กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมีต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4267)

เถรี 02-12-2014 20:19

ถาม : พระที่อาพาธ หมอและพยาบาลบอกให้ฉันข้าวเย็นได้เพราะว่าจะได้ฉันยาต่อ ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอาพาธฉันข้าวเย็นได้หรือไม่ ผิดพระวินัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทรงอนุญาตแม้กระทั่งภิกษุผู้เฝ้าไข้ เพราะคนเฝ้าไข้บางทีงานหนักยิ่งกว่าคนป่วยอีก ถ้าไม่ได้ฉันอาหารตามมื้อปกติ อาจจะไม่มีกำลังพอดูแลคนไข้ได้ แต่ว่าต้องพอสมควร

อาตมาเคยไปนอนอยู่โรงพยาบาลสงฆ์ ปรากฏว่าเขาฉันมื้อแรกตอนตี ๕ มื้อที่สองตอน ๘ โมง มีอาหารว่างตอน ๑๐ โมง มื้อที่สามตอนเพล มื้อที่สี่ตอนบ่าย ๒ มื้อที่ห้าตอน ๕ โมงเย็น มื้อที่หกตอน ๒ ทุ่ม ถ้าอย่างนั้นอย่าฉันเลยดีกว่า อาตมาอยู่ของตัวเองดี ๆ ก็มาเซ้าซี้ “พระหนุ่ม ๆ ฉันมื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร ?”

ที่สลดใจก็คือแต่ละคนหายป่วยแล้วแต่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาลสงฆ์ เพราะว่ามีโยมไปเลี้ยง ไปถวายปัจจัยกันมาก โดยเฉพาะจะแย่งกันอยู่เตียงข้าง ๆ ประตู เนื่องจากว่าโยมเข้ามาก็เริ่มถวายจากหน้าประตูไปก่อน ท่านเหล่านั้นทะเลาะกับพยาบาลหรือหมออยู่ทุกวัน หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมออก เป็นตายก็ไม่ยอมไป อาตมาทนอยู่ได้ ๓ วันก็ต้องออกไปอยู่วัด


ถาม : เคยไปเจอ ๕ เวลามาแล้วเหมือนกัน ?
ตอบ : ๕ เวลานั่นเขากินกันเอง โรงพยาบาลเขาเพิ่มแค่ตอน ๕ โมงเย็นให้เพื่อกินยาเท่านั้น

เถรี 02-12-2014 20:20

ถาม : การที่พระนำเอาเงินสงฆ์ คือ เงินที่โยมตั้งใจถวายวัด ไปใช้เป็นเงินส่วนตัว โดยเจตนายักยอก ไม่ทราบว่าเข้าข่ายปาราชิกหรือไม่คะ ?
ตอบ : เจตนายักยอกแค่บาทเดียวก็ขาดความเป็นพระตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แม้กระทั่งเงินสงฆ์ที่เขาถวายมาแล้วเราเอาไปใช้โดยไม่แจ้งสงฆ์ ?
ตอบ : แจ้งก็ไม่มีสิทธิ์ เงินสงฆ์ต้องใช้ในงานของสงฆ์เท่านั้น

เถรี 02-12-2014 20:21

ถาม : กราบเรียนถามเรื่องยารักษาโรคเบาหวาน สูตรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ให้ใช้หญ้าแพรก ๑ กำมือ ขมิ้นชันขนาดเท่าหัวแม่มือ มาตำแล้วละลายด้วยน้ำปูนใสให้ได้ปริมาณ ๓๐ ซีซี อยากทราบว่าน้ำปูนใสใช้ปูนแดงหรือปูนขาวละลายน้ำครับ ? และอยากทราบว่าใช้ปูนเท่าไรต่อน้ำเท่าไรครับ ?
ตอบ : น่าจะใช้น้ำปูนคอนกรีตนะ ...(หัวเราะ)... อะไรจะไม่รู้ได้ขนาดนั้น แต่เด็กรุ่นนี้ก็ว่าไม่ได้ เพราะว่าบ้านเรากินหมากกันน้อยแล้ว ให้ใช้ปูนแดงประมาณหัวแม่มือละลายน้ำ ๑ ขัน ทิ้งเอาไว้จนน้ำใสเพราะปูนตกตะกอน แล้วก็เอามาใช้ ปูนแดงที่กินกับหมากนะจ๊ะ ไม่ใช่ปูนขาว..!

เถรี 02-12-2014 20:22

ถาม : การที่ญาติโยมมาเลี้ยงเพลพระที่วัด หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพก็ตักเอากับข้าวที่ตนเองเอามา แจกจ่ายให้บรรดาแขกเหรื่อที่มาในงานของตนเองกลับบ้านด้วย เจตนาเพื่อทำทานแก่คนทั่วไป อยากถามว่ากับข้าวที่เจ้าภาพแจกจ่ายนั้นจะถือว่าเป็นของสงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็นของสงฆ์ เป็นของเจ้าภาพ ของสงฆ์คือส่วนที่เขาถวายพระไป

ถาม : อ้าว...เขาเอาไปเลี้ยงเพลนี่ครับ ?
ตอบ : เขายกไปวัดเฉย ๆ ไม่ได้ให้พระทั้งหมด เขาตั้งใจจะแจกคนด้วย ส่วนที่ถวายสงฆ์ก็เป็นของสงฆ์ไป ส่วนที่ไม่ได้ถวายสงฆ์เขาจะให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา

เถรี 03-12-2014 06:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่กว่าโยมจะออกจากบ้านก็สาย มาถึงนี่ก็ประดังกันมาตอนใกล้ ๆ เพล แล้วเพลก็เป็นเวลาที่พระจะไปฉัน ถามว่าเวลาอื่นได้ไหม ? ถ้าเคร่งครัดมาก ๆ ก็ควรที่จะตรงเวลา พระท่านมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เวลาเพลจึงเป็นเวลาสำคัญของพระ ใครโทรมาตอนเพลอาตมาไม่รับสายเด็ดขาด ขนาดเจ้านายโทรมายังปล่อยให้กริ่งดังจนเลิกไปเอง ท่านเป็นพระก็รู้ว่าผมต้องฉันเพล

ถ้าถามว่าฉันมื้อเดียวสะดวกกว่าไหม ? ก็ต้องปรับกิจวัตรประจำวันกันขนาดใหญ่ เพราะว่าฉันมื้อเดียวก็ต้องฉันตอน ๙ โมง ไม่เกิน ๑๐ โมง แล้วก็ไม่ได้ฉันน้อยกว่าสองมื้อนะ ขอยืนยัน เพราะว่าตอนบวชใหม่ ๆ อาตมาก็ถือธุดงควัตร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร ข้าวปลาอาหารตักรวม ๆ กัน บาตรเบอร์แปดครึ่ง ข้าว
ครึ่งบาตร ฉันไม่เหลือเลย ครึ่งบาตรนี่เทออกมาประมาณ ๔-๕ จาน ฉะนั้น..ฉันมื้อเดียวของอาตมานี่ รู้สึกฉันสองมื้อจะน้อยกว่า

ตอนไปธุดงค์เดินอยู่ในป่าเดือนหนึ่ง หลุดออกมาเจอบ้านคน ทางด้านรอยต่อระหว่างห้วยขาแข้งกับศรีสวัสดิ์ เป็นแพอยู่ริมน้ำ เจ้าของเป็นเถ้าแก่รับเหมาซื้อปลาจากชาวบ้าน เห็นพระก็ดีใจ นิมนต์ฉัน อุตส่าห์หุงข้าวมา มีหม้อข้าวไฟฟ้าใบเล็กอยู่ น่าจะหุงข้าวได้สักครึ่งลิตร ทำกับข้าวมาหลายอย่าง มีน้ำพริกผักต้ม มีปลาทอด มีต้มยำ เขาก็รอว่าพระฉันเสร็จแล้วจะกินต่อจากพระ อาตมาก็ฉันไปเรื่อย เงยหน้ามาอีกทีข้าวหมดหม้อ..! ถึงได้รู้ว่าชูชกท้องแตกตายได้อย่างไร

เดินในป่าเป็นเดือน ร่างกายขาดสารอาหาร ฉันเท่าไรจึงไม่รู้สึกอิ่ม พวกเราเคยฉันเท่าไร ต้องเอาแค่นั้นเลย อย่าไปว่าเพลิน..จะตายเอา ถึงได้ว่าเวลาอ่านในพระธรรมบทว่า ฤๅษีหรือโยคีไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า ๓ เดือน ๖ เดือน อยากเปรี้ยวอยากเค็ม ก็เดินทางเข้ามาในเมือง เข้ามาหาอาหาร นั่นก็คือขาดสารอาหารเยอะ เข้ามาฉันให้มีกำลังแล้วกลับเข้าไปปฏิบัติธรรมใหม่ เจอมากับตัวเองถึงได้รู้ว่า ฉันสองมื้อของอาตมา น้อยกว่าฉันมื้อเดียวเยอะเลย"

เถรี 08-12-2014 11:22

ถาม : ลูกพยายามใช้เวลาสวดมนต์ให้มากที่สุด ลูกจะหนีกรรมได้หรือไม่ ?
ตอบ : แล้วแม่ไม่คิดจะหนีหรือ ?

ถาม : อ๋อ..คือเขาแทนตัวเองว่าเป็นลูกครับ ?
ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นจะหนีกรรมได้มาก เพราะว่าการสวดมนต์นั้น อันดับแรก..เกิดสมาธิ สังเกตว่าถ้าสมาธิเคลื่อนจะสวดผิด อันดับที่ ๒..ถ้าเราตั้งใจใช้คำสวดเป็นคำภาวนา ก็สามารถที่จะทรงฌานเวลาสวดได้ ผลที่จะได้รับก็มากขึ้นไปอีก อันดับที่ ๓..ถ้าสามารถยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ขึ้นไปสวดถวายเป็นพุทธบูชาที่ข้างบนโน้น ถ้าตายตอนนั้นก็พ้นกรรมไปเลย อันดับสุดท้าย..ถ้าสามารถแปลออกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร แล้วปฏิบัติตามนั้นก็จะเกิดประโยชน์แก่ตนยิ่งขึ้นไปอีก

ดังนั้น..ถามว่าสวดมนต์สามารถหนีกรรมได้ไหม ? ต้องบอกว่าอยู่ที่ตนเองทำได้มากน้อยเท่าไรก็จะหนีกรรมได้มากน้อยเท่านั้น


ถาม : นี่ขนาดแค่สวดมนต์อย่างเดียวนะครับ ?
ตอบ : ที่ว่า “แค่นี้” คือแค่นี้ของเรา แต่ถ้าทำเป็นก็ได้ผลมาก

เถรี 08-12-2014 11:23

ถาม : ขณะที่ลูกขับรถไปทำงาน ก็ขอขมาพระรัตนตรัยโดยการขึ้นไปกราบพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การยกใจขึ้นไปขอขมาบนพระนิพพานถือว่าเป็นการขอขมาตรงเลย ถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีมาก แต่ต้องระวัง..อย่าให้กำลังใจส่วนใหญ่เกาะข้างบน เพราะจะบังคับร่างกายได้ยาก เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ..!

เถรี 08-12-2014 11:24

ถาม : ที่บ้านมีต้นโพธิ์ขึ้นติดกับครัว ลูกตัดไปหลายครั้งแล้ว จะบาปหรือไม่ ก่อนตัดก็ไหว้ขอขมาแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นในที่ไม่สมควร เราโค่นทิ้งไปได้เลย เทวดาท่านไม่อยู่หรอก เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็จะโดนเขาตัดทิ้ง

เถรี 08-12-2014 11:24

ถาม : ลูกอยากทราบเรื่องการขอพลังแสงทิพย์สมเด็จพระนเรศวรที่วัดวรเชษฐ์ฯ มีจริงหรือไม่ ? ทำเพื่อประโยชน์อะไรคะ ?
ตอบ : เรื่องนี้ต้องไปถามคนที่ทำ อาตมาไม่ได้ทำ ตอบแทนไม่ได้

เถรี 08-12-2014 11:24

ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้ขึ้นไปข้างบนแล้วไม่เจออิสลาม เนื่องจากอะไร ?
ตอบ : เนื่องจากไม่ได้เจอ..!

เถรี 08-12-2014 11:25

ถาม : นรกสวรรค์ของทุกศาสนาคือที่เดียวกัน แล้วผู้ควบคุมนรกสวรรค์ของศาสนาอื่น จะเป็นท่านเดียวกันกับของศาสนาพุทธหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็นรกสวรรค์แห่งเดียวกันทั้งหมด ผู้ดูแลก็เป็นผู้เดียวกัน

ถาม : แล้วเรื่องของภาษาพูดใช้ภาษาใจหรือว่าภาษาอะไรครับ ?
ตอบ : เราใช้ภาษาใดจะได้ยินเป็นภาษานั้น

เถรี 08-12-2014 11:26

ถาม : บ่อยครั้งที่มีข่าวต้นไม้ออกผลเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ทำให้ชาวบ้านมากราบไหว้แล้วถูกหวยกัน อยากทราบว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรครับ ?
ตอบ : สิ่งที่ถูกต้องคือถูกหวย..!

ถาม : อย่างไรครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : การถูกหวยเกิดจากการที่เราเคยสร้างบุญไว้ การที่เราได้ลาภมาจากการถูกหวย ต้องเคยสร้างทานบารมีมาในอดีต แต่คราวนี้ไปให้ผลตอนไปกราบไหว้สิ่งประหลาด ๆ เหล่านั้นพอดี ถ้าเป็นเพราะกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นแล้วถูกหวย ก็ต้องถูกกันทั้งประเทศไปแล้ว

เถรี 08-12-2014 11:27

ถาม : หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ทำไมท่านถึงลาพุทธภูมิ ? แล้วลูกศิษย์ไม่ตามท่านจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถามท่านก็แล้วกันว่าทำไม ลูกศิษย์ถ้าไม่ตามท่านก็จงเกิดต่อไป

เถรี 08-12-2014 11:27

ถาม : เคยฝึกมโนมยิทธิแล้วมีคนมาทัก ทำให้ตัวเองไม่เชื่อมั่น สงสัยในการทำสมาธิ ความจริงเป็นอย่างไรและต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : เลิกเชื่อที่เขามาทัก

ถาม : แล้วที่เกิดความหวั่นไหวสงสัยไปแล้วจะทำอย่างไรละครับ ?
ตอบ : ก็เลิกเชื่อ

ถาม : ก็เลิกแต่ว่าสงสัยนะครับพระอาจารย์
ตอบ : เลิกเชื่อก็จะเลิกสงสัย

เถรี 08-12-2014 11:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมามีหน้าที่นั่งเสกมีดหมอ เพราะว่าช่างส่งมีดหมอเพชราวุธมาแล้ว ๖๐ กว่าเล่ม เต็มห้องเลย ยังเหลืออีก ๒๐ กว่าเล่ม ส่งมาหมดเมื่อไรก็จะเริ่มเปิดจองแล้ว ใครได้โควตาพิเศษแล้วห้ามจองซ้ำ"

เถรี 10-12-2014 12:15

ถาม : เมื่อวานนี้โยมพิจารณา... พอเห็นแล้ว จึงย้ายความรู้สึกตรงนี้ออกไป ลบความรู้สึกความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกจะว่างเปล่า เหมือนกับไม่มีความคิด อยากจะถามว่าถูกบ้างไหม ?
ตอบ : ถามว่าถูกไหม ? ถูก..แต่เกินความต้องการไปหน่อย เอาแค่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างไม่มีสาระก็พอแล้ว การพิจารณาในลักษณะของเราไม่ใช่การพิจารณา แต่เป็นการใช้สมาธิในอรูปฌาน ถ้าการพิจารณาที่ใช้ปัญญาจริง ๆ เขาต้องถอยสมาธิออกมาก่อน แล้วค่อยพิจารณา สังเกตไหมว่าของเราไม่ได้คลายสมาธิออกมา เพียงแต่ว่าเปลี่ยนอารมณ์สมาธิ

ถาม : ไม่รู้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่รู้เลยใช่ไหม ? ลองไปสังเกตว่าเราไม่ได้ทิ้งการภาวนาเลย เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการภาวนาเท่านั้นเอง ลักษณะคล้าย ๆ กับอรูปฌาน คราวหน้าก่อนที่จะพิจารณาเราก็ถอยกำลังออกมา อยู่อารมณ์สบาย ๆ ตามปกติของเรา แล้วก็ค่อย ๆ คิดดู ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด แม้กระทั่งร่างกายของเราหรือคนอื่นก็เหมือน ๆ กัน จึงไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ตัวเราก็ตาย ตัวเขาก็ตาย ไม่มีใครดีใครเลวกว่ากันหรอก เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปเหมือน ๆ กัน

พอพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตจะทรงตัวเป็นสมาธิ ก็จะย้อนกลับไปภาวนาใหม่ ส่วนที่โยมว่ามานั่นเป็นการทรงสมาธิไม่ปล่อย แต่ว่าการทรงสมาธิอยู่ เราสามารถที่จะรักษาอารมณ์อะไรบางอย่างเอาไว้ได้ อย่างเช่น อารมณ์อรูปฌานในลักษณะของการกำหนดพิจารณาความไม่มีอะไร ทำไปแล้วกันเท่าที่ทำได้ อรูปฌานกำลังก็เหลือเฟือเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้าติดอยู่แค่นั้นก็ลำบากหน่อย

เถรี 10-12-2014 12:19

ถาม : อภิญญาที่รักษา ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่มี..ถ้าอยากจะทำอย่างนั้นได้ ต้องซ้อมให้คล่องตัวในกสิณ ๑๐ พูดง่าย ๆ ก็คือต้องสำเร็จอภิญญา ๕ แล้วก็ค่อยไปปรับธาตุเอา แต่ส่วนใหญ่คนที่เขาทำได้ระดับนี้ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก เขาก็ยอมรับกฎของกรรมไป ถ้าไม่ใช่เพราะภาระเยอะแยะมากมาย ใครเขาอยากจะอยู่กัน อยู่ ๑ วันก็ทุกข์ ๑ วัน อยู่ ๒ วันก็ทุกข์ ๒ วัน เขาเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว

เถรี 10-12-2014 12:22

ถาม : เวลาจะพิจารณา จะทำสมาธิ หรือภาวนาตามลำดับ เหมือนกับว่าร้อน เลยคิดว่าจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เวลาเรานั่งสมาธิ ถ้ากำลังใจทรงตัว ลมหายใจจะละเอียดขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในร่างกายจะดีขึ้น ก็เลยทำให้การเผาผลาญในร่างกายมีมากขึ้น ในเมื่อการเผาผลาญมีมากขึ้น ก็ย่อมต้องร้อนเป็นปกติ จนกว่าเราจะสามารถเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ตามใจนึกของเรา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว

ถาม : หมายถึงว่าเราก็คลายออกมา ?
ตอบ : คลายออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าคลายออกมาจนไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันตัวเลย กิเลสจะมาตีเราอีก หรือไม่ก็เอาน้ำราดให้หายร้อน..!

เถรี 10-12-2014 12:28

ถาม : ภาวนาและทำอย่างอื่นไปด้วย เหมือนคนปกติ ?
ตอบ : ทำได้..ในลักษณะแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ให้สังเกตว่าถ้าเราเน้นไปข้างหนึ่ง อาจจะลืมไปอีกข้างหนึ่ง เพราะเราไม่มีความชำนาญพอ ต้องซ้อมทำไปจนกระทั่งความรู้สึกทั้งสองฝ่ายชัดเจนเสมอกัน แล้วจะเพิ่มเป็นฝ่ายที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปอีกก็ได้ แต่ว่าการทำแบบนั้น พอไปถึงระยะหลัง ๆ แล้วจะเกิดโทษบางส่วนขึ้น ก็คือสภาพจิตหนึ่งภาวนา แล้วอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านได้

ถ้าไม่อยากให้ฟุ้งลักษณะนั้น ต้องรวมจิตทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเราเสียใหม่ สมัยก่อนอาตมาชอบเล่นมากเลย ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่พอทำไปทำมาแล้ว ท้ายสุดได้ความคล่องตัวในกีฬาสมาธิ แต่พอเผลอแล้วสภาพจิตฟุ้งง่าย ตรงนี้นิ่ง แต่ตรงนั้นคิดสารพัด แล้วท้ายสุดก็ต้องดึงกลับมารวมกัน กว่าจะหาวิธีแก้ได้รำคาญอยู่ตั้งนาน เอ๊ะ..เป็นอะไร ฟุ้งไปเรื่อยทั้ง ๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่


ถาม : ตัวแรกฟุ้งก่อน แล้วก็ไปจับตรงที่ฟุ้ง ปรากฏว่ามีตัวที่สามฟุ้งมา ทีนี้เอาไม่อยู่ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหาอย่างอื่นทำ จนกระทั่งเริ่มลืม ๆ ไป แล้วก็ค่อยกลับมาภาวนาใหม่ เอาอย่างเดียวก่อน จนกระทั่งกำลังใจมั่นคงพอที่จะต่อต้านกับกิเลสได้ แล้วค่อยไปเล่นอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนกิเลสตีตาย..!

เถรี 10-12-2014 12:31

ถาม : ไม่มีตู้ให้หยอดทำบุญหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มี..ถ้าจะทำก็ทำตรงนี้เลย เพราะเจ้าของบ้านท่านไม่ชอบเห็นตู้เยอะ ๆ ท่านบอกว่าเหมือนตั้งใจจะเอาเงินอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านก็เลยไม่ให้ตั้งตู้ ในเมื่อนโยบายท่านเป็นอย่างนั้น อาตมาก็ต้องตามใจ

เถรี 10-12-2014 12:41

พระอาจารย์กล่าวกับคุณหญิง (ณญาดา ศราภัยวานิช) ว่า "จะให้หญิงจัดเรื่องไปเนปาล ยังไม่มีใครจัด ถ้าอาตมาขืนจัดเองเดี๋ยวเครื่องบินไม่พอนั่ง ให้จำกัดยอดด้วย อันดับแรกคือต้องตรวจสอบเรื่องที่พัก ถ้าในภักตรปุระไม่มีโรงแรมที่รับคณะใหญ่ ๆ ได้ ก็ต้องพักที่กาฐมาณฑุ แล้วจากกาฐมาณฑุก็ต้องเดินทางไปภัตรปุระอีก ๑๒-๑๓ กิโลเมตร แล้วระยะทาง ๑๒-๑๓ กิโลเมตรบ้านเขานี่ไม่เหมือนบ้านเรานะ

สำรวจที่พักกับราคา จะได้รู้ว่าเราจะจำกัดยอดได้เท่าไร ไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก ค่าเครื่องบินก็หลายหมื่นบาท ที่แนะนำก็คือเนปาลแอร์ไลน์ เพราะว่าแอร์เอเชียต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเซีย จะยุ่งมาก ถ้าไม่ได้ภาษา อ่านหนังสือไม่ออกนี่วุ่นวายตายชักเลย ส่วนการบินไทยแพงเกิน เนปาลแอร์ไลน์นั่นแหละ ดูเอาวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เป็นวันหลัก เพราะว่าเป็นวันที่เราไปทอดกฐิน แล้วจะไปก่อนไปหลังอย่างไรค่อยว่ากันอีกที เพราะเนปาลแอร์ไลน์ไม่ได้บินทุกวัน

กฐินของเราวันเสาร์ ถ้าไปวันศุกร์ ทอดเสาร์ กลับอาทิตย์ได้ก็จะประหยัดที่สุด แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องเอา เพราะว่าที่พักน่าจะแพง ประมาณ ๒๕ ดอลลาร์ต่อคนต่อวันนะจ๊ะ ไม่ใช่ต่อคนต่อห้องนะ คุณจะนอน ๒ คน ๓ คน ก็เสียคนละ ๒๕ ดอลลาร์ทั้งนั้น แล้วก็บริหารดี ๆ อย่าให้เขาฆ่ากันตาย..! ดูท่าคนอยากไปกันเยอะ"

เถรี 10-12-2014 13:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จัก คุณบุญนำ สุขสกุล บ้างไหม ? พระที่เขาจองตั้งแต่งาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ยังไม่มารับ ทิดมงคลชัยก็สึกไปเรียบร้อยแล้ว คุณบุญนำที่จะมารับแทนก็ไม่มา เจ้าตัวก็ไม่มา"

เถรี 10-12-2014 13:58

ถาม : ผมไปถวายเพลที่วัดหนึ่งเขาจัดงาน พอถวายเสร็จเขาก็บอกว่า จะเอาไปถวายเพลพระที่มาร่วมงาน ปรากฏว่าถึงเวลาจริง ๆ พระท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่คว้าของผมไปกินคนเดียวโดด ๆ ไม่ทราบว่าอานิสงส์สังฆทานผมจะได้ไหมครับ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจไว้ก็ได้ แต่พระที่ฉันคนเดียวก็เฮงไป ถ้าไม่ทันตั้งใจไว้ก็ยกให้ท่านไปเถอะ

เถรี 10-12-2014 14:01

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอยู่ที่วัดท่าซุงทั้งหมด ๑๘ ปี มีอยู่ปีเดียวที่วัดท่าซุงหนาวที่สุดคือ ๑๖ องศาเซลเซียส อยู่ทองผาภูมิ ๒๒ ปี ปีที่หนาวที่สุด ๒.๕ องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้น..ตอนนี้จ้างให้กลับไปวัดท่าซุงก็ไม่ไปแล้ว ร้อนเป็นบ้าเลย ช่วงนี้อากาศของทองผาภูมิกำลังสบาย ๑๘-๑๙ องศาเซลเซียส เช้า ๆ นี่หมอกท่วมเมืองเลย

เรื่องของอาหาร เรื่องของอากาศ เรื่องของบุคคล เรื่องของสถานที่ เรื่องของธรรมะ เหล่านี้ถ้าหากว่าเหมาะสม การปฏิบัติก็จะเจริญได้ง่าย คราวนี้บางคนไม่ชอบหนาว ไปเจอที่หนาวมาก ๆ ก็แย่ บางคนอยู่ภาคอีสานหรือภาคเหนือไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียวข้าวนึ่ง ต้องหาที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง"

เถรี 10-12-2014 14:04

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนไปบวงสรวงในงานฉลองศาลาการเปรียญของวัดมาบฟักทอง อยู่ที่บางละมุง ห่างจากวัดญาณสังวรารามประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ปรากฏว่าเข้าไปแล้ววัดใหญ่ ศาลาสร้างได้สวยทีเดียว ของเขาหมดไป ๑๐ กว่าล้านบาท แล้วก็ไปเจอหลวงตาแจ่ม เป็นรุ่นน้องที่ห่างจนไม่ทันกัน บวชที่วัดท่าซุงแล้วออกไปตั้งสำนักสงฆ์อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น วัดของท่านอยู่ห่างจากวัดมาบฟักทองออกไปประมาณ ๓๐๐ เมตรเอง เสียดายว่าบวงสรวงเสร็จแล้วต้องขอตัวรีบกลับมาฉันเพลที่กรุงเทพฯ ก็เลยไม่ทันแวะไปดูวัดของหลวงตาแจ่มท่านว่าเป็นอย่างไร

ที่วัดนั้นความจริงไม่ได้รู้จักท่าน แต่ว่าที่ไปเพราะว่าโยมที่เป็นเจ้าภาพสร้างศาลาคุ้นเคยกับตุ๊ป้อสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ ตุ๊ป้อสิงห์ท่านแนะนำว่า “ถ้าจะบวงสรวงแล้วให้ดี ต้องนิมนต์พระอาจารย์เล็กวัดท่าขนุนมาด้วย” ตกลงว่าตุ๊ป้อท่านก็เลยสบาย"

เถรี 10-12-2014 14:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะทำพิธีพุทธาภิเษกมีดหมอปลายเดือนมกราคม คราวนี้รีบสุดชีวิตแล้ว มีดหมอสร้างได้ไม่มาก ตอนนี้ในห้องก็ ๖๐ กว่าเล่ม อาตมามีหน้าที่นั่งเสกทุกวัน เพราะว่ามีดรุ่นนี้ฝังตะกรุด ก็เลยทำให้หาเหล็กที่หนาพอจะฝังตะกรุดได้ยาก นอกจากหาเหล็กได้ยากแล้ว ช่างฝีมือก็ยังหาได้ยากอีกด้วย

ยังเหลืออีก ๒๐ กว่าเล่มเหล็กก็จะหมด แล้วโรงงานก็ไม่ผลิตเหล็กแบบนี้อีกแล้ว ถ้าทำเสร็จครบก็น่าจะได้ ๘๐ กว่าเล่ม เดี๋ยวได้ตีกันตาย เพราะฉะนั้น..จึงให้หามีดไปเข้าพิธีกันเอง ปกติอาตมาใช้มีดของทางบ้านจ่าตุ่มเป็นหลัก ปรากฏว่าตอนนี้ช่างหมีที่เป็นช่างประจำ สายตาไม่ค่อยดี ทำไม่ค่อยไหวแล้ว บอกว่าจะเกษียณตัวเองเร็ว ๆ นี้"

เถรี 10-12-2014 19:24

พระอาจารย์กล่าวถึงมณฑปพระทองคำว่า "คราวนี้จะอลังการงานสร้างมาก ตอนแรกไม่นึกว่าจะได้เฮียจั๊ว (นายเซียงจั๊ว แซ่ตั้ง) มา เพราะว่าลูกศิษย์คนแรกที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้บอกว่า ไปซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่ อาตมาไม่กล้าไปรบกวนเขา ปรากฏว่าไป ๆ มา ๆ เขาคงจะทำงานร่วมกับเฮียจั๊ว

รายโน้นได้รางวัลอะไรสักอย่างจากสมเด็จพระเทพฯ เกี่ยวกับการออกแบบลวดลายไทย คนเขาฝีมือระดับนี้แล้ว จะออกแบบอลังการแค่ไหนก็ได้ สำคัญตรงที่ว่าจะทำให้เหมือนกับแบบ ก็ต้องได้ฝีมือระดับนี้ด้วยกันอย่างเฮียจั๊ว

อาตมาให้แนวคิดคุณประพนทัศน์ไป บอกเขาว่าเคยเห็นมณฑปโบราณที่ทรงเหมือนเรือแล้วมี ๓ ยอดไหม ? เขาบอกเคยเห็น ก็บอกว่านั่นแหละ พยายามปรับให้ออกมาคล้ายแบบนั้นให้ได้แล้วกัน ของเก่าเขาจะโค้งมากเหมือนอย่างกับเรือ
เลย ตอนนี้ก็เท่ากับมีอะไรสนุก ๆ ให้ทำอีกเยอะ จะไปสิ้นสุดโครงการโน่น เดือนมิถุนายนปี ๒๕๕๙ ปี ๒๕๕๘ พวกเราฉลองศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ปี ๒๕๕๙ พวกเราก็ฉลองมณฑป ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาหล่อพระพุทธรูปทองคำเสร็จ เราก็ฉลองพระกันต่อ อาจจะตรงกับช่วง ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย

เดี๋ยวต้องดูแบบจากช่างปัทม์ (นายปัทม์ บุณยรังค์) ให้ช่างปัทม์เขาหล่อพระพุทธรูปเป็นบรอนซ์องค์หนึ่งก่อน ถึงจะแพงหน่อย แต่ก็เพื่อจะคำนวณได้ว่าจริง ๆ แล้วต้องใช้ทองคำเท่าไร ถ้าไม่พอจะได้หาเพิ่ม ถ้าพอแล้วอาจจะทำเลย ตอนแรกก็ว่าท่านอาจารย์สุชาติแกปั้นลายสวยมากเลย จะให้อาจารย์สุชาติปั้นองค์พระพร้อมลาย แล้วหล่อทีเดียวให้จบเรื่องไปเลยดีไหม ? แต่พอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องของเครื่องทรงพระนี่ ถ้าถอดไม่ได้ก็เหมือนกับไม่ได้อย่างใจ ต้องถอดได้ จึงต้องสร้างเครื่องทรงต่างหาก

ตอนแรกมณฑปจะปิดทองประดับคริสตัล ก็คิดว่าถ้าใช้ไม้สักทองจะแพงโดยใช่เหตุ แต่ช่างเขาบอกว่าไม้สักทองจะแกะลายได้เนียนที่สุด ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมแพงหน่อย เพราะถ้าใช้ไม้อย่างอื่นแกะแล้วมาปิดทอง อย่างไรก็ไม่เห็นเนื้อไม้อยู่แล้ว..ใช่ไหม ? ปรากฏว่าเขาบอกว่าไม้สักทองแกะได้ลายเนียนที่สุด ถึงปิดทองแล้วไม่เห็นเนื้อไม้ก็ต้องยอม

คนอื่นเขาทำงานจะช้า เพราะว่าเขารอจนมีเจ้าภาพแล้วเขาถึงทำ ส่วนอาตมาทำไปเรื่อย ๆ คนโน้นให้บ้างคนนี้ให้บ้าง ก็พอไปเอง"

เถรี 10-12-2014 19:34

ถาม : รถเฉี่ยวชนบ่อยค่ะ ?
ตอบ : เฉี่ยวชนบ่อยหรือ ? ขาย..ซื้อคันใหม่ไปเลย..! ก็เอาไปให้หลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนเจิมเสียหน่อยสิจ๊ะ เฉี่ยวชนบ่อยอยู่ที่เราขับกระมัง ? สมัยก่อนมีน้องผู้หญิงอยู่คนหนึ่งขับรถ อาตมานั่งนี่หัวใจเกือบจะวายตาย เขาขับตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้สนใจใครเลย ดูว่าถ้าเราขับรถแข็งแล้วเฉี่ยวชนบ่อย ก็เอารถไปเจิมเสียหน่อย ถ้าหากว่าเราขับรถไม่แข็ง เฉี่ยวชนบ่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เถรี 10-12-2014 19:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของฤกษ์ยามปี ๒๕๕๘ ต้องขอปรับตามปฏิทินทั่วไปก่อนนะจ๊ะ แล้วจะยื่นเรื่องประท้วง คือปัจจุบันนี้การคำนวณฤกษ์ยามปฏิทินมาจาก ๒ สายด้วยกัน ก็เลยทำให้ต่างกันไป แต่ว่าโดยมาตรฐานแล้ว การคำนวณต้องอยู่ในรอบ ๑๑ ปี กับรอบ ๘ ปี

รอบ ๑๑ ปีก็คือ ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง แล้วก็ ๒ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง รวมแล้วเป็นรอบ ๑๑ ปี

ถ้ารอบ ๘ ปีก็คือ ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง แล้วก็ ๒ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง คราวนี้พอเอา ๘ กับ ๑๑ มารวมกัน ก็จะเป็นรอบ ๑๙ ปี ซึ่งวันเวลาจะตรงกันทั้งทางสุริยคติและจันทรคติพอดี ก็คือถ้าจะเอารอบใหญ่ตรงกันจริง ๆ ต้อง ๑๙ ปีครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าตำราอื่นเขาคำนวณกันอย่างไร จึงมาพลาด แล้วเขาก็เลยตามเลยมา ๒ ปีแล้ว ไม่อย่างนั้นปีที่ผ่านมาของเรานี่ ต้องมีวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ แต่ของเขาไม่มี ในเมื่อของเขาไม่มีเท่ากับพลาดไปวันหนึ่ง ฤกษ์ปีหน้า (๒๕๕๘) ก็เลยมั่วไปหมด งานต่าง ๆ คงต้องขอพระท่านสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ คือถ้าพระท่านสงเคราะห์ ฤกษ์อะไรก็ได้ แต่คราวนี้ในเมื่อส่วนรวมไปใช้อันที่เราว่าผิด จึงยุ่งกันใหญ่

เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ศึกษาทางโหราศาสตร์มา ก็จะกลุ้มว่าเขาคิดกันอย่างไร ? โบราณท่านใช้คำว่า "เดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่" ก็คือว่าเดือนที่เป็นเดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ เดือน ๑๒ ข้างแรมเดือนดับจะมีถึงแรม ๑๕ ค่ำ ส่วนเดือนคี่ดับคู่ก็คือ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๗ เดือน ๙ เดือน ๑๑ ข้างแรมจะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำ เป็นเลขคู่ ก็เลยจำง่าย ๆ ว่าเดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่

ฟังแล้วคนไม่มีพื้นฐานก็เมาไปเลยว่าคืออะไร ? คราวนี้เดือนทางจันทรคติก็จะมี ๒๙ วัน หรือ ๓๐ วัน ส่วนเดือนทางสุริยคติจะมี ๓๐ วัน กับ ๓๑ วัน ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์ที่มี ๒๙ วันหรือ ๒๘ วัน ซึ่งเขาถือตามปฏิทินเกรกอเรียน ทางด้านจันทรคติของเราท่านเก่ง ท่านปรับสูตรตามที่ว่า คือ สูตร ๑๑ และสูตร ๘ พอ ๑๑ กับ ๘ รวมกันเป็น ๑๙ ปี วันทางจันทรคติกับสุริยคติจะมาตรงกันพอดี ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทั้งหลายที่ทำปฏิทินของปีนี้เมาอะไรขึ้นมา พลาดไปได้ขนาดนั้น คือถ้าผิดทีหนึ่งก็จะผิดยาวไปเลย"

เถรี 10-12-2014 19:47

ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : ถ้าหากว่าดาวเสาร์ไม่ได้ย้ายมาอยู่ในราศีของเรา ก็ไม่ต้องทำพิธีรับอะไรหรอก เพราะท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรา คนที่ดาวเสาร์ย้ายเข้าราศีควรจะทำพิธีรับนิดหนึ่ง

ถาม : ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ยุ่งตายชักเลย ต้องใช้ของสีม่วงซึ่งเป็นสีของดาวเสาร์ วัสดุก็จะมีธงสีม่วงจำนวนเท่ากับกำลังของพระเสาร์ก็คือ ๑๐ จะมีธงสีม่วง ๑๐ ข้าวตอก ๑๐ ดอกไม้สีม่วง ๑๐ เงิน ๑๐ บาท เป็นต้น จะเพิ่มอาหาร ๑๐ ชุด ผลไม้ ๑๐ อย่าง ของหวาน ๑๐ อย่างไปด้วยก็ได้ จัดเอาไปถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้พระเสาร์ไป ก็เท่ากับว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชต้องเดือดร้อน เพราะว่าเทวดานพเคราะห์ท่านยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เป็นปกติ ซึ่งเทวดาชั้นที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เป็นปกติก็คือชั้นจาตุมหาราช ท่านก็ต้องหาคนมารับหน้าที่ไป

เถรี 10-12-2014 19:50

ถาม : คนทำชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายเกาะพระได้ก็ไปพระนิพพาน แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสิครับ ?
ตอบ : ฟังให้ดี ๆ นะ บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว เพราะมีผลบุญที่ดีในอดีตรับรองอยู่ บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี เพราะผลของความชั่วเก่ามีอยู่ เราจะไปสรุปอย่างที่ว่ามานั้นไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่สามารถทำทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นได้ รู้เห็นนรกสวรรค์ แล้วกล่าวว่าบุคคลทำดีไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปนรกแน่นอน
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี


เพราะฉะนั้น..ที่ว่ามานั่นเข้าใจผิด โดยเฉพาะถ้าเกาะพระได้แล้วไปพระนิพพานนี่ยิ่งเข้าใจผิดไปหลายโยชน์เลย เกาะพระได้ไปสุคติแน่ แต่ไม่ใช่ไปพระนิพพาน ส่วนที่เราบอกว่าไม่ยุติธรรมนั้น จริง ๆ แล้วยุติธรรมมาก อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ทำชั่วมาทั้งชีวิต เกาะพระนิดเดียวตอนท้าย ไปอยู่ดาวดึงส์ แต่มีอายุแค่ ๗ วันของดาวดึงส์เท่านั้น ยุติธรรมไหม ? ไม่ยุติธรรมหรือ ? ก็เขาทำดีมาแค่นั้น แต่ในอดีตเขาเคยสร้างความดี ก็คือเคยสร้างพระพุทธรูปมา ทำให้วาระสุดท้ายของชีวิต นอกจากพระพุทธเจ้าเดินผ่านให้เกาะได้แล้ว ยังเป็นวาระที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาพอดี ได้ฟังเทศน์กลายเป็นพระโสดาบัน ก็เลยอยู่มาจนบัดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วไปทำดีตอนท้ายนิดเดียว ถ้าอย่างนั้นไม่ไม่ยุติธรรมแน่ เรื่องกฎของกรรมยุติธรรมที่สุด เรารู้จริงหรือเปล่าเท่านั้น

เถรี 10-12-2014 19:58

ถาม : การมัดตราสัง ?
ตอบ : การมัดตราสังคนตายเป็นการแสดงออกซึ่งปริศนาธรรม ให้คนที่ไปงานศพได้เห็น ห่วงลูกเหมือนโดนผูกคอ ห่วงทรัพย์สินเหมือนกับโดนผูกเท้า ห่วงเรื่องของสามีภรรยาเหมือนโดนผูกมือ เขาทำให้ดูว่าถ้ามีห่วงอยู่ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ถ้าอยากจะพ้นการเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องหมดห่วง คราวนี้พวกเราไม่ได้ไปดูในเรื่องของปริศนาธรรม แต่ไปสงสัยว่าทำไมต้องมามัดกันด้วย

ถาม : ต้องมัดแน่นจนลุกไม่ได้ ?
ตอบ : เขาไม่ได้มัดขนาดนั้น เขาเอาแค่สายสิญจน์เส้นเดียว มัดอย่างไรก็มัดไม่อยู่หรอก เพราะฉะนั้น..สัปเหร่อที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ก่อนจะเผามักจะใช้มีดตัดเส้นเอ็นก่อน เขาจะเอาปลายมีดกดตัดเอ็นแถวข้อพับมือข้อพับเท้า ถึงเวลาเผาแล้วเอ็นหด ศพจะได้ไม่ลุกนั่งให้คนเขาตกใจ

ถาม : เขาว่าต้องจับขาถ่างให้ห่างกันไว้ ถ้าขาติดกันเดี๋ยวจะมีคนตายติด ๆ กันไปอีก ?
ตอบ : อันนี้ก็เหมือนกัน ทางวัดท่าซุงจะไม่เคยมีตายศพเดียว ภายใน ๗ วันจะต้องมีอีกศพหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นศพที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปเลย เขาบอกไอ้พวกท่าซุงขี้เหงา ไม่ยอมตายคนเดียว เขาให้สังเกตดู อาตมาอยู่มา ๖ - ๗ ปีตอนที่เป็นพระ จริง ๆ ด้วย สวดศพจะต้องได้สวดคู่เป็นประจำ ก็เป็นเรื่องประหลาดดีเหมือนกัน ของคุณถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำให้เขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็น "ตายตามไปจริง ๆ ด้วยเว้ย..!" เดี๋ยวก็เลื่องลือกันไปใหญ่

ถาม : ตายพร้อมกันเพราะผูกกรรม ?
ตอบ : มักจะทำกรรมมาใกล้เคียงกัน ดีไม่ดีก็ทำมาเหมือนกันเลย จึงไปด้วยกัน วันก่อนมีข่าวสามีภรรยาตายพร้อมกันวันเดียวกัน อันนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุนะ แก่ตาย..ตายวันเดียวกันเลย แสดงว่ารักกันจริง ทำกรรมมาเสมอกัน

เถรี 10-12-2014 20:03

ถาม : ยมทูตเอาตัวคนที่นามสกุลผิดไป ?
ตอบ : ชื่อนามสกุลต่างกันยังเอาผิดไปเลย ปกติแล้วไม่ค่อยผิดหรอกจ้ะ ท่านแค่ต้องการให้คนไปดูบ้าง ว่าการที่ทำดีทำชั่วแล้วผลเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็เอามาคืน จะได้บอกกับคนที่พอจะมีบุญอยู่บ้าง ถ้าคนไม่มีบุญบอกให้ตายก็ไม่เชื่อ

ถาม : ถ้าคืนไม่ทัน ?
ตอบ : ยังไม่มีตัวอย่างที่คืนไม่ทัน แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะมาเอา ? ...(หัวเราะ)... ถ้าบอกว่าอีกนานเท่าไรจะมาเอานี่ เตรียมตัวได้เลยจ้ะ ถึงเวลาต้องไปแน่ ๆ

ถาม : ถ้าพระท่านเจิมรถเรา แล้วจะมีแม่ย่านางมาคุ้มครองไหมคะ ?
ตอบ : ไม่แน่จ้ะ...ถ้าพระที่ท่านเจิม ท่านอัญเชิญเทวดาได้ก็จะมี แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่แม่ย่านางหรอก ส่วนใหญ่เป็น "พ่อปู่นาย" เสียเยอะ ถ้าเชิญไม่เป็น ไม่มีเทวดามารักษา ก็ไม่มีแม่ย่านาง อาตมาเองใช้รถมา ๕ คันก็เพิ่งจะมีผู้หญิงมารักษาคนเดียว ขอยืนยันว่าผู้หญิงชั้นจาตุมหาราชดุฉิบหา..เลย..!

เถรี 10-12-2014 20:11

ถาม : ถ้าเราเปิดเทปบวงสรวงเอง แล้วเจิม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าทำอย่างนั้นได้จะดีมากเลย เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ตั้งแต่ตอนท่านอายุมากแล้วเจิมรถไม่ไหว ท่านบอกว่าให้เปิดเทปบวงสรวง เสร็จแล้วก็ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบเราลงมา คิดว่าเป็นพระท่านเจิมให้ ไม่ใช่ตัวเราเจิม เราเป็นแค่ผู้แทนเท่านั้น ท่านสอนให้ทำอย่างนั้นเองเลย

เถรี 10-12-2014 20:13

ถาม : การดูลายมือมีหลักอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาละเอียดจริง ๆ ต้องดูทุก ๑๕ วัน เพราะว่าอย่างเส้นลายมือนี่ ๑๕ วันจะเปลี่ยนทีหนึ่ง เส้นหลัก ๆ อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ว่าถ้าเส้นรองจะเปลี่ยน เพราะฉะนั้น..หมอดูที่มีความสามารถจริง ๆ จะดูให้ทุก ๑๕ วัน แล้วสามารถบอกรายละเอียดได้เหมือนตาเห็นเลยก็มี เพียงแต่หายาก อาตมาเองวันก่อนมานั่งเล็ง ๆ ตายละวา..ปกติเส้นอาทิตย์ของอาตมาสั้นนิดเดียว ตอนนี้ยาวต่อกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปก็รับเงินอย่างเดียว..!

ถาม : อยากได้บ้างค่ะ ?
ตอบ : อยากได้ให้เอามีดกรีด เส้นจะได้ขึ้นคม ๆ ชัด ๆ..!

เถรี 10-12-2014 20:20

ถาม : การยอมรับสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ?
ตอบ : สภาพจิตของเราเห็นและยอมรับว่า ร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เป็นทุกข์เป็นปกติ สกปรกเป็นปกติ ให้เรากับมันก็ตายพังจากกันไป ต่อให้รักแค่ไหนก็ไม่สามารถยึดเป็นตัวตนของเราได้ ให้ใจของเรายอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอถึงเวลาคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วจิตไม่เถียง ไม่ใช่พอเขาตี ก็ "โอ๊ย..! ตีกูทำไม ?"

ถาม : เวลาเป็นสมาธิแล้วร่างกายโยก ?
ตอบ : ปล่อยเลยจ้ะ เพราะว่าสภาพจิตเริ่มเข้าช่วงปีติก่อนจะเป็นฌาน ต้องปล่อยให้ตึงตังโครมครามให้เต็มที่ไปเลย แล้วก็จะเลิกไปเอง ถ้าเราไม่ปล่อย ไปอายเขา แล้วบังคับให้หยุด ก็จะหยุด แต่ถ้าทำถึงตรงนั้นอีกเมื่อไรก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้น..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลยทีเดียว

ถาม : เป็นอุปาทาน ?
ตอบ : จะอุปาทานอีท่าไหนเล่า ? ก็โยกจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ตั้งโทรศัพท์ถ่ายคลิปเอาไว้ พอถึงเวลาก็มาเปิดดูคลิปของเราเองว่าโยกแค่ไหน

เถรี 10-12-2014 20:30

ถาม : ฆราวาสที่บรรลุที่ต้องตายใน ๗ วัน ?
ตอบ : ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เขาไม่อยากอยู่กันแล้วจ้ะ เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากจะตายก็ตายไปเถอะ ส่วนผู้ชายเองถ้าไม่มีงานไม่มีอะไรแล้วก็..บ๊ายบาย ไปแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นจะรู้สึกว่าร่างกายนี้ไร้สาระไร้แก่นสารมาก เบื่อหน่ายมาก ๆ เลย อยู่ต่อแม้แต่อึดใจเดียวก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือจะทน เขาจึงไม่ขวนขวายเพื่ออยู่หรอก แต่เนื่องจากความเข้าถึงธรรมทำให้มีปัญญามาก เขาก็ไม่ดิ้นรนที่จะตายเหมือนกัน ปล่อยไปตามวาระของกรรม

ถาม : ไปนอนให้เลือดมา เห็นเลือดแล้วจะช็อกเป็นลม ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าไม่ถึงวาระอย่างไรก็ไม่ตาย แต่ที่ช็อกนั่นร่างกายตัดระบบเอง ต่อไปก่อนให้เลือดสั่งร่างกายว่า “ห้ามช็อก..ห้ามเป็นลม ห้ามช็อก..ห้ามเป็นลม” ภาวนาจนเป็นฌานไปเลย คือร่างกายของเราสามารถตั้งระบบได้ ถ้าระบบอ่อนก็จะตัดเร็ว สมัยก่อนอาตมาเห็นเลือดก็เป็นลมแล้ว สมัยนี้เอาดาบมายังไม่กลัวเลย สรุปก็คือกลัวตายนั่นแหละ

พอกลัวตายถึงเวลา
ร่างกายก็ตัดระบบให้ทำงานช้าที่สุด ถ้าเสียเลือดช้าจะได้ตายช้าหน่อย ถ้าหากว่าเราสั่งเขา บอกเขาว่าอย่าเป็น อายเขา เลิกเป็นได้แล้ว ถ้าเราตั้งโปรแกรมของเราอย่างนี้ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย เดี๋ยวร่างกายเขาก็จะตั้งระบบใหม่ตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องไปให้เลือดใหม่อีก ๒-๓ ครั้ง ตั้งระบบให้ชิน เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเอง

เถรี 10-12-2014 20:30

ถาม : พระพี่น้องที่ลอยแพมา ?
ตอบ : เขาว่าอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นพระที่ชาวบ้านเขาเอาลอยแพหนีพม่ามา ในเมื่อลอยมาหลาย ๆ องค์พร้อมกัน เขาก็นับเป็นพี่เป็นน้องกัน

ถาม : ลอยมาเองหรือคะ ?
ตอบ : ตีเสียว่าลอยแพมาง่ายที่สุด อย่าไปคิดว่าลอยมาเองหรืออะไร เพราะบางคนจะคิดว่า เป็นโลหะลอยได้อย่างไรวะ ?

เถรี 10-12-2014 20:31

ถาม : ออกรถใหม่ต้องทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ออกแล้วก็ขับสิจ๊ะ..!

เถรี 11-12-2014 12:06

ถาม : ท่านที่ปฏิบัติถึงระดับที่มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ท่านใช้ร่างกายนี้แบบแยกออกจากใจ เหมือนเราขับรถไหมคะ ?
ตอบ : ใช้ตามปกติจ้ะ เพียงแต่ใช้โดยให้รู้ตัวอยู่ตลอดว่าไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นสักแต่ว่าทำ ตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น มือสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส

ถาม : ท่านจัดการกับการรับรู้อย่างไรคะ เมื่อท่านเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส หรือสัมผัสต่าง ๆ แล้ว แต่ไม่ปรุงแต่ง ?
ตอบ : เป็นเพียงกิริยา ในเมื่อเป็นกิริยาก็สักแต่ว่าทำ ๆ ไป ไม่ต้องมีมายา ก็คือไม่ต้องไปแสดงออกเพื่อใคร ไม่ต้องไปปรุงแต่งเพื่ออะไรต่อมิอะไร

ถาม : ท่านคิดว่าร่างกายนี้เป็นภาระไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นภาระอะไร เพราะสภาพจิตของท่าน ท่านไม่ได้แบกอะไร ก็สักแต่ว่าทำ ๆ ไป เหมือนกับสักแต่ว่ากิน ๆ ไปสักมื้อหนึ่ง

ถาม : เวลากิน ท่านคิดถึงร่างกายว่าปฎิกูลเลี้ยงปฏิกูลไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้นก็ไม่ต้องไปเสียเวลาปฏิกูลแล้ว ใจยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : อ้อ..ที่คิดอย่างนั้น เอาไว้สำหรับฝึก ?
ตอบ : จ้ะ..ท่านเห็นเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างที่ภาษาบาลีว่า เนวะ ทวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ ไม่กินเพื่อความมึนเมา ไม่กินเพื่อการประดับ ไม่กินเพื่อการตกแต่ง ก็คือว่าไม่ติดในรสอาหาร ไม่กินอวดร่ำอวดรวย ประดับตกแต่งก็คือกินอวดร่ำอวดรวยนั่นแหละ แล้วก็กินเพื่อยังสภาพร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์ต่อการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ท่านใช้คำว่า พรัมมะจะริยานุคคะหายะ อนุเคราะห์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ เพื่อระงับซึ่งเวทนาเก่า แล้วก็บรรเทาเวทนาใหม่ที่จะเกิดขึ้น ถ้าร่างกายปั่นป่วนมาก ๆ ก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว