![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวะสงครามร้อนกรุ่น ๆ วันก่อนลูกศิษย์ทางวัดหนองหญ้าปล้องถามมา คงถามแบบประเภททดสอบ ว่าเรื่องของภัยพิบัติกับภาวะสงครามจ่อคอหอยอยู่แล้ว คิดว่ามีเวลาเตรียมตัวนานเท่าไร ? อาตมาก็บอกว่า “ผมไม่คิด” แล้ววัดท่าขนุนเตรียมตัวอะไรบ้าง ? “ไม่เตรียม” อะไรที่เลยวันนี้วัดท่าขนุนไม่ทำ เอาแค่วันเดียว วันนี้มีอะไรก็ทำ ๆ ไป พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ดังนั้น..รีบทำวันนี้เสียให้เสร็จ แล้วเขาถามอย่างสุดท้ายว่า “แล้วท่านมีเวลาทำกี่เดือน?” บอกไปว่าเหลือเฟือเลย
นี่เขากำลังเตรียมการเรื่องระบบไฟฟ้าอยู่ ว่าจะใช้โซลาร์เซลล์ หรือจะใช้ไบโอดีเซล อยู่ในลักษณะว่าถ้าหากเครื่องชำรุดให้มีคนซ่อมได้ อย่างโซลาร์เซลล์ถ้าชำรุดแล้วมีคนซ่อมได้ก็เก่งเกินไป เรื่องของภัยพิบัติไม่ต้องเสียเวลาเตรียมการหรอก คือถ้าเราสร้างกรรมเอาไว้ เตรียมขนาดไหนก็ตาย ถ้าไม่สร้างกรรมเอาไว้ คุณปู่อายุ ๑๐๐ ปีไม่เป็นไร ไอ้หนุ่ม ๆ สาว ๆ ตายกันเป็นแถวเลย หรือไม่ก็เด็กทารก ๔ เดือน โดนฝังอยู่ ๒๐ กว่าชั่วโมง ขุดขึ้นมาไม่เห็นจะเป็นอะไร" |
https://www.watthakhanun.com/webboar...1433992587.jpg https://www.watthakhanun.com/webboar...1433992588.jpg พระอาจารย์กล่าวว่า "แผ่นดินไหวครั้งนี้คนไทยได้ใจคนเนปาลไปเยอะเลย เพราะว่าไปทุ่มเทช่วยเหลือทั้งพระทั้งโยม แม้แต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไป ท่านไปเช้าเย็นกลับด้วยนะ ออกเดินทาง ๗ โมงครึ่ง ไปถึงโน่น ๑๐ โมงครึ่ง ฉันเพลเสร็จก็ตระเวนออกเยี่ยมเขา เปิดงานที่นั่นที่นี่ เสร็จสรรพเรียบร้อยบินกลับถึงเมืองไทยทุ่มครึ่ง เอาคนอายุ ๙๐ ปีไปตะลอนแบบนั้น ต้องบอกว่าเจ้าคุณพรหมสิทธิท่านเก่ง คือยังไม่มีใครทำเรื่องอย่างนี้ได้ เอาพระสังฆราชไปเกี่ยวกับงานการต่างประเทศของคณะสงฆ์ เห็นมีแต่ท่านนี่แหละ คราวนี้พระไทยเราที่ได้ใจคนเนปาลเยอะเพราะว่า นักบวชฮินดูเขาอาศัยชาวบ้านอย่างเดียว ของเรานี่ไปให้ชาวบ้านได้อาศัย เราแจกทั้งข้าวปลาอาหาร ทั้งเต็นท์นอน ทั้งน้ำดื่ม ทั้งยารักษาโรค" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทองผาภูมิมีพระจบด็อกเตอร์รูปแรก ปีหน้าจะมีแม่ชีจบด็อกเตอร์รูปแรก วัดท่าขนุนทั้งนั้น"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส เจอผีกี่ตัวอัดกระจายหมด สมัยเป็นฆราวาสอยู่วัดท่าซุง อาตมามีอาชีพไล่ผี เพราะเขาส่งผีไปเยอะ เพื่อที่จะไปเล่นงานหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นหลวงพ่อไม่ได้ก็เล่นพวกที่อยู่วัดแล้วเผลอ คนไหนโดนผีเข้า อาตมาย่องไปถึงนี่ออกทุกราย นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก กะว่าจะฝากรักให้ชัด ๆ เลย แต่ว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย อัดตูม..ร่วงสลบคามือ เข้าไปดูปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่เขียวไม่ช้ำ ไปช้ำอยู่ที่ผี แล้วพวกนั้นก็แปลก หลังจากที่โดนไปแล้ว ผีไม่เคยเข้าคนนั้นอีกเลย
ผีแท้ ๆ เลย เขาส่งมาเพื่อเล่นงานโดยเฉพาะ เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นเป้าใหญ่ อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ เขาคิดว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้ว คนจะได้ไปวัดเขา อาตมาเลยมีอาชีพเล่นงานพวกผี เพราะจะให้พระไปลงไม้ลงมือก็ไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็กลัว เขาเห็นว่าวัดเขาไม่มีลาภผลอะไรเลย เพราะคนแห่ไปวัดท่าซุงหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดด้วยอวัยวะส่วนไหน ปัจจุบันนี้อาตมาก็โดนเหมือนกัน วันดีคืนดีก็มา มีอยู่ ๒ พวก พวกหนึ่งคืออยากรู้ว่าเก่งแค่ไหน ส่วนอีกพวกหนึ่งก็คิดแบบเดียวกันว่า ถ้าไม่มีอาจารย์เล็กเสีย คนจะได้ไปวัดเขาบ้าง" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งซึ่งเพิ่งได้วัตถุมงคลที่อยากได้ไปว่า "ลองไปจับความรู้สึกตัวเองดู ว่าตอนที่อยากได้กับตอนนี้ต่างกันแค่ไหน ถ้าเราแยกแยะไม่ออก เราจะแก้ไขตัวเราเองไม่ได้ ต่อไปถ้าอารมณ์ใจของเรารับสิ่งดีหรือไม่ดีเข้ามา จะต้องแยกให้ออก
แล้วส่วนที่พึงจำไว้เลยก็คือว่า การแก้ไขต้องแก้ที่ตนเอง ไม่สามารถแก้คนอื่นได้ เราจะไปมองว่า คนอื่นทำอย่างนั้นกับเรา คนนี้ทำอย่างนี้กับเรา เราทำดีแล้ว ทำไมเขาทำกับเราอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้บรรลัยแน่ ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้ก่อน อะไรเกิดขึ้นเราแก้ได้เฉพาะตัวเรา เราแก้คนอื่นไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไปถึงก็..เธอต้องทำอย่างนั้นกับฉัน เธอต้องทำอย่างนี้กับฉัน ใครจะทำให้ ? ก็มีอย่างเดียวคือเราต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง การที่จะแก้ไขตัวเราเองได้ ความรู้สึกต้องไวพอ ตามอารมณ์ใจตัวเองได้ทัน เมื่อเราตามทัน สิ่งไหนดีก็รักษาไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ขับไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก โอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี ไม่ใช่ถึงเวลาอยากได้ก็อยากสุดชีวิต พอได้มาก็พองแทบจะลอยลม ระวังจะลอยไปจนกู่ไม่กลับ..!" |
ถาม : เป็นโรคกระเพาะอักเสบครับ ?
ตอบ : กระเพาะอักเสบไปหาขมิ้นชัน ขมิ้นผงก็ได้ เดี๋ยวนี้เขามีแคปซูลเป็นผง ๆ กินก่อนอาหาร มื้อหนึ่ง ๒-๓ แคปซูล แล้วก็ไปหาพวกยาขับลมมาด้วย หัดใช้สมุนไพรไทยเสียบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่ยาต่างประเทศ ลองดู ถ้าไม่ดีขึ้นเดี๋ยวมาเตะอาตมาได้..! สมุนไพรขับลมนี่บ้านเรามีเยอะมากเลย แต่อย่าลืมขมิ้นชันนะ ของจำเป็นเลย กินก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมง จะลงไปเคลือบกระเพาะให้ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณเป็นไปนาน ๆ มะเร็งจะรับประทาน ขมิ้นชันต่อให้คุณไม่เป็นแผลในกระเพาะ กินลงไปก็มีประโยชน์ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระมีมาก เพียงแต่พวกเราไม่ใช่พม่า ไม่ใช่คนใต้ ก็จะไม่ชิน เจอขมิ้นเข้าก็ตีหน้าประหลาด ๆ พวกพม่าพวกแขกนี่เขาคลุกข้าวกินกันเลย |
พระอาจารย์กล่าวถึงการออกใบอนุโมทนาบัตรว่า "เรื่องเงิน..พระเราจำเป็นต้องรอบคอบ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาจะตรวจสอบบัญชีทุกวัด จะเอากระทั่งพระเสียภาษี ถ้าอยู่ ๆ มีตัวเลขแล้วเงินไม่มี แล้วเอาที่ไหนไปให้เขาตรวจ ?
บรรดา สปช.ชุดนี้ ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมกับคณะสงฆ์ใหญ่หลวงมาก เนื่องจากเหมารวมว่าพระเณรทั้งหมดไม่ดี แล้วก็ด่ากันมันปากตอนที่ตัวเองอภิปราย สรุปก็คือจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาด่าพระไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่รู้ว่ากรรมส่วนนี้จะทันตาเห็นหรือเปล่า ? แต่ต้องบอกว่าวจีกรรม มโนกรรมสำเร็จไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือกายกรรม จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม ? ถ้าสามารถเปลี่ยนกฎหมายได้อย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ กรรมก็สำเร็จทั้ง ๓ สถาน อาตมาหนักใจว่าแผ่นดินจะรับไหวไหม แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เขาก็ด่าพระฟรีไปแล้ว" ถาม : แต่เขาก็อยู่ในหน้าที่การปกครอง ? ตอบ : นั่นเป็นการแสดงความคิดของเขาออกมาเองเลย ในเมื่อเป็นความคิดของตัวเองก็เป็นมโนกรรมของตัวเองเต็ม ๆ เลย ก็ในเมื่อพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม จะบอกว่ามาโดยคำสั่งก็ไม่ใช่ เพราะคำสั่งคือให้ปฏิรูป ซึ่งแปลว่าเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น |
ถาม : ไม่อยากออกไปหาความทุกข์ค่ะ
ตอบ : ไม่ต้องออก อยู่กับทุกข์นั่นแหละ เพียงแต่อย่าแบกทุกข์เอาไว้ ถาม : วางไม่เป็นค่ะ ? ตอบ : วางไม่เป็นก็อย่าแบกสิ จะได้ไม่ต้องวาง ใช้คำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาต้องมีทุกข์เช่นนั้น เพราะฉะนั้น..ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีทุกข์เช่นนี้จะไม่มีกับเราอีก ถ้าเราสามารถออกจากกองทุกข์ได้ในชาตินี้ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทุกข์ชาตินี้ก็แค่พักเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่กับทุกข์นี้ไมได้ ก็แค่อย่าไปแบกเอาไว้เท่านั้น ธรรมดา..ทำไม่ถูกใจเขาก็ต้องด่าเรา ธรรมดา..มีครอบครัวก็ต้องปวดหัว ธรรมดา..มีงานก็ต้องเครียด ให้เห็นธรรมดาให้ได้ พอเห็นธรรมดาก็แบกน้อยแล้ว |
ถาม : การปฏิบัติควรเพ่งอะไร ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมหลัก ๆ ก็คือลมหายใจเข้าออก ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก สติจะอยู่กับปัจจุบัน เมื่อไม่ไปโหยหาอาลัยในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ความทุกข์ก็จะเหลือน้อยแล้ว ดังนั้น..ถ้าจะเพ่งก็คือเพ่งลมหายใจเข้าออกตัวเอง แต่อย่าไปเพ่งอย่างอื่น บางทีคุณใช้ศัพท์ที่เข้าใจคนเดียว พอพูดมาคนอื่นฟังแล้วก็งง ๆ |
พระอาจารย์ท่องกลอนของหลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ที่ระยอง ให้ฟัง พร้อมกับอธิบาย
"เราเนาว์สราญสุข................นิรทุกข์เกษมศานต์ เฉกเช่นลดาวัลย์.................สะพรั่งติด ณ แผ่นผา ความครุ่นและกำหนัด............ก็สลัดไม่นำพา วิเวกและเอกา....................ดุจะทิพย์ที่ลอยลม ผิว์แม้นจักลอยล่อง...............ก็มิต้องอาลัยสม บ่คิด บ่ปรารมภ์....................บ่มิห่วงอาลัยมี สบายจะตาย สถิตย์เหนือ ณ อาสน์เอี่ยม.....กระจ่างเยี่ยมจรัสศรี ครั้นรัตติกาลมี....................ศศิส่อง ณ แนวไพร อยู่กับธรรมชาติ ทำตัวสบาย ๆ แม้พาหิรชน.......................จราจลและบรรลัย เรามั่นสถิตย์ใน...................สุขธรรม บ่มิคลอน ภายนอกจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เรามีความสุขอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็แล้วกัน แม้นใครมาพบเรา...............ก็จุ่งเนาว์จะสั่งสอน ถ้าใครมาอยู่ด้วยก็จะสอนให้ ชี้ทางอันบวร.....................เสถียรสุขนิรันดร์เทอญ" |
"ใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นคนท้อแท้ง่าย เผชิญอุปสรรคเล็กน้อยก็ไม่ไหวแล้ว การจะก้าวข้ามกองทุกข์ต้องทุ่มเท ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อย่างชนิดเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถที่จะสู้กระแสแรงกิเลสได้ ไม่สามารถจะต้านกำลังของวัฏสงสารได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่ทำแบบคนทั่ว ๆ ไป คนที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นต้องบ้าเลย..!
คนบ้ามักจะทำอะไรแบบไม่อาลัยไยดีกับชีวิต การไม่อาลัยไยดีกับชีวิตก็คือการตัดร่างกาย ซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวใหญ่ คือสักกายทิฐิ ซึ่งเป็นที่อาศัยของกิเลสทุกประเภท ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อาศัยร่างกายนี้ทั้งนั้นถึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเราเห็นแล้วแค่อย่าไปยุ่งด้วย กิเลสก็ไปไหนไม่รอดแล้ว นั่งดูเฉย ๆ ดูว่าจะทำอย่างไร ? โลภอยากได้ เราไม่ไปเอาเสียอย่าง กิเลสจะทำอะไรได้ ? รัก..ต้องการ เราไม่ตะเกียกตะกายไปหา กิเลสจะทำอะไรเราได้ ? โกรธก็นั่งมอง อยากโกรธก็โกรธไป ยิ่งเส้นเลือดในสมองแตกตายไปได้ยิ่งดี จะได้จบกันแค่นี้ เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ในเมื่อเป็นคุณสมบัติของร่างกาย เราปฏิเสธเขาไม่ได้หรอก แต่อย่าไปปรุงแต่งให้เขา การปรุงแต่งคือไปคิดเพิ่ม คนนี้สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ เป็นแฟนเราดีไหม ? ควงไปดูหนังฟังเพลงต้องมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้แน่เลย ปรุงเท่าไรก็ยิ่งยึดติดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราหยุดปรุง สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ก็แค่คนเหมือนกัน ดีไม่ดีไม่ได้นึกเสียด้วยซ้ำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ถ้าเจอหน้ากันก็แสดงว่ากระแสกรรมยังไม่พ้นกัน ก็สงเคราะห์กันไปตามหน้าที่ แต่พยายามระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราไว้ แล้วอย่าไปสร้างกรรมอะไรที่ไปผูกพันกันขึ้นมา ถ้าเราทำอย่างนี้ ของใหม่ไม่มี กรรมเก่าก็ค่อย ๆ เช็ด ค่อย ๆ ล้างไป เดี๋ยวก็หมด เหมือนกับเก็บบ้าน สมมติหลังนี้เป็นบ้าน ใหญ่เบ้อเร่อเลย เก็บทีเดียวไม่เสร็จหรอก ต้องเก็บกวาดไปทีละมุม ถูไปทีละแผ่น เดี๋ยวก็ทั่วทั้งหลัง เหมือนกับเราจะพิมพ์หนังสือ ก่อนที่จะเป็นหน้า ต้องพิมพ์ทีละตัว ประสมสระ ใส่วรรณยุกต์ มีตัวสะกด ออกมาถึงจะเป็นคำ จากคำก็เป็นประโยค จากประโยคก็เป็นบรรทัด จากบรรทัดก็เป็นย่อหน้า จากย่อหน้าก็เป็นครึ่งหน้า เป็นหนึ่งหน้า ไปจากอักษรตัวเดียวทั้งนั้น อย่ารีบ..ค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ แต่อย่าหยุด เลียนแบบเต่า เต่าเดินไปเรื่อย ก๊อกแก๊ก ๆ ไปเรื่อย เคยเห็นเต่าถอยหลังไหม ? ไม่มีหรอก ต่อให้ไปชนอุปสรรคก็เดินอ้อม เต่าไม่มีเกียร์ถอย ถึงเวลาเจอศัตรูปุ๊บหดปั๊บ ใครจะไปทำอะไรได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เก็บเกลี้ยงเลย ในเมื่อเก็บเกลี้ยง ไม่ยอมรับอารมณ์ภายนอกเข้ามา ใจตัวเองก็ผ่องใส พอพ้นภาวะนั้นขึ้นมา ยืดหัวยืดขาออกมาได้ก็เดินต่อ เพราะฉะนั้น..ให้เอาอย่างเต่า ไปช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่หยุด ขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอยหลัง" |
"ตกลงว่าเห็นทางหรือยัง ? ต้องเจาะไปเรื่อย พวกเราติดคุกด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เป็นคุกที่กำแพงหนามากเลย ค่อย ๆ เจาะ ค่อย ๆ เคาะ ค่อย ๆ แคะไปเรื่อย เดี๋ยวก็ออกไปได้เอง แต่อย่าหยุดเสียก่อนแล้วกัน มัวไปท้อแท้วางมือ โอ๊ย..ไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้..กำแพงหนาหลายวา เราเจาะมาเหลือแค่คืบเดียว บอกว่าไม่ไหวแล้ว แล้วเราก็ไปวางมือ เป็นที่น่าเสียดายมาก
เห็นทุกข์ชัดขึ้น ก็ต้องทำอะไรได้ดีขึ้น ไขว่คว้าหามาแทบตาย เอาเข้าจริง ๆ แล้วเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย แถมยังเพิ่มภาระขึ้นไปอีก แค่มองดู แค่ชื่นชม อย่าคิดไปไขว่คว้าเป็นเจ้าของ ภาระจะไม่มี เบากว่ากันเยอะเลย ใครทำดีก็ยินดีด้วย ใครทำไม่ดีก็ เออหนอ..หนทางเขายังอีกยาวไกล ถ้ามีโอกาสเราจะแนะนำทางที่สั้น ๆ ให้เขาเสียหน่อย การไขว่คว้าหามาคือการยึดติด คนที่ยึดที่เกาะไปไหนไม่ได้หรอก ก็ติดอยู่ตรงนั้น ถามว่าปล่อยวางแล้วการดำรงชีวิตเราจะอยู่อย่างไร ? ต้องปล่อยวางอย่างคนมีปัญญา วางออกจากใจก่อน ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ ก็ต้องกินต้องใช้เป็นปกติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นสามีภรรยา ทำหน้าที่สามีภรรยาให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ ทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นลูกน้อง ทำหน้าที่ลูกน้องให้ดีที่สุด เป็นเจ้านาย ทำหน้าที่เจ้านายให้ดีที่สุด แต่เราทำแค่วันนี้เท่านั้น หลังจากวันนี้ไม่มีสำหรับเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้เท่ากับเป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราก็ทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด ตอบตัวเองได้ทุกกรณี เพราะเราทำเต็มที่ในทุกหน้าที่แล้ว เราไม่มีอะไรต้องห่วงต้องใยแล้ว ถ้าถึงเวลาเขาไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ก็แสดงว่าเขามีเวรมีกรรมเฉพาะของตัวเอง เราก็..บ๊าย..บาย..ไปแล้ว มีโอกาสจะช่วย รักนะจุ๊บ ๆ รีบเผ่นไปเลย ส่วนใหญ่แล้วเราไปแบกเขา เหมือนกับว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาอยู่ไม่ได้ คนเรามีบุญรักษา มีกรรมรักษา ต่อให้ไม่มีใครเลยเขาก็ต้องอยู่ได้ เอ้า..พอแล้ว กินเยอะไปเดี๋ยวย่อยไม่ไหว ถ้าให้พูดก็พูดไปได้เรื่อยแหละ" |
ถาม : ศีลที่บอกว่าพระรับเงินแล้วเป็นอาบัติ ทำไมหรือคะ ?
ตอบ : เกิดจากทางด้านพระท่านรับแล้วไปติด ดูในวินีตวัตถุของวินัยปิฎกก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่าเหมือนกับอสรพิษ เพราะว่าส่วนใหญ่รับไปแล้วถ้าไม่รู้จักประมาณตัวเอง ก็จะกลายเป็นไปยึดติดในวัตถุแทน คราวนี้ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนก็คือว่า ให้เอาลงเป็นกองกลาง ไปทำบุญทำกุศลให้กับเจ้าของเดิม ถาม : คือรับก็ได้ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วรับเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น เพียงแต่ว่าต้องทำให้ถูก คือรับมาแล้วก็อย่าคิดว่าเป็นของตัวเรา |
คุณเต้ยเห็นหลวงพี่เอจึงรีบเข้าไปร่วมทำบุญปิดทองประดับเพชรสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าขนุน
พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไปปิดเองเลย เขาเรียกพวกฉวยโอกาส เป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ ไม่ได้ตำหนิ แต่บอกว่าน่าสรรเสริญ เห็นบุญให้ทำไว้ก่อน ถ้าตามมติของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บุญเป็นสิ่งจำเป็น ต้องเร่งขวนขวายให้มากไว้ เพราะบุญส่งผลในด้านดีเพียงส่วนเดียว แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำบุญตลอด เราทำบาปด้วย ถึงเวลาเจอบาปสนองก็ร้องโอดโอยกัน แต่ตอนทำบาปไม่คิด พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ตราบใดที่ความชั่วยังไม่ส่งผล คนพาลก็คิดว่าเป็นสิ่งหอมหวานที่ควรแก่การกระทำ ส่งผลเมื่อไรเป็นร้องจ๊าก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตลอดสังสารวัฏอันยาวไกลที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ถ้าเห็นข้อบกพร่องของเขา โปรดทราบว่านั่นคือทายาทที่เราทิ้งเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็จงอนุเคราะห์สงเคราะห์เขาเถิด ไปไข่ทิ้งไว้เองแล้วไปโทษใครได้ เขาเป็นคนรับช่วงกรรมของเรา ก็เท่ากับคือทายาทของเรา กัมมะทายาโท ทายาทของการกระทำ
ทายาท แปลว่า ผู้ควรแก่การรับมรดก เพราะฉะนั้น..กรรมทายาท เป็นผู้รับมรดกของกรรม เราเคยทำอะไรไม่ดีไว้ ถึงเวลาเขามาทำตาม ก็เท่ากับเขารับช่วงไปจากเรา จะไปโกรธไปเกลียดลูกหลานทำไม ? สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ไป ถ้าสงเคราะห์ไม่ได้ จะตีลูกตีหลานบ้างก็คงไม่มีใครว่า" |
พระอาจารย์สนทนากับผู้สูงอายุ "เราดีตรงที่ว่า เมาวัยไม่มีแล้ว เมาว่าร่างกายไม่เจ็บป่วยก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า ถ้ายังมีการเมาแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะไปพระนิพพานก็ไม่มี
เมาวัย เห็นว่าร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว แข็งแรงยินดีและพอใจ เมาว่าร่างกายไม่มีโรค ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แข็งแรง อันนี้ของเรานั้นเห็นชัด วัยก็ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยก็ป่วยมาพอแรงแล้ว ถ้ายังเห็นว่าดีอีก ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรแล้ว ในเมื่อไม่มีความเมาพวกนี้ มัทนิมมัทนัสสะ ตัดเสียซึ่งความเมา ในเมื่อตัดเสียซึ่งความเมาได้ โอกาสจะไปนิพพานก็มี มัทนิมมัทนัสสะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ในเมื่อละเสียซึ่งความเมา ก็ย่อมทำพระนิพพานให้แจ้งได้" |
ถาม : เวลาเป็นที จำอะไรไม่ได้เลย ?
ตอบ : อย่าไปกังวลกับเรื่องพวกนั้น เพราะยังมาไม่ถึง หน้าที่ของเราก็คือรักษาสภาพจิตปัจจุบันของเราให้ผ่องใสที่สุด เกาะพระไว้เป็นปกติ หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ถาม : เวลามา ก็มาสนั่นเลย ? ตอบ : เรื่องปกติ เวลาเราทำเขา เราก็ทำแบบนั้นแหละ ตอนนี้รับกลับมา ก็ต้องมาอย่างนี้แหละ จะได้รู้ว่ากรรมเป็นของน่ากลัว เกิดเมื่อไรก็เจอแบบนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดแบบนี้จะเอาอีกไหม? ถามตัวเองได้ตลอดเวลาเลย ถาม : ฉันนี่ไม่เอาเด็ดขาด ชีช้ำกะหล่ำปลี เดี๋ยวคนนี้ตาย คนนี้ตาย ? ตอบ : เขาเรียกว่าวัยวิกฤต ลูกหลานก็วัยรุ่น คุมไม่อยู่ กำลังแหกคอกระเบิดเถิดเทิง ส่วนคนรุ่นเดียวกันหรือคนแก่ก็ตายเอา ๆ เด็กเขามีวิกฤตวัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็วิกฤตวัยทอง เห็นเขาตายเดี๋ยวเราก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ เราตายแล้วเราจะไม่เกิดแล้วนะ ให้ตั้งใจไว้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ก็รักษาไปตามแผน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำเต็มที่แล้ว ถ้าหากว่าเอาไม่อยู่ ท่านก็ไปของท่านเถอะ เราก็ไปของเรา ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนด้วยซ้ำไป ไปนึกถึงหลวงปู่ทองเทศ อายุ ๘๐ ปีแล้วมาขอบวช ปี ๒๕๒๑ มาขอบวชกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เอาเงินถวายหลวงพ่อไว้ ๓,๐๐๐ บาท ยุคนั้นถือว่าเยอะนะ เพราะทองบาทหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทเอง กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ถ้าผมตายช่วยเผาผมด้วยนะครับ” เพราะท่าน ๘๐ แล้ว หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ “ไม่รู้ใครจะเผาใคร” แล้วก็จริง ๆ หลวงพ่อมรณภาพตั้งหลายปี หลวงปู่ทองเทศถึงจะไป ท่านอยู่เสีย ๑๐๓ ปี ถาม : เมื่อเช้าฝันว่าหลวงปู่บุดดามาที่นี่ ? ตอบ : มีอยู่วันหนึ่งอาตมากำลังธุดงค์อยู่ หลวงปู่ท่านมาสว่างเชียว แล้วท่านก็บอกว่า "ภาระที่ฝากไว้ช่วยรับด้วยนะ หลวงปู่ไปแล้ว" อาตมาก็อ้าว..แล้วตูจะไปงานอย่างไรวะ ? ยังอยู่กลางป่าอยู่เลย แล้วก็เหมือนกับท่านขอขี่หลัง อาตมาก็แบกท่านเดิน เท่ากับว่าภาระส่วนหนึ่งของท่านอาตมาก็รับไปแล้วกัน |
ถาม : ถ้าจะนึกถึงพญานาค จะเป็นเทวตานุสติหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้านาคที่เป็นลูกน้องของท้าวมหาราชก็เป็นเทวดา แต่ถ้านาคทั่วไปก็เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ไปนึกถึงท่านเดี๋ยวก็ได้ไปเกิดเป็นนาคเท่านั้น ถาม : ถ้าใจนึกถึงภาพพระ แต่ภาพไม่ใช่องค์เดิมที่นึก ? ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะนึกถึงพระ ต่อให้ไม่ใช่องค์เดิมก็เป็นอนุสติเหมือนกัน |
ถาม : ทำอย่างไรอวัยวะภายในจึงจะแข็งแรง ?
ตอบ : ต้องสวดมนต์อย่างเดียว เวลาสวดมนต์เป็นการบริหารอวัยวะภายในไปด้วย คนที่อวัยวะภายในแข็งแรงมักจะอายุยืน |
ถาม : เงินที่เราเสียภาษีแต่ละปี ถือว่าเป็นกุศลไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการสร้างกุศลทางอ้อม ส่วนใหญ่เราจะไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ เจตนาในการที่เราจะทำประโยชน์นั้นไม่มี ก็เลยไม่มีอานิสงส์ไปด้วย ถาม : ถ้าผมคิดว่าผมได้บุญ ? ตอบ : ได้..เพราะอย่างน้อยก็เอามาพัฒนาประเทศเราเอง เราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย ถาม : ส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าเสียประโยชน์ ผมเลยมาคิดใหม่ ? ตอบ : คิดใหม่ เราเต็มใจจะเสียเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ ถ้าอย่างนั้นได้บุญแน่ ไหน ๆ จะเสียแล้วก็ต้องเอาคืนบ้าง |
ชมรมพรหมเมตตาถวายพระพุทธรูปเงินแท้หน้าตัก ๕ นิ้วพร้อมปทุมบัลลังก์ "สมัยก่อนคนเรามีความเคารพในพุทธศาสนามาก เมื่อทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองก็มักจะสร้างพระประจำบ้าน เท่าที่เห็นมากที่สุดก็คือหล่อด้วยเงิน โดยเฉพาะบรรดาพ่อเลี้ยงทางภาคเหนือนิยมทำกันมาก บางองค์หนักตั้ง ๒-๓ กิโลกรัม ที่เจอน้อยลงมาหน่อยคือทำด้วยนาก อาตมาก็มีพระนากองค์หนึ่งของครอบครัวแสงคู่วงศ์ บอกว่ารักษากันมา ๒ ชั่วคนแล้วจึงเอามาถวายวัด ที่เจอน้อยก็คือสร้างด้วยทองคำ สร้างด้วยทองคำนี่ส่วนใหญ่เนื่องจากวัสดุแพง ก็จะสร้างหน้าตักประมาณ ๑-๒ นิ้ว น้อยนักที่จะเจอถึง ๓ นิ้ว ต้องบอกว่าด้วยความที่เคารพในพระรัตนตรัย ถึงเวลาก็เลยสร้างพระเอาไว้เคารพกราบไหว้ในบ้านตัวเอง คณะญาติโยมที่ถวายพระเงินองค์นี้มา บอกว่ามูลค่าประมาณห้าหมื่นกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่ารวมค่าหล่อด้วยหรือเปล่า ? พลิกดูข้างใต้แล้ว เงินแท้ ๆ (น้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัม) ตอนนี้กิโลกรัมหนึ่งประมาณหมื่นแปด ๓ กิโลกรัมก็ตกห้าหมื่นสี่ รวมค่าหล่อก็คงประมาณหกหมื่นบาท องค์พระหนัก ๓ กิโลกรัมนี่อาจจะต้องใช้เงินประมาณ ๕-๖ กิโลกรัม เพราะว่าต้องมีชนวนด้วย ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยกล่าวไว้ว่า วัตถุมงคล วัตถุบูชา สร้างด้วยวัสดุมีราคาสูงเท่าไร เทวดาพรหมที่รักษาก็ต้องมีศักดานุภาพมากเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเสียท่าคนโลภ ประเทศพม่าถ้าสร้างพระไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็กจะมีบัลลังก์ ให้สังเกตดู..เขาเรียกปทุมบัลลังก์ จะมีดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ ถ้าเป็นบัลลังก์ของพระเจ้าแผ่นดินเรียกว่า สีหาสนบัลลังก์" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครสนใจหลวงปู่ทวดองค์นี้ไหม ? ถ้าสนใจเดี๋ยวจะหาลูกแก้วมาถวายท่านลูกหนึ่ง หลวงปู่ทวด เป็นพระมหาเถระที่ปรากฏนามในประวัติพุทธศาสนาของเรามาหลายร้อยปี ไม่เคยเสื่อมความนิยมจากคนไทยเลย โดยเฉพาะมีนายดาบตำรวจท่านหนึ่ง เป็นตำรวจมาจนจะเกษียณอยู่แล้ว บอกว่าตลอดระยะเวลาจะ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา ชันสูตรพลิกศพมานับไม่ถ้วน ไม่เคยเจอใครที่แขวนหลวงปู่ทวดแล้วตายเลย หลวงปู่ทวดองค์นี้ท่านเอเป็นคนถวายมา เขาแจ้งว่าราคาห้าหมื่นบาท ผลงานของท่านอาจารย์สุชาติ ถ้าใครบูชาเดี๋ยวอาตมาแถมลูกแก้วให้ลูกหนึ่ง" |
ถาม : พระพุทธรูปที่สร้าง ถ้าไม่มีการพุทธาภิเษก จะมีเทวดารักษาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสร้างมาแล้วไม่ผ่านพุทธาภิเษก มีเทวดารักษา แต่เหมือนอย่างกับว่า คนผ่านไปผ่านมาเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งก็เข้าไปช่วยดูแล แต่ถ้าผ่านพิธีพุทธาภิเษกเหมือนอย่างกับเจาะจงว่าใครต้องทำหน้าที่ดูแล ก็เลยต่างกันอยู่หน่อยหนึ่ง ถาม : แล้วถ้าเข้าพิธีเพิ่มจากเดิมอีก เทวดาที่รักษาจะเพิ่มอีกไหมคะ ? ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าองค์เก่าบารมีมากกว่า เพิ่มเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร |
ถาม : ...ไม่สบายใจเรื่องครอบครัว และได้ไปขายของที่หนึ่ง...
ตอบ : เอาไว้ถามคนอื่น ถ้าจะถามวิธีแก้ไข ให้ไปภาวนาพระคาถาเงินล้านแทน อาตมาไม่ใช่หมอดู เรื่องเหล่านี้ไม่ตอบ แล้วถ้าไปหาหมอดูก็อาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิด เรื่องไม่ดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละครอบครัว ถ้าภาษาเก่าเรียกว่าดวงตก ถ้าภาษาพระเรียกบุญหมด ต้องสร้างบุญเพิ่มเติมให้ทุกอย่างดีเหมือนเดิม คราวนี้การสร้างบุญมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทานทำ ๑ ได้ประมาณ ๑๐๐ ศีลทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐ ภาวนาทำ ๑ ได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ อาตมาก็มักจะแนะนำให้ไปภาวนาคาถาเงินล้าน เพราะว่าไหน ๆ จะภาวนาแล้ว พระคาถานี้ช่วยให้มีความคล่องตัว มีความร่ำรวยด้วย ดังนั้น..พวกเราก็ควรที่จะไปภาวนา อย่าหวังให้คนอื่นช่วยเรา เพราะว่าทุกอย่างเกิดจากตัวเราเอง เราตกหลุม รอให้คนอื่นช่วย บางทีอาจจะไม่ได้ขึ้นจากหลุมตลอดชีวิต ต้องตะเกียกตะกายใช้กำลังของเราเอง ถ้าไปถามที่อื่น ซึ่งเป็นที่ที่เขาไม่มีศีลไม่มีธรรม มีเจตนาที่จะคดโกง เขาจะหลอกให้เราเสียเงินเสียทองมาก ๆ ถ้ารู้สึกว่าอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ให้ตั้งใจรักษาศีลแล้วภาวนาไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานสักไม่เกิน ๒ เดือน ทุกอย่างจะดีขึ้นทันตา เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะไม่มีความอดทน เห็นคนอื่นเป็นผู้วิเศษ จะให้เสกเราหายจากสิ่งเหล่านั้นทันทีทันใด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ กลับไปถ้ามีโอกาสไปหาหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน หรือหาโหลดเอาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็มี ไปภาวนาให้เป็นล่ำเป็นสันไปเลย ถ้าทำจริง ๆ เดี๋ยวเงินก็หล่นทับตายไปเอง |
ถาม : ไม่สบายใจ ลูกชายจะไปเกณฑ์ทหารปีหน้าค่ะ ?
ตอบ : สมัครไปเลย ชีวิตหนึ่งถ้าได้เป็นทหารแล้ว ต่อไปก็จะดีขึ้นทุกอย่าง เพราะเขาสอนให้เราหมด การเป็นทหาร สิ่งที่เขาฝึกหรือสิ่งที่เขาให้เราทำ ไม่ได้ลำบากถึงตายหรอก แต่สร้างความเข้มแข็งให้ทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้ารู้จักกอบโกยมา จะใช้ประโยชน์ได้ตลอดชีวิต แต่ส่วนใหญ่ไปกลัวเหนื่อย สมัยนี้เกณฑ์ทหาร ถ้าบ้านอยู่แถว ๆ ลพบุรี สระบุรี กรุงเทพฯ แถวนี้ นั่งรอเฉย ๆ โอกาสได้เป็นนั้นยากเต็มที เพราะเขาสมัครกันจนล้นทุกที อาตมาเรียนแทบเป็นแทบตาย สมัยนั้นจบมาเป็นนายสิบ เงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท สมัยนี้พลทหารเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท นี่เฉพาะเงินเดือนล้วน ๆ กินอยู่เสื้อผ้าอาภรณ์เขาให้หมด ยุคสมัยต่างกัน สมัยนั้นจบมานักเรียนนายสิบ เงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท เพิ่มค่าครองชีพ ๒๗๐ บาท เป็น ๒,๒๕๐ บาท แต่ว่าทองสมัยนั้นบาทหนึ่ง ๑,๘๐๐ - ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เงินเดือนซื้อทองได้บาทกว่า สมัยนี้ ๙,๐๐๐ บาท ซื้อทองได้ไม่เต็ม ๕๐ สตางค์ |
ถาม : ถ้าเอาท่านขันติวาทีเป็นตัวอย่าง แล้วพวกเขาไม่ยอมหยุดรังแก ยิ่งได้ใจ เขาก็รังแกจนตายเลยสิครับ ?
ตอบ : ท่านขันติวาทีก็ตาย แต่ว่าท่านตายพร้อมกับสภาพจิตที่ผ่องใส ปราศจากความคิดอาฆาตแค้นแม้แต่นิดเดียว โดยความรู้สึกของท่านก็คือ ในเมื่อคนเขาไม่รู้เขาก็ต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น เรารับไปก็แล้วกัน อย่างไรเสียชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว ถ้าเขาด่าก็ดีกว่าเขาตี ถ้าเขาตีก็ยังดีกว่าเขาฆ่า ถ้าเขาฆ่าเราก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนทำเองก็ตายได้สมใจ..ง่ายดี |
ถาม : ผมห่างจากศีล ๘ ทีไรแล้วมีแต่ความซวยทุกที ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็รักษาศีล ๘ สิวะ..! รู้อยู่ว่าห่างแล้วซวยก็อย่าห่างสิ |
ถาม : พอคิดอยากมีคู่ครองทีไร ก็มักจะเจอความทุกข์ใหญ่ ๆ ทุกที ?
ตอบ : เรียกว่าคนมีบุญ ควรจะรีบมีบ่อย ๆ จะได้เข็ดสักที คนอื่นขนาดทุกข์ท่วมหัว ยังไม่รู้ตัวเลย ส่วนเรายังไม่ทันจะเข้าใกล้ ยังทุกข์ขนาดนี้ ถ้าไม่เข็ดก็ให้มันรู้ไป |
ถาม : ผมพยายามจะเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นเขา พยายามลดพระที่ห้อยคอเท่าไร กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ?
ตอบ : อย่าให้เกิน ๑๐๘ องค์ ไม่อย่างนั้นก็จะหนักมาก..! คุณรู้จักพระครูแสงไหม ? รอบตัวท่านนี่ถ้าปลดออกมาก็หลายกิโลกรัมเลย คงรู้จักหลวงพ่อจำเนียรนะ ประมาณ ๓๐ กิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ ถาม : ท่านเดินได้อย่างไร ? ตอบ : เดินตัวปลิวเพราะเคยชิน ท่านก็เพิ่มตรงโน้นองค์ ตรงนี้องค์ กว่าจะได้อย่างนั้นก็หลายปี ไม่รู้สึกหรอกว่าหนัก ถ้าไปปลดออก ดีไม่ดีท่านลอยได้ หลวงพ่อทวน วัดตีนตก ถึงเวลาเอาย่ามลงแล้วจะเดินจงกรม ต้องถือแกลลอนน้ำ ๕ ลิตร ๒ ใบ ถามว่าหลวงพ่อทำไมต้องถือแกลลอนด้วย ? "เฮ้ย..ไม่ถือเดินไม่ได้เว้ย" ย่ามท่านใบหนึ่งประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ๒ ใบก็ ๖๐ กิโลกรัม พอเอาย่ามลงตัวจะลอย ต้องเอาแกลลอนน้ำ ๒ ใบ ถ่วงตัวเองไว้ถึงจะเดินจงกรมได้ ถาม : มีคนบอกว่า วัตถุมงคลเอาไว้ที่บ้านก็ได้แล้วก็นึกถึงเอา ผมว่ากำลังใจผมยังไม่ได้สูงขนาดนั้นที่จะนึกถึงได้ตลอดเวลา ? ตอบ : ต้องบอกว่า "กูยังไม่เก่งเท่ามึง แขวนก็หนักคอกู หนักหัวกู ไม่ได้หนักหัวมึงซะหน่อย..!" แล้วก็วางมวยกันอีก คุณเกิดราศีเดียวกับพระครูแสง คือเกิดราศีตีน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เรียกตีนได้เสมอ ฉะนั้น..มีอะไรก็ไปปรึกษาท่านแล้วกัน ตอนสมัยฆราวาส ท่านช่วยหาตีนมาให้ผมเป็นประจำ เดี๋ยว ๓ คน เดี๋ยว ๕ คน ไม่เคยมาเดี่ยวเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งมา ๓๐ กว่าคน บังเอิญอาตมาก็ถอยไม่เป็นเสียด้วย มาถึงก็มองหน้า "มึงจะเอาหรือ ?" กะว่าคนข้างหน้าสัก ๒ – ๓ คน จะซัดให้ร่วงแล้ววิ่ง ไม่ใช่เสือกไปเก่ง อาตมาไม่ใช่พระเอกนี่หว่า ปรากฏว่าพวกนั้นโดนมือโดนตีนกันจนเคยแล้ว พออาตมาดาหน้าเข้าใส่ ก็ผลักกันอุตลุด ผลักกันไป รวนกันมา ท้ายสุดมีคนได้สติบอกว่า "พี่ ๆ ผมมาปรับความเข้าใจ" มาปรับความเข้าใจ มึงมาทีขนาดนี้เลยหรือ ? ถ้าวันนั้นกูไม่สู้ กูก็ตาย..! |
ถาม : หลวงพ่อท่านพระครู ท่านอยากจะทำบุญวัด ทีนี้มีศาลหลังหนึ่งเก่าแก่มาก และมีหลายคนบอกกล่าว ไม่ทราบว่าควรไปรื้อศาลหรือเปล่า ?
ตอบ : ปรึกษาชาวบ้านสำคัญที่สุด ฟังเสียงชาวบ้าน ถ้าเราไม่ฟังเดี๋ยวเป็นเรื่อง ถ้าชาวบ้านเขาไม่เอาด้วยอย่าไปแตะ ถ้าชาวบ้านเขาเอาด้วย ยังโบ้ยไปได้ บอกผีว่าชาวบ้านเขาต้องการอย่างนี้..! |
มีพระที่เรียนบาลีมากราบทำบุญกับพระอาจารย์ "การเรียนบาลีต้องอาศัยสมาธิและกำลังใจเป็นอย่างสูง สมัยที่อาตมาเรียนอยู่ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เมตตาบอกว่า “ท่านเล็ก..อย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาดนะ ทิ้งเมื่อไรจะท้อ” ท่านเองลุยมาจนถึงประโยค ๙ เรื่องที่ท่านแนะนำมาจะต้องใช่แน่
ตอนเรียนปริญญาเอกก็เหมือนกัน คนอื่นเขาท้อ อาตมาไม่ท้อหรอก ลุยไปอย่างเดียวเลย ท่านอาจารย์จะสั่งแก้กี่ครั้งก็ให้สั่งมาเถอะ มีปัญญาสั่งผมก็มีปัญญาแก้ วันก่อนแม่ชีตุ๊ขอตัวอย่างวิทยานิพนธ์ไปดู บอกว่า “โอ้โห..หลวงพ่อทำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ต้องได้วิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมแน่เลย” ไม่ได้หรอก เขาให้แค่บีบวก เกิดมีคนทำดีกว่านี้เดี๋ยวไม่มีเอจะให้ ไปนึกถึงท่านอาจารย์ปู่ (ดร.ทรงวิทย์ แก้วศรี) เรียนปริญญาเอกตอนอายุ ๖๘ ปี ใช้เวลาในการค้นคว้าวิทยานิพนธ์ ๖ เดือน เขียนอีก ๒ เดือน เขียนเสร็จก็เข้าโรงพยาบาลไปเลย มานึก ๆ ดูน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะอาตมาก็ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือนกว่า ตอนที่ทำอยู่จัดเป็นมโนสัญเจตนา คือ ความมุ่งมั่น ทำให้ไปได้เรื่อย คราวนี้พองานเสร็จความมุ่งมั่นหมด ถึงได้รู้ว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว ท่านก็เข้าโรงพยาบาลเลย" ถาม : แรก ๆ ก็มุ่งมั่น แต่ต่อมาก็ท้อ ? ตอบ : เขามีความมุ่งมั่น แต่ว่ากำลังสมาธิไม่พอที่จะหนุน ในเมื่อกำลังสมาธิไม่พอที่หนุนก็ท้อ หมดกำลังใจ |
ถาม : อาจารย์เขาให้ท่องก่อน ?
ตอบ : เรื่องของการท่องจำบาลีนั้นจำเป็นมาก ๆ เพราะเป็นพื้นฐานที่ใช้ได้ยันประโยค ๙ เพราะฉะนั้น..ประโยค ๑-๒ นี่เป็นประโยคที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณผ่านได้ก็มีพื้นฐานทั้งหมด พอ ๑-๓ ผ่านแล้ว ประโยค ๔-๖ ก็ใช้จาก ๑-๓ นี่แหละ แล้วไปเรียนรู้เพิ่มตอนประโยค ๗-๙ ว่าวิธีการแต่งฉันท์มีวิธีการเป็นอย่างไร หลักการเดียวกัน คราวนี้คุณสวดมนต์ไปก็จะสงสัยว่าทำไมถึงเป็น “ชรา ธัมมาหิ” ทำไมถึงไม่เป็น “ชรา ธัมเมหิ” เพราะเริ่มรู้แล้ว รู้ว่าอันนั้นผิดแน่ ถาม : จริง ๆ ตอนเรียนไม่หนักใจครับ หนักใจตรงท่องมากกว่า ? ตอบ : จำเป็น..เราต้องท่องหนีอาจารย์ให้ได้ ถ้าท่องหนีอาจารย์ไม่ได้จะไล่อาจารย์ไม่ทัน แล้วจะเหนื่อย ผมถึงยืนยันตั้งแต่แรกว่าพวกคุณต้องท่องหนีอาจารย์ไปไกล ๆ เลย ๘ หน้า ๑๐ หน้าได้ยิ่งดี ถาม : ท่องได้นี่ผมว่าเก่งเลย ? ตอบ : ผมยืนยันว่าถ้าจบประโยค ๙ นี่เท่ากับจบ ดร. ๓ ใบเลย พวกคุณไม่ค่อยเชื่อผม ใครมีพื้นฐานบาลีมานี่เรียนทางโลกสบายทั้งนั้น |
ถาม : ...(ธงมหาพิชัยสงคราม)...
ตอบ : ผืนนี้นะใช่เลย คราวนี้เห็นหรือยังว่าเนื้อผ้าต่างจากเมื่อวานขนาดไหน ผืนนี้เป็นแบบขนาดเล็ก ลองเอาไปเปรียบกันว่าเนื้อผ้าต่างกันอย่างไร ถาม : ที่ไหนมีคะ ? ตอบ : ถ้าที่บ้านสายลมน่าจะพอมีบ้าง จำลักษณะผ้าไว้ ถ้าผิดไปจากนี้ไม่ใช่ เมื่อวานเปิดหนังสือพระเครื่องดู หมวยนี้อยู่ใกล้ ๆ อาตมาบอกไปว่าพระองค์โน้นสวยกว่า เขาถามว่าสวยกว่าอย่างไร ก็เลยเปิดกลับไปให้ดู เขาบอกว่า “โห..หลวงพ่อมองแวบเดียวเองหรือ ?” ก็จะเอาอะไรนักหนา คนจำแม่นก็ได้เปรียบ |
การดูพระเครื่อง อันดับแรกพิมพ์ทรง อันดับที่สองเนื้อหา คราวนี้พิมพ์ทรงก็มีหลายพิมพ์..ต้องจำแม่น แล้วก็เนื้อหามวลสารเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเป็นโลหะก็จะต้องจดจำได้ว่าโลหะเก่ามีลักษณะอย่างไร โลหะใหม่มีลักษณะอย่างไร เหรียญรุ่นนี้ใช้วิธีทำแบบไหน หล่อแบบไหน เป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ถ้ารุ่นใหม่จะใช้หินเจียรตัดแต่ง ถ้ารุ่นเก่ามักจะใช้ตะไบ ตะไบรอยจะตรง ๆ หินเจียรรอยจะโค้ง ๆ เหรียญรุ่นเก่าบางรุ่นเขาปั๊มแล้วมีปีกมาก็ต้องตัดขอบ การตัดขอบมีลักษณะอย่างไรต้องจำให้แม่น
เดี๋ยวว่าจะทำเหรียญสักรุ่นหนึ่งที่เป็นขอบสตางค์ ปลอมยากดีแท้เลย เป็นร่อง ๆ ต้องปั๊มจากแม่พิมพ์เลย แล้วคนทำจะท้อไปเอง แต่ละเส้นกว่าจะทำได้ ถาม : เหรียญปลอมนี่รุ่นกี่ปีมาแล้ว ? ตอบ : มีปลอมเก่า ประเภท ๔๐-๕๐ ปีเริ่มมีปลอมเพราะของหายาก มารุ่นหลัง ๆ ก็แขวนเหรียญปลอมเก่า แขวนพระปลอมเก่าด้วยความปลื้มใจ หารู้ไม่ว่าเป็นของเก่าเขาปลอมกันมานาน หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยทำพระสมเด็จวัดระฆังปลอม ศึกษาเนื้อหามวลสารเสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็จัดการผสมให้ได้อย่างนั้น แกะพิมพ์แล้วผสมผง ทำออกมา ทำเสร็จตากแห้งแล้วก็เอาไปแช่น้ำชาแก่ ๆ ให้สีได้ พอตากแห้งอีกรอบก็เอาใบตองแห้งขัด เพราะถ้าหากว่าใช้อย่างอื่นขัดจะกินเนื้อ คราวนี้ใบตองไม่มีความสาก ขัดเพื่อให้เนื้อหาสึกแล้วดูเก่า เสร็จแล้วก็เอาไปให้เซียนดู โอ๊ย..รีบตีราคาให้ ท่านบอกว่าโง่ฉิบหายเลย ของน้ำหนักขนาดนี้เห็นเป็นของเก่าได้อย่างไร ของเก่าต้องเบาสิ ท่านบอกว่าแค่ลองทำดูว่าจะเหมือนไหม |
สมัยนี้บรรดาวัดที่จัดปริวาสเขาจะมีแก๊งปลอมพระเข้าไปอาศัย จัดการทำกันในป่าปริวาสนั่นแหละ ๙ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ผลิตกันครึกครื้น วิธีทำให้เก่าแตกลายงาของเขานี่ใช้วิธีทอดน้ำมันเลย พวกนี้ได้ลงกระทะพิเศษแน่นอน เล่นเอาพระไปทอดน้ำมัน..!
ถาม : เขาทอดทำไมคะ ? ตอบ : ให้ผิวแตกลายงา แล้วก็ดูฉ่ำเพราะอมน้ำมัน แต่คราวนี้ถ้าคนดูเป็นจะดูออกว่าฉ่ำแบบเกรียม ๆ ถ้าคนดูไม่ออกอย่างพวกรุ่นใหม่ประสบการณ์ยังน้อย ก็อาจจะโดนหลอกได้ ขอให้ตั้งใจไว้ว่าของดีมาไม่ถึงมือเราหรอก ถ้าอย่างนั้นจะปลอดภัย ดูไปเรื่อย อันไหนถูกตาก็เวียนดูสัก ๓ รอบ ๘ รอบ ถาม : ยกเว้นที่พระอาจารย์ให้บูชาทำบุญสร้างพระทองคำ ? ตอบ : อันนั้นจะจริงจะปลอมนี่เขาบูชาด้วยศรัทธา ไม่ต้องไปกังวล เขาตั้งใจทำบุญ วัตถุมงคลเป็นเพียงของแถม |
ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง วิสัยเดิมท่านมาสายพุทธภูมิ เวลาท่านอยากรู้ท่านก็ลงมือทำเลย แล้วก็จะทำได้แบบประสบความสำเร็จด้วย ท่านบอกว่าตอนที่ท่านเป็นเภสัชกรทหารเรือ ท่านผสมยาตัวหนึ่ง ถึงเวลาแล้วฉีดล้างโพรงมดลูกผู้หญิงไม่ให้ตั้งท้องได้ แต่ได้เป็นครั้งนะ ท่านผสมน้ำเกลือกับอะไรก็ไม่รู้ ฉีดล้างทำให้ไม่ท้อง ท่านบอกว่าท่านมีประเภทคู่รักคู่เล่นชั่วคราวเยอะ แต่ไม่เคยท้อง ก็อาศัยวิธีนี้แหละ
ถาม : แบบเดียวกับที่สัตวบาลฉีดคุมกำเนิดสัตว์หรือคะ ? ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ท่านเองท่านเรียนเภสัชกรแผนโบราณ แต่ที่ท่านบอกมานี่เป็นวิธีการของหมอสมัยใหม่เลย เพียงแต่ว่าท่านไปศึกษาเพิ่มเติมตอนไหนไม่รู้ เพราะว่าน้าท่านก็คือคุณหลวงสุวิชานแพทย์เป็นเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ท่านบอกว่าท่านไม่อยากรับราชการ เพราะว่าบรรดาญาติ ๆ ไม่เป็นทหารก็เป็นตำรวจ ท่านก็เลยหนีไปเป็นเภสัชกรแผนโบราณ กะว่าจะเป็นหมอแก่ ๆ อยู่ต่างจังหวัด ที่ไหนได้..พอได้รับวุฒิบัตรวันนั้นคุณน้าก็มาถึงเลย มาถึงก็ “ไอ้เล็ก..เก็บผ้า ข้าบรรจุให้เอ็งแล้ว” จบเลย เพราะท่านเป็นเจ้ากรมแพทย์นี่ ท่านมีสิทธิ์บรรจุคนไม่รู้ตั้งเท่าไร เอาชื่อหลานใส่คนเดียวจะยากตรงไหน วิสัยที่เป็นทหารมาทุกชาติ อย่างไรก็ต้องเป็น มีเหตุบังคับให้เป็นจนได้ |
อาตมาเองก็เหมือนกัน ไม่ได้คิดจะเป็นทหาร ถึงเวลาสถานการณ์บังคับ ถ้าอาตมาอยู่คนอื่นจะเดือดร้อน เพราะว่าช่วงนั้นจะเป็นการสืบทอดกิจการ อาตมาไปทีหลัง พระครูแสงเขาไปก่อนตั้ง ๓ ปี เพียงแต่ว่าการคิดงานทำงานของท่านสู้อาตมาไม่ได้ แล้วกลายเป็นว่ากิจการจะมาตกอยู่ในมือของอาตมา ก็มาคิดว่า “เอ..ถ้าเป็นเรามาก่อน ๓ ปี แล้วเขาบอกว่าจะให้เราสืบต่อกิจการ แล้วอยู่ ๆ กลายเป็นคนอื่น ถ้าเป็นเราจะยอมไหม ?” เลยคิดว่าถ้าเป็นเราก็คงไม่ยอมเหมือนกัน ถ้าเราอยู่ไปแล้วกลายเป็นของเรา น้องเขาคงต้องคิดเหมือนกัน
พอดีได้จังหวะเกณฑ์ทหารจึงสมัครไปเลย ไปให้พ้นไปเสีย พอไม่มีอาตมาพี่เขาจะได้ยกให้พระครูแสง แต่ที่ไหนได้..พระครูแสงก็เผ่นตาม เขาไม่ได้สมัครหรอก เขาจับได้ใบแดง ช่วงก่อนเป็นทหารพระครูแสงเกเรมาก ก็คือเมาหัวราน้ำ เหล้า บุหรี่ กัญชา เอาหมดทุกอย่าง ทางบ้านก็อยากให้โดนดัดสันดานประเภทส่งไปไกล ๆ เลย ปรากฏว่าเจ้าประคุณเอ๋ย พอแยกหน่วยเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาลงข้างบ้านเอง บ้านอยู่ปากทางสนามบินกำแพงแสน แล้วเขาไปลงสนามบินกำแพงแสน คนอื่นนี่กว่าจะตะเกียกตะกายถึงบ้าน บางคนอยู่ตาพระยา บางคนอยู่สุราษฎร์ธานี เขาเองบอกว่ามีสตางค์ ๒ บาทก็กลับบ้านได้ แต่คนอื่นเขาเดินทาง ๒ วัน ลา ๑๐ วันเหลือ ๖ วัน เขาเองเสาร์อาทิตย์กลับบ้านได้ มีสตางค์ ๒ บาทก็ถึงบ้านแล้ว |
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนบอกว่า “เล็ก...ถ้าแกลาพุทธภูมิกำลังจะตกนะ” อาตมาก็พิจารณาตัวเอง สมาธิก็เท่าเดิม ความคล่องตัวทุกอย่างก็มีอยู่ กำลังใจก็บ้าเหมือนเดิม ตกตรงไหนหว่า ? พอผ่านไประยะหนึ่งถึง อ๋อ..ใช่..ตกจริง ๆ ก่อนหน้านี้เห็นคนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าไปช่วยเขา แต่ตอนนี้ถ้าไม่ได้มาล้มทับตีนจนเดินไม่ได้ จ้างก็ไม่ช่วยหรอก..!
แต่พระครูแสงนี่เห็นชัดเลยว่ากำลังตก ท่านออกปากเลยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คำว่ายากกูไม่ทำ” ก่อนนั้นยากแค่ไหนก็สู้ พอลาพุทธภูมินี่คำว่ายากกูไม่ทำ กูเหนื่อยมาเยอะแล้ว จะเอาสบายบ้าง |
ถาม : ตอนที่แบกถังน้ำมัน ๔๐ ลิตร ๒ ถังเดินเข้าป่านั้นลาพุทธภูมิแล้วยังครับ ?
ตอบ : ลาตั้งชาติแล้ว ถาม : ลาแล้วยังช่วยเขาขนาดนั้นเลยหรือครับ ? ตอบ : อาศัยรถเขา ถึงเวลาเขาลำบากแล้วเราจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไรเล่า ? กตัญญู (รู้คุณ) แล้วต้องมีกตเวที (ตอบแทน) ด้วย ถาม : ช่วยเยอะไปไหมครับ ? ตอบ : จะเรียกว่าเยอะก็เยอะในความรู้สึกของคนอื่น ในความรู้สึกของอาตมานั้นไม่ใช่ แค่แบกน้ำมัน ๔๐ ลิตรเดินผ่านทุ่งใหญ่ ๙๐ กว่ากิโลเมตร มากตรงไหน ? ตอนนั้นโยมเขาไม่รู้ เขาสอบติดมหาวิทยาลัยก็ไปฉลองกัน เอารถโฟร์วีลจากบ้านได้ก็วิ่งไป ปรากฏว่าไม่รู้จักทุ่งใหญ่ พวกบอก “เฮ้ย..รถเราโฟร์วีล..เข้าทุ่งใหญ่ได้” เขาก็ไปเลย เขาไม่รู้ว่าทุ่งใหญ่มีบ้านเฉพาะหัวกับท้าย แล้วรถตัวเองก็ดันเป็นเครื่องเบนซิน ในป่าเขาใช้ดีเซลกันทั้งนั้น พอน้ำมันหมดก็เดี้ยงนะสิ อาตมาซวยเองแหละที่เขาให้อาศัยรถแล้วก็ดันไปกับเขา พอรถพังก็เลยต้องช่วยกันเข็น เข็นจนไม่มีแรงจะเข็นแล้ว ท้ายสุดเจอรถคนอื่นก็อาศัยออกมาซื้อน้ำมันกลับเข้าไปให้เขา เป็นการทดสอบกำลังใจว่า ลำบากแค่นี้สู้ไหม ถ้าไม่สู้ก็เสียทีเคยเป็นพุทธภูมิ เข็นรถแค่ ๖๐-๗๐ กิโลเมตร เข็นไม่ได้หรืออย่างไรวะ ? เวลาเข็นขึ้นเนินนี่รสชาติของชีวิตเลย ช่วยกันยัน ช่วยกันดันขึ้นไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไล่ไป ถาม : ยังดีที่ไม่ไหลกลับนะคะ ? ตอบ : ไหลคืนนะสิ อาตมาโดนทับมือแบนแต๋เลย พอชักมือออกมา มือดิ้นเองเลย เจ็บจนดิ้นเอง ถาม : แล้วเขาไม่มีโทษใช้พระหรือครับ ? ตอบ : เขาไม่ได้ใช้ อาตมาไปช่วยเขาเอง เขาไม่ได้คิดว่าพระจะช่วยหรอก เพราะปกติถ้าเป็นพระอื่นก็ยืนดู ยังคบหากันมาจนทุกวันนี้ ว่างเขาก็แวะไปหา เมื่อปีก่อนคิดถึงทนไม่ไหวก็โผล่ไปที ปีก่อนมาก็ถาม “หลวงพี่..มียาจินดามณีหลวงปู่บุญ..เอาไหม ?” อาตมาว่า “เฮ้ย ยังมีหรือ?” “มีครับ..บ้านผมเก็บไว้เยอะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งมา” เขาก็แบ่งมาให้ ๒ เม็ด กลายเป็นสีขาวมอ ๆ หมดแล้ว ไม่มีความดำเหลือแล้ว กลิ่นก็ไม่มีแล้ว เขาเอาใส่กรอบแขวนคออยู่ เลยแบ่งมาให้ ๒ เม็ด กะว่าถ้ามีโอกาสทำพระผงจะผสมให้หมด ตอนนี้มีลูกอมผงหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก มีเยอะเลยเก็บไว้ แต่เมื่อวานให้เขาเอาชานหมากหลวงปู่ทิมไปลงเว็บหมดแล้วนี่หว่า !? |
อะไรที่เก็บ ๆ ไว้อาตมาก็เก็บไปอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็ให้คนอื่นหมด จนบางคนเขาเห็นอาตมาให้อะไรคนอื่นไป เขาถามว่าตัดใจได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่า “นี่ไม่ได้ตัดเลยนะ เพราะไม่ได้อยู่ในใจแต่แรกแล้ว”
มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ที่วัดทองผาภูมิ พวกบรรดาชาวบ้านเขามาประท้วง เพราะเจ้าอาวาสเก่ากลัวว่าอาตมาจะไปเบียดตำแหน่งเขา เห็นทำนั่นทำนี่ใหญ่โตแล้วชาวบ้านเขาศรัทธา กลัวว่าอาตมาจะไปเบียดตำแหน่ง ก็เลยพาพรรคพวกเขามาประท้วง มาแค่ ๗-๘ คนเท่านั้นแหละ เสร็จแล้วทางคณะสงฆ์ก็บ้าจี้ เพราะว่าช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่ามะขามท่านจะตั้งให้อาตมาเป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอ พวกที่อยากได้ก็เลยร่วมหัวกัน ประเภทกล่าวหาว่าอาตมาไปทำลายของสงฆ์ คือของที่หมดสภาพอาตมาก็รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ จึงมีการสอบสวนกัน อาตมาก็ถือไมค์ให้พูดทีละคนไปเลย พอสอบเสร็จสรรพเรียบร้อย ไม่มีปัญหาคาใจอะไรอาตมา ก็กลับมานอนที่วัดท่าขนุน พอนอนไปประมาณ ๒ ทุ่มกว่า อ้าว..ลืมย่าม ลืมย่ามทิ้งไว้ที่วัดทองผาภูมิ ในย่ามก็มีมีดหมอชาตรี ใบมีด ๗ นิ้วของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่เล่มหนึ่ง ลุกขึ้นหัวพ้นหมอนมาได้สักคืบหนึ่ง ก็ทิ้งตัวนอนลงไปใหม่ คิดว่า “ถ้าของแค่นี้ตัดไม่ได้ มึงจะไปตัดอะไรได้วะ” แล้วก็หลับต่อ ปัญญามาเร็วมาก ๆ เลย ประเภทหัวพ้นหมอนไปไม่ถึงคืบความรู้สึกวูบขึ้นมาเลย “ถ้าแค่นี้มึงตัดไม่ได้ แล้วจะไปตัดอะไรได้” เลยทิ้งตัวลงนอนต่อเลย รุ่งเช้าค่อยไปดู ยังอยู่..ไม่มีใครกล้าหยิบ เขาเองคงประเภทกำลังใจตัวเองคิดอย่างไร ก็คิดว่าคนอื่นคิดอย่างนั้น อาจจะคิดว่าอาตมาขุดบ่อล่อปลาทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวจะไปแจ้งความว่าขโมยของ บังเอิญเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้อาตมาเลิกทำมานานแล้ว ทุกวันนี้พวกชาวบ้านเขาบ่นว่า “ดูสิ..วัดท่าขนุนเจริญเอา ๆ พวกตัวถ่วงโลก หนักแผ่นดิน ไม่อยากได้พระอาจารย์เล็ก วัดวาอารามดูไม่ได้เลย” แล้วจะบ่นไปทำไม ? |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.