![]() |
ถาม : มีคนโพสต์ว่า ผู้ทรงฌาน มารจะมองไม่เห็น จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง...แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดเมื่อไรก็เห็น ที่มารมองไม่เห็นเพราะว่าเสนามารไม่สามารถที่จะรุกรานได้ บุคคลที่ทรงฌาน รัก โลภ โกรธ หลง นิ่งสนิทหมด กิเลสไม่เกิดแล้วมารจะหาเจอได้อย่างไร ? ประโยคนี้เป็นพุทธพจน์เลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเองเลย ถาม : เดี๋ยวนี้โพสต์กันง่ายครับ ? ตอบ : โพสต์กันง่าย แต่คราวนี้ต้องเข้าใจด้วยว่ามีที่มาอย่างไร คนที่ทรงฌานกิเลสเกิดไม่ได้อยู่แล้ว พอกิเลสเกิดไม่ได้มารก็หาไม่เจอ แต่อย่าหลุดเชียวนะ ถ้าหลุดเมื่อไรมารเขาก็หาเจอเมื่อนั้นแหละ..! |
ถาม : พระโสดาบันทรงฌานตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ตลอดจะตัดกิเลสไม่ได้ ฌานเท่ากับเป็นสมบัติเฉพาะตัวของท่านไปแล้ว ถาม : ถึงว่าทำไมกรรมเก่าตามไม่ทัน ? ตอบ : ตามทัน เพียงแต่ว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าไม่ใช่กรรมที่หนักจริง ๆ ไม่ได้กินท่านหรอก ถาม : ของผมกำลังใจได้อยู่แค่ช่วงเช้า แป๊บ ๆ ก็ไปแล้ว ? ตอบ : ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากหน่อย ไม่ใช่ถึงเวลาแป๊บ ๆ แล้วเราก็ปล่อยแป๊บต่อไป |
ถาม : ผมตั้งใจว่า ผมจะรักษาศีลแปดตลอดชีวิต คิดได้แป๊บหนึ่ง เอ๊ะ..เดี๋ยวจะหนักไป พระโสดาบันยังศีลห้า เราเอาแค่ศีลห้าดีกว่า อย่างนี้เราตั้งกำลังใจผิดไหม ?
ตอบ : จะเรียกว่าผิดไหม ? ก็ไม่ผิด แต่ถ้าถามว่าถูกไหม..? ก็ไม่ถูก เป็นเฉพาะในเหตุการณ์ช่วงนั้น เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเข้าพระนิพพานชาตินี้ได้ก็จะเอาเลย หมดเรื่องไป ถาม : ไม่ต้องไปตั้งใจว่าศีลอะไรหรือครับ ? ตอบ : จะศีลอะไรก็ช่าง อย่างน้อยก็ต้องศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่แล้ว ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่การลงมือทำ มีโอกาสละเมิดก็ตัดใจงดเว้น ไม่ใช่เสียเวลาไปว่าทีละข้อ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่สุขภาพไม่ค่อยดีว่า "เขายังให้เราไปไหนได้ก็เอาเถอะ เขาให้แค่ไหนเราก็เอาแค่นั้น เขาขวางการสร้างบุญของเราไม่ได้หรอก ถ้าไปไหนไม่ได้เลยก็นั่งภาวนาเอา อย่างน้อยก็ได้บุญเหมือนกัน"
|
ถาม : ผมเปิดเทปที่ท่านสอนกรรมฐาน ฟังแล้วก็ชอบ ทำเลย ฟังแล้วฟังอีก ก็มีความรู้สึกว่าทำไมเราไม่ฟังทั้งวัน คือเราควรจะฟังจากวันนี้ไปเลย ?
ตอบ : ถ้ายังเหมาะกับกำลังใจเราก็ใช้ไปเรื่อยก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าหาประโยชน์อะไรเพิ่มเติมไม่ได้นอกจากอนุสติ แล้วค่อยขยับไปเนื้อหาเรื่องอื่น เพราะว่าถ้าตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น เราก็จะรู้สึกชอบ |
ถาม : ผมว่าพวกเดินข้ามแม่น้ำเอง เป็นนักมายากลประหลาด ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้เขาทำกันได้เป็นปกติแล้ว เพียงแต่ถ้าใช้คำว่ามายากล คนเขาจะได้ไม่สงสัย ถาม : เขาเดินข้ามระหว่างตึกได้ ? ตอบ : ให้สังเกตด้วยว่าก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้น เขาต้องรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่ง เคยสังเกตไหม ? นั่นเขาไม่ใช่ทำท่านะ เขาตั้งสมาธิจริง ๆ เขาไม่ได้ทำท่าหลอกชาวบ้าน คือเขาเองไม่มีความเข้าใจที่จะเข้าออกสมาธิให้คล่องตัวถึงขนาดแค่นึกก็เป็น จึงต้องรวบรวมกำลังใจให้ได้ว่า ถ้าระดับนี้แหละ...กูจะทำได้ พอกำลังใจทรงตัวระดับนั้นเขาถึงจะทำ ถาม : แต่เขาก็เก่งกว่าเรานะ ? ตอบ : เขาเก่งกว่าคุณ ...(หัวเราะ)... ถาม : ทำไมเราทำแบบนั้นไม่ได้ ที่จริงพื้นฐานของเรามีมากกว่าตั้งเยอะ ? ตอบ : เพราะเราเองไม่ยอมรับกฎของกรรม ฝรั่งเขาไม่รู้คำว่ากฎของกรรมก็จริง แต่ จะเห็นว่าการเล่นของเขาเล่นกันในขอบเขต คำว่าเล่นในขอบเขตก็คืออยู่ในลักษณะของมายากล ส่วนเราถ้าทำได้ เดี๋ยวคอยดู เราจะไปยุ่งเรื่องของกฎของกรรมให้ยุ่งไปหมด กูจะแก้ไขตรงนั้น กูจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ก็บรรลัยสิครับ เพราะฉะนั้น...ตราบใดที่เรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ ต่อให้คุณทำอภิญญาได้ ก็ขึ้นไม่เต็มที่หรอก เพราะจะไปทำให้กฎของกรรมเขาบรรลัยหมด ถาม : ผมอ่านดูคำสอนของหลวงพ่อ คนที่ยอมรับกฎแห่งกรรมมีแต่พระอรหันต์นะครับ ? ตอบ : นั่นท่านยอมรับทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ให้ยอมรับสักบางส่วน เช่น เราจะไม่ไปยุ่งกับกฎของกรรมอะไรอย่างนี้ ถาม : ยากนะครับ ? ตอบ : เพราะยาก เราถึงทำไม่ได้สักที ทำกำลังใจแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปเอาอภิญญา..! ถาม : เห็นเขาร้องไห้แค่นี้ก็อยากช่วยเขาแล้ว ? ตอบ : ถึงได้บอกว่าสมัยก่อนถึงเขาไม่ได้ขอร้อง อาตมาก็วิ่งไปช่วยเขา ตอนนี้ถ้าไม่ล้มทับตีนอยู่ หนีไม่ได้แล้วละก็ ไม่มีทางช่วยหรอก ตัวใครตัวมันเถอะ..! ต้นเดือนที่ผ่านมามีผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่าโดนไสยศาสตร์ทำมา ก็ช่วยบรรเทาให้เขาไปแค่นั้น สามีก็ถามว่าจะไม่ช่วยให้มากกว่านี้หรือ ? เขาบอกว่าถ้ารองานเป่ายันต์ฯ ผู้หญิงจะตายเสียก่อน อาตมาบอกไปว่า “นั่นเป็นปัญหาของคุณ” ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น คือเราจะไม่ไปยุ่งเรื่องกฎของกรรมมากจนเกินไป บรรเทาได้ก็บรรเทาไป ถ้าไม่ถึงตายคุณก็ทนเอาบ้างสิวะ..! ถาม : ถ้าเขามาขอช่วยให้ท่านช่วยต่อหน้า ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าไม่ได้ล้มทับตีนอยู่ เดินได้ก็เดินหนีไปก่อน ถาม : พรหมวิหารสี่ไม่ขาดหรือคะ ? ตอบ : ไม่ขาด...อยู่พรหมวิหารสี่เป๊ะเลย แต่เป็นอุเบกขา แหม...จะเอาแต่เมตตาอย่างเดียว โง่ตายห่าเลย..! ถาม : เขาไม่สมควรโดนหรือเปล่าครับ อยู่ ๆ ก็มีคนทำคุณไสยใส่ให้ ? ตอบ : ถ้าหากไม่มีวาระกรรม เขาจะใส่มาได้อย่างไร ? คุณต้องสร้างเหตุไว้ ผลถึงได้มาอย่างนั้น |
ถาม : เวลาเราพิจารณาธาตุสี่ ธาตุสี่ในตัวเราและธาตุสี่ที่ไม่ใช่ในตัวเรา จะสามารถมีปฏิกิริยารวมกันหรือนำมาใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตอนแรกนี่คุณพูดถึงการพิจารณานะ แต่ตอนหลังที่คุณพูดถึงนั่นคือการใช้งาน ธาตุภายในกับธาตุภายนอกจะใช้งานร่วมกัน ขึ้นอยู่กับคุณว่ามีความสามารถพอไหม ? ถ้ามีความสามารถพอก็ดึงเอามาใช้งานร่วมกันได้ แต่ถ้าการพิจารณา เขาพิจารณาให้เห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้ใจของเรายอมรับ แล้วก็ไม่ไปฝืน ก็คือเห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้น อะไรที่เกิดขึ้นเราก็ต้องยอมรับว่า ในเมื่อมีสภาพร่างกายที่เป็นธาตุ ๔ เช่นนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา จิตใจของเราจะไม่ไปหวั่นไหว ไม่ไปดิ้นรน เป็นคนละเรื่องกันเลยนะ ถาม : ถ้าทำถึงที่สุดแล้วก็ทำได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าคุณทำถึงที่สุดได้ ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดใช้อะไรรวมกันแล้ว เพราะมีแต่โทษ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตกลงญาติโยมด้านหลังตามกันทันไหม ? ออกนอกทางไกลไปหน่อย |
ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเรา เราติดหนี้บุญคุณท่านไหมครับ เราต้องทดแทนคุณท่านไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเหตุที่รองรับไม่พอ ท่านก็ไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ หมายความว่าเราต้องสร้างเหตุก็คือความดี หรือบารมีที่เพียงพอ ท่านถึงจะช่วยสงเคราะห์เราได้ การสงเคราะห์เราจะด้วยเหตุที่เราทำมาพอหรือไม่พอก็ตาม การสงเคราะห์นั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม ก็ถือว่าท่านมีบุญคุณที่ช่วยเราอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสก็ระลึกถึงบุญคุณของท่าน สร้างบุญสร้างกุศลอะไร ก็อุทิศไปให้กับท่านบ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้รู้สึกว่ามีการตอบแทนให้กับท่านไปบ้าง ให้สมกับที่ท่านช่วยเรามา |
ถาม : ทำไมพระคาถา เขาสวดกันหลายจบ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากเท่าไรพระคาถาก็มีผลมากเท่านั้น คุณคิดว่าสวดจบเดียวกับ ๑๐๘ จบ อย่างไหนสมาธิจะทรงตัวมากกว่ากัน ? ถาม : แต่ว่าบางทีสวดมากไปก็ไม่มีสมาธิ หรือถ้าสวดจบเดียวแล้วมีสมาธิ สวดจบเดียวดีกว่า ? ตอบ : ถ้าคุณมั่นใจว่าสมาธิคุณดี คุณก็สวดไปจบเดียว |
ถาม : การสวดพระคาถาเงินล้านเพื่อฝึกทิพจักขุญาณ เวลาเราจะภาวนา นึกคาถาโดยนึกถึงภาพก็จะเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน ต้องเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน หรือต้องเกิดภาพอย่างเดียว เกิดเสียงอย่างเดียว ?
ตอบ : ต้องเกิดพร้อมกันอยู่แล้ว เพียงแต่คุณเพิ่มในส่วนของภาพให้ได้เท่ากับเสียง หรือให้ได้มากกว่าเสียงได้ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นถ้าคุณไปเน้นที่เสียงมากกว่า ผลของภาพก็น้อยกว่า ทิพจักขุญาณก็จะไม่ชัดเจน |
ถาม : เขาได้ยินว่าเรานั่งสมาธิหรือสวดพระคาถาเงินล้าน ถ้าเขาโมทนา เขาก็ได้บุญร่วมกับเราได้ แต่ถ้าเราภาวนาแล้วใจไม่ได้เป็นสมาธิตาม คนอื่นก็จะไม่ได้บุญตาม ?
ตอบ : ถ้าเขาโง่เกินไป เขาก็ไม่ได้ ถ้าฉลาดหน่อย เขาเห็นเรานั่งสมาธิก็โมทนาตาม เรานั่งได้เท่าไรเขาก็ได้เท่านั้นแหละ การโมทนา คือการยินดีในความดีของคนอื่น เมื่อเราทำบุญแล้วเขายินดีด้วย ส่วนของเราก็ได้อยู่แล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเขาดีมักจะอิจฉา โอกาสที่จะเห็นเขาดีแล้วเรายินดีด้วยมีน้อย การที่เราสามารถละทิ้งความอิจฉาริษยา นำเอาความมุทิตาเข้ามาแทน ในส่วนที่รักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสอย่างนี้แหละ ที่เป็นบุญเป็นกุศลกับตัวเราเอง |
ถาม : ผมนึกถึงภาพ ถ้ามีคนหนึ่งกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล กำลังเกาะท่อนไม้อยู่ โดยเกาะด้วยสองมือ มีทางเลือกสองทาง คือ ปล่อยท่อนไม้ไปด้วยสองมือ แล้วพยายามว่ายไป แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง กับเราตื๊อเกาะท่อนไม้ด้วยสองมือไปเรื่อย ๆ แต่เรารู้ว่าแบบนี้ช้ามากกว่าจะถึงฝั่ง ผมกำลังเปรียบว่าเรากำลังเคว้งคว้างอยู่ในวิบาก ท่อนไม้เป็นกรรมที่เราแต่ง การที่ว่ายน้ำออกไป ปล่อยท่อนไม้ออกไป แปลว่าเราห่างจากกรรม แล้วไปเริ่มต้นใหม่ ผมไม่รู้ว่า...?
ตอบ : คุณเปรียบเทียบผิด ถาม : อย่างไรครับ ? ตอบ : ทันทีที่คุณนั่งสมาธิ แปลว่าคุณวางทุกอย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ คุณก็วางกายกรรม วจีกรรมได้ เหลือแต่มโนกรรมอย่างเดียว เพราะยังคิดชั่วอยู่ คุณก็ได้กำไรไป ๒ ส่วนแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถวางมโนกรรมด้วย ก็คือสมาธิทรงตัวตั้งมั่น แปลว่าตอนนั้นกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ ในเมื่อกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ แล้วคุณสร้างความดีไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม ถ้าคุณเติมได้มากพอ น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่รสเค็มไม่มี แปลว่ากรรมนั้นไม่สามารถที่จะให้ผลแก่เราได้ การที่คุณไปสร้างภาพเปรียบเทียบลักษณะนั้น ผิดตั้งแต่เปรียบแล้ว เพราะคุณไม่เข้าใจว่าการทำสมาธิจะมีอะไรเกิดขึ้น แปลว่าคำถามทั้งหมดที่คุณถามมา คุณยังไม่ได้ทำเลย แต่คุณไปฟุ้งซ่าน คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน ถาม : ผมยอมรับครับ ว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่ก็อยากถามครับ |
ถาม : ถ้าคนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ถือว่าเป็นการผิดศีล ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็โดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว..! ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ? ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องดูว่าโทษเขามีเท่าไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดทางโลกก็คือเรารู้ว่าเราไม่ตรงไปตรงมา ต้องละอายต่อมโนธรรมของตนเอง โดนมโนธรรมติเตียนอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นว่าเป็นพวกใจด้าน หน้าด้าน รู้อยู่ว่าเราทำอย่างนี้ แล้วเกิดผลดีผลสุขแก่เราเพียงชั่วคราวเฉพาะหน้า แล้วเราก็ไปทำ อีกส่วนหนึ่งก็คือโทษทางโลก เขาระบุเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ก็แปลว่าผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดครบ ๒ ด้าน ไม่มีทางให้เลี่ยงได้เลย ถาม : สมมติว่าเราขายก๋วยเตี๋ยวได้วันละสามร้อยชาม แต่เฉลี่ยแล้วได้ไม่เท่านี้ทุกวัน เราจะเฉลี่ยให้ขายได้น้อยลงเพื่อเสียภาษี อย่างนี้บาปไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าคุณประเมินการขั้นต่ำสุดได้ ก็ควรที่จะใช้การประเมินการขั้นต่ำสุด ก็คืออยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยว่าได้ประมาณวันละเท่าไร ไม่ใช่เฉลี่ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณก็ยังไปทำให้ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอีก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาษี อันนี้ก็มีโทษอยู่แล้ว เพราะเรารู้อยู่ว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ยังทำ สำคัญอยู่ตรงที่รู้แล้วยังขืนทำ |
ถาม : การที่เราดูหนังฟรี ฟังเพลงฟรี บาปไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราสามารถที่จะทำได้แค่ไหน ถ้าคนเขาเอามา และเราเองก็สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยที่ไม่มีการหวงห้าม ไม่มีการที่ให้เราโอนเงินก่อน ไม่มีการที่ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน อะไรลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นของสาธารณะ ก็จะเกิดแค่โทษทางธรรมเท่านั้น ก็คือไปหลงยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถาม : แต่ถ้าเราตั้งใจจะดาวน์โหลดเพลงฟรี ไปหาตามแหล่งที่เขาให้โหลดไว้ ? ตอบ : ถ้าหากว่าเรารู้ว่ามีลิขสิทธิ์ แม้กระทั่งทางโลกก็ผิด ทางธรรมจึงผิดแน่ ๆ อยู่แล้ว |
ถาม : การที่เราลักขโมย กับสิ่งที่เขาไม่ได้ให้เรา แต่เราไปหยิบฉวยมาเอง ความหนักขึ้นอยู่กับ...?
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ลัก ฉ้อโกง ปล้น วิ่งราว กฎหมายจะบอกอาการแต่ละอย่างเอาไว้ ว่าแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร ? มีโทษเป็นอย่างไร ? มีการให้คำจำกัดความในการตัดสินของกฎหมายว่า การวิ่งราวก็คือการที่บุคคลหนึ่ง นำเอาทรัพย์สินของอีกบุคคลหนึ่ง เคลื่อนที่ออกจากจุดนั้นไป เรียกว่าวิ่งราว แต่เขาตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า รถไฟ ๒ ขบวนวิ่งสวนกัน บุคคลที่อยู่รถไฟขบวนหนึ่ง เอื้อมมือไปดึงปากกาจากบุคคลที่อยู่บนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง โดยที่ตัวเขาไม่ได้ไปไหน เขาก็ยืนอยู่กับที่ แต่รถไฟนำเขาเคลื่อนจากไปเอง อันนั้นถือว่าเป็นคดีวิ่งราวหรือเปล่า ? ศาลตัดสินว่าเป็นการวิ่งราว เพราะว่าสมบัติก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่งเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูตรงจุดที่ว่า คุณวิ่งหรือคุณยืนเฉย ๆ แล้วพาหนะพาวิ่ง แต่ว่าเขาดูเจตนาว่าคุณตั้งใจเอาของเขาหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ก็อยู่แค่ว่า เราแค่มาใช้คำพูดเพื่อที่จะให้ดูหนักหรือเบา ต้องถามว่าผิดหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าโทษนั้นหนักหรือเบา การที่เราทำสิ่งที่เป็นโทษเบาหลาย ๆ ครั้ง โดยที่คิดว่าโทษไม่หนัก แต่จริง ๆ แล้วกำลังเป็นการตอกย้ำกรรมของตัวเอง คนที่ทำกรรมเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งรวมกัน เดี๋ยวท้ายสุดก็จะทำกรรมหนักจนได้ |
ถาม : การที่เราไม่ได้ใช้ธาตุสี่ในการละกิเลส ใช้เพื่ออย่างอื่น เป็นโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าคุณคิดว่าการมีชีวิตอยู่ในกองทุกข์นี้ไม่มีโทษ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บุคคลที่เห็นว่าการมีชีวิตอยู่นี้แม้แต่วันเดียวก็เต็มไปด้วยโทษ เพราะอาจจะพาเราลงอบายภูมิลึกกว่านี้ ลงต่ำไปมากกว่านี้ก็ได้ ฉะนั้น...ในเรื่องของธรรมะท่านก็จะปล่อยวาง ยอมรับ เพื่อปลดสภาพจิตของตนเองจากบ่วงที่ร้อยรัดอยู่นี้ แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เห็นว่าตรงนี้เป็นโทษ ก็ต้องทนอยู่ต่อไป ถาม : เขาพูดถึงเรื่องอวิชชา ? ตอบ : ทำให้ถึงก็รู้ ถ้าทำไม่ถึง อธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เอาเต่าไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาในน้ำฟัง เล่าให้ตายปลาที่ไม่เคยขึ้นบก ก็นึกไม่ออกว่าบนบกเป็นอย่างไร ได้แต่เดาผิดเดาถูกไปเรื่อย จนกว่าจะได้ขึ้นบกไปแบบเต่า จึงจะรู้จริง ๆ ว่าที่เต่าบอกมานั้นเป็นอย่างไร |
ถาม : จริง ๆ แล้วการที่เราละกิเลสได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือกิเลสไม่เกิดขึ้นเลย หรือกิเลสเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเราเข้าใจทุกอย่างแล้ว จึงไม่เกิด ?
ตอบ : จิตเราไม่ไปข้องแวะ ในเมื่อจิตไม่ไปข้องแวะ โอกาสที่กิเลสจะเกิดก็ไม่มี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อทำไปจนถึงจุดนั้นแล้ว ความว่องไวของ สติ สมาธิ ปัญญา จะมีมากกว่ากิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่านจะเห็นว่าการนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นคุณ การนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นโทษ แล้วก็ละเว้นในสิ่งที่เป็นโทษเสีย ในเมื่อเราไม่ไปสร้างเหตุที่ไม่ดี ผลกรรมก็ไม่เกิด ก็เท่ากับว่าในสายตาของท่านคือกิเลสไม่มี แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้วก็คือว่า กิเลสนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าท่านไม่ไปยุ่งด้วย กิเลสก็เลยทำอะไรท่านไม่ได้ เหมือนกับมีฟืน มีถ่าน มีน้ำมัน แต่ไม่มีเชื้อไฟ แล้วเปลวไฟที่ไหนจะมาติดได้ ถาม : อย่างนี้หลายคนที่สั่งสมบุญ... ? ตอบ : ของท่านอยู่ในระดับน้ำเต็มแก้วแล้ว สิ่งที่ท่านทำไปไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเติมไปแล้วก็ล้นเปล่า ๆ แต่ส่วนที่ท่านทำนั้นคือเป็นเนติ คือเป็นแบบอย่างให้ผู้คนเขาได้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นความดี ถึงเวลาจะได้ยึดถือและปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเอง ท่านจึงยังคงทำบุญกุศลเป็นปกติ |
ถาม : ผลบุญเวลาเราใช้ก็หมด ต้องเติมใหม่อีก ใช้ก็หมด เติมใหม่อีก บุญหมดอย่างไรครับ ?
ตอบ : บุญไม่ได้หมด แต่ความต้องการของคุณมากขึ้น จำเป็นต้องหามาให้มากขึ้น ตอนแรกคุณขึ้นรถเมล์มีเงิน ๘.๕๐ บาท คุณก็ขึ้นได้ พอคุณขยับมาขึ้นรถไฟฟ้าก็ต้องมี ๒๕ บาทเป็นอย่างต่ำ พอขยับมาขึ้นแท็กซี่ก็ต้อง ๓๕ บาทขึ้นไป ครั้นมาซื้อรถส่วนตัวก็ต้องดาวน์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าซื้อรถญี่ปุ่นราคาประมาณ ๗-๘ แสน ไม่เกินล้านเศษ ๆ ไปซื้อรถเยอรมันก็ ๓ ล้านกว่า ในเมื่อสิ่งที่เราต้องการประณีต ละเอียดมากขึ้น กำลังที่ต้องการใช้นั้นสูงกว่า ก็ต้องสั่งสมบารมีให้ได้ใกล้เคียงกัน ถาม : ก็คือบุญยังไม่หมด ? ตอบ : บุญไม่หมด แต่ไม่เพียงพอกับสิ่งที่คุณต้องการ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เราทำไม่ได้ไปไหน ยังสั่งสมตัวอยู่ ขังตัวอยู่ ถ้าหากว่าคุณสร้างเหตุจนเพียงพอต่อระดับบุญของตนเอง ผลก็จะเกิด ถาม : อย่างนี้กรรมก็ไม่หมด กรรมอยู่ด้วย เราก็รับกรรมไป ? ตอบ : ก็รับกรรมไป ในส่วนของกรรม ถ้าเราชดใช้ไปจนเป็นที่พออกพอใจของเขา เขาก็อโหสิกรรมให้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ในส่วนที่เขาพออกพอใจ เพราะว่าตัวเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผลกรรมที่ตอบแทนอยู่นั้น ก็เพราะการกระทำของเราตอบแทนเราเอง เหมือนอย่างกับเตะฟุตบอลใส่ผนัง ก็เด้งกลับมาใส่เราเอง แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถที่จะเอาตัวของคุณออกพ้นไปจากตรงจุดนั้น ลูกบอลก็ไม่รู้ว่าจะไปเด้งใส่ใคร ก็เท่ากับหมดเรื่องกันไป ฉะนั้น...สำคัญอยู่ตรงที่คุณปลดใจของคุณออกจากกรรมนั้น หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เรื่องก็จบ ฟังให้ดี ๆ นะ...เจ้ากรรมนายเวรมีทั้งที่เขาตามจองเวร เพราะเขายังไม่ได้ไปไหน กับที่เขาไปเกิดตามบุญตามกรรมของเขาแล้ว แต่การกระทำของเราเองเป็นโทษแก่ตัวเราเอง ถ้าแยกตรงนี้ไม่ออกเดี๋ยวก็มั่วอีก เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ไปเกิด เขายังจองเวรอยู่ ถ้าเราชดเชยให้จนเป็นที่พอใจ เขาอโหสิกรรมให้ แค่นี้ก็จบ แต่ถ้าหากว่าเป็นแรงกรรมที่เราทำเอง ส่งผลต่อเราเอง เราสามารถปลดตัวเราเองออกจากตรงจุดนั้นได้ ก็จบ คราวนี้การปลดตัวเราเองจากจุดนั้นได้ ส่วนใหญ่ก็คือสร้างความดีและอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรไป ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่มีตัวตน เราอุทิศไปเขาเองก็ไม่รู้จะรับอย่างไร แต่ตัวเราเองต่างหาก ที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำความดีให้แก่เขาแล้ว ใจเรารู้สึกว่าเราได้ชดเชยแล้ว เราก็ไม่ไปยึดไปเกาะตรงนั้น กลายเป็นว่าเรายกตัวเราเองออกมาจากตรงจุดนั้น แรงกรรมที่จะสนองเราก็หมดไป ฟังแล้วเครียดไหม ? เดี๋ยวก็ได้บ้ากันบ้าง ต้องมาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นนี่ยุ่งนะ |
ถาม : อย่างพระกริ่งเนปาลเนื้อเงิน ผมเห็นเขียนในเว็บว่า เป็นรุ่นพระโพธิสัตว์มาช่วย หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่ท่านมาสร้างบุญสร้างบารมี เห็นว่าการช่วยเหลือคนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง แม้ตัวเองจะต้องรับเคราะห์รับกรรมแทนเท่าไรท่านก็ยินดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่าพระโพธิสัตว์ ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า ยอมรับกฎของกรรม เพื่อปลดตัวเองออกจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายเหล่านี้ ในเมื่อท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวด้วย สมมติว่าเราโดนลงโทษอยู่ แล้วบุคคลที่แสดงตัวเข้าไปห้ามปราม โดยที่ไม่ได้กลัวว่าสังคมจะรังเกียจเขา นั่นก็คือพระกริ่งนี้ แต่ถ้าหากบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ก็คือท่านที่เห็นว่า การที่เราโดนลงโทษนั้นเหมาะสม สมควรแล้ว สังคมส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งนั้นผิด ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยว จึงไม่ได้มาช่วยเราแบบนั้น นั่นก็คือส่วนของความเป็นพระอริยเจ้า ถาม : สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะช่วยเราตามสัญญาไหมครับ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคุณต้องสร้างเหตุให้พอ ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ต่อให้สัญญาขนาดไหนท่านก็ช่วยไม่ได้ เขาจะพาไปซื้อรถ เขารู้จักกับบริษัท สามารถอำนวยความสะดวกบางส่วนให้ คราวนี้เราจะเอารถเบนซ์ แต่ดันมีเงินแค่แสนเดียว ยังไม่พอวางดาวน์หรอก อย่าว่าแต่ซื้อเลย แล้วเขาจะช่วยได้อย่างไร ? |
ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่ง เขาเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดมาเป็นทุกข์ เขาภาวนาและสามารถลดความทุกข์ลงได้ระดับหนึ่ง แล้วเป็นกำลังใจอยู่ต่อไปเพื่อคนอื่น อย่างนี้จะเป็นมิจฉาทิฐิไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเกิดเพื่อช่วยคนอื่นก็เป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ แต่คราวนี้คำว่าทุกข์ที่คุณว่ามา คุณต้องเข้าใจว่าทุกข์มีหลายอย่าง ทุกข์โดยสภาพก็คือเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ทุกข์เนืองนิตย์ อย่างเช่น เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ทุกข์ที่เป็นไปตามสภาวะของร่างกาย หรือว่าทุกข์ที่มาบีบคั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนละอย่างคนละสภาพกัน ที่คุณบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมสามารถลดความทุกข์ได้ ส่วนใหญ่ก็คือความทุกข์ทางใจ เพราะว่าตนเองสามารถปล่อยวางได้ ส่วนความทุกข์ทางกาย ทุกข์ตามสภาพ ทุกข์เนืองนิตย์ ท่านก็ไม่ไปดิ้นรนกับทุกข์นั้น คนที่อยู่ในกรงขังถ้าไม่ดิ้นรนมาก ก็ไม่ถลอกปอกเปิกเหมือนกับไปคนที่ดิ้นมากหรอก ทั้งที่ดิ้นไปก็ไม่พ้น ในเมื่อเห็นอยู่แล้วว่าต้องรอจนประตูกรงเปิดให้ถึงจะพ้น ก็ไม่ไปเสียเวลาดิ้นหรอก นั่งรอเวลาไป ก็คือตายพ้นไปเมื่อไร ตูก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้อีก |
ถาม : ถ้าเราทอนกรรมไปสักชาติสองชาติ เพื่อกระจายกรรม ในแต่ละชาติไม่เท่ากัน เพื่อให้เรามีกำลังได้มากขึ้น นับเป็นวิสัยที่ดีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำไป เพราะว่าบุคคลที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ใช่ แต่ละคนมีความตั้งใจที่ไม่เหมือนกัน เขาเห็นว่าสิ่งนั้นดีเขาก็ทำ โจรก็เห็นว่าการปล้นเขากินนั้นง่ายดี ในขณะที่พวกเราเห็นว่าการทำมาหากินโดยสุจริตจึงจะเป็นความดี ในเมื่อเขาเห็นว่าเป็นความดี เราจะไปว่ากล่าวคนอื่นอะไรได้ นอกจากยอมรับไปว่ามุมมองเขาเป็นอย่างนั้น |
ถาม : พอ ๒,๕๐๐ ปีหลัง พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมลง ผมเข้าใจว่าต้องสูงสุดก่อนแล้วค่อยเสื่อมลง คือเสื่อมลงตามสภาพ ขึ้นไปสูงสุดแล้วค่อย ๆ ลงมาหรือครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าคนเสื่อมลง ส่วนหลักธรรมยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เพราะฉะนั้น...คำว่าเสื่อมของคุณอย่าไปเข้าใจว่าหลักธรรมเสื่อมลง หลักธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ แต่คนแทนที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ดันไปอุ้มลูกเทพแทน..! แล้วจะไปกล่าวว่าอะไรเสื่อม ? ก็ต้องคนเสื่อมลง ศาสนายังคงปกติไปจน ๕,๐๐๐ ปี ถาม : ไม่มีเจริญไปกว่านี้แล้ว คือ เสื่อมไปแล้วก็เสื่อมอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป ? ตอบ : ความเจริญนั้นมีความเจริญทางด้านจิตใจ กับความเจริญทางด้านวัตถุ ปัจจุบันนี้คนเราส่วนใหญ่ทิ้งความเจริญทางจิตใจ มาพัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ และแทบจะเป็นการพัฒนาโดยส่วนเดียว ถ้าเรากล่าวถึงตรงจุดนี้ ต้องมาวัดกันว่า ความเจริญด้านไหนที่มีมากกว่า ถ้ากล่าวว่าเสื่อมลง ก็คือบุคคลเสื่อมจากการปฏิบัติธรรม หลักธรรมไม่ได้เสื่อม แล้วบุคคลก็มาพัฒนาด้านวัตถุ ท้ายสุดวัตถุพอเสื่อมลง ก็ไม่รู้ว่าคนจะเลี้ยวมาหาหลักธรรมหรือเปล่า ? ก็ต้องรอเวลาเท่านั้น เอาละ...ที่ถาม ๆ มาก็ฟุ้งซ่านพอแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไปนั่งภาวนาเถอะ |
ถาม : การที่เราอโหสิกรรมให้เขา หรือเขาอโหสิกรรมให้เรา กรรมไม่ได้หายไปหรือกรรมหายครับ ?
ตอบ : คนสองคนผูกโซ่ติดกันอยู่ ถ้าต่างคนต่างปลดโซ่ในฝั่งตัวเองออก ก็แปลว่าจบ ความผูกพันไม่มี ถ้าเขาไม่ยอมปลด แต่เราปลดเสียฝ่ายเดียว ก็ปล่อยให้เขาตามโซ่ไปคนเดียวก็แล้วกัน |
ถาม : คนที่เกิดมาหูหนวก ตาบอด เขาได้ทำอะไรไว้คะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เห็นผู้คนปฏิบัติธรรมแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ฟังเสียงธรรมก็ทำเป็นไม่ได้ยิน พอถึงเวลาเขาชักชวนในการปฏิบัติในศีลในธรรมก็แกล้งโง่บ้าง ลองทำดูก็ได้...รับประกันว่าได้เป็นอย่างนั้นแน่..! |
ถาม : จำเป็นต้องสอนเขา บางคนสอนยากมาก ?
ตอบ : อยู่ในฐานะอะไรที่จะไปสอนเขา ? ถาม : เป็นครูค่ะ ? ตอบ : ยึดหลักการสงเคราะห์ตามหน้าที่ให้เต็มกำลัง ส่วนเขาจะรับได้แค่ไหนนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเรามีแต่เมตตา กรุณา ไม่มีอุเบกขา ท้ายสุดอย่างต่ำก็เครียด อย่างหนักก็บ้าไปเลย ถาม : ถ้าเราสอนเขาให้ทำบุญไปวัด จะเป็นกรรมไหมคะ ? ตอบ : อาจจะสร้างกรรมหนักให้กับบางคนด้วย เพราะนอกจากเขาจะไม่เห็นด้วยแล้ว อาจจะแสดงการต่อต้านออกมาเลย ฉะนั้น...การชักชวนคนทำความดี ต้องดูบริบท ดูกำลังใจของเขาตอนนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะให้เขาได้ความดี จะกลายเป็นว่าสร้างโทษหนักให้เกิดกับเขาได้ ถาม : เขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ค่ะ ? ตอบ : เด็กเล็ก ๆ ก็ยังมีกตัตตากรรม ก็คือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เราเองควรทำตัวให้เขาดู ถึงเวลาครูกราบพระ ถึงเวลาครูสวดมนต์ เดี๋ยวเขาก็เลียนแบบเอง |
สอนคนอื่นนั้นสอนได้ แต่สอนตัวเองสอนยากอย่าบอกใคร พระพุทธเจ้ายังกล่าวไว้ว่า อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ ฝึกตนก็คือสอนตนเองนั่นแหละ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระ เสือกไปเชื่อกิเลส..!
วันก่อนเด็ก ๆ ที่วัดหนีไปเที่ยวกับแฟน ถ้าเจอเหตุการณ์นั้นให้จำไว้เลยว่า สิ่งแรกที่เราต้องทำเลยไม่ใช่ดุด่าว่ากล่าว แต่ควรจะบอกให้เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องของอารมณ์ อะไรเป็นเรื่องของเหตุผล คือสังคมยอมรับเฉพาะในเรื่องของเหตุผล ในเรื่องของอารมณ์ต้องดูกระแสสังคมก่อนว่าในช่วงนั้นยอมรับไหม เพราะฉะนั้น...เรื่องความรักระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆ เราลองมาคิดดูว่า ถ้าแม่เราเลี้ยงเรามา ๑๕-๑๖ ปี เราเองยังไม่รักเท่ากับไอ้บ้าที่เพิ่งเจอหน้ากัน ๓ วัน แบบนั้นถูกต้องไหม ? ต้องชี้แจงให้เขาฟังได้ แต่ถึงจะชี้แจงแล้วก็ตาม เขาก็ยังไหลตามอารมณ์ไปอีก เพราะฉะนั้น...คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ปกครอง ก็เลยต้องปากเปียกปากแฉะ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า อนุสาสนี ก็คือจ้ำจี้จ้ำไช ไม่อย่างนั้นก็เป็น โอวาทกถา ก็คือให้โอวาท ธรรมมีกถา สอนธรรม อนุสาสนีกถา จ้ำจี้จ้ำไช ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกหัวตะปูอยู่นั่นแหละ เพราะบุคคลอย่างน้อยแบ่งเป็น ๔ ประเภท อุคคฏิตัญญู ฟังหัวข้อก็รู้ เข้าใจ ปฏิบัติได้เลย วิปจิตัญญู ต้องขยายเนื้อความหน่อยถึงจะเข้าใจ เนยยะ ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ย้ำหัวตะปูอยู่นั่นแหละ ตอกจนกระทั่งคนตอกเหนื่อย บางทียังตอกไม่ค่อยจะลงเลย เหลือแต่ปทปรมะ พวกนั้นเก่งเกิน สอนไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราไปเข้าใจว่าปทปรมะเป็นคนโง่ ไม่ใช่โง่ แต่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความเห็นคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วย พอถึงเวลาเราเทไปก็ล้นหมด รับอะไรไม่ได้ ปทปรมะนี่ถ้าไม่ได้ประโยชน์เฉย ๆ ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ามาคัดค้านหลักธรรมด้วย ก็กลายเป็นสร้างกรรมหนักให้กับตัวเองไปเลย |
เอาเรื่องที่ดังในขณะนี้ ก็คือ การตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ กฎหมายระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ถ้าสิ้นสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่า ให้มหาเถรสมาคมนำเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก่อนหน้านี้เขาเอาอาวุโสพรรษาซึ่งถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่เนื่องจากว่าเขาต้องการเอาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นเป็นพระสังฆราช แล้วท่านอาวุโสพรรษาน้อยกว่า ก็เลยมีการแก้กฎหมายว่าให้อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ เพราะท่านได้รับการแต่งตั้งก่อน ท่านก็เป็นมา ๒๔ ปี
คราวนี้ส่วนที่แก้นั้น ปัจจุบันมาเอื้อประโยชน์ให้กับมหานิกายที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก็คือหลวงพ่อสมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ก็ในเมื่อกฎหมายระบุเอาไว้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าคุณไม่ทำก็คือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะว่าไปฝืนกฎหมาย ไม่สามารถที่จะเป็นอื่นได้ ดังนั้น...คนไหนก็ตามที่อยู่ ๆ มากำหนดว่า สมเด็จพระสังฆราชจะต้องเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้สะอาด เป็นผู้สว่าง เป็นผู้สงบ ไอ้นั่นมันบ้า..! กติกาสังคมมีอยู่ ระบุไว้เป็นตัวอักษรชัดเจน ดันไม่เอา แต่จะเอากติกู ลักษณะนี้ปัจจุบันนี้มีเยอะ ก็เลยทำให้สังคมวุ่นวายฉิบหายวายป่วงไปหมด กฎเกณฑ์กติกาเขามีขึ้นมา เพื่อทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม อยู่ภายใต้การปกครองที่ใกล้เคียงกัน ถึงคุณจะไม่ยอมรับทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ต้องยอมรับ ไม่ใช่เอาแค่คนสองคนที่เขาเรียกว่า ๓ พ. ในเมื่อ ๓ พ.ไม่เอา คนทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย หรือคณะสงฆ์ทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย ถ้าเป็นนิสัยอาตมาสมัยฆราวาสก็คือ กระทืบแม่...ให้ได้สติ..! เสียดายเป็นพระแล้ว เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ เราต้องยึดถือกฎเกณฑ์กติกาเป็นใหญ่ แบบเดียวกับเรื่องของพระเรา ถึงเวลาทำผิดทำพลาดขึ้นมาต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน บ้าไหม ? เรื่องของพระธรรมวินัยก็คือ คุณทำพลาดเดี๋ยวนั้น คุณก็ต้องอาบัติเดี๋ยวนั้น ก็คือศีลขาดลงตรงนั้น ไม่ใช่ศาลตัดสินว่าคุณศีลขาด คุณถึงไปยอมรับ ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเอาพระธรรมวินัยไปทำซากอะไร ? ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบัน สังคมของเราหลงประเด็น เรื่องของพระต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ถัดไปคือกฎหมายบ้านเมือง ถัดไปคือจารีตประเพณี บางคนก็ต้องบอกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ หรือไม่ก็มืดบอดจนเกินไป ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็ต้องบอกว่าเป็นพวกโปรดไม่ขึ้น เป็นพวกที่อยู่ใต้เถนเทวทัต ท่านว่าเสียหมาไปเลย..! |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "จำไว้ว่าถ้าใจอยู่กับตัวจะไม่ตกใจ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นแล้วจะตกใจ ถ้าเราส่งจิตไปที่อื่น ถึงเวลาประสาทสัมผัสรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น สภาพจิตวูบกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อรับรู้ อาการที่จิตกลับเข้าสู่ร่างเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ
บางคนก็สงสัย ฟ้าถล่มดินทลาย อาจารย์เล็กเฉยมาก แรก ๆ ก็ตกใจเหมือนกับพวกเรา ไปเฉยเอาตอนนั้น ไม่ทราบว่าพรรษาที่เท่าไร ไปปฏิบัติภาวนากันที่บึงลับแล มีเพื่อนพระไปด้วย ๔-๕ รูป ต่างคนก็ต่างหามุมเหมาะสมของตัวเอง ทำแคร่นอนกัน อาตมาถนัดนอนภาวนาจึงนอนว่าไปเรื่อย ประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม แคร่พังโครม เพราะทำไม่แข็งแรง พังด้านหัว พังโครมลงไป เออ...ใจเรายังนิ่งดี ก็ภาวนาไปเรื่อย อยากพังก็พังไป คราวนี้หัวก็ไหลไปเรื่อยจนกระทั่งทิ่มพื้น พื้นเป็นหินขรุขระก็รู้สึกว่าเจ็บ เลยขยับลุกขึ้น กะว่าจะซ่อมแคร่ ตอนนั้นกำลังใจนิ่งมาก แคร่พังก็ไม่ตกใจ พอลุกขึ้น ตอนนั้นสมุห์กอล์ฟบวชใหม่ ๆ เห็นว่าแคร่พังดังลั่นเลย ทำไมอาจารย์เงียบ ๆ ก็เลยส่องไฟมา อาตมาลุกขึ้นพอดี ทางด้านหัวนอนมีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งสูงท่วมหัวเลย พอท่านส่องไฟมา อาตมาก็เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนมองหน้ากันอยู่ ห่มผ้าสีกรักออกเข้ม ๆ กว่านี้ ก็สงสัย เอ๊ะ...พระธุดงค์แปลกหน้า ท่านมาจากไหน ? สงสัยมาตอนเราหลับกระมัง ? เดี๋ยวจะชวนท่านคุยเสียหน่อยว่ามาจากไหน ? มาอย่างไร ? ทางท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นว่าเงียบ ๆ ท่านก็เขย่าไฟแกว่ง ๆ อาตมาเลยเห็นพระธุดงค์เต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว...เงาของอาตมาเองนี่นา แล้วทำไมถึงเห็นเป็นองค์พระอย่างชัดเจนเลย หน้าตาก็เห็น เห็นชัด ๆ ลักษณะการครองจีวรอย่างไร จีวรสีอย่างไรก็เห็น ก็นึกขึ้นมาว่า ผีหลอกกูซึ่ง ๆ หน้าเลยนี่หว่า..! แต่ใจก็นิ่ง ไม่ได้กลัว ซ่อมแคร่เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อาตมาไม่รู้จักคำว่าตกใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แสดงว่าคงได้ที่ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าเอาใจอยู่กับตัว ก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าเอาใจไปฝากไว้กับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ทุกข์เยอะหน่อย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราปีนี้ดินฟ้าอากาศแย่มาก เหนือหนาวจัด ใต้ฝนหนัก กลางกับอีสานแล้งไม่มีน้ำจะกิน ที่อาตมาปรารภครั้งก่อนว่า อาตมาอยู่ในยุคที่คนกรุงเทพฯ ต้องรองน้ำตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ไปพอใช้เอาตอนตี ๒ ปีนี้ก็ให้ระวังเอาไว้บ้างนะ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเพิ่งจะเซ็นสัญญาซื้อเตาเผาปลอดมลพิษไปติดตั้งที่วัดท่าขนุนแล้ว ปีหน้าน่าจะได้ใช้งานเต็มที่ เผาได้วันละ ๖ ศพ คงไม่ตายเยอะขนาดนั้นหรอก
ทองผาภูมิเป็นเมืองท่องเที่ยว คนใหญ่คนโตไปเป็นประจำ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จทุกปี สมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังมีพระวรกายแข็งแรง ก็เสด็จทุกปี พระองค์ไปตรวจงานที่ทรงทำไว้ ปรากฏว่าหาเมรุที่เป็นหน้าเป็นตากับอำเภอไม่ได้สักหลัง ถึงเวลาก็ รมต.ท่านนั้น สส.ท่านนี้เป็นประธาน แต่เมรุโทรมดูไม่ได้เลย ท้ายสุดอาตมาก็ตัดใจ...ทำเองก็ได้ แต่อาตมาบอกกับโยมหลายท่านแล้วว่า ไม่ใช่เห็นว่าเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าวัด กลัวว่าจะแพง ขอยืนยันว่าเผาฟรี ปกติที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่เคยเก็บสตางค์ใคร" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มาถวายสังฆทานว่า “ไปยกพระพุทธรูปมาด้วย ชอบใจองค์ไหนก็ยกมาเลย ถวายสังฆทานอย่าให้ขาดพระพุทธรูป เพราะเป็นของสำคัญที่สุด”
|
มีคนมาปรารภเรื่องจะสร้างวัตถุมงคล พระอาจารย์กล่าวว่า “จะทำรูปพระรูปอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำรูปของอาตมา เพราะอาตมายังมีความดีไม่พอที่จะไปขึ้นคอชาวบ้านเขา”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครไปซื้อรองเท้าให้เขาเหยียบบ้างไหม ? ดูแล้ววัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้ขาดสติขนาดหนัก ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งต้องถึงขนาดเหยียบกันปางตาย ราคาคู่ละ ๖,๙๙๐ บาท คนที่ซื้อไม่ได้ไปประมูลกัน ขึ้นราคาไปถึง ๑๕,๐๐๐ บาท อาตมาว่าไปเอาอีแตะที่เขาแกะสลักลายสวย ๆ มาใส่ยังจะดีกว่าอีก คู่ละ ๖๐ บาทเอง มีคนรับแกะสลักรองเท้า เคยเห็นบ้างหรือเปล่า ? จะเอาลายอะไรบอกได้เลย เขารับแกะให้
สังคมบ้านเราเห่อตามแฟชั่นโดยขาดสติ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี อาตมานี่ซาบซึ้งที่สุด เคยซื้อแฟล็ชไดรฟ์ตัวหนึ่งความจุ ๒ กิ๊ก ราคา ๑,๗๒๐ บาท จำมาจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนลดลงไปเหลือ ๒๙๙ บาท ปัจจุบันนี้แถมฟรีก็ไม่มีใครเอา โทรศัพท์เครื่องหนึ่งออกมา ๔,๐๐๐ บาท หลังจากนั้น ๖ เดือนเหลือไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาท ใช้ช้ากว่าเขานิดหนึ่งก็ได้ แล้วรองเท้าคู่หนึ่งหกพันกว่าบาท แต่ละคนที่ไปรุมกันซื้อก็ขอสตางค์พ่อแม่มาทั้งนั้น อะไรจะสิ้นสติกันได้ปานนั้น เด็กนักเรียน นักศึกษาไปเรียนหนังสือ อาตมาก็สงสัยว่าเอาสมองไปไว้ที่ไหน บางคนนี่หัวถึงเท้าราคาเกือบล้าน กระเป๋าก็ต้องแบรนด์เนม เสื้อผ้าก็ต้องแบรนด์เนม รองเท้าก็ต้องแบรนด์เนม ต้องเข้าสีเข้าชุดกัน ได้แต่คิดว่าถ้าไม่ล้างผลาญพ่อแม่แล้ว คุณจะมีปัญญาหาเงินอย่างไรให้ได้ขนาดนั้น คนที่ไม่มีก็ตะเกียกตะกายหามาให้ได้ พอไม่มีเทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านเขาก็ต้องหาเงินด้วยวิธีพิเศษ อย่างเมื่อเดือนก่อนมีการซ้อมกันจนหูตาปูด เพราะเพื่อนพาไปขายตัวแล้วก็ไปด่าเพื่อนอีท่าไหนก็ไม่รู้ เพื่อนก็ถือว่าตัวเองมีบุญคุณ อุตส่าห์หางานให้ยังจะมาด่าอีก จึงมีการลงไม้ลงมือกัน อาตมาก็เลยอนาถใจว่าสมัยนี้บุญคุณเป็นอย่างนี้กันหรือ ? อยากดูไหม...อาตมาใช้โทรศัพท์มือถือราคาแพงมากเลย ๗๙๐ บาท ก็ใช้อยู่ทุกวันนี้ โยมโทรมาจะบริจาคเงินล้านก็เครื่องนี้แหละ ไม่เห็นต้องไปใช้ไอโฟน ๖ ไม่เห็นต้องไปใช้ซัมซุงกาแล็กซี่ ต้องบอกอเนจอนาถบ้านเรา คนขาดสติไหลตามกระแสมาก ฟุ้งเฟ้อ ไม่คิดจะร่ำเรียนเขียนอ่านให้มีความรู้จริง ๆ เพื่อที่จะไปทำมาหากิน แล้วบุคคลากรประเภทนี้อยู่ต่อไป ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ? จะว่าไปอาตมาก็มีส่วนด้วยที่สอนเขาแล้วไม่ได้ดี วันก่อนเพิ่งจะอบรมเด็กวัดไป คือถ้าเด็กในวัดเราเอาดีไม่ได้ ก็ไปสอนคนอื่นเขาไม่ได้หรอก จึงต้องเคี่ยวเข็ญกันหน่อย” |
ถาม : เผาศพวันศุกร์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเผาได้ ที่วันศุกร์เขาไม่ให้เผาศพเพราะพ้องกับคำว่าสุข เขาถือเคล็ดว่า ในเมื่อสุขก็ไม่ควรที่จะทำอะไรให้ครอบครัวเขาทุกข์ใจ |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาเป็นเด็กอยู่บ้านนอกเคยเกิดข้าวยากหมากแพงอยู่ ๒-๓ ครั้ง ใหม่ ๆ พ่อแม่ต้องเอาเผือกบ้าง มันบ้าง ฟักทองบ้าง ผสมกับข้าวให้พอกิน ไป ๆ มา ๆ ไม่มีข้าวจะกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน
ข้าวโพดสมัยก่อนเรียกว่าข้าวโพดเทียนหรือข้าวโพดม้า เอาไว้เลี้ยงสัตว์ ในเมื่อแก่และตากแห้งมาเป็นปี เอามานึ่งกินก็เหมือนกับเคี้ยวกระดาษดี ๆ นี่เอง ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ก็ต้องกินให้อิ่ม หน้าหนาวผ้าห่มก็มีผืนเดียว พี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งกันซุกเข้าไป พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็เป็นห่วง กลางดึกมาถึงก็พับ ๆ ให้เป็นแถวยาว ๆ แล้วเอาพาดแค่หน้าอก กลัวเด็กจะเป็นโรคปอดบวมเพราะหนาว พวกเราก็ต้องแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ พอพ่อแม่ลับตาไปก็รีบคลี่ออกมาห่มใหม่ หนาวทั้งตัวแล้วเอามาพาดแค่หน้าอก ตอนนั้นพื้นบ้านยังเป็นดินอยู่ เพราะว่าไม่มีซีเมนต์ ข้างฝาเป็นไม้ไผ่ขัด กันลมไม่ได้ หนาวมาก ต้องก่อกองไฟกลางบ้าน แล้วก็เอาผ้าห่มมากางล้อมกันอยู่รอบกองไฟ ผิงไฟจนผิวแตกเป็นริ้ว ๆ ถึงเวลาเผลอ..ง่วงสัปหงกทีหนึ่งก็ผมไหม้เป็นแถบ เดี๋ยวนี้อากาศย่ำแย่มาก ๆ เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาทนได้ แต่คนกรุงเทพฯ จะแย่ ได้ข่าวว่าหนาวตายที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง รวม ๆ กันแล้วหลายศพ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยกพระ สมัยก่อนบวชอาตมาเคยอธิษฐานยกพระที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง องค์พระหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว หรือ ๑๒ นิ้ว ลักษณะเหมือนหล่อด้วยโลหะ ด้วยความดื้อก็คิดว่า "องค์แค่นี้ ต่อให้อธิษฐานไม่สำเร็จเราก็จะยกขึ้น" ว่าแล้วก็ตั้งท่างัด วูบเดียวเกือบหงายท้อง องค์พระลอยขึ้นมาเหมือนไม่มีน้ำหนักเลย อย่างกับหยิบกระดาษแผ่นเดียว สรุปว่าเรื่องนั้นคงจะสำเร็จแน่ ๆ
อีกทีหนึ่งไปยกช้างเสี่ยงทายที่พระพุทธบาทสระบุรี ยังไม่ทันจะอธิษฐาน เห็นรูปหลวงปู่นวม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม) ก็เกิดปีติ เอานิ้วก้อยเกี่ยวช้างขึ้นมาได้ทั้งองค์ แต่ตอนวางลงไม่ตรงที่ เขาวางบนพรมแล้วมีรอยยุบเป็นฐานช้าง ก็เลยใช้สองมือผลักให้เข้าที่ ปรากฏว่าผลักไม่ไป แต่ตอนเกี่ยวขึ้นมานี่ใช้นิ้วก้อยนิ้วเดียว" ถาม : ช้างเสี่ยงทายเป็นโลหะตัน ? ตอบ : โลหะตันทั้งตัว แล้วบังคับด้วยว่าถ้าผู้ชายให้ให้นั่งราบทับน่องใช้นิ้วก้อยยก ผู้หญิงใช้นิ้วชี้ ถ้าอธิษฐานแล้วสำเร็จจะยกขึ้น |
ถาม : พื้นฐานคำว่า "ป่าช้า" เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : ป่าช้าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือสมัยก่อนป่าช้าคือป่าช้า ไม่มีใครอยากไปยุ่งด้วย เพราะรกมาก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดบางนมโค ท่านไปฝึกปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่ามีชะมด มีเสือป่า มีกระต่าย เยอะแยะไปหมด ป่ารกขนาดนั้น คราวนี้ป่าก็รก หนามก็เยอะ ไปเร็วไม่ได้ก็เลยเรียกป่าช้า แต่ว่าทางด้านเหนือไม่เรียกป่าช้า เขาเรียกป่าเฮ่ว คนโบราณมักจะรู้ดีกว่าเรา เวลาไปทำอะไรจะมีการเซ่นนายป่าช้าก่อน นายป่าช้าบางที่ก็เป็นเวมาณิกเปรต ก็คือเป็นเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่งและเป็นเปรตอยู่ครึ่งหนึ่ง บางที่ดุหน่อยก็เป็นมหิทธิกาเปรต หรือเป็นกาลกัญจิกอสุรกาย ไปทำอะไรแถวนั้นถ้านายป่าช้าไม่อนุญาตก็โดนอัด ต้องเซ่นสรวงนายป่าช้าก่อน หลวงพ่อท่านอยู่วัดบางนมโค มีวันหนึ่งจะไปเจริญกรรมฐานในป่าช้า ปรากฏว่าได้ยินผีคุยกัน นายป่าช้าถามลูกน้องว่า "บ้านไอ้นั่นเขาทำบุญกัน มีใครไปโมทนาบ้างไหม ?" ลูกน้องเป็นร้อย ๆ บอกว่า "ไม่มีใครไปหรอกครับเจ้านาย" ถามว่าทำไม ? "โอ้โห..ทั้งฆ่าวัวฆ่าหมูฆ่าไก่ ขืนไปโมทนาพวกผมจะซวยไปด้วย" เขาทำบุญก็จริงแต่เขาเริ่มต้นด้วยบาป ไปฆ่าสัตว์เลี้ยงคน เลี้ยงพระ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก ถ้าโมทนาด้วยก็แปลว่า นอกจากรับส่วนบุญแล้วส่วนบาปก็รับด้วย กลายเป็นซ้ำเขาให้หนัก อาตมาเพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่า บุญของเราถ้าไม่บริสุทธิ์ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงเลยแนะนำว่า ถ้าจะเลี้ยงพระให้ทำ ๒ วิธี วิธีแรกถ้าทำอาหารเองก็ทำอาหารเจไปเลย ไข่สักใบก็อย่าไปทุบ อีกวิธีหนึ่งคือจ้างคนอื่นเป็นแม่ครัว อย่างเช่นว่าจ้างร้านอาหารให้เขาทำแล้วยกมาตักถวายพระไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วทำบุญผสมบาปกันอยู่เรื่อย แต่ถ้าเราไปซื้อเนื้อในตลาดที่เป็นปวัตตะมังสะ ที่เขาฆ่าแล้วขายเป็นปกติก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปสั่งเขาฆ่า อย่าไปสั่งว่าพรุ่งนี้ฉันจะทำบุญเลี้ยงพระ ๙ รูป ช่วยเชือดไก่ให้ ๒ ตัว ถ้าอย่างนี้ก็โดนจนได้ ไม่น่าเชื่อว่าทำบุญแล้วผีเมิน ไม่มีใครมาโมทนาด้วยเลย |
ถาม : ที่วัดท่าขนุนมีที่พักไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปไม่เกิน ๑๐๐ คน ก็ยังพอมีที่ให้นอน แต่นอนแบบรวม ๆ กัน แบบเป็นส่วนตัวจริง ๆ ยังไม่มี ที่วัดพยายามจะรักษาพื้นที่ป่าไว้ สิ่งก่อสร้างก็เลยมีน้อย ส่วนใหญ่เวลาวัดมีงาน เขามักไปเช่ารีสอร์ทกัน คืนละ ๕๐๐ บาท นอนกันเพลิดเพลินเจริญใจ นอนจนลืมงานวัดไปเลย เพราะบรรยากาศดี..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักความแก่กับความตายเป็นอย่างดี แต่จะเรียกว่ารู้จักเป็นอย่างดีก็คงไม่ได้ ความแก่กับความตายมีทั้งที่ปรากฏชัด และมีทั้งที่โดนปิดบังเอาไว้
ความแก่ที่ปิดบังเอาไว้ เราไม่ได้เรียกว่าแก่ แต่เราไปเรียกว่าโต อย่างเช่น เป็นเด็กเล็ก ๆ ค่อย ๆ โตขึ้น ๆ แต่ความจริงก็คือแก่ เหมือนอย่างกับรวงข้าว รวงข้าวพอเกิดขึ้นมา เมล็ดข้าวค่อย ๆ โตขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเมล็ดแก่ ก็คือแก่ไปเรื่อย ส่วนเราโดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่ เราไปคิดว่าเป็นการเจริญเติบโต แต่ความจริงเป็นการแก่ไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเรียกว่า ปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่โดนปกปิดเอาไว้ ส่วนอัปปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่ไม่โดนปกปิด ได้แก่ การแก่แบบคนแก่ทั่ว ๆ ไปที่เราเห็นกันอยู่ เรื่องของความตายก็เหมือนกัน ปฏิจฉันนะมรณะ ความตายที่โดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เด็กเล็กก็ตายไปแล้ว แต่สันตติคือความสืบเนื่องด้วยอาหารต่าง ๆ ส่งผลให้กลายเป็นเด็กโต พอเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เด็กโตก็ตายไปแล้ว พอเป็นหนุ่มเป็นสาว เด็กหนุ่มเด็กสาวก็ตายไปอีก หรือไม่ก็ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เขาเรียกว่า ปฏิจฉันนะมรณะ ก็คือ ความตายที่โดนปกปิดเอาไว้ มองไม่เห็น ที่ไม่โดนปกปิดไปตายเอาตอนสุดท้าย เรียกว่า อัปปฏิจฉันนะมรณะ บางอย่างถ้าเราปัญญาไม่ถึง ก็มองไม่เห็น เกิดความเมาขึ้นมา เกิดความเมาในวัย คือเรายังไม่แก่ เกิดความเมาในความไม่มีโรค คือเราไม่ป่วย เกิดความเมาในชีวิต มีแต่ความประมาท ไม่สร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าความเมาใน ๓ อย่างนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้เราเป็นมิจฉาทิฐิ ประมาท ไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม บางท่านถึงได้บอกว่า การเข้าวัดให้เดินเข้าไปเองดีกว่า ถ้ารอให้คนอื่นหามเข้าไปก็มักจะเอาไปเผาแล้ว บางคนเข้าวัดแต่เล็ก ๆ จนเพื่อนว่า "จะบ้าไปไหน ? เข้าวัดเข้าวาตั้งแต่ตอนนี้" เพื่อนไม่ค่อยว่าหรอก พ่อแม่พี่น้องตัวเองนั่นแหละที่มักว่า เคยชวนโยมบางคนว่า เมื่อไรจะเข้าวัดทำบุญ "โอ๊ย...ลูกยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" คราวนี้ลูกโตหมดแล้ว เมื่อไรจะเข้าวัดสักที "โอ๊ย...หลานยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" ไปของเขาได้เรื่อยเหมือนกัน ประเภทนี้ต้องรอเขาหามถึงจะได้เข้าวัด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นอาจารย์จะเหนื่อยไม่ได้ ทำไมเหนื่อยไม่ได้ ? เพราะต้องจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอน ตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา บางทีการที่เราจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ลูกศิษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะทำตามได้ เพราะยังไม่ถึงวาระบุญของเขาที่จะส่งผล ท่านที่วาระบุญส่งผลก็ทำไปตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ ทำไปตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ได้รับประโยชน์ของตนไป ฉะนั้น...คนที่วาระบุญยังไม่ส่งผล บางทีก็ปีแล้วปีเล่ายังไม่ได้อะไรเลย
ในสมัยพุทธกาล คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุมรรคผลพระนิพพานทุกรูปหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้บรรลุทุกรูป คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ถามว่า ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ธรรมที่พระองค์แสดงยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ทำไมภิกษุทั้งหลายจึงไม่สามารถไปพระนิพพานได้ทุกรูป ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากว่ามีบุรุษผู้หนึ่งมาถามว่า ทางไปกรุงราชคฤห์ไปทางไหน ? แล้วท่านตอบว่าทางกรุงราชคฤห์ต้องไปทางด้านทิศนี้ เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอหมู่บ้าน เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอเมือง แต่ว่าชายคนนั้นกลับจำผิด เดินไปในทางตรงกันข้าม จะไปถึงกรุงราชคฤห์ได้หรือไม่ ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ตอบว่า ย่อมไปไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาไปไม่ถึง แล้วท่านไม่ช่วยให้เขาไปถึง ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์บอกว่า เราเป็นเพียงคนบอกทางเท่านั้น เราไม่ใช่คนเดินทาง พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ในเมื่อเขาจดจำผิด ประพฤติปฏิบัติผิด ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ ตถาคตจะไปช่วยอะไรได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ชัดว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ใครที่เป็นอาจารย์ก็ต้องเคี่ยวเข็ญไปเรื่อย ตอกย้ำไปเรื่อย สอนกันจนตายไปข้างหนึ่ง ถ้าเขาไม่ตายก่อนอาจารย์ก็ตายก่อน เขาตายก่อนก็จบเรื่องของเขา อาจารย์ตายก่อนก็จบเรื่องของอาจารย์" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.