![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนเขาบอกว่า เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีให้ดูที่ปฏิทิน ถ้าปีไหนปฏิทินแจกกันคึกคักเกลื่อนกลาดก็แสดงว่าเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็มีปฏิทินบ้างไม่มีบ้าง ตั้งแต่แม่โขงเลิกแจกปฏิทินนี่รู้สึกว่าเหงาไปเลยนะ ปีนี้ที่ไม่มีแจกเพราะรัฐบาลเขากลัวปฏิทิน ขืนแจกเดี๋ยวโดนตามเก็บ..!
คาดว่าเดี๋ยวท่านเจ้าคุณปิงก็คงขนปฏิทินของวัดสระเกศมาแจกอีก เศรษฐกิจของท่านเจ้าคุณน่ะดีแน่ เพราะแจกจัง...! ท่านเจ้าคุณเดี๋ยวนี้เป็นผู้ชำนาญในฤกษ์พรหมประสิทธิ์แล้ว ท่านก็เลยใส่เอาไว้ในปฏิทินด้วย เอาปฏิทินของวัดสระเกศแจกไป ปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ของวัดท่าขนุนขายไม่ออกแน่เลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาคลอดลูก ผู้หญิงต้องอยู่ไฟ ที่อยู่ไฟเพราะเวลาคลอดลูกแล้วเสียเลือดมาก ก็คือธาตุไฟจะพร่อง ถ้าโดนความเย็นร่างกายจะไม่ปกติ เช่น จะมีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวง่าย เวลาดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงจะเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย โบราณเขาเลยให้อยู่ไฟ ขังตัวเองอยู่ในห้องแคบ ๆ จุดไฟ อบอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กระทบความเย็น จนกระทั่งร่างกายฟื้น สร้างเลือดคืนมาได้พอ
สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีเท่าสมัยนี้ มีคลอดลูกตายบ้าง ถ้าอยู่ไฟไม่ครบเดือน ร่างกายไม่ดี ก็มีลูกเพิ่มไม่ได้" |
มีโยมมาปรึกษาเรื่องการตั้งศาล พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เรื่องของการตั้งศาล เจ้าของบ้านทำเองจะดีที่สุด อย่างสมัยก่อน "ปู่โต๊ะ" อยู่แถวบางนมโค รับตั้งศาลตั้งแต่กล่อมเสา ถากเสาขึ้นมาเลย เขาจะถามความสูงของเจ้าของบ้าน ว่าระดับสายตาอยู่ตรงไหน ฉะนั้น..ศาลแต่ละหลังจะสูงต่ำไม่เท่ากัน เขาจึงเรียกว่าศาลเพียงตา คือต้องระดับสายตาเจ้าของ แต่สมัยนี้ศาลเพียงตามาตรฐานเท่ากันทั้งประเทศ"
|
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "ใครจองพระทองคำเอาไว้ ซื้อทองทันไหม ? ขึ้นราคาไปบาทละหลายร้อยแล้ว อุตส่าห์รีบให้ออกแล้วนะ ถ้ามัวแต่ใจเย็นอยู่ก็ตัวใครตัวมัน"
|
ถาม : สมมติเรายึดมั่นในพระรัตนตรัย เวลาพระท่านสงเคราะห์ช่วย กฎแห่งกรรมจะลดลง ๒๕ % ที่ว่าลดก็คือ ช่วยผ่อนไปเรื่อย ๆ หรือว่าตัดไปเลยครับ ?
ตอบ : ใครบอกคุณ ? มักจะมั่วไปเรื่อย บุคคลที่มั่นคงในศีล สมาธิ ปัญญา เข้าใจคำว่า "มั่นคง" ไหม ? คนที่จะมั่นคงได้จริง ๆ อย่างต่ำต้องพระโสดาบันขึ้นไป ไม่ใช่ทุกคน และกรรมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ๒๕ % ของเราเอาไปเปรียบกับคนอื่นอาจจะนิดเดียว แต่ ๒๕ % ของคนอื่น อาจจะเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ของเรา เรามักจะฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียดอยู่เรื่อย |
ถาม : สมมติของหล่น กรณีแรกเจ้าของไม่ได้ติดตาม แต่พระหยิบไป กรณีที่สองเจ้าของติดตามอยู่ พระหยิบไปผิดไหมครับ ?
ตอบ : ข้าวของอะไรก็ตาม พระไม่มีสิทธิ์ที่จะไปหยิบของเขา พูดง่าย ๆ ว่าถือเอาเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้ ยกเว้นอย่างเดียวคือเก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมาทวงคืน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสมมติที่ ๑ สมมติที่ ๒ หรอก ผิดหรือไม่ผิดอยู่ที่พระนั่นแหละ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนเจอเสือปืนไว ปรากฏว่าเมื่อเช้าก็เจออีก ที่บอกว่าเมื่อคืนเจอเสือปืนไว คือวัตถุมงคลที่แจกเมื่อวานไปประกาศขายอยู่ในเว็บ วางจำหน่ายแล้ว ส่วนที่เจอเมื่อเช้านี้ เขาเลี่ยมแขวนมาเรียบร้อยแล้ว อะไรจะเร็วปานนั้น แสดงว่าเมื่อวานเช้ารับได้ก็ไปร้านทำกรอบเลย"
|
ถาม : บอกให้คนเขาอธิษฐานภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา แต่เขาอธิษฐานภาวนาผิดเป็น โสตาตะภิญญา ผลที่ได้จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำด้วยความเคารพก็มีผลเหมือนกัน |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปเยี่ยมท่านอาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติและเป็นราชบัณฑิตสาขาสถาปัตยศิลป์ด้วย อาตมาไปขอแบบของท่านมาทำมณฑป ท่านกำลังขยายแบบให้อยู่ ท่านบอกว่า "โดยปกติถ้าเจ้าของงานไม่โผล่หน้ามาให้เห็นนี่ผมไม่ให้จริง ๆ นะ พอดีของท่านพิเศษหน่อย เพราะลูกศิษย์ทำงานให้ ๓๐ กว่าปี มาบอกว่าอาจารย์ขอ ท่านติดงาน ไม่มีเวลามา ก็เลยให้ไป"
เรียนท่านว่า "ที่มานี่ก็คือมาขอบคุณอย่างเป็นทางการ" ท่านชวนคุยสนุกมาก พักเดียวหมดไป ๒ ชั่วโมง บอกท่านว่า "ท่านอาจารย์ทนอยู่หน่อยนะ ถ้าอาตมาทำพิพิธภัณฑ์เสร็จ เดี๋ยวหาทางเอางานฝีมืออาจารย์ไปอวดทางภาคตะวันตกบ้าง" ถาม : ท่านคือพี่ชาย ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ? ตอบ : ใช่ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1453155103 รศ.ภิญโญ - คุณลาวัณย์ สุวรรณคีรี ท่านเล่าประวัติให้ฟังว่า ท่านเขียนลายก่อนเขียนหนังสือเป็น เพราะมีหลวงปู่ที่วัดบ้านเกิดเอาท่านไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม หลวงปู่ท่านเก่งทางเขียนลาย ทางฉลุไม้ สลักไม้ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มไปหมด ท่านเองเวลาเขามาชุมนุมกัน หลวงปู่ท่านสอน ท่านเองก็ได้ฟังไปด้วย รู้สึกชอบใจ เห็นเขาทำลายก็อยากจะเขียนบ้าง เลยหัดเขียนลายก่อนเขียนหนังสืออีก ที่ขำที่สุดก็คืองานชิ้นไหนที่อาตมาไปเห็นว่าสวย ปรากฏว่ากลายเป็นงานของท่านหมดเลย คุยถึงตรงโน้น ตรงนี้ ท่านก็บอกให้นี่ก็งานผม โน่นก็งานผม เอาเล่มหนังสือมาเปิดให้ดู ใช่งานท่านจริง ๆ ด้วย แสดงว่างานของท่านถูกสายตาอาตมามาก เห็นว่าสวยทันทีเลย ท่านก็ชวนไปดูโน่นดูนี่ในบ้าน เดินไปทั่ว อายุย่าง ๘๐ ปีแล้ว มีลู่วิ่งอยู่หลังบ้านด้วย เต็มสนามหลังบ้านเลย ท่านวิ่งวันละ ๖๐ รอบ มิน่าว่าท่านถึงได้คล่องตัวขนาดนั้น หมอบ ๆ คลาน ๆ เขียนลายทั้งวัน คนแก่ขนาดนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ยังสะดวก แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือคุณลาวัณย์ สุวรรณคีรี ภรรยาของท่านอาจารย์ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนแก่ อะไรจะสาวพริ้งได้ถึงขนาดนั้น |
เรียนท่านว่าที่วัดจะพยายามรักษาพื้นที่ป่าไว้ ท่านก็เลยพาไปหลังบ้าน ไปดูศาลานั่งเล่นทรงไทย ที่เป็นเสาล้มสอบหลังเล็ก ๆ ท่านบอกว่า “นี่ ๆ ให้ทำแบบนี้ ไม่เปลืองที่”
เรียนท่านว่าเคยจะให้คุณชลทิตออกแบบศาลาให้เหมือนพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ท่านบอกว่า "ไม่ได้หรอก พระคุณท่านไม่ได้เรียนเรื่องนี้มา ท่านไม่เข้าใจหรอก การออกแบบต้องดูบริบทรอบข้างด้วยว่าควรจะให้เป็นอย่างไร ขณะเดียวกันพื้นถิ่นเขามีเอกลักษณ์อย่างไร ก็ต้องเอามาใส่ลงไปด้วย ถึงจะกลมกลืนกันได้ ไม่ใช่เห็นของใครสวยก็ไปเอาของเขามาเลย" ถ้าหากว่าท่านออกแบบให้อาตมา คงจะติดแบบมอญพม่าแน่เลย |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1453155222 รศ.ภิญโญ สุวรรณคีรี พาชมผลงานต่าง ๆ ถ้าหากว่าวาสนาบารมีมีพอ ที่ข้าง ๆ วัดท่าขนุนยอมขายให้ รับรองว่าได้สร้างแน่ เพราะทุกวันนี้มีแต่คนถามว่า "โบสถ์เล็กแค่นั้นเอง ทำไมไม่สร้างใหม่เสียที ?" ถ้าได้ที่ข้าง ๆ มา ที่ตรงนั้นเกือบ ๔๐ ไร่ ตอนที่ธนาคารจะขายให้ ๔๐ ล้านบาท อาตมาไม่เอา เพราะถ้าหากว่าเอามา ก็ไม่มีเงินเหลือพอจะไปทำอย่างอื่น เรียนท่านอาจารย์ว่าไม่ได้คิดอะไรหรอก นอกจากสร้างความเจริญไว้กับพระพุทธศาสนา แล้วก็ฝากผลงานเอาไว้ให้คนรุ่นหลังเขาได้ดู เพราะว่างานฝีมือดี ๆ เดี๋ยวนี้หาดูยากมากแล้ว ส่วนใหญ่คนจะเก่งได้ระดับ ก็มักจะอายุวัยเกษียณแล้วทั้งนั้น ยังโชคดีที่ท่านอาจารย์อายุยืนมาก ตอนนี้ลูกสาวกำลังรวบรวมผลงานของท่านอยู่ เรียนท่านว่า อย่างไรให้ทำขายเลยนะ คนจะได้ซื้อแล้วก็มีเก็บเอาไว้เป็นสมบัติบ้าง ปรากฏว่าดูไปดูมานี่หนาขนาดนี้ (ประมาณ ๔ นิ้วฟุต) ต้องซอยเป็น ๒-๓ เล่ม ไม่อย่างนั้นจะแพงมาก ท่านพาไปดูบ้านหลังเก่าของท่าน ที่ดินแถวบางกะปิสมัยนั้นตารางวาละ ๒๐๐ บาท ตอนนี้เท่าไร ? ตารางวาละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท..! เรียนท่านอาจารย์ว่า พี่ชายของอาตมาซื้อที่ดินที่ซอยอ่อนนุชตารางวาละ ๗๐๐ บาท จริง ๆ แล้วเขาติดประกาศไว้ ๙๐๐ บาท ไปต่อจนเขายอมลดให้ ปรากฏว่าพอซื้อเสร็จ ปีรุ่งขึ้นถนนศรีนครินทร์ตัดผ่าน น้ำเข้า ไฟเข้า ราคาขึ้นพรวด ๆ คนขายโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง บอกว่าติดป้ายไว้เป็น ๑๐ ปีขายไม่ได้ พอขายได้ก็ขึ้นราคาทันที ท่านอาจารย์ภิญโญบอกว่า ของท่านก็เหมือนกัน ซื้อมาตารางวาละ ๒๐๐ บาท ตอนนี้ตารางวาละ ๕๐๐,๐๐๐ บาทไม่รู้ว่าจะหาซื้อได้ไหม ? |
ส่วนใหญ่แล้วท่านทำงานไม่ได้เอาเงิน ท่านบอกว่าชอบฝากผลงานไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ในประเทศคนรวยขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ใช่ประเภทพูดคุยถูกคอถูกอัธยาศัย ง้อให้ตายท่านก็ไม่ไปออกแบบให้เขาหรอก ตอนนี้ท่านกำลังทำศาลฎีกาหลังใหม่อยู่ แล้วส่วนที่ออกแบบอยู่ก็คือรัฐสภาแห่งใหม่
อาจารย์ท่านได้ทำพระเจดีย์สูง ๘๔ เมตร ท่านทำให้ดูแล้วก็ชี้ให้ดู "นี่ ๆ เห็นไหม ? ทรงต้องอยู่ในเส้นจอมแหอย่างนี้ถึงจะสวย" มีรายละเอียดหมดเลย คุยไปคุยมาคุยเรื่องออกแบบจนหมด ดูโน่นดูนี่จนหมด ท่านเลยพาไปดูเครื่องดนตรี ท่านเล่นดนตรีถวายสมเด็จพระเทพฯ มา ๓๐ กว่าปีแล้ว เวลาสมเด็จพระเทพฯ จะทรงดนตรี ก็โทรมาขอให้ไปช่วยเล่นหน่อย ท่านมีซออู้ กะลาลูกใหญ่มาก ด้ามซอเป็นงา ลูกกลึงก็เป็นงา ท่านบอกว่าเป็นของนายเค็งเหลียน ศรีบุญเรือง ของเขาเลี่ยมทองไว้ ไม่รู้ว่าลูกหลานหรือใครแกะเอาทองไปขาย ท่านอาจารย์ก็เลยเอาไปเลี่ยมเงินแทน บอกว่า "นี่ใครมาให้ ๒๐ ล้านบาทผมก็ไม่ขาย เพราะมีประวัติศาสตร์อยู่ในซอคันนี้" |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1453155317 รศ.ภิญโญ สุวรรณคีรี ตีกลองเนปาลีให้ฟัง ไล่ดูไปดูมาไปเจอซอเนปาลีเข้า อาตมาบอกว่า "เอ๊ะ...ตอนไปเนปาลเขาเล่นเพลง Ressem pee dee dee ให้ฟัง" ท่านอาจารย์บอกว่า “เพลงนี้ผมก็เล่นได้...ผมเล่นได้” แล้วท่านก็เปิดเพลง เป็นทำนองนั้นจริง ๆ ที่ "นายชีวัน" เขาร้องให้ฟัง ท่านบอกว่าท่านก็ไปพักที่นากาก็อตที่วิลล่าคันทรีนั่นแหละ แล้วทางโน้นเขาเล่นเพลงกัน ท่านก็เลยไปขอเล่นบ้าง ทางด้านโน้นก็ถามว่าเล่นได้หรือ ? ท่านก็บอกว่าได้ ก็เล่นให้เขาดู ท่านจำชื่อเพลงไม่ได้ พออาตมาออกปาก ท่านบอกว่า "ใช่เลย...เพลงนี้แหละ ” เป็นเพลงพื้นเมืองยอดฮิตของเนปาลคล้าย ๆ เพลงลอยกระทงของเรา ท่านบอกว่าใช่ เพราะพอท่านเล่นให้เขาฟังเสร็จ เขาก็เลยเล่นเพลงลอยกระทงคืนมา อัธยาศัยน่ารักมากทั้งสามีทั้งภรรยา ท่านพาไปดูที่ห้องทำงาน ที่ห้องใต้ดิน ฯลฯ ดูจนหมด ท่านบอกว่าเป็นเรือนไทยหมู่เดียวที่มีห้องใต้ดิน อาตมาบอกว่าเคยเห็นของท่านอาจารย์ มรว.คึกฤทธิ์ แต่ไม่ใช่ห้องใต้ดิน จะยุบลงไปเป็นหลุมแค่ครึ่งตัว ท่านบอกว่าของท่านอาจารย์ มรว.คึกฤทธิ์ไปซื้อของเก่าเขามา เสร็จแล้วก็เลยต้องทำให้เข้ากับของเก่า อาตมามอบหนังสือวัดท่านขนุนเป็นที่ระลึกให้ท่านไป ๒ เล่ม ท่านบอกว่าท่านอยากจะฝากผลงานไว้ในแผ่นดิน ไม่ได้คิดอยากจะได้สะตุ้งสตางค์อะไร ก็เลยมอบหนังสือให้เป็นที่ระลึกแทน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวันนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คิดจะทำ แต่ไม่ได้ทำ ก็คือเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์ สาเหตุเพราะว่าหาคู่เทศน์ไม่ได้ ส่งลูกศิษย์หลายคนไปเรียนวิชานักเทศน์จากสำนักวัดประยุรวงศาวาสก็มี วัดราชโอรสก็มี แต่ท่านไม่ยอมเทศน์ด้วย แม้จะบอกว่าเรื่องของเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์นั้น เขาไม่หักกันหรอก มีแต่ช่วยกันประคับประคองไป ท่านก็ไม่เอา ดังนั้น...อาตมาก็เลยไม่ได้ทดสอบวิชา ว่าจะออกมาเละเทะขนาดไหน
หลักสูตรนักเทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสรุปง่าย ๆ ว่า ‘ปากไว ใจกล้า หน้าด้าน เสียงดัง’ ปากไว คือ เขาถามมาต้องตอบทันที ใจกล้า คือ กลัวคู่ต่อสู้ไม่ได้ ถึงรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ก็ต้องสู้ คำว่าหน้าด้านนี่คือ ผิดก็คือผิด พยายามแก้ให้ถูกก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของเสียงดังเป็นลีลาของนักเทศน์ พูดง่าย ๆ ก็คือเสียงดังไว้ก่อน ช่วยข่มคู่แข่งได้ วันก่อนได้รับนิมนต์ไปงานทำบุญ ๑๐๐ ปีพระอารามหลวง วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ไปเจอเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ เป็นมหาสินกับมหาสม สองพี่น้อง ท่านเป็นพระครูแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าท่านเป็นพระครูอะไร ท่านเป็นฝาแฝด เพราะฉะนั้น...เวลาเทศน์นี่รู้ใจกันมากเลย นั่งฟังท่านเทศน์อยู่ ๔ กัณฑ์ ตั้งแต่ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวสน์ ท่านเทศน์ได้แค่นั้นก็หมดเวลาก่อน ฟังเทศน์มหาชาติไม่ครบ ๑๓ กัณฑ์ เขาว่าไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไปนั่งฟังท่านเทศน์ ตอนแรกก็สงสัยท่านเล่นรับส่งกันลื่นไหลดี ลูกเล่นลูกฮาเหลือกินเหลือใช้ ตอนหลังถามพระครูวาทีวรวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอก ท่านบอกว่าทั้งสองรูปเป็นฝาแฝดกัน" |
"เทศน์ ๒ ธรรมาสน์ส่วนใหญ่เป็นพระสกรวาทีกับพระปรวาที ก็คือผู้หนึ่งจะสมมติตัวเองว่าสงสัยในข้อธรรม แล้วก็ไปถามอีกผู้หนึ่งที่ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ ตอบกันไปโต้กันมา ญาติโยมก็จะได้ธรรมะบันเทิง สนุกเฮฮาไปตามเรื่อง
ถ้าหากว่าเป็นเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เขาเรียกว่าเทศน์แจง มีท่านหนึ่งต้องสมมติตนเป็นพระมหากัสสปะ องค์ประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎก องค์หนึ่งสมมติตนเป็นพระอานนท์ วิสัชนาในส่วนของพระธรรม ก็คือพระสูตรกับพระอภิธรรม อีกองค์หนึ่งสมมติตนเป็นพระอุบาลี วิสัชนาเรื่องพระวินัย แต่ส่วนใหญ่จะถามเรื่องอะไรมาก็ตอบกันไปตามเพลง" |
"สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง หลวงตาวัชรชัยของขึ้น บอกว่า “อยากเทศน์กับพระอาจารย์พยอมสักงวดว่ะ..!” เล่นเอาพวกเราห้ามกันแทบแย่ บอกว่าพระอาจารย์พยอมท่านมืออาชีพ ส่วนพวกเราแค่มือสมัครเล่น จะไปสู้ได้อย่างไร ท่านก็ยืนยันว่า ของเราถ้าหากยึดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไรก็ไม่หลุดไปจากแนวนี้ ก็ใช่อยู่นะ แต่ถ้าเกิดท่านไม่มาแนวนี้ล่ะ ?"
|
ถาม : ตั้งใจทำความดีตอนเย็น ๆ เช่น สวดมนต์ แต่ร่างกายเพลียจัดมากเลย เราตั้งกำลังใจว่าจะนอนสักตื่นหนึ่งค่อยลุกขึ้นมาทำความดี อย่างนี้ถือว่ากำลังใจห่วยไหมครับ ?
ตอบ : ห่วย...ต้องตั้งใจว่าถึงตายก็ต้องทำ ใครเป็นประเภทนอนไม่หลับแล้วลองลุกมาสวดมนต์ดูสิ ไม่ถึงห้านาทีหัวก็ไถหมอนแล้ว..! กิเลสเขากลัวเราทำความดี |
ถาม : โยมเขาถวายทองคำเป็นส่วนตัว พระเราเอามาใช้เป็นส่วนตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาถวายเป็นส่วนตัวก็ไม่ใช่ส่วนตัวจริง ๆ หรอก เขาถวายเพราะเราเป็นพระ ดังนั้น...ควรใช้ทำบุญ หล่อพระ ช่วยคนยากคนจน หรืออะไรก็ได้ที่เป็นส่วนของสาธารณประโยชน์ |
ถาม : เรื่องของศีล เรามีโอกาส แต่ไม่ละเมิด ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล ถึงมีโอกาสแล้วเราไม่ละเมิดก็ไม่ถือว่าเป็นศีล ศีลเราต้องตั้งใจรักษาก่อน ถ้าไม่ได้ตั้งใจรักษา ถึงคุณไม่มีโอกาสจะไปขโมยใคร เดินผ่านไปบ้านเขาปิดอยู่ เราไม่มีโอกาสขโมย อย่างนั้นจะเอาอานิสงส์ที่ไหนมา ? ถาม : กำลังใจก่อนตายฟุ้งซ่าน จะลงล่างไหมครับ ? ตอบ : ก็อยู่ที่กำลังใจของเรา ว่าเกาะความดีมั่นคงแค่ไหน ถ้าหากว่าไม่มั่นคง ไปฟุ้งซ่านก่อนตายเป็นอาสันนกรรม ก็ตัวใครตัวมันเถอะ โปรดระวังให้ดี เรื่องของความดีอย่าไปประมาท เพราะว่าถ้าหากว่าเราประมาทเกิดอาสันนกรรม จะเป็นกรรมที่มาขวางตอนก่อนตายนิดเดียว ถ้าช่วงนั้นจังหวะนั้นเราเกาะความดีได้ก็รอด ถ้าเกาะความดีไม่ได้ก็ไปยาวเลย |
ถาม : ถ้าเราทรงสมาธิ เราต้องสลับมาพิจารณาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้จะดีมาก เพราะว่าการพิจารณาจะช่วยให้ปัญญาของเราดีขึ้น มองเห็นสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ยอมรับความเป็นจริงมากขึ้น แล้วเราก็ไม่ต้องเอากำลังไปกดข่มกิเลสมากนัก เพราะเห็นโทษแล้ว คนที่เห็นโทษก็ย่อมเบื่อหน่าย หวาดกลัว ไม่อยากที่จะไปแตะต้อง แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ อย่างน้อยกำลังสมาธิก็ป้องกันไม่ให้กิเลสทำอันตรายเราได้มากนัก |
ถาม : เวลาที่เราทำความดีได้ เช่น มีมุทิตาจิตอย่างจริงใจ สักประเดี๋ยวเดียวก็จะมีความคิดชั่วแวบเข้ามา ชั่วมากด้วย?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เหมือนอย่างกับมีคนหนึ่งดีคนหนึ่งชั่วอยู่ในใจของเรา กิเลสก็พยายามดึงเราไปในทางของเขา ส่วนกุศลกรรมก็พยายามดึงเรามาในทางดี ช่วงนี้ก็ต้องยื้อแย่งกันอยู่ จนกว่ากำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหนือกว่า ก็จะพาไปทางด้านนั้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ถาม : เป็นเพราะสมาธิเราไม่พอหรือคะ ? ตอบ : ต้องเรียกว่าเผลอให้กิเลสโผล่มาได้ เพราะสติยังไม่พอ ที่สติยังไม่พอเพราะสมาธิยังน้อยไปหน่อย |
ถาม : แม่สบายดีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มาถามอะไรกับพระ ? แม่ตัวเองแท้ ๆ แต่มาถามกับพระว่าแม่สบายดีหรือเปล่า ? ประเภทไปไหนก็ถามแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกเข้าสักวัน มีญาติโยมบางท่านโดนอาตมาดุไป แล้วมากราบขอขมาเมื่อไม่กี่วันก่อน บอกว่าเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมถึงดุ เพราะเขามาถามอาตมาตอนบ่าย ๒ ว่า "ฉันหรือยังครับ ?" เลยบอกว่า "มึงจะชวนพระคุยก็ใช้หัวแม่ตีนคิดเสียบ้างว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร...!" อย่างรายนี้เหมือนกัน แม่ตัวเองแท้ ๆ ไม่รู้ว่าสบายดีไหม ? ถ้าลูกไม่รู้ว่าแม่สบายดีไหม ถ้าไปถามหมอดูเดี๋ยวก็ได้เรื่อง กลายเป็นกำลังมีเคราะห์อย่างโน้นอย่างนี้ ต้องสะเดาะเคราะห์ จ่ายเงินเท่าโน้นเท่านี้ หมดกันอีกเยอะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่จะเป็นครูฝึกมโนมยิทธิ ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก ผิดแล้วผิดอีก ผิดจนรู้ว่าที่แท้เราผิดเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นก็พาลูกศิษย์เข้าป่าเข้าดงไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เป็นที่น่าเสียดายว่าแม้แต่ในวัด กฎเกณฑ์ก็ระบุไว้ชัดว่าจะบวชก็ต้องฝึกมโนมยิทธิให้ได้ก่อน แต่ไม่มีใครซักซ้อมจริงจัง พูดง่าย ๆ ว่า ถ้ามีใครเขาท้าพิสูจน์ก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ ก็มีแต่จะพาหลักการหรือวิชาการเสื่อมลงไปทุกวัน"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโขลงช้างป่าลงมาอาละวาดที่บ้านห้วยเขย่งอยู่เป็นอาทิตย์ แล้วก็แปลก...ชาวบ้านเขาตั้งใจทำบุญให้ช้างอยู่พอดี ช้างเหมือนกับรู้ล่วงหน้า เขาก็ลงมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่คนก็จัดงานก็อยู่ในบ้านในเมือง ส่วนช้างอยู่ในป่าแต่ดันรู้ด้วย ก็วิ่งลงมารอเลย
หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านบอกว่า ช้างทุกตัวมีผีหรือว่าเทวดาคุม ดังนั้น...เราว่าอะไรเขารู้หมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแค่ว่าช้างพูดรู้เรื่องทุกตัว ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่อาตมาธุดงค์ไปเจอ เขาพูดรู้เรื่องจริง ๆ อยู่ในป่าทางเดินหายาก ถ้าไม่เดินไปตามด่านสัตว์ ก็ต้องเดินไปในร่องห้วย เดิน ๆ อยู่เจอช้างหากินอยู่เต็มห้วย คราวนี้ก็รอไปสิ เพราะช้างกินทั้งวัน จะทำอย่างไรได้ เราเองก็ต้องไป ท้ายสุดไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาตมาก็หน้าด้านเดินไปหา “ช้างจ๋า...ขอทางหน่อยจ้ะ” พอได้ยินนี่ทุกตัวหยุดพรึ่บ หันมามองเป็นตาเดียว พอเห็นเป็นพระเขาก็เอาตัวเบียดข้างลำห้วย ทำตัวลีบเหมือนกับเปิดทางให้เดินผ่าน อาตมาก็เดินตะแคงข้างไป กะว่าถ้าเอ็งขยับข้าก็วิ่งเลย ปรากฏว่าเขารอจนเดินพ้นไปไกลแล้วค่อยหากินกันต่อ" ถาม : แล้วหมาละคะ ? ตอบ : เราพูดหมารู้เรื่องทุกตัวแหละ แต่หมาพูดมาเราไม่รู้เรื่องเอง |
ถาม : สัตว์ที่เราเลี้ยงได้เสียชีวิต เราทำบุญให้เขา ให้เขาโมทนาบุญ เขาไปเกิดที่อื่น เขาจะรับรู้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาแค่ว่าเราอยู่ใกล้ก็พอแล้ว ถ้าใจเขาเกาะเรา อย่างไรก็ไปเกิดเป็นคน ไม่ต้องเอาอะไรมาก |
ถาม : คนเราควรนอนวันหนึ่งกี่ชั่วโมงคะ ?
ตอบ : เอาตามตำราหมอก็ ๘ ชั่วโมง ถาม : นอนดึกกับนอนหัวค่ำต่างกันไหมคะ ? ตอบ : ต่างกันเยอะมาก เพราะว่าพวกฮอร์โมนร่างกายต่าง ๆ ของเรา ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานช่วงดึก จะทำงานช่วงหัวค่ำเท่านั้น จึงต้องรีบพัก ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับไม่ได้พัก พอไม่ได้พักระบบร่างกายจะรวนหมด ถ้าใครนอนสักทุ่มหนึ่งได้ยิ่งดีเลย ถาม : วันหนึ่งนอน ๔ ชั่วโมงก็พอได้ไหมคะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าตามหมอบอกก็ต้อง ๖ - ๘ ชั่วโมง ถาม : ถ้าตามตำราท่านละคะ ? ตอบ : ถ้าตามอาตมาไม่ต้องนอนก็ได้ ให้ตายชักไปเลย...! ถาม : ถ้าวันพรุ่งนี้เราไม่ได้มาร่วมพิธีสวดพระคาถาเงินล้าน โยมจะทำอย่างไรให้ตัวเองได้เหมือนกัน สวดที่บ้านได้ไหมคะ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าตั้งใจภาวนาด้วยความเลื่อมใส อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน |
:4672615:เก็บตกเดือนมกราคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:33 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.