กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4990)

เถรี 04-05-2016 15:28

ถาม : เวลาไปป่าไปเขา ถ้าดื่มน้ำในถ้ำในเขา เราต้องเสกต้องขอก่อนไหมคะ ?
ตอบ : โบราณเขาก็ขอก่อน เป็นพระก็แผ่เมตตา แล้วก็กรองน้ำเอา ขนาดจะถ่ายหนักถ่ายเบา ก็ยังต้องขออภัยเจ้าที่เจ้าทางเขาเลย คนโบราณเขากำลังใจละเอียดกว่าเรา พวกเราไปถึงก็ว่าให้มั่วไปหมด

เถรี 04-05-2016 18:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานซืนมีโยมส่งข้อความส่วนตัวมาขอความเป็นธรรม บอกว่าขอให้ลบชื่อออกจากระบบ พอสมัครใหม่ก็โดนลบอีก อาตมาก็ยังงง ๆ ว่า เอ็งมาขอความเป็นธรรมอะไรจากอาตมาวะ ? ถ้าโดยระบบการทำงานของอาตมาเองก็คือ ถ้ามอบหมายความไว้วางใจให้ใครทำหน้าที่แล้ว ก็แล้วแต่เขาตัดสินใจเลย จะทำให้บริษัทเจ๊ง หรือว่าทำให้บริษัทรุ่ง ก็แล้วแต่เขาจะบริหาร

แต่เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า โยมขาดโอกาสในการพิจารณาตัวเอง ฟังรู้เรื่องไหมตรงนี้ ? คือถ้าโดยส่วนตัวของอาตมาแล้ว จะดูว่าทำไมเราถึงโดนลบออกไป ไม่ใช่ไปหาว่าเขาทำไม่ดีกับเราอย่างนั้น เขาทำไม่ดีกับเราอย่างนี้ มาพร้อมกับข้อมูล ๓-๔ หน้ากระดาษว่าเขาไม่ดีอย่างไร แทนที่จะไปค้นหาว่าคนอื่นไม่ดีอย่างไร ทำไมเราไม่ค้นหาว่าเราไม่ดีอย่างไร ถึงโดนลบชื่อออก

ความละเอียดนี่เป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ต้องเป็นความละเอียดในการพิจารณาความผิดของตัวเอง ในลักษณะ "อัตตนา โจทยัตตานัง" ไม่ใช่ว่าเราถูกทุกอย่าง คนอื่นผิดหมด ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเสียโอกาสไปมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ก็คือจะไม่มีวันแก้ไขปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้นได้เลย

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากใครเจอในลักษณะนี้ โปรดมองกลับไปอีกข้างหนึ่ง อย่ามองออก ให้มองเข้า อาตมาเคยพิจารณาตัวเองเวลาโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่า ดูตั้งแต่ต้นยันปลาย ปลายยันต้น ถ้างานนี้หาผิดไม่ได้จริง ๆ ท้ายสุดก็ต้อง "มึงผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว เพราะว่าถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนหรอก" หาให้ได้อย่างนี้แล้วเราจะปรับปรุงตัวเองได้ แต่ถ้าหาไม่ได้ เราจะปรับปรุงตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด

เถรี 04-05-2016 18:48

"ดูไปดูมาแล้วเดี๋ยวเขาจะหาว่าแขวะรัฐบาล ก็ลักษณะเดียวกับ คสช. อุตส่าห์โยงแผนที่สารพัด คนโน้นทำอย่างนั้น คนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างโน้น สรุปแล้วทั้งหมดก็คือรวมหัวกันโค่นล้มรัฐบาล แล้วทำไมไม่ดูว่าชาวบ้านลำบากอย่างไร ? เดือดร้อนอย่างไร ? ทำไมชาวบ้านหาเงินไม่ได้ ? ทำไมชาวบ้านทำนาไม่ได้ ? ทำไมชาวบ้านขายผลผลิตไม่ได้ ? ถ้ารู้จักโยงอย่างนี้ก็จะแก้ไขได้ทุกอย่าง

จริง ๆ แล้ว
รัฐบาลไม่ต้องเหนื่อยมากหรอก ทำตามพระราชดำริของในหลวง ทุกอย่างที่ในหลวงทำก็เพื่อความอยู่สุขของประชาชน ในเมื่อทุกอย่างทำเพื่อความอยู่สุขของประชาชน เราก็แค่รับเอาโครงการพระราชดำริมาทำเองก็จบแล้ว แต่เชื่อเถอะ...ถ้าหากว่ารัฐบาลเอาไปทำ โครงการดี ๆ ก็อาจจะเละหมด ตอนนี้ไม่ได้สงสารในหลวงอย่างเดียว สงสารประเทศไทยด้วย

รู้จักมองว่าคนอื่นผิดอย่างไร มีความสามารถในการขุดคุ้ยเชื่อมโยงเรื่องราวบุคคลอื่นถึงขนาดนั้นแล้ว ทำไมจึงไม่เปลี่ยนมาดูว่าตัวเองทำอะไรที่ไม่ดีบ้าง จะได้ปรับปรุงแก้ไข ถ้ารัฐธรรมนูญดีจริง ชาวบ้านเขาต้องรับอยู่แล้ว ที่เขาต่อต้านแสดงว่ายังไม่ดีจริง"

เถรี 04-05-2016 18:50

"บางทีฟังโยมเล่าให้ฟังเสร็จ อาตมาก็นั่งหลับ ขี้เกียจรับเข้ามาใส่หู รกเปล่า ๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนอย่างกับเราเป็นคนดูข้างเวที คนดูข้างเวทีจะเห็นว่า ทำไมมวยชกไม่ได้เรื่องเลย ควรจะชกอย่างนั้น ควรจะเตะอย่างนี้ แต่เชียร์ให้ตายคนอยู่บนเวทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เพราะว่ากำลังหน้ามืด

ตอนนี้คาดว่ารัฐบาลคงลืมไปแล้วว่าตัวเองเข้ามาเพื่อทำอะไร เห็นว่าจะเข้ามาปราบโกง แก้ไขคอรัปชั่น ป้องกันเผด็จการรัฐสภา ตอนนี้ใครไม่รับธรรมนูญก็ไม่ว่า กูจะใช้ ม.๔๔ หนักกว่าเผด็จการรัฐสภาอีก..!

ตอนนี้ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างช่วยกันลุ้นสุดชีวิต เพื่อให้ในหลวงอยู่ต่อได้ ถ้าในหลวงอยู่ต่อไม่ได้ คราวนี้ยุ่งตายชักเลย แต่ก็ดีนะ...จะได้ถึงยุค "หนึ่งนารีขี่ม้าขาว" จริง ๆ เสียที ที่ผ่านมานั่นตัวปลอม ตัวจริงยังไม่มา บางอย่างรู้แล้วพูดไม่ได้ก็อึดอัดใจเหมือนกัน พูดมากเกินกฎของกรรมก็โดนอัดอีก"

เถรี 05-05-2016 14:55

พระอาจารย์กล่าวว่า “มาถึงตอนนี้อาตมาไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ในเมื่อไม่เป็นศัตรูกับใครก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวัง”

เถรี 05-05-2016 14:55

พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็ก ๆ มีพลังงานล้นเกินเพราะว่ายังปรุงแต่งมากไม่เป็น ในเมื่อปรุงแต่งมากไม่เป็น ได้กินอย่างใจ ได้เล่นอย่างใจก็พอแล้ว ส่วนผู้ใหญ่เรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่จะเอาหมด เลยใช้พลังงานไปเยอะ เดี๋ยวก็จะดูหนัง เดี๋ยวก็จะฟังเพลง”

เถรี 05-05-2016 14:58

พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า “ถ้ารู้ว่าภูมิต้านทานน้อยก็พยายามทำให้มากขึ้น ...(หัวเราะ)... ต้องระวังไว้ก่อนตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาตั้งท่าเอาตอนเจอแล้ว ตั้งท่าตอนเจอแล้วส่วนใหญ่จะหงายท้องเสียก่อน พูดง่าย ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ใส่ให้เต็มที่ไว้ก่อน”

ถาม : พอตั้งใจจะทำจริง ๆ ตัวไหนจะเจอตัวนั้นแหละครับ ?
ตอบ : เขาอยากลองว่าแน่แค่ไหน ไม่ต้องห่วง...เรื่องพวกนี้มารเขาเก่ง ต้องการตัดตัวไหนตัวนั้นมาลองเลย เขาอยากรู้ว่าแน่จริงหรือเปล่า ตั้งใจจะละความโกรธก็มีแต่เรื่องให้โกรธทั้งวัน ตั้งใจจะละความโลภเดี๋ยวก็โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็อยากได้ ตั้งใจจะละราคะ แหม...มาแต่ละคนนี่ถูกใจล้วน ๆ เลย สมัยก่อนที่อาตมายังไม่รู้วิธีก็หนักใจ มาตอนหลังที่รู้วิธีแล้ว พอตอนเช้าก็เข้าสมาธิให้เต็มที่แล้วก็อาศัยกำลังคุมไว้ ไม่หลุดเสียอย่างไม่เป็นไรหรอก

เถรี 05-05-2016 15:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้วันแรงงานก็เลยใช้แรงงานแต่เช้า เพราะเมื่อเช้าอาตมาขนน้ำ ๑ คันรถไปส่งที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดนครปฐม เพราะว่าเจ้าอาวาสใหม่มาปฏิบัติธรรมรวมกันที่นั่น ตอนอยู่บนรถไม่เห็นว่ามาก แต่พอตอนขนลง เจ้าประคุณเอ๋ย...ทำไมถึงได้เยอะขนาดนั้น กว่าจะขนเข้าที่ได้ หมดแรงแทบตายเลย

เจ้าอาวาสใหม่รุ่นนี้มีเกือบครึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อาตมาสอนไป ทั้งระดับประกาศนียบัตรและปริญญา ก็นับว่าแต่ละคนก้าวหน้าในทางโลกเป็นอย่างดี และมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังไปจากตอนช่วงที่สอนอยู่ว่า ไม่ให้ทิ้งในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพราะว่าถ้าทิ้งเมื่อไรกำลังใจของเราจะไม่สามารถสู้อุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในระหว่างทำหน้าที่ได้ เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกระโดดเข้าหาการปฏิบัติธรรมด้วยความยินดี ไม่เหมือนกันท่านที่ไม่ได้อบรมมา ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อู้ให้มากที่สุด"

เถรี 05-05-2016 15:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างขุนแผนเกราะเพชร ต้องบอกว่ารวมทั้งสายลุยและเมตตาเข้าด้วยกัน ...(หัวเราะ)... พระขุนแผนบ้านกร่างหรือขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล โดยเฉพาะขุนแผนบ้านกร่าง เป็นพระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้สร้างเพื่อให้ทหารในกองทัพติดตัวไปรบกับพม่า ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมคนที่ขุดกรุเจอถึงให้ชื่อว่าพระขุนแผน อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านกร่างอยู่ศรีประจันต์ก็ได้

แต่จะว่าไปนางศรีประจันต์ก็ไม่ใช่แม่ขุนแผน แม่ขุนแผนคือท่านย่าทองประศรี แต่เนื่องจากว่าพระชุดนั้นมีทั้งแบบคู่และแบบเดี่ยว เขาก็เลยมี “พลายคู่” “พลายเดี่ยว” ซึ่งบรรดาตระกูลพลายก็เริ่มตั้งแต่ขุนแผนที่ชื่อว่าพลายแก้ว ลงไปลูก ๆ ก็พลายงาม พลายบัว พลายยง พลายเพชร คาดว่าบรรดาเซียนพระเขาคงมีเหตุผลที่ดีที่ตั้งชื่อพระว่าขุนแผน

พอมากรุวัดใหญ่ชัยมงคล สร้างบรรจุพระเจดีย์ที่สร้างเพื่อฉลองชัยชนะที่มีต่อกองทัพพม่า มีเวลาทำมากกว่า ก็เลยกลายเป็นขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรุบ้านกร่างหรือว่ากรุวัดใหญ่ชัยมงคลก็ราคาแพงสาหัสพอกันในปัจจุบัน"

เถรี 05-05-2016 15:11

1 Attachment(s)
"แล้วขุนแผนอีกสำนักหนึ่งที่ดังระเบิดเถิดเทิงด้วยความสามารถเฉพาะตนเลย ก็คือ ขุนแผนพรายกุมาร ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ซึ่งท่านศึกษาวิชาการทำพระมาจากหลวงปู่ของท่านเอง หลวงปู่ของหลวงปู่นี่ถ้าเป็นรุ่นเราก็น่าจะเป็นปู่ทวด ก็คือหลวงปู่สังข์ วัดละหารไร่ หลวงปู่สังข์ขลังขนาดไหนไม่รู้ คนเขาร่ำลือกันว่าหลวงปู่สังข์บ้วนน้ำลายลงพื้นนี่พื้นแตกเลย..! ท่านขลังได้ขนาดนั้น ตำราก็ตกสืบมาถึงรุ่นหลวงปู่ทิม ก็ถือว่าได้รับการใช้งานและเกิดผลสูงสุด

ฉะนั้น...ขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิมถึงได้ดังมาก ราคาปัจจุบันแพงจับไม่ติด ก็คือถ้าไม่ได้เลขหกหลักขึ้นไปอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็น ก็เลยมีคนไปเล่นประคำผงพรายกุมาร ก็คือ ถ้าได้ประคำมาเส้นหนึ่งก็แกะแบ่งกันคนละเม็ด ซึ่งหลวงปู่ทิมท่านก็ยืนยันว่าของท่านเม็ดเดียวพอแล้ว แล้วก็ไปเล่นลูกอมผงพรายกุมาร ซึ่งลูกอมก็เหลือจากพิมพ์พระ พอถึงเวลาเหลือเศษก็เอามาปั้นกลม ๆ ก็คือเนื้อเดียวกับขุนแผนพรายกุมาร เพียงแต่ว่าขุนแผนมีหลายพิมพ์ที่ฝังตะกรุด พิมพ์ที่ฝังตะกรุดมากที่สุดคือ ๙ ดอก"


http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1462435595

ราคาปัจจุบัน ที่วัดละหารไร่ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๙

เถรี 05-05-2016 15:13

"คราวนี้ในส่วนของการสร้างพระขุนแผน ถ้าจะบอกว่าเกี่ยวข้องกับขุนแผนจริง ๆ ก็น่าจะเป็นของวัดท่าขนุนนี่แหละ เพราะว่าตำราอื่นเขาเรียกขุนแผนเพราะว่าเป็นพิมพ์ ๕ เหลี่ยม แต่ของวัดท่าขนุนต้องบอกว่า โดยสายเลือดอาตมาก็เป็นลูกหลานเมืองสุพรรณฯ ที่เป็นบ้านเกิดของท่านย่าทองประศรี โดยที่อยู่ปัจจุบันก็ไปอยู่กาญจนบุรีที่ขุนแผนท่านเป็นเจ้าเมือง สรุปแล้วถึงได้บอกว่าถ้าสร้างขึ้นมากลัวของเก่าอยู่แค่ ๒ สำนักเท่านั้น คือขุนแผนเข้ากรุที่เป็นวัดใหญ่ชัยมงคลหรือบ้านกร่าง และอีกสำนักหนึ่งคือหลวงปู่ทิม

อาตมาได้ไปอัญเชิญขุนแผนตัวจริงไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าวันพุทธาภิเษกขอให้มาช่วยด้วย ยังไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน แต่งานนี้ก็เน้นส่วนผสม ผงชนวนต่าง ๆ โดยเฉพาะผงยานัตถุ์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่อาตมาเก็บใส่ไว้เป็นแกลลอน แล้วเอาไปเข้าพิธีพร ๓๐ ประการที่วัดท่าซุงมาแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือผงกระเบื้องหลังคาโบสถ์วัดบางนมโค ซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน เป็นที่พุทธาภิเษกวัตถุมงคลของหลวงปู่ปานด้วย ท่านเจ้าอาวาสเขารื้อ พอดีหลวงพี่ติงลี่ไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น ไปช่วยเขาบูรณะสร้างโน่นซ่อมนี่ ก็เลยขอกระเบื้องมาทำเป็นผงชนวนไว้ ให้อาตมามาขวดใหญ่ ถ้าว่าใหญ่แค่ไหนก็ประมาณขวดโอวัลติน"

เถรี 05-05-2016 15:17

"มีคนถามว่าคนจองกันเยอะแยะขนาดนั้น ทำไมยังมีพระเหลือ ? อาตมาบอกว่าตั้งใจทำให้เหลือ เพราะว่าก่อน ๆ นี้สร้างวัตถุมงคลยอดก็คือ ๓,๐๐๐ องค์ ขุนแผนเกราะเพชรนี่พิมพ์เล็ก ๓๐,๐๐๐ องค์ แต่ดูท่าว่าจะเหลือน้อย เพราะว่าจองไปเกินครึ่ง อาตมาแนะนำก็คือจองพิมพ์เล็กไว้ ไม่ต้องไปสนใจกับตะกรุด เพราะถ้าท่านสงเคราะห์ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ จองตะกรุดไปก็แพงเปล่า ๆ

ตะกรุดนั้นลงคาถาหัวใจขุนแผน คือ สุนะโมโล ไว้ มาจากตัวคาถาปลุกที่ว่า เอหิมะมะ สุนะโมโล นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ ก็คือการเรียกหัวใจขุนแผนพร้อมกับธาตุ ๔

การเสกวัตถุมงคลถ้าเรียกธาตุ ๔ อาการ ๓๒ ได้ก็จะขลังกว่าปกติ ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาจะเรียกธาตุ ตั้งธาตุ หนุนธาตุกันไม่เป็น ยิ่งอาการ ๓๒ ยิ่งไม่ค่อยมีใครอยากจะเสกเพราะว่าคาถายาวมาก ความจริงคาถายาวทำให้สมาธิดี แต่คนก็มักจะไม่ชอบเพราะคาถายาว

แบบเดียวกับหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง สร้างตะกรุดมหาโสฬสต้องเสก ๓ ปี เหตุที่ต้องเสก ๓ ปีเพราะว่าต้องเสกด้วยโองการมหาทมื่น ๑๐,๐๐๐ จบ ถ้าถามว่าโองการมหาทมื่นเป็นคาถายาวขนาดไหน ? ก็ประมาณ ๑ หน้ากระดาษเอ ๔ ฉะนั้น...ถ้าใครมีตะกรุดมหาโสฬสของวัดสะพานสูง ตั้งแต่หลวงปู่วาสน์ขึ้นไปถึง
หลวงปู่ทองสุข หลวงปู่กลิ่น หลวงปู่เอี่ยม ก็เก็บเอาไว้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ขลังทั้งนั้น

หลวงปู่วาสน์ก็เพิ่งจะมรณภาพไป อายุ ๑๐๐ ปีพอดี รุ่นต่อไปก็คงจะมีแต่ตะกรุด หาความขลังยาก เพราะว่าขี้เกียจเสก วัตถุมงคลเสก ๓ ปีนี่บังคับเลยว่าต้องขลัง อาตมายังเคยเอาไปออกในเว็บวัดท่าขนุนไปหนึ่งดอก"

เถรี 05-05-2016 15:29

"ที่อาตมาตั้งใจทำพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องรางของขลัง ก็เพราะว่าเครื่องรางของขลังเป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณ เหตุที่เป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณเพราะคนโบราณถือว่าพระต้องอยู่วัด ถึงสร้างเป็นพระเครื่องขึ้นมา พอออกศึกสงครามเสร็จก็นิมนต์พระกลับไปคืนวัด ที่จะติดตัวอยู่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องรางของขลังนี่แหละ จะเป็นตะกรุด เป็นลูกอม เป็นพิสมร เป็นมีดหมออะไรก็ตาม จนกลายเป็นของที่อยู่กับบ้าน เอาไว้คุ้มครองป้องกันตัวเองและครอบครัว

แต่ละอย่างก็จะมีเคล็ดในการสร้าง มีอุปเท่ห์ในการใช้ต่าง ๆ กันไป ถ้าคนเข้าไม่ถึงก็ขลังไม่พอ หรือขลังไม่เต็มที่ ถ้าหากว่าใครเข้าถึงก็ขลังกว่าปกติ โดยเฉพาะว่าถ้าเป็นสายหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุง การสร้างเครื่องรางของขลังยากกว่าสร้างพระ เพราะสายเรานิมนต์พระได้ แต่ว่าเรื่องของเครื่องรางของขลังเท่าที่เจอ ๆ มา ๒-๓ ครั้ง อย่างการเสกลูกแก้วนี่นั่งรอกันอานเลย เพราะท่านบอกว่าต้องเสกแก้วให้เป็นพระ ถ้าหากรูปพระอย่างไรก็เป็นพระอยู่แล้ว ก็เบาแรงไปครึ่งหนึ่ง

โบราณส่วนใหญ่แล้วเวลาสร้างวัตถุมงคลมักจะไม่ทับรอยครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุง ขอให้ท่านสร้างพระขี่สัตว์พาหนะท่านยังบอกว่าไม่ทำ เพราะว่าจะเป็นวัดรอยหลวงปู่ปาน ความจริงก็คือถ้าหากว่าทำเหมือน ๆ กัน พอนาน ๆ ไปของเก่าใกล้เคียงกัน คนรุ่นหลังจะแยกแยะไม่ออก"

เถรี 05-05-2016 15:33

"ส่วนเครื่องรางของขลังนั้น ถ้าแบ่งจริง ๆ จะแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือส่วนของเครื่องราง ก็คือของที่สร้างขึ้นมาตามหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นตะกรุด เป็นลูกอม เป็นชานหมาก เป็นเบี้ยแก้ หมากทุยอะไรก็ตาม ส่วนในเรื่องของขลังมักเป็นไปตามธรรมชาติ เช่น บรรดาคดต่าง ๆ บรรดาเขี้ยว เขา งา ของสัตว์ที่ถือว่ามีเดชมีอำนาจกว่าปกติ แล้วยิ่งได้ครูบาอาจารย์มาลงอักขระเข้าพิธีก็ยิ่งขลังกันไปใหญ่

ในส่วนของเครื่องรางของขลัง ก็มีส่วนที่ทำถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะที่เขาเรียกว่าเครื่องคาดราชศาสตรา ส่วนใหญ่ก็ทำเป็นโลหะ ๓ ชนิด ที่เรียกว่า ๓ กษัตริย์ ก็คือ ทองคำ นาก แล้วก็เงิน เครื่องคาดราชศาสตราที่โด่งดังที่สุด ก็คือ ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราช แต่ว่าตะกรุดที่ทำในลักษณะนี้ที่เห็นมา ที่สวยที่สุดกลับเป็นของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ของหลวงปู่ดู่เป็นตะกรุดไม้ไผ่ แต่ไม่ว่าจะเส้นยันต์หรือว่าอักขระของท่านชัดเจน สวยมาก ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ไม่ต้องเอาเป็นเครื่องรางของขลังก็เป็นงานศิลปะในตัวอยู่แล้ว

ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชที่ดัง ๆ ก็สายวัดประดู่โรงธรรม ถามว่าสายประดู่โรงธรรมสืบสายมาอย่างไร ? ก็มาทางด้านหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่อั้น วัดพระญาติ หลวงปู่สี หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อีกสายหนึ่งก็มาทางสายแม่กลองของหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ตำราเดียวกัน คาถาเดียวกัน ส่วนของหลวงปู่เทียมนั้นถือว่าเป็นรุ่นหลัง ของหลวงปู่เทียมส่วนใหญ่ทำเป็นตะกรุดมหาระงับตามสายแม่กลอง ตะกรุดมหาจักรพรรดิทำยาก ต้องตั้งราชวัตรฉัตรธงนิมนต์พระ ๑๐๘ รูปเจริญพุทธมนต์ แล้วนั่งลงอยู่ในนั้นแหละจนกว่าจะเสร็จ ก็แปลว่าแต่ละท่านทำได้ไม่กี่ดอกหรอก"

เถรี 05-05-2016 15:37

ถาม : ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมนี่ดีอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้ดีอย่างไรหรอก อาศัยแรงผีช่วย แต่ว่าผีมาถึงหลวงปู่ทิมก็ไม่เป็นผีแล้วล่ะ ...(หัวเราะ)... แค่ดูคาถาปลุกของท่านก็รู้แล้ว “สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ จงอยู่ใต้พุทธบารมี” ไม่ได้มีไสยศาสตร์สักคำเลย

ถาม : แล้วกุมารหลวงพ่อเต๋ ?
ตอบ : หลวงพ่อเต๋นี่รุ่นก่อนนะ ทันกัน แต่ว่าหลวงปู่ทิมอายุยืน หลวงพ่อเต๋มรณภาพไปก่อน หลวงพ่อเต๋นี่ต้องกุมารทอง กุมารทองประเทศไทยดังก็เพราะหลวงพ่อเต๋นี่แหละ หลวงพ่อเต๋ท่านฉายา คงฺคสุวณฺโณ คนเลยแปลง่าย ๆ ว่าคงทอง มาตอนหลังมีคนใช้นามสกุลคงทองตามกันเยอะเลย

เถรี 06-05-2016 15:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงสุนทรภู่ก็บอกไว้ชัดนะว่า เสียงปี่พระอภัยทำให้ "อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร" ได้ยินเมื่อไรก็เสร็จหมด ก็แสดงว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะใช้เสียงดนตรีทำให้บุคคลคล้อยตามความต้องการของตนเองได้ แต่ของพระอภัยมณี ถ้าคิดตามก็หลับ...ลืมรบไปเลย"

เถรี 06-05-2016 15:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าพูดถึงหน้าร้อนแล้วคนไปเดินห้างมาก แล้วก็เดินกันเป็นวัน ในส่วนที่กล่าวถึงก็คือ เดินห้างได้เป็นวัน แล้วก็อ้างว่าไม่มีเวลาให้ลูก น่าตายไหม ? เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังดูแลให้ดีได้ เลี้ยงลูกกลับดูแลให้ดีไม่ได้

สาเหตุที่บ่นอย่างนี้เพราะว่าหมาที่วัดคลอดลูกมา ๑๑ ตัว กินนมจนแม่หมาเหลือแต่ซี่โครง เอาอะไรไปให้แม่หมาก็กินทั้งนั้น แล้วก็ยังหิวอยู่ สรุปว่ายังไม่เห็นแม่หมาคาบลูกไปทิ้งถังขยะแล้วบอกว่า “แม่จำเป็น” เลยสักตัวหนึ่ง เชื่อเถอะ...เดี๋ยวกลับไปก็แทบไม่เหลือ

นโยบายที่วัดก็คือ เลี้ยงลูกหมาให้สวยเข้าไว้ เดี๋ยวก็มีคนช่วยเอาไปเลี้ยงเอง พระก็แกล้งทำเป็นหวง ๆ ไว้หน่อย พอพระอาจารย์ไม่อยู่วัดลูกหมาก็หายหมด ทุกวันนี้เฉพาะค่าหมอค่ายาหมาเดือนหนึ่งเป็นหมื่น ไม่ค่อยจะพอด้วย

อาตมากำลังวางแผนทำหมันแมวของแม่ชี เพราะว่าแมวจะเป็น ๑๐๐ ตัวอยู่แล้ว ที่น่าเบื่อที่สุดก็คือชอบมาฉี่ในหอฉัน ให้แม่ชีเขาจัดการทำกรงใหญ่ใส่รวมกันเอาไว้ ไม่รู้ว่าแหกกรงออกมาได้อย่างไร ? คาดว่าตาข่ายต้องใหญ่ หัวแมวจึงลอดได้ สัตว์นี่แปลกมาก ถ้าหัวไปได้ ตัวก็จะไปได้ ก็คือตาข่ายเราเห็นว่าเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ไม่น่าออกได้ เขาก็ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเอาหัวออกได้ พอหัวออกได้แล้วตัวจะตามมาได้สบายเลย ยิ่งงูนี่ยิ่งใช่เลย ถ้าหัวงูออกได้ตัวไปได้แน่นอน

ระยะนี้งูไม่ได้อยู่เย็นเป็นสุขเลย เพราะอากาศร้อน กลางคืนก็เลยเพ่นพ่านไปหมด ที่น่าหวาดเสียวคืองูกะปะ เพราะว่างูกะปะเวลากัดแล้วกว่าจะตายก็ทรมานกันนาน โดนงูจงอางหรืองูเห่ากัดเสียยังดีกว่า แล้วเจ้ากะปะตัวนี้ก็จะหาที่เหมาะ ๆ ไปนอนแต่ละที่ครึ่งวันค่อนวัน ไปดูกี่ทีก็อยู่ตรงนั้นแหละ พออากาศเริ่มร้อนแล้วถึงย้ายที่"

เถรี 06-05-2016 19:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอาจารย์วิสุทธิ์ไปบุกรังญาติ "ลุงนวล" ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค (โฆสิตาราม) ขนวัตถุมงคลมาเพียบเลย ปรากฏว่าอาตมาได้รับแบ่งปันมาหนึ่งในเจ็ด ไม่ใช่ได้มาหนึ่งในสองหรือครึ่งหนึ่งนะ ได้มาแค่หนึ่งในเจ็ด แสดงว่าท่านขนมาเต็มที่"

เถรี 06-05-2016 19:13

ถาม : ที่บ้านมีหนังสือของหลวงพ่อเกษม วัดสามแยก พวกคำสอนแปลก ๆ จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ชั่งกิโลขาย หรือไม่ก็จำเริญด้วยไฟ..!

เถรี 09-05-2016 07:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเดือนที่แล้ว สมเด็จวัดบางขุนพรหมไปออกในราคา ๑๐๐ บาท ตูเห็นแล้วตูก็อึ้งเหมือนกัน อาตมาไม่ได้ดูว่าเขาถวายอะไรมา เจ้าตัวเล็กก็ดูของไม่เป็น ถ่ายรูปแล้วก็ลงอาตมาชี้ให้ดูทีหลังว่า องค์นี้ในตลาดไม่ต่ำกว่าล้าน ออกแค่ ๑๐๐ บาท..!"

เถรี 09-05-2016 07:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปเป็นเวลา ๔๕ วัน มีการอบรมกรรมฐานให้เจ้าอาวาสใหม่ในคณะสงฆ์หนกลาง อาตมาจะเอาน้ำดื่มไปเลี้ยงพระ ฉะนั้น...ญาติโยมที่ทำบุญเรื่องน้ำดื่มมา ขอให้รู้ว่าเป็นมหาสังฆทานเลย ไม่ได้เลี้ยงพระระดับทั่วไปนะ เลี้ยงพระระดับเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย

ถ้าสำหรับเจ้าอาวาสใหม่ ปกติอาตมาจะเป็นรองประธานวิปัสสนาจารย์ เป็นรองที่ใจดีมาก ใครยื่นใบลามาก็เซ็นให้หมด ปีนี้เขาเลยไม่ให้เป็นรอง ให้เป็นที่ปรึกษา มีหน้าที่จ่ายเงินกับเลี้ยงพระ ปกติเจ้าอาวาสมักจะมีงานมาก คราวนี้ไปปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง ๔๕ วัน แล้วมีงานวัดมีอะไร บางรายก็งานศพอดีตเจ้าอาวาส บางรายก็งานประจำปี ด้วยความที่ถ้าไม่มีเจ้าอาวาส งานก็จัดไม่ได้ แล้วตัวเองเพิ่งจะเป็นเจ้าอาวาส ถ้าไม่จัดงานแบบนี้ชาวบ้านก็ไม่คบอีก อาตมาก็เลยเซ็นให้ไป น่าจะเซ็นง่ายไปหน่อย ปีนี้เลยไม่มีอำนาจในการเซ็น มีอำนาจในการจ่ายเงินอย่างเดียว..!"

เถรี 09-05-2016 07:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "การให้ของดีที่สุดเป็นอธิบดีทาน บางตำราเรียกสามีทาน ถึงเวลาเราได้ก็จะได้ของที่ดีที่สุด ถ้าให้ของดีที่เรากินเราใช้ เขาเรียกสหายทาน หรือสขีทาน ถ้าหากว่าให้ของที่เรากินแล้ว ใช้แล้ว ก็คือเหลือจากของเรา เรียกว่าทาสทาน ถึงเวลาทานให้ผลก็ได้ของที่เขาใช้แล้วเหมือนกัน หรือบางทีก็ใช้ของดีไม่ได้ อย่างอานันทเศรษฐี ถึงเวลานุ่งผ้าใหม่ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นใช้ก่อนครั้งหนึ่ง ตัวเองถึงจะนุ่งได้ ไม่อย่างนั้นจะคัน บุญน้อยไปนิดหนึ่ง

อาตมาเองน่าจะทำทาสทานไว้เยอะ เพราะสมัยรับราชการชุดที่เกลียดที่สุดคือชุดปกติขาวเต็มยศ ร้อนตับแตกเลย ไม่ค่อยยอมใส่กับใครหรอก ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในบัตรเชิญระบุว่าให้แต่งปกติขาวอกแข็ง อาตมาไม่ไปเลย ยอมเสียโอกาสไม่ต้องเข้าเฝ้า"

เถรี 09-05-2016 07:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอสมัยก่อนก็คือมีดอีโต้นั่นแหละ เขาถือเคล็ดคำว่า "โต้" ก็คือต่อต้าน รักษาบรรดาโรคต่าง ๆ ที่หมอรักษาไม่ได้ แม้กระทั่งมีดหมอหลวงปู่ปาน ก็เป็นมีดอีโต้"

เถรี 09-05-2016 14:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมาไปฝังเข็ม ฝังอาทิตย์ละครั้ง หมอเขาให้นั่งหันหลังให้ แล้วก็ปักเข็มที่ต้นคอ เล่มที่ ๑ เล่มที่ ๒ เล่มที่ ๓ พอเขาปักเข็มเล่มที่ ๔ เกิดความรู้สึกเหมือนกับลมตีขึ้น จึงบอกหมอว่าเหมือนกับจะเป็นลม หมอเขาก็หยุด สักพักหนึ่งเขาก็ดึงตัวให้เอนนอนลงบนเตียงแทน แล้วหมอก็บอกว่า เคยฝังเข็มให้กับพระวัดเส้าหลิน แค่เข็มสองเข็มก็ร่วงทั้งยืนแล้ว หลวงพ่อโดนไป ๔ เข็มยังอุตส่าห์นั่งอยู่ได้อีก สรุปว่านี่ตูประหลาดกว่าชาวบ้านเขาใช่ไหม ? ก็คือมีสติรู้ตัวอยู่ก็เลยบอกหมอว่ารู้สึกว่าจะเป็นลม หมอก็เลยดึงให้นอน

พอมาอาทิตย์ที่ ๒ ฝังไป ๑๑ เข็ม เพิ่งจะรู้สึก สงสัยเหมือนกันว่าการรักษาจะได้ผลหรือไม่ ? เวลาฝังเข็มจุดที่เลือดลมอุดตัน จะทำให้เลือดลมวิ่งผ่านได้ การที่ลมผ่านได้กระทันหันก็คือเป็นลม เพราะลมมากเกินกว่าที่มีอยู่ แต่ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาโดนไป ๓๑ เข็ม พักสัก ๒ นาทีก็ลุกเดินได้ ไม่ต้องพักนาน หมอฝังเข็มไปก็หัวเราะไป บอกว่าไม่เคยพบไม่เคยเห็น

หมอเขามีเครื่องมือเครื่องไม้ครบ พอบอกว่ามีอาการเหมือนกับเป็นลม ก็เอาเครื่องมาวัดความดัน วัดชีพจรมาวัดให้ ปรากฏว่าความดัน ๑๐๓ กับ ๖๐ ชีพจร ๕๓ ครั้ง หมอก็เลยถอดออกแล้วใช้มือจับชีพจรแทน ก็ได้ ๕๓ ครั้ง หมอบอกว่าความดันต่ำเกิน อาตมาบอกกับหมอว่าไม่ใช่ต่ำเกิน ตั้งใจให้อยู่แค่นี้ เพราะว่าเวลาเราทรงสมาธิ ระดับของชีพจรหรือการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ฯลฯ ของแต่ละระดับสมาธิจะไม่เท่ากัน ถ้าต่ำกว่านี้เราจะทำงานไม่ได้ แต่สูงมากกว่านี้ โอกาสที่จะฟุ้งซ่านไปกับกิเลสก็มาก ก็เลยต้องล็อกไว้ระดับนี้ แต่ว่าหมอเขาจับชีพจรได้แม่นมาก เพราะตรงกับเครื่องเลย

เคยไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลภูมิพล หมอเขาตรวจเสร็จก็บอกว่า หัวใจเต้นอ่อน ก็ต้องอธิบายให้หมอฟังว่า คนปฏิบัติสมาธิจะเป็นลักษณะอย่างนี้ หมอบอกว่าถ้าไม่ได้รับคำอธิบายก่อน จะเจอน้ำเกลือ ๒ ขวด...!"

เถรี 09-05-2016 14:59

"ที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หมอให้ฉันวิตามินรวมวันละเม็ด อาตมาบอกว่าฉันไปเม็ดเดียวก็เสียงแหบไปเป็นอาทิตย์แล้ว แกก็ยังไม่เชื่อ เลยฉันไป ๑ เม็ด ตั้งแต่วันนั้นมาจนวันนี้เสียงยังไม่กลับคืนมาเท่าไร ถ้าขืนไปฉันวันละเม็ดอย่างที่เขาว่าคงจะพ่นไฟได้ หมอเห็นความดันต่ำ หัวใจเต้นช้า คิดว่าร่างกายไม่แข็งแรง แสดงว่ายังไม่เห็นตอนอาตมาแบกของ..!

การรักษาโรคของหมอทุกรูปแบบ รวมทั้งการฝังเข็มด้วย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคนไข้ ไม่ใช่คิดว่าได้ยาดีแล้วเราจะทำอย่างไรก็ได้ ได้หมอดีแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะบางอย่างเป็นการซ้ำเติมตัวเอง หมอต้องเดือดร้อนรักษา โดยเฉพาะเรื่องการกินการอยู่หรือการออกกำลังกาย การกินการอยู่ต้องระมัดระวัง การออกกำลังกายต้องมี ไม่เช่นนั้นถึงเวลาร่างกายไม่แข็งแรงหมอก็ต้องช่วยกันตายเลย

หมอเป็นคนจีนไต้หวันพูดไทยได้ไม่ชัด เขาบอกว่าหลวงพ่อมัวแต่ช่วยคนอื่นอยู่ จนไม่เหลือแรงไว้ช่วยตัวเอง ปกติแกไม่รับรักษาพระ ไม่รับรักษานักการเมือง ถือว่าเป็นกรณีพิเศษที่แกยอมรักษาให้ หมอบอกว่าช่วยคนอื่นมากเกินไปตัวเองก็เดือดร้อนแบบนี้ ก็แสดงว่าหมอเขาก็เข้าใจเรื่องของการที่ไปยุ่งกับกรรมชาวบ้านเขา ความจริงไม่ใช่อาตมาไม่มีแรงไปสู้ เพียงแต่ไม่คิดจะสู้ต่างหาก เรื่องกฎของกรรมนี่จะไปสู้อะไรได้ แต่นั่งมองว่าเขาจะทำอะไรเราบ้าง ยอมรับแต่โดยดีว่าเราเป็นหนี้ แล้วก็จ่าย ๆ ไปเสีย"

เถรี 09-05-2016 15:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงประมาณอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา พระนิสิตปริญญาตรี การจัดการเชิงพุทธปี ๒ ของห้องเรียน มจร.วัดป่าเลไลยก์ ปกติอาตมาก็ต้องไปสอนถึงวัดป่าเลไลยก์ เขาบอกว่าอยากเห็นว่าอาจารย์ทำอะไรบ้าง ขอไปเรียนที่วัดสักวันหนึ่ง อาตมาก็บรรยายแล้วก็ฉายสไลด์ให้เขาดูว่าทำอะไรไปบ้าง เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาสงเคราะห์ พอบรรยายจบ เขาตั้งคำถามว่า “หลวงพ่อเอาเงินจากไหนมาทำครับ ?” เขาเห็นว่าจ่ายเสียขนาดนั้น

ทุนการศึกษาปีนี้ ๙ โรงเรียน แล้วก็มีทุนอุดมศึกษาคือระดับปริญญาตรีทุนละ ๓๐,๐๐๐ บาทอีก ๙ ทุน เพราะว่าปีนี้จบเพิ่มอีกหนึ่งราย อีกรายหนึ่งที่ไม่จบเพราะว่าทำงานไปเรียนไป ขาดเรียนมากก็เลยไม่จบ ทางด้านอาจารย์ที่ปรึกษาถามมาว่าจะให้ทุนอีกไหม ? อาตมาบอกว่าให้อีกปีหนึ่ง แล้วขอดูผลการเรียน ไม่อย่างนั้นปีนี้จะเหลือแค่ ๘ ทุน เพราะว่าพวกที่เรียนปริญญาตรี ๕ ปี โดยเฉพาะคณะครุศาสตร์ ปีนี้เริ่มจบ จึงเหลือน้อยลง แต่ว่าปรากฏว่ามีรายนี้ที่ไม่จบ จึงต้องให้เพิ่มไปเป็นปริญญาตรี ๙ ทุน ก็ ๒๗๐,๐๐๐ บาท

ถ้าหากว่าเป็นทุนระดับมัธยม อาตมาให้ทุนละ ๓,๐๐๐ บาท เฉพาะของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาก็ ๒๔ ทุนตายตัวอยู่แล้ว แล้วยังมีโรงเรียนบ้านดินโส โรงเรียนบ้านเหมืองสองท่อ แล้วก็โรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทน ส่วนของระดับประถมศึกษาทุนละ ๒,๐๐๐ บาท ก็ตกโรงเรียนละ ๔๐,๐๐๐ บาท จะขยายทุนไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยปีละ ๑ โรงเรียน จนกว่าจะครบ ๓๒ โรงเรียนของทองผาภูมิ ไม่รู้ว่าอาตมาจะอยู่ถึงหรือเปล่า ?

ส่วนพระเณรของวัดท่าขนุนที่เรียน มีรายจ่ายประมาณเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วเดือนไหนค่าเทอมออกก็ราว ๆ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ให้เขาไปเรียนเองข้างนอกก็คงไม่ไหว อาตมาจึงส่งเรียนทุกรูปที่อยากเรียน"

เถรี 09-05-2016 15:31

"ปีนี้มิติเด็กวัดท่าขนุน จบปริญญาตรีก็ให้ต่อปริญญาโทไปเลย ทั้งหมู่บ้านของเขาเพิ่งมีจบปริญญาตรีคนนี้คนเดียว กลับไปคุณสมบัติก็ท่วมชาวบ้านแล้ว เห็นมีโอกาสจึงให้เรียนต่อปริญญาโทไปเลย โดยเฉพาะเขาเรียนปริญญาตรีของสุโขทัยธรรมาธิราช อ่านหนังสือเองแล้วไปสอบ ไม่มีอาจารย์อธิบายให้ฟัง ก็เลยเรียนถึง ๖ ปี เรียนตั้งแต่อาตมาเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย มาจบหลังอาตมาจบปริญญาเอก ๑ ปี อาตมาอยากจะให้ยืมสมองไปใช้เหมือนกัน เสียดายที่ถอดให้ไม่ได้...!

บอกกับนักศึกษาว่า งานคณะสงฆ์ของเรามีจุดบกพร่องตรงที่ว่า ทำความดีแล้วไม่มีใครช่วยโฆษณา แต่ว่าพอทำไม่ดีจะโดนทันที สิ่งหนึ่งที่ขอเอาไว้ก็คือ ถ้าไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืองานเป็นสาธารณะ ที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับคณะสงฆ์ ก็อย่าทำให้คณะสงฆ์ต้องพังเพราะมือของพวกท่านเอง ก็คือถ้าไม่สามารถที่จะทำให้ศาสนาเจริญได้ ก็อย่าทำให้ศาสนาพังเพราะเราเลย

อาจารย์ท่านให้เอกสารมาด้วย กำหนดหัวข้อให้สรุปการบรรยายเป็นข้อ ๆ ถึงเวลาก็ส่ง ความจริงการเรียนนอกสถานที่ก็ดี แต่ว่าจากวัดป่าเลไลยก์ไปถึงทองผาภูมิ เดินทางตั้ง ๓ ชั่วโมง ช่วงนี้เป็นช่วงภาคฤดูร้อนของพระเณร อาตมาโดนบรรยายวันละ ๖ ชั่วโมง วันก่อนไม่ได้ไปงานศพของโยมที่คุ้นเคยกัน เพราะว่าชั่วโมงสุดท้ายเลิก ๖ โมงครึ่ง จากวัดไร่ขิงวิ่งกลับไปวัดท่าขนุนอย่างไรก็ไม่ทันฟังสวด โยมก็มักจะบ่นว่างานศพก็ไม่ได้ไป ถ้าว่างวันไหนก็ไปวันนั้นแหละ เขาสวดตั้ง ๕ วัน ๗ วัน

เมื่อวานซืนก็ไปประชุมที่วัดตะคร้ำเอน อำเภอท่ามะกา จน ๕ โมงกว่า วิ่งกลับไปทันฟังสวดพอดี ไม่ได้เข้าวัดหรอก ไปงานศพเขาก่อน เสร็จแล้วค่อยไปสรงน้ำผลัดผ้า ยังโชคดีว่าชุดของพระไปได้ทุกงาน แปลว่าเวลาที่จะเปลี่ยนชุดยังไม่มีเลย..!"

เถรี 09-05-2016 15:56

มีเด็กถามเรื่องสัตว์วิเศษ "พวกสัตว์เขาจำพวกที่เกิดมาแล้วมีของดีคู่ตัวมา ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนสัตว์บางประเภทเขาต้องเอามาทำเป็นยาหรืออาหาร ถึงจะมีสรรพคุณพิเศษกว่าอย่างอื่นเขา ถ้าอยากจะรู้ว่าสัตว์อะไรเป็นสัตว์วิเศษนี่ต้องศึกษากันอีกเยอะ

จะว่าไปแล้วพวกสัตว์เขาก็มีอำนาจจิตนะ อย่างงูเวลาเลื้อยเข้าหาเหยื่อ บางทีเหยื่อแข็งทื่อไปไหนไม่ได้เลย เอาเป็นอันว่าถ้าเสือเดินเข้ามาหา ถ้าเราวิ่งหนีได้ก็คือไปเลย ถ้าไม่ได้ก็คือยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น นี่คืออำนาจของสัตว์ ต้องบอกว่าอำนาจจิตเขาเหนือกว่า กดเหยื่ออยู่เลย"

เถรี 09-05-2016 16:01

ถาม : ในเรื่องเพชรพระอุมา เชื่อความรู้เกี่ยวกับป่าได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ถ้าความรู้เกี่ยวกับป่าก็เชื่อได้ทั้งหมดนั่นแหละ เป็นของจริงที่ครูเขาไปเจอมาเอง แม้กระทั่งที่ไปเอาพริกขี้หนูมาตำแล้วพอกแก้พิษตะขาบ ตำรายาของอินเดียเขาบอกว่า ให้เอาพริกขี้หนูมาตำ ละลายน้ำ แล้วก็กรอกให้คนที่โดนงูกัด ส่วนกากให้เอาไปพอกที่แผล รับรองว่าหายทุกราย อาตมาว่าไม่หายก็คงตายเพราะพริกขี้หนูนั่นแหละ เผ็ดเสียขนาดนั้น..!

เถรี 11-05-2016 12:18

มีโยมพาคนที่พิการทางสมองมาทำสังฆทาน "เก่งมาก...ยังใช้งานได้ มีหลายคนที่เหมือนอย่างกับหุ่นยนต์ ต้องสั่งถึงจะทำ นี่เขายังรู้จักคิดรู้จักทำเอง

จำไว้ว่าโทษของสุราและยาเสพติดนั้นข้ามชาติข้ามภพในลักษณะอย่างนี้แหละ เกิดใหม่ก็กลายเป็นคนไม่เต็มเหมือนอย่างที่เห็น ตอนนี้บังคับเอาเหล้ากรอกปากก็ไม่กินแล้ว เรื่องที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือทุกชาติทุกภาษาก็มีเหล้า
ถามหน่อยซิ มีชาติไหนที่ไม่มีเหล้าบ้าง ? แม้กระทั่งประเทศอิสลามซึ่งกฎหมายเขาห้ามกินเหล้า แต่ที่สุไหงโกลกคนทางฝั่งมาเลเซียข้ามด่านมากินเหล้าที่สุไหงโกลก เมาได้ที่แล้วค่อยกลับบ้าน แต่ละชาติแต่ละภาษาก็มีเหล้าที่มีชื่อเสียงของตัวเอง สรุปแล้วเรื่องผิดศีลนี่ไปทั่วโลกเลย"

เถรี 11-05-2016 12:20

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่พาครอบครัวมาทำสังฆทาน “อ้าว...แล้วพ่อไม่ได้มาหรือ ? (นั่งรอข้างล่างครับ ขึ้นบันไดไม่ไหวแล้ว) อุ้มขึ้นมาเลย ขอแนะนำ อาตมาเองสมัยดูแลหลวงปู่มหาอำพัน อุ้มท่านจาก ๘๐ กว่ากิโลกรัมจนเหลือแค่ ๔๔ กิโลกรัม”

เถรี 11-05-2016 12:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่าทางด้าน สปช. จะปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เหมือนอย่างกับเคาะกะลาให้หมาดีใจ ขออภัยถ้าท่านคิดว่าตัวเองเป็นหมา อาตมาแค่เปรียบเทียบตามสำนวนโบราณเท่านั้น

เขาบอกว่าปัจจุบันนี้เปรียญธรรม ๙ ประโยคเขาเทียบให้แค่ปริญญาตรีเท่านั้น ถ้าเรียนไม่ตกเลยต้องเรียนใช้เวลาถึง ๘ ปี ก็เลยจะมีการเทียบให้ว่าเปรียญธรรม ๖ ประโยคเทียบเท่าปริญญาตรี เปรียญ ๗ หรือ ๘ ประโยคเทียบเท่าปริญญาโท แล้วเปรียญธรรม ๙ ประโยคเทียบเท่าปริญญาเอก

อาตมาอยากจะเตือนท่านที่กำลังจะเด้งรับว่า เขาแค่เคาะกะลาให้หมาดีใจ เพราะว่าประโยคเปรียญธรรมต่าง ๆ นั้นเรียนแต่บาลีอย่างเดียว ไม่มีความรู้พื้นฐานอื่นเลย ซึ่งส กอ. อย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้ผ่านอยู่แล้ว ซึ่งแปลว่าถ้าใครอยากได้ก็ต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานอย่างน้อย ๖ วิชา แล้วถ้าเป็นปริญญาโทหรือปริญญาเอก ก็อาจจะต้องเรียนวิธีการทำวิจัยเพิ่มเติม และอาจจะต้องทำวิจัยเกี่ยวกับภาษาบาลี ซึ่งจำนวนผู้ที่สอบบาลีได้มีมากมายมหาศาลทั่วประเทศ ถ้าไปเทียบวุฒิพร้อม ๆ กันก็หาหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่ได้หรอก

ของบางอย่างเขาพูดให้ฟังดูดี แต่ไม่ได้ง่ายในการที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามที่พูด ฉะนั้น...อย่าได้หลงไปดีใจ "

เถรี 11-05-2016 12:22

"ที่อาตมาต้องการคือ แค่ให้การเรียนบาลีเป็นการเรียนแบบเก็บหน่วยกิต ถ้าหากว่าเก็บหน่วยกิตได้เท่านั้นเท่านี้ก็ให้ผ่านประโยคนั้นไป เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว การเรียนบาลีปัจจุบันนี้เรียนเพื่อรู้มีมาก แต่เรียนเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญมีน้อย ดังนั้น...ถ้าเรียนแบบเก็บหน่วยกิตก็สำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ต้องการรู้ว่าบาลีแปลว่าอย่างไร เอาประเภทแค่แปลออกงู ๆ ปลา ๆ ก็ยังดี แต่ถ้าจะเอาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก็เอาท่านที่เรียนยาวไปยันประโยค ๙ เลย เสร็จแล้วก็ศึกษาบาลีชั้นสูงเพิ่มเติมให้รู้ที่มา รู้สูตรในการสมาส ในการสนธิต่าง ๆ"

เถรี 11-05-2016 13:01

ถาม : สวดพระคาถาเงินล้านแล้วมือร้อน มีอยู่วันหนึ่งนั่งแล้วใจสบายก็เลยภาวนาสักหน่อย ทีนี้เกิดอาการร้อนก็เลยปล่อยไปเรื่อย จนความร้อนเกิดเป็นคลื่นขึ้นมาถึงหัว แล้วก็ลงมาที่มือ ?
ตอบ : สังเกตดูว่าหลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่เราภาวนาทำให้เกิดผลแล้วหรือไม่ แล้วถ้าหากว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง แปลว่าคาถาน่าจะได้ผล ต่อไปให้สังเกตดูว่าพอเกิดอาการอย่างนั้นขึ้นแล้ว มีลาภผลอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ถาม : พอกลับมาก็เลยเปิดคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีก็ร้อนเหมือนกัน ก็ไม่คิดว่าเปิดคำสอนก็จะเกิดอาการร้อนเหมือนกัน ?
ตอบ : แสดงว่าเกิดจากกำลังของสมาธิ

ถาม : หลังจากนี้แล้ว ต้องทำอะไรต่อไปคะ ?
ตอบ : มีหน้าที่ภาวนาไป อย่าไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถ้าสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น สมาธิจะไม่ทรงตัว บางคนก็กลัวจนไม่ทำต่อ ซึ่งทำให้เสียประโยชน์ของตนเอง ทำไปเรื่อย ๆ จะเป็นจะตายก็ช่างมัน

ถาม : ถ้าอย่างนั้นควรภาวนาต่อ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ถ้ามัวไปใส่ใจก็เสียผลในการปฏิบัติ

เถรี 11-05-2016 13:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพวกเรานั่งในห้องนี้แล้วรู้สึกว่าสบาย ก็แปลว่าตอนนี้ทุกห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เต็ม เคยดูรูปที่เขาส่งมา ห้างในเมืองจีน โดยเฉพาะที่ขายเฟอร์นิเจอร์ มีคนนอนแน่นไปหมด นอนแบบไม่เกรงใจคนขายเลย ไม่ว่าจะเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เขายึดไปนอนหมด

ตรงจุดนี้ที่กล่าวถึง ไม่ได้เปรียบให้ดูว่าคนไทยเรามีระเบียบวินัยมากกว่า แต่อยากจะบอกว่า คนเราจำนวนมากเวลาเดินซื้อของในห้างมักจะลืมวันลืมเวลา เพราะว่าทางห้างเขาตั้งใจทำให้ไม่มีเวลา เนื่องจากว่าจะกี่โมงกี่ยามก็สว่างเท่ากันหมด และส่วนนี้แหละที่บุคคลเป็นจำนวนมากควรจะเอามาพิจารณาว่า ที่ตัวเองบอกว่าไม่มีเวลาให้ลูกนั้นจริงไหม ? เดินห้างได้เป็นวัน ๆ แต่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็แปลว่าเวลาสำหรับลูกมีเหลือเฟือ แต่ไม่รู้จักแบ่งเวลาเอง

สำหรับลูกหรือเด็ก ๆ แล้ว เราจะอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้ ต่อให้ไม่มีขนาดไหนก็ต้องหามา เพราะว่าไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังต้องการเวลาจากคนอื่น โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่กำลังใจยังไม่มั่นคงพอ ต้องการให้คนอื่นสนใจ ต้องการให้เป็นที่ยอมรับ ก็เลยกลายเป็นว่าเด็กวัยรุ่นส่วนหนึ่งไปทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ในสายตาผู้ใหญ่ แต่เขาได้การยอมรับจากเพื่อนฝูง ทำแล้วเพื่อน ๆ เห็นว่าเขาเป็นฮีโร่ เขาก็เลยไปแว้น ไปพ่นสีใส่กำแพง ไปยกพวกตีกัน จะว่าไปแล้วก็เริ่มมาจากในบ้านทั้งนั้น ก็คือเริ่มจากการที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก

ที่อนาถกว่านั้นอีกก็คือ บางบ้านเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ดูแลหมาแมวจนลืมลูก ไม่ได้พูดเล่นนะ มีจริง ๆ ถึงเวลาต้องพาหมาไปฉีดวัคซีน ถึงเวลาต้องให้ยา แต่ลืมไปว่าลูกที่อยู่ที่บ้านต้องการความสนใจมากกว่าหมาเยอะ ถ้าคิดผิดก็คิดใหม่ได้ ถ้าทำผิดก็ทำใหม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด แต่สำคัญที่ว่าผิดแล้วรู้จักแก้ไขไหม ?"

เถรี 11-05-2016 13:33

"สองวันมานี้อาตมาเห็นเขาทำผัง โยงเรื่องที่คนสารพัดกลุ่มทำว่าเป็นการวางแผนร่วมกันเพื่อต่อต้านรัฐบาล อาตมาเห็นแล้วเซ็งมาก เรียกว่าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ควรจะไปโยงเรื่องว่า ทำไมเศรษฐกิจไม่ดี ? ทำไมชาวบ้านไม่มีน้ำทำนา ? ทำไมชาวบ้านไม่มีเงินใช้ ? แล้วก็หาทางแก้ไขต้นเหตุนั้นเสีย ถ้าทำอย่างนั้นได้ ปัญหาการเมืองจะหมดไปจากประเทศไทยเลย ดันไปโยงเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง จะให้คนมีความเห็นอย่างเดียวกันทั้งประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้

ถ้ารัฐธรรมนูญของคุณดีจริง ทำไมต้องกลัวด้วยว่าจะไม่ผ่านประชามติ ? ของดีต้องขายได้ในทุกที่สิ ไม่ใช่บังคับซื้อ อาตมาเห็นแล้วมาคิด ๆ ว่านี่ถ้าหากอาตมาเป็นนายกฯ น่าจะบริหารได้ดีกว่า..!"

เถรี 11-05-2016 13:41

"อีกส่วนหนึ่งที่อาตมาฟังแล้วยังคิดว่า ตกลงเขาใช้หัวแม่เท้าคิดแทนสมองกันหรืออย่างไร ? ถึงไม่ผ่านประชามติก็จะใช้ ม.๔๔ แล้วจะทำประชามติให้เปลืองงบประมาณไปตั้งหลายพันล้านทำไม ? ก็ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็เอา ม.๔๔ ไปเลยก็หมดเรื่อง มาล้างผลาญเงินทองบ้านเมืองทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงินไปทำไม ?

ใช้ ม.๔๔ เล่นงานพวกเผาป่าหรือทำลายป่าไม้ไปสิ เดี๋ยวประเทศไทยเราก็เขียวชอุ่มขึ้นมา ฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลไปเอง เขาไม่ยอมปรับตามความต้องการของประชาชน จะให้ประชาชนปรับตามเขาอย่างเดียว เพราะฉะนั้น...ไม่มีประโยชน์ อาตมาพูดไปต่อให้สมเหตุสมผลขนาดไหนก็ตาม เขาจะว่าไอ้นี่เสื้อแดงแน่นอน

ปัจจุบันนี้บ้านเราเมืองเรามีมือที่มองไม่เห็นใหญ่กว่าที่เราคิด ต้องการจะสร้างความแตกแยกให้มากที่สุด เพื่อที่จะปกครองบ้านเราให้ได้ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้น...เหตุการณ์ที่ไม่ควรจะมีถึงได้มีขึ้นมา แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนกลายเป็นแนวร่วมไปทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา กลายเป็นช่วยกันทำให้ประเทศไทยแตกแยกหนักยิ่งขึ้น เสียดายว่าสมัยนี้ปิดหูปิดตาชาวบ้านไม่ได้แล้ว คือส่วนใหญ่แล้วไม่ได้วิจารณ์เพราะหวังดีปรารถนาดี แต่วิจารณ์ไปตามอารมณ์ ในเมื่อวิจารณ์ไปตามอารมณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในความหวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ทำให้สถานการณ์ร้อนระอุยิ่งขึ้น"

เถรี 11-05-2016 13:42

"ปัจจุบันนี้ที่รัฐบาล คสช.เสื่อมความน่าเชื่อถือลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าทุกอย่างที่ว่าเขาเอาไว้แล้วตัวเองมาทำเสียเอง และทำหนักกว่าด้วย กลายเป็น "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" ก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลเก่าเป็นเผด็จการรัฐสภา ปัจจุบันนี้เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดเผด็จการรัฐสภา เป็นเรื่องอะไรที่ตลกมาก แต่หัวเราะไม่ออก

พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไป อย่าหวังว่ารัฐบาลจะช่วยก็พอแล้ว ถ้าหวังว่ารัฐบาลจะช่วยไม่รู้ชาติหน้าบ่าย ๆ จะได้ช่วยหรือเปล่า ? เพราะมีแต่ช่วยซ้ำให้หนักขึ้น อย่างช่วงนี้ร้อนและแล้งจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องที่อยู่ลักษณะเร่งด่วนและต้องแก้ไขให้ได้ แต่อีก ๒ เดือนผ่านไป เรื่องนี้จะถูกลืม แล้วก็กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนใหม่ ก็คือน้ำท่วมจะช่วยอย่างไร ? พอถึงเวลาอีก ๒ เดือนถัดจากนั้น น้ำท่วมก็โดนลืม บ้านเราทำอะไรฉาบฉวยตามกระแสเท่านั้น ไม่ได้มีการแก้ไขอะไรให้ยั่งยืนเลย เอาเถอะ...พอแค่นี้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติจริง ๆ..!"

เถรี 11-05-2016 13:43

ถาม : จับภาพพระกับกสิณควบกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าฝึกใหม่ต้องจับภาพกสิณให้ชัดเจนเต็มที่ก่อน แล้วค่อยอธิษฐานภาพพระขึ้นมา

เถรี 12-05-2016 15:14

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ได้คะ ?
ตอบ : หยุดคิด ส่วนใหญ่แล้วคนเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ไม่อยากได้นั่น ไม่อยากได้นี่ ทำอย่างไรจะตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสแล้วจะไม่คิด เพราะว่าการคิดทำให้เราชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ เล่นงานเราทั้งคู่

ทำอย่างไรเราจะหยุดได้ทันทีที่สัมผัส ก็คือตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส แล้วหยุดไว้แค่นั้น ตอนนี้ได้แค่หยุด หลังจากนั้นพอพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นโทษแก่เราแล้ว ทันทีที่อายตนะสัมผัส สภาพจิตจะตัดออกไปเลย จะไม่มีการปรุงแต่งต่อ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ให้โทษแก่เราไม่ได้ ในเมื่อให้โทษแก่เราไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่เกิด จึงเหลือแต่ความสุข


ถาม : ทำอย่างไรจึงจะหยุดคิดได้ ?
ตอบ : สมาธิ ถ้าทำสมาธิ สติจะแหลมคมขึ้น สติแหลมคมขึ้น ก็รู้เท่าทันในทันทีที่จะคิดแล้ว ถ้าหากว่าคิดในด้านดีจะเป็นอย่างนี้ คิดในด้านไม่ดีจะเป็นอย่างนี้ ส่วนนี้เป็นตัวปัญญาที่เข้ามาเสริม ในเมื่อเห็นแล้วก็คือทิ้งในด้านที่ไม่ดี คิดในด้านที่ดี หรือถ้ากำลังใจปล่อยวางจริง ๆ ดีหรือไม่ดีก็ไม่เอา เพราะปล่อยทิ้งไปเลย ไม่คิด

ดังนั้น...คำตอบอยู่ที่สมาธิเสียส่วนใหญ่ พอมาตอนหลังปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษก็ไม่ไปแตะต้องอีก เหมือนกับคนตกลงไปในส้วม ขึ้นมาอาบน้ำสะอาดแล้ว แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่อย่างดี ไม่มีใครอยากลงไปในส้วมอีก จะเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษในลักษณะอย่างนั้น ก็คือไม่ไปแตะไปต้องอีก พยายามหน่อย...ไม่ยากหรอก พวกเราส่วนใหญ่มี
พื้นฐานอยู่แล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว