![]() |
ถาม : จีวรลายดอกพิกุล ที่มาที่ไปพอจะรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สมัยก่อนพอถึงเวลาญาติโยมก็ตั้งใจจะถวายของที่ดีที่สุดไว้ในพระพุทธศาสนา คราวนี้ของพระจะดีแค่ไหนก็แค่บริขาร ๘ แล้วก็ไม่สามารถที่จะประดับประดาอะไรที่เป็นเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ได้เหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านเขาอยากทำถวายพระให้ดีที่สุด เมื่อทำจีวรแล้วมีเวลาว่างก็เลยปักลายดอกพิกุลเข้าไปด้วย จะไปยากอะไร ก็แค่ลงเข็มไขว้ ๘ ทิศเท่านั้นเอง จึงปักเสียทั่วผืนเลย ถ้าหากว่าเป็นศิลปะการสร้างพระพุทธรูป จีวรลายดอกพิกุลจะเป็นรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถ้าเห็นมีจีวรลายดอกพิกุลเมื่อไร ก็ให้รู้ว่าเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นแน่นอน ไม่ได้ไกลเลย คราวนี้ก็ดูใต้ฐาน ดูความเก่า ไปกันได้ไหมกับลักษณะพุทธศิลป์ จะได้รู้ว่าปลอมหรือเปล่า คุณยังต้องอาศัยเรียนรู้ไปอีกนาน |
ถาม : สังเกตว่าพระบูชายุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้ มักจะทำฉัตรไว้ด้วย ?
ตอบ : ฉัตรนี่สร้างเพิ่มเติมได้ไม่จำกัดยุคสมัย ขึ้นอยู่ที่คนเขามีศรัทธาหรือเปล่า ถ้ามีก็สร้างเพิ่มขึ้นมาได้ ถาม : มีคติอย่างไรในการสร้างฉัตรไหมคะ ? ตอบ : เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง สร้างพระแล้วก็ถวายฉัตรด้วย ถือว่าเป็นการป้องกันภัยอย่างหนึ่ง เอาอานิสงส์ที่พระโพธิสัตว์เสด็จไปใต้ต้นไทรของยักษ์ ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ถ้าคนหรือสัตว์เข้ามาในร่มเงาต้นไทรนี้ ก็อนุญาตให้จับกินได้ พระโพธิสัตว์ท่านเสด็จไปยักษ์จะจับกิน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทร จะจับกินได้อย่างไร ? ยักษ์บอกว่าท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว มาว่าไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาได้อย่างไร ? พระโพธิสัตว์บอกว่าท่านถือร่มอยู่ ยักษ์บอกว่าถ้าเหยียบแผ่นดินตรงนี้ถือว่ามีสิทธิ์จับกินเหมือนกัน พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่ได้เหยียบแผ่นดิน ท่านยืนอยู่บนรองเท้าท่าน ชาดกเรื่องนี้ก็เลยทำให้หลวงปู่มหาอำพันท่านแนะนำในเรื่องถวายสังฆทานว่า ให้ถวายร่มกับรองเท้าด้วย จะได้ปลอดภัยเหมือนกับพระโพธิสัตว์ อย่าลืมว่ายักษ์เป็นเทวดาพวกหนึ่ง แต่พวกยักษ์ชั้นต่ำที่เป็นบริวารนั้นมักจะเป็นพวกรากษส ก็คือยักษ์พวกที่กินเนื้อ กินคน กินสัตว์อยู่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงได้รับอนุญาตให้เฉพาะที่ มีสิทธิ์เฉพาะที่ของตนเอง แต่ถ้าสามารถแสดงหลักฐานได้อย่างชัดเจนแบบพระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกินท่านได้ ก็เลยทำให้คนรุ่นหลังสร้างฉัตรถวายพระ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มาจากผ้าดาดเพดานก่อน สมัยก่อนพอถึงเวลาสร้างพระพุทธรูปที่ไหน ก็จะเห็นว่าเขาทำผ้ากั้นเพดานเอาไว้ ผ้ากั้นเพดานสมัยก่อนเขาทำเพื่อป้องกันจิ้งจกตุ๊กแกมาขี้รดองค์พระ เพราะจิ้งจกตุ๊กแกเดินบนผ้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเกาะแบบสุญญากาศได้ เสร็จแล้วก็พัฒนามาเป็นฉัตร เพราะสมัยหลังพระเจ้าแผ่นดินก็ดี เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับพระราชทานอนุญาตให้ใช้ฉัตรได้ก็ดี พอถึงเวลาก็ถวายฉัตรไว้เป็นพุทธบูชา หรือไม่เวลามีงานถวายพระเพลิงหรือพระราชทานเพลิง ฉัตรที่ประดับอยู่ในงานนั้น ไม่ว่าจะเป็นประดับโกศก็ดี หรือว่าประดับเหนือพระลองก็ตาม มักจะเอาไปกั้นถวายพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชา พวกบรรดาช่างก็เห็นดีเห็นงาม ต่อมาก็เลยสร้างพระพุทธรูปให้มีฉัตรประกอบไปด้วย |
มีมณฑปตั้งพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ พอถึงเวลาเคลื่อนพระศพไปพระราชทานเพลิง ก็เอามณฑปนั้นไปถวายไว้ที่วัดเทพศิรินทราวาส ปัจจุบันก็คือมณฑปที่ตั้งพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ สงสัยว่าทำไมสุดยอดฝีมือขนาดนั้นใช่ไหม ? ระดมช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งหมดมาช่วยกันทำ ของวัดท่าขนุนไม่มีช่างหลวง เอาช่างชาวบ้านนี่แหละ เดี๋ยวไปงานเป่ายันต์ฯ งวดนี้ก็จะได้เห็น มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ น่าจะประกอบยอดมณฑปได้แล้ว
เพียงแต่เรื่องของการทำสี ประดับทองปิดกระจก ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตอนนี้มีช่วงแคบระหว่างหน้าบันที่ช่างต้องปิดทองประดับกระจกก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าใส่หน้าบันซ้อนเข้าไปแล้วจะปิดทองยาก ช่างเขาจึงต้องทำการปิดทองไปก่อน เมื่อวานซืนเพิ่งจะจ่ายค่าแรงสร้างมณฑปงวดที่ ๕ แต่ความจริงแล้วเป็นงวดที่ ๖ เพราะช่างเบิกงวดที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๖ โดดข้ามงวดที่ ๕ ไปเพราะงานไม่เสร็จ มาครั้งนี้งานก็ยังไม่เสร็จ แต่ว่างานไม่ได้อยู่ในมือช่าง เพราะว่างานอยู่ในมือผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบต้องนำงานส่วนนี้ไปส่งให้ช่างเขาทำ ก็เลยอนุโลมจ่ายเงินไปก่อน เวลาทำงานเราต้องเห็นใจกัน เพราะว่าช่างทำงานเขาต้องลงทุน ขณะเดียวกันก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่วนใหญ่บรรดาช่างต่าง ๆ พอทำงานกับวัดท่าขนุนแล้ว ไม่มีใครอยากไปทำที่อื่น เพราะที่อื่นส่วนใหญ่เขาให้ทำ ๔๐-๔๕ วัน เบิกได้ ๓๐ วัน ของวัดท่าขนุนไม่มี ครบงวดงานหรือว่าครบเวลา ก็จ่ายทันที |
วันก่อนช่างเจาะเสาเข็มสำหรับทำศาลาธรรมสังเวช ที่สร้างอยู่ด้านข้างของเมรุใหม่ ซึ่งจะทำไปพร้อม ๆ กัน เจาะยังไม่ทันจะเสร็จหรอก เขามาเบิกค่าเจาะเสาเข็มของตัวฌาปนสถานคือตัวเมรุงวดสุดท้าย ก็เลยจ่ายของด้านศาลาไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินทางมาอีกรอบหนึ่ง "ที่เหลือลูกน้องคุณเจาะให้เสร็จก็แล้วกัน" แล้วก็มีเรือนรับรองพระเถระ ๔ หลังโผล่ขึ้นมา ของเดิม ๒ ของใหม่ ๔ ไม่ใช่ของเดิม ๒ ของใหม่ ๒ นะ ของเดิม ๒ หลัง ของใหม่ ๔ หลัง
ตัวผู้รับเหมาเขาบอกว่า พวกประกอบเรือนไม้จำหน่ายที่เห็นตั้งอยู่ ๗-๘ รายใกล้ ๆ กันเจ๊งไปหมดแล้ว เหลือเขาอยู่รายเดียว เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี เงินเลยจมอยู่ในบ้านไม้ที่ตัวเองทำ เพราะต้องไปซื้อบ้านเก่า ต้องจ่ายค่าแรงช่าง ฯลฯ แต่ว่าขายไม่ออก เขาบอกว่าโชคดีที่หลวงพ่อเรียกใช้บริการ เลยอยู่รอดมาได้ เพราะว่าเท่าที่สั่งไปก็ ๘ หลังแล้ว เหลืออีก ๒ หลังสุดท้ายกำลังทำอยู่ ถ้าไม่มีลูกค้าเลยเขาก็น่าจะยืนหยัดไปได้อีก ๒ ปีเป็นอย่างน้อย เพราะโดยปกติปีหนึ่งจะขายได้ ๕-๖ หลังก็ยังยาก |
ถาม : มีวิญญาณชั่วร้ายเข้ามารังควานคนในบ้าน ถวายสังฆทานให้เขาแล้ว เขาไม่ไป ?
ตอบ : ไปประกาศบอกเขาว่า เราแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น บุญทานอะไรก็ทำให้แล้ว ถ้าหากว่าดีกันไม่ได้ก็จะไล่..! แล้วก็บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป ขู่ไว้ก่อนว่า "จะอยู่ด้วยกันดี ๆ ได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็จะติดแล้วนะ" ถาม : สงสัยว่าทำไมเขาเข้าในบ้านได้ ? ตอบ : เขาอยู่มาก่อน คือบางรายถ้าพูดดี ๆ กันไม่รู้เรื่องต้องข่มขู่กันบ้าง ถ้าแสดงแสนยานุภาพของเราว่าสูงกว่า เขาก็จะถอยไปเอง ส่วนใหญ่พวกนี้ไม่ค่อยดื้อ ถาม : ขู่ด้วยพระขรรค์โสฬสไปครั้งหนึ่งแล้ว หายไปไม่นานเขาก็กลับมาอีก ? ตอบ : ก็คุณไม่เอาจริง แต่อาตมาเอาจริงนี่หว่า บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป สวดอิติปิ โสฯ ไปเลย จะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วยกันดี ๆ ไม่ได้ จะติดผ้ายันต์แล้วนะ เข้าไม่ได้คราวนี้ห้ามโวย ถาม : ติดรอบบริเวณบ้านหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่..ติดในบ้าน แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือก็ได้ เท่านั้นแหละ..คุ้มได้ทั้งบ้านเลย |
มีโยมถวายรองเท้า พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านใส่รองเท้าเฉพาะยี่ห้อเหมือนกัน เคยกราบเรียนถามหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่าใส่แบบไหนถนัดก็อยากจะใช้แบบนั้น แบบเดียวกับที่อาตมาถนัดรองเท้าพื้นบาง พอคุณชวงเอาที่มีส้นมาหน่อย ใส่แล้วเดินไม่เป็นเลย ของหลวงพ่อวัดท่าซุงจะเป็นตราอูฐ ที่มีห่วงคล้องหัวแม่เท้า ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศจะเป็นยี่ห้อ Bata ของหลวงปู่มหาอำพันยี่ห้อ SCS จะเอายี่ห้ออื่นไปอย่างไรก็ไม่ใช้หรอก
อาตมาเคยขอเปลี่ยนรองเท้าของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเอาไว้บูชา แต่ปรากฏว่าไปซื้อเอาตราอูฐแบบมีห่วงคล้องหัวแม่เท้าถวาย ท่านเดินไม่ถนัด แต่ท่านก็อุตส่าห์เมตตาให้เปลี่ยน" |
ถาม : เดินอยู่และสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ สักพักขาเริ่มก้าวไม่ออกครับ พยายามฝืนตะโกนแต่ไม่มีเสียง ควรจะทำอย่างไรต่อดีครับ ?
ตอบ : ให้นั่งภาวนาแทน อาการแบบนั้นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิแนบแน่น ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว ประสาทร่างกายของเรากับจิตใจแยกออกเป็นคนละส่วนกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราเดินภาวนาไปอย่างที่ว่านี้ จนกระทั่งรู้สึกว่าเริ่มเดินไม่ออกแล้ว ก็ให้นั่งภาวนาต่อไปเลย อย่าไปฝืน ถ้าไม่ใช่ชำนาญจริง ๆ ถึงระดับมีความคล่องตัวเป็นวสี ไม่ได้รับประทานหรอก เดิน ๆ ไปเดี๋ยวล้มทั้งยืน เพราะบังคับร่างกายไม่ได้ |
ถาม : บางทีอาราธนาวัตถุมงคลแล้วมีอาการเข่าอ่อนหมดแรง อย่างนี้คือกำลังเราไม่พอหรือครับ ?
ตอบ : บางทีท่านก็แสดงให้เรารู้ว่าพุทธานุภาพนั้นมีจริง เพราะฉะนั้น..ยิ่งมาแรงเท่าไรก็ควรที่จะดีใจเท่านั้น |
ถาม : น้ำมันชาตรีสามารถกินได้ทุกวันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่มีใครห้าม ถ้ากินมากก็อาจจะอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าน้ำมันก็คือน้ำมัน ขนาดว่าเป็นพุทธคุณอย่างน้ำมันชาตรี ก็เท่ากับว่าเรากินไขมันเข้าไปทุกวัน หลวงพี่อาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศ) สมัยทำน้ำมันชาตรีใหม่ ๆ ท่านเองโดนพวกลูกหลงหางแถวไสยศาสตร์ไปเหมือนกัน ท่านฉันน้ำมันชาตรีวันละครึ่งแก้ว เดือนเดียวเท่านั้นแหละกลมไปทั้งตัวเลย ความจริงหยดสองหยดก็พอแล้ว ฉันครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ท่านว่าของท่านไปเรื่อย ฉันทุกวันกันเอาไว้ก่อน ถาม : กรณีรักษาโรคภัย ? ตอบ : ลองทาผิวของเราดู ถ้าอธิษฐานแตะแล้วรู้สึกปกติ หรือรู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนถือว่ารักษาไม่หาย แสดงว่าโรคนั้นกรรมยังบังอยู่ |
ถาม : เราจำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลตลอดไหมครับ ?
ตอบ : การที่เราอุทิศส่วนกุศล ช่วยให้เราปลดใจจากกรรมตรงนั้น บางทีเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ไม่ได้อโหสิกรรมให้เราหรอก แต่ใจเราปลดจากตรงนั้นแล้ว เพราะรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่ดี ๆ คืนให้กับเขาไป ใจเราก็ไม่เป็นห่วง ไม่ไปพะวงกับกรรมเก่าตรงจุดนั้น ก็เหมือนอย่างกับว่าเราปลดโซ่ออกแล้ว เราจะไปไหนก็ได้ แต่บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็ยังผูกตัวเองอยู่กับเสานั่นแหละ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็คืออุทิศให้ทุกครั้ง |
ถาม : ถ้าเรานำวัตถุมงคลไปวางบนพานรวมกับเครื่องบวงสรวงบูชาครูบาอาจารย์ จะทราบได้อย่างไรว่าท่านสงเคราะห์อะไรให้ ?
ตอบ : ถ้าหากท่านไม่โวยวายว่า "ไม่ทำให้โว้ย..!" ก็ถือว่าท่านสงเคราะห์แล้วกัน หัดตีขลุมด้วยความมั่นใจเสียบ้าง วันก่อนเดินทางกลับวัดท่าขนุน เพราะว่าสอนหนังสืออาทิตย์สุดท้าย ถึงเมืองกาญจน์แดดเปรี้ยงเลย น้องเล็กเขาบอกว่าอยากให้มีแดดถึงทองผาภูมิบ้าง เพราะพวกเราตากผ้าไม่แห้งสักอาทิตย์ ก็เลยบอกว่าวันนี้ทองผาภูมิมีแดด ปรากฏว่าวิ่งเลยท่าทุ่งนามาหน่อยหนึ่ง ฝนกระหน่ำมืดฟ้ามัวดินเลย น้องเล็กก็หันมาถามว่า "ไหนว่ามีแดด ?" อาตมาตอบว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่าได้สูญเสียความมั่นใจในความรู้ของตนเองเป็นอันขาด ขาดความมั่นใจเมื่อไร ต่อไปความรู้นี้จะเสื่อม” ปรากฏว่าพอวิ่งเลยไปถึงเขตทองผาภูมิ ฟ้าเปิดใสแจ๋ว ไม่เห็นมีฝนสักหยด แบบเดียวกับที่อาตมาสอนพระที่วัด ในเมื่อเขาอยากรู้ว่าห้ามฝนอย่างไรก็สอนให้ คาถาว่าอย่างนี้ วางกำลังใจอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาเดินบิณฑบาต เขาตั้งใจภาวนาคาถาห้ามฝนเพราะว่าฝนเอาแน่ เมฆดำต่ำมาจะติดหัวอยู่แล้ว ฝนเริ่มลงเปาะแปะ ๆ แล้ว ปล่อยให้เขาทำกันเอง เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำกันหมดเลย บอกว่า "เพราะคุณขาดความมั่นใจ คุณไปคิดว่าฝนจะตกแล้ว ๆ พอคุณขาดความมั่นใจขึ้นมา คาถาก็ไม่ได้ผล" พอรุ่งขึ้นก็อาการเดียวกัน คือฝนเริ่มลงเม็ดหนัก อาตมาบอกท่านว่า “มา...ผมทำให้คุณดู” พอเดินไปอีก ๓ ก้าวฝนก็หยุดหมด "คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ความมั่นใจคืออะไร ? เราต้องมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าเราหวั่นไหวเมื่อไรก็พัง สิ่งที่เรามั่นคงเกิดจากความมั่นใจในกำลังใจของเราเอง ถ้าขาดความมั่นใจเมื่อไรนี่พังทั้งขบวน" ถาม : กรณีมั่นใจ กลัวว่าจะเป็นการทึกทักเอาเอง ? ตอบ : โปรดทึกทักแบบนั้นบ่อย ๆ เดี๋ยวจะดีไปเอง ขอให้มั่นใจเถอะ |
เมื่อเช้านี้ทันตแพทย์เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด พาลูกศิษย์มา อาทิตย์ที่แล้วลูกศิษย์ไปโดนสหบาทาไม่จำกัดมา คือปกติบริษัทต้องจำกัดหรือมหาชน แต่บริษัทสหบาทานี่กระทืบไม่จำกัด เจอไป ๒๐ ต่อ ๑ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่าจอดรถแล้วเปิดประตูไปกระทบคนอื่นเข้า ไอ้เจ้านั่นไม่ยอม พาพวกมาเหยียบ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาพกตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ดอกเดียว
ตอนแรกก็คิดว่าอาการสาหัส แต่พอพวกเขาเลิกกระทืบก็ลุกเดินได้ตามปกติ ก็เลยสงสัย ไม่เป็นอะไรเลย แต่อาตมาสงสัยว่าไอ้คนกระทืบ ๒๐ คนนั่นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ? เพราะว่ายังไม่ได้ไปติดตามข่าวคราว คราวนี้เขาจะมาหาตะกรุดมหาสะท้อน เพราะพ่อแม่พี่น้องอยากได้ ก็เลยบอกว่าเหลือแต่พระกริ่ง เอาพระกริ่งไปแทนแล้วกัน เพราะว่าใส่ตะกรุดไปตั้ง ๓๐ ดอก ก็เลยเตือนเขาไปว่า คราวหน้าพกหลวงพ่อหลายวัดหน่อย ตูจะได้แก้ตัวได้ นี่เล่นพกตะกรุดดอกเดียวบ่ายเบี่ยงไม่ได้ เลยต้องยอมรับสภาพแต่โดยดี คนอื่นอย่าไปหาประสบการณ์แบบนี้นะ ไม่สนุกหรอก วัตถุมงคลไม่ได้มีไว้ให้ลอง วัตถุมงคลมีไว้เพื่อคุ้มครองรักษาพวกเราในเวลาฉุกเฉิน ถ้าเราไปลองแปลว่าเราขาดความมั่นใจ เมื่อเราขาดความมั่นใจ กำลังที่ส่งมาเราจะรับได้ไม่เต็มที่ ถึงเวลาอาจจะน่วมจริง ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าโยมจะเอาโมทนาบัตรงานทอดกฐิน ให้รอวันที่ ๒๘ ตุลาคม เพราะเป็นวันรับกฐิน โมทนาบัตรกฐินของวัดทุกใบในปีนี้ จะเป็นวันที่ ๒๘ ตุลาคม แล้วญาติโยมส่วนหนึ่งมักจะช่วยให้พระผิดพระวินัย เพราะแต่ละวัดแต่ละปีจะรับกฐินได้ครั้งเดียว ถ้ารับกฐินซ้ำซ้อนเมื่อไร เขาเรียกว่า "กฐินเดาะ" พระไม่มีโอกาสใช้อานิสงส์กฐินนั้นเลย แต่ว่าญาติโยมส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ
อย่างที่วัดท่าขนุนทอดกฐินบ่ายโมงตรง ถึงเวลาเราปิดยอดเสร็จสรรพเรียบร้อย เพื่อจะแจ้งยอดให้ญาติโยมได้ทราบ โยมมาห้าโมงเย็น เอาสตางค์มาให้ พอไม่รับก็ไปโวยวายว่าทำไมไม่รับ ? โดยที่ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้นว่าพระจะเดือดร้อนแค่ไหน ? รู้อยู่อย่างเดียวว่ากูจะทำบุญมึงต้องรับ..! ประเภทนี้อาตมาด่าส่งไปหลายรายแล้ว วันรุ่งขึ้นอาตมาไปบิณฑบาต ยังมาฟ้องอีกว่า "วันก่อนเอาสตางค์ไปให้ตอนเย็น โยมที่วัดไม่ยอมรับ บอกว่าปิดยอดไปแล้ว เขาทำอย่างนี้ไม่ถูกนะคะ" อาตมาบอกว่า "เขาทำถูกแล้ว โยมเองต่างหากที่ทำผิด" ก็เลยหน้าเหี่ยวไปเลย กลัวเจ้าอาวาสจะไม่รู้ ไปดักฟ้องตอนบิณฑบาต ยังโชคดีที่ตอนเช้า ๆ อาตมายังใจเย็นอยู่ ถ้าฟ้องสาย ๆ หน่อยอาจจะโดนคืนไปชุดใหญ่..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง กฐินหลวงจะมาพร้อมผ้าไตรพระราชทาน ก็คือปัจจัย ๒,๐๐๐ บาท ผ้าไตร ๑ ไตร แล้วก็มีสบงขาว ๑ ผืน เผื่อพวกเราจะเอามาเย็บมาย้อมอะไรกันในวันนั้น เขาบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ให้ขอวัดท่าซุงยกขึ้นเป็นวัดหลวง หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าไม่เอา ปกติกฐินได้ตั้งหลายล้าน นี่เหลือแค่ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เป็นอัตราที่โหดร้ายมากเลย
อย่างที่เข้าวังสมัยนั้น ไม่รู้สมัยนี้เปลี่ยนหรือยัง ? เข้าวังสมัยก่อนปัจจัยถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ๒๐๐ บาทเท่ากันหมด ไม่ไปก็ไม่ได้ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว อัตราทั้งหลายเหล่านี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็ดี หรือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่คราวนี้เขาไม่เปลี่ยน เพราะเขาไม่อยากจะจ่ายเยอะ อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ ถ้าไปออกงานที่อื่น อย่างน้อย ๆ ต้องได้รับ ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ไปงานหลวงเขาถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ ถือว่าขัดพระบรมราชโองการ ไม่ได้จะตำหนิตรงจุดนี้ เพราะว่าอัตราที่ท่านถวายนั้น เป็นสมัยอาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่ แต่คราวนี้จากกรมศาสนามาจนเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดจนสำนักพระราชวัง เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอัตรานี้ แบบเดียวกับใบอนุญาตหาของป่า รู้ไหมว่าค่าธรรมเนียม ๑ บาทเท่านั้น แล้วเขาก็ขนหินไป ๒ คันรถสิบล้อ..! เขาก็พาซื่อแกล้งโง่ไปเรื่อย ทั้งที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่างบประมาณของตัวเองมีอยู่ ไม่ได้ดูโลกภายนอกว่าไปถึงไหนแล้ว เดี๋ยวนี้เงิน ๒๐๐ บาทซื้อผัดกระเพราได้จานเดียวเท่านั้นเอง แหม...แต่คนขายผัดกระเพราจานละ ๑๕๐ บาท นี่เขาต้องมั่นใจตัวเองมากเลยนะ เขายืนยันว่าของเขาวัตถุดิบคุณภาพสมราคา อาตมาพูดมาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ว่า ต่อไปบ้านเราข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ปรากฏว่าไปแรงกว่าที่พูดไว้ ล่อไป ๑๕๐ บาทแล้ว สโมสร ทบ.มาก่อนเลย..ใช่ไหม ? ๑๕๐ บาท วันก่อนที่บอกว่าไปกินที่ไหนไม่รู้โวยวายมา ปรากฏว่าเขาติดป้ายไว้เหมือนกัน แต่ป้ายเป็น A๔ บอกรายการยาวเหยียดเลย แล้วใครจะไปเพ่งว่าจานละ ๑๕๐ บาท สถานการณ์ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเราภาวนาพระคาถาเงินล้านไว้เป็นหลัก ต่อให้เขาลำบากเลือดตากระเด็นเท่าไร ก็ให้เราไปได้สบายกว่าเขาหน่อย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณประโยชน์ ตันกันภัย ถวายเงินกฐินมาหนึ่งแสนบาท กระทู้ที่เปิดให้บูชาวัตถุมงคลของตัวเล็กยอดจองอยู่ที่ประมาณ ๒ ล้านบาท ตอนนี้โอนเข้าบัญชีมาแล้วราว ๗ แสนบาท ถ้าโยมโอนมาสักครึ่งหนึ่ง ยอดกฐินก็ทะลุล้านไปแล้ว
ส่วนกระทู้ของลูกเจ้าคุณนรฯ ก็ยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ความจริงต้องสรุปตารางให้เขาดูวันต่อวัน แต่อาจจะเป็นเพราะภารกิจมาก เวลาที่จะทำก็เลยไม่มี กระทู้ไหนที่นิ่งหรือว่าตายไปเลย คนเขาไม่ค่อยแลกันหรอก ถ้าอยากให้กระทู้เป็นที่น่าสนใจ ก็ต้องมีการปรับกระทู้ทุกวัน แต่ก็อย่างว่า..คนเฝ้ากระทู้ก็ไม่มีเวลาจะเฝ้า อย่างที่ลงเช้ากระทู้บ่ายกระทู้ของคุณสุธรรม ก็ยังโดนประท้วงว่าลงน้อยไปอีก" |
"ถ้าลงมาก ๆ นี่ก็ต้องเห็นใจคนเขียนด้วยนะ คุณสุธรรมมีหน้าที่ลง แต่คนเขียนคืออาตมาเอง ตูเขียนไม่ทันก็ตายสิวะ..! ไม่ใช่ว่าถึงเวลาจะได้ตุนให้เขามาก ๆ บางทีก็อยู่ในลักษณะ "เบี้ยต่อไส้" หรือ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ไปวัน ๆ เท่านั้น ความจริงว่าจะรอเรื่องไปเมืองจีนก่อน ปรากฏว่าเอาบันทึกไปทิ้งไว้ที่ไหนไม่รู้ น่าจะอาการเดียวกับพระครูหน่อย ปล่อยไว้นานเลยหาไม่เจอ
เรื่องของมารเขาจะทดสอบนี่ เขากลั่นแกล้งกันสารพัด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสอบไปก็ไร้ประโยชน์ เขาก็ยังสอบ มีอยู่วันหนึ่งนั่งฉันเพลอยู่ กาน้ำร้อนหาย อาตมาติดนิสัยมาจากตอนอยู่พม่า เพราะทางพม่าวัดหนองบัวอยู่ท้ายน้ำ เกือบจะปากอ่าวเมาะตะมะเลย ความสกปรกที่มากับน้ำจึงมีมาก ก็เลยใช้น้ำร้อนล้างจาน คราวนี้พอล้างอย่างนั้นบ่อย ๆ คนที่เขาไม่รู้สาเหตุ เขาก็เอาน้ำร้อนให้อาตมาตลอด แม้กระทั่งอยู่วัดท่าขนุนก็ใช้น้ำร้อน ปรากฏว่าวันนั้นเขาไม่ได้ตั้งกาน้ำร้อน ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร...ใช้น้ำเย็นล้างก็ได้ พอว่าไม่เป็นไรเท่านั้นแหละ กาน้ำร้อนทั้งใบเด้งดึ๋งมาอยู่ข้าง ๆ ตัว พระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้อง "เฮ้ย..! มาอย่างไรวะ ?" เขาแกล้งได้ขนาดนั้น เขาจะดูว่าอาตมาจะโมโหด่าคนอื่นหรือเปล่า โอ้โฮ...แสบไส้มากเลย หลายครั้งตอนช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ บางทีแก้ ๆ ไป ๘ หน้า ๑๐ หน้า พอเซฟก็หายวับไปกับตา ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ค้นอย่างไรก็ค้นไม่เจอ แต่พอคิดว่า "ช่างหัวมันวะ กูทำใหม่ก็ได้" เท่านั้นแหละ..พอเปิดใหม่แล้วเจอเลย น่าตายมาก..! เราจะไปคิดว่ามารเขาอยู่มาตั้งกี่หมื่นกี่แสนปี ทันสมัยขนาดนั้นเลยหรือ ? ขอบอกว่าเทคโนโลยีทุกอย่างเขาสร้างขึ้นมานะ เขาเก่งกว่าเราอีก เขาเป็นคนสร้างเพื่อให้พวกเรายึดติด บอกแล้วว่าตัวเราเขายังสร้างเลย ทำไมเขาจะใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ? อาตมาโง่เองที่ครั้งแรก ๆ ไปคิดว่าเขาใช้ไม่เป็น ที่ไหนได้..เขาสร้างมาเองแท้ ๆ จะไม่เป็นได้อย่างไร ?" |
"พอโดนเขาทดสอบอย่างนี้ก็ช่างหัวมัน ลงข้ามไปก่อนก็ได้ ก็เลยเอาเรื่องยุโรปมาลง พอเอาเรื่องยุโรปมาลง ตายห่า...นี่ตูจะไปเนปาลรอบ ๒ แล้ว ก็เลยให้เอาเรื่องเนปาลลงไปด้วย เวลาอ่านก็พยายามทำใจหน่อยแล้วกันนะ ว่าเนื้อหาเป็นอย่างนี้ คนเขียนไม่สับสนหรอก แต่คนอ่านจะสับสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าต้องอ่าน ๒ เรื่องพร้อมกัน
นักเขียนที่เก่งที่สุดในความรู้สึกของอาตมาก็คืออรวรรณ หรือถ้าชื่อจริงก็คือคุณเลียว ศรีเสวก(สี-เส-วก) คุณเลียวเขียนนิยายทีเดียว ๔ เรื่องพร้อมกันได้ แกตั้งพิมพ์ดีด ๔ เครื่องเลย ให้คนใช้เตรียมกระดาษเตรียมเครื่องดื่มไว้ พอถึงเวลาอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพเรียบร้อย แกมาถึงรัวพรืด ๆ ไปเลย พอได้จำนวนหน้าตามที่รับปากไว้กับทางด้านสำนักพิมพ์ คุณเลียวก็ไปอีกเครื่องหนึ่ง แล้วก็พิมพ์เรื่องนั้นต่อไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เป็นเจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ที่จะพาเราไปเนปาลงวดนี้ ปกติคุณนวลจันทร์ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างนี้มานานแล้ว ให้แต่ลูกน้องทำ งวดนี้ด้วยความเกรงใจท่านพระครูปลัดปิง ก็เลยลงมาดูงานด้วยตัวเอง ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ใครที่มัวแต่ตัดสินใจอยู่ก็รีบหน่อย เพราะว่าเหลือแค่ ๙ ที่นั่งเท่านั้น"
|
ถาม : อยากจับลมหายใจสามฐานมาก แต่รู้ลมแค่ปลายจมูก สำลักลมหายใจ เหมือนกลั้นหายใจ พยายามจะหายใจ แต่ไม่ค่อยจะยอม ?
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ ว่าเราไม่หายใจแล้ว การจับลมหายใจไม่จำเป็นต้อง ๓ ฐาน จะเป็น ๓ ฐาน ๕ ฐาน ๗ ฐาน ฐานเดียวหรือรู้ตลอดกองลมก็ได้ แล้วแต่เราถนัด พอลมหายใจเบาลงให้รู้ว่าเบาลง พอลมหายใจหายไปให้รู้ว่าหายไป กำหนดใจรับรู้นิ่ง ๆ ไว้เฉย ๆ อย่าไปดิ้นรนหายใจใหม่ เพราะตอนนั้นจิตไปกับประสาทแยกออกจากกัน จะไม่ยอมรับรู้ลมหายใจ ต่อให้คุณหายใจอยู่ก็ไม่รู้ ถาม : ตัวเกร็งครับ ? ตอบ : ตั้งใจว่าถึงตายลงไปเราก็จะไม่ทิ้งการปฏิบัติ ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้จะได้ดีเร็ว แต่ส่วนใหญ่จะไปกลัว แล้วก็เลิกทำไปเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนใหญ่พวกเราระยะหลังมักจะขาดศรัทธา ชอบมาถามว่าของจริงหรือเปล่า ? เรื่องของพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุต่าง ๆ ไม่ได้สำคัญว่าจริงหรือเปล่า แต่สำคัญที่เราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยหรือเปล่า ถ้าเราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ กุศลใหญ่ก็จะเกิดแก่ตนเอง แต่ถ้าหากเราไม่ได้ระลึกถึงเลย ต่อให้เป็นของจริงก็ไม่มีประโยชน์
แล้วระยะนี้มีพวกสิ้นสติ ส่งพระบรมสารีริกธาตุไปทางไปรษณีย์ อาตมาแกะกล่องออกมา ถ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่จะเป่ายันต์รอบพิเศษให้...! ต้อง "ยัน" ให้หนัก ๆ หน่อย ของสำคัญขนาดนั้นดันส่งทางไปรษณีย์ อะไรจะอยากได้บุญกุศลจนสิ้นสติได้ขนาดนั้น ถึงเวลาเขาก็โยนกล่องกองซ้อนทับกันไม่รู้กี่ตลบต่อกี่ตลบ ใส่ถุงใส่กระสอบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง เดินข้ามบ้างเหยียบบ้าง นอกจากเกิดโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่รู้ว่ามีของสำคัญ ก็ยังเกิดโทษแก่ตนเอง เพราะกำลังใจหยาบเกินไป ไม่ได้ระลึกถึงว่าอะไรเหมาะอะไรควร แต่เชื่อเถอะ..ถึงพูดไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็จะมีไอ้พวกอยากได้บุญส่งไปอีก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาถูกหวย ไม่รู้ว่ารางวัลอะไร อยู่ ๆ คุณจารุก็เอาล็อตเตอรี่มาให้ บอกว่าถูกหวยแต่ไม่ได้ไปเบิก ก็เลยถวายล็อตเตอรี่ให้อาตมาไปขึ้นเงินเอง ป้าจี๋รับไปแทน แต่ว่าให้มากี่สตางค์อาตมาก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน (ถูกเลขท้าย ๓ ตัวค่ะ) เคยมีคนถูกรางวัลที่ ๑ ควบเลขท้าย ๓ ตัว เพราะว่าเลขตรงกัน แต่เมื่อเอาไปขึ้นที่ร้านค้า เจ้าของร้านให้รางวัลเดียว ซึ่งความจริงต้องได้ ๒ รางวัล
สมัยเด็ก ๆ พี่ก้องเกียรติวิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ซื้อล็อตเตอรี่เอาไว้ ปรากฏว่าพอเขาประกาศผล จำได้ว่าตัวเองถูก อารามดีใจเกิดปีติขึ้นมาอีท่าไหนไม่รู้ วิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ปรากฏว่าพอไปดูแล้วไม่ถูก สลับกันเลขเดียว จำได้เพราะว่าตอนเขาประกาศรางวัลฟังดูตรงหมดทุกตัว คิดว่าใช่..เลยวิ่งกลับบ้าน อารามปีติจึงไม่เหนื่อย คาดว่าพอตรวจดูแล้วผิดนี่คงเหี่ยวไปเลย สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจที่เขาเดินขายกัน “เรียงเบอร์ครับ เรียงเบอร์” คืออะไรวะ ? จะว่าเด็กก็ไม่เด็กมากหรอก เข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ นี่เรียนจบ มศ. ๓ แล้ว แต่ไม่รู้หรอกว่าเรียงเบอร์คืออะไร มารู้ทีหลังว่าใบตรวจหวย ต้องบอกว่าทางโรงพิมพ์เขาฉลาด เปิดเสียงคนขานเลขพร้อมกับเรียงตัวเลขไปด้วย พอเขาประกาศเสร็จ ก็เรียงจบพิมพ์ได้เลย ต้องบอกว่าเก่งมาก ๆ เพราะเขาอ่านแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น เพราะว่าอ่านซ้ำทางนี้ก็เรียงเสร็จพอดี คนเรียงพิมพ์สมัยก่อนเก่งมาก เพราะไม่ใช่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่เป็นตัวอักษรตะกั่ว ต้องจับมาเรียงแถว ๆ เขาถึงได้ใช้คำว่าเรียงพิมพ์ จัดเรียงเป็นบรรทัด ต้องจัดอะไรให้พอดี ไม่เหมือนกับสมัยนี้ คอมพิวเตอร์สั่งจัดหน้าได้หมด เพราะฉะนั้น..คนสมัยก่อนเก่ง ที่เก่งมากเลยก็คือต้องเรียงกลับด้าน พอถึงเวลาเขาพิมพ์จะได้ตรงพอดี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนบอกว่าประเทศไทยเราล้าหลังอาเซียนทั้งหมด ไม่น่าจะจริง เพราะตอนนี้เราเป็นผู้นำอาเซียนแล้ว ขนาดมาเลเซียยังเลียนแบบสีเหลืองสีแดงไปใช้เลย เพียงแต่อาตมาไม่ได้ติดตามข่าวว่าของเขาสีแดงฝ่ายไหน สีเหลืองฝ่ายไหน จะภูมิใจดีหรือเปล่าว่าเราเป็นผู้นำอาเซียนในสิ่งที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวสักเรื่อง ส่วนเรื่องดี ๆ กลับอวดชาวบ้านเขาไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้นำเขา
ตอนบ้านเราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ฝรั่งเรียกต้มยำกุ้งไครซิส คือวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง แล้วก็ลามไปทั่วโลก ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก ๆ ยังทำเอาหลายประเทศเอียงกะเท่เร่ล้มตามไป ต้องให้ IMF มาช่วยดูแล ซึ่งการดูแลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในลักษณะบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าดี ทำให้ประเทศชาติเราเสียหายเป็นแสน ๆ ล้านบาท ที่อาตมาพูดนี่ก็คือว่า หากประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา จะมีผลกระทบขนาดไหน ? โดยเฉพาะยุโรปกับอเมริกาผูกขาติดกันโดยตรง แล้วเวลายักษ์ล้ม ประเทศเล็ก ๆ อย่างพวกเราจะพลอยแบนไปด้วยหรือเปล่า ? สถานการณ์ประเทศชาติไม่ค่อยจะดี ช่วยกันสวดมนต์ภาวนาให้มาก ๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะภาวนาคาถาเงินล้านให้เป็นปกติ อย่างน้อยจะได้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เรื่องเบาจะได้หาย ถ้าหากว่าเรื่องดีจะได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสื้อกระโถนข้างธรรมาสน์รุ่นนี้ อาตมาเลือกสีเอง หมอดูเขาบอกว่าสีนี้ถูกโฉลกกับวันเกิดอาตมา ลองดูว่าใส่กันเยอะ ๆ แล้วจะช่วยอะไรได้บ้าง อาตมาไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เชื่อบุญเก่า กรรมเก่าที่เราทำมา ถ้าเราทำบุญเอาไว้ดี เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ตำราพรหมชาติท่านดูเอาไว้ค่อนข้างจะแม่นยำ ท่านว่า สิทธิการิยะ หญิงชายใดเกิดวันอาทิตย์ จิตนั้นพลันมักง่าย ทำบุญแก่ใครเหมือนไฟตกน้ำ สร้างบุญคุณไปเถอะ คนเขาไม่เห็นความดีหรอก เจรจาเลิศล้ำ ไม่มีความผิด จะได้ดีเพราะคำพูด น้ำใจซื่อตรง คงสัตย์ต่อมิตร รักง่ายใจจิต ไม่คิดเสียดาย เป็นคนรักเพื่อนฝูงมีน้ำใจซื่อสัตย์ ถ้อยความมาต้อง ถึงสองสามราย ร้ายแล้วกลับกลายคืนดีภายหลัง จะเกิดคดีความ เกิดเรื่องเกิดราวอย่างน้อย ๒-๓ ครั้งในชีวิต แต่ว่าจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีทุกที เมื่อน้อยไร้ทรัพย์ เมื่อโตกลับมั่งคั่งสมบูรณ์ แสดงว่าโตขึ้นแล้วถึงจะรวย เด็ก ๆ จะยากจน แต่ถ้านับพื้นฐานดวงแล้ว คนเกิดวันอาทิตย์ที่อยู่ไม่ถึง ๘๐ ปีไม่รวยหรอก เพราะดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาทีหลังสุด ต้องเป็นอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ราหู แล้วถึงจะศุกร์ ดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาช้าที่สุด คนที่เกิดมาแล้วรวยง่ายที่สุดคือวันศุกร์ เกิดมาดาวเงินก็เข้าเลย" |
"เรื่องของโหราศาสตร์อย่าเชื่อถือมากนัก ในขณะเดียวกันก็อย่าลบหลู่ เพราะว่าทางพราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ว่าคนที่เกิดในวันเดือนปีอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาถึงวาระอายุเท่านั้นเท่านี้ จะมีเรื่องอย่างนี้ ๆ ขึ้น ซึ่งก็คือเรื่องของบุญของกรรมที่เคยทำไว้ส่งผลนั่นแหละ คนที่เกิดมาใกล้เคียงกัน ก็ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงคล้าย ๆ กัน
ในเมื่อสถิติที่เขาเก็บต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี สรุปลงมาเป็นศาสตร์ก็คือโหราศาสตร์แล้ว ก็เป็นเรื่องที่พอจะเชื่อถือได้ แต่ว่าเต็มที่ก็ได้สัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้ทิพจักขุญาณ มีความสามารถจริง ๆ ก็จะได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าถามว่าขนาดทิพจักขุญาณทำไมไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ? ก็เพราะว่ามี ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่กำลังใจเกินมนุษย์มนาทั่วไป เรื่องของคำทำนายทายทักไม่มีประโยชน์ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้บ้า ๆ บอ ๆ กำลังใจเกินมนุษย์มนา ต่อให้ใครบอกว่าไม่ดีก็จะเอาให้ดีให้ได้ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาสายพุทธภูมิ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต กำลังใจจะมากล้นเกินคนปกติ วิชาโหราศาสตร์จึงใช้กับท่านเหล่านี้ไม่ได้" |
1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหลวงพ่อวัดท่าซุงรูปนี้เกิดจากหลวงพี่อาจินต์ อาตมาก็ทำรูปลักษณะนี้แหละ เป็นกล่องไฟเล็ก ๆ โตประมาณกระเป๋าเอกสาร พอช่างมาส่ง หลวงพี่อาจินต์ก็บอกว่า "เฮ้ยเล็ก...สวยจังว่ะ ขอพี่เถอะ" อาตมาก็ "อ้าว...ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?" "เออน่ะ...แกเอาของพี่ไป" แล้วท่านเอารูปที่ม้วนอยู่ส่งมาให้ ด้วยความซื่ออาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านม้วนทางด้านกว้าง เห็นว่าใหญ่กว่าของเราไม่เท่าไร ก็ส่งให้ช่างเขาไปทำให้ใหม่
สรุปว่าช่างต้องเอารถกระบะขนรูปนี้มาให้ อาตมาเห็นก็ตกใจ เพราะว่าบรรทุกมารูปเดียวล้นคันเลย ถามทำไมใหญ่อย่างนี้ ? ช่างเขาบอกว่าก็ใหญ่เท่านี้แหละครับ ยังโชคดีที่อาตมาภาวนาคาถาเงินล้านขึ้นตั้งแต่แรก ก็เลยมีเงินจ่าย คิดดูว่าปลายปี ๒๕๓๕ ต้นปี ๒๕๓๖ รูปนี้ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ปัจจุบันนี้ ๕๐,๐๐๐ บาท ทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ นาน ๆ จะเปิดไฟเสียทีหนึ่ง ชมกันให้ชื่นใจ เพราะว่าข้างในมีหลอดสั้นตั้ง ๘ หลอด ขืนเปิดทุกวันจ่ายค่าไฟตายเลย" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ให้ลูกกินนมเยอะ ๆ แม่จะได้ผอมลง ส่วนใหญ่ที่ท้องแล้วอ้วนเพราะไม่ให้ลูกกินนม เขาอ้วนเพราะว่าเตรียมให้ลูกกิน พูดง่าย ๆ คือธรรมชาติให้ร่างกายสะสมไว้เผื่อเด็ก แต่ปรากฏว่าคนเป็นแม่กลับไม่ให้ลูกกินนม ไปกินนมกระป๋องนี่บรรลัยเลย เด็กคลอดใหม่ ๆ มาอย่าให้กินนมกระป๋องเด็ดขาด เพราะถ้ากินนมกระป๋องแล้ว น้อยคนจะยอมกินนมแม่ เพราะนมกระป๋องหวานกว่า เด็กติดรสหวานไปแล้ว"
|
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคลต่อไปที่จะสร้างว่า "บาตรน้ำมนต์ฉลองอายุ ๕ รอบที่จะสร้าง เอาขนาดปากบาตร ๖ นิ้ว จะได้ใหญ่สะใจหน่อย ทำสัก ๖๐ ใบเท่าอายุก็พอ ให้แย่งจนเหยียบกันตายไปเลย ครอบน้ำมนต์วัดอื่นเขาทำเล็ก ๆ ของเราจะไปขี้เหนียวทำไม ? ทำใบใหญ่ ๆ ไปเลย ใครอยากได้ก็เก็บเงินไว้ ราคาน่าจะเป็นแสนเพราะนวโลหะมีทองคำผสมเยอะ แล้วของมีน้อย ถึงเวลาแย่งกันจองให้หัวทิ่มอยู่ตรงนั้นแหละ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าปีนี้คุณเต้ยรับเป็นเจ้าภาพผ้ากฐินปลดหนี้ที่เนปาลกัน ใครจะร่วมบุญด้วยไปทำที่คุณเต้ย อาตมาจะได้ไม่ต้องเอาผ้าไปเอง ถ้าหากว่าลืมก็จะจับพวกเราที่ไปด้วยนั่นแหละ สละผ้าคนละชิ้นแล้วเย็บกันตรงนั้นเลย...!
งานนี้คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ไปสำรวจพื้นที่มาแล้ว แจ้งให้ทราบว่าเขาบูรณะจวนจะสมบูรณ์แล้วสำหรับสิ่งที่พัง ๆ ไปตอนแผ่นดินไหว ก็แปลว่าถ้าไปก็มีให้ดู" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวัดท่าขนุนเดือนนี้ก็มีเป่ายันต์เกราะเพชรวันที่ ๑๗ ตุลาคม บวงสรวงตอน ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐.๐๐ น. รอบบ่าย ๑๓.๐๐ น. คาดว่ารอบบ่ายคงแทบไม่มีใครเหลือ แต่ก็ต้องทำเพราะว่าท่านที่ไม่ได้มา เขารอรับกันตามเวลาอยู่ทางบ้าน
วันที่ ๒๘ ตุลาคม มีกฐินกับตักบาตรเทโวฯ ตักบาตรเทโวฯ ช่วงเช้า ทอดกฐินตอนบ่ายโมง อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนกฐิน ๓ วัน ก็คงจะเป็นวัน ๑๓ –๑๕ ค่ำ ออกมารับบาตรเทโวฯ พอดี จะเดินไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ไม่เป็นไรหรอก...พระท่านสั่งก็ทำไป ถ้าตกเขาตายก็จบ ...(หัวเราะ)... ต้องเริ่มเข้ากรรมฐานวันที่ ๒๕ ไปออกเช้ามืดวันที่ ๒๘ ที่อื่นเขาทำบุญถวายทานกับพระออกกรรมฐาน ของเราถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน จะเก็งกำไรเยอะไปหรือเปล่า ? กลัวอย่างเดียวว่าจะไปเป็นลมขายหน้าเขาตอนเดินรับบาตร ถ้ารับกฐินไม่กลัวหรอกเพราะนั่งอยู่กับที่ ตอนรับบาตรเดิน ๆ แล้วล้มตึงไปนี่ขายหน้าชาวบ้านเขา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฉบับหน้าจะมี "อีหรอบเดียวกัน" ลงในกระโถนข้างธรรมาสน์ จนป่านนี้แล้วหลายคนยังไม่รู้เลยว่าอีหรอบคืออะไร ? ก็คือยุโรปนั่นแหละ แต่รุ่นปู่ย่าตาทวดเราสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ อ่านว่าอีหรอบ สมัยก่อนเขาออกเสียงไม่เหมือนเรา อย่างโทรเลข เทเลกราฟ เขาเรียก ตะแล็บแก๊บ สถานี สเตชั่น เขาเรียก กะเตชั่น แล้วสมัยนี้เขาเป็นอียู รวมกันเป็นประชาคมยุโรป ก็เลยเป็นอีหรอบเดียวกัน"
ถาม : อ่านอีหรอบเดียวกันไม่ทันใจเลย ? ตอบ : คนเขียนก็เขียนปางตาย หนักแรงมาก เพราะต้องนึกภาพย้อนหลังไปว่าตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้น หลายคนบอกว่าใส่รายละเอียดได้เหมือนกับไปเห็นด้วยตนเองเลย ถ้าหากคุณเขียนอย่างผม คุณก็เห็นด้วยตัวเองเหมือนกันแหละ เรื่องพวกนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ บอกว่าเป็นการซักซ้อมอตีตังสญาณ ซักซ้อมทิพจักขุญาณ ให้หมั่นทำเอาไว้ จะได้แจ่มใสชัดเจน ก็ไม่เห็นลูกศิษย์ท่านจะทำสักกี่คนเลย ไปนึกถึงปลัดน้อย (พระอภิชัย สุธมฺมธมฺโม) คือนายอภิชัย นุตาลัย ในปัจจุบันนี้ มาถึงก็ "เฮ้ยเล็ก...ยืมหนังสือเล่มนี้หน่อย" "มึงยืมไปแล้วกูจำได้" "นั่นแหละกูจะอ่านอีก" "แล้วอ่านไปทำไม ?" "กูลืมไปแล้ว กูอ่านแล้วไม่ได้จำ กูอ่านเมื่อไรก็สนุกเมื่อนั้น มึงอ่านแล้วจำได้ ไม่สนุกหรอก" |
ถาม : หนูอ่านเพชรพระอุมาสามรอบแล้วค่ะ ?
ตอบ : สมัยอาตมาทำงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม พอหลังอาหารกลางวัน มีหน้าที่เล่าเพชรพระอุมาให้เพื่อนฟัง โอ้โห...ล้อมวงกันดีแท้ ถ้าเก็บเงินนี่รวยเลย คนงาน ๗๐-๘๐ คนนั่งฟัง อาตมาก็เล่าให้เขาฟังเหมือนกับอ่านหนังสือ เขาถามจำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ก็จำได้นี่หว่าจะให้ทำอย่างไรเล่า ? เพราะว่าอ่านเพชรพระอุมาเป็นตอน ๆ ในจักรวาลรายสัปดาห์ อ่านเป็นเล่มเล็ก ๆ ขนาดใส่กระเป๋าเสื้อได้ เล่มละ ๖ สลึง ๒ บาท แล้วก็มาอ่านปกแข็งรวมเล่ม ๑๘ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๒ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๔ เล่ม อ่านทุกชุด ตอนช่วงนั้นปกแข็งรวมเล่มราคาหน้าปก ๓๕ บาท แล้วลดครึ่งราคาเหลือ ๑๗.๕๐ บาท ต้องเก็บเงินได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ถึงเวลาค่าแรงออกอาทิตย์หนึ่งก็ซื้อเล่มหนึ่ง บอกเจ้าของร้านไว้เลยว่า เล่มต่อไปห้ามขายให้ใครนะ อาทิตย์ต่อไปจะมาซื้อ เขาเห็นว่าติดตามจริงก็เลยเก็บไว้ให้ เพราะปกติถ้าเล่มไหนโดนดึงออกจากชุด คนซื้อยกชุดก็ไม่ซื้ออยู่แล้ว อ่านมากขนาดนั้นจะไม่ให้จำได้ทุกตัวอักษรได้อย่างไร |
ถาม : วัดอยู่ทองผาภูมิหรือครับ ?
ตอบ : อยู่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ไกลหน่อย วิ่งมาที่นี่อย่างเร็ว ๆ ก็ ๓ ชั่วโมงครึ่ง อย่างช้าก็ ๔ ชั่วโมงกว่า ประมาณ ๒๘๐ กิโลเมตร สมัยก่อนธุดงค์ไปที่นั่นก็ชอบใจพื้นที่ แล้วไปศึกษาความรู้จากหลวงพ่ออุตตมะบ้าง หลวงปู่สายบ้าง หลวงพ่อลำใยบ้าง ท่านก็เมตตาสอนให้ ใครจะนึกว่าไป ๆ มา ๆ จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงปู่สาย หลวงปู่สายมรณภาพปีเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลย และก่อนเดือนครึ่งด้วย ท่านมรณภาพ ๑๔ กันยายน ช่วง ๑๐๐ วันของท่านอาตมาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ ๒ วัด สวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จตอน ๒ ทุ่มครึ่ง ก็วิ่งจากวัดท่าซุงมาวัดท่าขนุน ทำบุญเช้าวัดท่าขนุนเสร็จก็วิ่งกลับวัดท่าซุง คนจะไม่รู้เพราะว่าวิ่งตอนกลางคืน พอเจ้าอาวาสผ่านไป ๒ รูป ลูกศิษย์ที่ทันบวชกับหลวงปู่สายไม่มีเหลือแล้ว พอถามไปถามมา เออ...อาจารย์เล็กยังอยู่ เคยเรียนวิชากับหลวงปู่ เขาก็เลยมานิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส ถาม : ที่วัดเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยหรือครับ ? ตอบ : ก็ไม่นึกว่าจะได้ทำ เพราะตอนที่ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรมีตั้ง ๙ รูป แล้วอาตมาอาวุโสเกือบน้อยที่สุด ตอนครอบครูเพิ่งจะ ๗ พรรษา มีรุ่นน้องอีกรูปหนึ่ง ๒ พรรษาเอง ปรากฏว่ารุ่นน้อง ๒ พรรษาสึกไปแล้ว รุ่นพี่ก็สึกไปหลายคน ที่อยู่ส่วนใหญ่ออกมาข้างนอกหมด อย่างหลวงพี่วิรัชออกมา อาตมาออกมา หลวงตาวัชรชัยออกมา ก็ ๓ รูปแล้ว ท่านน้อยก็สึก ท่านชาติชายก็สึก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เหลือมีใครบ้าง ? ถาม : หลวงพี่วัชรชัย ? ตอบ : ท่านออกมาแล้ว ออกมาหลังอาตมาปีเดียว ท่านไปอยู่สระบุรีจนกระทั่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ อาตมาก็ลาออกจากเจ้าคณะตำบลมาทีหนึ่ง นี่โดนจับยัดให้เป็นใหม่อีกแล้ว หลวงตาท่านลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลเขาวง เจ้าคณะจังหวัดเซ็นให้ทันทีเลย นึกว่าใจดีปล่อยให้พัก ที่ไหนได้..ตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอต่อ ท้ายสุดก็ขึ้นเป็นเจ้าคณะอำเภอ กลายเป็นว่าที่เหลืออยู่ในวัดแทบจะไม่มีตัวแล้ว อาตมาก็อาวุโสน้อยมาก แต่ทำไมท่านสั่งให้เป่ายันต์ฯ ? มาตอนนี้เลิกสงสัยแล้ว หลังจากที่เคยคุย ๆ กับบรรดาพี่ ๆ เขาบอกว่า คนที่หลวงพ่อจะใช้งานต้องติดต่อกับท่านได้ พวกที่ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองท่านก็เลิกใช้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นใหม่รู้หรือไม่ว่าสารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ ? โบราณเขาว่า "ตรุษ ๔ สงกรานต์ ๕ สารท ๑๐" ก็คือวันตรุษไทยจะตรงกับสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์ตรงกับกลางเดือน ๕ สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ คราวนี้คนฟังไปตีความเพี้ยน ไปตีความว่าวันตรุษไทยให้ทำบุญ ๔ วัน สงกรานต์ให้ทำบุญ ๕ วัน สารทไทยทำบุญ ๑๐ วัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "โคตรแม่มึงทำไปคนเดียวเถอะ กูไม่ทำกับมึงหรอก ทำบุญตั้ง ๑๐ วัน พระไม่ต้องทำอะไรกันพอดี" คนที่ตีความผิดคืออดีตมัคคนายกวัดท่าซุง อาจารย์สง่า สาโรจน์ อะไรที่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ เสียเวลาทำมาหากินชาวบ้านเขา จะทำบุญตั้ง ๑๐ วัน ก็ทำไปคนเดียวเถอะ การทำบุญนะดี แต่ถ้าทำลักษณะนั้นเดือดร้อนชาวบ้านเขา สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทไทยก็คือกระยาสารท ที่ดังมาก ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นกำแพงเพชรหรือเปล่า ? เพราะว่าต้องคู่กับกล้วยไข่ กระยาสารทมักจะหวานมาก กินคู่กับกล้วยไข่จะตัดรสหวานได้ ส่วนตรุษไทยนั้นจะเป็นข้าวเหนียวแดง ถ้าสงกรานต์จะเป็นกาละแม เดี๋ยวนี้พวกขนมประจำสารทพวกเราจำกันไม่ได้แล้ว ที่อาตมาจำแม่นเพราะตอนเด็ก ๆ ต้องรอ ถ้าไม่มีตรุษ ไม่มีสารท ก็ไม่มีขนมกิน บ้านที่ฐานะไม่ดี ปีหนึ่งทำขนม ๒-๓ ครั้งก็ถือว่ามากแล้ว กว่าจะได้กินอีกทีก็โน่น หน้าลงแขกเกี่ยวข้าว ทำขนมเลี้ยงแขก ส่วนใหญ่ก็เป็นลอดช่องน้ำกะทิ ก็กินกันได้กินกันดีเหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรจะกิน ลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นประเพณีที่ดีงาม แสดงออกถึงความสามัคคีของชาวบ้าน ไม่ว่าจะหมู่บ้านเดียวกัน หรือหมู่บ้านอื่น สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "เอาแรงกัน" เวลาบ้านเขาเกี่ยวข้าวเราก็ไปช่วย ถึงเวลาเวลาบ้านเราเกี่ยวข้าวบ้านเขาก็มาช่วยคืน ถึงได้เรียกว่า "ลงแขก" คือเรียกแขกช่วยกันลงนาเกี่ยวข้าว มะรุมมะตุ้มพักเดียวก็เสร็จ แต่ความหมายของคำว่าลงแขกสมัยหลัง กลายเป็นรุมข่มขืนผู้หญิงไป อะไรที่เก่า ๆ หลัง ๆ ก็กลายเป็นเพี้ยนไป โบราณถึงบอกว่า ของกินถ้าไม่ได้กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่ได้เล่าก็ลืม" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติถ้าเป็นเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้ ลมหนาวจะเริ่มมาแล้ว โบราณเขาเรียกว่าลมข้าวเบา ก็คือ ถ้าลมเย็นพัดมาข้าวจะเริ่มสุก ข้าวเบาคือข้าวที่มีอายุน้อย โตเร็ว สุกง่ายกว่า กระทบลมหนาวที่ยังไม่หนาวจริงก็เริ่มสุกแล้ว
สมัยเด็ก ๆ ชาวกรุงเทพฯ พอถึงเดือนตุลาคมก็ไปสักการะพระบรมรูปทรงม้าของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ต้องใส่เสื้อกันหนาวไป งานพระบรมรูปฯ จึงเป็นงานอวดเสื้อกันหนาวของปี" |
ถาม : หลวงพ่อถาวร วัดปทุมวนาราม ท่านเส้นโลหิตในสมองแตกนอนอยู่โรงพยาบาลครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีข่าวบ้างเลย ตอนปี ๒๕๓๒ ท่านยังเป็นพระมหาถาวร จิตฺตถาวโร ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มหาอำพัน พอท่านกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า “มาถูกทางแล้ว ไปตามทางนั้นแหละ” รู้สึกว่าท่านดีใจมาก ท่านกราบแล้วก็ไปนั่งข้างหลังเลย ท่านคงตั้งใจมาจากวัดเลยเพื่อที่จะมาถาม พอกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็บอกเลยว่ามาถูกทางแล้ว พอหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ ท่านเป็นพระเถระรูปแรก ๆ ที่ไปคารวะศพ พออาตมาเจอหน้าท่าน รื้อฟื้นความหลังท่านก็จำได้ทันที แต่ก็อย่างว่า..อาตมาเดินคู่กับท่านแล้วน่าเกลียด เพราะท่านสูงไม่ถึงไหล่ ถ้าท่านนั่งอยู่จะรู้สึกว่าองค์ท่านใหญ่ แต่พอยืนแล้วเหลือนิดเดียว ตอนนี้ท่านเส้นโลหิตในสมองแตก นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาเป็นเดือนแล้ว ข่าวคราวก็ไม่ออกเลย ท่านไปสร้างวัดถวายในหลวงอยู่ที่สระบุรี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อวัดมงคลชัยพัฒนา อยู่ที่ ต.ห้วยบง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เคยแวะเยี่ยมท่านที่โน่นครั้งหนึ่ง ครูบาอาจารย์ก็เจ็บไข้ได้ป่วยล่วงลับกันไปเรื่อย ๆ ที่เหลืออยู่ก็โตไม่ทันใช้ โดยเฉพาะทางกาญจนบุรี |
ที่กาญจนบุรีเดี๋ยวนี้พระเกจิอาจารย์เด่น ๆ แทบจะไม่มีเลย พอสิ้นหลวงพ่อลำใย หลวงพ่ออุตตมะแล้วก็เงียบสนิท ที่ดังขึ้นมาก็ดังเฉพาะพื้นที่อย่างหลวงปู่ทองศุข วัดท่าตะคร้อก็เพิ่งมรณภาพไป พระอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดก็โดนอธิกรณ์จนต้องลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไป พระอาจารย์วัชระนั่นอบรมเจ้าอาวาสรุ่นเดียวกับอาตมา
เรื่องของผู้หญิง ถ้าพระเราไม่รู้จักระมัดระวังจะเสียหายง่ายมาก เพราะคนมักจะจ้องจับผิดอยู่แล้ว ท่านเองไปเที่ยวต่างประเทศ ที่เขาถ่ายรูป คนถ่ายอ้างว่าเดินจับมือกันไป แต่จากรูปที่ออกมาเป็นรูปที่ถ่ายทางผู้หญิงซึ่งบังองค์ท่านอยู่ เห็นแต่ศีรษะ แล้วจะรู้หรือว่าจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ? แต่ท่านก็ดี..พอมีเรื่องขึ้นมา เจ้าคณะอำเภอบอกให้ลาออกเสียก่อน พอเรื่องซาแล้วค่อยว่ากันเรื่องตำแหน่งใหม่ ท่านก็ลาออก ไม่อย่างนั้นวัน ๆ คนก็แห่ไปหาท่านเยอะแยะ เพราะว่าท่านสาวน้ำตาเทียนดูโชคชะตาให้ รู้สึกว่าถ้าเป็นพระหมอดูนี่คนจะขึ้นเยอะ เพราะต้องการที่พึ่ง อาตมาเลิกดูหมอได้นี่โล่งใจไปเลย ตอนนี้วัดใกล้ ๆ กันก็คือวัดอู่ล่อง แต่เดิมก็คือสำนักสงฆ์โชคผาสุกิจ ต้องบอกว่าเป็นคู่เขยกัน ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๒ ตำบลอื่นอิจฉาเพราะว่าในอำเภอทองผาภูมิแล้ว ๒ รูปนี้มีโยมไปหามากที่สุด ทางด้านโน้นเขาจะดูหมอ พอดูแล้วท่านจะให้โยมมาแก้บนที่วัดท่าขนุน น่าฆ่าให้ตาย...! ที่มาแก้บนวัดท่าขนุนก็คือต้องมาจุดเทียนบูชาพระที่วัดท่าขนุน แล้วน่าจะประมาณเทียนเท่าอายุ เขาก็จะปักเต็มถาดแล้วจุดไปวางไว้บนพรมในโบสถ์ อาตมาเห็นแล้วร้องจ๊ากเลย บอกพระที่วัดว่าคุณอย่าไปคิดว่าอยู่บนถาดแล้วจะไม่ไหม้นะ เพราะพรมส่วนใหญ่สมัยนี้เป็นพวกใยสังเคราะห์ โดนความร้อนหน่อยก็ไหม้เหมือนกัน ท่านก็ประหลาดคนดีเหมือนกัน ดูหมอที่วัดแต่ให้เขามาแก้บนที่วัดท่าขนุน แต่ละวันทางเราก็เก็บเศษเทียนไปเถอะ |
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่จะไปเป็นอาจารย์สอนพระนิสิตว่า "ถ้าไปเป็นอาจารย์สอนก็ให้ใช้หลักแบบผม เรื่องวิชาการใครก็ยัดให้เขาได้ แต่เรื่องของคุณธรรมเราจะทิ้งไม่ได้เลย คุณจะสังเกตว่าทำไมถึงเวลาแล้วเขาเรียกร้องให้ผมไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ก็เพราะว่าเวลาผมสอนในชั่วโมง ผมจะไม่ลืมตบท้ายเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นพระหรือพระธรรมวินัย จะเตือนสติพวกเขาไว้บ่อย ๆ เพราะว่าบางคนพอเรียนแล้วก็เหลิง เตลิดเปิดเปิงตามเพื่อนตามฝูง หรือไม่ก็ที่วัดตัวเองครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรมเลย
ในเมื่อไม่ได้อบรมเลย พอถึงเวลาผมบอกว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรไม่ถูกไม่ควร จะต้องปฏิบัติอย่างไร เขาเองได้ประโยชน์กันเยอะ ถึงเวลาก็ไม่อยากได้พระอาจารย์ท่านอื่น ถึงได้บอกว่าเวลาผมไปนี่ เรื่องสอนผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไรหรอก เพราะว่าวิชาการต่อให้ผมไม่สอนเขาก็ค้นคว้ากันเองได้ สำคัญที่สุดก็คือเน้นย้ำเรื่องความเป็นพระของเรา แต่ว่าถ้าไปเน้นมากก็กลายเป็นว่ายัดเยียดให้เขาจนเกินไป ทำอย่างไรที่จะพอเหมาะพอดีจึงจะสมควร" |
ถาม : ผมอ่านในธรรมบท สำรับกับข้าวที่จัดไว้ถวายพระแล้วมีแมวแอบคาบไปกิน จะมีโทษแบบกากเปรตไหมครับ ?
ตอบ : ก็เป็นวิฬารเปรต เขามีกากเปรตอันนี้ก็ต้องเป็นวิฬารเปรต ดูท่าจะหนักกว่ากากเปรตนะ กากเปรตเขายังไม่ถวายพระ แต่กรณีนี้ถวายแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ..เรื่องของสัตว์โทษไม่หนักเท่าคน ถ้าเป็นคนก็ลงอเวจีมหานรกเลย สัตว์ไปแค่เปรต ถ้าเมตตาก็ช่วยกันให้เขาหน่อย เอาฝาชีอะไรมาครอบไว้ สัตว์เขาถือว่าสิ่งที่เขาเจอเป็นของเขา ซึ่งหลักการเป็นคนละเรื่องกับคนเรา ในเมื่อเขาเจอเขาเป็นเจ้าของเขาก็จัดการสิ กลายเป็นว่าไปกินของสงฆ์เข้า |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนกำลังฉันอยู่ โยมที่ดูแลเรื่องอาหารก็ยกพรวดออกไป อะไรวะ ? ถึงจะเป็นส่วนเกิน อาตมาไม่ได้ฉันก็เถอะ แต่พระยังฉันไม่เสร็จก็ไม่ใช่ของเหลือนะ ไม่ใช่ไปตีความว่า ไหน ๆ พระก็ไม่ได้ฉันแล้วจึงยกออกไปก่อน แบบนั้นก็หาเรื่องซวย ต้องฉันเสร็จแล้วจึงถือว่าเป็นวิทาสาโท คือเป็นของเหลือ แต่ถ้าฉันไม่เสร็จ เห็นว่าอย่างไรพระก็เอื้อมไม่ถึงแล้วยกออกเลย คนกินต่อก็ซวยไป
ทำอะไรไม่ค่อยจะถาม ตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ตัดสินใจทีไรโดนทุกทีแหละ..!" |
ถาม : พระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสสมาแล้วมาบอกเรา จะถือว่ายังปกปิดอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกเรา เราก็รายงานต่อสิครับ จริง ๆ แล้วมาบอกเราไม่ได้ ต้องบอกท่านที่รับผิดชอบคือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ถ้าท่านไม่ใช่เจ้าอาวาสก็ต้องรายงานเจ้าอาวาส ถาม : ถ้าโดนอาบัติสังฆาทิเสสแล้วระหว่างที่อยู่ปริวาสไปโดนซ้ำอีก ? ตอบ : ปุนัปปุนัง เริ่มต้นนับใหม่ ถาม : บวชรอบหลังจะเป็นพระหรือครับ ? ตอบ : ยังไม่ทันที่จะเก็บของเก่าเสร็จเลยก็ไปผิดซ้ำแล้ว เขาเรียกว่าปุนัปปุนัง คือโดนแล้วโดนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักเข็ด ท่านก็ปรับหนักกว่าเดิมอีก ถ้าสึกไปแล้วบวชใหม่ก็ราคาดีกว่าเณรหน่อยเดียว บวชแล้วต้องรีบไปเข้าปริวาส ครบตามโทษที่ได้รับแล้ว คณะสงฆ์จะสวดอัพภานคืนความเป็นพระให้ ถาม : แล้วถ้านับใหม่ ก็คือ เอาโทษเก่ากับโทษใหม่รวมกันใช่ไหมครับ ? ตอบ : ของเก่าเท่าไรบวกกับของใหม่อีก ๖ วัน ๖ คืน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:09 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.