ว...!
เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมข้อสอบข้อเดียวให้เวลา ๓ ชั่วโมงแล้วเขียนกันไม่เสร็จ ที่ทำเสร็จภายในเวลามีคนเดียวคืออาตมาเอง นอกนั้นขอรอลอก เขียนไปหน้าหนึ่งก็เอากล้องถ่าย แล้วก็ไปนั่งลอก อาตมาต้องกำชับว่า “เฮ้ย...ให้รู้จักสลับข้อบ้างนะ ไม่อย่างนั้นจะพากูเดี้ยงไปด้วย...!” บางคนก็เร่งกันจัง “เร็ว ๆ หน่อยเดี๋ยวลอกไม่ทัน” อีกคนก็นั่งกระดิกตีนซดกาแฟ “เฮ้ย...ให้รู้จักมารยาทในการลอกบ้าง ต้องให้คนทำเขาเขียนเสร็จก่อนถึงจะลอกได้” แหม...หลักการดีมากเลยนะ แต่ทั้งหมดมึงก็ลอกกูนั่นแหละ...!" |
"สรุปก็คือเอาบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษา มายืนยันว่าทฤษฎีฝรั่งไม่มีอะไรดีจริง ทุกอย่างมีในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และของพระพุทธเจ้านั้น รอบคอบ รอบด้าน ไม่มีอะไรผิดพลาด ขณะที่ทฤษฎีของฝรั่งยังเป็นแค่ทฤษฎี
อย่าลืมว่าทฤษฎีก็คือ กฎเกณฑ์กติกาที่คนตั้งขึ้นมาอย่างมีหลักการและเป็นที่ยอมรับในขณะนั้น แต่ถ้ามีคนค้านได้เมื่อไร ทฤษฎีของคุณก็จะสลายตัว ถึงเวลาก็ไปใช้ทฤษฎีใหม่ของคนที่ค้าน เพราะฉะนั้น...ของฝรั่งจึงเป็นได้แค่ทฤษฎี ก็คือหาความสมบูรณ์แท้จริงไม่ได้ อยู่ในลักษณะการทดลองใช้ แต่ของพระพุทธเจ้าท่านอยู่ลักษณะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง คัดค้านไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้กล่าวว่า พระองค์ท่านประกอบไปด้วยเวสารัชชกรณธรรม ๔ ประการ เช่น พระองค์ท่านปฏิญาณตนว่าบรรลุอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ไม่มีใครคัดค้านได้" |
"พวกเราไม่สามารถที่จะออกมาได้ ก็ช่วยกันเป็นกองหนุน ซื้อหนังสือทีละเล่ม ๒ เล่ม ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรก็รวม ๆ ไว้เยอะ ๆ เอามาทำหมอนหนุนก็ยังดี แต่ถ้าอ่านแล้วจะเห็นว่าน่ากลัวมาก ศาสนาอื่นเขารุกคืบทุกวิถีทาง ต้องบอกว่าอาตมาเคยได้รับเชิญเข้าไปประชุมผู้นำ ๕ ศาสนา มีพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ตัวแทนของแต่ละศาสนาที่ส่งขึ้นเวที ไปในระดับนานาชาติได้เลย ออกเวทีสากลได้ไม่อายใคร แต่ตัวแทนศาสนาพุทธดูจ๋อย ๆ จ๋อง ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากว่าท่านมีสมณศักดิ์สูงที่สุดในกลุ่ม ก็เลยต้องให้ท่านขึ้นไป ขึ้นไปแล้วอยู่ในลักษณะไปให้เขาต้อน อาตมาก็นั่งเซ็งอยู่ข้างล่าง ไปให้เขาต้อนแล้วเราก็ได้แต่นั่งดู ทำอะไรไม่ได้
แม้กระทั่งศาสนาซิกข์ที่มีศาสนิกชนน้อยที่สุดในประเทศไทย ตัวแทนของเขาก็เฉียบคมมาก มุมมองทุกอย่างต้องบอกว่ามองเกมขาดในทุกมุม ไม่ต้องไปพูดถึงอิสลามหรือว่าคริสต์ เพราะว่าพวกนั้นเขาไม่ใช่ระดับยอดฝีมือก็ไม่มีโอกาสได้เป็นตัวแทนอยู่แล้ว แต่ของศาสนาพุทธเรามักจะอยู่ในลักษณะเห็นแก่หน้ากัน ในเมื่อเห็นแก่หน้ากัน ท่านอาวุโสมากกว่าท่านก็ขึ้นไป โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าท่านผู้อาวุโสกว่านั้น บางทีท่านก็ไม่รู้อะไร ขึ้นไปก็ไปให้เขาเชือดดี ๆ นี่เอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราปฏิบัติธรรมได้ก็ปล่อยที่รั่วไหลกันหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไหลตามกิเลสไปหมด ทำอย่างไรที่จะเห็นรูปแค่เป็นรูป โดยไม่ไปปรุงแต่งว่าเป็นหญิงเป็นชาย ชอบหรือไม่ชอบ เพราะว่าการปรุงแต่งเกิดโทษทั้งนั้น ชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส หยุดไว้อย่าให้เข้ามาในใจ แค่ขั้นต้นทำได้ไหม ? ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะสู้กิเลสได้
ส่วนใหญ่พวกเรามักจะคิด คิดเก่งมาก ไม่ใช่คิดมาก คิดคนเดียว คิดคนเดียวจะเรียกว่าคิดมากไม่ได้หรอก ไม่เป็นพหูพจน์...ใช่ไหม ? คนเดียวเป็นได้แค่เอกพจน์ ในเมื่อคิด ดันคิดดีกว่าที่เขาทำอีก บางทีเขาทำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หยิบของส่งให้บังเอิญหลุดมือวางแรงไปหน่อย ก็ไปหาว่าเขากระแทกของใส่หน้า ไปยันโน่นเลย นั่นแหละคือการคิดปรุงแต่ง เราคิดไปเมื่อไรก็ก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเราทั้งนั้น อย่าปล่อยให้กำลังที่สะสมได้รั่วหมด พอเรารั่วหมดก็ไปยินดียินร้ายกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เกิดขึ้น กำลังก็ไม่พอที่จะต่อต้านกิเลสสักที" |
"กิเลสก็เก่งโคตรเลย หลอกให้เรารั่วได้ตลอด ถึงต้องสร้างสติและปัญญา การที่จะสร้างสติและปัญญา สิ่งที่ทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก อานาปานสติ สติที่ใฝ่ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้าสติมั่นคงแน่วนิ่งอยู่ตรงหน้า สภาพจิตราบเรียบสงบลง ปัญญาจะเกิด จะรู้ว่าจะประคองตัวอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากตรงนี้ไปได้ หลังจากนั้นถ้าสะสมกำลังมากพอ ก็รู้ว่าจะจัดการกับกิเลสอย่างไร
แต่ถ้ากำลังยังไม่พอก็หลบ ๆ เสียก่อน สู้ไม่ได้...ตายคาที่ทุกสนามแหละ ตายแล้วตายอีกก็ไม่เคยเข็ด...ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเห็นก็เริ่มมองแล้ว สวยไหมวะ ? หล่อไหมวะ ? ถูกใจไหม ? ปรุงไปเรื่อยเปื่อย ทั้งพระทั้งโยมพอกัน ตูก็นึกว่าจะมีดีกว่ากันบ้าง...! เอาแค่นี้แหละ พูดมากไปก็ลำบาก ทุกวันนี้พระเจ้าที่วัดไม่ค่อยจะมีใครอยากเข้าใกล้อาตมาแล้ว ท่านหาว่าพระอาจารย์ละเมิดลิขสิทธิ์ทางความคิดของท่าน คิดแล้วทำไมต้องพูดออกมาด้วย ? บางท่านก็อุตส่าห์แอบ ๆ ทำโน่นทำนี่ให้พระอาจารย์ มาถึงก็บอก “กูทำเองเป็น ไม่ต้องช่วยหรอก...!” |
"ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปกลัวพระ พระจริง ๆ ท่านไม่ดูว่าใครทำอะไรผิดมาหรอก แต่ดูว่าจะช่วยพวกเราอย่างไร พวกเราส่วนใหญ่แล้วพอทำผิดทำพลาด เสียท่ากิเลสเมื่อไรก็หายหัวไปนาน ไปทำอะไร ? ไปรวบรวมกำลังใจ พอรู้สึกว่าดีหน่อยค่อยมาหาพระ แบบนั้นเรียกว่าสมควรตาย...!
ตอนที่ไม่ดีต้องรีบมาเพื่อที่จะให้พระท่านช่วยเรา ตอนดีแล้วมาทำซากอะไร ?! มาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไร เพราะต้องไปช่วยคนที่แข็งแรงน้อยกว่า คนเดินได้ก็ปล่อยให้เดินไปสิ ตอนหกล้มหกลุกไม่ยักจะตะกายมาให้ช่วย อย่างนี้เขาเรียกว่ากลัวไม่เข้าท่า ทำความดีก็ต้องหน้าด้าน มัวแต่กลัวครูบาอาจารย์อยู่ โบราณเขาว่าอายครูบ่รู้วิชา โดยเฉพาะอายครูทางธรรมนี่บรรลัยเลย ไม่ต้องเข้าถึงธรรมกันสักที ผิดก็ให้รู้ว่าผิด ผิดแล้วแก้ไขไม่มีใครเขาว่าหรอก แต่ถ้าผิดแล้วดักดานอยู่ตลอดเวลาก็ต้องด่ากันบ้าง อาตมาอบรมพระตอนเย็น ๆ จับไมค์ขึ้นมาก็เริ่มมองหน้ากันแล้ว วันนี้ใครจะโดนวะ ? ไม่ได้คิดเลยหรือว่าวันนี้ตัวเองจะโดน ? ด่านี่ไม่ได้ด่าคนอื่นนะ เราต้องดูด้วยตรงนั้น ถ้าหากว่าเป็นจุดผิดพลาดบกพร่องของเรา เราก็แก้ไขไปด้วย ไม่ใช่เที่ยวไปตามหาว่าวันนี้ใครผิด วันนี้ใครโดน ลักษณะนั้นต้องบอกว่าโง่หลายชั้น...!" |
"เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า อาตมาผลักดันจนกระทั่งมโนมยิทธิเข้าไปเป็นตำราเรียนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ แต่เขาไม่ยอมให้อาตมาเขียน เขาเอานักวิชาการของเขามาเขียนเอง แล้วก็ออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ออกมาไม่ใช่มโนมยิทธิของเรา กลายเป็นวิชาตั้งธาตุ นะมะพะทะ ตามความเข้าใจที่เขาหาข้อมูลได้
อีกอย่างหนึ่งตัวมโนมยิทธิของพวกเรา จุดบอดใหญ่ที่สุด ก็คือ เห็นแล้วเชื่อ แบบนี้ตายทุกคน...! เพราะว่าในสิ่งที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง แต่เราเห็นจริง ๆ ในเมื่อเราเห็นเราก็เชื่อเพราะเราเห็น ในเมื่อเราเห็นเราเชื่อ คนอื่นบอกก็ไม่ฟัง อาตมาเคยย้ำนักย้ำหนาว่า เห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็แบกมีดแบกปืนไปช่วยเขา จะโดนเขากระทืบตาย เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่..! เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริงไหม ? ก็จริง แล้วใช่เรื่องจริงไหม ? เขาแค่ปรุงแต่งมาลองใจเราเท่านั้นเอง แล้วเราก็ไปเชื่อหัวทิ่มหัวตำ แล้วก็โดนดึงออกไปนอกลู่นอกทางไปหมด รู้แล้วแทนที่จะละ เพื่อที่จะสิ้นกิเลสไว ๆ กลับรู้แล้วไปยึด ไอ้คนโน้นเป็นผัวกู ไอ้คนนี้เป็นเมียกู ไอ้คนนี้เป็นอย่างนั้น ไอ้คนนั้นเป็นอย่างนี้ ให้สังเกตดูบ้างสิว่า สิ่งที่เรารู้ไม่ได้รู้เพื่อละกิเลสเลย กลายเป็นรู้เพื่อเพิ่มกิเลสทั้งนั้น แต่ก็ดันไปเชื่อเสียอีก" |
"สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ต้องบอกว่าโชคดีที่อยู่ในยุคทองของมโนมยิทธิ ก็คือนอกจากหลวงพ่อท่านจะอยู่เป็นหลักแล้ว บรรดาพี่ ๆ หลายท่านก็ยังมาร่วมวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกเย็น พอทำวัตรค่ำเจริญกรรมฐานเสร็จเรียบร้อย ประมาณทุ่มกว่าถึงสองทุ่มก็มารวมตัวกันที่ใต้หอระฆัง หน้าร้านป้ากิมกี่ ฉันปานะกันบ้าง แล้วก็มาวิเคราะห์กันว่า อารมณ์ใจตอนนี้เป็นอย่างไร ? สิ่งที่เรารู้เห็นมาเป็นอย่างไร ?
ท่านไหนที่มีประสบการณ์มากกว่า หรือมีความชัดเจนกว่าก็เอาความรู้มาแบ่งปันกัน ทำให้เราวิเคราะห์ได้ถูกต้องว่าสิ่งที่เรารู้มานั้นจริงหรือไม่จริง ? ทำให้เราป้องกันความผิดพลาดได้มาก ขณะเดียวกันกำลังใจก็ไปในทางเดียวกัน กลายเป็นช่วยกันผลัก ช่วยกันดันไปในทางที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอไม่มีหลวงตาวัชรชัย ไม่มีอาตมา ไม่มีท่านสมปอง ก็จบเลย ไม่มีใครนำแล้ว เมื่อก่อนเราทดสอบกันทุกวัน ไม่มีหรอกเรื่องที่จะทิ้ง ถึงเวลากรรมฐานเสร็จ โน่น...โดดขึ้นรถอีแต๋น ท่านดุ่ยก็ถาม “หลวงพี่..มีรถไหม ?” “ไม่มี” โอ้โฮ...ท่านแทบจะยกล้อขึ้นถนนเลย ถามว่า “มึงเชื่อกูขนาดนี้เลยหรือ ?” ถ้าพลาดวันไหนก็ตายห่...กันยกคัน..! วันนั้นก็ออกมา “มีรถไหม ?” “มี..!” เบรกตัวโก่งเลย มองซ้ายมองขวาไม่มีไฟสักดวง มาได้อย่างไรวะ ? ไหนบอกว่ามีรถ ยังไม่ทันไรได้ยินเสียงแก๊ก ๆ ๆ ส่องไฟฉายดูเห็นปั่นจักรยานมา เออ...แม่นจริงเหมือนกันนะ เราทดสอบกันอย่างนี้ แล้วถึงเวลาก็มานั่งวิเคราะห์วิจัยกันว่าอะไรผิด อะไรพลาด คุณวางกำลังใจอย่างไร ? ตอนแรกนั้นใช่ พอคุณไป เอ๊ะ...อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็พังทันทีเลย...ใช่ไหม ? ทำให้พวกเรารู้วิธีในการปรับกำลังใจตนเอง" |
"อย่างวันนั้นออกบิณฑบาต เดินกลับมาถึงหน้าวัด ญาติโยมใส่บาตรกันมาก แต่ปรากฏว่ามีสาวไฮโซคนหนึ่ง ใส่น้ำหอมมาฟุ้งเลย อาตมาได้กลิ่นก็กลั้นใจทันที กำหนดใจดูพี่น้องหัวยันท้าย ๑๑ รูป กลั้นใจกันหมดทุกรูป อาตมาก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน เทข้าว ล้างบาตร เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็มานั่งสุมหัวรวมกัน “เฮ้ย...กลั้นใจจริงหรือเปล่าวะ ?” “จริงว่ะ” หลวงตาวัชรชัยก็ “ไอ้ห่..Chanel No.5 ของโปรดกูเลย สู้ไม่ได้แน่ ๆ อยู่แล้ว” ก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ที่เรากลั้นใจนั้นเป็นปัญญาหรือว่าเราหนีกิเลส สรุปว่าเป็นปัญญา รู้ว่าสู้ไม่ได้ให้หลบไว้ก่อน พวกเราลองกันอย่างนี้ทุกวัน
ทุกวันนี้ประเภทเหลือแต่ทีท่าเฉย ๆ ถ้าตั้งใจจะสอบเอาจริงว่าอะไรเป็นอะไรนี่เจ๊งหมด เพราะไม่มีการฝึกไม่มีการหัด พอผ่านเข้าไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ก็เลยหยุดนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่าไปหมด จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่น่าเตะที่สุด ก็คือ คำว่า "อย่ามโนฯ" กลายเป็นการดูถูกวิชามโนมยิทธิของหลวงพ่อวัดท่าซุงชนิดไร้ค่าเลย ก็เพราะความไม่เอาจริงของบรรดาลูกศิษย์อย่างพวกท่านนี่แหละ ทำให้เขาทดสอบไม่ได้ แล้วก็ไปมั่ว ผิด ๆ พลาด ๆ จนกระทั่งบอกว่า "มโนฯ ไปเอง" บ้างอะไรบ้าง ท้ายสุดคำว่า "อย่ามโนฯ" ก็ระบาดไปทั่วเลย น่าตายมาก...! เอาเถอะ...เดี๋ยวพวกท่านกับอาจารย์เต่าไปซ้อมกันเอง ถ้านำรุ่นน้องไม่ได้ก็โดนรุ่นน้องแซง ผมเองเป็นรุ่นน้องที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าชื่อรุ่นพี่เลย อะไรแซงได้ผมแซงหมด ถ้าเรามัวแต่รอกันอยู่ก็หาความก้าวหน้าไม่ได้ ไปได้ให้ไปก่อน ถือคติว่าวางก่อนสบายก่อน" |
"ที่น่าเสียดาย คือ ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรมกันแบบคนมีเวลามาก วันนี้ทำสักนิดหนึ่งพอเป็นกระสายยา พรุ่งนี้เอาอีกสักหน่อยหนึ่ง น่าตายจริง ๆ...! กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง ตลอด ๒๔ ชั่วโมง แล้วพวกเราก็ไปทำหน่อยหนึ่ง จะพอให้รับประทานไหม ? มองไม่เห็นทางชนะเสียด้วยซ้ำไป รู้ตัวก็ปรับปรุงเสียใหม่...!
คำสอนครูบาอาจารย์มีแล้วทั้งเสียง ทั้งหนังสือ ปฏิบัติตามนั้นแหละ อาตมาขอยืนยันในชีวิตนี้อยู่กับหลวงพ่อท่านมา ทั้งเป็นฆราวาสและพระ ๑๘ ปีเต็ม ๆ ปฏิบัติแบบทุ่มเทมา เคยถามปัญหาท่าน ๔ ครั้งเท่านั้น เรื่องของการปฏิบัติถ้าเราตั้งหน้าทำจริง ไม่นานก็จะได้คำตอบเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปถามใคร การถามทำให้ฟุ้งซ่านเสียด้วย เพราะถามเสร็จแล้วก็ไปรอว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างนั้น ? เมื่อไรจะเป็นอย่างนี้ ? อุ๊ย...จะเป็นแล้ว บรรลัยเลย...! ที่อาตมาถามเพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอารมณ์ ไม่แน่ใจ เป็นของที่ไม่เคยเจอมาก่อน ก็เลยต้องถาม ๑๘ ปี ๔ คำถาม เฉลี่ยแล้ว ๔-๕ ปีถามครั้งหนึ่ง แล้วครั้งแรกก็ไม่ได้ถามด้วย ไปชวนทะเลาะกับหลวงพ่อ ไปกล่าวหาว่าท่านเขียนตำราผิด หลวงพ่อท่านบอกว่าปฐมฌานต้องประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ไล่ไปทีละขั้น...ใช่ไหม ? อาตมาเจอเข้าทิ้งงานหมด ขึ้นรถไปวัดท่าซุงเดี๋ยวนั้นเลย ไปถึงบ่ายสองกว่าจะบ่ายสามโมง ขึ้นไปถึง หลวงพ่อถาม “ไอ้หนู...มีอะไรคุยไหม ?” “หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ” ท่านบอก “เฮ้ย...เดี๋ยว...ใจเย็น ๆ มีอะไรว่ามา” กราบเรียนว่า “หลวงพ่อบอกว่า ปฐมฌานมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ เป็นขั้น ๆ ของผมทำไม่เห็นเป็นขั้น ๆ เลย ขึ้นพร้อมกันหมดทีเดียวเลย หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ” ท่านบอกว่า “ไอ้หนู...รู้จักโบราณบอกว่าลัดนิ้วมือเดียวไหม ?” ท่านงอนิ้วแล้วดีดให้ดู ลัดนิ้วมือก็คือดีดนิ้ว ท่านบอกว่า “สำหรับเอ็งน่ะ เห็นแค่ตอนนิ้วงอกับนิ้วตรง แต่คนใจละเอียดเขาเห็นว่าขึ้นทีละนิดโว้ย !” เจ๊งราบ...กราบ ๓ ทีกลับบ้านได้ เดี๋ยวอีก ๔ ปีกว่าค่อยไปให้ด่าใหม่..!" |
"ในเมื่อหนังสือมี เสียงก็มี พวกท่านทำไปเลย ถ้าหากว่าทุ่มเทจริง ๆ อย่างไรเสียต้องได้ผลแน่นอน หลวงพ่อท่านก็บอกแล้วถ้าทำจริง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เลือกเอาว่าจะเอากติกาไหน ต่อให้ไม่ได้ ๗ วัน ๓ เดือนก็ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง นี่ของเราพรรษาแล้วพรรษาเล่า ปีแล้วปีเล่า กี่ครั้ง ๆ มองลงมาก็ยังหมาเหมือนเดิม...!
หลายคนเข้าไปในโลกโซเชียล ตั้ง User Name เสียหรูเลย ลูกพระพุทธเจ้า ลูกวัดท่าซุง โอ้โฮ...มึงไม่อายบ้างเลยหรือวะ ? ความประพฤติสลึงหนึ่งไปตั้งราคาเสียร้อยล้าน ล่าสุดนี้เจอใครนะ ลูกแม่ศรี...ใช่ไหม ? ไม่รู้ว่าแม่ยอมรับหรือยัง แต่ก็ตั้งไปเรียบร้อยแล้ว" |
"อาตมาสร้างพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ทั้งพิพิธภัณฑ์จะมีรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่รูปเดียว เพราะว่าเราอยู่ในที่ไหน เขาเคารพใครต้องเอาท่านนั้นเป็นใหญ่ จะเห็นว่าอาตมาอยู่ทองผาภูมิมา ๒๓ ปีแล้ว เพิ่งจะมีปีนี้ที่กล้ายกรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงขึ้นมาไว้ข้างบน เพราะไม่อยากให้เกิดโทษกับคนอื่นเขา
สถานที่โน้นเขาเคารพหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย ถ้าเราเอาหลวงพ่อวัดท่าซุงไป เจอคนปากเสียหน่อยเดี๋ยวเขาจะซวย ก็เลยจำเป็น จนกระทั่งแนวการปฏิบัติของอาตมาเป็นที่ยอมรับกัน เขารู้ว่าที่อาตมาทำนี่เป็นปฏิปทาหลวงพ่อวัดท่าซุง พอครบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อถึงได้กล้าหล่อรูปท่าน แต่ก็ต้องเอาไว้บนหมู่เรือนไทยด้านบน ก็คืออย่าให้สะดุดหูสะดุดตาข้างล่าง เราขึ้นไปกราบไปไหว้ให้ชื่นใจข้างบน จำไว้ว่าปฏิบัติไปแล้วอย่าให้ กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ถึงแม้จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็เป็นกรรม แล้วถ้าตราบใดที่ยังสร้างกรรมอยู่ ตัวผูกมัดให้เราอยู่กับโลกก็จะมีแต่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำอย่างไรที่เราจะหยุดสร้างกรรมใหม่ แล้วก็พยายามที่จะชำระกรรมเก่า กรรมไม่สามารถที่จะล้างทิ้งกันได้หรอก แต่ถ้าเราสร้างบุญสร้างกุศล สร้างกรรมดีมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม พอเติมนานไป ๆ ความเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่น้ำจืดมากจนไม่รู้ถึงรสเค็มนั้น" |
"เข้าใจหรือยังว่าต่อไปควรจะทำอย่างไร ? อะไรนิดก็ท้ออะไรหน่อยก็ถอย น่าทุบหัวสักที...! เสียเวลาเลี้ยงมาโตจนป่านนี้ รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่รู้ตัวว่าเป็นพาล บุคคลนั้นเป็นบัณฑิต ไม่ใช่รู้ตัวเฉย ๆ รู้แล้วต้องแก้ไขด้วย
สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องสงเคราะห์ญาติโยมทั้งที่เห็นตัวและไม่เห็นตัว ผมก็ต้องใช้วิธีฟังเทปบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ติดขัดตรงไหนแล้วก็ไปถามท่าน เพราะฉะนั้น...ก็อยู่ที่ว่าเราจะเอาดีหรือเปล่า ? ถ้าจะเอาดีก็ทุ่มเททำไป ครูบาอาจารย์ท่านไม่ใช่มาจ้ำจี้จ้ำไชสอนเราทุกอย่าง สิ่งที่ท่านทำให้ดูบางทีมากกว่าที่สอนอีก แต่เราดูไม่เป็น ลอกแบบปฏิปทาไม่เป็น บางคนก็ไปนินทาครูบาอาจารย์อีกว่าไม่เห็นสอนอะไรเลย ทำให้ดูอยู่ทุกวันยังบอกอีกไม่เห็นสอนอะไร ไปนึกถึงที่หลวงปู่ดูลย์สอนเณร สอนให้ถักขาบาตร “เณร...ดูนะ จับไว้อย่างนี้ สอดอย่างนี้ พันอย่างนี้ รอบที่สองทำแบบนี้” เณรก็มัวแต่คิกคัก ๆ คุยกัน ถึงเวลาทำไม่ได้ “หลวงปู่...ทำอย่างไรครับ ?” เงียบ... “หลวงปู่...ตรงนี้ทำอย่างไรครับ ?” เงียบ... พอทำวัตรเย็นเสร็จ “เณร...พรุ่งนี้บิณฑบาตกับหลวงปู่นะ” สามเณรก็...กูจะโดนฟ้าผ่าไหมวะ ? บิณฑบาตกับหลวงปู่ อุตส่าห์ถือบาตรตามไป เดินเข้าไปในหมู่บ้าน บ้านแรก ๆ ข้าวยังไม่เสร็จ ต้องเดินไปจนสุดท้ายหมู่บ้านแล้วค่อยเดินกลับมา ลูกสาวกำลังทำกับข้าวอยู่ตะโกนถาม “แม่ ๆ แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?” แม่ไม่ใช่หลวงปู่นี่ ตะโกนสวนทันที “อีห่..! ถ้ากูตายแล้วมึงจะถามใคร ?” หลวงปู่หันไปมองเณร เณรก้มหน้าดูดินเลย รู้เดี๋ยวนั้นเลยว่าถ้าหลวงปู่ตายแล้วจะถามใคร ? ทำให้ดูแล้วไม่ดู นั่นยิ่งกว่าคำสอนอีก ท่านทำให้ดูแต่ไม่ดูกัน มัวแต่รอท่านสอน คนไหนโง่ก็ปล่อยไป แล้วเห็นหรือยังว่าพระระดับหลวงปู่ รู้กระทั่งว่าแม่จะด่าลูกสาวว่าอย่างไร อุตส่าห์พาเณรไปฟัง จะได้ไม่ต้องด่าเอง..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอแต่ละเล่มของอาตมาไม่ยอมให้สกปรกหรอก ต้องขยันเช็ดถู ถ้าไม่ขยันก็สนิมขึ้นหมด"
ถาม : ใช้น้ำมันหรือคะ ? ตอบ : ปกติถ้าไม่มีอะไรก็ใช้พวกน้ำมันชาตรีหรือสีผึ้งนั่นแหละ แต่ต้องเช็ดให้สะอาดที่สุด ที่ฝรั่งเขาบอกว่า clean and dry คือพอทำความสะอาดแล้วต้องเช็ดให้แห้ง ไม่อย่างนั้นจะขึ้นสนิม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดท่าขนุนจะมีการจัดเวรรับสังฆทาน ต้องไปตามเวร อาตมาเองเป็นคนยุติธรรมมาก ก็คือ ถ้าไม่ถึงเวรของตัวเองก็ไม่ลง แบบเดียวกับการออกกิจนิมนต์ก็เหมือนกัน บางบ้านอาตมาไปถึงเขาดีใจสุดชีวิต เพราะว่าพระอาจารย์มาด้วยตัวเอง อาตมาบอกว่า “อ๋อ...ถึงคิวพอดี” พอไปบ้านโน้นก็บ่น “ผมเตรียมโน่นไว้ให้ เตรียมนี่ไว้ให้ พระอาจารย์ก็ไม่มา” อ้าว...ก็ไม่ใช่คิวเรานี่"
|
มีผู้บูชาพระปิดตาในกระทู้คนมีเงินไป "พระปิดตาวัดทอง พิมพ์ยันต์น่อง เนื้อสัมฤทธิ์เงิน หายากสุด ๆ ส่วนองค์นี้เขาลงรักจีน คุณต้องดูให้เป็น เนื้อโลหะเก่ากับเนื้อรักเก่าจะต่างกันมาก ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู ถ้าเขาส่งราคามาให้ต่ำกว่าล้าน ผมจะนอนให้คุณเหยียบเลย ส่วนใหญ่พวกเราดูของกันไม่เป็น เสียดายของมาก
พระปิดตาวัดทอง ไม่เหมือนกันสักองค์ แม้ว่าแบบใกล้เคียงกันก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าหลวงปู่ทับท่านปั้นด้วยมือทีละองค์ ถ้าเจอสององค์เหมือนกันนี่รับประกันได้เลย ถ้าไม่ปลอมองค์หนึ่ง ก็ปลอมทั้งคู่ เพราะเขาเอาคอมพิวเตอร์ไปถอดแบบมา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนเพิ่งเพิ่มงานให้ตัวเองมาก ต้องเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอมาอีกหนึ่งตำแหน่ง ไม่มีทางให้เลี่ยง มีแต่งานเต็มไปหมด เป็นงานภายในของอำเภอ ทำอย่างไรที่จะผลักดันเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ศิลปะพื้นบ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน หรือว่าพวกอาหารการกิน ฯลฯ ให้เด่นขึ้นมา เพราะว่าตอนช่วงนี้ทำได้อยู่ที่เดียวคือวัดของตัวเอง
การเป็นประธานสภาถึงแม้ว่าจะผลักดันคนอื่นได้ แต่ก็ต้องหางบประมาณให้เขา ถ้าไม่มีงบประมาณสมัยนี้งานไม่ค่อยจะเดินกัน" |
พระอาจารย์พูดถึงวิชาลูกดอกบัว "วิชานี้เขียนไม่ยากหรอก ยากตรงเสก เสกทีไรต้องเปิดตำราทุกที บางบทยาวจำไม่ค่อยได้ อย่างมหาสมัยสูตร ๔๕ นาทีก็ยังสวดไม่จบ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อริมท่านเป็นสุดยอดพระอภิญญาเลย แต่มีคนรู้จักชื่อท่านน้อยมาก พระท่านสร้างเป็นพระกริ่งก็จริง แต่ไม่ใช่พระกริ่งนะ ฟังเข้าใจไหม ? สร้างเป็นรูปแบบพระกริ่งทั้งหมด แต่ไม่มีกริ่ง
เว็บวัดท่าขนุนเคยเอาเรื่องท่านมาลง ชื่อหนังสือเรื่อง "อัศจรรย์โลกใบนี้" ลองไปหาอ่านดู ในนั้นเขาไม่ได้บอกชื่อท่านตรง ๆ เขากลัวว่าคนไปกวนท่าน แต่ถ้าคนที่รู้จัก อ่านแล้วจะรู้เลยว่าเป็นใคร อาตมาบอกให้ลักยิ้มไปติดต่อเจ้าของหนังสือเอามาลง ทำหนังสือขออนุญาตไป แต่ส่วนใหญ่เขาก็ดี ตอนแรกบอกไปว่าจะคิดค่าใช้จ่ายค่าลิขสิทธิ์อย่างไร เราก็พร้อมที่จะจ่าย แต่ส่วนใหญ่เขาก็ให้ฟรี แบบเดียวกับของท่านอาจารย์แสง จันทร์งาม พอสิ้นท่านแล้วลิขสิทธิ์อยู่กับภรรยา ขอไปท่านบอกว่าถวายฟรี เพื่อเอาอานิสงส์อุทิศให้คนตาย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลบางอย่างหายาก อย่างมีดหมอหลวงพ่อเดิมมีลายมือจารที่คุณหญิงจองไป หายากสุด ๆ ของบางอย่างเหมือนกับว่าท่านตั้งใจทำให้ลูกศิษย์บางคน จะมีจารพิเศษให้ แต่บางคนได้ไปก็ไม่รู้คุณค่า บางคนไม่ได้เป็นเจ้าของ ขอดูให้เป็นมงคลแก่สายตาก็ยังดี"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเรียกลูกกีวีว่า ละมุดขนแหม่ม ลูกกีวีจะมีขน ๆ อยู่หน่อยหนึ่ง คราวนี้หน้าตาดูเหมือนละมุดอยู่เหมือนกัน เขาก็เลยเรียกละมุดขนแหม่ม เรียกไปเรียกมาคงจะไม่เข้าท่า ก็เลยเรียกทับศัพท์เป็นลูกกีวี ก็พอ ๆ กับแพ็ทชั่นฟรุตนั่นแหละ มาเปลี่ยนเป็นเสาวรส เออ...ฟังจนติดหูพูดจนติดปากเหมือนกัน"
ถาม : ปลาโอ คนไทยก็เรียกปลาทูน่า แล้วปลาทูมาจากไหนคะ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วคนไทยเรียกปลาอินทรีนะ ปลาทูก็คือปลาอินทรีขนาดจิ๋วนั่นแหละ ทูน่าครีบเงินนี้ถ้าโตเต็มที่หนักตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ กิโลกรัม แต่เดี๋ยวนี้กินปลาก็อันตราย เพราะว่ามีแต่สารโลหะหนัก สรุปแล้วเกิดมาไม่มีอะไรปลอดภัยกับชีวิตเลย ไปพระนิพพานปลอดภัยที่สุด รีบไปกันเถอะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เรื่องการเรียนการสอนของบ้านเรารู้สึกว่าจะเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ วันก่อนเด็ก ๆ เอางานวิจัยของมหาวิทยาลัยเอกชนเล่มหนึ่งมาให้ เพราะว่าเขาเริ่มเรียนระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น อาจารย์แนะนำให้ไปหาวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยเอกชน เอามาย่อลงเหลือแค่ ๖ หน้า แต่ให้ได้ใจความสำคัญครบถ้วน แต่เด็กของเรายังทำไม่เป็น เพราะเพิ่งจะเข้าเรียนปริญญาตรี แล้วเริ่มเรียนระเบียบวิธีวิจัยเท่านั้น
อาตมาเองกว่าจะรู้ว่าวิทยานิพนธ์ว่าทำอย่างไรจริง ๆ ก็จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท ถ้าไม่ได้เรียนต่อก็ไม่ได้ใช้งานอีกเลย ปรากฏว่าดูไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นปล่อยให้จบมาได้อย่างไร เนื่องจากทฤษฎีและงานวิจัยทั้งหมดที่เขาอ้างมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาที่ทำเลย ก็เลยสงสัยว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาได้ดูงานบ้างหรือเปล่า ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผลการศึกษาของบ้านเรา ถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดรั้งท้ายอาเซียน คราวนี้เขาก็มาเร่งหวดพวกอาตมากันปางตาย เมื่ออาทิตย์ก่อนมีคณะกรรมการไปตรวจสอบ ก็มีตรวจสอบทั้งสถานที่ หลักสูตร อาจารย์ ผู้เรียน ศิษย์เก่า ศิษย์ใหม่ เรียกมาสัมภาษณ์หมดเลย" |
"จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้เร่งรัดไปก็เท่านั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้เรียน น่าเสียดายแทนเด็กสมัยนี้มากเนื่องจากว่าพ่อแม่ทุ่มเทให้เรียนอย่างเต็มที่ แต่ไม่ค่อยอยากจะเรียนกัน อาตมาโชคดีที่สอนมหาวิทยาลัยสงฆ์ เพราะพระเณรที่เรียนส่วนใหญ่บวชเข้ามาเพื่อให้ได้เรียน ในเมื่อตัวเองอยากเรียน ถึงเวลาก็ทุ่มเทให้กับการเรียน แต่ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้น่าเสียดายที่ว่าพ่อแม่ทุ่มให้เกินร้อย แต่ลูกเรียนไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอะไรที่น่าเสียดายมากจริง ๆ
ถ้าไปเปรียบกับเด็กวัดท่าขนุนนี่ก็ฟ้ากับเหวเลย เพราะที่โน่นเขามาอยู่วัด ยอมให้ใช้งานหนักเช้ายันค่ำเพื่อให้ได้เรียน ส่วนข้างนอกพ่อแม่ทุ่มเทให้ลูกชนิดมอบกายถวายชีวิตเลย ลูกกลับไม่สนใจที่จะเรียน แต่ถึงเวลาโปเกม่อนนี่ต้องจับให้ได้ก่อนเขา เป็นอะไรที่น่าตายมาก...! บ้านเราเด็ก ๆ นิยมทำเรื่องไร้สาระมากกว่า โดยไม่ได้เห็นความสำคัญของการศึกษา งานวิจัยของระดับปริญญาโทออกมาห่วยแตกขนาดนั้น ปล่อยให้จบมาได้อย่างไรไม่รู้ ? ถ้าเป็นอาตมาจะตั้งคณะกรรมการออกมาสักชุดหนึ่ง แล้วแต่ละชุดให้จัดหาอนุกรรมการให้ครบทุกมหาวิทยาลัย บ้านเรามีประมาณ ๑๕๐ มหาวิทยาลัยเท่านั้น มีอนุกรรมการสักคณะละ ๓ ท่านก็เพิ่งจะ ๔๐๐ กว่าท่านเท่านั้นเอง ตรวจสอบทีละมหาวิทยาลัยเลย แต่ละคณะส่งไปตรวจ งานวิจัยชิ้นไหนใช้งานไม่ได้ก็เล่นอาจารย์ที่ปรึกษาไปเลย จะได้เข็ดกันบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วก็ประเภทหลับหูหลับตาเซ็นให้จบมา เด็กจึงไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง งานวิจัยที่ทำไปนี่จะทำซ้ำเขาไม่ได้ ถ้าทำซ้ำก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ เท่ากับว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในหัวข้อนั้น ๆ แล้วผู้เชี่ยวชาญภาษาอะไรที่ทำวิจัยออกมาไม่รู้เรื่องห่วยแตกแบบนั้น..!" |
"เขาอุตส่าห์อ้างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาร้อยกว่าเกือบ ๒๐๐ หน้า สารพัดเรื่องอาตมาดูแล้วตั้งแต่ต้นยันปลายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ทำวิจัยเลย อย่างพฤติกรรมในการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาอย่างนี้ รู้ไหมว่าหัวเรื่องคืออะไร ? หัวเรื่องคือค่านิยมในการซื้อสินค้าผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต แล้วเกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา อาจารย์ก็บ้าปล่อยให้เนื้อหาอย่างนี้หลุดออกมา
บ้านเราพฤติกรรมของเด็กถนัดแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องเป็นสาระไม่ค่อยจะมี จึงสู้ใครไม่ได้ ถ้าเราบอกว่ามีเด็กเก่ง ไม่ว่าจะฟิสิกส์โอลิมปิก คณิตศาสตร์โอลิมปิก ล้วนแล้วแต่ได้เหรียญมาแล้วทั้งนั้น หรือการประกวดมหกรรมหุ่นยนต์โลกของเราก็ได้แชมป์โลกมาตั้งหลายครั้ง อาตมาอยากจะบอกว่าเด็กเก่งนั้นมี แต่เป็นเด็กรับแขกแค่ไม่กี่คน ประเภทนี้เอาไว้รับแขกได้ ส่วนที่เหลืออีก ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์รับแขกไม่ได้ บ้านเราพอเด็กเก่งกลับมามีการสนับสนุนไหม ? ไม่มีหรอก ปล่อยไปตามเวรตามกรรม พอถึงเวลาเด็กได้เหรียญได้โล่มาก็วิ่งไปโหนเด็ก ด้วยการไปถ่ายรูปด้วย ให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลาก็กลายเป็นแค่ลมปากลอยหายไปเฉย ๆ อาตมาเองก็ช่วยแค่ที่ตัวเองมีอำนาจ ปีหนึ่ง ๆ พยายามสนับสนุนทุนการศึกษา ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งฆราวาสที่อยู่ในวัด หวังว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับความรู้ ประสบการณ์และมุมมองของเขา ต่อให้ทำอะไรไม่ได้มากก็เอาตัวให้รอดได้ เอาครอบครัวให้รอดได้ก่อน หลังจากนั้นแล้วถ้ามีเวลาก็ค่อยมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้กับสังคม เห็นสิ่งที่ในหลวงทรงทุ่มเททำมาตลอดชีวิตแล้ว บรรดาพสกนิกรนี่น่าจะประหารให้หมด...!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “การหล่อพระเพื่อประจำบุษบกทรงวิมานที่วัดท่าขนุน อาตมาจะหล่อปีละองค์ ปีหน้าหล่อองค์นากก่อน ปีถัดไปก็องค์เงิน พออาตมา ๖๐ ปีก็องค์ทองคำพอดี
ตอนแรกว่าจะหล่อทองคำองค์เดียว อีก ๒ องค์จะเอาพระพุทธรูปรัชกาลที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้กับทางวัดท่าขนุนมาตั้ง ปรากฏว่าพยายามดูอย่างไรก็ไปกันไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปรัชกาลนั้นลงรักปิดทองมา แล้วก็มีหลุดลอก ในสายตาของคนชอบวัตถุโบราณก็คือสวย แต่ถ้าขึ้นไปเข้าคู่กับพระทองคำ ๒ ข้างก็จะดูกระดำกระด่าง จึงสั่งช่างให้ทำแท่นเอาไว้ด้านหน้า ให้อยู่ใกล้ ๆ ใครไปกราบไปไหว้จะได้เห็นชัด ๆ ไปเลย ส่วนบนบุษบกก็เลยเอาพระพุทธรูป ๓ กษัตริย์ ทอง นาก เงิน ไปเลย ปรึกษาช่างแล้ว บอกช่างว่าอยากได้ศิลปะขนมต้มแบบศรีวิชัยองค์หนึ่ง ให้ดูตัวอย่างจากพระพุทธทักษิณมิ่งมงคลที่พุทธอุทยานเขากง จังหวัดนราธิวาส ช่างบอกว่าอย่างนั้นอีกองค์หนึ่งควรจะเป็นภาคเหนือ ก็เลยตั้งใจว่าถ้าไม่ใช่พระที่เป็นศิลปะเชียงแสนก็จะถอดแบบพุทธสิหิงค์มาเลย ส่วนตรงกลางคือพระแก้วมรกตของภาคกลางอยู่แล้ว เป็นเหนือ กลาง ใต้พอดี ถือว่าลงตัวโดยไม่เจตนา ของทุกอย่างเหมือนกับท่านเตรียมเอาไว้ เพียงแต่ว่าเมื่อไรเราจะตามทันเท่านั้นเอง” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “รู้ไหมว่าเวลาอาตมาทำอะไรมักจะได้มากเกินต้องการ เพราะมีนิสัยทำบุญทีเดียวหมด เห็นบางท่านทำบุญแบบทำแล้วทำอีก ทำนิดทำหน่อย แสดงว่าอยู่ที่วิสัยคนจริง ๆ
ตอนนี้อาตมาชักเบื่อ เพราะเวลาได้อะไรก็ได้มากเกิน บอกกับตัวเองว่าถ้าเผลอเกิดใหม่จะเลิกทำบุญแล้ว ที่ตัวเองทำไว้เยอะเกินไปแล้ว บอกว่าจะเลิกทำ ๆ ก็เห็นยังทำไปเรื่อย ช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ถวายร่วมสร้างจุฬามณีที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ไปหนึ่งล้านบาท ถวายหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล เจ้าคณะจังหวัดที่ท่านเกษียณอายุไปห้าแสนบาท ช่วงงานฉลอง ๑๐๐ หลวงพ่อฤๅษีก็ถวายหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล ช่วยสร้างหลวงพ่ออู่ทองที่พุทธมณฑลสุพรรณบุรีไปหนึ่งล้านบาท นั่นแหละ...ต้องบอกว่าบุญของท่าน ท่านตั้งใจทำงานใหญ่ ปรากฏว่าเกษียณอายุไปตั้งหลายปีแล้ว ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นธรรมเฉยเลย ปกติพระเกษียณอายุตำแหน่งจะไปยากแล้ว ไม่ค่อยได้หรอก ท่านเกษียณอายุแค่ชั้นเทพ ที่พระเทพสุวรรณโมลี ปรากฏว่า ๑๒ สิงหา ๘๔ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นพระธรรมพุทธิมงคล ยังไม่ได้ไปแซวท่านเลยว่า "แบ่งให้ผมบ้างนะ อย่างน้อยผมก็ถวายไปเป็นล้าน" |
"ท่านบอกว่ามโนสัญเจตนา คือ ความมุ่งมั่นของใจ ทำให้คนอยู่ได้ ส่วนใหญ่คนที่เกษียณอายุแล้วก็เฉา บ้างก็ตายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะขาดมโนสัญเจตนา ท่านก็เลยสร้างพระใหญ่ บอกว่าจะอยู่ ๑๐๘ ปี งานไม่เสร็จไม่ยอมตายหรอก
ท่านสร้างพระใหญ่เป็นปางโปรดพุทธมารดา ถ้าเสร็จแล้วยังจะสร้างปางประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วตอนนี้ก็เจาะถ้ำ เรียกว่าถ้ำอินทสาลคูหา ลักษณะว่าทำเอาไว้เพื่อใช้เป็นที่จัดประชุมคณะสงฆ์ หรือจัดงานนิทรรศการต่าง ๆ เลียนแบบถ้ำสัตบรรณคูหา ที่เขาเวภาระ ซึ่งใช้จัดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ท่านบอกว่าต้องหาเงินเดือนละสามล้านบาทไปจ่ายค่าช่าง ไม่ต้องห่วง อายุ ๘๐ กว่า ยังกระตือรือร้นมาก ให้ไปบรรยายที่ไหนไปทันที ไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวสตางค์ไม่เข้าวัด” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของคนตาย คนจีนกับคนไทยมีประเพณีคล้ายกัน คือทำบุญให้คนตาย คราวนี้การทำบุญมีการทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสมัยโบราณท่านเก่งกว่าเรามากหรืออย่างไร ถึงได้รู้ว่าคนตายที่ลงไปรอการตัดสินที่ตำหนักพญายม ส่วนใหญ่ ๒ เดือนแล้วยังไม่รับการตัดสินเลย เพราะว่าเวลาต่างกันมาก เวลาของเขา ๑ วันเท่ากับของเรา ๕๐ ปี..!
ฉะนั้น...การทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เท่ากับทำบุญในช่วงที่เขายังไม่ได้รับการตัดสิน ถ้าโมทนาบุญได้ก็พ้นไปเลย เรื่องพวกนี้แสดงว่าโบราณทั้งจีนทั้งไทยมีความรู้เป็นอย่างดี ดีกว่าพวกเราสมัยนี้เยอะมาก เวลาไม่เกิน ๑๐๐ วันของเขานี่ ส่วนใหญ่แล้วยังไม่ทันได้ตัดสินเลย เวลาต่างกันมากจริง ๆ” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอย่างหนึ่งที่อาตมาแปลกใจก็คือ ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็หวังพ้นทุกข์ แต่กลับปฏิบัติธรรมแบบคนไม่อยากพ้นทุกข์ ก็คือไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจังเลย อย่าลืมว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง เราเองอาจจะปฏิบัติธรรมเช้าสักชั่วโมงหนึ่ง เย็นสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วพอที่จะสู้กับกิเลสไหม ?
ลองทบทวนกันดี ๆ ว่าทุกวันนี้ที่เราทำอยู่เพียงพอที่จะปฏิบัติแล้วหลุดพ้นหรือไม่ ? ไม่ใช่ทำตัวเหมือนมีเวลาว่าง ทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจัง ลักษณะอย่างนั้นถ้าเราเกิดเป็นอะไรตายเสียก่อน จะกลายเป็นว่าเสียชาติเกิด ครูบาอาจารย์ก็ล่วงลับดับขันธ์ไปทีละองค์สององค์ เรายังจะรออีกนานเท่าไร ? เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ เราตะเกียกตะกายทุกข์ยากมากี่ชาติแล้ว แล้วถ้าหากเรายังทำตัวอย่างนี้อยู่ รู้ไหมว่าเราต้องตะเกียกตะกายทุกข์ยากไปอีกกี่ชาติ...!” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาทางคณะสงฆ์มีงานเยอะมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงเข้าพรรษาใหม่ ๆ ก็มีการปฏิบัติธรรมของพระนวกะ หลังจากนั้นก็ต้องมีการเรียนการสอนทั้งนักธรรมและบาลี คราวนี้ที่หนักกว่านั้นก็คือโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓ ซึ่งโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓ นี้เน้นคุณภาพ ก่อนหน้านี้ระยะที่ ๑ อยู่ในลักษณะของการประชาสัมพันธ์ แล้วระยะที่ ๒ ก็ให้คนสมัครเข้าโครงการ แต่พอระยะที่ ๓ นี้มีการจัดกิจกรรม
คราวนี้แต่ละตำบลปกครองคณะสงฆ์ก็ต้องรับภาระหนัก เพราะนอกจากงานของตนเองที่ต้องทำแล้ว ยังต้องควบคุมลูกคณะทำงานให้เข้าถึงประชาชนด้วย กิจกรรมที่เขากำหนดมาทั้งหมดมีอยู่ ๒๐ กว่าหัวข้อด้วยกัน มีกระทั่งปล่อยนกปล่อยปลา เพราะเขาถือว่าสนับสนุนการรักษาศีลข้อที่ ๑ ก็คือนอกจากงดเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว ยังมีเมตตาไปปล่อยชีวิตเขาด้วย ฉะนั้น...ศีลทุกข้อจะมีสิ่งรองรับทั้งหมด" |
"แต่ปรากฏว่าศีลข้อที่ ๔ ก็คือ เรื่องของการเว้นจากการโกหก ไม่มีอะไรให้รองรับเป็นรูปธรรม ปรากฏว่าเด็กทองผาภูมิทำได้ ได้รางวัลที่หนึ่งระดับประเทศเลย เด็กทองผาภูมิวาดการ์ตูนในลักษณะเล่านิทาน โดยเฉพาะพวกเรื่องนกมีหูหนูมีปีก เมื่อโกหกแล้วเป็นโทษอย่างไรประมาณนั้น
ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านชอบใจมาก ให้รางวัลไป ๒ คันรถ สำหรับเด็กต่างจังหวัดไกล ๆ โครงการอาหารกลางวันบกพร่องอยู่ตลอด เพราะว่าส่วนใหญ่ก็เป็นต่างด้าว ไม่มีหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่มีค่าหัวให้ เท่ากับว่าต้องมานั่งดูเด็กไทยกินข้าวกลางวัน ท่านก็เลยให้เสบียงไป ๒ คันรถ เมื่อวันที่ ๒๖ ที่ผ่านมา ก็เข้ามารับรางวัลกับท่านในงานวันเกิดที่วัดปากน้ำ สรุปว่าเด็กทองผาภูมิเก่งที่สุด ทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้เป็นรูปธรรมได้ แล้วการจัดนิทรรศการของทองผาภูมิก็ได้อันดับหนึ่งของภาค เพราะว่าเขาทำเป็นเรือนกะเหรี่ยง นึกออกไหม ? ที่เอาไม้ไผ่มาผ่าคว่ำอันหงายอัน มุงเป็นกระเบื้อง วัสดุอุปกรณ์ก็ไม่ได้มากเลย แต่ทำออกมาแล้วดี ก็มีการผูกข้อมือรับขวัญกินข้าวใหม่อะไรกัน แสดงให้เห็นว่าถ้าหากว่าอยู่ในศีลกินในธรรมจะอยู่ง่ายกินง่าย มีความสุขแบบพอสมควรกับอัตภาพ จึงเป็นที่ชอบใจ จนกระทั่งได้รับการตั้งเป็นกรรมการบริหารโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ด้วย ทั้งที่ระดับตำบลไม่มีทางได้เป็น ส่วนใหญ่เขาเป็นกันระดับจังหวัดขึ้นไป" |
"คราวนี้พอขอให้ทางทองผาภูมิส่งตัวแทนไปเป็นคณะกรรมการ พวกเราก็ส่งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอท่านบอกว่าไม่ใช่ผลงานของท่าน เป็นผลงานของหลวงพ่ออำนวย (พระครูเกษมกาญจนกิจ เจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่น เขต ๒) เพราะท่านเป็นกะเหรี่ยง มีญาติโยมกะเหรี่ยงนับถือมาก ต้องการอะไรขอให้บอก ก็เลยส่งหลวงพ่อพระครูเกษมกาญจนกิจไป
ท่านก็บ่นใหญ่ “เอาอาจารย์เล็กไปก็หมดเรื่องแล้ว ทำไมต้องให้ผมไปด้วย ผมพูดไม่เป็น” อาตมาบอกว่า “ไม่ต้องพูดครับหลวงพ่อ ถึงเวลาทำอย่างเดียว ถ้าจะให้พูดเมื่อไรแล้วบอก เดี๋ยวผมจะไปช่วยพูดให้” ผลงานเป็นของท่าน ก็ให้ท่านเป็น จะได้มีชื่อเสียงอยู่ในโครงการ อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตนเอง" |
"ที่แน่ ๆ ก็คือทำให้เห็นว่า คนกะเหรี่ยงจริง ๆ อยู่กับศีลกินกับธรรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะโครงการหมู่บ้านศีล ๕ พื้นฐานมาจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ที่เขาถือศีล ๕ แล้วกินเจกันทั้งหมู่บ้าน
โครงการหมู่บ้านศีล ๕ จริง ๆ ต้นแบบ คือ หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม สมัยโน้นเขาอพยพบรรดากะเหรี่ยงออกจากอุทยาน เรื่องนี้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาอยู่กันมาเป็นหลายร้อยปี ทางราชการไปประกาศเป็นอุทยานแล้วก็ไปไล่คนออก พอไปไล่คนออกหลวงปู่ท่านเป็นที่เขาเคารพนับถือ ก็ต้องเข้าไปช่วยบริหารจัดการ ไปดูแลใกล้ชิด ปลอบใจ ให้คำแนะนำในการประพฤติปฏิบัติทุกอย่าง จากหมู่บ้านที่แห้งแล้งหากินไม่ได้เลย เพราะว่าข้างใต้เป็นศิลาแลง หลวงปู่ท่านก็สอนให้เขาขุดศิลาแลงขึ้นมาขาย ค่าแรงวันละ ๒๐ บาทสมัยโน้น พอตกค่ำก็สวดมนต์ภาวนากัน กะเหรี่ยงภาวนาเร็วมาก เราตามไม่ทันหรอก เขาพุทโธ ๆ ๆ คราวนี้เขาขยันภาวนา ขยันนับลูกประคำ แต่ละคนนี่ประคำใสกิ๊งเลย เราคนกรุงเทพฯ ไปเห็นแล้วชอบใจ ขอซื้อ ๒๐ บาทขายไหม ? ไม่ขาย ค่าแรงวันหนึ่งเลยนะ ๓๐ บาท...ไม่ขาย ๔๐ บาท...ไม่ขาย ๕๐ บาท...ไม่ขาย ๖๐ บาท...ไม่ขาย ๗๐ บาท...ไม่ขาย พอ ๘๐ บาท เอ้า...ขายก็ได้ ค่าแรงตั้ง ๔ วันแน่ะ..!" |
"ก่อนหน้านี้ตอนที่หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เอาประคำมาถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก ประมาณปี ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านเสกเสร็จแล้วก็วางจำหน่าย พวกเรากราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อครับ ตั้งราคาประคำเท่าไรดีครับ ? ” “ตอนพวกเอ็งซื้อเขา ซื้อมาเท่าไร ?” “แปดสิบบาทครับ” ท่านบอก “เออ...นั่นแหละ เอาราคานั้น” จัดเป็นวัตถุมงคลที่ราคาแพงที่สุดในยุคนั้น เพราะวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงราคา ๑๐ บาท ๒๐ บาทยืนพื้น ท่านบอกว่าก็ในเมื่อกะเหรี่ยงเขายอมขายราคานี้ ก็เอาราคานี้ ก็เลยเรียกว่าประคำราคากะเหรี่ยงตั้ง
ด้วยความที่บรรดากะเหรี่ยงเขาเคารพเชื่อฟังครูบาไชยวงศ์ ถึงลำบากก็อดทนสู้ แห้งแล้งขนาดไหนก็สู้ หางานทำไปเรื่อย ในที่สุดก็ค่อย ๆ เจริญขึ้นมา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีผ้าทอมือ มีย่ามทอมือ เหมือนกับสินค้า OTOP สมัยนี้ ก็ทำให้หมู่บ้านเจริญขึ้นมา ในบริเวณวัดนั้นเจ้าที่วัดเขาขอกับหลวงปู่ไว้ว่า ขอให้ทุกคนอย่านำเนื้อสัตว์เข้ามา ในระยะรัศมี ๒ กิโลเมตรห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าไป คราวนี้พระวัดท่าซุงรุ่นยุคเก่า ๆ เวลาไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ ก็ไปเจอ "อาหารเจกะเหรี่ยง" แบบหลวงปู่ ก็คือไม่ใช่อาหารมังสวิรัติแบบกรุงเทพฯ อย่างที่พวกเรารู้จัก แต่เป็นผักเป็นหญ้าจริง ๆ ประเภทกินกันเป็นวัวเป็นควายเลย ท่านทนไม่ไหว โน่น... เดินออกไปจนพ้นเขต ๒ กิโลเมตร เอาสตางค์ไปฝากชาวบ้านไว้ บอกว่าช่วยหาหมูแดดเดียวทอดให้หน่อย พรุ่งนี้จะมาบิณฑบาต นี่คือพระวัดท่าซุงสมัยนั้น สรุปก็คือต้องฉันให้เสร็จแล้วค่อยกลับเข้าวัดไป" |
"จนกระทั่งปัจจุบันพอเขาตั้งหลักปักฐานกันได้ หลวงปู่ไปอยู่ลูกศิษย์ลูกหาก็ไปกันมาก โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ บรรดาสินค้าต่าง ๆ ก็ขายได้ อาหารขายได้ ที่พักขายได้ สารพัดความเจริญเข้ามา หน่วยงานต่าง ๆ ก็ขยับตัวเข้าไปเอาความดีความชอบ ไม่ได้ขยับเข้าไปช่วยนะ ถ้าช่วยต้องช่วยตั้งแต่แรก นี่หลวงปู่ช่วยจนเขายืนหยัดกันได้แล้ว พวกนี้ถึงมา
แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาขอให้พวกประมงจังหวัดมาช่วยปักป้ายเขตอภัยทานหน้าวัดให้หน่อย เพราะว่ามีคนมาจับปลาเป็นประจำ ขอเท่าไรป้ายก็ไม่มา อาตมาต้องลงไปฟัดกับชาวบ้านอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ จนกระทั่งได้วังมัจฉาหน้าวัดท่าซุงขึ้นมา พวกนั้นดันซวยโผล่มากลางงานศพหลวงพ่อวัดท่าซุง มาถึงมาถามหา “หลวงพี่เล็กท่านไหนครับ ? ผมมาจากประมงจังหวัด” อาตมาชี้มือไปที่ทางออก “ประตูอยู่ด้านโน้น..กลับหลังหันแล้วมึงเดินออกไปเลย..! กูขอมาตั้ง ๓ ปี รบกับชาวบ้านแทบเป็นแทบตาย มึงไม่เคยคิดจะมาช่วย ตอนนี้พอมีวังมัจฉาขึ้นมาเป็นแหล่งเที่ยว มึงก็จะมาชุบมือเปิบเอาผลงาน” เจ้านั่นเดินเหี่ยวไปเลย" |
"ส่วนใหญ่แล้วรัฐบาลเป็นอย่างนี้ ก็คือคอยจังหวะเหมือนอีแร้ง รอให้มีเหยื่อแล้วก็ลงมากิน ตอนให้ไปล่าเองไม่ล่าหรอก เพราะฉะนั้น...ใครเป็นข้าราชการโปรดอย่าทำตัวเป็นอีแร้งแบบนี้ อาตมาไม่ชอบเป็นที่สุดเลย ประเภทเช้าชามเย็นกะละมังนั่นเลิกได้แล้ว สงสารในหลวงบ้าง ในหลวงทำงานมา ๗๐ ปี ทำงานจนกระทั่งนอนโรงพยาบาลยาวมาแล้ว เราได้ชื่อว่าข้าราชการ คือผู้ที่สนองงานพระราชา กระทำการงานเพื่อท่าน แต่กลับทำเพื่อตนเองเสียหมด
อีกส่วนหนึ่งที่เห็นชัด ๆ เลย ก็คือ วัดหลวงพ่ออุตตะมะ หลวงพ่ออุตตะมะท่านตั้งวัดอยู่ พวกมอญ พวกกะเหรี่ยงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ปรากฏว่าทางราชการไปสร้างเขื่อน น้ำท่วมทั้งหมู่บ้าน ๔-๕ หมู่บ้าน ท้ายสุดก็ต้องโยกย้ายกันออกไป มอบที่ดินให้ก็ไม่เหมาะที่จะทำกิน เพราะเป็นที่ภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ จะไปทำอะไรได้ หุงข้าวตั้งไว้หม้อก็กลิ้งไปอยู่ตีนเขาโน่น..! หลวงพ่ออุตตะมะก็ลักษณะเดียวกัน ก็คือไปปลอบโยนพวกมอญพวกกะเหรี่ยงว่า พวกเรามาตั้งตัวกันใหม่ได้ ท่านก็แบ่งปันที่ที่เขาปันเอาไว้ให้ ถ้าใครคิดว่าอยู่แล้วลำบากก็ไปหาที่ของตัวเองใหม่ แต่ถ้าคิดจะสู้อยู่ร่วมกันก็รับเอาพื้นที่นี้ไป แล้วก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนกระทั่งในที่สุดสังขละบุรีก็เจริญขึ้นมา วัดวาอารามจมอยู่ในน้ำ ท่านก็มาสร้างใหม่ข้างบน แล้วทุกวันนี้เขาก็อยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด ทั้งกะเหรี่ยง ทั้งพม่า หลังจากนั้นท่านอาจารย์พระมหาสุชาติก็สืบทอดปฏิปทาหลวงพ่ออุตตะมะต่อมา สรุปแล้วในเรื่องของหมู่บ้านศีล ๕ ถ้าไม่ดูมอญก็ต้องดูกะเหรี่ยง คนไทยเราหาตัวอย่างไม่ได้...น่าอายมาก..! คราวนี้โครงการพวกนี้ประดังมา ช่วงที่ผ่านมาอาตมาก็เลยแทบจะไม่มีเวลาหายใจ กระทั่งมากรุงเทพฯ ยังลืมบอก ต้องให้ลูกเจนนี่มาทวงถาม" |
ถาม : ทำไมเด็กถึงมีแรงเยอะคะ ?
ตอบ : คนจีนเขาแบ่งกำลังออกเป็นแรกธรรมชาติกับหลังกำเนิด ไอ้นี่ ...(ชี้ที่เด็ก)... คือพลังงานหลังกำเนิด แต่ส่วนใหญ่พอโตขึ้นมาแล้ว ตัวปรุงแต่งไปจำกัดส่วนนั้นเสีย ความปรุงแต่งจะทำให้เรารู้สึกว่าไม่ไหว ไม่ได้ น่ากลัว สูงเกินไป ต่ำเกินไป แต่เด็กเขาไม่มี เขาไม่รู้ตรงนี้ ถาม : ที่จริง เราก็เลียนแบบเด็กได้ ? ตอบ : ได้...ก็คือเขาไม่รู้ พอไม่รู้ก็ไม่ปรุงแต่ง แรกธรรมชาติอยู่ในท้อง หายใจทางท้อง คราวนี้พอคลอดออกมาแล้วก็มาหายใจทางจมูก แต่ก็ยังสามารถหายใจทางท้องได้ แต่ต้องฝึกกันใหม่ อย่างเด็ก ๆ จับปลาไหลห้อยต่องแต่งอยู่หมัดเลย ผู้ใหญ่จับไม่อยู่ เคยมีตอนอยู่วัดท่าซุง อาตมาก็ซื้อปลาไปปล่อย ซื้อปลาไหลมาถังหนึ่ง ปลาไหลเลื้อยขึ้นมา เด็กตัวเล็ก ๆ คว้าหัวหิ้วขึ้นมา แม่ร้องกรี๊ดลั่นรถสองแถว เด็กเขาก็ไม่รู้เรื่องว่าปลาไหลนั้นลื่น เขาก็แค่กำมือไว้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.