![]() |
ถาม : หนูไหว้พระสวดมนต์ประมาณตีสามตีสี่ วันนั้นหนูได้อัญเชิญพระยานาคราช และหลวงพ่อทั้งหลาย ทำปฏิบัติสมาธิอยู่ดี ๆ หนูเห็น.....สามรูป สว่างมาก ?
ตอบ : การปฏิบัติถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับหนึ่ง จะเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้ แล้วการเห็นส่วนใหญ่ก็จะเสียมากกว่าดี เพราะมักจะไปยึดติดนิมิตตรงจุดนั้น ถือว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นการยืนยันว่าการปฏิบัติของเราเริ่มได้ผลแล้ว ทำให้มีความมั่นคงและมั่นใจในพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้น เอาตรงนั้นแล้วกัน ต่อไปเวลาทำอย่าไปคิดอยากเห็นอีก ถ้าคิดอยากเห็นจะไม่ได้เห็น เพราะใจไม่นิ่ง เรามีหน้าที่สวดมนต์ภาวนาของเราไปตามปกติ จะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง ให้ทำกำลังใจอย่างนั้น |
ถาม : ทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินที่หล่อไปเมื่อวันที่ ๒๙ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำบุญเพิ่มได้ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพราะอาตมาลงทุนซื้อเม็ดเงินไปประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ บาท วันหล่อพระญาติโยมทำบุญมาประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาท แล้วช่างไม่คิดค่าแรงในการหล่อพระ บอกว่าทำถวาย เพราะฉะนั้น..โยมจะทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ขอร้องว่าห้ามทำเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวจะเกินต้นทุน |
มีคนนำซองปัจจัยที่มีรูปยันต์เกราะเพชรมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครทำซองนี้มา ? หาเรื่องกันชัด ๆ ถึงเวลาต้องทิ้งก็เป็นโทษ คนทำไม่ได้คิดถึงเรื่องการปรามาสพระรัตนตรัยเลย
จะทำอะไรต้องยั้งคิดด้วย ไม่อย่างนั้นแสดงว่าสภาพจิตเราหยาบเกินไป เรื่องของการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า ต้องบอกว่าจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยความเมตตา จะพูดอะไรก็พูดด้วยความเมตตา จะคิดอะไรต้องคิดด้วยความเมตตา ไม่ใช่เราทำแล้วสะใจ ส่งพ้นมือเราไป คนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไรช่างหัวมัน ลองคิดดูว่าถ้าคนที่สภาพจิตหยาบ ฉีกซองเอาปัจจัยออก แล้วเขาทิ้งซองลงถังขยะจะเกิดโทษอะไร คุณหาอเวจีให้เขาชัด ๆ..! อาตมาย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่า การปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติไป กาย วาจา ใจ ต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เหมือนกับญาติโยมหลายคนฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ จึงมีอะไรที่แสดงออกซึ่งความหยาบของจิตของเรามาก ทำแล้วเกิดโทษทั้งตนเองและผู้อื่น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ให้ค่อย ๆ ปรับปรุงกันไปก็แล้วกัน" ป.ล. ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ไปเผยแพร่ เพราะจะกระทบผู้อื่น |
ถาม : การคิดถึงพระเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็นับเป็นอนุสติ แต่ถ้าคิดว่าท่านรับสังฆทานได้เยอะ เดี๋ยวเราจะจิ๊กบ้าง อันนั้นเป็นกิเลส ต้องดูว่าเราคิดอะไร ถาม : อย่างเช่น ไม่ได้เจอท่านมานาน แล้วคิดถึง ต้องตัดหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาไปตัด ต้องเพิ่มให้เยอะ ๆ ด้วย พอถึงเวลาแล้วจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่านในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง ส่วนไหนที่ดีกับเราก็ทำสิ่งนั้นให้มากไว้ ส่วนไหนที่ไม่ดีพยายามลด ละ เลิก ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะดีขึ้นไปเอง |
ถาม : แม่ชีถือบาตรออกบิณฑบาตได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางเขตเขาทำกัน ถ้านับแล้วแม่ชีก็ถือว่าเป็นนักบวชฝ่ายหนึ่ง ทำบุญกับท่านก็ได้ ไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่ว่าถ้าเขาไม่นับสถานภาพแม่ชีเป็นนักบวช ก็ถือว่าผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากว่าปัจจุบันสถานภาพของแม่ชียังก้ำกึ่งกันอยู่ เขารอการรองรับสถานภาพจริง ๆ ซึ่งก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนเสียที |
ถาม : ตัวเองไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ?
ตอบ : อย่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่จงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นิสิตปริญญาเอกรุ่นของอาตมา ต้องไปกตเวทีต่ออาจารย์ วันที่ ๗-๘ พฤษภาคม ซ้อมรับปริญญา วันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม รับปริญญา
วันที่ ๑๐ ครูบาหน่อแก้วฟ้าท่านนิมนต์เอาไว้ก่อนหลวงตาวัชรชัย อาตมากันวันที่ ๑ เอาไว้ให้หลวงตา แต่หลวงตาไปนิมนต์วันที่ ๑๐ สงสารครูบาหน่อแก้วฟ้าเหมือนกัน เพราะว่าท่านนิมนต์ ๒-๓ ปีแล้วไม่ได้ไปสักปี เอากำหนดการของทางมหาวิทยาลัยให้ท่านดู ว่าซ้อมรับปริญญาวันที่ ๗-๘ รับวันที่ ๙-๑๐ ท่านนั่งหัวเราะ “ทำไมต้องเป็นผมอีกแล้ว ?” |
ถาม : ถ้าเราตกแต่งบัญชีเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง อย่างนี้ถือว่าผิดศีลอทินนาทานไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ใช่ว่าผิดโดยตรง แต่อยู่ในลักษณะของการฉ้อราษฎร์บังหลวง โทษหนักกว่าเพราะว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม คราวนี้สิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น ? ถ้าทำเพื่อตัวเองโทษก็น้อยกว่า แต่ถ้าทำให้คนอื่นนี่เท่ากับว่าทำให้หลายคน มีความผิดหลายกระทง โทษก็หนักมากกว่า |
ถาม : ถ้าเรามึนจนหน้ามืด เกี่ยวกับกรรมไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวอยู่แล้ว ถาม : ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้ ? ตอบ : ได้..ถ้าคุณระมัดระวังจนพ้นวาระไป กรรมก็ต้องไปรอจังหวะข้างหน้า คราวนี้ก็อย่างที่ว่าแหละ ระวังเท่าไรถ้ากรรมจะเอาคืน เราก็โดนจนได้ ถาม : แล้วถ้าเราไม่ได้ใส่ใจ ? ตอบ : รักษาได้ให้รักษา ถ้ารักษาเต็มที่แล้วรักษาไม่ได้ ค่อยยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ยังไม่ทันทำอะไรเลย ก็ยอมรับกฎของกรรม อย่างนั้นถือว่าฉลาดน้อยเกินไป กายสังขารของเรา ถ้าดูแลให้ดีไว้ก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น สะดวกขึ้น ถ้าปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมมาก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าทรุดนี่จะทรุดนานเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่า นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ อาตมาจึงจำเป็นต้องสนับสนุนเรื่องการศึกษา ถ้าเด็ก ๆ เขาอยากเรียนแล้วไปอยู่วัด จะส่งเรียนหมด เป็นวัดเดียวที่ส่งเด็กวัดทุกคนเรียน คนที่ไม่รู้ภาษาไทยเลยก็เริ่มเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ของการศึกษานอกโรงเรียน
คาดว่าไม่เกินเทอมหน้า วัดท่าขนุนจะมีเด็กวัดจบปริญญาตรี ดูเขาเรียนแล้วรู้สึกว่ายากมาก เพราะเขาเรียนปริญญาตรี ตอนอาตมาเรียนปริญญาตรี แต่ตอนนี้อาตมาจบปริญญาเอกแล้ว เขายังเรียนปริญญาตรีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังดีที่เขาอดทนมาก มีความพยายามในการเรียนสูงมาก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาอ่อน หลวงปู่ครูบาผัด เผาเสร็จอัฐิกลายเป็นพระธาตุทันทีเลย ปกติต้องทิ้งไว้ระยะหนึ่งค่อยเป็น ก็ยังโชคดีที่ท่านเมตตาไปที่วัดท่าขนุน โดยเฉพาะงานสืบชะตาปี ๒๕๕๓ ส่วนหลวงปู่ครูบาครองอาตมาไม่กล้ากวนท่าน เจอหน้าทีไรท่านดึงไปกอดทุกที ท่าน ๙๐ กว่าปีแล้ว ถ้าให้วิ่งไปจากวัดของท่านถึงทองผาภูมิ อาจจะกลายเป็นจัดงานศพถวายท่านแทน..!"
|
ถาม : ผ่าตัดมา ๖ เดือน ตรงนี้ซีสต์ขึ้นอีกแล้ว หนูใจเสีย กลัวเจ็บ ?
ตอบ : เจ็บไข้ได้ป่วยตรงไหน นึกถึงภาพพระเอาไว้ตรงนั้น ตั้งใจว่าขอให้หาย แล้วก็ภาวนานึกถึงภาพพระไปเรื่อย ๆ ถามว่าเป็นการฝืนกฎของกรรมหรือเปล่า ? ถ้าทำได้ก็ไม่ฝืน |
ถาม : ไปกราบหลวงพ่อพระมหามัยมุนีที่พม่า รู้สึกจริง ๆ ว่าศรัทธาของคนที่นั่นมีมาก ?
ตอบ : เขาไปกันตั้งแต่ตี ๓ ตี ๔ ไปยืนรอจนกว่าจะเปิดประตู อาตมาถึงตี ๓ ครึ่ง ลุยเข้าไปยันชั้นในเลย เหลืออยู่ชั้นเดียว เขากลัวว่าถ้าเข้าข้างในแล้วของเขาหายจะลำบาก ทีนี้จะได้รู้ว่าถ้าอาตมาได้ไปพม่าแล้ว ทำไมถึงต้องไปตรงนั้นให้ได้ บางคนยังทำใจเรื่องพม่าเผากรุงศรีอยุธยาไม่ได้ ก็เลยมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าอาตมาไปพม่า สถานที่ซึ่งต้องไปให้ได้มี พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระบรมธาตุอินทร์แขวน หลวงพ่อมหามัยมุนี ขาดไม่ได้เลย ๓ ที่ อย่างไรก็ต้องไป ส่วนที่อื่นแล้วแต่เหตุการณ์ ทางพม่าเขาถือว่าหลวงพ่อพระมหามัยมุนีเป็นพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนเช้าถ้ารู้จักสังเกต ก่อนเปิดประตูจะมีเสียงดนตรี เสียงดนตรีนั่นเป็นการปลุกให้ท่านตื่น หลังจากนั้นก็ทำพิธีล้างหน้าแปรงฟัน ถวายภัตตาหาร มีดนตรีคลอ มีคนคอยพัดด้วย เหมือนกับท่านยังมีชีวิตอยู่ พอสิ้นหลวงปู่ปัญญาวังสะที่ล้างพระพักตร์ถวายท่านมา ๓๐ กว่าปี อาตมาก็ไม่ได้ไปอีก องค์ใหม่ที่ล้างพระพักตร์อาตมาไม่รู้จักแล้ว ถาม : ไปเจอ ไม่ใช่องค์เดิม เป็นพระสังฆราช ? ตอบ : ไม่ใช่พระสังฆราช แต่เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น เพราะว่าที่อื่นเดินทางมาลำบาก ถ้าอยู่วัดนั้นเลย จะทำหน้าที่ได้ต่อเนื่อง ถาม : ไปที่นั่น เขาถามว่าเป็นคนจีนหรือคนญี่ปุ่น พอบอกว่าเป็นคนไทย เขาพูดถึงพระแก้วมรกต ? ตอบ : ถ้าพูดถึงคนไทยเมื่อไร เขาจะถามหาพระแก้วมรกต ความฝันของคนพม่าคือได้ไปกราบพระแก้วมรกตที่เมืองไทยสักครั้งหนึ่ง เขาถือว่าเป็นพี่น้องของพระมหามัยมุนี ถาม : เขาเรียกหลวงพ่อพระมหามัยมุนีว่า พระเจ้าเนื้อนิ่ม ? ตอบ : อาตมายืนยันว่านิ่ม เพราะว่าแผ่นทองหนาปึ้กเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยโดนไฟไหม้แล้วทองรุ่นเก่าที่ปิดอยู่ละลายลงมาได้ ๒๐ กว่าชั่ง ๑ ชั่ง ก็ประมาณ ๓ ปอนด์ ๒๐ กว่าชั่งก็น่าจะ ๖๐ กว่าปอนด์ เหตุที่พระองค์ท่านเป็นปุ่ม ๆ เพราะเครื่องทรงของกษัตริย์พม่ามีดอกมีดวงอะไรอยู่ พอปิดก็หนาขึ้น ๆ ก็เป็นปุ่มตามลักษณะของเครื่องทรง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เว็บวัดท่าขนุน ถ้าใครสมัครมาหลายชื่อจะตัดทิ้งเลย แล้วต้องยืนยันตัวตน คุณสมัครมา ๓ ชื่อ ๔ ชื่อ จะนับเป็น ๓ คน ๔ คน เราไม่เอา เราเอาชื่อเดียว เราไม่ได้ต้องการสมาชิกมาก"
|
พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่ท่านหนึ่งว่า "ตอนออกแบบหมู่เรือนไทยก็ไม่ได้คิดจะทำเรื่องนี้ เหมือนอย่างกับธรรมะจัดสรร คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องวางแบบนี้ ๆ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นหอกลองข้างหนึ่ง หอระฆังข้างหนึ่ง แล้วตรงกลางจะตั้งอะไรดี ? ที่ไหนได้กลายเป็นสมเด็จองค์ปฐม กลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อ
จนป่านนี้อาตมายังไม่กล้าตั้งรูปหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะกลัวเป็นโทษให้คนที่มาไหว้ เนื่องจากหลวงพ่อท่านพูดไม่ยั้ง ท่านรู้จริง แต่คนที่รับท่านไม่ได้มีเยอะ งานของท่านเป็นงานเอามรรคเอาผล ต้องเด็ดขาดจริงจัง งานของอาตมาเป็นแค่ประคองศาสนาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือประคับประคองเผื่อเขาในอนาคตข้างหน้าไม่รู้อีกกี่ชาติ จะไปหักเขาให้เกิดโทษก็ไม่เอาหรอก ตอนแรกท่านก็บอกทำชั่วคราว ๆ เดี๋ยวก็มีตัวจริงมา จนป่านนี้ยังไม่เห็นมีตัวจริงเลย ผมก็พยายามดู ๆ ไว้ พวกรุ่นหลัง ๆ ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ เห็นพวกลูกศิษย์เขาออกไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่นแล้วก็เหมือนกับงานกว้างขึ้น เมื่อไม่กี่วันท่านณุไปขอนแก่น ตอนนี้ทางอีสานก็มีหลายคนแล้ว ท่านนวยอยู่สีคิ้ว ท่านณุอยู่ขอนแก่น ท่านหมึกดันย้ายไปเชียงใหม่ ทีแรกอยู่ที่โคราช" |
ถาม : ถ้าจะถวายพระสำหรับเป็นเครื่องสังฆทาน ?
ตอบ : ถ้าพระที่เข้าพิธีแล้วไม่ควร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ เพราะท่านมีเทวดารักษาประจำ ไปยกขึ้น ๆ ลง ๆ ข้ามไปข้ามมาท่านไม่ชอบใจ ถาม : พระใหม่ครับ ? ตอบ : ถ้าเข้าพิธีแล้ว จะใหม่หรือไม่ใหม่ก็ไม่ควร ยกเว้นของที่ยังไม่เข้าพิธี |
พระอาจารย์เล่าวว่า "โยมที่อยากได้พระสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำมาถามอาตมาว่า ได้จองไว้บ้างหรือเปล่า ? จะไปจองกับผีอะไร อาตมามาถึงก็ ๓๐๐ กว่าข้อความแล้ว จะไปเหลือหรือ ?"
ถาม : จะมีคนมาถวายไหมครับ ? ตอบ : ไม่คิดหวังเลย ติด ๑ ใน ๑๐๐ แล้วยังตัดใจถวายได้ก็เกินไป |
ถาม : เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ยิ่งนานไปคนที่รู้จักท่านจริง ๆ จะน้อยลง ชื่อเสียงเกียรติคุณท่านมากขึ้น ๆ แต่ที่จะรู้จักท่านจริง ๆ จะน้อยลงเรื่อย ๆ แบบเดียวกับหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนที่วัดบางนมโค ตอนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอยู่ หน้าแล้งขอฝนตอนเย็นได้วันละ ๒ ชั่วโมง ไม่ให้ตกหนักมาก เอาแค่พื้นเปียก ตกทุกวัน ๖ โมงเย็น ถึง ๒ ทุ่มตกตลอด พอหลวงพ่อท่านออกจากวัดบางนมโคมา มีคนไปจุดธูปขอให้ตายฝนก็ไม่ตก พอหลวงพ่อท่านกลับไปเยี่ยมวัดบางนมโคก็เลยไปถาม ท่านบอกว่า "เขาไม่รู้จักข้า จุดธูปแค่ตรงนั้น แต่เขาไม่รู้จักว่าข้าเป็นใคร ก็เลยไม่รู้จะช่วยอย่างไร" เขาเห็นท่านเป็นแค่พระพุทธรูปเท่านั้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะรอดูว่ามีใครฉลาดพอไหม ? เพราะว่าที่นี่พอเลิกกรรมฐานจะให้เขาเอาพวงมาลัยกลับไปไหว้พระที่บ้าน ถ้าฉลาดพอก็จะรู้จักตากแห้งเก็บไว้ ถ้าเก็บไว้เยอะ ๆ ก็เอาไปสร้างวัตถุมงคลได้ แต่ถ้าฉลาดไม่พอก็เป็นเรื่องของคุณเถอะ..!"
|
ถาม : บางที่บวงสรวงหล่อพระตอนเย็น เขาบอกว่าทำตามวัดท่าซุง ?
ตอบ : ผิดครู..เขาไม่รู้หรอกว่าวัดท่าซุงที่บวงสรวงตอนเย็นนั้นเป็นการบวงสรวงสุมทองเฉย ๆ แล้วคนก็ไปเลียนแบบตอนนั้น ถ้าคุณต้องการบารมีพระท่านช่วย ต้องบวงสรวงตอนเช้าไม่เกิน ๙ โมงครึ่ง ถาม : สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ยังเคยมีบวงสรวงตอนเย็นนี่ครับ ? ตอบ : เกี่ยวกันที่ไหน ? คนละเรื่องคนละงานกัน ต้องดูให้ออกว่างานนั้นงานอะไร บ้านอนุสาวรีย์ตอนนั้นเป็นงานบอกกล่าวขึ้นบ้านใหม่ ใช่หล่อพระที่ไหนเล่า ? ขนาดทำบุญวันเกิดหลวงพ่อ ท่านยังบวงสรวงตอนเช้า กราบเรียนถามว่าทำไมครับ ? เพราะบวงสรวงตอนเช้าเสร็จแล้วยังต้องรับแขกต่อ หลวงพ่อท่านจะเหนื่อยมาก ทำไมไม่บวงสรวงตั้งแต่ตอนเย็นเลย ท่านบอกว่าตอนนี้เงินขาด ถ้าอยากได้เงินก็ต้องทำตามกติกา ก็คือต้องบวงสรวงตอนเช้า ถาม : ถ้าผมเงินขาด ทำแบบนั้นได้บ้างไหมครับ ? ตอบ :ไปลองทำสิ ลองดูว่าจะได้อย่างท่านไหม ? พูดง่าย ๆ ก็คือว่าท่านต้องการให้คนมาทำบุญ เพื่อที่จะได้เงินมาใช้หนี้ตามที่ต้องการ จึงต้องทำตามกติกา ถ้าบวงสรวงตอนเย็นก็อดรับประทาน |
ถาม : ลูกสาวชื่อจริง ชื่อกมลชนกครับ ?
ตอบ : เกิดวันเสาร์ทำไมชื่อกมลชนก ? กมลชนกเป็นชื่อคนเกิดวันจันทร์ แต่ไม่เป็นไรหรอก ชื่อเป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล แบบเดียวกับอาตมาเกิดวันอาทิตย์ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฉายาว่าสุธมฺมปญฺโญ เป็นฉายาคนที่เกิดวันศุกร์ชัด ๆ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถ้าเรียนไม่ไหววันไหน ให้นึกถึงหน้าอาตมา อาตมาเรียนปริญญาเอกยากกว่าตั้งเยอะยังไม่ถอยเลย อะไรที่ตัดสินใจทำไปแล้ว อย่าไปนั่งเสียใจว่าไม่ควรทำ ถ้าจะเสีย ให้ไปนั่งเสียดายว่า ถ้าเราไม่ทำก็จะไม่ได้ประสบการณ์นี้เลย"
|
ถาม : การที่ตั้งใจว่าจะต้องทำให้สำเร็จ เช่น ต้องเรียนปริญญาเอกให้จบ เป็นมานะใช่ไหมคะ ? และที่ต้องทำให้ได้ดีกว่าคนอื่นเป็นขัตติยมานะใช่หรือไม่ ?
ตอบ : น่าจะลักษณะนั้นเลย ในเมื่อคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ แล้วถ้าหากเราทำได้ ต้องทำได้ดีกว่าเขา เป็นมานะอย่างหนึ่ง เป็นสันดานติดตัวมา เจออุปสรรคแล้วไม่หนี ถ้าขึ้นหน้าตาย ถอยหลังตาย อาตมาขึ้นหน้าแน่นอน ขึ้นหน้าไปตายอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยมาตายแล้วเขาว่าเราขี้ขลาด สันดานเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก มานึกมองอีกมุมหนึ่ง ไอ้นี่มันความคิดของเรา ในเมื่อขึ้นหน้าไปตาย คนอื่นอาจจะว่าโง่ก็ได้ |
ถาม : นายตัมพทาฐิกะเป็นเพชฌฆาต ฆ่าคนตายหลายร้อยหลายพันคน ตามคำสั่งของพระราชา ตอนหลังได้เป็นพระโสดาบัน นายตัมพทาฐิกะไม่ถือว่ากระทำผิดศีลหรือครับ ?
ตอบ : การฆ่าผิดทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ท่านโดนพระสารีบุตรหลอกจนงง หลอกให้คิดว่าไม่ใช่บาปของท่าน แต่เป็นบาปของพระราชา พอกำลังใจคลายตัว กำลังบุญก็เข้ามาแทน ถาม : ถึงแม้จะไม่ได้เจตนา ? ตอบ : ไม่เจตนาแต่คุณลงมือ สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ลงมือฆ่า ฆ่าสำเร็จ ก็ผิดเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าฆ่าเพราะคำสั่งเท่านั้นเอง ถาม : ถ้าตอนที่เราอาบน้ำอยู่ สัตว์ลอยตามน้ำไป แล้วเราช่วยไม่ได้ แล้วเราก็อาบน้ำต่อ ? ตอบ : เมื่อถึงเวลาก็ทำบุญอุทิศให้เขาด้วยก็แล้วกัน เขาไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เลยมาแล้วเพราะใจจะหมอง ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำดีอย่างเดียว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังให้พระมหาจีรพันธ์ทำเรื่องยื่นทาง มจร. ขออนุญาตสร้างเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๕ หาทุนให้กับห้องเรียนวัดใต้ บอกท่านว่าผมรับประกัน ๓ ล้านบาท ท่านบอกว่า มจร. วังน้อยเคยออกมาแล้ว แต่จำหน่ายไม่หมดจนถึงทุกวันนี้ เหลือเชื่อจริง ๆ นิสิตทั่วประเทศเยอะขนาดนั้น สร้างเหรียญออกมา ๑๐,๐๐๐ เหรียญ แต่จำหน่ายไม่หมด
ท่านบอกว่าต้องขอยอดการสร้างไว้เลย อาตมาแจ้งว่าเหรียญทองคำ ๓๐๐ เหรียญ พระมหาจีรพันธ์ถามว่าจะเหลือถึงพวกผมหรือเปล่า ? บอกว่าท่านไม่ต้องหวังหรอก หมดก่อนแน่นอน" |
ถาม : ถ้าหากมีคนทำผิด แล้วถูกจับติดคุกตามกฎหมายบ้านเมือง ที่จริงแล้วแยกกันใช่ไหมคะ ระหว่างการทำผิดของเขา กับการที่เขาติดคุก ที่ติดคุกนี่เพราะอกุศลกรรมส่งผล ไม่เกี่ยวกับที่เขาทำผิดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ลงข้างล่างนี่ถ้ามีโทษทางธรรมต้องรับแยกกันอีกยก ถ้าหากว่าไม่มี สมมติว่าโดนเขาใส่ความแล้วติดคุกก็แค่นั้นแหละ ถือว่าชดใช้กรรมเก่าไป |
ถาม : ท่านออกจากวัดท่าซุงมา แล้วมาอยู่วัดท่าขนุนเลยหรือครับ ?
ตอบ : ออกจากวัดท่าซุงมาไปอยู่วัดท่ามะขามก่อน จากวัดท่ามะขามก็ธุดงค์ไปเรื่อย จนไปสร้างเกาะพระฤๅษี จากเกาะพระฤๅษีก็เที่ยวไล่สร้างวัดอยู่ ๔-๕ วัด กว่าจะเสร็จ จากนั้นหลวงพ่ออดีตเจ้าคณะจังหวัดท่านกาญจนบุรีให้ไปช่วยบูรณะวัดท่าขนุน พอบูรณะเสร็จกลับไปเกาะพระฤๅษี ท่านก็ให้ไปบูรณะวัดทองผาภูมิอีก ทำเสร็จก็กลับมาบูรณะเกาะของตัวเอง ทำเสร็จกะว่าจะนอน อยู่ได้แค่ ๒ วันเท่านั้น วัดท่าขนุนว่างเจ้าอาวาสอีก เพราะเคยไปทำให้เขา พวกเขาก็ไม่ยอมเอาคนอื่น เขาจะเอาอาจารย์เล็ก แห่กันมาเชิญไป ท่านเจ้าคุณปัญญาเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด บอกกับทางอำเภอว่าวัดท่าขนุนให้อาจารย์เล็ก ทางอำเภอก็เลยเหี่ยว เพราะว่าวัดใหญ่คนเขาอยากได้กัน |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีใครดูจันทรคราสบ้าง ? เต็มดวงครั้งเดียวในรอบปี มาเร็วเหลือเกิน มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะมืด ที่เรียกว่าพระจันทร์แดงเพราะว่าฟ้ายังไม่มืด พอเงาโลกทับไปเลยเห็นเป็นสีแดง ๆ ถ้าหากว่าฟ้ามืดไปแล้ว เงาโลกไปทับก็จะมืด โบราณเรียกว่า กบกินเดือนบ้าง ชนกลุ่มน้อยเรียกว่า สุนัขป่ากลืนตะวัน บ้านเราบอกว่า ราหูอมจันทร์
หลวงพ่อวัดท่าซุงเจอท่านราหู ถามว่าไปอมพระจันทร์ทำไม ? ท่านบอกว่า "ผมไม่อมขี้ดินให้โง่หรอก" พระจันทร์ในสายตาท่านก็คือดินก้อนหนึ่ง ตอนไปยุโรปท่านราหูอมเครื่องบิน..! เครื่องบินผ่านเขตอากาศแปรปรวน เครื่องโยนเหมือนกับเรือโดนคลื่นเลย ผู้โดยสารตกใจ พอดีท่านตามมา ก็เลยอมเครื่องบินไว้ อาตมาถามว่าแปรงฟันหรือยัง ? ท่านว่า ตัวท่านก็ไม่ได้แปรงเหมือนกันแหละ..! ไปแซวท่านเล่นท่านก็เลยกวนกลับ อาจจะเป็นเพราะนิสัยของอาตมาที่บวม ๆ ไปเจอแต่ละท่าน ท่านก็เลยทำตัวสบาย ๆ ไม่มีพิธีการอะไรเลย เหมือนอย่างเรื่องเขมรที่กำลังเอาลงในเว็บวัดท่าขนุน เจอหลายเรื่องที่บางทีอาตมารู้สึกว่าเทวดาท่านน่ารัก ทำตัวสบาย ๆ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลี (สะอิ้ง สิรินนฺโท) อาตมานิมนต์ท่านไปงานที่วัดท่าขนุน ท่านไปทุกครั้ง เลยสนิทสนมกัน ตอนฉลองสัญญาบัตรก็นิมนต์ท่าน ป๋าลอ (พระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์) เพื่อนร่วมรุ่นขอฎีกาไปส่งเอง ท่านถามว่า "ใครวะ..พระครูวิลาศกาญจนธรรม ?" พอไปถึงเจอหน้า "เอ็งหรอกเรอะ ?" "ครับหลวงพ่อ ไม่ใช่พระครูธรรมธรเล็กแล้วครับ" ท่านจำแต่ชื่อเก่า พอเป็นชื่อใหม่ก็จำไม่ได้ "ไอ้ลอก็ไม่ยักบอกว่าเป็นเอ็ง ไปถึงก็ส่งฎีกาให้ บอกว่าลูกศิษย์นิมนต์หลวงพ่อ"
ถาม : ท่านจบประโยค ๘ ? ตอบ : ใช่..ทุกวันนี้เวลาท่านเขียนงาน ท่านเป็นแต่งเป็นกาพย์เป็นกลอนหมด อาตมายื่นหัวเข้าไปกราบท่านเมื่อไร ท่านก็เขกหัวโป๊ก ไม่มีคนรู้ว่าท่านเป็นพระปฏิบัติ เพราะว่าท่านมาสายวิชาการจนจบประโยค ๘ แต่แอบภาวนาทุกวัน |
ถาม : ในสมัยพระพุทธเจ้ามีสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เท่าที่อ่านดูในพุทธประวัติยังไม่เจอ ส่วนใหญ่สร้างเป็นเจดีย์ ถาม : องค์ที่สร้างเป็นภูเขาใหญ่ ๆ จะอยู่ถึงอีกพุทธันดรไหมครับ ? ตอบ : ไม่น่าจะถึง เพราะว่าพอสิ้นพุทธันดรหนึ่งไป ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้โลก ไหม้จนโลกป่นเป็นแป้งไปหมด ไหม้จนโลกเล็กลงไป ๑ โยชน์ นึกดูแล้วกันว่ารอบข้างไหม้เป็นขี้เถ้าลึกลงไป ๑๖ กิโลเมตร ฉะนั้น..ถึงสร้างไว้ใหญ่แค่ไหนก็ไม่เหลือ |
ถาม : ทิเบต ภูฏาน เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ถึงขนาดไม่มีคนฆ่าสัตว์หรือครับ ?
ตอบ : ทิเบตสมัยก่อนก็ไม่มีการฆ่าสัตว์ ต้องสัตว์ตายเองถึงจะได้กิน แต่พอพวกอิสลามเข้าไป อิสลามเขาฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็รับหน้าที่กินอย่างเดียว ถาม : อิสลามก็ยังบริโภคเนื้อวัวอยู่นะครับ นำเข้าจากอินเดีย ? ตอบ : ถ้าหากไม่เปิดโรงฆ่าสัตว์ก็ต้องนำเข้า สภาพสังคมตอนนี้ทั่วโลกเป็นบ้านเดียวกัน ถึงกันหมด ถาม : ที่ทิเบตต้องรอให้แก่ตายจึงจะกิน ? ตอบ : ทิเบตเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้แก่ตายเองก็ไม่มีใครไปทำอะไรหรอก ถาม : ถ้าเขาใช้วิธีต้อนสัตว์ให้เบียดกันจนตกเขาตาย จึงจะได้กิน ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็เจตนาฆ่าพอกัน ตั้งใจให้เขาไปตาย ไม่ว่าคุณจะวิธีไหน ถ้าเขาตายก็แปลว่าฆ่าสำเร็จ อาตมาเองไปทำวัวตกเขาตายโดยไม่เจตนา เพราะว่าตอนนั้นไปภาวนาอยู่ที่ภูชี้ฟ้าซึ่งอากาศหนาว พอดีมีหลุมที่เป็นแอ่งก้นหม้อ ก็ลงไปนั่งอยู่ในหลุม เอาจีวรคลุมปากหลุม ภาวนาพอใกล้สว่างก็ว่าจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมบิณฑบาต ไม่รู้หรอกว่ากลางคืนมีวัวมานอนอยู่ใกล้ ๆ เยอะแยะ พอเปิดจีวรลุกขึ้น วัวก็ตกใจวิ่งหนีอาตมา ก็ไม่ได้คิด พอตอนสาย ๆ บิณฑบาตกลับมาเห็นคนงานป่าไม้เอะอะโวยวาย ถามว่าอะไร เขาบอกว่าวัวตกหน้าผาไปตายอยู่ฝั่งลาว ต้องไปเอาซากกลับมา คาดว่าตกไปตอนที่ตกใจวิ่งหนี อาตมาไม่ได้เจตนาแม้แต่นิดเดียว แต่วัวตายไปแล้ว |
ถาม : ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาโลกเมื่อไร ?
ตอบ : พอไม่มีความดีเหลืออยู่ในมนุษย์ เทวดาท่านก็จะปล่อยให้ไฟล้างโลก ตอนช่วงนั้นเขาบอกว่าพระอินทร์จะมาทดสอบ ปลอมเป็นคนแก่เข็นทองเท่าลูกฟักมา ถามว่าใครรู้ข้อความในพระไตรปิฎกแม้สักปิฎกเดียวจะยกทองนี้ให้ ก็ไม่มีใครรู้ รู้แม้พระสูตรเดียวก็ไม่มีใครรู้ ท้ายสุดแม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่มีใครรู้ ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะประกาศว่าบัดนี้พุทธศาสนาสิ้นสุดแล้ว สั่งท้าวมหาราชกับบริวารทั้งหมดถอนกำลังกลับ สภาพที่ไฟบรรลัยกัลป์ที่รอไหม้อยู่แล้วก็จะไหม้เลย เพราะเทวดาท่านไม่ช่วยยับยั้งแล้ว ถาม : เคยอ่านเจอคนจะฆ่ากันตาย แล้วคนดีจะหนีเข้าถ้ำ เข้าป่า ? ตอบ : พวกคนดีที่หนีไป เขาไปสร้างอภิญญาขึ้นมาได้ ต่อให้ไฟมากกว่านั้นเขาก็อยู่ได้ ใช้กำลังอภิญญา หลังจากนั้นด้วยความสลดใจก็รักษาศีลมากขึ้น อายุก็ค่อย ๆ ก็ยืนขึ้น |
ถาม : พื้นฐานมนุษย์มาจากพรหม แล้วสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?
ตอบ : สืบเชื้อสายมาเรื่อย แต่ว่าในเรื่องสภาพจิตอย่างหนึ่ง ในเรื่องความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ก็ตกต่ำลดลงไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับของใหม่ ๆ สักชิ้นหนึ่ง ผ่านกาลเวลานานไปก็เก่าลง ๆ ต้องบอกว่าในช่วงวิวัฒนาการเปลี่ยนผ่านของมนุษย์ไม่ได้มาจากลิง หรือจากอะไรอย่างที่เขาว่ากัน ระยะหลังนี้ทางด้านโบราณชีวศาสตร์เขาก็เริ่มยอมรับกันแล้วว่ามนุษย์ไม่น่ามาจากลิง เพราะว่าระหว่างลิงกับมนุษย์ขาดโครโมโซมไป ๒ คู่ คือ มี ๓๖ กับ ๓๘ เขาหาสิ่งที่มีโครโมโซม ๓๗ คู่ไม่ได้ ก็เลยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากลิง เพียงแต่ยังหาไม่เจอว่ามาจากไหน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ของสะสมที่อาตมาเก็บไว้เป็นของเกี่ยวกับในหลวง อุตส่าห์สละแสตมป์ที่หายากลงกระทู้บูชาวัตถุมงคลไป แต่ปรากฏว่าไม่มีคนรู้จัก ลงไปตั้งนานยังไม่มีใครบูชา ตอนนั้นอาตมาจองเอาไว้ ๑๐ ชุด ได้แค่ ๑ ชุด เพราะไปรษณีย์บอกว่าหมด ความจริงก็คือกักตุนไว้เก็งกำไร"
|
ถาม : ญาติของผมมีอคติกับผม จ้องจับผิดผม ผมเจอหน้าเขาทีไรมีแต่โมโห ทำอย่างไรจึงจะเลิกอคติเขา ?
ตอบ : ค่อย ๆ แผ่เมตตาให้เขา พยายามดูให้รู้ว่าบุคคลที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ นั้น จะเกิดโทษยาวนานในข้างหน้าอย่างไร ในเมื่อเขาเองไม่รู้ แทนที่จะโกรธ ก็จะกลายเป็นสงสารเขา ถาม : เราทำอะไร เขาชอบขัดเราตลอด ก็ต้องแผ่เมตตา ? ตอบ : แผ่เมตตาไม่พอ ต้องภาวนาให้กำลังใจทรงตัวด้วย ถ้ากำลังใจทรงตัวจะระงับยับยั้งตัวเองได้ ต่อให้ไม่พอใจอย่างไรก็จะไม่แสดงออก ถาม : ผมต้องไปขัดกับเขาเป็นประจำ ? ตอบ : หัดอมลิ้นไว้ จะได้ไม่ต้องไปขัดเขา |
ถาม : ตอนนี้ที่วัดมีปัญหา กรรมการวัดจะไล่เจ้าอาวาสออก ตอนแรกเขาไปปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอบอกว่าไม่มีอำนาจ ต้องไปให้ทางเจ้าคณะจังหวัดจัดการ เพราะเป็นคนแต่งตั้ง ?
ตอบ : ท่านปัดเรื่องไปให้พ้นตัว โดยปกติเวลามีเรื่องขึ้นมาต้องยื่นฟ้องตามลำดับชั้น ต้องฟ้องที่เจ้าคณะตำบลก่อน ต้องบอกให้ชัดเจนว่าท่านผิดข้อหาอะไร แล้วเจ้าคณะตำบลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ถ้าไปถึงอำเภอหรือจังหวัดเลย ด้านบนเขาถือว่าผิดขั้นตอน จะไม่รับเรื่อง กรณีนี้เจ้าคณะอำเภอเขาไม่อยากมีปัญหา ก็เลยปัดเรื่องไปให้พ้นตัว ต้องไปตามขั้นตอน คณะกรรมการเขาบอกหรือเปล่าว่าจะฟ้องข้อหาอะไร ? ถาม : หลายเรื่องค่ะ ตอบ : หลักฐานชัดเจนเพียงพอไหม ? ถาม : ประเด็นสำคัญเขาจะให้หนูเป็นคนพิมพ์เรื่องร้องเรียน ? ตอบ : อย่าได้เอามือไปซุกหีบ จะเจ็บตัวโดยใช่เหตุ ถาม : ตอนแรกเขาก็จะลากหนูไปหาเจ้าคณะอำเภอ ไปให้เล่าเรื่อง หนูเลยหนีกลับไปนอนที่บ้าน ? ตอบ : อย่าไปยุ่ง เขาจะสู้กันเราก็หลบ ค่อยโผล่ไปตอนเขาเลิกแล้ว ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมไม่เข้าใจว่า การปกครองคณะสงฆ์นั้นมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ฉะนั้น..จะฟ้องร้องต้องว่ากันไปตามลำดับ ถ้าเรื่องภายในวัดต้องฟ้องเจ้าอาวาส ถ้าเจ้าอาวาสผิดให้ฟ้องเจ้าคณะตำบล ถ้าตำบลผิดฟ้องอำเภอ ถ้าอำเภอผิดฟ้องจังหวัด ถ้าข้ามขั้นเมื่อไรเขาจะไม่รับเรื่อง เพราะถือว่าไม่ได้มาตามขั้นตอน เวลาเขาทำ เราอยู่วงนอกให้พิจารณาดูด้วยว่างานนั้นใครได้ประโยชน์ คนได้ประโยชน์นั่นแหละบางทีอยู่เบื้องหลัง เหตุที่เกิดถ้าไม่ใช่เจ้าอาวาสขัดผลประโยชน์กรรมการ ก็แสดงว่าจะต้องมีใครหวังตำแหน่งเจ้าอาวาส ถ้าเขาพ้นไปแล้วตนเองจะได้ อยู่ข้างนอกมองเข้าไป เดี๋ยวก็เห็นเองว่าใครเป็นใคร ถาม : กรณีนี้เจ้าอาวาสไปขัดผลประโยชน์ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาก็เพราะว่ากรรมการไม่สามารถควบคุมเจ้าอาวาสได้ ถึงเวลาเรียกร้องผลประโยชน์ไม่ได้ ถาม : เจ้าอาวาสเอาเงินวัดไปใช้ในเรื่องส่วนตัว กรรมการไม่ยอม ขณะเดียวกัน กรรมการวัดต้องการเอาเงินไปก่อสร้างให้วัด แล้วเจ้าอาวาสมายึดสมุดบัญชีวัดไป เพราะต้องการยึดอำนาจการใช้เงินจากกรรมการ ? ตอบ : ปล่อยเขารบกันเอง บอกไปว่า เราเป็นคนนอกมาอยู่ไม่นาน ไม่รู้เรื่องอะไร ขืนไปเข้าข้างไหนก็เละ แล้วเรื่องอะไรจะไปเข้าข้าง |
พระอาจารย์สนทนากับโยมรุ่นเก่าที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง "ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ให้นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพานไว้อย่างเดียว ถ้าใจจ่ออยู่ที่เดียว รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่มี ถ้าอยู่ได้นานพอจนเคยชิน ใจจะสะอาดไปเอง"
ถาม : รู้สึกว่าเข้มข้นขึ้น ? ตอบ : เหมือนที่อื่นไม่อยากแวะแล้ว ไปที่เดียว ยังดีที่พวกเราเลี้ยวมาตอนนี้ เห็นทุกข์แล้วเข้าถึงธรรมได้ คนอื่นทุกข์แล้วไปดิ้นรนกลุ้มใจอยู่ ถือว่าโชคดีที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เพียงแต่ว่ากรรมเก่าที่เราสร้างไว้ ก็ใช้ ๆ ไป ถือว่าครั้งสุดท้ายแล้ว เอ็งทวงได้เท่าไรก็แค่นั้นแหละ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ถาม : รุ่นเราโชคดีที่สุดที่ได้เจอหลวงพ่อ ? ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นสังฆานุสติเต็มระดับ นึกถึงเมื่อไรก็เห็นภาพชัดเจนว่าท่านพูดอย่างไร ท่านทำอย่างไร คนอื่นนึกให้ตายก็นึกไม่ออก ถาม : ท่านโชคดีที่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ? ตอบ : ต้องบอกว่าอาตมาตัดสินใจถูกแล้วที่มาทางนี้ ถ้าเป็นฆราวาสก็คงต้องไปรบราฆ่าฟัน แย่งชิงตำแหน่งกับเขาอีก ช่วงนั้นแม่ชม้อยล้มตึงพอดี พอแม่ชม้อยล้ม แทนที่จะถอยเหมือนบางคน อาตมาก็บวชเลย ถาม : แกออกมาหรือยัง ? ตอบ : ออกมาแล้วแต่ว่าเงินไม่มี เพราะว่าโดนเขายึดไปหมด ความจริงอาตมาจะไม่กระทบกระเทือนเลยเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าไม่เล่นแชร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พรรคพวกนี่สิ คนโน้นก็มาอ้อนคนนี้ก็มาอ้อนยืมเงิน จากที่ไม่เล่นกับใคร เลยเจอไป ๗ คันกว่า ๘ คัน "พี่ไม่มีความโลภเป็นความดีของพี่ แต่พวกผมต้องกินต้องใช้ ถึงเวลาถ้าผมได้มา ก็แบ่งให้พี่ด้วย พี่ก็ทำงานพระศาสนาได้สะดวกขึ้น" กล่อมจนอาตมาต้องให้ สรุปว่าอยู่เฉย ๆ ก็โดนไปด้วย หลวงพ่อท่านหัวเราะ บอกว่า "ไอ้พวกกองเสบียง คอยสนับสนุนเขา โดนไปด้วยจนได้" สรุปว่าสงครามครั้งนั้นอาตมาเป็นฝ่ายสนับสนุนเสบียง เลยโดนไปด้วย |
ถาม : เวลาเราอธิษฐานทำไมบางครั้งจึงไม่สำเร็จ ?
ตอบ : เราต้องทำมาพอ ถ้าเราทำมาไม่พอก็ไม่สำเร็จ อธิษฐานบารมีเหมือนเราเก็บเงินซื้อของ สมมติว่าจะซื้อรถคันหนึ่ง ถ้าคุณเก็บเงินไม่พอ คุณก็ซื้อรถไม่ได้ อธิษฐานให้ตายก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าหากบุญของคุณเพียงพอ อธิษฐานขอก็จะได้ตามนั้น อธิษฐานบารมีเป็นการเล็งเป้าไว้ว่าเราต้องการอะไร ถ้าถึงเวลาสิ่งนั้นก็จะมาตามบุญที่เราทำ ไม่ใช่ความโลภ เพราะว่าทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วได้แน่นอน เพียงแต่ว่าอธิษฐานบารมีเป็นการจำกัดว่าต้องการตอนไหน ต้องได้ตอนนั้น เป็นเรื่องของคนมีปัญญาจึงจะใช้เป็น แต่ว่าต้องทำมาเพียงพอจึงจะได้ ไม่พอยังไม่ได้หรอก เป็นเรื่องของเหตุผล ถ้าคุณสร้างเหตุพอ ผลก็จะได้ เพียงแต่ว่าได้ตามที่เราต้องการ ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ อาจจะได้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ |
ถาม : ผมได้รับพระกรุของที่อื่นมา แต่ผมไม่รู้ที่มาว่าเป็นของมือหนึ่ง มือสอง หรือมือสาม ไม่รู้ว่าคนที่เป็นมือหนึ่งเขาได้มาจากการขโมยหรือเช่าบูชา ?
ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจให้สร้างพระพุทธรูปถวายวัดคืนไป เราไม่ต้องดูว่าพระองค์นั้นปัจจุบันราคาท้องตลาดเท่าไร สมมติว่าเป็นพระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง อาจจะสัก ๒๐ ล้านบาท แต่ถ้าคุณสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วองค์หนึ่งไปถวายวัด สามารถทดแทนกันได้ เพราะ พุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ เราก็สร้างองค์ใหญ่กว่าไปคืน ถาม : สร้างเองหรือต้องไปซื้อ ? ตอบ : จะไปซื้อไปก็ได้ ให้มาเป็นของเรา เสร็จแล้วเอาไปถวายวัด ตั้งใจอธิษฐานทดแทนกันไป เผื่อว่าจะเป็นหนี้สงฆ์ เราก็ถวายพระองค์นี้แทนการชำระหนี้สงฆ์ แต่ถ้าไปแบกเอาพระพุทธรูปมา ต้องสร้างคืนหรือถวายคืนให้ใหญ่เท่านั้นหรือใหญ่กว่านั้น แต่ถ้าพระเครื่อง ถวายคืนแค่องค์ขนาด ๕ นิ้วก็พอ |
ถาม : รู้สึกว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เราทำแล้วมีความสุขเลย ?
ตอบ : เขาเรียกว่านิพพิทาญาณ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราก็ยังอยากเกิดอีก พอเราเบื่อเราก็จะเสาะหาว่าทำอย่างไรถึงจะไม่เกิด ก็คือเส้นทางในการละสังโยชน์ ๑๐ หรือเส้นทางพระโสดาบัน คว้าเอาไว้แล้วปฏิบัติย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนไว้ทุกวัน ถ้าอารมณ์เราสูงขึ้นก็จะก้าวข้ามตัวเบื่อไปได้ ตอนนี้รู้สึกเบื่อ ก็พยายามให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาต้องพบกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้ แต่ถ้าเปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนไม่รู้จบนี้ กับการที่ชาตินี้เราหลุดพ้นไปพระนิพพาน ชีวิตชาตินี้ของเราเมื่อเทียบกับการเวียนว่ายตายเกิดก็แค่แวบเดียว ทำไมเราจะทนอยู่ไม่ได้ ถ้าเราเห็นธรรมดาของการเกิดเป็นอย่างนี้ เห็นตัวธรรมดาตรงนี้เมื่อไร ก็จะไม่ไปแบกเอาไว้ ความเบื่อก็จะหายไป ต้องพิจารณาอีก ทวนแล้วทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ยิ่งเบื่อมากยิ่งดีเพราะจะได้ไม่อยากเกิด ถ้ารักษาอารมณ์เบื่อไว้ได้ก็ให้ประคองไว้สักระยะหนึ่งก่อน เอาให้จำใส่ใจไปเลยว่า อย่างนี้ไม่เอาแน่ ๆ หลังจากนั้นก็พิจารณาให้เห็นธรรมดา จะได้ก้าวข้ามไป ถ้าเคยทำมา ถามแล้วก็ตอบได้ แต่ถ้าไม่เคยทำ เมื่อมีมาถามแล้วจะไม่รู้จะตอบอย่างไร ดีที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมาครบทุกอย่าง ถึงเวลาคนอื่นถามอะไรก็ไม่เกินไปจากนั้น |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.