กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4538)

เถรี 14-08-2015 11:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ปีนี้ครูบาเหนือชัยคงมาไม่ได้ ท่านบอกว่าแขนขาเริ่มใช้งานได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องอาศัยไม้เท้าค้ำอยู่ ขอรักษาตัวให้ดีกว่านี้ก่อน ส่วนหลวงป๋าวิวัฒน์เป็นมะเร็งกระดูก นั่งนานไม่ได้ นั่งรถไกล ๆ เดี๋ยวแย่ ก็คงไม่ได้มาแล้ว ๒ รูป

มีใหม่อยู่รูปหนึ่ง ก็คือ ท่านเอกลักษณ์ วัดปากน้ำโจ้โล้ รายนี้เป็นพระหมอดู คาดว่าจะเป็นขวัญใจของญาติโยม เพราะนิยมดูหมอกันเหลือเกิน เห็นท่านตั้งใจทำงาน ก็เลยว่าจะช่วยสนับสนุนท่านหน่อย ท่านอื่น ๆ ก็แล้วแต่ภารกิจ เพราะส่วนใหญ่เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล ถึงวันแม่แม้จะไม่มีงานก็ต้องพยายามทำให้มีเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้านายจะหาว่าไม่สนองนโยบาย"

เถรี 14-08-2015 11:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางต้นสังกัดจะให้อาตมาขอผู้ช่วยศาสตราจารย์ปีนี้ บอกไปว่ายังไม่มีอารมณ์ ได้หลายอย่างแล้ว เซ็งโลกมากเลย คนที่ไม่อยากได้ก็ยัดเยียดมาจริง ปีนี้อาตมารับตำแหน่งเจ้าคณะตำบล รับปริญญาเอก แล้วก็กำลังจะสอบพระอุปัชฌาย์ แค่นี้ก็ปวดกบาลพอแล้ว

วันก่อนไปสอบพระอุปัชฌาย์รอบอำเภอ อุตส่าห์อ่านตำราอย่างคร่ำเคร่งอยู่ ๓ วัน ตำราเล่มนั้น ชื่อ จาเหวินปิน นักพรตเต๋าคนสุดท้าย อ่านเสร็จแล้วก็ไปสอบพระอุปัชฌาย์ จะทำอย่างไรได้ คนสอบรู้ดีกว่ากรรมการ ท้ายสุดรองเจ้าคณะอำเภอก็ว่า “นิมนต์กลับเถอะ สอบไปก็เท่านั้นแหละ” ว่าอย่างนั้น รู้มากกว่ากรรมการก็ลำบาก กรรมการเขาเกรงใจ

พระอุปัชฌาย์เขาสอบกัน ๔ รอบ รอบที่ผ่านไปเป็นรอบอำเภอ เดี๋ยวมีรอบของจังหวัด รอบของภาค แล้วก็เข้าส่วนกลาง มีแต่คนยุให้ไปขอพระอุปัชฌาย์วิสามัญ สอบเองเมื่อไรก็ได้ จะไปขอให้เสียชื่อทำไม"

เถรี 14-08-2015 11:22

ถาม : ก่อนที่รับจะยอมจำนนต่อกฎของกรรม เราต้องสู้ ถ้าสู้ไม่ได้ต้องหนีไปที่อื่นก่อนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ..! จะหนีไปไหนกฎของกรรมก็อยู่กับเรา ต้องบอกว่ามั่วไปเรื่อย เรื่องทุกข์เรื่องกรรมจะหนีไปไหนพ้น เพราะอยู่กับตัวเรา ให้สู้ไปเรื่อย อย่ายอมจำนนแล้วกัน ชาตินี้สู้ไม่ได้ ชาติหน้าก็สู้ต่อ

ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมหลาย ๆ อย่าง ดูเหมือนจะเป็นกรรมที่บังคับให้ผมเป็นกะเทยครับ ถ้าผมจะหนีกรรมตรงนี้ได้ ต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญาที่ทรงตัวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่เป็นใครจะบังคับให้เป็นได้อย่างไร ? ยังไม่เคยเจอเรื่องบังคับให้เป็นเลย ยกเว้นเข้าคุกไปแล้วโดนนักโทษบังคับให้เป็น..!

เถรี 14-08-2015 11:23

ถาม : คนที่เจอข้อสอบที่หนักกว่าชาวบ้านเขา อุปสรรคที่หนักกว่าชาวบ้านเขาเป็น ๒ เท่า แสดงว่าบารมียังอ่อนอยู่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บารมีมากกว่าเขาอย่างน้อย ๒ เท่า ถ้านักเรียนความรู้ในการเรียนยังไม่ถึง เขาจะออกข้อสอบมาให้ทำไมเล่า ? เด็กจบ ป.๔ จะออกข้อสอบปริญญาตรีให้แล้วจะทำได้ไหม ? ในเมื่อออกมาหนักกว่าคนอื่น แปลว่ากำลังเราต้องมากกว่าคนอื่น ควรที่จะภูมิใจเสียด้วยซ้ำไป

เถรี 14-08-2015 13:33

ถาม : ถ้ามีน้ำผลไม้เป็นน้ำกล่อง เป็นน้ำผลไม้รวม แต่ว่าไม่มีสัปปะรด ฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาอนุโลมให้ก็ฉันไปเถอะ ถ้าไม่ถึงกับขนาดฟาดทีละครึ่งโหล..! ต้องดูโภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในการกิน) ด้วย แต่ว่าปัจจุบันนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวมากเลยก็คือเรื่องของน้ำตาล คนไทยบริโภคน้ำตาลมากกว่าชาวโลกประมาณ ๓ เท่า จนกระทั่งติดหวานกันทั้งประเทศแล้ว เดี๋ยวนี้น้ำพริกก็หวาน แกงส้มก็หวาน ต้มยำก็หวาน ส้มก็บอกชัด ๆ ว่าเปรี้ยว แต่ดันกลายเป็นหวาน ตักใส่ปากอาตมาต้องวางทุกที แล้วก็บรรดาน้ำผลไม้อะไรที่ว่านั่น เขาก็ต้องผสมน้ำตาลทีละมาก ๆ ปรุงแต่งรสให้หวานถูกปากถูกใจเขา แล้วจะไม่ให้เบาหวานจงเจริญได้อย่างไร

ถาม : ถ้าผ่านความร้อนถือว่าผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราจะเอาตามพระวินัยทุกอย่าง บางทีก็ไม่ต้องหาอะไรไปถวายพระเลย ที่ท่านไม่ให้ผ่านความร้อนเพราะว่าเกรงว่าจะเสียวิตามินไปหมด ในเมื่อปัจจุบันนี้เขาไม่สนใจวิตามินก็แล้วกันไปเถอะ

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือนมเปรี้ยว นมเปรี้ยวเป็นเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลมากที่สุด เพราะต้องการปรุงรสไม่ให้เปรี้ยวมาก ถ้าใครเคยกินนมเปรี้ยวที่ยังไม่แต่งรส จะรู้ว่าเปรี้ยวจนกลืนไม่ลง พระนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่อินเดีย เจอนมเปรี้ยวขนานแท้บางทีถ่ายท้องไป ๓ วัน แต่แขกเขากินกันอย่างนั้น เขากินพวกนมเปรี้ยวกันเป็นปกติ นมเปรี้ยวของเขาแค่รีดใส่หม้อดิน เอาผ้าปิดวางไว้มุมห้องนั่นแหละ พอขึ้นฟองฟอดแล้วก็เอามากินกัน

เถรี 14-08-2015 14:40

ถาม : ที่ว่าอุบาสกไม่ควรค้าขาย ๕ อย่าง ค้าอาวุธ ค้าน้ำเมา ปวัตตมังสะถือว่าเป็นการค้าเนื้อสัตว์ ไม่ควรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่ว่าไม่ควรเพราะพระพุทธเจ้าท่านเกรงพวกปากหอยปากปูจะก่อกรรมกันเยอะ ไปนินทาว่า "ไหนเอ็งถือศีลแล้วมาขายของอย่างนี้ ? ไหนบอกว่าเอ็งเป็นพุทธมามกะไม่เบียดเบียนใคร ทำไมไปขายอาวุธ ?" ก็เขาไม่ได้สั่งนี่ว่าให้เอ็งเอาไปยิงกบาลคนอื่น..!

ในเมื่ออาจจะเกิดเรื่องอย่างนี้พระพุทธเจ้าถึงได้ห้ามไว้ เพราะถ้าหากไม่ห้ามไว้ บางท่านเป็นพระโสดาบันแล้วขายอยู่ ก็เท่ากับนินทาพระ ด่าว่าพระอยู่ตลอดเวลา จะสร้างความเดือดร้อนให้เขามากกว่าที่คิด พระองค์ท่านเลยห้ามทำเลยจะได้หมดเรื่อง ขายสุราเรามีหน้าที่ขาย เราไม่ได้ไปบีบปากแล้วกรอกใส่ปากเขาไปนี่หว่า..!


ถาม : คนที่ไปซื้อเนื้อสัตว์ถือว่าไปสนับสนุนมิจฉาวณิชชาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าสนับสนุนก็ได้ แต่ถึงคุณไม่ซื้อเขาก็ขายอยู่ดี ปวัตตมังสะ คนเราขายกันมากี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ ต่อให้คุณไม่ซื้อเขาก็ขายกันเต็มตลาด

ถาม : เขาแปลมาว่า มีชีวิตแล้วทำให้ตายเพื่อเอามาขาย ?
ตอบ : คุณไปดูสิ จะมีชีวิตทำให้ตายเอามาขาย หรือว่าตัวเป็น ๆ ไปทำให้ตายทีหลังก็ราคาเดียวกัน ทำให้ชีวิตสัตว์นั้นตกล่วงไป แต่คราวนี้เขาไม่เข้าใจในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ ก็คือว่าใครทำก็เป็นกรรมของคนนั้น เพราะฉะนั้น..คนฆ่ารับไปเต็ม ๆ ส่วนคนกินถ้าไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่เห็นว่าเขาทำเพื่อเรา ไม่รังเกียจว่าเขาทำเพื่อเรา พูดง่าย ๆ คือไม่ติดใจ ก็กินไปเถอะ

เพียงแต่ว่าคนที่ไม่รู้จะตำหนิเอาได้ว่า เป็นพุทธมามกะแล้วไปทำลักษณะอย่างนี้ เท่ากับสนับสนุนให้เขาฆ่า คนที่เขาไม่เข้าใจตรงนี้ก็จะพูดแบบคุณ ก็คือว่าไปสนับสนุนให้เขาฆ่า ลองเลิกกินเนื้อทั้งกรุงเทพฯ ดูซิว่าเขาจะขายได้ไหม ? ก็ขายได้อยู่ดี เลิกทั้งประเทศไทยเขาก็ยังขายกันทั่วโลก

เรื่องบางอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พระพุทธเจ้าทรงรู้จริง เพราะเข้าถึงยถากัมมุตาญาณอย่างลึกซึ้ง ท่านเห็นว่าใครทำก็เป็นกรรมของคนนั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่า “เจ๊...พรุ่งนี้เอาไก่ ๕ ตัว ช่วยจัดให้ด้วยนะ” ถ้าอย่างนี้เรียบร้อยแน่ อย่างนี้ก็คือเราสนับสนุนเขาให้ฆ่าแน่ ๆ


ถาม : จะเข้าข่ายกตัตตากรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่...กตัตตากรรมก็คือสิ่งที่เราทำไปด้วยการขาดเจตนา อย่างเช่นว่า เด็ก ๆ ยังไม่รู้ภาษา แม่บอกว่าไหว้พระนะลูก ก็ยกมือขึ้นไหว้ ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าพระคืออะไร อันนั้นเรียกกตัตตากรรม

ถาม : เจตนาเป็นตัวกรรม ?
ตอบ : เจตนาเป็นตัวกรรม แต่กตัตตากรรมถึงไม่มีเจตนาการกระทำก็เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าผลของการกระทำตัวนี้ผลเกิดน้อยมาก กรรมทุกหมวดทุกประเภทถ้าไม่ให้ผล กตัตตากรรมจึงจะให้ผล ในเมื่อไม่ได้เจตนาทำ เขาก็ไม่ได้เจตนาที่จะสนอง

เถรี 14-08-2015 14:48

ถาม : ในกายคตาสติ เช่น นิมิตผม ปฏิภาคนิมิตเขาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : อาตมาทำไม่ถึง แต่คาดว่าคงจะลักษณะเดียวกันก็คือ พอเป็นปฏิภาคนิมิตที่ติดตาก็คงจะเห็นเหมือนของจริงเลย เพียงแต่ว่าเป็นของจริงที่นิ่งอยู่ ไม่ได้เคลื่อนไหวเท่านั้น

ถาม : ที่เขาบอกว่า ถึงกายคตาสติย่อมได้อภิญญาด้วย ?
ตอบ : ความจริงคำว่า "อภิญญา" อาตมาอยากจะตีความว่าเป็นการได้มรรคได้ผล อภิคือยิ่งกว่า อัญญาคือความรู้ ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการเข้าถึงมรรคผล

ดังนั้น..การที่เราจะได้มรรคได้ผล เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อาตมาถือว่ายิ่งกว่าอภิญญาเสียอีก ในเมื่อท่านว่าถึงกายคตาสติ ซึ่งท่านหมายเอาพระอนาคามีกับพระอรหันต์ คิดว่าใช้คำว่าอภิญญาเป็นเรื่องที่น้อยไปเสียด้วยซ้ำ

เถรี 14-08-2015 14:53

ถาม : ในการเข้าสมาบัติ ถ้าได้ปฐมฌานก็ได้ยินเสียง ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ แม้กระทั้งฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ได้ยิน เพียงแต่ว่าจิตที่ละเอียดถึงระดับนั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะสนใจไหม ? ถ้าไม่สนใจก็นิ่งอยู่ข้างใน แต่ถ้าเป็นอย่างหยาบจะไม่รับรู้อาการภายนอกเลย

ฌาน ๔ มีหยาบกับละเอียด ถ้าอย่างหยาบจะไม่รับรู้อาการภายนอก แต่ถ้าละเอียดจริง ๆ สามารถรับรู้ได้ แบบเดียวกับที่บอกว่าถึงเวลาแล้วไม่มีลมหายใจ ถ้าสภาพจิตละเอียดจริง ๆ จะมีลมละเอียดอยู่นิดหนึ่ง ต้องบอกว่าบางอย่างกับใยแมงมุม แต่ด้วยความที่สภาพจิตละเอียด และลมละเอียดที่บางอย่างกับเส้นของใยแมงมุม ก็เลยรู้สึกว่าใหญ่เหมือนกับต้นเสา ทำให้สามารถเกาะได้แน่วแน่และมั่นคง

เรื่องพวกนี้บางทีเป็นสมาธิในการฝึก หรือว่าเป็นสมาธิในการใช้งาน สมาธิในการใช้งานต้องรับรู้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นก็ใช้งานไม่ได้

เถรี 15-08-2015 10:18

ถาม : การถอดจิตอยู่ในวิชชาใด ?
ตอบ : อยู่ในหมวดของอภิญญา จัดอยู่ในส่วนของมโนมยิทธิ เพียงแต่ว่าในส่วนของการถอดจิตนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า การรู้เห็นไม่ใช่การถอดจิต การรู้เห็นเป็นแค่ทิพจักขุญาณ การถอดจิตก็คือสมมติว่าเราเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ นั่นเป็นแค่ทิพจักขุญาณ แต่ถ้าเราสามารถไปที่นั่นได้คือการถอดจิต ก็คือการยกกายในไป

ถาม : ในอภิธรรมไม่ได้มีกล่าวไว้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่ารอให้ท่านปฏิบัติมากกว่านี้หน่อยแล้วจะอธิบายให้ฟัง อาตมาเองระยะหลัง ๆ จะมีวิชาหนึ่งที่สอนพระนิสิต ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติ เห็นจุดที่ผิดเยอะมากเลย ในเมื่อเห็นที่ผิดเยอะ ถึงเวลาก็ต้องบอกลูกศิษย์ว่าตำราเขาว่ามาอย่างนั้น พอถึงเวลาเขาออกข้อสอบมาก็ตอบตามตำราไป แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ต้องอธิบายให้เขาฟังอีกแบบหนึ่ง

อย่างที่เรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาบอกว่ามี ๒ อย่างเท่านั้นที่เป็นวิปัสสนาญาณ ก็คือ รูป เปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจน เวทนาเป็นความทุกข์อย่างชัดเจน แล้วเขาก็บอกว่าตัวอื่นเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ? สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงไหม ? เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์..ใช่ไหม ? ในเมื่อเป็นทุกข์แสดงว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นอนัตตา..ใช่ไหม ?

ส่วนใหญ่ท่านที่เขียนตำรา ท่านไปตีความเอาตามที่อ่าน ท่านไม่ได้ทำ ในเมื่อท่านไม่ได้ทำ ถึงเวลาอาตมาไปเจอที่ผิดเข้า ก็ต้องอธิบายให้ลูกศิษย์รู้ว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้าเขาถามมาคุณต้องตอบอย่างนั้น ถ้าตอบอย่างนี้ก็สอบตก เป็นอะไรที่เครียดมากเลย

ขนาดอาตมาดันเอามโนมยิทธิเข้าไปในธรรมะภาคปฏิบัติได้ แต่เขาก็ไม่ให้เขียน เขาไปเอาบรรดาอาจารย์จาก มจร.ของหน่วยอื่นมาช่วยกันเขียน แล้วออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ มีแต่ชื่อมโนมยิทธิ แต่ของจริงเกือบจะไม่ใช่เลย

เถรี 15-08-2015 10:23

ถาม : ในพระไตรปิฎกบอกว่า มโนมยิทธิคือเนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : อันนั้นก็คือคำอธิบายที่แปลออกมาตรง ๆ แบบที่เราเรียกว่าถอดจิตนั่นแหละ ก็คือมโนมยิทธิ แปลตรง ๆ ตามรากศัพท์ จนมาถึงยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง สิ่งที่เราแปลตามรากศัพท์ความหมายอาจจะไม่ใช่

แบบเดียวกับในสังคหวัตถุ สมานัตตตาเขาแปลว่ามีความเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งอาตมายืนยันว่าแปลผิดมาตั้งแต่ต้น สมานัตตตาควรจะแปลว่าเสมอด้วยตนเอง ก็คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่ชอบอย่างไรเราก็อย่าทำอย่างนั้นกับเขา เราชอบอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้นกับเขา คนถึงได้รักเรา เพราะว่าสังคหวัตถุคือสิ่งที่เราสงเคราะห์ จะเป็นเครื่องโยงให้เกิดความรักความสามัคคีกัน ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลายแล้วใครจะไปรัก ?


ถาม : แต่มโนมยิทธิเต็มกำลังก็ถอดจิตนี่คะ ?
ตอบ : จะเต็มกำลังหรือครึ่งกำลังก็เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่คนที่ไม่เข้าใจก็ไปแยกอีกว่านี่เต็มกำลัง นี่ครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เหมือนกัน เพียงแต่มโนมยิทธิเต็มกำลังจะมีความคล่องตัวกว่า มีความชัดเจนกว่าเท่านั้น

เถรี 15-08-2015 10:28

ถาม : อย่างพระจูฬปันถกะ เป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิ ?
ตอบ : ต้องยกให้ท่านคนหนึ่ง เพราะว่าท่านเป็นเอตทัคคะจริง ๆ ก็คือสามารถสร้างตัวตนอื่น ๆ อีกเป็นพันให้คนอื่นเขาเห็นพร้อม ๆ กัน แต่ละคนยังทำงานต่าง ๆ กันไปด้วย ถ้าอย่างนี้สบาย วัดวาอารามไม่รกหรอก ช่วยกันกวาดช่วยกันถู

ถาม : ที่ว่าเป็นมโนมยิทธิจริง ก็คือ เนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : นั่นแหละของแท้เลย ของพวกเรานี่ยังไม่แท้หรอก ของพวกเรานี้น่าจะเรียกว่ามโนมยิทธิไม่ถึงครึ่งกำลัง ถ้าเต็มกำลังจริง ๆ ต้องเป็นตัว ๆ อย่างนั้นเลย

ถาม : ต้องได้รูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบว่าท่านได้อะไรบ้าง แต่ท่านทำได้

ถาม : ผลของมโนมยิทธิก็คือตัดร่างกาย ?
ตอบ : ผลที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา จริง ๆ เป็นแค่เปลือกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น สภาพจิตที่จะยึดติดร่างกายก็เลยมีน้อยลง ส่วนอีกอย่างก็คือ เมื่อรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เอากายในไปอยู่ที่นั่นเลย หมดเรื่องหมดราว ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ไหนอีก

เถรี 15-08-2015 10:49

ถาม : ทำไมจึงมีคำว่า สุญญตนิพพาน ?
ตอบ : อาตมาไม่ค่อยได้ศึกษาตำรา จึงไม่ค่อยเข้าใจ สุญตา คือสภาวะจิตที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากเข้าถึงสุญตาจริง ๆ คือการเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ถามว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน ? อยู่กับคุณนั่นแหละ เพียงแต่คุณจะเข้าถึงไหม ?

เถรี 15-08-2015 11:05

ถาม : เมตตากรรมฐาน ต้องได้ถึงฌาน ?
ตอบ : เมตตาโดยทั่ว ๆ ไปได้แค่อุปจารสมาธิ ถ้าจะให้ถึงฌาน เมื่อแผ่เมตตาแล้วต้องจับอานาปานสติต่อ

เถรี 15-08-2015 11:23

ถาม : หุ่นพยนต์มีการสร้างขึ้นมา เป็นจริงไหมครับ ?
ตอบ : เขาทำกันมาทุกยุคทุกสมัย

ถาม : ท่านจะทำไหมครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวรอดูก่อนว่ามีฤกษ์ไหม ? สำคัญตรงฤกษ์ อาตมาศึกษาตำรามาแล้ว ปรากฏว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านเคยลองสร้างดู แต่ไม่มีฤกษ์ตรงตำรา ท่านก็เลยเสกแค่กระดิกได้ แต่ว่าเป็นตัวไม่ได้

ถาม : เสกไว้ก่อน พอถึงฤกษ์แล้วค่อยปลุก ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ทีเดียวจบ ถึงเวลาก็ปลุกขึ้นมาใช้งาน

ถาม : ถ้าคนเสกตายไปแล้ว ?
ตอบ : เป็นการบังคับไว้ด้วยพลังจิต จะตายก็ตายไป ไม่เกี่ยวกัน

ถาม : แล้วหุ่นพยนต์ใครจะคุมคะ ?
ตอบ : ก็ถ้าเราคิดจะใช้ก็คุมเองสิวะ

ถาม : ถ้าคนคุมตาย ?
ตอบ : ให้ดูอย่างตามแหล่งสำคัญต่าง ๆ บางที ๔๐๐-๕๐๐ ปีแล้วก็ยังใช้งานได้อยู่ คนทำตายไปตั้งกี่ชาติแล้ว

ถาม : เขารับคำสั่งไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าเขาอธิษฐานสำทับไว้ด้วยกำลังของอภิญญา คนทำจะตายก็ตายไป ไม่ได้เกี่ยวกับเวลา

ถาม : ควายธนูไม่ต้องดูฤกษ์ยามไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องดูฤกษ์ยาม แต่ก็ใช้วัสดุเฉพาะเหมือนกัน

เถรี 15-08-2015 14:18

พระอาจารย์ถามเจ้าหน้าที่ผลิตวัตถุมงคลว่า "บล็อกตะกรุดมหาสะท้อนยังอยู่ไหม ? จะได้ทำเนื้อทองคำสักชุดหนึ่ง เมื่อเช้าไปเขี่ย ๆ ดูในกระทู้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่ามีคนอยากได้เยอะ ทำเนื้อทองคำสัก ๓๐๐ ดอกก็พอ"

เถรี 15-08-2015 14:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนอาตมาท้องเสีย ตื่นมาถ่ายตั้งแต่ตีหนึ่ง รู้สึกว่ายังปวดท้องจะถ่ายอีก ก็เลยนอนไม่ได้ ต้องมานั่งตรวจดูกระทู้จองวัตถุมงคลเก่า ๆ จัดการ "แบน" ไป ๓๐ กว่ารายชื่อ ประเภทไม่ยอมมาแก้ไขที่ผิด เพราะเห็นว่าชื่อตัวเองขึ้นบัญชีแล้ว ส่วนใหญ่แล้วก็คือพิมพ์ผิดบ้าง ใช้เลขอารบิกบ้าง แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ยอมมาแก้ ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่เขาแจกใบแดงไปแล้ว

บางคนก็โดนแบบไม่น่าโดน คือแทนที่จะไปแก้ข้อความเก่าดันมาพิมพ์ใหม่เลย ฉะนั้น..ถ้าอยู่ ๆ รายชื่อหายไปแล้วมีใครถามมา ให้บอกว่าไปหาชื่อใหม่มาสมัครเลยนะ เพราะว่าแบนรายชื่อไปแล้ว คาดว่าคงกลับไปใช้ใหม่ไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ก็เขียนเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่มาแก้ไขจะต้องจำไปตลอดชีวิต แล้วก็ลงเอาไว้ตั้ง ๒-๓ กระทู้ให้ดูเป็นตัวอย่าง แสดงว่าเขาอยากจำไปตลอดชีวิต"


ถาม : แล้วตะกรุดมหาสะท้อนที่เหลือ ?
ตอบ : เหลือเอาคืนมา เดี๋ยวจะขึ้นเป็นดอกละหมื่น…! เรื่องตะกรุดทองคำต้องมีคนไปบนพระหรือว่าไปบ่นกับพระแน่เลย ไม่รู้ว่าบนหรือบ่น

ส่วนรายชื่อที่โดนแบน ถ้ามีใครเขาสอบถามมาให้มัคคนายกตอบไปนะว่า ที่โดนแบนไปเพราะอาจารย์ขี้แตกก็เลยหงุดหงิด..! โดนไป ๓๐ กว่าราย ไม่นึกเลยว่าจะมักง่ายกันขนาดนั้น พยายามจะสอนให้ทำอะไรละเอียดขึ้น สภาพจิตจะได้ละเอียดขึ้น ที่ไหนได้..ประเภทลงกระทู้แล้วทิ้งเลย ขนาดแจกใบแดงยังไม่กลับมาแก้ เพราะว่ากระทู้ของทิดซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ) เขาเมตตามาก คนจองก็ลงให้ เห็นมีชื่อในบัญชีแล้วก็เลยไม่มาแก้

เถรี 15-08-2015 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “การได้ทำอะไรที่ชอบแล้วจะมีความสุข โดยเฉพาะถ้าเป็นงานที่เราชอบแล้วจะมีความสุขมากเลย บางคนก็สงสัยว่าคนโน้นเขาทำงานหนักมาก แต่ทำไมดูเขามีความสุขจัง เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขารักนั่นเอง”

เถรี 15-08-2015 14:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระครูหน่อยท่านจัดงานวันที่ ๑๒ สิงหาคม ตอนเย็น จัดงานอย่างกับว่าพระอาจารย์ยังไม่แก่ ท่านบอกว่า “เดี๋ยวเสร็จงานแล้วหลวงพ่อรีบวิ่งไปงานผมเลยนะครับ” กลัวอยู่อย่างเดียวว่าเสร็จงานก็หมอบกระแตไปแล้วนะสิ"

เถรี 15-08-2015 14:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเลิกกรรมฐาน พวกเรากลับกันหมดแล้วมีโยมมาคณะหนึ่ง บอกว่าเกิดอุบัติเหตุเลยมาช้า อาตมาก็ว่าทำไมตูขึ้นไปแล้วถึงต้องลงมาใหม่ ต้องมานั่งรับพวกเขานี่เอง แต่ก็โชคดีว่าทั้งครอบครัว ๕ คนไม่มีใครเป็นอะไร คาดว่ารถก็คงมีประกันซ่อมให้"

เถรี 15-08-2015 14:45

ถาม : นิมิตกสิณที่เป็นกสิณไฟ จะปรากฏเฉพาะตรงหน้าคนทำหรือเปล่า ?
ตอบ : ปฏิภาคนิมิตสามารถปรากฏให้คนอื่นเห็นได้ สามารถใช้งานจริงได้ แต่ถ้าอุคหนิมิตยังเห็นอยู่คนเดียว

เถรี 15-08-2015 14:55

ถาม : ถ้าเราออกจากบ้าน ขอให้ภุมมเทวดาดูแลปกปักรักษาเรา ควรจะบอกอย่างไร ?
ตอบ : บอกแบบเด็กขอให้ผู้ใหญ่ช่วย

ถาม : ต้องกำกับด้วยคาถาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยใช้ จะใช้คาถาหลวงพ่อโอภาสีก็ได้ "อิติ สุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"

เถรี 15-08-2015 14:59

ถาม : เทวดาชั้นสาม จะขึ้นไปชั้นพรหมได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าได้รับอนุญาตก็ไปได้ แต่อยู่ไม่ได้

ถาม : แล้วที่เป็นรูปพรหม จะไปอยู่ชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สร้างเหตุมาอย่างนั้น

เถรี 15-08-2015 15:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาทำอาคารต้อนรับพระเถระเสร็จไม่ทัน เพราะว่าในส่วนของห้องน้ำต้องมาต่อเพิ่มทีหลัง แล้วช่างเขาก็ติดงานอยู่ เขาเพิ่งจะปูพื้นชั้น ๒ ของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายเสร็จ แล้วก็ติดม่านให้ ม่านที่ติดไปก็ยังไม่เรียบร้อย ต้องให้เขาถอดออกก่อน ๓ ชุด ช่วงที่ถอดออกก็คือจุดที่จะตั้งมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ เนื่องจากว่าพอประกอบแล้วยังต้องมีการขัดแต่งอีก ถ้าติดม่านเอาไว้แล้วต้องอมฝุ่นแน่ ๆ

อาตมากำลังจะจ่ายเงินงวดที่ ๔ ของการสร้างมณฑปให้เขาอยู่ เพราะว่างานงวดที่ ๓ ยังไม่เรียบร้อย แต่ว่างวดที่ ๔ เรียบร้อยแล้ว งวดที่ ๔ เป็นรายละเอียด ช่างแกะลายแกะเร็วกว่า แต่ว่าช่างที่ประกอบชิ้นส่วนใหญ่ทำไม่ทัน พอเขาขอเบิกงวดที่ ๔ มา ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ เบิกงานงวดที่ ๓ ไปก่อน แล้วพองานงวดที่ ๓ เสร็จแล้วค่อยเบิกงานงวดที่ ๔ เพราะถ้าว่ากันตามสัญญาก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเบิกเลย เนื่องจากงานไม่เสร็จตามงวด แต่ก็เห็นใจว่าเขาทำงานได้มากแล้ว

อาตมาสั่งช่างให้เขาทำเรือนไทยในศาลา ๑๐๐ ปีฯ อีกหลังหนึ่ง จะเอาไว้ตั้งสังขารหลวงปู่สาย ก็เท่ากับว่าเป็นเรือนไทยที่มีแต่พื้น ไม่มีเสา ก็คือแปะกับพื้นเลย ยกสูงขึ้นมาสัก ๖ นิ้ว เอาไว้ตั้งโลงแก้วกับโต๊ะหมู่บูชา

เมื่อวันเข้าพรรษาที่ไปเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงปู่สาย พระท่านยกของย้ายของกันครื้นเครง อาตมาต้องเตือนท่านให้ระวังพัดยศของหลวงปู่สาย พัดยศทั้ง ๒ ด้ามนั้น เป็นด้ามงาทั้งคู่ สมัยหลวงปู่เป็นพระครูยังได้ด้ามงาเลย สมัยของอาตมา ขนาดเจ้าคุณยังไม่ได้ด้ามงาเลย"

เถรี 15-08-2015 15:22

ถาม : เวลาเรามีปัญหา อยู่ดี ๆ เราก็แวบขึ้นมา อย่างนี้เป็นอาการลักษณะของปัญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าแวบเรื่องอะไร ?

ถาม : แวบเป็นวิธีการ ?
ตอบ : ลักษณะนั้น แสดงว่าพอหยุดคิดแล้วใจสงบ ในเมื่อใจสงบปัญญาจึงเกิด เป็นลักษณะของจินตามยปัญญา ยังไม่ถึงภาวนามยปัญญา เพราะภาวนามยปัญญา เป็นการเห็นทางพ้นทุกข์

ถาม : ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็จะแวบขึ้นมา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหยุดคิดบ่อย ๆ ถ้าใจเราไม่ปรุง สภาพจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน การรู้เห็นก็จะชัดขึ้น

ถาม : บางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็ใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าได้อย่างใจทุกอย่างแล้วเราจะทุกข์หรือ ?

เถรี 15-08-2015 15:24

ถาม : ถ้าเป็นวิบากกรรมก็คงไม่ปรากฏนิมิตแน่ ๆ ?
ตอบ : รับ ๆ ไปเถอะ อาตมาบวชมา ๓๐ ปี เพิ่งจะทำฝาบาตรหล่นวันก่อนนี้เอง หล่นอย่างไรก็ไม่รู้ด้วย เหมือนกับตอนช่วงวิบากเข้ามา เพราะสติไม่มี อยู่ ๆ มารู้ตัวตอนฝาบาตรหล่นลงไปแล้ว ทุกครั้งที่เกิดเหตุขึ้น จะเป็นอุบัติเหตุหรือจะเป็นอะไรก็ตาม จะเกิดในลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ ๆ สติจะขาดหายไปเฉย ๆ นี่แค่ฝาบาตรหล่น ยังโชคดีว่าฝาบาตรมีด้ายถัก พลิกแล้วก็หล่นครอบลงไปก็เลยไม่ดัง

ปกติ
เวลาญาติโยมเขาใส่ข้าว อาตมาก็จะเปิดบาตรให้เขาใส่ แต่พอใส่กับข้าว ใส่พวกดอกไม้ อาตมาก็จะพลิกฝาบาตรรับไว้ แล้วก็ส่งต่อให้ลูกศิษย์เขารับไปใส่กระป๋อง รู้ตัวว่าพลิกฝาบาตรรับของเขา แล้วมารู้ตัวอีกทีตอนฝาบาตรหล่นลงไปอยู่กับพื้นแล้ว ประมาณ ๒-๓ วินาทีนั้นสติหายไปไหน ? ในช่วงวาระกรรมเข้า เป็นไปได้ขนาดนั้น อาตมาสังเกตมาหลายทีแล้ว บางทีอยู่ดี ๆ มารู้ตัวตอนล้มตึงลงไปแล้ว

ปกติเรื่องฝาบาตรอาตมาจะระมัดระวังมาก พูดง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำฝาบาตรหล่น ดันมาหล่นเอาตอนนี้เอง มาหล่นตอนเป็นมหาเถระด้วย ถึงเวลาวิบากเข้านี้สามารถตัดเราได้ขนาดนั้น สังเกตดูตอนที่เกิดอุบัติเหตุก็ลักษณะอย่างนี้ เหมือนกับว่าสติหายไปวูบหนึ่ง แล้วเขาก็เอาเราตีลังกาจนได้

ไปนึกถึงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปออสเตรเลีย ทางด้านภรรยาผู้ว่าฯ น่าจะลักษณะแบบผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ของเรา ก็เอาช่อดอกไม้มาต้อนรับ พระองค์ท่านรับช่อดอกไม้ ดึงแล้วดึงอีก ดึงเขาเข้ามาด้วย เพราะว่าภรรยาลอร์ดแมร์เขาผูกเนคไทอยู่ พระองค์ท่านไปรวบเอาเนคไทเขามากับช่อดอกไม้ด้วย
เลยยื้อแย่งกันใหญ่

เถรี 16-08-2015 07:00

ถาม : ในวิปัสสนาญาณ ที่บอกว่าเห็นรูปนามโดยความเป็นโทษ เห็นรูปนามโดยความเป็นภัย ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : อันแรกก็คือสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับหิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่โทษไม่มีประโยชน์ ส่วนที่เป็นภัยก็คือ ทุกข์ภัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวัฏสงสารนี้ เป็นเพราะรูปนามนี้นำมาให้ ไม่ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แม้กระทั่งภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากคน จากสัตว์ จากโรคภัยไข้เจ็บ จากดินฟ้าอากาศ ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากรูปนามนี้

ถาม : เป็นความรู้สึก หรือเป็นนิมิต ?
ตอบ : ถ้าปัญญามองเห็นจะเห็นแจ้งตลอดไปเลย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโทษ สิ่งเหล่านี้เป็นภัย สิ่งเหล่านี้เป็นของน่ากลัว สิ่งเหล่านี้ไม่ควรที่จะอยู่ด้วย ควรที่จะหลีกหนีไปให้พ้น

ถาม : ในญาณ ๑๖ มีบางอย่างที่กล่าวถึงแล้วผมไปดูในตำรานามรูปไม่มีกล่าว ?
ตอบ : เอาแค่วิปัสสนาญาณ ๙ ก็พอ เพราะถึงสังขารุเปกขาญาณจริง ๆ ก็จบแล้ว แต่คราวนี้เขาไปอธิบายเพิ่มเติมไปถึงมรรคญาณ ผลญาณ อะไรให้ยุ่งไปหมด

ถาม : นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ?
ตอบ : แค่เรารู้เห็นว่ารูปนามนี้ไม่ใช่ของเรา ก็เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว

เถรี 16-08-2015 07:00

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า วิปัสสนาญาณ ๙ ท่านสนใจแค่นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณเท่านั้น อย่างอื่นตามดูตามรู้ไป ก็จะมาลง ๒ อย่างนี้ ก็คือพอเห็นการเกิดดับ เห็นการดับ เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว ก็เบื่อ พอเบื่อก็จัดเป็นนิพพิทาญาณ ก้าวข้ามความเบื่อได้ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ในเมื่อปล่อยวางหมดกระทั่งร่างกายนี้ยังไม่ใช่ของเราแล้ว แล้วจะเหลืออะไร ? จบแล้ว ท่านถึงได้บอกว่าอาจารย์บางท่านอธิบายมากจนเฝือ

ถาม : สังขารุเปกขาญาณ กำลังต้องเป็นปฐมฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป ถึงจะวางได้สักระดับหนึ่ง

เถรี 16-08-2015 07:02

ถาม : ที่จริงแล้ว ถ้าไม่นับอริยบุคคลที่มีปัญญาเข้าถึงแล้ว คนทั่วไปต้องฝึกให้คล่องการเข้าออกฌานสลับกับวิปัสสนาให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดปัญญาเห็นทุกข์ขนาดตัดร่างกายไปพระนิพพานได้ทันตอนตายเลย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะบอกว่าไปไม่ได้ก็ไม่ใช่ เพราะว่าบางทีเราก็ไปเห็นเอาช่วงสุดท้าย ร่างกายป่วยจะแย่อยู่แล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษทุกอย่าง เราไม่เอาอีกแล้ว ก็ไปเอาวินาทีสุดท้ายเหมือนกัน เพียงแต่ว่าช่วงที่เราร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ก็พยายามทำให้เต็มที่ของเราไป ไม่อย่างนั้นแล้วจะทรมานนานมาก ที่ทรมานนานมากเพราะเราตั้งใจจะหลุดพ้น ในเมื่อยังไม่หลุดพ้นก็ทนไปเถอะ

เป็นลักษณะของมโนสัญเจตนา ก็คือความมุ่งมั่นของใจ เมื่อใจมุ่งมั่นที่จะไปพระนิพพาน คราวนี้การตัด การละ ของตัวเองยังไม่ถึง ก็ต้องทนทรมานไปเรื่อย ก็ใจมุ่งที่จะไปอยู่นั่นแหละ ในเมื่องานยังไม่หมดก็ไป
ไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า ทำไมบางคนตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้ว ถึงมีสารพัดเรื่องเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เห็นโทษแล้วจะได้หมดอยาก จะได้ปล่อยได้วางได้ หลายคนเลิกปฏิบัติไปเลย เพราะคิดว่าพอหันมาปฏิบัติธรรมแล้วถึงเป็นอย่างนี้

เถรี 16-08-2015 07:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือบางอย่างก็ว่ามั่วไปหมด ไปเอาสารพัดกรรมมาอธิบาย แต่ไม่มีคำอธิบายในลักษณะของพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา อย่างเช่น บอกว่าการเป็นเมียน้อยเมียเก็บ เพราะเคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน เคยอธิษฐานร่วมใจว่า กี่ภพกี่ชาติก็ขอให้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน การลบกรรมต้องถวายทองคู่ ธูปคู่ เทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดอย่างหนึ่ง อธิษฐานขอชีวิตที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ปีละครั้ง เขาว่าเองทั้งนั้นเลย

แต่อย่างน้อยที่เขาว่ามาก็เป็นการทำความดี เพียงแต่ว่าถ้าเราไปยึดว่าสิ่งที่เขาว่ามานั้นใช่เลย ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน"

เถรี 16-08-2015 07:06

ถาม : เห็นความวุ่นวายทั้งหลายในโลกนี้ว่าเกิดขึ้นเพราะสมมติ เช่น คำพูด เวลามีสงครามกันหรือทะเลาะกัน ก็มาจากเรื่องสมมตินี้เท่านั้น มีความรู้สึกว่าวุ่นวายมากค่ะ ?
ตอบ : เป็นพวกเดียวกับพระยสะ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

ถาม : ได้ฟังคำสอนที่ว่า อย่าตัดสินใครว่าดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เพราะเราสมมติขึ้นมาเอง การไปตัดสินก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ก่อปฏิฆะขึ้น ซึ่งพาลงนรกได้ พอคิดได้อย่างนี้ก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาเคยบอกหลายครั้งแล้ว แต่พวกเราฟังแล้วก็ผ่านเลยไป ก็คือ ให้ตั้งใจอยู่เสมอว่า อย่าให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเลย

ถาม : บางทีเหตุอันนี้เกิดจากสิ่งที่เราคิดว่านี่เป็นเจตนาดี เราทำอย่างนี้ถูกแล้ว แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะเขาไม่ได้คิดแบบเรา ?
ตอบ : ถูกอีกแล้ว แต่เสียท่าไปแล้ว คราวนี้เห็นหรือยังว่าการยึดติดน่ากลัวแค่ไหน ?

เถรี 16-08-2015 07:07

ถาม : ระหว่างการพูดคุยสนทนากัน สภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้นเกิดต่ออย่างไร ?
ตอบ : พูดจบแล้วก็เลยไปแล้ว ถ้าเราเข้าถึงได้จริง ๆ ก็จะเป็นของเรา ถ้าเข้าถึงไม่ได้จริง ๆ ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป พูดง่าย ๆ ว่าแม้แต่ความจำของเราก็อาจจะไม่เหลือไว้

ถาม : ขณะที่พูดคำนี้ออกไป มีอะไรที่สืบต่อออกไป ?
ตอบ : ต้องบอกว่าใจของเราบันทึกไว้เอง เพียงแต่ว่าบางทีบันทึกไว้โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เจตนา หรือว่าบางทีไม่ได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับสมอง ?
ตอบ : ถ้าเกี่ยวกับที่สมองก็ดี ถ้าความจำเสื่อมจะได้เลิกแล้วต่อกัน

เถรี 16-08-2015 07:08

ถาม : ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จะเอาไปปฏิบัติหมวดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หมวดใดหมวดหนึ่งก็พอแล้ว

ถาม : ไม่จำเป็นต้องขึ้นด้วยสติปัฏฐาน ๔ ?
ตอบ : ถ้าทำหมวดหนึ่งที่เหลือก็จะตามมาเอง

ถาม : แสดงว่าเกี่ยวเนื่องกัน ?
ตอบ : เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด

เถรี 16-08-2015 07:09

ถาม : ลางสังหรณ์ เป็นทิพจักขุญาณหรือครับ ?
ตอบ : เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน คือคนเคยได้ทิพจักขุญาณมาในอดีต ชาตินี้ไม่ได้รับการฟื้นฟู แต่ว่ายังพอมีพื้นฐานเดิมอยู่ ถึงเวลาก็เกิดลางสังหรณ์ คือรู้ล่วงหน้าได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจนนัก

เถรี 16-08-2015 07:10

ถาม : พระโสดาบัน ท่านเห็นพระนิพพานได้ทุกครั้งหรือครับ ?
ตอบ : การเห็น..เราต้องแยกให้ออกนะ เห็นเฉย ๆ ส่วนประเภทได้เลยเป็นคนละเรื่องกัน "มรรค" คือลักษณะของการเห็นหรือการไป ต้องเป็น "ผล" ถึงจะเป็นของเรา

เถรี 16-08-2015 10:29

ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน หากมีคนสละสิทธิ์หนูขอบูชาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ที่เหลือจะเอาไว้ขึ้นราคา..! ถ้าอยากได้ต้องรีบจองตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องของการจองวัตถุมงคลเห็นชัดถึงบารมีของคนจอง ประเภทบารมีน้อยก็จะลังเล ตัดสินใจไม่ได้สักที การปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน

เถรี 16-08-2015 11:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "เศรษฐกิจไม่ดี ให้ทุกคนภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานไปเลย กำหนดไว้สักครั้งละชั่วโมงก็ได้ ไม่ต้องนับจบ ให้นับเวลาแทน สมาธิลึกก็อาจจะได้สักจบหนึ่ง สมาธิตื้นชั่วโมงหนึ่งก็อาจจะได้เป็นร้อยจบ อาตมาเคยภาวนาตอน ๐๒.๕๕ น. ได้ ๑ จบ ๖ โมงเช้าพอดีเลย คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน สมาธิเผลอลึกไปหน่อย สมาธิลึกมากเวลาก็ผ่านไปไม่รู้ตัว

ดังนั้น เราจะเห็นว่าเวลาของเทวดาหรือพรหมชั้นยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่น เวลาของชั้นจาตุมหาราช ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ถ้าชั้นดาวดึงส์ ๑ วันก็ ๑๐๐ ปี ไล่ไป ๒๐๐ ปี ๔๐๐ ปี ๘๐๐ ปี ถ้าไปอรูปพรหมก็ลืมโลกไปเลย ๒๐,๐๐๐ มหากัป ๔๐,๐๐๐ มหากัป เป็นต้น

กติกาของพระโพธิสัตว์คือผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จึงมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะไม่เกิดเป็นอรูปพรหม เพราะว่าเวลายาวนานเกินไป เสียเวลาในการสร้างบารมี ไม่ลงโลกันตนรก เพราะว่าเวลายาวนานหาจำกัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าลงอเวจีบ่อย ๆ เดี๋ยวก็นานเท่าโลกันต์ไปเอง..! ถ้าเกิดเป็นคนหรือสัตว์มีอัตภาพไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง ไมโซซอรัสจึงเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ดูมาหรือยัง ? อยู่ในจูราสสิกเวิลด์..!"

เถรี 16-08-2015 14:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่อย่างหนึ่งยังพิสูจน์ของโบราณเขาไม่ได้ เขาบอกว่า เด็กผู้หญิงที่คลอดออกมาแล้วคว่ำหน้าจะเป็นหมัน อาตมายังไม่เคยเจอ เพราะว่าถึงผู้ใหญ่เจอเขาก็ไม่บอกหรอก ก็เลยยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า เอาไว้ถ้าใครถ้าคลอดธรรมชาติ แล้วมีลูกผู้หญิงนอนคว่ำออกมาก็บอกด้วยนะ จะขอพิสูจน์หน่อยว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า ?"

เถรี 16-08-2015 20:08

ถาม : ได้เรี่ยไรเงินเพื่อร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อินเดีย แต่ว่าเงินบางส่วนได้มาตอนที่เขาปิดโครงการไปแล้ว เราจะเอาไปร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อื่นแทนได้ไหมคะ ?
ตอบ : ส่งไปให้เขา เพราะว่าต่อให้เขาสร้างเสร็จแล้วก็ตาม แต่ว่าเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือหรือบุคลากรก็ยังต้องใช้เงินอีก อย่าไปย้ายศรัทธาเขาเลย

เถรี 16-08-2015 20:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งคลองตะเคียน เป็นพระกริ่งที่ประหลาดที่สุด เคยมีคนพยายามแกะออกมา จะดูว่าเม็ดกริ่งทำด้วยอะไร แล้วหาไม่เจอสักองค์ เขาสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะครูบาอาจารย์ที่สร้างท่านอธิษฐานวาโยธาตุใส่เข้าไป พอเขย่าก็จะดังกรุก ๆ แต่พอแกะออกมากลับไม่มีอะไร

พระกริ่งคลองตะเคียนไปอยู่กับพวกอิสลามเสียมากเลย เพราะพวกอิสลามแถวคลองตะเคียนจะเข้าวัดกษัตราธิราชของหลวงปู่เทียมเป็นประจำ หลวงปู่เทียมสร้างตะกรุด พวกอิสลามพกได้ เพราะเขาไม่เอารูปพระ จึงพกตะกรุดของหลวงปู่เทียมแทน

พวกอิสลามแถวคลองตะเคียนช่วยราชการไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เทคนิคการก่อสร้างต่าง ๆ มาจากช่างอิสลามก่อน ที่สร้างสะพานมีฐานเป็นวงกลม ๆ ก็ดี ลักษณะโค้ง ๆ ตามขอบหน้าต่างก็ดี ฝีมือช่างอิสลามพวกนี้ทั้งนั้น"

เถรี 16-08-2015 20:26

"ตอนหลังเชื้อสายตระกูลบุนนาครับราชการเป็นใหญ่เป็นโต เป็นสมเด็จเจ้าพระยาถึง ๒ – ๓ องค์ พูดง่าย ๆ ว่าตระกูลนี้ถ้าจะยึดอำนาจก็เป็นกษัตริย์ไปนานแล้ว แต่ติดตรงที่ว่าได้ให้สัจจะไว้ ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีอำนาจอยู่ในมือแท้ ๆ ใหญ่ถึงขนาดในสมัยราชการที่ ๕ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ที่เขาเรียกสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย เป็นถึงระดับสมเด็จเจ้าพระยาทั้งพี่ทั้งน้อง

สำหรับยศที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาถือว่าใหญ่สุดแล้ว รองลงมาก็เป็น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวงขุน หมื่น พัน"


ถาม : จมื่นเทียบเท่าอะไรคะ ?
ตอบ : จมื่นจริง ๆ เท่ากับคุณพระ แต่ว่าบางท่านอย่างจมื่นไวยวรนาถ ได้รับการโปรดปรานเป็นพิเศษ พระราชทานพานทองให้ ยศจึงเท่าเจ้าคุณเลย เทียบเท่าพระยาที่เขาเรียกพระยาพานทอง ไปไหนต้องนั่งคานหามไป ห้ามเท้าแตะพื้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว