![]() |
ถาม : ถ้าผมเร่งในทาน ศีล ภาวนา จะทำให้มีศีล สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้น ทีนี้ผมสงสัยว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาทางธรรมอย่างเดียว หรือว่าปัญญาในการเอาตัวรอดในชีวิตด้วยครับ ?
ตอบ : ทั้งทางโลกและทางธรรม ในเรื่องปัญญามี สหชาติกปัญญา ถ้าคนทั่ว ๆ ไปก็เรียกว่าสัญชาตญาณ เป็นปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ก็คือรู้จักหากิน รู้จักหลบภัย รู้จักเสพกาม เป็นต้น ปาริหาริกปัญญา เป็นประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สั่งสมในการดำเนินชีวิต หรือศึกษาเรียนรู้จากตำรา จากห้องเรียน แล้วก็เนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการแสวงหาทางพ้นทุกข์ ถ้าเราเร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กัน เพราะว่าในเมื่อมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาอย่างไหนก็ตาม ย่อมสามารถเอาไปประยุกต์พัฒนาร่วมกับปัญญาอื่น ๆ ได้ ขนาดต้องการพ้นทุกข์จากวัฏสงสารยังมีปัญญาดิ้นรนหนีไป การที่จะทำอย่างไรให้เรามีความสุขในโลกจึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แค่เอามาประยุกต์ใช้ร่วมกันแค่นั้นเอง ถาม : มีคนบอกว่า “ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม” การเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมคู่กันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะสวนทางกัน ? ตอบ : ใครว่าเป็นไปไม่ได้ นางวิสาขารวยเท่าไร แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ? พระมหานามเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ? |
ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว ?
ตอบ : ตอนนี้ยังแค่ครึ่งตัวใช่ไหม ? ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว มารเขาจะเล่นงานผมน้อยลงใช่ไหมครับ ? ตอบ : มีแต่จะหนักขึ้น ถาม : ทำไมเล่าครับ ก็ผมยังไม่ไปพระนิพพาน ? ตอบ : ตอนนี้คุณจะไปคนเดียว แต่หลังจากนี้คุณจะพาไปตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น..จะโดนเตะสกัดตลอดเวลาเพื่อไปให้ได้ช้าที่สุด ถาม : ผมไม่ตั้งใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แค่ตั้งใจว่าลาเมื่อไรก็ช่าง แต่ให้ได้ช่วยเหลือคน ? ตอบ : การช่วยคนอื่นนั้นแหละ ช่วยมากช่วยน้อยก็ไปขัดนโยบาย คสช. แล้ว ต้องโดนปรับทัศนคติแน่นอน ถาม : เรื่องเล็กน้อยเขาก็เอา เขามีความสุขมากเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...เป็นหน้าที่เขา ถึงเวลาไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ก็ต้องส่งทหารตำรวจไปถ่ายคลิปด้วย ถาม : แค่ให้ขัดอารมณ์นิดเดียวนี่เขาก็เอา ? ตอบ : ถึงขนาดปิดประเทศยังจะเอาเลยนะ...! แสดงว่าที่อาตมาพูด ๆ ไปไม่เคยเข้าหู บอกแล้วว่ามารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ดีที่สุด มีอะไรต้องไปกลัวด้วย ยกเว้นว่านักเรียนไม่พร้อม นักเรียนไม่พร้อมแล้วไปบ่นว่าครูโหดได้อย่างไร ? ก็ต้องไปเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ แค่นั้นเอง ถาม : เป็นครูแต่เอาลูกศิษย์ลงนรกได้นี่นะครับ ? ตอบ : ก็นั่นเป็นหน้าที่เขา ไม่เห็นหรือว่ากว่าจะจบปริญญาโทปริญญาเอก แต่ละคนเหมือนตกนรกทั้งเป็นมากี่รอบ ถึงขนาดเขาสรุปง่าย ๆ ว่า เรียนปริญญาโทร้องไห้ได้ไม่ถึง ๓ ครั้งนี่ไม่จบหรอก แล้วปริญญาเอกนี่ ตูยังไม่รู้เลยว่ากี่ครั้ง ? เพราะยังไม่ทันจะร้องเลยดันจบเสียก่อน ลงนรกก็แค่อยู่กับเขา ก็เป็นความพอใจของเขาอยู่แล้ว ครูก็แค่อยากจะมีลูกศิษย์ไว้สอนนาน ๆ ถ้าลูกศิษย์ไม่รักครูก็ต้องหาทางหนีครูไปเอง ถ้าไม่รู้จักหนีครูก็ทนอยู่กับครูไปเรื่อย ๆ |
การเกิดมาเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้กระทำในอัตตัตถะ ก็คือ ประโยชน์ส่วนตนให้ถึงพร้อม แปลว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร ก็ให้ทำสถานะนั้นให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นพี่เป็นน้องก็ทำหน้าที่ของพี่น้องให้ดีที่สุด เป็นศิษย์ก็ทำหน้าที่ของศิษย์ให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้ดีที่สุด
อย่างที่ ๒ คือปรัตถะ ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้มีอัตถจริยา ก็คือการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แม้กระทั่งที่อาตมาทำอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นปรัตถะ ก็คือเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก และส่วนสุดท้ายก็คือ อุภยัตถะ ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งตนเองและผู้อื่นให้ถึงพร้อม ซึ่งบุคคลที่จะทำได้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้นหายาก เราจะเห็นว่าบางท่านแม้จะเป็นใหญ่เป็นโต บริหารชาติบ้านเมืองได้ดี แต่ครอบครัวบางทีก็ไม่เป็นท่าเลย ถ้าถามว่าท่านไม่ได้อบรมสั่งสอนคนในครอบครัวหรือ ? ต้องบอกว่ายิ่งกว่าสอนอีก แต่สอนแล้วเขาไม่ฟัง เหตุที่ไม่ฟังเพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คนที่มาเป็นครอบครัวเดียวกันก็มักจะมีทิฐิมานะ กูยิ่งใหญ่ขนาดนี้มึงจะมาสอนกูได้อย่างไร จะเป็นลักษณะอย่างนั้น ดังนั้น..ข้อสุดท้ายจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าอยากจะรู้หัวข้อธรรมนี้ละเอียดก็ให้ไปค้นหาดู ใช้คำว่า “ประโยชน์ ๓” ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนอธิบายเอาไว้ละเอียดบ้างหรือเปล่า ? การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เน้นปรัตถะ ก็คือเน้นประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงตัวเองต้องตายลงไปก็ยังเต็มใจที่จะทำ |
ถาม : หนูไปภาวนาที่วัดแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินจงกรมไปแล้วแล้วรู้สึกปวดมาก แต่พอเดินต่อเวทนาก็หาย รู้สึกว่าขาก็ไม่ใช่ขา กระดูกก็ไม่ใช่กระดูก เรียกไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : สรุปว่าไม่ใช่ของเรา ถาม : เดินจนเดินไม่ได้ก็เลยหยุดเดิน ไอ้ที่แยกออกกลับรวมตัวกัน กลับมาเป็นอีกทีหนึ่งค่ะ ? ตอบ : ...(หัวเราะ)... ถ้าไม่รวมจะลำบาก รวมนั้นถูกแล้ว กระจายออกแล้วต้องรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก ให้เห็นชัดให้ได้ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อยู่ไปก็มีแต่ความทุกข์ ยังอยากได้ใคร่มีอีกหรือเปล่า ? ให้ถามตัวเองด้วย ถาม : ที่เขาให้ทำวัตรสวดมนต์แล้วให้ท่องพิจารณา ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่เข้าใจค่ะ ? ตอบ : ตอนนั้นเป็นแค่สิ่งที่ จำได้ แต่ตอนนี้เป็นสิ่งที่ ทำได้ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าหลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นปัตจัตตัง คือ ผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เห็นด้วยตัวเอง |
ถาม : วันสุดท้ายของการปฏิบัติหนูนั่งสมาธิ เขาเปิดเสียงหลวงปู่สิม หลวงปู่บอกให้นั่งขัดสมาธิเพชร นั่งไปรู้สึกเจ็บมาก ในใจเลยรู้สึกโกรธหลวงปู่ พอนั่ง ๆ ไปเสียงหลวงปู่บอกว่า “ไม่ตายหรอก อ่อนแอท้อแท้ไปก็ไม่ได้อะไรหรอก” ก็น้ำตาไหลนึกถึงหลวงพ่อมาก เกิดความรู้สึกถึงดวงตรงศูนย์กลางกายชัดขึ้น เหมือนมีตรงกลางแล้วมีคนกระโจนวิ่งใส่กำแพง เหมือนอารมณ์ออกข้างนอกไม่ได้ เขาพยายามจะให้เรายอมแพ้ บอกว่าถ้านั่งไปมาก ๆ เดี๋ยวขาจะแตก เดี๋ยวจะตาย แต่ก็อดทน ยิ่งทำให้เห็นว่าดวงตรงศูนย์เริ่มนิ่งขึ้น แล้วอารมณ์ตรงนั้นไม่ใช่หนู อย่างที่หนูเคยมากราบเรียนเมื่อเดือนก่อนยังไม่ค่อยชัด คราวนี้ชัดมากเลยค่ะ ว่าที่กระโจนออกไปนั่นเป็นความกลัวตาย
ตอบ : กิเลสกำลังหลอก ถาม : ที่ว่าขาจะแตก ก็เหมือนเนื้อตาย ๆ ไม่ใช่ของเรา มีความรู้สึกว่า เหมือนกับอะไรที่เราหลงยึดมาตั้งนานทั้งที่ไม่ใช่ของเรา หนูไม่รู้จะไปต่ออย่างไรดีค่ะ ? ตอบ : ทำแบบนั้นบ่อย ๆ เพื่อให้เห็นให้ชัดว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วจะยึดถือมั่นหมายไปทำไม ? ก็เอาใจเกาะพระดีกว่า ตอนท้ายให้เอาใจเกาะพระ เพราะอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเราตายลงไปเพราะการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ เราก็ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพาน ส่วนหนึ่งที่ดีใจก็คือเราได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วความทุกข์ยากลำบากอะไรทั้งปวง เป็นเพราะกิเลสหลอกเราทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมต่อสู้เราก็จะเสียท่า โดนเขาพาวนหาทางออกไม่ได้ไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้เราสู้ผ่านมาได้เฉพาะครั้งนั้น ได้เห็นแล้วว่ากิเลสเขาหลอกเราอย่างไร ต่อไปก็อย่าไปเสียท่าให้เขาหลอกเราอย่างนั้นได้อีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขับรถอย่าใจร้อน ถ้าใจร้อนนอกจากจะเกิดอุบัติเหตุง่ายแล้ว รถเรายังชำรุดเสียหายง่าย ขับรถอย่างไรที่จะรักษาความเร็วเฉลี่ยให้ได้ สมมติว่าเราไปต่างจังหวัด เหยียบ ๑๔๐-๑๕๐ แล้วก็ไปเบรก กับการที่เราไป ๑๐๐-๑๑๐ แล้วไม่ต้องเบรก อย่างไหนจะดีกว่ากัน ?
ฉะนั้น..การขับรถเราต้องคำนวณล่วงหน้าไปเลย ๓-๔ คัน ว่าเราจะทำอย่างไร จะไปทางไหนจึงรักษาความเร็วเฉลี่ยนี้เอาไว้ได้ อาตมาเคยนั่งรถที่โยมบางท่านขับไป ๑๘๐ แล้วก็เบรกตลอดเวลา อาตมายังบอกว่า นี่ถ้าเปลี่ยนรถคันใหม่คุณเกิดอุบัติเหตุแน่นอน เพราะว่ารถยี่ห้ออื่นไม่ใช่ว่าจะเบรกดีเหมือนกับยี่ห้อที่คุณใช้อยู่" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตว่าคนรุ่นใหม่ เวลาทำอะไรมักจะถ่ายรูปแล้วก็แชร์ ไม่ว่าจะส่งทางไลน์หรือว่าเฟซบุ๊กก็ตาม ขอถามว่ามีใครไม่เป็นบ้าง ? ...(ยกมือหลายคน)... ถ้าไม่ใช่ตกยุคก็ต้องถือว่าสุดยอด ไม่ต้องไปไหลตามเขา อาตมาไม่ได้ตำหนิว่าคนที่ทำเขาไม่ดี แต่อยากจะถามว่า ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ? เหนื่อยบ้างไหมที่ทำอย่างนั้น ? ใช่สิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ไหม ? หรือว่าบ้าเห่อตามเขาไป ความจริงแล้วเราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองบ้าง
อาตมาไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีไลน์ ไม่มีทวิตเตอร์ มีแต่อีเมล์ที่นาน ๆ เปิดดูทีหนึ่ง ชีวิตมีความสุขกว่าเยอะเลย ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเวลาเขาโทรมา ๖ โมงเย็นนั่งทำวัตร เจ้าคุณรองเจ้าคณะจังหวัดโทรมา อาตมาปิดเครื่องเลย เพราะเป็นเวลาทำวัตร บางวันก็เปิดให้ท่านฟังทำวัตรสัก ๑๕ นาที จนท่านโมทนาไม่ไหวต้องตัดสายทิ้งไปเอง เพราะเปลืองเงิน หลังจากนั้นท่านก็จะไม่โทรมาหลัง ๖ โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่อาตมาจะปิดโทรศัพท์อีกเลย ไปเปิดอีกทีก็แปดโมงเช้าโน่น หลายคนต้องสิ้นเปลืองมากมายมหาศาล เพราะต้องการที่จะแสดงให้คนอื่นเขาเห็นในสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องไปกินอาหารในร้านดี ๆ แพง ๆ ซึ่งบางทีไม่มีความจำเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะอวดรูปคนอื่น จึงยอมจ่ายราคาแพงกว่า อาหารเป็นเครื่องยังชีพ พิจารณาแบบพระเลย นะ มัณฑนายะ นะ วิภูสนายะ ไม่ใช่กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อตกแต่ง ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ก็คือ ไม่กินอวดร่ำอวดรวยว่าเราไฮโซหรูหรา ถ้าเงินเดือนต่ำติดดินแล้วไปทำตัวอย่างนั้น ลองคิดดูสิว่าเราจะติดลบเท่าไร ? เดี๋ยวก็กลายเป็นหนี้บัตรเครดิต พอเป็นหนี้บัตรใบที่ ๑ ก็ไปออกบัตรที่ ๒ กู้เงินมาโปะใบที่ ๑ ออกใบที่ ๓ กู้เงินมาโปะใบที่ ๒ เดี๋ยวก็หนี้ท่วมหัวล้มละลายไปเอง" |
"เพราะฉะนั้น..ทุกคนควรจะถามตัวเราเองสักนิดหนึ่งว่า เราอยากมีชีวิตอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? หรือว่าแค่บ้าเห่อไหลตามกระแสสังคมไป ? เคยมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชอบใจชื่อเรื่องมากเลย เขาว่า “หยุดกรุงเทพฯ ที ผมจะลง” คือกรุงเทพฯ ไปเร็วเกินไปแล้ว ทำอย่างไรเราจะใช้ชีวิตให้ช้าลงได้ ก็ต้องมีสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตนมีตนได้ ซึ่งในหลวงทรงสรุปมานานมากแล้วว่า สันโดษไม่ใช่จน นั่นคือการเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง
ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังตนที่หาได้ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน คนมีเงินร้อยล้านพันล้านจะขี่ลัมโบร์กินี่ไม่มีใครว่าหรอก ส่วนเราเงินเดือนขั้นต่ำหมื่นห้า ถ้าไปออกรถบางทีก็สิ้นสติ ก็นั่งรถไฟฟ้านั่งรถเมล์ไปก่อน ปัจจุบันนี้เราซื้อของเพราะว่าตั้งใจจะเสริมฐานะตัวเอง อาตมาเคยเอ่ยถึงเถ้าแก่เหมืองโดโลไมต์ที่กาญจนบุรีมาหลายครั้งแล้ว ท่านซื้อเบนซ์ ๕๐๐ เอสคลาสด้วยเงินสด คันละแปดล้านของสมัยโน้น ปรากฏว่ากินน้ำมัน ๔ กิโลเมตรต่อ ๑ ลิตร มาบอกว่า “อาจารย์...ผมเอารถมาถวายนะ” ถามว่ากินน้ำมันเท่าไร ท่านบอกว่า ๔ กิโลลิตร เลยบอกว่า "เถ้าแก่เอากลับไปเถอะ อาตมาไม่รับหรอก เลี้ยงไม่ไหว" ถามว่า "เถ้าแก่ไม่ใช้แล้วซื้อทำไม ?" ท่านบอกว่าลูกสาวยุให้ซื้อ บอกว่าธุรกิจระดับนี้แล้ว ถ้าไม่มีรถดี ๆ ขี่เดี๋ยวคนเขาไม่ทำธุรกิจด้วย ก็เลยบอกไปว่า “ถ้าคนเขาคบเถ้าแก่เพราะรถ เถ้าแก่อย่าไปคบกับไอ้คนประเภทนั้นเลย” นี่คือลักษณะของการซื้อของที่ไม่จำเป็น ท้ายสุดเถ้าแก่ก็ขี่ |
"ฉะนั้น..ชีวิตของคนปัจจุบันโดยเฉพาะในเมือง ไม่ใช่ต่างจังหวัดไกล ๆ แม้กระทั่งต่างจังหวัดปัจจุบันนี้ก็เริ่มเป็น ก็คือทำตัวฟุ่มเฟือยตั้งแต่แรก ต้องบอกว่า รายได้โลโซแต่ทำตัวไฮโซ แล้วจะไปรอดไหม ? เดี๋ยวก็เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่ผิดหรอก อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก เพราะฉะนั้น..ดำเนินชีวิตของเราอย่างไรให้รู้จักประหยัด อดออม แล้วก็มีความมุมานะ ขยัน อดทน ต่อสู้กับงานตรงหน้าของเรา
ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันเราไปเลียนแบบพวกตะวันตก ก็คือ หนุ่ม ๆ สาว ๆ ออกเที่ยว แล้วรายได้ของเราได้อย่างเขาไหม ? อย่างในยุโรปรายได้เขาชั่วโมงละ ๘ ยูโร ของบ้านเราทำแทบตายทั้งวัน ๓๐๐ บาท แต่ ๘ ยูโรของบ้านเขาซื้อข้าวซื้อปลากินเสร็จสรรพเรียบร้อยยังเหลือเก็บตั้งเกินครึ่ง บ้านเรา ๓๐๐ บาท กินผัดกะเพรา ๒ จานก็หมดแล้ว..! ได้ยินว่าหลายที่ขายจานละ ๑๕๐ บาทไปแล้ว เราเลียนแบบเขาโดยที่ไม่ได้ดูว่าระบบของเราไม่ได้รองรับ ไม่ได้เอื้ออำนวย บ้านเขาทำงานโดนหักภาษีจำนวนมหาศาล ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๕๕ เปอร์เซ็นต์ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ได้ยินว่าฝรั่งเศสจะหักภาษี ๗๕ เปอร์เซ็นต์..! แต่เขาคืนเป็นสวัสดิการในการรักษาพยาบาล ในการท่องเที่ยว แต่ละปีจะให้ตั๋วเครื่องบินราคาประมาณเท่านี้ คุณจะเที่ยวประเทศไหนเรื่องของคุณ ถ้าคุณไม่ไปถือว่าสละสิทธิ์ คนเขาก็ต้องไปเที่ยว แล้วบ้านเรามีระบบรองรับแบบนี้ไหม ? เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเราตกงานแล้วจะมีประกันสังคมมาช่วย ? ถ้าเราแก่จะมีรัฐบาลเลี้ยงแบบของเขา ? ในเมื่อไม่มีแล้วไปทำตัวฟุ่มเฟือยแบบเขา เลียนแบบเขาโดยที่ไม่ดูว่าสภาพสังคมเราต่างกัน ก็หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ปัจจุบันนี้เวลาอาตมาเห็นคนแต่งหน้าแต่งตาอย่างหนึ่ง วิ่งตามแฟชั่นอย่างหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยแทนเขามาก ถ้าพอจะสนิทกันบ้าง ไม่ใช่คนที่ห่างเหิน รู้ว่าพูดแล้วไม่โกรธก็จะถามว่า "ถามจริง ๆ เถอะต้องแต่งหน้าวันละ ๒ ชั่วโมงนี่เหนื่อยไหม ?" เสร็จแล้วออกไปโชว์เขากี่ชั่วโมง ? เต็มที่ ๖ ชั่วโมงก็ล้างทิ้งอีกแล้ว พรุ่งนี้เสียเวลาแต่งไปอีก ๒ ชั่วโมง เห็นแล้วเหนื่อยแทน รู้สึกว่าทุกข์มากเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บรรดาแม่ชีและเด็กวัด พอเห็นข้าวสารอาหารแห้งนี่ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก..! จนกระทั่งตอนนี้เขายังคัดข้าวสารได้ไม่ถึงครึ่งที่รับบิณฑบาตมาเลย แต่ละคนโวยวายกันว่าปีหน้าห้ามหลวงพ่อเข้ากรรมฐานเด็ดขาด ของมากกว่าเดิม "หลายเท่าตัว" ไม่ใช่มากกว่าเดิม "เป็นเท่าตัว" กุฏิแม่ชีข้างล่างไม่มีที่ให้เดิน กองกันสูงท่วมหัวแน่นไปหมด
คนที่มาช่วยงานส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามีน้ำใจมาก แต่ไม่รู้วิธีการทำงาน ในเมื่อไม่รู้วิธีการทำงาน ถึงเวลารับของมาก็เทโครม ๆ ลงไป พวกบรรดาน้ำที่เป็นแก้ว เป็นขวด ทนแรงกระแทกมาก ๆ ไม่ได้ ก็แตกเละเทะไปหมด คนจัดเก็บป่านนี้นั่งร้องไห้น้ำตาเล็ดไปแล้ว ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมงแรกที่จบจากการตักบาตรเทโวฯ ทุกคนนั่งงงว่าตูจะทำอย่างไรวะนี่ ? ก็คือของเยอะจนทำอะไรไม่ถูก แม้กระทั่งพระพอรับกฐินเสร็จ พระก็ยืนงง ท่านโน้นเดินวนไปคลำชิ้นโน้น ท่านนี้เดินวนมาคลำชิ้นนี้ ทำอะไรไม่ถูก ท้ายสุดอาตมาต้องบอกว่า ให้เก็บผ้าไตรออกมาก่อน แล้วของจะหายไปครึ่งหนึ่ง ค่อยได้สติเอาผ้าไตรมากอง ๆ รวมกัน น่าจะเกิน ๑,๐๐๐ ไตร ของอื่นถ้าหากเป็นของสดให้แยกเข้าครัว ถ้าเป็นของแห้งก็ส่งเข้าคลัง ถ้าเป็นหนังสือก็เอาเข้าห้องสมุด วัตถุมงคลเอาส่งให้พระอาจารย์ แต่มีบางท่านอมไปเองหลายชิ้น เขาถือว่ามีส่วนร่วมด้วย ในเมื่อมีส่วนในกองกฐิน ชิ้นไหนที่ต้องการก็ไม่รอให้พระอาจารย์อนุญาต อมไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง นิสัยอย่างนี้อย่าไปทำที่อื่น เพราะถ้าไปทำที่อื่นแล้วเกิดเขาไม่ยอม จะกลายเป็นขโมยของ จะขาดความเป็นพระไปเสียตั้งแต่แรก ไปนึกถึงในหนังสือการ์ตูนที่ถูกรางวัลที่ ๑ ซื้อของมาเต็มบ้านแล้วจัดไม่ถูก ก็แบบเดียวกันกรณีนี้ ข้าวของบิณฑบาตมาเต็มกุฏิแม่ชี ทำอะไรกันไม่ถูก นั่งงงกันไปพักใหญ่ |
"จนทุกวันนี้ก็ยังมีญาติโยมที่ไม่เข้าใจวิธีการตักบาตรเทโว ถึงเวลานึกอยากจะใส่อาหารสดก็ซื้ออาหารสดมา ทั้งข้าว ทั้งแกง ทั้งขนม คราวนี้ของตั้งหลายตันแล้วไปโดนทับอยู่ข้างล่าง ใครจะไปเอาออกมาได้ ? ทั้ง ๆ ที่คนซึ่งรับของจากบาตรพระเขาแยกมาแล้ว แยกว่านี่เป็นของสด นี่เป็นของแห้ง แยกใส่กระสอบโน้นกระสอบนี้ แต่คนเอาลงไม่สนใจ เททับกันไปเลย ต้องการเอารถออกไปรับใหม่อย่างรวดเร็ว ก็เททับพรวดลงไปเลย กองเป็นภูเขาเลากา กว่าจะคุ้ยลงไปถึงข้างล่าง ก็เละเทะหมด
ส่วนอีกประเภทหนึ่งไม่รู้ว่าขี้เกียจหรือมักง่าย คือ คนอื่นเขาเอาข้าวสารแบ่งใส่ถุงเล็ก ๆ จะเป็นถุงซิปหรือถุงพลาสติก เย็บปากมาหรือว่าผูกปากมาก็ได้ แต่พวกนี้เขาเล่นเทข้าวสารใส่ปิ่นโต แล้วก็ตักใส่บาตรทีละทัพพี ๆ แล้วคนเก็บจะเก็บอย่างไร ? ก็มีแต่เม็ดข้าวสารเกลื่อนไปหมด แต่ไม่เป็นไร..เดี๋ยวที่เหลือถ้าหากว่าไม่เสียเพราะน้ำไปก่อน ก็กวาด ๆ รวมกันแล้วหุงเลี้ยงหมาไป" |
"บางทีความหวังดีของคนเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือปฏิเสธได้ยากเพราะคนเขาศรัทธา แต่มาช่วยแล้วทำให้งานยากขึ้น ถ้าของสดของเราแยกไว้ส่วนหนึ่ง ถึงเวลาก็สามารถเอาเข้าโรงครัวไปถวายพระได้เลย นี่กลายเป็นว่าต้องมาค้นหาว่าอยู่ตรงไหน แล้วกองเป็นภูเขาอย่างนั้น ใครจะมีอารมณ์ไปค้น ยิ่งค้นก็ยิ่งเละ จึงต้องเก็บดาหน้าไป
ไปยืนดูเขาเก็บกันก็ขำ น้ำปลา..! ก็โยนให้คนนี้ น้ำยาล้างจาน..! ปลากระป๋อง...! นมกล่อง...! แต่ละคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าใครก็โยนให้คนรับผิดชอบไป แยกเป็นส่วน ๆ แล้วก็บรรจุใส่กระสอบ เสียดายพวกบรรดาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะถ้าโดนน้ำนี่เสียเลยทั้ง ๆ ที่ใส่ซองอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าซองเขาไม่ได้เจตนาเอามาให้กันน้ำได้นาน ๆ พอถึงเวลาโดนน้ำมาก ๆ ความชื้นเข้าได้ก็เสียหมด" |
"งานตักบาตรเทโวฯ งวดนี้ มีสิ่งที่เห็นอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ญาติโยมหลายคนถอดวัตถุมงคลใส่บาตรมาเลย ตัดใจสละกัน บางรายก็เลี่ยมทองมาเรียบร้อย แล้วก็มีหลายรายถวายเป็นทองคำมา ป่านนี้อาตมาก็ยังไม่มีอารมณ์ไปลงบัญชี วางอีเหละเขละขละไปหมด พอเหนื่อยขึ้นมาก็ทำท่าจะขอสลบก่อน แต่สลบไม่ได้ ทุกอย่างต้องทำกิจวัตรตามปรกติ โน่น...หลังทำวัตรค่ำไปแล้วถึงเป็นเวลาของเรา ต้องมาคัดแยกเงิน ต้องมาเรียงแยกธนบัตร
ไปนึกถึงตอนที่ยังอยู่วัดท่าซุง คาดว่าอีกไม่นานพระวัดท่าขนุนหลายรูปก็จะเกิดอาการเดียวกับอาตมา คือกลัวเงิน เมื่อตอนอยู่วัดท่าซุง พอไปดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ใหม่ ๆ ก็ปรับจากตู้ที่เขามีอยู่ ๖๐-๗๐ ตู้ ปรับเหลือเฉพาะที่หลัก ๆ ๒๒ ตู้เท่านั้น ทำหนังสือยื่นขออนุญาตจากหลวงพ่อวัดท่าซุงปรับอย่างเป็นทางการ ขอเปลี่ยนกุญแจใหม่ทั้งหมดด้วย เพราะว่าเดิมเจ้าหน้าที่เขาดูแลอยู่ บัญชีที่เขาส่ง งานที่ได้มากที่สุดประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท มั่นใจได้ว่าทุจริตแน่นอน เสร็จสรรพเรียบร้อยพอเข้าไปปรับแก้ไขอะไรเสร็จ ปรากฏว่างานเล็ก ๆ อย่างมาฆบูชา วิสาขบูชา แต่ละงานคนทำบุญมาเป็นแสน ๆ พองานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรก อาตมาบอกคุณแอ๊ว (สมถวิล วรสันต์) ที่เป็นสมุห์บัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขาอุทัยธานี บอกว่า “แอ๊ว..ช่วยแลกเหรียญบาทให้หน่อย เอา ๗๐,๐๐๐ บาท” คุณแอ๊วเขาก็ว่า “หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้น ?” “เออน่า..แลกมาเถอะ” “ หนูต้องไปเอาถึงคลังจังหวัดเลยนะ” “จะเอาที่ไหนก็ได้ แต่ไปเอามาเถอะ” |
"ปรากฏว่าเลิกงาน อาตมานับเงินตั้งแต่ก่อน ๕ โมงเย็นไปเสร็จเอาตอนตี ๒ นับอยู่คนเดียว คนอื่นเขาหนีกันหมด ไม่มีใครช่วยหรอก ธนาคารเอากระสอบมาให้เลย บอกว่าใส่กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ ก็ใส่ไว้ ๆ ๓๐๐ กว่ากระสอบ พอรุ่งขึ้นโทรไปบอกคุณแอ๊ว เขาก็เอารถตู้ของธนาคารกรุงไทยมาบรรทุกไป รถหน้าลอยไปเลย เงิน ๓๐๐ กว่าถุง ถุงละ ๔,๐๐๐ เหรียญนี่ทับคนตายเลยนะ ไม่รู้น้ำหนักเท่าไร เพราะว่ายังเป็นเหรียญใหญ่รุ่นเก่าอยู่
ตั้งแต่นั้นมาบอกขอแลกเหรียญเท่าไร คุณแอ๊วเขาไม่เคยเกี่ยงเลย อย่าลืมว่าเราแลกแค่ ๗๐,๐๐๐ บาท แต่เขาได้กลับไปล้านกว่าบาท ที่หมุนเวียนไปได้เพราะว่ามีที่ใส่บาตรวิระทะโยมาเองด้วย แต่ว่าคนที่ไม่มีก็มาขอแลก แล้วพอมาขอแลกอาตมาก็ใช้วิธีว่า ส่วนไหนที่ขอแลกจะแยกแบงค์ออกมา ถ้าเงินไม่พอแลกก็เปิดตู้โกยเหรียญออกมาให้แลกเลย คราวนี้เมื่อเก็บแบงค์แยกขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าโกยออกมาเท่าไร ส่วนนี้แลกปกติ ๗๐,๐๐๐ เหรียญแยกออกมาเลย ส่วนเกินก็คือส่วนที่เราโกยจากตู้มา ลงบัญชีเพิ่มไปได้เลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เข็ดเรื่องเงิน เห็นแล้วหมดอยากโดยประการทั้งปวง กิเลสหมดไปโดยปริยาย วัดท่าขนุนก็น่าจะประมาณนั้น เมื่อวานนี้เพิ่งเคลียร์บัญชีเสร็จ เฉพาะเงินสดที่เดินรับตอนตักบาตรเทโวฯ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านอื่นนะ อาตมารับคนเดียวห้าแสนกว่าบาท ใส่มาอะไรจะขนาดนั้น เล่นเอาบรรดาเด็กวัดที่นั่งคัดของบอกว่า “หลวงพ่ออย่าเข้ากรรมฐานอีกเลย พอเข้าทีของเสียขนาดนี้” มีหน้าที่แยกก็แยกไป อย่าบ่น...!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลูกแก้วที่เอาไปเข้ากรรมฐาน ๓ วันมา ไม่ต้องถามว่าหมดหรือยัง ? เพราะอาตมาก็ไม่มี ไหน ๆ ก็จะเข้ากรรมฐานแล้ว เลยขนวัตถุมงคลเท่าที่พอมีของวัดไปเข้าพิธีหมด แม้กระทั่งของเก่าที่พอจะเหลืออยู่ อย่างเช่น พระไพรีพินาศ พระปิดตาฯ เหรียญหลวงปู่สาย ลูกแก้ว เอาไปเข้าพิธีด้วย เพราะฉะนั้น..ที่เห็นแจก ๆ กันอยู่ตรงนั้นก็คือของที่เอาเข้าพิธีใหม่แล้วทั้งนั้น มีหลายรายรู้ทัน วนแล้ววนอีกรับกันหลายรอบ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานมาไม่ใช่นั่งรับเงินอย่างเดียวนะ ต้องจ่ายเงินด้วย พระเขายื่นใบเสนอราคาของระบบประปาใหม่ทั้งวัด จำเป็นต้องเดินใหม่ทั้งวัดเลย เพราะว่าระบบเก่าตอนนี้ไม่สามารถติดตามได้แล้วว่าจากไหนไปไหน เนื่องจากว่าคนทำไม่ได้เขียนแผนที่ไว้ ตอนสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ก็ขุดท่อขาดไป ๒ เส้น
ตอนแรกพระที่ท่านรับผิดชอบ ก็คือ ท่านเบสต์ บอกว่าขอเบิกมัดจำ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก่อน อาตมาเป็นคนขี้รำคาญ บอกว่า "คุณเอา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปบริหารเองก็แล้วกัน ส่วนการสั่งซื้อ จะโอนก่อน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ รับสินค้าแล้วจ่าย ๘๐ เปอร์เซ็นต์หรืออะไร ให้ไปตกลงกันเอง" จะมีถังพักน้ำ แล้วดูดขึ้นแท็งก์ใหญ่จ่ายไปทั่ววัด คราวนี้ส่วนหนึ่งก็จะต่อจากท่อประปาของเทศบาล ส่วนที่ต่อจากท่อประปาของเทศบาลนี่ อาตมาเตือนท่านนักหนาว่าให้ระมัดระวังด้วย ให้มีวาล์วปิดตอนส่งกลับ ไม่อย่างนั้นประปาของเราจะจ่ายเข้าไปทั้งอำเภอเลย เพราะถ้าไม่มีวาล์วตอนส่งกลับแล้วดูดน้ำขึ้นเต็ม พอส่งย้อนก็จะกระจายทั้งอำเภอ ถึงแม้จะพอใช้ก็เถอะ อย่างไรก็ปิดไว้ก่อนดีกว่า เพราะประตูน้ำมีประเภทเข้าทางเดียว ถึงเวลาแล้วลิ้นจะตีกลับ น้ำวิ่งกลับไปไม่ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าฉันอาหารอย่างมีความสุขมาก เพราะว่าออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ กลัวว่าร่างกายจะทรยศ ฉันข้าวต้มไปไม่ถึงถ้วย เพราะกลัวว่าถ้าลมตีขึ้นเดี๋ยวหงายท้องตึงอยู่ตรงนั้น เดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็นั่งรอว่าจะเป็นลมไหม...ก็ไม่เป็น มื้อกลางวันว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำไปชามหนึ่ง พยายามเคี้ยวลูกชิ้นให้ละเอียดที่สุด พอรุ่งขึ้นก็ฉันจับฉ่ายเป็นหลัก มื้อเพลลองฉันของทั่ว ๆ ไปได้นิดหน่อย แต่ยังเว้นของเผ็ดอยู่ เมื่อเช้านี้ใส่ได้เต็มที่ ท้องว่างหลาย ๆ วันหรือว่าฉันน้อย รู้สึกตัวเบา ๆ มาเมื่อเช้าว่าเสียเต็มพุง แหม...รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
แต่เผลอไม่ได้นะ ถ้าเผลอแล้วจะหลับแบบขาดสติ ต้องบังคับไว้..ห้ามขาดสติ ต้องอยู่กับการภาวนา เวลาระมัดระวังกลัวกิเลสจะเล่นงาน เราต้องระดมสติ สมาธิ ปัญญา เอาไว้อยู่ตรงหน้า เหมือนกับตั้งการ์ดชกมวย เตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าคู่ต่อสู้ลงมือ เราเองถึงเวลาตั้งท่าจะสู้กับกิเลส ถ้าไม่ใช่สามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ทุกอิริยาบถ ก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้ารักษากำลังใจได้ทุกอิริยาบถ จะขยับตรงไหนรู้รอบ ถ้าอย่างนั้นถึงจะสู้กิเลสได้ แต่เผลอก็แพ้อีกนะ อย่าไปคิดว่าสู้ได้ ได้เฉพาะตอนนั้น เราไม่รู้ว่าจะเผลออีกเมื่อไร" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังเก็บของโบราณอยู่ จะเอาเข้าพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน เอาไว้ให้เด็ก ๆ เขาดู จะได้ดูงานฝีมือเก่า ๆ กันบ้าง
เด็ก ๆ จะรู้ไหมว่า หลวงตาลงทุนไปกี่ล้านกว่าจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์ ? ถ้าเราไม่มีของพวกนี้ไว้ให้ เขาก็จะไม่มีความภูมิใจในความเป็นไทย หารู้ไม่ว่าฝีมือบรรพบุรุษของเราสู้ได้ทั่วโลก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ใครจะบนท่านให้บนด้วยกระแช่ สมัยหลวงพ่อเคลือบยังอยู่ ท่านฉันกระแช่เป็นประจำ ถามว่าผิดวินัยไหม ? สำหรับท่านไม่ผิดหรอก แต่ถ้าพระอื่นฉันจะผิด
แบบเดียวกับหลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ ฉันกระแช่เดินตัวเอียงเชียว พอพระสังฆาธิการที่เขาส่งจากกรุงเทพฯ ไปตรวจ เทออกมาเป็นน้ำชาทั้งนั้น พอฉันน้ำชาเสร็จสรรพเรียบร้อย น้ำชาที่เหลือติดก้นถ้วยกลายเป็นกระแช่หมด พระสังฆาธิการท่านเดินทางกลับเลย เพราะถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น คนจะแห่กันไปกวนท่านจนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ต้องทำตัวเป็นพระเมา ๆ เพี้ยน ๆ แต่คนที่รู้จักของดีจริงก็ไม่สนใจหรอก กูกวนยันเตเลย ก็เลยกลายเป็นว่า พอหลวงพ่อเคลือบท่านมรณภาพแล้วสร้างรูปหล่อไว้ คนไปบนที่รูปหล่อก็ยังขลังเหมือนองค์จริง แต่ว่าต้องแก้บนด้วยกระแช่" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ พยายามคิดว่าทำไมต้องเสียงแหบด้วย ? คาดว่าน่าจะเป็นเพราะไฟธาตุที่เคยไปสันดาปเพื่อเผาผลาญย่อยอาหาร ไปเผาไขมันมาใช้งานแทน ไขมันส่วนหนึ่งก็เลยแปรเป็นเสมหะพันคอ อีกอย่างก็คืออาจจะฉันน้ำน้อย
เข้ากรรมฐานงวดนี้มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือพอไม่มีอะไรจะทำก็จินตนาการไปถึงป่าหิมพานต์ เพราะว่าไม่ได้ไปนานเหลือเกิน ปรากฏว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ที่คนไทยเรียกว่า "ทักทอ" ไอ้นี่ตัวอะไรวะ ? เคยได้ยินชื่อนี้ไหม ? ลองไปเสิร์ชกูเกิ้ลดู ทักทอสัตว์หิมพานต์ ก็ยังงง ๆ อยู่ จนท้าวมหาราชท่านบอกว่ารู้จัก "เทาเที่ย" ไหม ? ได้ยินแล้วร้องอ๋อเลย เทาเที่ยเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดจากหัวของ "ชือโหยว" ที่โดน "หวงตี้" ตัดขาด ชือโหยวในสายตาพวกเรานับเป็นฝ่ายมาร หวงตี้เป็นฝ่ายเทพ รบกันเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีน คราวนี้พอตัดศีรษะขาดตกลงไป ตำราเขาบอกว่ากลายเป็นเทาเที่ย เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายขนาดกลืนกินพยัคฆ์เป็นอาหารได้ เลยสงสัยว่าตัวนี้เป็นตัวอะไร? นี่ถ้าท่านไม่บอกชาตินี้อาตมาก็คงยังไม่รู้เรื่อง เรื่องนอกตำรานี่มีเยอะมากเลย ลองไปเสิร์ชดูจะต้องมีรูปวาดแน่นอน ป่าหิมพานต์อยู่ชายขอบของชั้นจาตุมหาราช ต้องบอกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ที่นั่นเป็นสัตว์กึ่งทิพย์ กึ่งเดรัจฉานกึ่งเทวดา กลายร่างเป็นคนได้ อยากจะเห็นพิลึกพิสดารแค่ไหนเขาแปลงตัวให้ดูได้ อาตมาโตแล้วก็เลยไม่ได้ไปเสียนาน คราวนี้พอเวลามีมากเลยแวะไป แวะไปเห็นไอ้นี่ตัวอะไรหว่า ? ปรากฏว่าเป็นทักทอสัตว์หิมพานต์ ความรู้พวกนี้อย่าเพิ่งถือเป็นสิ้นสุดนะ เพราะว่าอาตมาอาจจะจินตนาการบรรเจิดไปเองก็ได้ เอาที่อ้างอิงได้ตามหลักวิชาการไว้ก่อน ภาษาจีนกลางเรียกเทาเที่ย คนไทยเรียกทักทอ คือคนจะไปเข้าใจว่าเป็นคชสีห์ แต่ไม่ใช่ คนจีนก็วาดแบบจีน คนไทยก็วาดแบบไทย ไปคนละทิศคนละทางเลย" |
ถาม : อาการปวดหัวและเสียงที่ได้ยินเข้ามาในหัวของน้องเขาดีขึ้นมาก หลังจากกลับจากงานเป่ายันต์ฯ แต่ยังคงมีเป็นพัก ๆ นาน ๆ ที ควรทำเช่นใดครับ ?
ตอบ : ตอนนี้ต้องพยายามทำสมาธิ พอถึงเวลาถ้าใจอยู่กับตรงหน้า จะตัดการรับรู้ข้างนอกไปหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็สามารถที่จะทิ้งได้ชั่วคราว ถ้าอยากจะทิ้งมันนาน ๆ ก็อย่าคลายสมาธิออกมา แต่ก็เอาแค่พอรับได้ เดี๋ยวเผื่อมีพิธีกรรมอะไรค่อยพาไปใหม่ ของบางอย่างไม่ได้หมดทีเดียว ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เดี๋ยวปีหน้ามีเป่ายันต์ฯ ให้ ๒ รอบ ไปซ้ำเสียหน่อย แต่เวลาไปคนเยอะ ๆ เบียดกันก็น่าสงสาร |
พระอาจารย์พูดถึงพระขุนแผนที่จะสร้างว่า "จะไม่เหมือนที่อื่น จะเป็น "ขุนแผนเกราะเพชร" เตรียมรบ รบกับอะไร ? รบกับเศรษฐกิจ
เห็นท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านบอกว่า ถ้าไม่สงบก็อาจถึงปิดประเทศ...ใช่ไหม ? ใครอยู่ใกล้ ๆ ช่วยเรียนท่านที บอกว่าไม่ต้องปิดหรอก ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีใครเขาคบหาอยู่แล้ว..! โลกที่วิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เราไปฝืนโลกจะเป็นไปได้ที่ไหน ระบบประชาธิปไตยของเราไม่ใช่อังกฤษหรืออเมริกาที่มีมา ๒๐๐-๓๐๐ ปี ประชาธิปไตยของเราเพิ่งจะอายุ ๘๐ กว่าปี การเปลี่ยนผ่านยังมีอีกมากต่อมากนัก จะมาทำเป็นวัยรุ่นใจร้อน จะให้ทุกอย่างดีเหมือนอย่างกับประเทศอื่นเขาก็เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เขาไม่ได้มาเริ่มจากการบังคับคนโต ญี่ปุ่นเขาเริ่มตั้งแต่ประมาณ ๔๐ ปีที่แล้ว ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กและเยาวชนของเขา ปัจจุบันรุ่นนี้พอขึ้นมาเป็นผู้นำหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ หรือผู้บริหารบริษัทห้างร้าน จะมีจริยธรรมสูงมาก พอถึงเวลาอะไรผิดนิดหน่อยก็ลาออกเพื่อรับผิดชอบ ถ้าเราต้องการอย่างนั้น เราต้องยอมเสียเวลา ๓๐-๔๐ ปีเหมือนกับเขา เมื่อเดือนก่อนมีคลิปที่เขาทดสอบจริยธรรมของเด็กญี่ปุ่น แกล้งทำกระเป๋าเงินตก เด็กญี่ปุ่นร้อยละร้อยเลยที่แจ้งให้เจ้าของทราบ ก็คือรีบเตือนให้รู้ว่ากระเป๋าตก หรือไม่ก็หยิบไปส่งคืนเลย ของเราก็ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ ถ้าไม่เริ่มต้นปลูกฝังอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขทุกอย่างได้ ถ้าหากบอกว่าพระอย่างอาตมามีหน้าที่ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของเด็ก ต้องบอกว่าไม่เพียงพอ เรื่องเหล่านี้ต้องเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ต้องให้กำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาลเลย หรือถ้าจะให้เป็นมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้ ว่าต้องทำเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่ถึงเวลาจะมาสั่งไม้แก่ให้ซ้ายหันขวาหันเหมือนระบบทหาร ไม้แก่ดัดยาก จึงเป็นไปไม่ได้ คนคิดต่างไม่ใช่คนผิด ความคิดต่างมีอยู่ในทุกสังคม เพียงแต่ว่าส่วนไหนที่เขาคิดต่างแล้วดี เราก็รับเอามาประยุกต์ใช้ร่วมกัน" |
ถาม : กระทรวงศึกษาต้องจัดให้อบรมจริยธรรม
ตอบ : ให้กระทรวงเดียวไม่ได้ สมัยนี้เขานิยมใช้คำว่าบูรณาการ ต้องทุกกระทรวงเป็นไปทางเดียวกัน แต่งานแบบนี้พระจะเหนื่อย เพราะส่วนใหญ่ต้องเน้นในเรื่องของคุณธรรมพื้นฐานก่อน ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ เพียงแต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้น ถ้าใครสามารถที่จะทำได้มากกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นบารมีเฉพาะตนไป กำหนดไล่ไปเลยทีละขั้น ๆ อนุบาลจะต้องศึกษาอย่างนี้ ประถมต้องศึกษาอย่างนี้ มัธยมต้องศึกษาอย่างนี้ มหาวิทยาลัยต้องศึกษาอย่างนี้ แบบเดียวกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บังคับนิสิตทุกคนต้องเข้ากรรมฐานประจำทุกปี ระดับประกาศนียบัตรและปริญญาตรีเข้าประจำปีละ ๑๐ วันต่อเนื่อง ระดับปริญญาโท ๑๕ วันต่อเนื่อง เก็บให้ได้ครบ ๓๐ วัน ระดับปริญญาเอก ๔๕ วันต่อเนื่อง เข้าครั้งละไม่ต่ำกว่า ๑๕ วัน ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยต่างชาติของฮังการี เข้ามาขอเป็นสถาบันสมทบ เขาชื่นชมตรงนี้มาก บอกว่าสถาบันการศึกษาที่สอนพระพุทธศาสนาในระดับปริญญาเอกในโลกมีหลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนที่เน้นบังคับว่าจะต้องปฏิบัติธรรม มีแต่ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงมาขอเป็นสถาบันสมทบ เอาหลักสูตรภาษาอังกฤษไปให้คนของเขาเรียน |
ถาม : ถ้าผู้ที่เป็นอาจารย์สงเคราะห์ผู้อื่น ได้รับทุกขเวทนาทางกายต่าง ๆ ศิษย์จะอธิษฐานขอแบ่งรับเคราะห์กรรมและทุกขเวทนาจากอาจารย์ จะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : มี...มีผลแค่ได้ขอ กรรมใครกรรมมัน เสือกยุ่งกันได้ที่ไหน ถ้าไปยุ่งกันได้ จะมีอาจารย์ที่ไหนเขาลำบากบ้าง ? ถาม : พอดีมีคนบอกผมว่า ถ้าอธิษฐานขอให้ทุกอย่างลงที่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว จะได้ช่วยครูบาอาจารย์ได้ด้วย ? ตอบ : แล้วจะเชื่อเขาไหม ? ใครทำใครได้ ถ้าทำแทนกันได้ก็ดี |
ถาม : ถ้าผมเรียกสมเด็จองค์ปฐมว่าสมเด็จพ่อองค์ปฐม จะเป็นการอาจเอื้อมเกินไปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจของเราเอง |
ถาม : ขอวิธีเพิ่มความต้านทานต่อกระแสต่าง ๆ ที่มากระทบหน่อยครับ กระแสพุทธคุณไม่ทันได้แตะต้อง ได้เห็น ก็พะอืดพะอมอ้วกแล้ว ?
ตอบ : กระแสความดีจะอ้วก ถ้ากระแสความเลวจะดีใช่ไหม ? ตั้งใจสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ให้สูงยิ่งขึ้นไป จะได้รองรับได้ |
พระอาจารย์กล่าวเตือนลูกศิษย์ว่า "เขาเรียกว่าทะลึ่งแล้ว บาตรพระพุทธรูปเขาเหน็บเอาไว้เฉย ๆ ทำตกเองดันไปโทษบาตร เอากาวไปติด นี่แสดงว่าตั้งใจจะเป็นคนมักง่าย ไม่ระมัดระวังต่อไป..ใช่ไหม ? ทำบาตรหล่นเพราะความไม่ระมัดระวัง ดันหาว่าเขาสร้างแล้วไม่ติดกาว สรุปว่าอะไรเกิดขึ้นก็โทษเป็นความผิดของสิ่งอื่น ไม่ใช่ตัวเอง ถ้ารู้จักโทษตัวเองก็แก้ไขตัวเองไปได้นานแล้ว กิเลสแฝงอยู่ลึกเกินไป ปัญญาไม่พอก็เลยมองไม่เห็น"
|
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "อย่ากังวลอะไรกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ภาษิตจีนเขาบอกว่า น้ำมาก่อทำนบกั้น ทหารมาตั้งทัพประจัญ...แค่นั้นก็จบ ไม่เห็นต้องไปทำอะไรมากมาย คิดล่วงหน้ามากก็เครียดตายชัก คิดง่าย ๆ ว่าชีวิตเรามาถึงตรงจุดนี้ก็กำไรเหลือล้นแล้ว ในเมื่อกำไรเหลือล้นแล้ว ที่เหลือก็เป็นกำไรล้วน ๆ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมารู้สึกว่าเวลาช่วยคนที่เขาลำบากแล้วมีความสุข แสดงว่าเชื้อเก่าไม่ไปไหนหรอก ยังอยู่เต็ม ๆ เลย มีโยมบางคนที่อ่านใจคนอื่นได้เหมือนอ่านหนังสือ เขามานั่งเฝ้าอยู่หลายครั้ง แล้วก็บอกว่า “สงสารประเทศไทย” ถามว่าทำไม ? “คนอย่างหลวงพ่อมีแค่ไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์” ถามว่าต่างจากคนอื่นตรงไหน ? “ไม่เคยคิดอะไรเพื่อความสุขความสบายส่วนตัวเลย คิดแต่จะช่วยคนอื่น” แล้วก็บอกว่า "ประเทศไทยอยู่ได้ก็ด้วยคนไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์นี่แหละ"
แสดงว่าเขามานั่งอ่านอาตมาเล่นอยู่หลายยกแล้ว เขาบอกว่า คนรอบข้างเขา เดี๋ยวก็อันนี้สำหรับตัวเอง อันนี้ไว้สำหรับลูก อันนี้ไว้สำหรับเมีย อันนี้ไว้สำหรับเพื่อน ดีแค่ไหนก็ยังคิดเพื่อตัวเอง แต่หลวงพ่อไม่มีเลย อย่าเพิ่งไปเชื่อเขานะ คอยดูกันไปนาน ๆ" |
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรแล้ว ว่าจะอยู่สุขเงียบ ๆ ของตนเอง จึงเริ่มปรับปรุงเกาะพระฤๅษี พวกใบเสร็จรับเงินอะไรต่าง ๆ ที่เก็บเอาไว้เป็นตู้ ๆ เลยเผาทิ้งหมด ไม่อย่างนั้นป่านนี้รวม ๆ กันแล้วคงเป็นคันรถ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ตั้งแต่สมัยโน้นว่า เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร ใช้ไปในเรื่องอะไร ถ้าเป็นไปได้ให้ลงบัญชีไว้ให้ละเอียด ซื้อข้าวซื้อของอะไร ขอบิลเขามาทุกครั้ง และท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่างให้ดู ท่านมีบิลเยอะเป็นตู้ ๆ เลย แยกประเภท แยกพ.ศ. ใส่แฟ้มไว้ เขียนสันแฟ้มไปเลยว่าของปีไหน ท่านบอกว่าเวลาใครเขาตรวจสอบต้องชี้แจงได้
พอมาเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เป็นเจ้าสำนักสงฆ์ ก็ต้องเริ่มส่งรายงานรับจ่ายประจำปี ถึงได้รู้ว่าสำคัญตรงนี้ ถ้าเขาเรียกตรวจสอบต้องมีให้ การตรวจสอบบัญชีวัดเกิดจากกระแสเรียกร้องให้ตรวจสอบทรัพย์สินของวัด สำนักพุทธฯ เลยตูดร้อน ก่อนหน้านี้ไม่เคยขอบัญชีพระดู มาปีนี้ขอแล้ว ถ้าไม่ทำนี่กลัวว่าทางด้านรัฐบาลจะเฉ่งสำนักพุทธฯ เอา แต่ปรากฏว่าวัดท่าขนุนทำส่งเป็นปกติทุกปี แค่ปรับเป็นจากตุลาคม ๒๕๕๗ มาสิ้นสุดที่กันยายน ๒๕๕๘ เท่านั้น เดี๋ยวพอส่งของคณะสงฆ์ตามปกติ ก็เพิ่มพฤศจิกายนกับธันวาคมลงไปก็เสร็จแล้ว วันนั้นกลับไปถึงวัด ทางด้านพระมหาวริศ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิแจ้งมา ว่าต้องส่งบัญชีรับจ่ายประจำปีให้สำนักพุทธฯ อาตมาถามว่าจะเอาวันนี้เลยไหม ? ท่านหัวเราะ บอกว่า “ผมรู้ครับว่าวัดท่าขนุนทำเอาไว้เรียบร้อยทุกเดือน แต่วัดอื่นไม่มีนี่ครับ ผมจึงต้องเตือนล่วงหน้า” ท้ายสุดก็เลยนัดกันไปส่งในวันสอบนักธรรมชั้นตรี ของวัดท่าขนุนได้สิทธิพิเศษ ทำแค่เดือนละสองบรรทัด รับกับจ่ายแค่นั้นแหละ ของวัดอื่นเขาต้องลงรายละเอียดว่าจ่ายอะไรบ้าง ของวัดเราถ้าลงรายละเอียดเดือนหนึ่งก็ตั้งหลายหน้าแล้ว สำนักพุทธฯ อยากจะอ่านไหม ? ถ้าอยากอ่านจะทำให้ ปีนี้ถึงสิ้นสุดเดือนกันยายนติดลบหลายสิบล้านบาท จะตรวจไหม ? ชี้แจงได้ทุกบรรทัดจริง ๆ ความจริงปีนี้มีกำไรแล้ว แต่เนื่องจากว่าติดลบจากของปีก่อน ๆ ยกมา ก็เลยรวมเข้าไป ไม่อย่างนั้นแล้วปีนี้มีกำไร ไม่ติดลบแล้ว" |
"ช่วงปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ งานก่อสร้างที่หนักที่สุดก็คือศาลา ๑๐๐ ปี ศาลาหลังเดียว ๘๑ ล้านกว่าบาท ยังไม่เสร็จดีเลย แล้วยังทำอย่างอื่นตั้งเยอะ จะไม่ให้ติดลบได้อย่างไร ? แค่หาเงินเข้ากองทุนหลวงปู่สายเพื่อเตรียมให้เจ้าอาวาสคนต่อไป ก็ได้ตั้ง ๑๐ กว่าล้านบาท คือปกติมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ออกพรรษา บางทีก็รวมลอยกระทงและตักบาตรเทโวฯ ไปด้วย อาตมาจะตัดเข้าบัญชีให้หลวงปู่สาย ครั้งละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าได้ไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะควักกระเป๋าเพิ่มไปจนครบ ส่วนเงินกฐินได้มาเท่าไรจะลงบัญชีให้หลวงปู่สายหมดเลย
ปีนี้กฐินได้ ๔,๑๖๘,๐๐๐ บาท ถ้าจำไม่ผิดนะ รับกฐินมา ๔ ล้านกว่าบาท ซื้อดราฟต์ไป ๔ ล้านกว่า รับมาก็หายไปเลย" |
"ปีนี้ไม่รู้ตัวว่าโยมใส่ปัจจัยตอนบิณฑบาตมากันเยอะ อาจเป็นเพราะโดนผู้ติดตามล้วงบาตรไปตลอดทาง ก็เลยไม่รู้ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เขานับเงินที่ใส่มาได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ความจริงเดินบิณฑบาต ๒ ชั่วโมงได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่าบาทนี่น่าเดินทุกวันนะ...!
รู้สึกว่าตัวเองสาหัสสากรรจ์มากเลย เพราะว่าเดินรับบาตรมายังไม่ทันจะถึงปากทางเข้าลานธรรม นิ้วมือก็เป็นตะคริว ถึงเวลาก็ต้องวางบาตรแปะเอาไว้กับโต๊ะเพื่อให้โยมใส่ ถามโน่นถามนี่ไปเรื่อย โยมก็ดีใจว่าพระอาจารย์คุยด้วย หารู้ไม่ว่านิ้วเป็นตะคริวแล้ว เดินต่อไม่ได้ รอให้หายก่อนแล้วค่อยไปต่อ พอเดินไป ๆ ถึงหน้าศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตายละหว่า...ขาก็เป็นตะคริวด้วย ไม่น่าเชื่อว่าพออายุมากแล้ว อดข้าวแค่ ๓ วัน ร่างกายรวนไปหมด รู้สึกเหมือนกับหุ่นยนต์ ต้องคอยบังคับเขาว่า "เฮ้ย..อย่าเพิ่งล้ม" สมุห์กอล์ฟเดินขึ้นเขาไป ก็พักหอบแฮ่ก ๆ ไป ๒ รอบ ตอนกลางคืนถึงได้สอนพระตอนให้โอวาทท่านว่า มัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสติสมาธิของแต่ละคน เพราะฉะนั้น..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าท่านทรงฌานตลอดเวลา ไม่ยอมให้หลุดแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าพวกคุณไปทำแบบนั้นบ้างก็บ้า เพราะจะเครียดมาก บางคนนั่งกรรมฐานได้ติดต่อกัน ๓-๕ ชั่วโมง นั่นพอดีของเขา แต่เรา ๓๐ นาทีจะประสาทกินแล้ว เพราะฉะนั้น..มาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี ต้องปรับให้พอดีของตนเอง ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกกันได้ นอกจากสังเกตแล้วทำเอง" |
"พอเข้ามาถึงข้างในศาลา ๑๐๐ ปีฯ ก็อมยาลมไป ๓ เม็ด นั่งรอว่าจะเป็นลมตอนไหน ไม่รู้ว่ายาเขาดีหรือว่างานยังไม่เสร็จ กำลังใจยังมุมานะอยู่ก็ไม่รู้ ไม่ยอมเป็นลมเสียที ปีต่อไปให้หาคานหามแบบครูบาวิฑูรย์ดีกว่า ให้โยมเขย่งใส่บาตรกันให้เข็ด หรือไม่อีกทีก็เอารถเข็น นั่งรถแล้วให้โยมช่วยเข็นไป
แต่รู้เลยว่าร่างกายไม่ได้ใช้ ๓ วันนี่ไม่ไหวจริง ๆ พอเดินขึ้นเขานี่เมื่อยสุด ๆ เลย ทิดเฟิร์สเขาถามว่าเป็นอะไรหลวงพ่อ ? “ตะคริวกินมือว่ะ” จับต่อไม่ได้ ต้องวางฝาบาตรเอาไว้ หลอกคุยกับโยมไปเรื่อย จนกระทั่งคลายไปหน่อย กำมือได้ พอยกมือได้ก็เดินต่อไป โยมมาจากสุดเหนือสุดใต้พอ ๆ กับงานเป่ายันต์ฯ เลย คนอาจจะน้อยกว่างานเป่ายันต์ฯ สัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าสำหรับงานตักบาตรเทโวฯ แล้ว มากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะปกติพอเลี้ยวเข้าลานธรรมคนก็จะเริ่มน้อยแล้ว คราวนี้เลี้ยวเข้าลานธรรมแล้วคนยังแน่นเท่าหัวถนนอยู่เลย ลองโทรเช็คไปทางวัดดูซิว่า กุฏิแม่ชีมีที่ว่างให้นั่งได้หรือยัง ? ป่านนี้จัดของไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ มั่นใจเลยว่าอาหารสดหลายส่วนเสียแน่นอน เพราะว่ากองเป็นภูเขาเลากากว่าจะคุ้ยไปถึง โยมส่วนใหญ่ก็ประเภทอยากใส่อย่างนี้ ปีหน้าต้องแก้ด้วยการเอาคนรู้งานไปรอที่กุฏิแม่ชี จะได้ไม่ไปเทโครม ๆ อีก เทแบบนั้นแล้วแก้วน้ำแตกขวดน้ำแตก ไหลนองเละเทะไปหมด" |
ถาม : ไม่ได้ยกของใส่บาตรเอง แต่ฝากให้คนอื่นใส่แทน อย่างนี้ได้อานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว ก็ดูอย่างชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต “ถวายทั้งหมดนี้เจ้าค่ะ” จบเลย แตะมือรับทีเดียวทั้งกอง แล้วเขาก็ช่วยกันยกไปเก็บ |
ถาม : คนเทน้ำ ห้ามแล้วก็ยังทำอีก เขาคิดว่าเขารู้งาน ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนเราก็มีสักกายทิฐิเต็มที่ “เรื่องแค่นี้กูรู้น่า ทำไมต้องสั่งด้วย ?” ปรากฏว่ากูรู้แล้วกูก็ทำเละ หลายคนเขาอาสามาทำงาน อยากจะรับเอาไว้ แต่คนไม่รู้งานนี่พาเละทุกที แล้วพอไม่รับก็หาว่ากีดกันอีก |
ถาม : พวกที่ชอบไปเที่ยวสถานที่ซึ่งจัดให้น่ากลัว มีผีปิศาจอะไรอย่างนี้ เกิดจากคุ้นเคยกับนรกหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปหาความตื่นเต้นให้ตัวเอง บางทีชีวิตราบเรียบเกินไป ราบเรียบจนน่าเบื่อหน่าย ไปหาอะไรตื่นเต้น ๆ พวกเครื่องไม้เครื่องมือที่ท้าทาย จะเห็นได้ว่าสร้างออกมาเมื่อไรคนก็เล่น อย่างเช่นรถไฟเหาะตีลังกา เป็นต้น ถาม : ทำไมเด็ก ๆ จึงเล่นพวกเครื่องเล่นหวาดเสียวได้สนุก ไม่กลัว แต่พอโตแล้วกลับไม่กล้าเล่น ? ตอบ : การยึดติดมีมากขึ้น ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงตัวคนเดียว คิดถึงคู่ครอง คิดถึงลูก คิดถึงครอบครัว กลายเป็นว่ามีห่วงมากเท่าไร ความกลัวตายก็มากขึ้นเท่านั้น |
(มีพ่อแม่พาเด็ก ๆ มาทำบุญ) "ใครได้เกรดอะไรกันบ้าง ? ที่วัดท่าขนุน ถ้าเด็กวัดคนไหนได้เกรด ๔ จะให้เลือกระหว่างให้เงินไปดัดฟันหรือว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วแต่เขาจะเลือก
เด็กที่วัดมีอยู่แค่ ๕ คน ปล่อยให้เขาเลือกกันตามใจ ปรากฏว่าทุกคนสละสิทธิ์ในการดัดฟัน บอกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้ตะเกียกตะกายไปเถอะ ว่าเมื่อไรจะได้เกรด ๔ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเห็นบางคนได้เกรดแค่ ๒ นิด ๆ เอง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าอยากสวยก็ไปดัดฟัน ถ้าอยากได้ประสบการณ์ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ซื้อพวกงานฝีมือ เช่น เงิน ทอง คร่ำเงิน คร่ำทอง จะเอาไปเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะว่าฝีมือโบราณที่ดี ๆ หายาก ปัจจุบันก็ราคาแพง ส่วนใหญ่ซื้อในระดับฝีมือของพวกช่างทองหลวง หรืออาจารย์ของช่างสิบหมู่ จะราคาแพงนิดหนึ่ง ให้พวกลูกหลานเขาได้ภูมิใจในความเป็นไทย จะได้รู้ว่างานฝีมือของเราจริง ๆ นั้นอวดได้ทั่วโลก เสียดายอยู่อย่างหนึ่งก็คือของศูนย์ศิลปาชีพ ชิ้นไหนที่ถูกตาก็มีแปะป้าย "ทรงจอง" หมดแล้ว แสดงว่าที่เราเห็นว่าสวย พระองค์ท่านก็เห็นว่าสวยด้วย ที่ซื้อ ๆ เอาไว้ไม่ได้ขนาดในพระที่นั่งวิมานเมฆหรอก แต่ก็จะพยายามหาที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้
ช่วงนี้ก็ตามงานพวกคร่ำเงิน คร่ำทองอยู่ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วระยะหลังจะเป็นลักษณะของงานถมตะมากกว่า ถมตะนี่เขาจะละลายทองกับปรอท แล้วก็ทาลงในรอย หลังจากนั้นก็ใช้ความร้อนเป่าไล่ปรอทออกไป ทำงานง่ายขึ้น แต่ว่าใช้ฝีมือน้อยลง ถ้าเป็นพวกงานคร่ำนี่เขาจะต้องเซาะร่อง แล้วก็ฝังเส้นเงินเส้นทองลงไป ตีจนอัดแน่นกับร่อง แล้วขัดส่วนเกินทิ้งไป งานจะยากกว่ากันเยอะ แต่ก็อย่างว่านะ...ฝีมือดี ๆ ราคาก็ต้องคุ้มค่าฝีมือเขาเลย เวลาไปต่างประเทศแล้วเหมือนกับว่า บ้านเราคนยังศรัทธาในศาสนามากก็จริง แต่สิ่งก่อสร้างศาสนสถานต่าง ๆ เห็นแล้วไม่โอ่โถงเหมือนของต่างประเทศ ของเขาไม่ว่าจะคริสต์ อิสลาม บางทีเราเห็นแล้วจะตะลึง ว่านี่คือศรัทธาของคนจริง ๆ อย่างของวาติกัน แค่เสาระเบียงต้นหนึ่งเราก็ไม่มีปัญญาทำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ? เสาระเบียงต้นหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเมตรกว่าเกือบ ๒ เมตร ตรงแน่วเรียงเป็นตับเลย บรรดาช่างฝีมือระดับสุดยอดของเขาก็เอาผลงานไปฝากไว้ ของบ้านเราที่เห็นก็มีท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็ดูเขาสลักหินอ่อนสิ สลักเป็นผ้านี่พลิ้วยิ่งกว่าผ้าจริง ๆ อีก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดเขากลัวสังฆทานกัน เพราะเมื่อวันตักบาตรเทโวฯ รับไปหลาย ๑๐ คันรถ จนป่านนี้ยังจัดการไม่เสร็จเลย พ่อค้าแม่ค้าในตลาดกี่ราย ๆ ก็มาใส่บาตร ถามว่าตกลงวันนี้ปิดอำเภอเลยใช่ไหม ? เขาบอกว่าขายของพอแล้ว แสดงว่าคนเขาซื้อกันตั้งแต่วันก่อน หรือไม่ก็ซื้อกันช่วงเช้า ซื้อกันจนไม่มีของจะขายก็เลยปิดร้าน มาตักบาตรเทโวฯ กันเสียเลย
สมัยก่อนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ยังว่าจะไปหักเปอร์เซ็นต์จากร้านท็อปส์ที่อยู่ข้าง ๆ โยมมากี่คน ๆ ก็เข้าร้านท็อปส์ซื้อของมาถวาย มีหลายคนเขามีความเห็นว่าทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดจน ๆ ? ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดไกล ๆ ที่เขาลำบาก ? แม้แต่พระด้วยกันบางทีก็โทรมาโวยวาย ว่าทำไมเขาไปแต่วัดท่าขนุนไกล ๆ วัดผมอยู่แค่ท่ามะกาทำไมเขาไม่เข้า ? อยากจะถามเขากลับเหมือนกันว่า คุณได้พิจารณาตัวเองหรือเปล่า ว่าทำอย่างไรคนเข้าถึงไม่เข้าวัดของคุณ ? ส่วนใหญ่ศรัทธาของคนเกิดยาก แต่ถ้าเกิดแล้วนี่คลอนแคลนยาก การปลูกต้นศรัทธานี้ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ต้องทำให้เขาเห็นชัด ๆ ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ระยะหลังเวลาสอนพระนิสิต อาตมาจะเตือนพวกท่านอยู่เสมอ ให้สังเกตดูว่า ตอนที่คุณบวชเข้ามาตั้งใจทำอะไร ? ตั้งใจสละออก ตั้งใจทำเพื่อพระศาสนา ปัจจุบันนี้คุณกำลังทำเพื่อความสุขของตัวเองหรือเปล่า ? จะต้องสร้างกุฏิติดแอร์ดี ๆ สำหรับตัวเอง จะต้องซื้อรถดี ๆ สำหรับตัวเองหรือเปล่า ? ถ้ามีโยมเขาทำถวายก็รับไว้เถอะ แต่ถ้าทำเพื่อตัวเองให้เปลี่ยนความคิดเสีย มีคนเขาบอกว่า ถ้าทำเพื่อตัวเองจะอยู่ได้แค่สิ้นลม แต่ถ้าทำเพื่อสังคมจะอยู่ไปชั่วกาลนาน" |
"ของที่รับไปมากมายมหาศาลก็เอาไปแบ่งปันกัน แรก ๆ ก็ไล่ถวายวัดใกล้ ๆ ท่านก็งงว่าให้มาทำไม ? เพราะว่าไม่เคยเห็นพระทำบุญ ระยะหลังก็เป็นโรงเรียน พวกหน่วยทหาร ตำรวจ ป่าไม้ ที่อยู่ในที่กันดาร ปัจจุบันนี้ถ้าอยู่ทางด้านโน้น วัดท่าขนุนจะเป็นศูนย์กลาง เวลาเขาขาดแคลนอะไรก็จะวิ่งเข้าวัดท่าขนุน
บางทีเห็นวัดที่เขาอยู่ในที่กันดาร ที่ลำบาก เข้ามาเรี่ยไรในอำเภอ เดินอยู่เป็นวัน ๆ ได้ไปหน่อยเดียว ถามเขาว่าจัดงานอะไร ? เขาบอกจัดงานฉลองพระเจดีย์ เตรียมพวกข้าวสารอาหารแห้งจะไปเลี้ยงญาติโยมที่ไปทำบุญ เรี่ยไรอยู่เป็นวันได้มาหน่อยเดียว ก็เลยบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเอารถไปขนที่วัดผม แล้วต่อไปไม่ต้องมาเรี่ยไรให้เหนื่อยหรอก อยากได้เมื่อไรก็ไปเอาแล้วกัน แล้วอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งมา ถึงกับบอกญาติโยมส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่ไกล ๆ ? ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่กันดาร ? บอกเขาว่า คนที่มาทำบุญ เขาจะศรัทธาก็ต่อเมื่อเป็นพระที่เขาไว้ใจ ว่ารับไปแล้วไม่ว่าจะข้าวของเงินทอง เขาต้องได้บุญแน่นอน อาตมาเองก่อสร้างวัดมา วัดปัจจุบันนี้เป็นวัดที่ ๘ แล้ว มีทั้งที่ไปบูรณะของเก่า แล้วก็มีที่สร้างจากพื้นดินเปล่า ๆ มา ๓ วัด ทุกครั้งจะไม่เคยบอกบุญกับญาติโยม ไปถึงก็ทำ ๆ ไปเรื่อย ใครมาเห็นเดี๋ยวเขาก็มาร่วมบุญเอง ปีแล้วปีเล่าก็ทำอย่างนี้ บางทีลูกศิษย์เขาก็ประเภทกล้าพูดกล้าถาม พระลูกศิษย์ถามว่า “พระอาจารย์สร้างภาพหรือเปล่า ? อะไรก็ไม่เอา อะไรก็สละออก” บอกกับเขาไปว่า “ถ้าหากว่าพระทั้งประเทศไทยพร้อมใจกันสร้างภาพแบบนี้ คุณว่าศาสนาของเราจะเจริญไหม ?” |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:22 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.