กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4433)

เถรี 10-05-2015 14:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาญาติโยมทำบุญรับวัตถุมงคล พอเขาวนมาอาตมาก็บอกได้ว่า คนนี้รอบที่ ๕ คนนี้รอบที่ ๘ บางทีเขาคิดว่าอาตมาพูดเล่น แต่บอกตรง ๆ ว่าอาตมาจำได้จริง ๆ"

เถรี 10-05-2015 14:45

ถาม : ท่านห้ามไม่ให้คิดชั่วอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ได้เลย จินตนาการบรรเจิดมาก แต่พอเห็นทุกข์เห็นโทษเข้า ก็รู้จักหยุดตัวเอง หลังจากนั้นพอกำลังสมาธิของเราดีขึ้น ก็ห้ามได้ พอไม่ได้ทำนาน ๆ ก็ชักลืม ก็คือลืมไปว่าจะคิดชั่วอย่างไร

อันดับแรก สติของคุณต้องมีก่อน ถ้าคุณไม่มีสติก็จะเพลิดเพลินเจริญใจไปกับการคิดชั่ว คราวนี้พอมีสติแล้ว จะหยุดให้ได้ก็ต้องมีกำลังของสมาธิ เพราะถ้ากำลังสมาธิไม่พอ คุณก็ไม่สามารถหักห้ามกำลังความคิดของตัวเองได้ หลังจากที่ห้ามอยู่แล้ว คุณก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายขายให้ขาด ก็ต้องมีปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าถ้าเราคิดไปแล้วจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่เราอีกยาวนานเท่าไร ก็จะเกิดความรู้สึกเข็ด แล้วก็เห็นชัดว่านี่คือสาเหตุที่สร้างทุกข์ให้แก่เรา แล้วก็ปล่อยวาง

ในเมื่อปล่อยไม่ไปสร้างเหตุ ความทุกข์ก็ไม่เกิด แล้วคราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ พอจะคิด สติก็จะรู้เท่าทันขึ้นมา ก็จะเตือนตัวเองว่า ถ้าคิดดีจะเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดไม่ดีจะเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็จะเลือกแต่ด้านที่ดีเอาไว้

อย่างนี่ก็เป็นกระติกน้ำธรรมดา แต่ถ้าเราคิดว่าตอนนี้อากาศร้อน ได้น้ำแข็งเสียหน่อยก็ดี โลภมาแล้วใช่ไหม ? นั่นแหละ..โลภแล้ว วันก่อนใส่น้ำเอาไว้ คนอื่นมาถึงแดกหมดแล้วก็ไม่ใส่คืนให้เราด้วย โทสะเกิดแล้ว หรือวันนั้นสาวเขาอุตส่าห์แช่น้ำไว้ให้เราอย่างดี อ้าว...ราคะเกิดอีกแล้ว
รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างอยู่ที่เราคิดจริง ๆ เพราะฉะนั้น..พอเห็นปุ๊บว่าคิดแล้วจะเป็นโทษอย่างไร ก็จะหยุดทันที ในเมื่อหยุด กระติกก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้หรอก นี่บอกข้ามไปเยอะแล้ว

เถรี 10-05-2015 14:46

ถาม : ถ้าเราตั้งกำลังใจว่าจะนั่งสมาธิวันละ ๑๐ นาที กับเราเห็นพระทั้งวัน อย่างไหนควรทำมากกว่ากัน ?
ตอบ : การเห็นพระทั้งวันก็เป็นสมาธิอยู่แล้ว

เถรี 12-05-2015 14:44

ถาม : ไปถวายตะกรุดมหาสะท้อนให้หลวงพ่อจำเนียร กราบเรียนว่าตะกรุดมหาสะท้อนของพระอาจารย์เล็ก ท่านบอกว่าอันนี้ดีมากเลยนะ แล้วท่านก็เก็บเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปค่ะ ?
ตอบ : ได้โปรดอย่าเอาไปให้ท่านบ่อย มีเท่าไรท่านเก็บเรียบ เวลาคนอื่นเล่นงานหลวงพ่อจำเนียร ท่านแผ่เมตตาให้อย่างเดียว คือวิชาการสายที่ท่านเรียนมาไม่มีประเภทตอบโต้เขา ถึงมีก็อยู่ในลักษณะการใช้ไสยศาสตร์สู้ไสยศาสตร์ ไม่ใช่แบบพุทธคุณที่ไสยศาสตร์เข้าไม่ได้แล้วย้อนกลับไป

จำได้ว่าท่านให้คดมะพร้าวมา น่าจะเป็นจาวมะพร้าวที่เป็นหิน เล็กนิดเดียว ไม่รู้เอาไปไว้ไหน หาไม่เจอแล้ว

สมัยก่อนเวลาพุทธาภิเษกงานเดียวกับท่าน อาตมาก็อู้ เข้าสมาธิเฉย ๆ ดูหลวงพ่อท่านทำ ไม่ต้องเหนื่อยเอง ท่านไปอยู่ราชบุรีก็ดีแล้ว ลูกศิษย์ไปหาง่ายหน่อย สมัยก่อนกว่าจะไปถึงกระบี่ได้ก็ไกล ไปถึงท่านก็ไม่อยู่อีก ช่วงบวชใหม่ ๆ บรรดารุ่นพี่ ๆ เขาชวนไปหาหลวงพ่อจำเนียรบ่อย ไปกันทีก็ ๗-๑๐ วัน อย่างไรก็ต้องรอจนกว่าจะได้พบ


ถาม : เพิ่งรู้ว่าท่าน ๘๐ กว่าแล้ว ?
ตอบ : ท่านเดินลมปราณตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ ก็เลยแข็งแรง ท่านเคยสอนให้เหมือนกัน ปรากฏว่าดูไปดูมาแล้วคล้าย ๆ กับไท้เก๊ก มีพวกท่าอุ้มโลกแบกโลกอะไรของท่านด้วย

นึกถึงครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ต้องไปสร้างวัดโน้น บูรณะวัดนี้ เหมือนกับไปใช้หนี้เขา ทำไปหลายวัดด้วยกัน กว่าจะไปปักหลักอยู่จริง ๆ สักวัดหนึ่ง อย่างหลวงพ่อจำเนียร คิดว่าท่านจะปักหลักที่ถ้ำเสือ ไป ๆ มา ๆ ก็มาอยู่ที่เขาหลาว หลวงปู่สุภาก็คิดว่าท่านจะอยู่จนมรณภาพที่ภูเก็ต ปรากฏว่าท่านกลับไปบ้านท่านที่สกลนคร

เถรี 12-05-2015 14:52

ถาม : ตอนแวะไปกราบหลวงตาชลอ ที่วัดศาลพันท้าย และกราบเรียนว่าจะไปกราบหลวงพ่อจำเนียรที่วัดเขาหลาว หลวงตาชลอท่านบอกว่า วัดเขาหลาวเป็นสาขานะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นสาขาของทางด้านวัดถ้ำเสือ เพราะว่าถ้าไม่ยกเป็นสาขา ก็จะต้องขอตั้งเป็นสำนักสงฆ์ ขอตั้งเป็นวัด ซึ่งขั้นตอนจะยุ่งยากกว่าเยอะ แต่ถ้าติดป้ายสาขาลงไปเลย ก็คือวัดถ้ำเสือนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเป็นสาขาเขาหลาว เท่ากับเป็นวัดไปในตัว เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดถ้ำเสือ เพราะว่าที่ดินวัดจะมีที่ตั้งวัด ที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา

ที่ตั้งวัดก็คือที่ ๆ วัดนั้นอยู่ ซึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เรียกง่าย ๆ ว่าที่ตั้งโบสถ์ ผืนเดียวกับที่ตั้งโบสถ์ทั้งหมด จะกี่ร้อยกี่พันไร่ก็ตามจัดเป็นที่ตั้งวัด ส่วนที่ธรณีสงฆ์จะเป็นที่ใดก็ได้ในโลกนี้
ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดนั้น ถ้าเป็นที่ผืนเดียวกับที่ตั้งวัดเก่า แล้วอยู่ ๆ มีทางสาธารณะตัดผ่าน อย่างนั้นฝั่งที่ตั้งวัดก็เป็นที่ตั้งวัดเหมือนเดิม ส่วนอีกฝั่งจะกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์ไปทันที ส่วนที่กัลปนาจะเป็นที่ซึ่งเจ้าของที่ดินอนุญาตให้ทำประโยชน์บนที่ดิน อย่างเช่น ปลูกข้าว ปลูกผลไม้ หรือสร้างอาคารพาณิชย์ให้เช่าอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็เก็บประโยชน์จากที่ดินนั้นได้ แต่ที่ดินยังเป็นของเจ้าของอย่างเดิม ถ้าหากว่าปักป้ายว่าเป็นสาขา ก็เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดที่เป็นสาขาใหญ่

บางทีที่วัดเก่า เห็นว่าโบสถ์เล็กไป หรือว่าโบสถ์เก่าแล้ว อยากสร้างใหม่ ก็ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ได้ ท่านก็จะให้ไปว่ากี่วา พอพระราชทานให้ คราวนี้จะเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัด ในเมื่อเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัด แบบเดียวกับที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ที่โดนรัชกาลที่ ๔ ไล่ออกจากแผ่นดิน ท่านก็ไปอยู่ในโบสถ์ บอกว่าตรงนี้เป็นที่ของวัดแล้ว ไม่ใช่สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์แล้ว

ส่วนสุนทรภู่หนีราชภัยก็ลอยเรือ ถือว่าอยู่ในน้ำไม่ได้อยู่บนบก ในเมื่อท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นน้ำ ลอยเรืออยู่ในน้ำ ของสุนทรภู่ต้องบอกว่า ท่านแทงหวยผิด เพราะว่าท่านเข้าข้างสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎมาตลอด แต่บรรดาข้าราชบริพารต้องการให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชย์ ตัวเองไปกีดไปกัน ไปแสดงท่าทีอะไรต่อมิอะไรเอาไว้เยอะ พอถึงเวลาเสด็จขึ้นครองราชย์ กลัวว่าจะโดน ก็เลยหนีไปบวช ต้องบอกว่าระแวงโดยใช่เหตุ รัชกาลที่ ๓ ท่านไม่เคยที่คิดจะเบียดเบียนอะไรเลย มีแต่สุนทรภู่ไปเขียนกลอนด่าพระองค์ท่านไว้เยอะแยะ ต้องบอกว่าคนเรากำลังใจแค่ไหนก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ในเมื่อคิดว่าตัวเองเอาคืนแน่ พอถึงเวลารัชกาลที่ ๓ ก็คงจะเอาคืนเหมือนกัน

เถรี 12-05-2015 15:07

ถาม : เจ้าคุณศรีเป็นสมณศักดิ์หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าจบประโยค ๙ แล้วเป็นเจ้าคุณจะขึ้นด้วยคำว่า ศรีหรือเมธี อย่าง ศรีวิสุทธิวงศ์ ศรีวิสุทธิเมธี ศรีวิสุทธิโมลี เมธีธรรมาจารย์ เมธีปริยัติวิบูล ฯลฯ

ต้องบอกว่าสมณศักดิ์ บ่งถึงวิทยฐานะ มีอยู่ตำแหน่งหนึ่งที่ขึ้นว่าเจ้าคุณศรีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ประโยค ๙ เป็นประโยค ๘ ก็คือศรีสุธรรมเมธี ให้สำหรับท่านที่เป็นประโยค ๘ โดยเฉพาะ

เถรี 12-05-2015 15:07

ถาม : แม่ย่าเสืองที่สุโขทัยเป็นใคร และเกี่ยวเนื่องอะไรกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : เชื่อว่าท่านก็คือแม่ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ไม่อย่างนั้นก็เป็นวงศ์พระร่วง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกันยาวนานลงมา เพราะว่าหลวงพ่อท่านก็เคยเกิดในวงศ์นั้น

เถรี 12-05-2015 15:10

ถาม : มีคนกลุ่มสุโขทัยค่ะ กำลังจะอัญเชิญรูปหล่อพระแม่ย่า ที่หล่อพิธีใหญ่เมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้ว และจะจัดทำหนังสือประวัติถ้ำแม่ย่าด้วยค่ะ ?
ตอบ : ทำไปเถอะ อะไรที่เป็นความดี โดยเฉพาะในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งนานไปคนเรามีการศึกษาแบบตะวันตกมากขึ้น ก็เกิดความลังเลสงสัยในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากขึ้น เราจะสังเกตว่าของต่างประเทศเขา ถ้าไปสัมภาษณ์ว่านับถือศาสนาอะไร มีจำนวนมากเลยที่บอกว่าไม่มีศาสนา ก็คือการศึกษาทำให้ไปเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์แทน ก็ต้องบอกว่าทิ้งของดีไปเอาของปลอมมาแทน ทิ้งเพชรไปเอาพลอยหุงมาแทน

เจอหน้าหลวงตาวัชรชัยยังบอกท่านเลยว่า "นี่ผมจบด็อกเตอร์แล้วนะ ผมจะเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว" หลวงตาก็บอกว่า "ไอ้พวกเรียนกรรมฐานมาก่อน เรียนด็อกเตอร์สักกี่ใบก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก" เพราะว่าจะมีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่พอศึกษาหลักวิชาการตะวันตกมาก ๆ เข้า ก็มักจะอ้างอิงสิ่งที่คนทั่วๆ ไปเขาฟังไม่เข้าใจ

เถรี 13-05-2015 13:43

ถาม : ได้ไปฟัง ดร. ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเก่งมาก มีลักษณะเฉพาะของนักวิชาการแท้ ๆ ตั้งโจทย์แล้วหาคำตอบให้ได้ และยังคิดต่อเนื่องสร้างสรรค์ไปได้อีกหลากหลาย แต่พอมาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางธรรมแล้ว กลับเห็นว่าท่านไม่มีความเชื่อในหลักพระศาสนา ทำให้เห็นภาพของคำว่าฉลาดเกินได้ชัดมาก ?
ตอบ : ต้องบอกว่าหัวแข็ง เขาจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเสมอ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ขัดกับหลักการบรรลุธรรมตรงที่ว่า ต้องไม่มีวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) คราวนี้ในเรื่องของทางธรรมเป็นเรื่องของการลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยแล้วไปค้นคว้าหาคำตอบ ก็เลยทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เสียโอกาสไปเอง

ถาม : ประโยคที่ท่านใช้แนะนำก็คือ คิดให้ได้คำตอบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงมือทำด้วย ถึงอย่างนั้น ก็ยังสังเกตว่า การลงมือให้ได้ผลสำเร็จที่ท่านแนะนำก็ไม่เหมือนการปฏิบัติธรรม ?
ตอบ : ตั้งสมมติฐานขึ้นมา แล้วทำให้ได้ตามสมมติฐานนั้น ซึ่งอาตมาเคยไปบอกว่า ตัดสมมติฐาน ทิ้งไปเถอะ ถ้าคุณสามารถคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ในเมื่อรู้คำตอบอยู่แล้คุณจะทำไปทำไม ? เล่นเอาบรรดาอาจารย์โวยกันขรมเลย

เถรี 13-05-2015 14:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติถ้าเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าผ่านขั้นตอนหนึ่ง ๆ พระพุทธเจ้าท่านให้มีการทบทวน อย่างที่เรียกว่าอนุโลม ปฏิโลม ก็คือขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า อันดับแรกก็คือเพื่อให้มั่นใจว่าทำได้แล้วจริง อันดับที่สองก็คือทบทวนขั้นตอนต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ เมื่อบอกกล่าวผู้อื่นจะได้บอกกล่าวได้โดยง่ายและสะดวก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เสวยวิมุติสุขอยู่ ๔๙ วัน มีการทบทวนข้อธรรมที่พระองค์ท่านตรัสรู้ ที่บอกไว้ชัดเจนที่สุดก็คือพระอภิธรรม ทบทวน ๗ วันเต็ม ๆ เมื่อทบทวนจนมั่นใจ พระองค์ถึงได้ตรัสว่า กตํ กรณียํ งานทุกอย่างทำหมดแล้ว นาปรํ อิตถตฺตาย ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว

คราวนี้อย่างที่อาตมาเรียนจบ ถ้าหากว่านับทางโลกก็คือหมดแล้ว ที่หมดแล้วก็คือที่สูงกว่าปริญญาเอกไม่มีแล้ว ตอนนี้อยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์แล้ว รู้สึกโหวงเหวงอย่างไรพิกล เหมือนอย่างกับไม่ทันจะได้อะไรเลย ไปนึกถึงที่หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวเตียงไว้ว่า

วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ
พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล
วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ
ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย

เถรี 13-05-2015 14:32

"สรุปว่าสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ปริญญาทางโลกเป็นเพียงเครื่องรับรองความรู้ แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่ามีความรู้ เพราะการปฏิบัติธรรมยืนยันด้วยปริญญาทางโลกไม่ได้ ตอนนี้ในเมื่อยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุด สิ่งที่ควรทำคืออะไร ? ก็ต้องเป็นการย้อนทวนมองไปว่า หนทางที่เราเดินมาเป็นอย่างไร ? ในเมื่ออยู่บนที่สูงก็เห็นชัด ตรงไหนที่ยากก็พยายามแก้ไขให้ง่าย ตรงที่ไหนง่ายอยู่แล้ว ถ้าสามารถทำให้ง่ายยิ่งขึ้นไปก็ทำให้ง่ายเสีย เพื่อคนที่เดินตามจะได้มีความสะดวก เท่ากับได้ทบทวนความรู้ของตนเองไปด้วย

แต่คราวนี้บรรดาท่านที่จบมาก็จะมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งก็คือพวกลำบากยากเข็ญอย่างอาตมา ทำงานด้วยตัวเอง ประเภทนี้ก็จะจำได้ทุกบรรทัด จำได้ทุกหน้า เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองทำไปก็ย่อมรู้ลึก รู้จริง ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือคนนั้นช่วยบ้าง คนนี้ช่วยบ้าง บางท่านอาจจะหนักถึงขนาดจ้างเขาทำเลย ประเภทนั้นก็ไม่แน่ว่าจะรู้จริง หากว่าทิ้ง..ไม่มีการทบทวนเมื่อไรก็สนิมกิน

ฉะนั้น..เมื่อเรียนจบแล้วจึงจำเป็นต้องนำความรู้นั้นมาใช้งาน ไม่ได้แปลว่าต้องเอามาใช้ทั้งหมด เขาถึงใช้คำว่า Applied คือประยุกต์ เลือกเอาส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกับสถานที่ เหมาะสมกับเวลา เอามาใช้งานให้คุ้มค่ากับที่เรียนมา ของอาตมาได้ใช้แน่ ๆ เพราะว่าต้องสอนหนังสือเขาหลายแห่ง"

เถรี 13-05-2015 14:36

"ช่วงนี้เกิดการแย่งชิงตัวกันอุตลุด ยังปรารภกับรองศาสตราจารย์พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ ผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ คณะสังคมศาสตร์ ห้องเรียนวัดไร่ขิง ท่านบอกว่า “ตอนนี้ท่านอาจารย์พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นที่ยอมรับกันมากในเรื่องของการนำปฏิบัติธรรม นิสิตกี่ห้องเรียนก็จะเอาแต่ท่านอาจารย์ งานมีแต่เยอะขึ้นไม่มีน้อยลงหรอก”

ขอให้ทราบว่าขณะที่อาตมานั่งรับสังฆทานอยู่ที่นี่ บรรดาลูกศิษย์ตาดำ ๆ ก็แหงนคอรอคอยว่าเมื่อไรอาจารย์เล็กจะมาเสียที เพราะว่าทางเจ้าคณะภาค ๑๔ หลวงพ่อพระเทพสุธี วัดนิมมานนรดี แต่งตั้งให้เป็นวิปัสสนาจารย์สำหรับอบรมอุปัชฌาย์ใหม่และเจ้าอาวาสใหม่ของปีนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคมที่ผ่านมา จะไปสิ้นสุดวันที่ ๑๔ มิถุนายนนี้

หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ไปเปิดการอบรมตั้งแต่วันที่ ๑ ที่ผ่านมา จนป่านนี้ลูกศิษย์ยังไม่ได้เห็นหน้าอาจารย์เล็กเลย..เพราะมานั่งอยู่ตรงนี้ เนื่องจากเรียนท่านไว้แล้วว่าไม่ขอรับ เพราะว่าภารกิจมาก แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องไปครบวันก็ได้ ในเมื่อไม่ต้องไปครบวันก็ได้ เขาจัดตั้ง ๔๕ วัน ก็ว่าจะไปให้เขาสักวันหนึ่ง..!"

เถรี 13-05-2015 14:48

ถาม : การที่พระพุทธองค์ทรงทบทวน อนุโลม ปฏิโลม จัดว่าเป็นวิมังสาไหมคะ ?
ตอบ : เหนือไปแล้ว เหตุที่เหนือวิมังสาไปแล้วเพราะว่างานของพระองค์ท่านหมดแล้ว

ต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิมังสา แต่ว่านอกผลของวิมังสาไปแล้ว ความสุขในทางธรรมที่รู้ว่าตนเองหมดภาระแล้ว ใช้คำว่า พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว นาปรํ อิตฺถตฺตาย งานอื่นที่จะให้ทำไม่มีอีกแล้ว ใครเข้าถึงตรงนี้คงมีความสุขอย่าบอกใครเลย ภาระทุกอย่างที่แบกรับมานับชาติไม่ถ้วน ตอนนี้ปลงลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอะไรต้องให้แบกต้องให้หามอีกแล้ว บุคคลที่จะสามารถกล่าวอย่างนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ต้องบอกว่าในชั่วชีวิตนี่นับเรียงตัวได้เลย มีไม่เท่าไรหรอก

ไปนึกถึงบรรดาพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ๔ ขวบ ๕ ขวบ ๗ ขวบ ปัญญาท่านถึงขนาดเห็นทุกข์แล้วสามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ สุดยอดจริง ๆ ที่กล่าวถึงตรงนี้ก็เพราะพวกเราจนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเลย ต้องไปดูในเถรกถา พอท่านบรรลุมรรคแล้วก็มักเปล่งอุทานธรรม ของท่าน ๔-๕ ขวบบรรลุมรรคผล ของเรา ๑๐ กว่า ๒๐ ขวบยังมัวแต่ไปเที่ยวห้างอยู่เลย


ถาม : เถรกถาอยู่ในหมวดไหนครับ ?
ตอบ : ขุททกนิกายของสุตตันตปิฎก ถ้าไปดูในเถรีกถาคุณจะอนาถกว่านั้นอีก ผู้หญิงบรรลุกันเยอะมากเลย

เถรี 13-05-2015 15:03

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนพาน้องพลอยกับแม็กซิมไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช ปรากฏว่าเป็นวันงาน รถติดยาวเหยียดตั้งแต่กลางเมือง เลี้ยวเข้าไปด้วยความมั่นใจว่าเรามีที่จอดรถแน่นอน เพราะว่าทำบุญมาดี แล้วก็ มีจริง ๆ มีที่จอดรถเหลืออยู่ที่หนึ่ง รถกระบะบังอยู่ คันอื่นวิ่งมาจะไม่เห็นมุมจอดตรงนั้น อาตมาจึงจอดด้วยความสบายใจ

ออกมาวัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร มาไหว้หลวงพ่อเพชร ตั้งใจจะไปดูแม่น้ำยมว่าน้ำเหลือแค่ไหน มีคนวิ่งมาเสนอขายปลา ขายหอย ขายเต่า ขายกบ เข้าท่านะ..ถุงหนึ่งเขาใส่มาให้ทุกอย่างเลย จะมีกบลอยตุ๊บป่องอยู่ตัวหนึ่ง มีเต่าตัวหนึ่ง มีปลาหมอ ๔-๕ ตัว แล้วก็มีหอยขมครึ่งถุง เขาบอกว่า "ถุงละ ๔๙๙ บาทครับ" เห็นเขาถือมา ๔ ถุง จึงบอกว่า "๔ ถุงนี่ ๔๐๐ ถ้วน" เขาบอกว่า "ขายไม่ได้" "ขายไม่ได้ไม่เป็นไร คุณเก็บของคุณไว้ก็แล้วกัน" ปรากฏว่าอีกคนบอก “ได้ครับอาจารย์” เลยหันไปทะเลาะกันเอง

อาตมารับมา ปล่อยเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาบอกว่า “อาจารย์..ขอเพิ่มอีกสัก ๕๐ บาทได้ไหมครับ ?” บอกว่า "ได้" ล้วงไปล้วงมามีแค่ ๔๐ บาท บอกเขาว่า "เอ็งเอาไปแค่นี้ก็แล้วกัน" ฝ่ายที่ไม่ขายต่อว่าเพื่อน "ไปขายทำไมวะ..? เสียราคา" "ถ้าไม่ได้ขายแล้วจะไม่ได้ราคาด้วยซ้ำไป" เขาก็นั่งเถียงกัน

วิ่งมากราบหลวงพ่อศรีสวรรค์ที่นครสวรรค์ รอดมาได้เพราะว่าช่วงที่ไปเป็นวันที่ ๑๖ เขายังเล่นสงกรานต์กันทั้งเมืองอยู่เลย กราบหลวงพ่อศรีสวรรค์เสร็จก็วิ่งกลับ พาน้องพลอยกับแม็กซิมไปส่ง สองคนบอกว่าจะเปิดเทอมแล้ว ไม่ได้ไปไหนกับหลวงพ่อแล้ว เกิดมาไม่เคยไปไหว้พระพุทธชินราชเลย คุณแม่เคยไปก็ ๑๗-๑๘ ปีที่แล้ว ลูกยังไม่เกิดเลย"

เถรี 13-05-2015 15:07

"เหตุที่ไปเพราะว่าปีนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องวิทยานิพนธ์อยู่ ลืมไปเลยว่าออกพรรษาแล้วต้องไปไหว้หลวงพ่อพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์กับพระปฐมเจดีย์ วันรุ่งขึ้นก็เลยไปไหว้พระแก้วมรกต ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้เขามีพานดอกบัวพานใหญ่ ก่อนหน้านี้มีพานเล็กขนาดเดียว ๓๐๐ บาท ตอนนี้มีพานใหญ่ ๔๐๐ บาท ก็เลยยกไปทีเดียว ๒ พาน

เข้าไปไหว้พระแก้วกราบขออนุญาตว่า "เมื่อหล่อพระทองคำเสร็จแล้วกราบขออนุญาตสร้างเครื่องทรงแบบพระแก้วมรกตฤดูร้อน ถวายกับหลวงพ่อทองคำด้วยครับ" ท่านบอกว่า “เรื่องเครื่องทรงเก็บไว้ก่อน ให้สร้างฐานให้ท่านก่อน พอฐานเสร็จแล้วค่อยสร้างเครื่องทรง พอฐานกับเครื่องทรงเสร็จคราวนี้ก็ให้สร้างฉัตรด้วย” โอ้พระเจ้า...แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความเห็น แต่เป็นคำสั่ง ตูคงโดนสมน้ำหน้าไปอีกนาน คาดว่าฐานก็คงจะหนักพอ ๆ กับองค์พระนั่นแหละ"


ถาม : ฐานก็จะทำทองคำหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ก็ทำทองคำไปเลย อาตมาเป็นลูกคนรวยจะไปกลัวอะไร..! อย่าเพิ่งทำบุญมาเป็นอันขาด ทำมาอาตมาก็เอาไปทำอย่างอื่นหมด รอให้ประกาศก่อน ถ้าหากว่าทำบุญมาก็เท่ากับบังคับให้ต้องสร้าง อาตมาตายก่อนก็ซวยสิ ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจเพราะว่าเวลาหล่อองค์ท่าน ชนวนที่เหลือก็พอทำได้ตั้งครึ่งฐานแล้ว

เถรี 14-05-2015 16:13

ถาม : เวลาเด็ก ๆ เล่นแล้วเจ็บตัว ก็ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ?
ตอบ : เขายังไม่รู้ โดยเฉพาะความรักตัวเอง เขายังรักตัวเองไม่มากเท่ากับผู้ใหญ่

เถรี 14-05-2015 16:29

ถาม : วันก่อน ดร.ท่านหนึ่งเปรียบเทียบธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่า ดินคือของแข็ง น้ำคือของเหลว ลมคืออากาศ และธาตุไฟ ท่านว่าคือพลาสมา แบบเดียวกับที่เป็นส่วนของผิวดวงอาทิตย์ อันนี้ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนประกอบที่สำคัญของไฟคือออกซิเจน ที่ไหนมีออกซิเจนที่นั่นมีไฟ เพราะฉะนั้น..ก็แปลว่าในดิน น้ำ ลม มีทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณสมบัติของธาตุไฟที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ คือไฟธาตุสามารถกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต และเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรม เพิ่งจะไม่นานนี้เองที่ฝรั่งเขาวิเคราะห์พบว่า ออกซิเจนนอกจากจะช่วยให้ร่ายกายเจริญเติบโตแล้ว ยังทำลายเซลล์ในร่างกายได้รุนแรงมาก

ถาม : ก็แบบเดียวกับที่โลหะทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกลายเป็นสนิม ?
ตอบ : เหมือนกัน เป็นทั้งตัวก่อเกิดและตัวทำลาย พระพุทธเจ้าท่านรู้จริง แล้วคนรุ่นหลังกว่าที่จะตามมาเจอก็ทิ้งห่างมาหลายพันปี

ถาม : แล้วส่วนที่เป็นเปลวไฟ เป็นแค่ปฏิกิริยาทางเคมี ไม่ใช่ตัวธาตุไฟ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนที่เป็นเปลวคือสิ่งที่ทำปฏิกิริยาขึ้นมาโดยมีเชื้อเพลิงเป็นตัวกลาง ตัวธาตุไฟเป็นความร้อนเฉย ๆ

ถาม : แล้วธาตุลมหมายถึงอากาศ หรือการเคลื่อนไหวของอากาศคะ ?
ตอบ : ลมนิ่งก็ได้ เคลื่อนไหวก็ได้ ลมหายใจเข้าออกหรือความดันเลือดของเราเป็นลมที่เคลื่อนไหว ลมที่ค้างในท้องในไส้ ในช่องว่างของร่างกายเป็นลมที่นิ่ง

เถรี 14-05-2015 16:43

ถาม : เพื่อนผมขับเครื่องบินแล้วเครื่องบินตกที่ลพบุรี จากการวิเคราะห์กล่องดำพบว่า ลมหายใจของเขานิ่งมาก สันนิษฐานว่าเขาตั้งใจประคองเครื่องให้ไปตกนอกชุมชน ไม่ทราบว่ากรรมที่เขาทำ เขาจะได้อานิสงส์ไหมครับ ?
ตอบ : สรุปว่าตอนนี้ทำบุญอะไรให้เขาก็ได้ เพราะว่าเขายังไม่หมดอายุ ยังไปรับบุญรับบาปไม่ได้ ทำบุญอุทิศให้เขา เขาจะได้รับทั้งหมด

ถาม : เจอเขาก่อนที่จะเสียสักปีหนึ่ง เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะตกเครื่องบินตาย ทำไมเราถึงรู้ ?
ตอบ : บางอย่างโบราณเรียกว่าลางสังหรณ์ ซึ่งก็คือทิพจักขุญาณ เพียงแต่ว่าขาดการซักซ้อม มีของเก่าอยู่แต่ไม่เคยเอามาใช้ จึงรู้บ้างไม่รู้บ้าง

เถรี 14-05-2015 16:46

ถาม : เด็ก ๆ ที่มีความจำว่าเหาะได้ แล้วกระโดดลงมาจากที่สูง คือเขาน่าจะเหาะได้มาก่อน แล้วทำไมเขาถึงทำไม่ได้ ?
ตอบ : ของเก่าขึ้นสนิม..ก็ซ้อมใหม่สิจ๊ะ เริ่มด้วยกสิณไปเลย

เถรี 14-05-2015 17:35

ถาม : เพื่อนที่รู้จักกันเขาแขวนคอตาย พอเขาตายแล้วก็พยายามจะควบคุมหนู อยู่ ๆ ก็อาเจียน กินอะไรไม่ได้ พอเขาตายหนูก็ไปช่วยเขาจัดงานศพ คิดว่าไม่มีอะไร แต่เขาพยายามจะควบคุมหนูให้ทำอย่างที่เขาต้องการ ?
ตอบ : ก็อย่าไปฟังเขาสิจ๊ะ

ถาม : เขาพยายามใช้หนูไปพูดกับครอบครัวเขา ไปหาแม่เขา บังคับหนูซึ่งไม่ต้องบังคับก็ได้ ทำให้หนูป่วย อาเจียนตลอดเวลาค่ะ ทำไมหนูแพ้ง่ายจัง ?
ตอบ : สภาพจิตของเราเป็นเหมือนโทรศัพท์หมายเลขสาธารณะ ใคร ๆ ต่อเข้ามาก็ต้องเจอ ต้องพยายามทำสมาธิให้สูงเข้าไว้ ถ้ากำลังสมาธิของเราสูง มีความมั่นคงมาก ใคร ๆ ก็สิงไม่ได้หรอก

ถาม : ก่อนที่เขาจะเสีย เขาก็เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยน อัธยาศัยดี แต่พอเสียชีวิตแล้วเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นน่ากลัว เหมือนจำความดีที่มีต่อกันไม่ได้เลย ?
ตอบ : ตอนนี้เขาต้องการอย่างเดียวคือให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของตัวเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจใครแล้ว

ถาม : แล้วหนูต้องทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าไปนั่งสมาธิให้กำลังสูง ๆ ไว้ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ให้ซ้อมภาวนาไว้บ่อย ๆ

เถรี 14-05-2015 17:36

ถาม : ผมห้อยพระ กำหนดจิตให้พระหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตามนาฬิกา เป็นลักษณะสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นสมาธิขั้นต้น ประมาณอุปจารสมาธิเท่านั้น

ถาม : ควรจะขอขมาพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำเพื่อทดสอบก็ไม่เป็นไร ถ้าตั้งใจทำเอาสนุกก็ปรามาสพระรัตนตรัย

เถรี 14-05-2015 17:40

ถาม : ในทศพิธราชธรรม ทานกับบริจาคต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ทานเป็นการให้ด้วยวัตถุสิ่งของ การบริจาคท่านว่าเป็นการให้ในลักษณะของธรรมทาน ก็คือสอนให้เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร แบบเดียวกับที่เขาว่าทานก็คือเราเอาปลาไปให้เขา แต่บริจาคคือการที่เราสอนเขาว่าต้องจับปลาอย่างไร ท่านอธิบายไว้ลักษณะอย่างนั้น ฉะนั้น..การเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ให้เขาเฉย ๆ ต้องสอนให้เขารู้จักทำกินให้เป็นด้วย

ถาม : แล้วการที่เราใช้คำว่าไปบริจาคสิ่งของ ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ถูก..คำว่าปริจจาคะแปลว่าสละให้ผู้อื่น เพียงแต่ว่าถ้าหากอยู่ในทศพิธราชธรรม ความหมายนี้หมายถึงเรื่องธรรมทานมากกว่า ปริจจาคะ แปลว่าการเสียสละให้โดยรอบ ให้โดยทั่วไป คือให้คนทั่วไปลักษณะของการที่ให้ความรู้ เพื่อที่คนส่วนใหญ่นำความรู้ไปแล้วสามารถที่จะเลี้ยงชีพของตนเองได้ มีช่องทางในการทำกิน

อย่างที่ในหลวงท่านไปเปิดโครงการหลวงต่าง ๆ สอนให้เขารู้จักเพาะปลูกไม้เมืองหนาว รู้จักทำศิลปาชีพ แต่ถ้าทานเป็นการให้เฉพาะ ให้แล้วให้เลย ผลนั้นมีระยะสั้นกว่า

เถรี 14-05-2015 17:44

ถาม : ความทุกข์เป็นอนิจจังด้วย เป็นอนัตตาด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทุกข์ด้วย เป็นอนิจจังด้วย แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เพราะว่าไม่มีใครทุกข์อยู่ตลอด เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น

ถาม : ถ้าจะขยายความยาว ๆ เพื่อจะพิจารณา ควรจะพิจารณาในแง่มุมไหนครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง มีวินาทีไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ? จะได้เห็น ๆ อยู่ในปัจจุบันเลยว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางกองทุกข์ ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหนก็ไม่สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์นี้ได้ มีทางเดียวที่จะพ้นไปได้ก็คือก้าวพ้นไปสู่พระนิพพาน นึกย้อนหลังไปเลยว่าตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว เริ่มตั้งแต่ต้องหายใจก็ทุกข์แล้ว

เถรี 14-05-2015 17:49

ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ว่า คนนั้นในอนาคตจะไปเกิดเป็นคนชื่อนั้นในอนาคตกาล โคตรนั้น นามนี้ แสดงว่าชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นล่วงหน้าแล้วหรือครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นการสรุปของคุณเอง ความจริงยังไม่เกิดขึ้น แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ล่วงหน้า รู้ว่าถึงเวลานั้นแล้วจะเป็นอย่างนั้น

เถรี 15-05-2015 09:08

พระอาจารย์กล่าวว่า “ตามในรูปด้านหลังธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท จะเห็นว่ามีรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเครื่องออกศึกเต็มยศ แล้วมีสังวาล อาตมามั่นใจว่าไม่ใช่สังวาล น่าจะเป็นพวกเครื่องคาดราชศาสตรา พวกตะกรุดมากกว่า แต่คนรุ่นหลังเข้าใจว่าออกแบบเป็นสังวาล ออกรบจะเอาเครื่องประดับไปทำอะไร ? นอกจากเอาเครื่องป้องกันตัวไป”

เถรี 15-05-2015 09:17

ถาม : เราสามารถเปิดเสียงธรรมะพร้อม ๆ กับทำงานไปด้วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าต้องการให้ได้ผลต้องแบ่งใจเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับธรรมะ ส่วนหนึ่งอยู่กับงาน ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ธัมมานุสติ คือระลึกถึงธรรมเฉย ๆ เพราะสภาพจิตไปอยู่กับงานมากกว่า

ถาม : แล้วคนที่เปิดฟังธรรมะที่เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ลักษณะไหนครับ ?
ตอบ : เปิดแล้วไม่ตั้งใจฟัง จะเกิดโทษในลักษณะที่ว่าได้ยินเสียงธรรมทำเป็นไม่ได้ยิน อยู่ที่วัดท่าขนุน ถ้าเสียงตามสายขึ้นอาตมาจะให้วางมือทั้งหมด ต่อให้ไม่คิดจะฟังก็ห้ามทำงาน เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นการปรามาสพระธรรม จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ฉะนั้น..คนที่ไปวัดใหม่ ๆ ไม่รู้ระเบียบ ถึงเวลาก็คว้าไม้กวาดแกรก ๆ กลายเป็นกลบเสียงธรรมไปอีก ก็ต้องคอยเตือนเขา

เถรี 15-05-2015 17:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่างที่ได้ปรารภไปว่าเรียนจบแล้วก็เหมือนกับไม่จบ เพราะว่าต้องมีการทบทวน ต้องมีการนำไปใช้งาน ลักษณะเดียวกับในพระไตรปิฎก ที่กล่าวถึงพระอรหันต์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน ถึงเวลาบรรลุมรรคผล จบกิจในพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังมีภาระหน้าที่จะต้องทำงานแบบนั้นแบบนี้ เป็นภารธุระในพุทธศาสนาทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่างานส่วนตัวหมดแล้ว จะไปแอบเสวยสุขอยู่ได้คนเดียว เพราะว่าพระระดับนั้น เมื่อทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่ ต้องบอกว่าอยู่เพื่อเป็นเนติ เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น อยู่เพื่อสงเคราะห์โลก อยู่เพื่อสงเคราะห์ญาติ อยู่เพื่อสงเคราะห์เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ตัวอย่างพระท่านหนึ่งก็คือพระนาลกะ พระนาลกะบรรลุมรรคผลไล่ ๆ กับพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แต่ไม่มีงานอะไรเลยนอกจากทำตนให้บรรลุมรรคผล ดังนั้น..ท่านก็เลยทูลลาไปพระนิพพาน ต้องบอกว่าเรื่องอย่างนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ อย่างท่านที่ตั้งใจมาเป็นอัครสาวก ตั้งใจมาเป็นมหาสาวก ก็ต้องรับภาระรับหน้าที่ไปตามที่ตั้งใจไว้ ท่านที่มาเพื่อจบกิจอย่างเดียว ไม่มีภาระหน้าที่ ถึงเวลาก็ไปได้เลย"

เถรี 15-05-2015 17:51

ถาม : อย่างพระที่ปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน จะรอสงเคราะห์..?
ตอบ : ถ้ายังมีบริวารอยู่ก็ต้องรับภาระไปก่อน ตัวอย่างชัด ๆ ก็หลวงปู่โลกอุดร จนป่านนี้ก็ยังไปไม่ได้สักที เบื่อคนมาก ๆ ก็หนีตายไปสักทีหนึ่ง เดี๋ยว ๆ ก็ไปโผล่ที่โน่นอีกแล้ว

สมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุง มีพระอยู่รูปหนึ่ง อยู่แถว ๆ ราชบุรี อายุยังไม่ถึง ๔๐ ปี บรรลุมรรคผลแล้วพิจารณาดู เห็นว่าไม่มีงานอื่นทำเหมือนกัน ท่านก็เลยลาไปพระนิพพาน เป็นอะไรที่น่าอิจฉามาก

เถรี 15-05-2015 17:52

วันนี้ที่ไปเจริญพุทธมนต์ฉลองปริญญามา ปรากฏว่ามีอยู่รายหนึ่งชื่อพระมหาศุภกิจ สุภกิจฺโจ ท่านเกิดปีที่อาตมาบวช เพราะฉะนั้น..ก็แปลว่าน่าจะเป็นพระที่จบปริญญาเอกด้วยอายุน้อยที่สุดของรุ่น เพิ่งจะ ๒๙ ปี ขึ้นปีที่ ๓๐ ก็จบปริญญาเอกแล้ว เป็นดุษฎีบัณฑิตสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ท่านเรียนก่อนปีหนึ่ง แต่อาตมาไล่ทัน ตอนท่านยกมือไหว้ก็เอ๊ะ...หน้าตาคุ้น ๆ ดูไปดูมาก็ อ๋อ..ตอนที่ท่านสอบประชาพิจารณ์อาตมาไปเข้าฟังท่านด้วย แล้วท่านทำงานออกมาดี ครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำเพิ่มเติมน้อย แก้ไขเล็กน้อยก็สามารถขอสอบจบได้

อายุยังน้อย อนาคตไกล ในสายตาของคนทั่วไปคืออนาคตไกล ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมคือยังต้องทุกข์อีกนาน

เถรี 15-05-2015 17:56

ถาม : การอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เท่ากับทำให้เขามีกำลังมาทำอันตรายเรา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเขาไม่อโหสิกรรม ก็เท่ากับเราเลี้ยงเขาให้มีกำลัง แล้วเขาก็มาตีเราต่อ แต่ให้เขาไปเถอะ เดี๋ยวเขาตีจนเบื่อก็เลิกไปเองแหละ

ถาม : ถ้าจะให้ก็ให้ไปเยอะ ๆ เขาจะได้เลิกตอแยเรา ถ้าให้เล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็มาเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้น ถ้าได้จนเป็นที่พอใจก็ไปเอง

เถรี 15-05-2015 18:07

ถาม : ท่านที่จบกิจแล้ว นอกจากสัจจะความตั้งใจเดิมเหล่านี้ ท่านก็ไปได้นี่คะ ?
ตอบ : ถ้างานไม่หมดก็ทนทำไปก่อน ถ้างานหมดก็ไปได้ ดูอย่างหลวงพ่อคูณ จนป่านนี้ยังไปไหนไม่ได้เลย ทรมานสังขารอยู่นั่นแหละ

ถาม : แล้วมีไหมคะที่บริวารยอมให้ท่านไป ?
ตอบ : ยาก..เขาเกิดมาเพื่อเกาะโดยเฉพาะ ตั้งใจอธิษฐานตามกันมาก็เกาะไปเรื่อย

ถาม : อย่างนี้บริวารที่เกาะหรือที่ตามมา ถือเป็นเจ้ากรรมนายเวรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ต้องบอกว่าเป็นภาระจำยอมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เถรี 15-05-2015 18:13

ถาม : ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวิชาเรื่องต้อหินของพระอาจารย์ ท่านว่า ต้อหินรักษาไม่หาย จึงกราบเรียนถามว่า หากเป็นจุดที่ไม่สำคัญ ตัดออกก็หายได้มิใช่หรือ ? ท่านว่า ต้อหินก็มักจะเป็นบริเวณสำคัญสิ และถามคนที่เขาเคยเป็นและรักษาหายแล้ว เขาว่าถ้ารู้เร็วก็รักษาได้นี่คะ ?
ตอบ : ต้อหินจะกินถึงประสาทตา ตัดออกไม่ได้หรอก ไม่ต้องกังวลหรอก ประเภทหลับตาเดินได้..เท่ออก การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการวินิจฉัยของหมอ บางทีเวรกรรมก็วิลิศมาหราเกินกว่าที่หมอจะคิดถึง บางอย่างก็แค่มาขู่ให้พวกเราได้สำนึกเฉย ๆ ว่าร่างกายนี้เป็นรังของโรค แค่ประเภทตั้งโจทย์ขึ้นมา แล้วดูว่าเราจะไปกังวลด้วยหรือเปล่าเท่านั้น

เถรี 15-05-2015 18:17

ถาม : การที่สายพันธุ์สัตว์ปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของโลกที่เปลี่ยนไปได้ยาวนาน อย่างเช่น แมลงสาบ คือความเป็นไปของโลกที่คนหรือสัตว์ต้องปรับไปตามนั้น หรือเกิดจากกิเลสของคนและสัตว์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นให้เกิดกับโลก ?
ตอบ : ต้องบอกว่า ๒ อย่างรวมกัน อย่างแรกก็คือทำอย่างไรให้อยู่ได้ ก็หมายความว่าอยากเกิด..ไม่ได้อยากตาย ในเมื่ออยากเกิด..ก็กลายเป็นตั้งเป้ามุ่งมั่นเอาไว้ ทำอย่างไรจะให้เกิดได้ในสภาพที่ตนไม่ถนัด ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตนเองสามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนั้น ต้องบอกว่าเป็นมโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นใจของใจอย่างหนึ่ง คราวนี้พอผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็เหมือนอย่างกับว่าคำสั่งนี้ฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอ จึงทำให้รุ่นหลัง ๆ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปจนกระทั่งเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศของช่วงนั้น ๆ ได้

ถาม : แล้วมนุษย์โลกอื่นที่เขาอายุยืนกว่าเรา ชีวิตเรียบง่าย และไม่ค่อยมีการดิ้นรนในการใช้ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นเพราะอานิสงส์บุญที่เขาทำไว้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อะไรประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่าพวกโน้นเขาไม่คิดมากอย่างนี้ เขาเอาแค่อยู่ได้ ส่วนของเรารู้มาก กิเลสมาก ก็อธิษฐานเอาเยอะ ๆ

เถรี 15-05-2015 18:26

ถาม : ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุก็ดี ถูกฆ่าตายก็ดี ถ้าจิตยังอยู่ที่นั่น เขาอยู่เพื่อรออะไรครับ ระหว่างที่รอเขาทุกข์ไหมครับ เขาทำกรรมอะไรมาจึงรออยู่เป็นร้อยปีพันปี ?
ตอบ : เหตุที่ไปเกิดไม่ได้เพราะว่ายังไม่หมดอายุขัย ในเมื่อไม่หมดอายุขัยแต่สูญเสียร่างกายไป ก็จำเป็นต้องอยู่จนกว่าจะครบอายุขัยของร่างนั้น ๆ ส่วนบางคนก็ยึดติด อย่างเช่นว่าโกรธแค้น ตั้งใจจะเอาคืน ก็กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นของตนเอง เกาะติดอยู่ตรงนั้น ทำให้ไปไหนไม่ได้ รอจนกว่าจะได้แก้แค้นตามที่ตนเองต้องการ

ระหว่างที่อยู่ ถ้าไม่มีใครทำบุญไปให้ ไม่มีญาติพี่น้อง ก็ต้องทนลำบาก อด ๆ อยาก ๆ เร่ร่อนไปเรื่อย แต่ถ้ามีคนทำบุญไปให้ก็สบายหน่อย ส่วนในเรื่องของระยะเวลา ถ้าอยู่ในเขตของเขา อย่างต่ำสุดวันหนึ่งเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาอยู่แค่ ๕๐ วันก็ปาเข้าไปเป็นพันปีแล้ว

เถรี 16-05-2015 13:24

ถาม : น้ำหมักในพระไตรปิฏกบอกว่าอนุญาตให้พระฉันเป็นยาได้ ๑ องคุลีจากก้นบาตร ดร. ท่านหนึ่งเห็นว่าบาตรที่เห็นพระในเมืองไทยใช้กันอยู่มีขนาดใหญ่ ปริมาณยาตามนั้นเป็นครึ่งค่อนถ้วย ท่านเห็นว่าเยอะมาก ท่านก็อุตส่าห์ไปดูบาตรที่เขาขุดขึ้นมาจากบริเวณเมืองตักศิลาเดิม และเห็นว่าบาตรมีขนาดเล็กกว่ามาก ได้ยาปริมาณเพียงถ้วยตะไล จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เข้าใจผิดแล้ว ๑ องคุลีของพระเขาวัดจากถ้วยตะไล วัดจากบาตรก็เมาตายพอดี แล้วบาตรมีตั้ง ๓ ขนาด บาตรขนาดใหญ่เขาบอกว่าจุข้าวสุกที่หุงจากข้าวสาร ๑ นาฬี จำไม่ได้ว่ากี่ทะนาน นึกเอาก็แล้วกันว่าใหญ่ขนาดนั้น ฉะนั้น..องคุลีเขาหมายถึงถ้วยตะไล ถ้วยเล็ก ๆ ที่เขาเอาไว้ครอบปากขวดเหล้า พอถึงเวลาก็รินไปเป๊กหนึ่งพอดี

เรื่องของพระวินัยไม่สามารถที่จะมั่วได้ ต้องเอาให้แน่นอน สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านคิดคำนวณไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าคนเข้าใจยากหน่อยเท่านั้น เพราะเป็นภาษาโบราณ เดี๋ยวเกิดเขาไปอ้างว่าเอาบาตรขนาดใหญ่ก็เจริญเท่านั้น

เถรี 16-05-2015 13:51

ถาม : ก่อนนอนจะนั่งสมาธิ แต่ในความฝันเรามักจะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผิดศีลหรือทำให้จิตไม่ดี ?
ตอบ : เกิดเพราะว่ากำลังใจเรายังไม่ดีพอ ความฝันเป็นเครื่องวัดกำลังใจได้ ถ้ามีโอกาสที่จะละเมิดศีลแล้วเราไม่ละเมิด แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดี แต่ถ้าวันไหนมีโอกาสละเมิดศีลแล้วเราละเมิด แปลว่าวันนั้นกำลังใจของเราใช้ไม่ได้ ถือว่าเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราอย่างหนึ่ง เพราะในฝันคือกำลังใจที่แท้จริงของเรา ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้

เถรี 16-05-2015 13:59

พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่ไปเจอพวกปล่อยกบ ปล่อยปลา ปล่อยเต่าที่เขาบอกราคาแพง เขามีค่านิยมว่าห้ามต่อราคา อาตมาต่อกระจายทุกครั้งเลย เขามีค่านิยมว่าถ้าจะตัดเคราะห์ห้ามต่อราคา เป็นคนละเรื่องกัน อาตมาคิดว่าถ้าต่อมากเท่าไรก็ซื้อเพิ่มได้มากเท่านั้น เท่ากับช่วยชีวิตเขาได้มากขึ้น”

เถรี 16-05-2015 14:02

พระอาจารย์กล่าวว่า “กลุ่มสมาธิจุฬาฯ นิมนต์บรรยายวันที่ ๑๙ พฤษภาคมนี้ อาตมามีชั่วโมงสอนเต็มวันเลย จึงไปไม่ได้ แจ้งทางชมรมไปแล้วว่า ถ้าต้องการให้ไปจริง ๆ โปรดให้อาตมาเป็นคนกำหนดวัน ถ้าอย่างนั้นก็พอจะมีโอกาสบ้าง

บรรดาท่านที่นิมนต์แล้วกำหนดวันอย่างหนึ่ง กำหนดหัวข้ออย่างหนึ่ง กำหนดวันมักจะเสียโอกาส เพราะถ้าติดวันที่มีงานก็มักจะไปไม่ได้ ส่วนกำหนดหัวข้อบางทีไม่ใช่เรื่องที่อยากจะพูด ฟังแล้วมีประโยชน์น้อย แทนที่จะไปเน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เขาให้เราไปเน้นเรื่องความกตัญญู ก็เลยได้ไปหน่อยเดียว กำหนดหัวข้อก็ทำให้ไม่ได้พูดอย่างที่ตัวเองต้องการ กำหนดวัน ถ้าติดงานก็ไปไม่ได้”

เถรี 16-05-2015 14:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไม่รู้ว่าจะบีบรายจ่ายศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายให้อยู่ใน ๖๕ ล้านบาทได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ส่วนที่แพงมากคือส่วนเพดานของหมู่เรือนไทย เพราะกรุฝ้าด้วยไม้ล้วน ๆ"

เถรี 16-05-2015 14:20

ถาม : ช่วงนี้ฝันเห็นหลวงพ่อบ่อยมากคะ ?
ตอบ : ฝันเห็นพระดีกว่าฝันเห็นผีเยอะเลย

ถาม : ไม่ทราบว่าท่านไปตามหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ฝันเห็นพระแสดงว่ากำลังใจอยู่ในด้านดีมากกว่า พยายามรักษากำลังใจให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้เอาไว้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:14


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว